พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1543-1546
บทที่ 1543 เย่อี้ที่กระวนกระวาย
เสียงที่กล่าวคำนี้ออกมา ถึงแม้จะไม่ดังก้องไปทั้งเมืองเหมือนตอนประกาศชื่อตัวเอง แต่ร้านค้าที่อยู่บริเวณประตูเมืองตะวันออกกลับได้ยินแล้ว ล้างเลือดทั้งเมืองเหรอ? ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่อกสั่นขวัญแขวน ด่าในใจอย่างบ้าคลั่งว่า เจ้าบ้านี่มันอยากจะล้างเลือดตลาดสวรรค์จริงๆ สินะ!
บรรดาผู้จัดการร้านกับพวกคนงานที่หลบอยู่ในร้าน ก่อนหน้านี้นึกว่าตัวเองจะโชคดีรอดชีวิต คิดว่าหนิวโหย่วเต๋อคงไม่กล้าล้างเลือดตลาดสวรรค์จริงๆ หรอก แต่หลังจากได้ยินคำพูดนี้แล้ว มีหรือที่จะยังกล้าคิดว่าโชคดีอีก เจ้าตัวประกาศออกมาต่อหน้าฝูงชนแล้ว จึงเปิดประตูหนีอีกครั้งทันที รีบหนีไปให้ไกลๆ หน่อย ไม่นานถนนบริเวณประตูเมืองฝั่งตะวันตกว่างเปล่าจนไม่เห็นเงาใครสักคน
ทหารยามเฝ้ากำแพงเมืองเริ่มตึงเครียดเป็นอย่างมาก กลุ่มคนที่อยู่ในตึกบนกำแพงค่อนข้างพูดไม่ออก พบว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้กล้าพูดทุกอย่างจริงๆ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ หนิวโหย่วเต๋อเจ้าเวรนี่มันกล้าทำจริงๆ คาดว่าคงไม่ได้พูดเพื่อขู่เฉยๆ หรอก
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนในตึกทำใจเชื่อได้ยากก็คือ หนิวโหย่วเต๋อพูดจากบฏขนาดนี้ แต่กำลังพลที่อยู่ข้างหลังเขากลับไม่มีใครทำท่าแปลกใจสักคน ไฟโกรธในดวงตาคนพวกนั้นราวกับกำลังบอกทุกคนว่า วันนี้จะต้องเข้าเมืองให้ได้ ถ้าเข้าเมืองไม่ได้ จะฆ่าล้างเมืองสักหน่อยจะเป็นไรล่ะ?
ถังเฮ่อเหนียนพลันถอนหายใจเบาๆ ทันที “ทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์กลุ่มนี้ เกรงว่าในเร็วๆ นี้คงจะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”
“เกรงว่าในเร็วๆ นี้คงเผชิญชะตากรรมโดนจับแยก” จั่วเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ
คนอื่นที่ยังอายุน้อยรวมทั้งเม่ยเหนียงหวังเฟยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่สองคนนี้พูดหมายความว่าอะไร แต่โกวเยว่และพวกคนชรากลับถอนหายใจเบาๆ ราวกับเข้าใจหมดแล้ว
เม่ยเหนียงอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามโกวเยว่ “ในเมื่อเป็นทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์ ทำไมต้องโดนจับแยกล่ะ?”
โกวเยว่แอบตอบนางว่า “กองทัพองครักษ์คือกองทัพองครักษ์ของฝ่าบาท ไม่ใช่กองทัพองครักษ์ส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง ขนาดหนิวโหย่วเต๋อพูดแบบนี้ออกมาแล้ว พวกลูกน้องยังไม่แสดงอาการผิดปกติเลยสักนิด อาศัยแค่การที่พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว แค่นี้ก็เป็นความผิดมหันต์แล้ว!”
เม่ยเหนียงเข้าใจในทันที แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ”
โกวเยว่ชี้แนะว่า “ขอเพียงได้หนิวโหย่วเต๋อมาไว้ในมือ ก็จะมีทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์กลุมที่สอง ทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์กลุ่มที่สามเกิดขึ้นอีกแน่นอน ท่านอ๋องคงไม่กังวลที่จะมอบกำลังพลในมือไปให้เขาฝึก!”
เม่ยเหนียงเข้าใจสิ่งที่โกวเยว่สื่อแล้ว นี่คือการบอกเป็นนัยว่าขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านอ๋อง กองทัพองครักษ์มีความเสียหายอะไรแล้วจะเกี่ยวอะไรกับท่านอ๋องล่ะ?
นางอดไม่ได้ที่จะแอบกัดริมฝีปาก แบบนี้ก็ยิ่งอธิบายแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้มีความสำคัญต่อท่านอ๋องขนาดไหน!
“นายท่านหนิวรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้!” ฟางลี่เหิงกุมหมัดคารวะอีกครั้ง บนใบหน้าเจียดรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วรีบหันตัวหลบมาด้านข้าง แถมยังดึงลูกน้องคนหนึ่งออกมากำชับด้วยว่า “พยายามทำให้สงบไว้ อย่าไปยั่วโมโหเจ้าบ้านีเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นไอ้หน้าด้านนี่มันก็ทำได้ทุกอย่างจริงๆ”
ลูกน้องคนนั้นคิดในใจว่า ยังต้องอีกให้เจ้าเตือนด้วยเหรอ? แต่ปากกลับเอ่ยรับพร้อมพยักหน้าซ้ำๆ “ขอรับๆๆ! นายท่านรีบไปรีบกลับเถอะ ไม่อย่างนั้นข้าน้อยกลัวว่าจะยืนหยัดได้ไม่นานนัก” เขาไม่อยากรับมือกับสถานการณ์นี้เลยจริงๆ กดดันเกินไปแล้ว!
ฟางลี่เหิงแฉลบผ่านฟ้าไปทันที เหาะไปยังตำหนักคุ้มเมืองอย่างรวดเร็ว
เขาหันกลับมามองเป็นระยะ ที่จริงผู้บัญชาการใหญ่เย่อี้ที่อยู่ในตำหนักคุ้มเมืองรู้เรื่องนี้ก่อนเขาหนึ่งด้าวแล้ว รู้ข่าวตั้งแต่ก่อนที่เหมียวอี้จะนำกำลังพลมาถึง
ข้างนอกเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ วันนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกวิชา กำลังเดินครุ่นคิดช้าๆ อยู่ในสวนดอกไม้ จู่ๆ ก็ได้ข่าวมาจากจวนแม่ทัพภาคเบื้องบนของเขา
ท่านแม่ทัพภาคส่งข่าวมาด้วยตัวเอง บอกอย่างชัดเจนว่าให้เขาระวังตัวหน่อย เบื้องบนส่งข่าวมาแล้ว ว่าคนที่นำกองทัพองครักษ์ห้าหมื่นไปสังหารหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงและโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่ายก็คือหนิวโหย่วเต๋อ!
พอได้ยินข่าวนี้ เย่อี้ก็ตกใจจนตับสั่น ไม่ใช่เพราะเขามีความขัดแย้งอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อหรอก…แน่นอน ใช่ว่าจะไม่มีความขัดแย้งเลยสักนิดเดียว เพราะในปีนั้นเขาก็เคยทดสอบที่แดนอเวจีถึงได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เช่นกัน เป็นคนที่เข้าร่วมทดสอบที่แดนอเวจีรอบแรก เป็นรอบเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อ ดังนั้นเขาก็เป็นหนึ่งในกำลังพลที่ล้อมโจมตีหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน มีความขัดแย้งนิดหน่อยเท่านี้เอง แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลย ตอนแรกมีคนมากมายขนาดนั้น หนิวโหย่วเต๋อจำตนไม่ได้แน่นอน มีแค่ตนเท่านั้นที่จำหนิวโหย่วเต๋อได้
เพราะเขาได้เห็นเหตุการณ์ที่หนิวโหย่วเต๋อบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านกับตาตัวเอง ถึงได้รับรู้ความเหี้ยมหาญของหนิวโหย่วเต๋ออย่างลึกซึ้ง กอปรกับตอนนี้อีกฝ่ายมีฐานะสูงกว่าเขา แถมในมือยังมีกำลังทหารมากมาย เขาจะไปมีเรื่องด้วยไหวเหรอ ที่สำคัญคือเจ้าหมอนั่นคนบ้าผู้เลื่องชื่อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น
และที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือ เขาสั่งให้คนเชิญอวิ๋นจือชิวเข้ามาสอบถามที่ตำหนักคุ้มเมืองแล้ว
เขากำลังสาปแช่งบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของฉู่จื่อซาน เมื่อเริ่มเชื่อมโยงทุกเรื่องเข้าด้วยกัน มีหรือที่จะยังไม่รู้ว่าฉู่จื่อซานตายอย่างไร เจ้าบ้าหนิวโหย่วเต๋อมันกล้าทำทุกเรื่องจริงๆ ด้วย มารดาเจ้าเถอะ เป็นเพราะมีคนแตะต้องผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อจนยั่วให้หนิวโหย่วเต๋อโมโหไง สาเหตุที่ทัพใหญ่หลายแสนของตำหนักสวรรค์โดนสังหาร ก็เพราะหนิวโหย่วเต๋อโมโหเรื่องหญิงงาม!
ตอนนี้ตัวเองจับผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้ ถึงแม้ตัวเองจะเชิญมา แต่ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะคิดอย่างไร เจ้าบ้านั่นคงไม่ได้ถ่อมาล้างเลือดตลาดสวรรค์หรอกใช่มั้ย?
เย่อี้เริ่มกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ ขนาดน่านฟ้าระกาติงรวบรวมทัพใหญ่หนึ่งล้านแล้วยังต้านอีกฝ่ายไว้ไม่ไหวเลย กำลังพลอันน้อยนิดของเขาไม่พอให้ยัดซอกฟันอีกฝ่ายด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำอาวุธในมือกำลังพลของเขาก็ไม่มีทางเทียบกับกองทัพองครักษ์ได้เลย ค่ายกลป้องกันต้านทานการโจมตีด้วยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของกองทัพองครักษ์ไม่ไหวหรอก เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะขัดขืนด้วยซ้ำ!
ภายใต้ความหวาดกลัวนี้ เขาจึงขอร้องให้ท่านแม่ทัพภาคช่วยเหลือทันที เขาบอกว่าตัวเองเชิญอวิ๋นจือชิวเข้ามาที่ตำหนักคุ้มเมือง ตอนนี้ตัวนางยังอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองอยู่เลย จะทำอย่างไรดี?
แม่ทัพภาคท่านนั้นด่ายับทันที ฉู่จื่อซานตายไปแล้วก็แล้วกันสิ เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ เจ้ากินอิ่มแล้วว่างงานเลยมาสอดเรื่องนี้เหรอ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลมาโจมตีจวนแม่ทัพภาคขึ้นมา แม้แต่ข้าก็ต้านทานไม่ไหว เจ้าน่ะอายุเท่าไรแล้วถึงได้กล้ามายุ่งเรื่องนี้?
ด่าก็ส่วนด่า แต่ก็ยังต้องคิดหาทางแก้ไขปัญหานี้ แม่ทัพภาคท่านนั้นให้เย่อี้รีบปล่อยตัวอวิ๋นจือชิว จะต้องปลอบใจนางให้ดี ส่วนทางเขาจะติดต่อกับเบื้องบนอีกที ให้เบื้องบนติดต่อกับหน่วยองครักษ์ซ้าย หวังว่าคำสั่งของหน่วยองครักษ์ซ้ายจะควบคุมเจ้าคนบ้านั่นได้!
เย่อี้รีบขอบคุณทันที หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วก็หันมาตะโกนทันทีว่า “ทหาร!”
ลูกน้องคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะถาม “นายท่านมีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?”
เย่อี้ชี้ไปทางคุก แล้วกัดฟันสั่งว่า “เร็วๆ! พาตัวอวิ๋นจือชิวเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋ามาหาข้าเดี๋ยวนี้! ไม่สิ…เชิญตัวมาหาข้า เร็วเข้า!”
“ขอรับ!” ลูกน้องของรีบวิ่งออกไปทันที
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็เดินมาอย่างไม่สะทกสะท้าน โดยมีทหารหลายคนของตำหนักคุ้มเมืองเดินตามหลัง สีหน้านางเรียบเฉย มองไม่ออกว่ามีอารมณ์ผิดปกติอะไร
เย่อี้ที่เดินกระวนกระวายอยู่ในศาลาหันมามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนมาแล้ว เขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที รีบเดินออกมาจากศาลา เดินลงบันไดมาต้อนรับ
พวกทหารของตำหนักคุ้มเมืองยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของเขา อวิ๋นจือชิวยกแขนเสื้อทำความเคารพด้วยใบหน้าที่เจือรอยยิ้มเล็กน้อย “อวิ๋นจือชิวคารวะผู้บัญชาการใหญ่ค่ะ!”
ในใจเย่อี้รู้สึกกลัดกลุ้ม ผู้หญิงคนนี้ก็มีสง่าราศีดีเหมือนกัน ความสวยก็จัดอยู่ระดับบน แต่ก็ยังไม่ถือว่างดงามล้ำเลิศอะไร ไม่รู้ว่าฉู่จื่อซานนั่นมันไปกินยาอะไรผิดมา หนิวโหย่วเต๋อนั่นก็ไม่รู้ว่ากินยาอะไรผิดมาเหมือนกัน อาศัยอำนาจอิทธิพลของสองคนนั้น อยากจะหาผู้หญิงแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น จำเป็นต้องมาสู้ตายแบบไม่เสียดายอนาคตเพื่อผู้หญิงคนนี้ด้วยเหรอ?
แน่นอน บนใบหน้าเขายังคงรอยยิ้มเอาไว้ “เถ้าแก่เนี้ย ไม่ได้รบกวนให้ท่านตกใจใช่มั้ย”
“ยังสบายดี!” อวิ๋นจือชิวตอบพร้อมรอยยิ้ม
เย่อี้โล่งอก โชคดีที่ฟางลี่เหิงเตือนไว้ก่อน จึงเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ ไม่ได้ทำอะไรผู้หญิงคนนี้ เขาพยักหน้าบอกว่า “งั้นก็ดีแล้ว”
ใครจะคิดว่าคนที่รับหน้าที่สืบสวยจะแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผู้หญิงคนนี้ปากแข็งมาก ไม่ตกหลุมพรางอะไรสักอย่าง เอาแต่พูดว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น นายท่าน ข้าว่าพวกเราทำดีกับนางเกินไปแล้ว ทำให้นางไม่กลัวอะไรเลย ถ้าอยากจะถามให้ได้ความอะไรจริงๆ ก็ต้องตัดขาดการติดต่อของนางกับภายนอก แล้วทรมานอีก…”
เย่อี้หันขวับมาถลึงตาตัดบทเขา ในใจมีความคิดอยากจะฆ่าเจ้าหมอนี่แล้ว ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์ ยังไม่ได้ทำอะไรนางซี้ซั้วใช่มั้ย?”
ผู้สืบสวนงุนงง รีบตอบว่า “เปล่าเลย! ข้าทำตามที่นายท่านกำชับไว้ สุภาพเกรงใจมาตลอด ตอนที่นางติดต่อกับภายนอกเป็นระยะ ข้าก็ไม่ได้รบกวนเช่นกัน” อันที่จริงแล้ว มันคือการสอบสวนไง จะพูดไม่เกรงใจบ้างสักคำสองคำก็เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว มีขู่ไปบ้างนิดหน่อย เพียงแต่เห็นท่าทางของผู้บัญชาการใหญ่เป็นแบบนี้ ก็เลยไม่กล้าพูดออกมา
เย่อี้หันกลับมาแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม ยื่นมือเชิญให้นางเข้าไปนั่งในศาลา “เถ้าแก่เนี้ยเชิญนั่งข้างในก่อน จิบน้ำชาปลอบขวัญสักหน่อย ถ้าพวกลูกน้องล่วงเกินอะไรตรงไหน ก็หวังว่าจะใจกว้างให้อภัยนะขอรับ”
อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองสาวใช้ที่รินน้ำชาอยู่ข้างในแวบหนึ่ง นางจะกล้าดื่มของที่นี่ซี้ซั้วได้อย่างไร ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางกล้าวพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ให้เกียรติข้าเกินไปแล้วจริงๆ ข้าไม่กล้านั่งตีเสมอกับผู้บัญชาการใหญ่เด็ดขาดค่ะ ผู้บัญชาการใหญ่มีอะไรจะกำชับหรือคะ อวิ๋นจือชิวจะตั้งใจฟังก็พอแล้ว”
เย่อี้เชิญอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางไม่ยอม เขาก็ไม่กล้าบังคับเช่นกัน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป หนิวโหย่วเต๋อนั่นกำลังทำศึกกับกำลังพลน่านฟ้าระกาติงที่อาณาเขตดาวใกล้ๆ นี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะนำคนมาที่นี่แล้วก็ได้ ชักช้าไม่ไหวหรอก เขาจึงยืนนอกศาลาแล้วกล่าวอย่างจริงใจเปิดเผยว่า “เป็นเพราะเชิญเถ้าแก่เนี้ยมาสอบถามที่ตำหนักคุ้มเมือง เย่คนนี้กลัวว่าจะทำให้แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อไม่พอใจ ดังนั้นจึงหวังให้เถ้าแก่เนี้ยช่วยพูดถึงเย่ในทางที่ดีเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ทัพภาคหนิวสักหน่อย! เย่ขอรับประกันเลย ต่อไปนี้ที่ตลาดสวรรค์จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเถ้าแก่เนี้ยอีก ถ้าเถ้าแก่เนี้ยมีอะไรจะให้เย่ช่วยเหลือ เย่คนนี้ก็จะช่วยอย่างไม่ลังเลแน่นอน แบบนี้ดีมั้ย?” นี่คือการเจรจาเงื่อนไข
เขาเตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าถ้าเจรจาไม่ลงตัว ก็จะรีบหาข้ออ้างหนีออกจากตลาดสวรรค์ไปหาที่หลบภัย หลบผ่านสถานการณ์ที่ไม่เอื้อประโยชน์นี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็มองหน้ากันเลิกลั่ก อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้ได้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วจริงๆ?
อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ผู้บัญชาการใหญ่ล้อเล่นแล้ว ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวรู้จักกันแค่ผิวเผินเท่านั้น มาคุยที่ตำหนักคุ้มเมืองสองสามคำจะยั่วให้แม่ทัพภาคหนิวไม่พอใจได้ยังไงคะ? ข้าไม่ค่อยเข้าใจที่ท่านพูดเลย”
“รู้จักกันแค่ผิวเผินเหรอ?” เย่อี้หัวเราะเจื่อน “เป็นเพราะหัวหน้าภาคฉู่คิดไม่ซื่อกับเถ้าแก่เนี้ย ทำให้แม่ทัพภาคหนิวนำกองทัพองครักษ์ห้าหมื่นไปสังหารเขา แล้วก็โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่ายอีก สังหารคนไปหลายแสน ถ้าแบบนี้นับว่ารู้จักกันแค่ผิวเผิน เช่นนั้นเย่ก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เถ้าแก่เนี้ยช่วยชี้แนะหน่อย ว่าแบบไหนถึงเรียกว่ารู้จักกันลึกซึ้ง?” เขาเปิดโงโดยตรงแล้ว
เรื่องที่ลือกันสนั่นหวั่นไหวข้างนอกเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? คนที่ยืนอยู่ทางซ้ายแลขวาสีหน้าเปลี่ยนทันที โดยเฉพาะคนที่เพิ่งสอบสวนไป รู้สึกเริ่มหนาวสันหลังแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้บัญชาการใหญ่ถึงเกรงใจผู้หญิงคนนี้ขนาดนี้
อวิ๋นจือชิวสีหน้าสุขุมสงบนิ่ง ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวรู้จักกันผิวเผินจริงๆ แม่ทัพภาคหนิวจะต่อว่าผู้บัญชาการใหญ่เพราะข้าได้ยังไงล่ะ”
ใครจะคิดว่าพอเพิ่งจะพูดคำนี้จบ ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดดุจสายฟ้าฟาดดังมา “หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคกองมังกรดำของทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่นำกำลังพลมาที่นี่แล้ว รีบเปิดประตู!”
บทที่ 1544 ไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบั...
เมื่อได้ยินเสียงนี้ พวกเย่อี้ก็สั่นไปทั้งตัวและหัวใจ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน หวาดกลัวจนตับสั่นอย่างแท้จริง ต่างก็ฟังออกถึงความเดือดดาลในเสียงของใครบางคน
“หนิวโหย่วเต๋อ…” ผู้ที่รับหน้าที่สอบสวนพึมพำ บนหน้าผากมีเหงื่อกาฬไหลซึมในชั่วพริบตาเดียว มองไปที่อวิ๋นจือชิวด้วยแววตาสิ้นหวังเล็กน้อย
เย่อี้กลืนน้ำลายด้วยความคอแห้ง รู้สึกปากคอขื่นขม ขณะที่มองอวิ๋นจือชิว เดิมทีเขาเตรียมตัวไว้ว่าถ้าเจรจาไม่ลงตัวก็จะหนีทันที นึกไม่ถึงว่าจะสายไปแล้ว เจ้าบ้านั่นพาคนมาถึงตลาดสวรรค์แล้วจริงๆ!
ก่อนจะเกิดเรื่องเขายังหาข้ออ้างหนีไปได้สะดวกหน่อย แต่พอเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ จะให้ทิ้งตลาดสวรรค์เอาไว้โดยไม่สนงั้นเหรอ?
ในใจเขาแอบสาบานเลย ว่าถ้าวันนี้สามารถผ่านเคราะห์นี้ไปได้ ในภายหลังถ้าเจอผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งโสดทั้งร่ำรวย เขาก็จะไม่แตะต้องเด็ดขาด ไม่ใช่ว่ามีเรื่องกับผู้หญิงประเภทนี้ไม่ไหว แต่เป็นเพราะใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังคนที่นอนกับผู้หญิงคนนี้เป็นใคร นั่นต่างหากคือคนที่มีเรื่องด้วยไม่ไหวจริงๆ
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดอวิ๋นจือชิวยังตกใจมาก สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน ในใจแอบด่าอย่างบ้าคลั่ง ว่าเจ้าเวรนั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่ ถ้าข้าไม่มีความสามารถจะปกป้องตัวเองเลยสักนิด แล้วจะเข้ามาในนี้ได้เหรอ?
นางไม่กลัวเลยว่าเข้ามาในนี้แล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานของนางก็ไม่ได้อ่อนด้อย ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลแล้วต่อสู้กันขึ้นมา นางก็กล้ารับประกันได้เลยว่าในตำหนักคุ้มเมืองนี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้นาง ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายนางยังมียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคอยปกป้องด้วย!
ก่อนหน้านี้นางได้ข่าวมาจากข้างนอกแล้ว รู้ว่าเหมียวอี้ทำศึกใหญ่กับน่านฟ้าระกาติงอีกแล้ว และได้รับข้อความถามเรื่องตำหนักคุ้มเมืองจากเหมียวอี้เช่นกัน นางรับประกันกับเหมียวอี้แล้วว่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน บอกเหมียวอี้ว่าอย่าทำซี้ซั้ว แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยังมาอีก!
นางไม่รู้จริงๆ ว่าคนนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างเหมียวอี้จะทำเรื่องบ้าบิ่นอะไรอีก เรื่องที่ก่อไว้ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้ชำระกับเหมียวอี้เลย ตอนนี้จะเอาอีกแล้วเหรอ!
แต่เวลาเหมียวอี้เป็นบ้าขึ้นมา นางก็เกลี้ยกล่อมไม่ไหวเลย โดยเฉพาะในครั้งนี้ เหมียวอี้ไม่ได้เชื่อฟังนางเลยสักนิด ทั้งยังบอกนางอีกว่าไม่ต้องยุ่งอะไรทั้งนั้น
แต่นางก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะปล่อยให้เหมียวอี้ทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงมีสักวันที่เหมียวอี้จะมีอันตรายถึงชีวิต กลับไปต่อให้ต้องทะเลาะตบตีกับเหมียวอี้ ต่อให้ต้องโวยวายใส่อารมณ์กับเหมียวอี้ แต่นางก็จะไม่ส่งเสริมให้ท้ายแน่นอน
“เถ้าแก่เนี้ย ตอนนี้ท่านยังไม่ยอมช่วยพูดถึงข้าในทางที่ดีอีกเหรอ ? ท่านแม่ทัพภาคหนิวนำคนโจมตีเข้ามาแล้วนะ!” เย่อี้กุมหมัดขอร้องด้วยสีหน้าขมขื่น กลัวจนแทบจะร้องไห้แล้ว
อวิ๋นจือชิวไม่อยากจะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้เลย กลัวว่าจะกลายเป็นภาระถ่วงเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ก่อเรื่องขนาดนี้แล้ว ยังจะปิดบังต่อไปได้อีกเหรอ? นางเองก็สับสนเหมือนกัน
ในขณะนี้เอง ด้านนอกตำหนักคุ้มเมืองก็มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ราวกับส่งผลกระทบในวงกว้างด้วย
“หนิวโหย่วเต๋อนำคนโจมตีเข้ามาแล้วเหรอ? อย่าบอกนะว่ายังไม่ได้ปิดประตูเมือง?” เย่อี้ตกใจ แล้วตะโกนว่า “ออกไปดูว่ามีเรื่องอะไรกันแน่?”
คนที่อยู่ข้างกายเขายังไม่ทันออกไป ข้างนอกก็มีคนวิ่งเข้ามาแล้ว กุมหมัดคารวะรายงานอย่างร้อนใจว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลหนึ่งหมื่นมาถึงประตูเมืองตะวันออกแล้ว เขาสั่งให้เปิดประตูเมือง! พอกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดสวรรค์ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว ก็ทยอยกันปิดร้านไล่ลูกค้าแล้วซ่อนตัว ตอนนี้ตลาดสวรรค์วุ่นวายไปหมดแล้วขอรับ!”
“เถ้าแก่เนี้ย!” เย่อี้กุมหมัดคารวะ คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็กุมหมัดขอร้องเช่นกัน
แต่จนใจที่ไม่ว่าฝั่งนี้จะขอร้องขนาดไหน แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังไม่ยอมรับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเหมียวอี้ง่ายๆ
ผ่านไปไม่นานนัก รองผู้บัญชาการใหญ่ฟางลี่เหิงก็วิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่สนใจมารยาทระหว่างเจ้านายลูกน้องแล้ว พอเห็นอวิ๋นจือชิวก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบรายงานทันทีว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อปักธูปครึ่งก้านลงพื้นอยู่นอกเมืองแล้ว เขาให้เวลาแค่ธูปครึ่งก้าน ถ้ายังไม่เปิดประตูเมืองให้พวกเขาเข้ามา เขาก็จะ…”
“เจ้ารีบบอกมาสิ นี่มันเวลาไหนแล้ว เขาจะทำอะไร?” เย่อี้ถามอย่างหวาดระแวงกลัว
ฟางลี่เหิงกระทืบเท้าตอบ “เขาบอกว่าหลังจากธูปครึ่งก้านหมด ถ้าประตูเมืองยังไม่เปิด เขาจะล้างเลือดทั้งเมืองแน่นอน!”
ล้างเลือดทั้งเมือง? แบบนี้หมายความว่าจะฆ่าให้หมด จะไม่เหลือไว้แม้กระทั่งสุนัขหรือไก่ไง! แต่ละคนรวมทั้งอวิ๋นจือชิวสูดหายใจอย่างตกตะลึงพร้อมกัน เคยเห็นคนบ้ามาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนบ้าขนาดนี้!
ประเด็นสำคัญก็คือ ไม่มีใครคิดว่าเหมียวอี้แค่มาขู่เฉยๆ แต่เจ้าบ้านั่นมันทำแบบนี้แน่นอน!
ขนาดอวิ๋นจือชิวยังแน่ใจเลยว่าเหมียวอี้จะทำอย่างนี้จริงๆ ตอนนางอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนก็เคเห็นมากับตาแล้วว่าเหมียวอี้สังหารจนหัวคนกลิ้งเกลื่อน เลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ
“ล้างเลือดทั้งเมือง?” เย่อี้ตกใจจนถอยหลังก้าวหนึ่ง “เขาพูดแบบนี้จริงเหรอ?”
ฟางลี่เหิงออกแรงพยักหน้า “ต่อหน้าฝูงชน เขาประกาศเลย พวกพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ข้างประตูเมืองตะวันออกตกใจจนไม่กล้าอยู่ต่อแล้ว นายท่าน รีบติดต่อเบื้องบนเถอะ ให้ทางกองทัพองครักษ์ห้ามเขา!”
ถึงแม้เย่อี้จะติดต่อไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังรีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่ออีกครั้งด้วยความหวัง
อวิ๋นจือชิวได้แต่ก้มหน้ากัดริมฝีปากอยู่อย่างนั้น
ในดาราจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล ทูตตรวจการขวาเกาก้วนนำคนกลุ่มหนึ่งเร่งเหาะเดินทาง ท่านโหวเซวียนหยวนนำคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในนั้นด้วย ในบรรดาสมาชิกที่ติดตามยังมีหัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินแห่งทัพเป่ยโต้วและพวกลูกน้อง
อวี่จ้งเจินมารวมตัวกับพวกเขากลางทาง เกาก้วนได้รับคำสั่งให้มาสืบคดีที่น่านฟ้าระกาติง ทว่าอำนาจพิเศษของเกาก้วนมีขีดจำกัดที่กองทัพองครักษ์ เขาไม่มีอำนาจไปสืบสวนคนในกองทัพสายตรงของราชันสวรรค์ได้ จำเป็นต้องให้กองทัพองครักษ์ให้ความร่วมมือ และเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ กองทัพองครักษ์ก็ไม่มีทางนิ่งดูดายได้ จะต้องเข้าร่วมสืบสวนด้วย
ตอนนี้ในใจอวี่จ้งเจินอยากจะด่าแม่แล้ว ตอนที่ได้รับรายงานมาจากเบื้องบน เขาถึงได้รู้ว่าคดีใหญ่ในครั้งนี้ยังมีผู้หญิงเกี่ยวข้องด้วยคนหนึ่ง มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นหญิงชู้ของหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจกระจ่าง ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อตะวางกับดักล่อให้ฉู่จื่อซานวิ่งเข้าไป สารเลว! ไม่น่าเชื่อว่าจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพราะผู้หญิงคนเดียว!
ทว่าท่าทีของกองทัพองครักษ์ก็ซับซ้อนไปหน่อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวก ตามหลักการแล้วควรจะให้ผู้บังคับบัญชาสายตรงของเหมียวอี้หลบไปสิ แต่กองทัพองครักษ์ดันส่งอวี่จ้งเจินมาเข้าร่วมการสืบคดีนี้ อวี่จ้งเจินไม่ได้โง่ ย่อมเข้าใจอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลก็คือ เขาดันสั่งให้หนิวโหย่วเต๋อนำคนไปที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน แล้วผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ที่นั่นด้วย หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องนะ
ใครจะคิดละว่าสิ่งที่กลัวมักจะมาเยือน ขณะที่กำลังเร่งเหาะด้วยความเร็ว ก็มีเบื้องบนส่งข่าวมาหา บอกอย่างร้อนรนว่าผู้หญิงคนนั้นตกอยู่ในมือตำหนักคุ้มเมืองแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไปก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน!
ดังนั้นที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนในตอนนี้ เหมียวอี้จึงหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง หัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้วส่งข่าวมาแล้ว ถามว่า : หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอยู่ที่ไหน?
เหมียวอี้ตอบว่า : มาถึงนอกเมืองตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนแล้ว ทหารยามตลาดสวรรค์ปฏิเสธไม่ให้พวกเขาเข้าเมือง
อวี่จ้งเจิน : ห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด ตั้งค่ายที่นอกเมือง!
เหมียวอี้ตอบว่า : กำลังพลของข้าบาดเจ็บสาหัส มีพี่น้องจำนวนมากที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย จะรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือในเมือง นายท่านอยากจะให้ข้าน้อยทิ้งลูกน้องที่เพิ่งรอดชีวิตจากการเข่นฆ่าเหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ข้าน้อยก็จะฟังคำสั่ง แต่ถ้าวันนี้เข้าเมืองไม่ได้ ข้าน้อยก็ไม่มีทางให้คำอธิบายกับพวกพี่น้องได้เลย ข้าน้อยก็ขอลาออกจากหน่วยองครักษ์ซ้าย!
ฉิบหายแล้ว! พูดจริงหรือพูดเล่น? อวี่จ้งเจินลำบากใจ ถ้าปล่อยให้ข่าวที่เขาไม่สนใจความเป็นความตายของลูกน้องแพร่ออกไป…เขารีบสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาติดต่อสายลับที่เป็นลูกน้องของเหมียวอี้ เพื่อยืนยันว่ามีพี่น้องจำนวนมากที่ชีวิตตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า
ตอนที่เหมียวอี้รอคำตอบจากอวี่จ้งเจิน ก็หันหน้าช้าๆ กลับมา เห็นในกลุ่มคนข้างหลังมีลูกน้องคนหนึ่งหยิบระฆังดาราออกมา
คนคนนั้นก็เห็นเขาเช่นกัน เหมียวอี้จึงแอบถ่ายทอดเสียงบอกอะไรบางอย่างไป
ไม่ผิดหรอก คนคนนั้นคือสายลับที่เบื้องบนส่งมาไว้ข้างล่าง หลังจากได้ยินคำสั่งของเหมียวอี้แล้ว คนคนนั้นก็พยักหน้าเงียบๆ แล้วบอกตามที่เหมียวอี้สั่งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ดังนั้นแค่คิดก็รู้แล้วว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร
หนึ่งคนตอบแบบนี้ อีกสองคนสามคนก็ตอบแบบนี้เหมือนกันหมด
สิ่งที่เรียกว่า ‘ไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอก’ คืออะไรล่ะ? นี่ไงที่เรียกว่า ‘ไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอก’!
อวี่จ้งเจินที่ได้รับคำตอบปวดประสาททันที เตือนเหมียวอี้ว่า : เดี๋ยวข้าจะติดต่อกับทางตลาดสวรรค์ให้ปล่อยพวกเจ้าเข้าไป แต่ข้าจะขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ ว่าห้ามก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์ ทูตตรวจการขวาเกาก้วน ท่านโหวเซวียนหยวนรวมทั้งหน่วยงานของข้ากำลังรีบนำคนไปสอบสวนและลงโทษคดีนี้แล้ว ถ้าเจ้ากล้าก่อเรื่องอีก ไม่ว่าใครก็ปกป้องเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น เกาก้วนเป็นใครเจ้าก็รู้ดี!
เหมียวอี้ตอบว่า : ถ้าข้าน้อยจะก่อเรื่องจริงๆ คงนำคนสังหารเข้าไปแล้ว มีหรือที่จะรออยู่นอกเมืองแล้วติดต่อกับคนของตลาดสวรรค์นานขนาดนี้? พวกพี่น้องเพิ่งจะเก็บชีวิตกลับมาจากความตาย จากจะเข้าเมืองไปยื้อชีวิตเท่านั้นเอง แต่กลับโดนคนอุดประตูเมืองไม่ยอมให้เข้าไป พวกพี่น้องเดือดดาลตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะข้าน้อยควบคุมไว้ พวกเขาคงโจมตีเมืองเข้าไปตั้งนานแล้ว!
อวี่จ้งเจิน : อย่านึกว่าข้าไม่รู้เรื่องของเจ้ากับผู้หญิงคนนั้นนะ ข้าให้ความสำคัญเจ้ามาตลอด ถึงได้ปิดตาข้างหนึ่งเปิดตาข้างหนึ่ง อย่าทำให้ข้าลำบากใจ เดี๋ยวข้าจะหาทางปกป้องเจ้าเอง! เอาเป็นว่าอย่าก่อเรื่องแล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!
หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ
แต่อวี่จ้งเจินก็ไม่ใช่ไก่อ่อน เหลือแผนสำรองเอาไว้ป้องกันเช่นกัน มู่อวี่เหลียนได้รับคำสั่งจากอวี่จ้งเจินในทันที ว่าถ้าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องเมื่อไร ก็ให้ประกาศคำสั่งของอวี่จ้งเจินทันที ให้อำนาจในการบัญชาการกองมังกรดำกับนาง ให้ควบคุมกองทัพไม่ให้ก่อเรื่อง ถ้าถึงเวลาจำเป็นก็ให้จัดการหนิวโหย่วเต๋อได้เลย!
ใครจะคิดว่ามู่อวี่เหลียนจะหันกลับมาแล้วเดินมาข้างกายเหมียวอี้ ถ่ายทอดคำสั่งลับของอวี่จ้งเจินให้ฟัง
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว จากนั้นเหล่ตามองก้านธูปที่ปักบนดิน ตอนนี้เผาไหม้ไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว
ตอนนี้กองทัพนี้ฟังคำสั่งเขาคนเดียวเท่านั้น ใครก็ขัดขวางเจตจำนงในการเข้าเมืองของเขาไม่ได้!
ในตำหนักคุ้มเมือง ไม่นานเย่อี้ก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนแล้ว บอกให้รู้ถึงท่าทีของกองทัพองครักษ์ ฝ่ายกองทัพองครักษ์บอกว่าชีวิตของพวกลูกน้องกำลังตกอยู่ในอันตราย ต้องเข้าเมืองไปยื้อชีวิตอย่างเร่งด่วน กองทัพองครักษ์รับรองว่าลูกน้องจะไม่ก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์
เย่อี้ร้อนรนแล้ว ถามว่า : หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนนำทัพ มีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าบ้านั่นทำไม่ได้ จะรับประกันได้ยังไง?
แม่ทัพภาคตอบว่า : จะปล่อยเข้าเมืองหรือไม่ปล่อยเข้าเมือง เจ้าก็ดูสถานการณ์แล้วตัดสินใจเอาเองแลวกัน!
เย่อี้เหม่อไปเลย ตอนนี้เข้าใจแล้ว ในเมื่อเบื้องบนได้รับการยืนยันจากกองทัพองครักษ์แล้ว ต่อให้ที่ตลาดสวรรค์จะเกิดเรื่องขึ้น แต่เบื้องบนก็ไม่ต้องรับผิดชอบอยู่ดี แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนี้เบื้องบนก็หมดหนทางเช่นกัน อยู่ไกลขนาดนี้จึงดูแลไม่ไหว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อจะทำซี้ซั้วจริงๆ เบื้องบนก็ควบคุมไม่ได้ เรื่องที่เย่อี้ก่อขึ้น เย่อี้ก็มีแต่ต้องแบกรับไว้เอง
หลังจากเก็บระฆังดารา เย่อี้ก็หันตัวไปมองอวิ๋นจือชิว แล้วกล่าวอย่างเศร้าใจ “เถ้าแก่เนี้ย ท่านอาจจะไม่แยแสความเป็นความตายของข้า แต่ท่านจะไม่แยแสความเป็นความตายของหนิวโหย่วเต๋อเชียวเหรอ? ท่านเคยคิดรึเปล่าว่าถ้าหนิวโหย่วเต๋อล้างเลือดทั้งเมือง ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”
ขอร้องไปนานขนาดนี้ ในที่สุดก็พูดตรงจุดเสียที อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปากแน่น แล้วสุดท้ายก็ยอมบอกว่า “ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวรู้จักกันผิวเผินจริงๆ แต่ข้าจะลองดูก็ได้ ส่วนเขาจะเชื่อฟังข้าหรือเปล่า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันนะ”
เย่อี้ดีใจมาก ถ้าหนิวโหย่วเต๋อสามารถทำตัวบ้าบิ่นขนาดนี้เพราะนางได้ มีหรือที่จะไม่เชื่อฟังนาง ขอเพียงนางยอมเอ่ยปาก เรื่องนี้ก็จัดการสะดวกแล้ว เขาจึงกุมหมัดคารวะขอบคุณซ้ำๆ แล้วรีบยื่นมือเชิญ “ใกล้จะหมดเวลาธูปครึ่งก้านแล้ว เถ้าแก่เนี้ย ได้โปรดเร่งมือ!”
บทที่ 1545 ดำเนินการตามช่วงเวลาสงคราม!
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าแล้วย้ายฝีเท้า เย่อี้เร่งเชิญตลอดทาง เร่งจนนางจำต้องเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้น ในใจนางก็ร้อนรนเช่นกัน ในมือหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอก
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองเพิ่งจะได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิวได้ไม่นาน ก็เห็นอวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ เหาะจากตำหนักคุ้มเมืองไปทางประตูเมืองตะวันออกแล้ว เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร พวกเขาก็วางใจแล้ว และรีบวิ่งออกไปทางประตูเมืองตะวันออกเช่นกัน
ถึงแม้พวกเขาจะเหาะที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ ทว่าวันนี้ตลาดสวรรค์โล่งมาก ร่ายอิทธิฤทธิ์วิ่งเร็วๆ ก็ไม่มีอะไรกั้นขวาง
ด้านนอกเมือง เหมียวอี้เหล่ตามองควันธูปกลุ่มสุดท้ายบนปลายธูปครึ่งก้านที่ปักอยู่บนดิน ที่กำลังพลหนึ่งหมื่นข้างหลังมีเสียงอาวุธกระทบกัน ทั้งหมดถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไว้ในมือ ลูกธนูดาวตกง้างอยู่บนสายแล้ว กำลังเล็งไปทางประตูเมือง ชั่วพริบตาเดียวกลิ่นหายสังหารก็อบอวล
เอาจริงเหรอ? ทหารยามบนกำแพงเมืองตกใจจนตัวสั่น แต่ละคนจ้องมือที่ยกขึ้นของเหมียวอี้ ต่างก็รู้ว่าถ้าสับมือข้างนี้ลงเมื่อไร ก็จะเป็นเวลาที่ลูกธนูหนึ่งหมื่นยิงออกมาพร้อมกัน
“เจ้าหมอนี่มันบ้าจริงๆ!” จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ในตึกพูดแขวะ
เพิ่งจะพูดคำนี้จบ บรรดาคนที่อยู่ในตึกบนกำแพงเมืองก็ยื่นหน้าออกมาเล็กน้อย มองไปทางเย่อี้กับอวิ๋นจือชิวที่เหาะลงมาเหยียบบนกำแพงเมือง
เหมียวอี้ที่อยู่นอกเมืองเงยหน้ามองขึ้นมา เขาเห็นอวิ๋นจือชิวแล้ว นางก็เห็นเขาเช่นกัน ดวงตาทั้งสี่กำลังสบประสานกัน
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร แน่ใจแล้วว่านางไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ไม่ได้แกล้งหลอกให้เขาสบายใจ ในที่สุดก้อนหินที่อยู่ในใจเหมียวอี้ก็ถูกวางลงแล้ว ฝ่ามือที่ชูขึ้นถูกสะบัดไปด้านข้าง ธนูข้างหลังที่เตรียมยิงถูกวางลงอีกครั้ง
ชั่วพริบตานั้น สายตาของทุกคนบนกำแพงเมืองไปรวมอยู่บนตัวอวิ๋นจือชิวแล้ว
เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว สถานการณ์ที่กำลังจะเดือดก็ถูกควบคุมไว้ทันที ต่อให้จะไม่รู้จักกันแต่ก็พอจะเดาได้แล้วว่านางเป็นใคร
ผู้หญิงสี่คนที่สวมหมวกมุ้งมองไปที่ความเคลื่อนไหวด้านล่างกำแพงเมืองพร้อมกัน แล้วก็มองไปที่อวิ๋นจือชิว ในดวงตาฉายแววอิจฉาอย่างควบคุมไม่อยู่
ด้านล่างกำแพงเมืองมีกำลังพลมากมายขนาดนั้น ลักษณะท่าทางดุดันขนาดนั้น ทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองตกใจจนหน้าถอดสีแล้ว คนในตลาดสวรรค์ก็ตกใจจนวุ่นวายไปหมด แต่เพียงแค่ผู้หญิงคนนี้โผล่หน้ามา ก็ระงับเปลวเพลิงอันดุร้ายของทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์ที่อยู่นอกกำแพงเมืองได้แทบจะในทันที
ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่โผล่หน้ามายืนเท่านั้นเอง แค่นี้ก็ทำให้คลื่นคลั่งที่เตรียมโจมตีหยุดนิ่งแล้ว!
อะไรที่เรียกว่ามีหน้ามีตาล่ะ? นี่ไงที่เรียกว่ามีหน้ามีหน้าอย่างแท้จริง!
จู่ๆ ผู้หญิงทั้งสี่คนก็รู้สึกว่าความมีหน้ามีตาอันเกิดจากภูมิหลังวงศ์ตระกูลของตัวเองช่างอ่อนแอนักเมื่อมาอยู่บนสนามการต่อสู้ที่แท้จริง ค้นพบว่าเกียรติอันจอมปลอมที่มีมาก่อนหน้านี้เทียบกับฉากที่เห็นในวันนี้ไม่ติด ความมีหน้ามีหน้าแบบนี้ แม้แต่ฐานะตำแหน่งอย่างพวกนางก็สัมผัสไม่ได้เช่นกัน
เม่ยเหนียงที่อยู่หลังม่านหมวกสีหน้าแย่มาก สายตาจ้องมองอวิ๋นจือชิวไม่ละไปไหน ราวกับอวิ๋นจือชิวได้แย่งอะไรบางอย่างไปจากนาง นางถ่ายทอดเสียงถามโกวเยว่ว่า “ผู้หญิงคนนี้คือแม่หม้ายคนนั้นเหรอ?”
“น่าจะใช่ขอรับ” โกวเยว่ตอบ
เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “หน้าตาก็งั้นๆ ทั้งยังเป็นแม่หม้ายอีก หนิวโหย่วเต๋อไปชอบผู้หญิงประเภทนี้ได้ยังไง”
โกวเยว่พูดไม่ออก เรื่องหน้าตาความสวย จะให้เขาพูดอย่างไรดีล่ะ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หน้าตาธรรมดาเหมือนกัน แต่เมื่อเจ้าเห็นอีกฝ่ายเจ้าก็ต้องซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่ายอยู่ดี ฮูหยินที่ล่วงลับไปแล้วก็ไม่ได้สวยเท่าเจ้าหรอก แต่ถ้าฮูหยินยังอยู่ คิดว่าเจ้าจะได้มีวันนี้เหรอ?
ในบรรดาผู้หญิงทั้งสี่คน โค่วเหวินลวี่หันกลับมาถามอย่างเปิดเผยว่า “เหวินหลาน ผู้หญิงคนนี้คืออวิ๋นจือชิวเหรอ?”
สายตาของทุกคนมองไปยังโค่วเหวินหลานที่ปลอมใบหน้าแล้ว โค่วเหวินหลานหัวเราะเจื่อนๆ แล้วพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้ว เป็นนาง!”
ทุกคนหันไปมองประเมินอวิ๋นจือชิวอีกครั้ง เหมือนกำลังมองหาว่าบนตัวอวิ๋นจือชิวมีข้อดีอะไร แต่น่าเสียดายที่ไม่เห็นหน้าตรงๆ
เมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างล่างวางธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เย่อี้ก็โล่งอกมาก สงสัยจะทำถูกแล้วที่ดึงตัวผู้หญิงคนนี้มา
ถึงแม้จะรู้ว่าเหมียวอี้ทำเพื่อนาง การที่เหมียวอี้ทำตัวบ้าบิ่นแบบนี้ เดิมทีก็ทำให้นางโมโหมาก แต่พอขึ้นมาอยู่บนกำแพงเมือง พอเห็นภาพเหตุการณ์ข้างล่างเพียงปราดเดียว ทั้งร่างกายและจิตใจก็เหมือนถูกแช่แข็งทันที
ธงรบหลายต้นที่ปลิวสะบัดขาดรุ่ยอยู่ท่ามกลางสายลมหลังจากอาบน้ำเลือดมา นักรบแต่ละคนที่อยู่ใต้ธงมีสภาพสะบักสะบอมราวกับปีนขึ้นมาจากภูเขาศพทะเลเลือด แต่ละคนมีเลือดเปื้อนเกราะรบ มีคนจำนวนไม่น้อยที่แขนขาดขาขาด บนตัวมีรอยบาดแผลเลือดทะลุเกราะรบ บนตัวบางคนมีสองรอย บนตัวบางคนมีรอยนับไม่ถ้วน ถึงขั้นมีรอยบาดแผลเป็นสิบรอยด้วยซ้ำ ยืนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งอยู่ข้างล่างอย่างไม่ยอมศิโรราบ ไม่เห็นใครที่ไม่บาดเจ็บเลย บนใบหน้าของพวกเขามีคราบน้ำตาปนกับคราบเลือดด้วย แค่เห็นแวบเดียวก็จินตนาการออกแล้วว่าผ่านการต่อสู้เข่นฆ่าที่ดุเดือดขนาดไหน ไม่รู้ว่ารอดชีวิตมาได้อย่างไร
กลิ่นอายที่ทั้งเศร้าสลดทั้งเร้าใจโผเข้ามาตรงหน้า ซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณคน
จากนั้นก็มองดูเหมียวอี้ที่อยู่หน้ากระบวนทัพ ถึงแม้บนเกราะรบจะมีรอยเลือดไม่เยอะ บนใบหน้าก็ไม่ได้เละไปด้วยเลือด แต่รอยเลือดที่สาดกระเด็นใส่บนใบหน้าสะดุดตาขนาดนั้น ทำให้นางหัวใจกระตุกวูบทันที
คำพร่ำบ่นที่นางมีต่อเหมียวอี้ในตอนแรก เดิมทีนางกะว่ากลับไปจะไปโวยวายเหมียวอี้ แต่ในตอนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะนำทัพที่สะบักสะบอมตามมาที่นี่ทันทีหลังจากรู้ว่านางโดนขังอยู่ในตำหนักคุ้มเมือง การกล่าวโทษหรือการพร่ำบ่นอะไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีแล้ว
นางยืนอยู่บนกำแพงเมืองและมองเหมียวอี้อย่างเหม่อลอย หัวใจแตกสลายแล้ว! หัวใจแตกสลายแล้ว!
ในดวงตางามดูฉ่ำน้ำขณะที่กัดริมฝีปากแน่น นางถามตัวเองจากใจ ว่าตัวเองมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรถึงได้หาสามีแบบนี้ได้ ทั้งชีวิตนี้ยังจะมีอะไรไม่พอใจอีก ยังจะมีอะไรต้องบ่นอีก แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยดูแลนางขาดตกบกพร่องเลย
“เถ้าแก่เนี้ย…เถ้าแก่เนี้ย…” เย่อี้กำลังแอบเร่งเตือนอยู่ข้างๆ แต่ในตอนนี้อวิ๋นจือชิวตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
ฉึบ! เหมียวอี้ดึงทวนเกล็ดย้อนที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วโบกมือชี้ไป “ธูปครึ่งก้านหมดแล้ว ประตูเมืองยังไม่เปิดอีก!”
เย่อี้กุมหมัดคารวะพร้อมรอยยิ้ม “พี่หนิวสบายดีมั้ย ไม่ได้เจอกันหลายปี นึกไม่ถึงว่าพี่หนิวจะยังสง่างามเหมือนเดิม!”
เหมียวอี้กลับงงกับคำพูดของเขา รู้จักกันเหรอ? นึกไม่ออก จึงแสยะยิ้มถามว่า “ขออภัยที่ข้าสายตาไม่ดี เจ้าเป็นใคร?”
เย่อี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “พี่หนิวช่างเป็นชนชั้นสูงที่ลืมเรื่องราวต่างๆ ได้ง่าย เราเคยเจอกันมาก่อนที่การทดสอบแดนอเวจีไง ข้าน้อยเย่อี้ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน!” เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่ล้อมโจมตี เขาอยากจะทำให้ผ่อนคลายก็เท่านั้นเอง
เหมียวอี้ไม่เปลืองคำพูดกับเขา “เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นหนิวพูดจริงทำจริง เมื่อถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เมื่อใช้วิธีตีสนิทไม่สำเร็จ เย่อี้ก็เลยเก้อเขิน เอียงหน้าถามอวิ๋นจือชิวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “เถ้าแก่เนี้ย ท่านคิดว่ายังไง?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ
เย่อี้ที่ขอความเห็นอวิ๋นจือชิวแล้วตะโกนสั่งทันทีว่า “เปิดประตูเมือง!”
ประตูเมืองด้านล่างพลันเปิดออก เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือนำกำลังพลเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เย่อี้เชิญอวิ๋นจือชิวลงไปต้อนรับด้วยกัน แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่อยากเจอกับเหมียวอี้ท่ามกลางฝูงชน จึงปฏิเสธแล้ว เย่อี้ทำได้เพียงนำคนลงไปเอง
กลุ่มคนในตึกเดินไปที่ริมหน้าต่างและมองเข้ามาในเมืองทันที เห็นเหมียวอี้นำคนเข้ามาเจอกับเย่อี้
เหมียวอี้เห็นอวิ๋นจือชิวไม่ได้ลงมา จึงหันกลับไปมองบนกำแพง
เย่อี้กุมหมัดคารวะต่อหน้า “พี่หนิว ไม่ทราบว่ามีอไรให้ช่วยมั้ย?”
กล้าจับผู้หญิงของข้าเหรอ! เหมียวอี้หันหน้ามา ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเขา จ้องจนเขาแอบขนลุก พอเอ่ยปากก็ไม่ได้พูดอะไรดีๆ เลย “ข้าตำแหน่งสูงกว่าเจ้า เห็นข้าแล้วทำไมไม่ทำความเคารพ! พวกไม่รู้จักธรรมเนียม วันนี้ข้าจะสอนเจ้าว่าธรรมเนียมคืออะไร!” ตุ้บ! จู่ๆ ก็เตะหนึ่งที เย่อี้ที่โดนเตะจนทำอะไรไม่ถูกตัวกระเด็นออกไปแล้ว กระเด็นไปตกไกลสิบกว่าจั้งแล้วเริ่มกระอักเลือด
ชวิ้ง! ลูกน้องคนสนิทสองคนของเย่อี้รีบชักอาวุธออกมาเตรียมป้องกันทันที
ใครจะคิดว่าการชักอาวุธต่อหน้าเหมียวอี้จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นทันที คนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ไม่สนใจว่าพวกเขาแค่เตรียมป้องกันตัวหรือจะโจมตีเหมียวอี้ นักพรตบงกชรุ้งสองคนรีบถลันตัวออกมาป้องกันไว้ดีกว่าแก้ แสงสะท้อนคมดาบแวบผ่านสองที ลงดาบฟันจนเกิดเสียงกรีดร้องสองครั้ง ทั้งคนทั้งเกราะรบขาดแยกจากกันเป็นสองท่อน ตับไตไส้พุงไหลกองพื้น อนาถจนทนมองไม่ได้
พอเข้าเมืองมาก็เจอกลิ่นคาวเลือดแบบนี้แล้ว สี่สาวที่อยู่ในตึกเห็นฉากนองเลือดแบบนี้ไม่บ่อย พวกนางเอียงหน้าหนีเล็กน้อย ไม่กล้ามองเยอะ
ถังเฮ่อเหนียนและคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก คิดในใจว่าถ้าราชันสวรรค์ไม่จับคนพวกนี้แยกออกจากกันก็แปลกแล้ว!
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง อวิ๋นจือชิวก็ตกใจจนวิ่งมาดูที่กำแพงฝั่งนี้เช่นกัน
บนถนนกว้างโล่งที่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ไกล เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ ตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่านายท่านจะตกอยู่ในสภาพนี้ ดีใจที่พอนายท่านมาถึงก็ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
ทหารยามตลาดสวรรค์ที่อยู่สองด้านก็ถูกลูกธนูดาวตกหลายดอกชี้มาหาเช่นกัน ตกใจจนรีบวางอาวุธลง อาวุธตกลงพื้นแล้ว
เหมียวอี้ชำเลืองมองเย่อี้ที่ลุกขึ้นยืนโซเซ แล้วกล่าวเสียงเรียงว่า “ควบคุมตัวไว้ก่อน!”
คนที่อยู่ข้างหลังพุ่งเข้ามาทันที มัดเย่อี้ไว้อย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้หันตัวเดินไปด้านข้าง เดินขึ้นบันไดขึ้นไปกำแพงเมือง ขณะที่เดินก็ออกคำสั่งเสียงดังด้วยว่า “น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอยู่ในเขตน่านฟ้าระกาติง ทั้งยังชักช้าไม่ยอมเปิดประตูสักที แม่ทัพภาคคนนี้สงสัยว่าในนั้นจะมีเจตนาแอบแฝง ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ทุกอย่างดำเนินการตามช่วงเวลาสงคราม! ส่งกำลังพลห้าร้อยไปเฝ้าไว้ที่ประตูเมืองทั้งสี่ ปิดประตูเมือง ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้าก็ห้ามใครเข้าออก กำลังพลของข้าจะรับช่วงต่อเฝ้าตลาดสวรรค์ตอนนี้ ทหารที่นี่ฟังคำระดมกำลังจากข้า ถ้าทหารคนไหนขัดคำสั่ง ก็ดำเนินการตามช่วงเวลาสงคราม ฆ่าไม่ละเว้น! สั่งร้านค้าทั้งเมืองเดี๋ยวนี้ ให้นำยารักษาบาดแผลไปรักษาทหารที่เฝ้าเมือง ผู้ที่ให้ความร่วมมือจะให้รางวัล ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าร่วมมือกับศัตรู จะถูกประหารทันที! ไปปฏิบัติตามเดี๋ยวนี้ ห้ามชักช้า!”
“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนกุมหมัดรับบัญชา แล้วรีบรวบรวมกำลังพล กำลังสามกลุ่มเหาะไปยังประตูเมืองอีกสามแห่งเพื่อรับช่วงเฝ้าเมืองต่ออย่างรวดเร็ว ส่วนกำลังพลอีกกลุ่มก็ขับไล่ให้กำลังพลตลาดสวรรค์ที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในพื้นที่มานำทาง
กลุ่มสาวๆ ที่อยู่บนตึกฟังแล้วก็รู้สึกว่าคำสั่งทหารนี้ไม่ไร้เหตุผลเช่นกัน มีหลักฐานและเหตุผล มีกฎเกณฑ์ชัดเจนมาก เพราะอยู่ในช่วงสงคราม การเพิ่มการป้องกันเป็นสิ่งที่ควรทำ ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันเมืองได้รับบาดเจ็บก็ย่อมต้องได้รับเยียวยารักษาให้หาย ถึงจะมีแรงมาปกป้องคุ้มครองเมือง
แต่พอพวกถังเฮ่อเหนียนได้ฟังแล้วหนังตากระตุก น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏอะไรกัน ชัดเจนว่านี่คือข้ออ้างในการรับช่วงต่อดูแลตลาดสวรรค์และควบคุมตลาดสวรรค์ สิ่งที่เรียกว่ามอบยารักษาบาดแผลคืออะไรกัน คนไม่ให้ความร่วมมือจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอะไรกัน ทำไมฟังดูเหมือนจะล้างเลือดร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ล่ะ?
โค่วเหวินหลานออกจากหน้าต่าง อยากจะออกไปทักทายเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าถังเฮ่อเหนียนกลับดึงแขนเขาไว้ แล้วส่ายหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าอย่าเพิ่งเข้าไปเกี่ยวข้อง
บนกำแพงเมือง เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นจือชิว แล้วถามพร้อมยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรใช่มั้ย!”
อวิ๋นจือชิวชี้ที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว บอกให้รู้ว่าไม่เป็นอะไร
เหมียวอี้ยื่นมือไปจับมือนาง อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองทางซ้ายและขวา แล้วหดมือขัดขืน แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ประกบจูบบนริมฝีปากงามของนางต่อหน้าฝูงชน
บทที่ 1546 ประกาศให้รู้
กลิ่นคาวเลือดบนตัวอีกฝ่ายโผเข้าจมูก อวิ๋นจือชิวตกอยู่ในความตกตะลึงประหลาดใจ จากนั้นก็เบิกตากว้างอีก พอนึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน การทำแบบนี้ไม่เท่ากับเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองที่พิภพใหญ่จนหมดเปลือกหรอกเหรอ
พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองแอบไปมาหาสู่กับคนของลัทธิมาร ถ้าทำให้เหมียวอี้ลำบากไปด้วยล่ะ ไม่ได้แล้ว!
อวิ๋นจือชิวพยายามดิ้นรนสุดชีวิตทันที ทว่าตอนนี้วรยุทธ์ของนางไม่สูงเท่าเหมียวอี้ ไม่มีทางดิ้นรนให้หลุดพ้นได้เลย
“แบบนี้มีอย่างที่ไหน? โกวเยว่และคนอื่นๆ กำลังมองอย่างตะลึงงัน ตัวเองพาลูกสาวหลานสาวของจวนท่านอ๋องมาแล้ว แต่กลับได้เห็นฉากนี้ นี่มันใช่เรื่องเหรอ?
เม่ยเหนียงที่สวมหมวกมุ้งปิดบังใบหน้ากำลังหน้าดำคร่ำเครียด ทนรับความรู้สึกนี้ไม่ไหว!
กลับเป็นหญิงสาวหลายคนที่ในสีหน้าตกตะลึงเผยความอิจฉาให้เห็นรางๆ ถ้าสักวันหนึ่งมีผู้ชายสักคนทำแบบนี้กับตนบ้างก็คงดี…
อิ๋งเยว่แอบกัดริมฝีปากขณะจ้องมองฉากที่มีเสน่ห์และอ่อนโยน นี่คือคนที่ครอบครัวบังคับให้แต่งงาน วันนี้เห็นฉากแบบนี้แล้ว ถ้าได้แต่งงานกันจริงๆ จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!
“นางรู้อย่างลึกซึ้ง ว่าตระกูลของนางไม่มีทางถือสาที่หนิวโหย่วเต๋อทำเรื่องแบบนี้ ต่อให้ในภายหลังหนิวโหย่วเต๋อจะแต่งงานรับอนุภรรยาอีกเป็นสิบเป็นร้อยกลับบ้านก็ไม่เป็นไรอยู่ดี ที่สำคัญคือตอนสุดท้ายนางจะต้องกลายเป็นฮูหยินเอกของหนิวโหย่วเต๋อ ประทับตระกูลอิ๋งลงบนร่างกายหนิวโหย่วเต๋อให้ลึกซึ้งก็พอ อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญเลย ส่วนหน้าตาศักดิ์ศรีเล็กน้อยของนาง ตระกูลอิ๋งไม่มีทางเก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว ตระกูลอิ๋งทนได้แม้กระทั่งเรื่องที่ได้รับความอับอายที่อุทยานหลวงด้วยซ้ำ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย
ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเหวินหลานสบตากันอย่างพูดไม่ออก ในที่สุดทั้งสองก็แน่ใจเต็มร้อยแล้ว ว่าผู้หญิงที่หนิวโหย่วเต๋อเรียกว่าเจ้าของหัวใจคือผู้หญิงคนนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ยังลังเลนิดหน่อย เพราะถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็เป็นแม่หม้าย ตอนนี้หมดความสงสัยโดยสิ้นเชิงแล้ว
กำลังพลที่อยู่บนกำแพงมองฉากนี้อย่างประหลาดใจเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ…” เหมียวอี้ที่ดื่มดำเต็มอิ่มแล้วปล่อยอวิ๋นจือชิวที่กำลังดิ้นรน แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าหัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอยู่กับอวิ๋นจือชิวอย่างหลบซ่อนอีก ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก!
อวิ๋นจือชิวที่โดนดูดปากจนหายใจหอบแววตาวูบไหว ยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เหลือทางหนีทีไล่ได้อีกนิดหน่อย นั่นก็คือ…จู่ๆ นางก็โบกฝ่ามือตบหน้าเหมียวอี้อย่างแรง ตงใจจะสร้างสถานการณ์ว่าตัวเองโดนบังคับ
“ทว่าตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้ได้ข่าวว่าฉู่จื่อซานมาเกาะแกะนาง เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว มีหรือที่จะยอมให้นางทำสำเร็จ เขาลงมือเร็วกว่า ออกตัวช้าแต่ถึงก่อน ยกมือคว้าข้อมือนางไว้ในชั่วพริบตาเดียว แล้วก็ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นโน้มตัวรวบต้นขาทั้งสองข้างของนาง อุ้มไว้ในอ้อมกอดตัวเอง แล้วกระโดดไปยืนบนขอบกำแพงเมือง จ้องเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ บนถนนพร้อมตะโกนบอกว่า “”ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าคือผู้หญิงของข้า ยังไม่รีบนำทางอีก!”
บ้าบิ่น! แบบนี้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!
ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงตั้งมากมายเท่าไรตกตะลึงอ้าปากค้าง มองดูเหมียวอี้อุ้มผู้หญิงที่กำลังดิ้นรนอย่างตะลึงงัน
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็อึ้งเช่นกัน กลุ่มคนของลัทธิมารที่อยู่ไกลๆ มองไปทางช่างหิน ถามเป็นนัยว่าต้องลงมือช่วยนางหรือไม่ ช่างหินเพียงส่ายหน้าเบาๆ
หลังจากได้สติกลับมาแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็รีบนำทางทันที เมื่อเหมียวอี้ออกคำสั่งแล้ว พวกนางก็ไม่กล้าชักช้าอีกแล้ว
เหมียวอี้อุ้มอวิ๋นจือชิวเหาะออกจากกำแพงเมืองทันที ตามพวกนางไปแล้ว
“น่าไม่อาย! ปล่อยข้า…” อวิ๋นจือชิวทั้งอับอายทั้งโมโห นางดิ้นรนพลางร้องตะโกน แต่กลับไม่มีทางหลุดพ้นได้
กำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มเล็กๆ เหาะตามเหมียวอี้ไปแล้ว
“ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว!” จั่วเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
ต้วนหงมองพลางส่ายหน้า “เจ้าหมอนี่เป็นบ้าไปแล้วรึไง? ทำแบบนี้ต่อหน้าฝูงชนไม่เท่ากับพิสูจน์ความจริงว่าเขากับฉู่จื่อซานกำลังแย่งผู้หญิงกันเหรอ?”
จั่วเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัด “ยังมีเรื่องอะไรที่เขาไม่กล้าทำอีกเหรอ?”
เม่ยเหนียงก็แทบจะเอ่ยปากด่าออกมาแล้ว แต่จนใจที่ต้องคำนึงถึงฐานะตัวเอง ทำได้เพียงแอบถ่ายทอดเสียงบอกโกวเยว่ “แค่แม่หม้ายคนเดียวก็เอามาเป็นสมบัติล้ำค่าได้ หน้าตาก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ตาบอดหรือไม่เคยเจอผู้หญิงกันแน่?” ในน้ำเสียงเรียกได้ว่าแค้นเคือง
โกวเยว่กลัวว่านางจะทำอะไรตามอารมณ์ จึงรีบถามว่า “หวังเฟยเปลี่ยนความตั้งใจแล้วหรือขอรับ?”
ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเม่ยเหนียงนิ่งชะงักทันที สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะ! ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่มีดีสักคน ต่อให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับเขา แต่ถ้าจะไม่ให้เขาแตะต้องผู้หญิงคนอื่นอีกก็เป็นไปไม่ได้ แต่แม่หม้ายคนนี้มีผลกระทบรุนแรงเกินไป เก็บไว้ไม่ได้!”
“โกวเยว่กลัวที่สุดว่าตอนนี้นางจะแสดงความเจ้าอารมณ์ของผู้หญิงออกมา เมื่อเห็นนางไม่ดึงดันต่อ คำพูดที่นางด่าผูชายรวมทั้งเขาด้วย เขาก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวชมว่า “หวังเฟยคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมอย่างที่คาดไว้! หวังเฟยวางใจได้ ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องจัดการแม่หม้ายคนนี้แน่นอน ไม่ปล่อยให้นางมาทำให้คุณหนูวุ่นวายใจแน่ เพียงแต่คุณหนูได้เห็นเรื่องนี้แล้ว เกรงว่าจะคงจะ…”
เมื่อเห็นเขารับปากแล้วว่าจะกำจัดอวิ๋นจือชิวทิ้ง เม่ยเหนียงก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ล้วนต้องทำตามคำสั่งของพ่อแม่และคำพูดของแม่สื่อ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าย่อมโน้มน้าวนางได้อยู่แล้ว”
อิ๋งเยว่สีหน้าบูดบึ้ง โค่วเหวินลวี่และอีกสามคนมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกว่าครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยว ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ดูละครฉากเด็ดขนาดนี้ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้พิลึกกึกกือเกินไปแล้ว เดี๋ยวกลับไปอยู่ในวงสนทนากับเพื่อนสาวก็จะมีเรื่องพูดแล้ว ทำให้พวกเพื่อนสาวที่ไม่มีโอกาสได้เห็นอิจฉาให้ตายไปเลย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจก่วงเม่ยเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง คำพูดของมารดาที่บอกว่าจะให้นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อได้สร้างผลกระทบให้นางนิดหน่อย อีกทั้งวันนี้ยังได้เห็นกับตาแล้ววจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้แตกต่างกับผู้ชายคนอื่น แตกต่างกับพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยมีอำนาจที่ตนเคยเจอจริงๆ จะพูดอย่างไรดีล่ะ ลูกหลานผู้มีอำนาจพวกนั้นสามารถใช้คำว่า ‘มวลหมู่ดอกไม้สีสันแพรวราว’ มาบรรยายได้ แต่หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กลับเหมือน ‘ต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านแข็งแรง’
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นฉากที่น่าเขินอายนั่นกับตาตัวเอง นางก็พบว่าท่านแม่พูดไว้ไม่มีผิดจริงๆ สามารถทำเพื่อแม่หม้ายคนหนึ่งได้ขนาดนี้ ไม่แยแสพื้นเพชาติกำเนิดเลย เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่ชายตาแลตนจริงๆ
ปั้ง! ประตูตึกบนกำแพงเมืองถูกเปิดออก รวบกวนอารมณ์ความคิดของทุกคนแล้ว ทำให้คนกลุ่มนี้หันขวับมองไป พบว่าคนที่บุกเข้ามาก็คือลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ
“ทหารเลือดท่วมตัวที่นำหน้ามาตะคอกถาม “พวกเจ้าเป็นใคร?”
หานตงยืนขึ้นพร้อมตอบด้วยรอยยิ้ม “เป็นพ่อค้าในเมือง รองผู้บัญชาการใหญ่ฟางลี่เหิงเรียกพวกเรามาคุยธุระ!”
“ทหารคนนั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “”กองทัพองครักษ์รับช่วงต่อเมืองนี้แล้ว ตรงนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของพ่อค้าอย่างพวกเจ้า ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
ไสหัวไป? หานตงแอบปาดเหงื่อในใจ ในใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่กล้าพูดกับบรรดาคนที่อยู่ข้างหลังตัวเองแบบนี้ เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเชิญ
“โกวเยว่ขยับตัวแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ไปกันเถอะ!”
คนกลุ่มหนึ่งทยอยกันออกจากตึกบนกำแพงเมือง พอลงจากกำแพงเมืองแล้ว ก็เดินช้าๆ อยู่บนถนนตลอดทาง ไม่กล้าเหาะเกิน ไม่ใช่ว่าไม่กล้าหรอก แต่ไม่อยากปะทะกับพวกปัญหาอ่อนของกองทัพองครักษ์
มีเสียงฆ้องดังขึ้นหนึ่งครั้ง กำลังพลกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านมาบนถนนตรงหน้า ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของตลาดสวรรค์ หัวแถวและปลายแถวมีคนของกองทัพองครักษ์คุมอยู่ มีคนตะโกนเสียงดังว่า “คนในเมืองฟังไว้ให้ดี ไม่ต้องวิตกกังวล ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าต่างๆ เปิดดำเนินกิจการได้ตามปกติ…”
พวกโกวเยว่ได้ยินแล้วส่ายหน้า คาดว่าคนของร้านค้าต่างๆ คงเก็บของหนีไปหมดแล้ว นี่จะหลอกคนออกมาบริจาคสิ่งของเหรอ?
“พอคนกลุ่มนี้เดินมาถึงทางแยกตรงถนนหลัก ก็ต่างคนต่างกลับร้านของตัวเอง”
“ท่านปู่ถัง พวกเราไปหออวิ๋นฮว๋าเลยมั้ย?” โค่วเหวินหลานที่ตามอยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนถ่ายทอดเสียงถาม
ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้า “ไป! รอให้เขารู้สึกกดดันสักหน่อยก่อน ยื่นฟืนให้ท่ามกลางหิมะดีกว่า!”
หออวิ๋นฮว๋า ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เหมียวอี้เพิ่งจะวางอวิ๋นจือชิวลง อวิ๋นจือชิวก็หันตัวมายืนเท้าเอวด้วยท่าทางดุดันทันที “หนิวเอ้อร์ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!”
“เป็นบ้าเพราะเจ้า ก็ถือว่าคุ้มค่า!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ
อวิ๋นจือชิวที่ดุร้ายเหมือนแม่เสือ พอได้ยินประโยคนี้ก็พูดไม่ออกทันที นางกัดริมฝีปาก น้ำตาคลอเบ้าแดงก่ำ ขณะที่มองรอยเลือดบนตัวเหมียวอี้ นางก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น อยากจะแสร้งทำตัวโมโหแต่ก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่มีทางกลั่นพลังอำนาจตอนโมโหโวยวายออกมาได้ นางกลั้นน้ำตาแล้วบอกว่า “ปากหวานเหมือนทาน้ำผึ้ง ต้องไปทำเรื่องสกปรกอะไรมาแน่นอน”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่เตรียมตัวไว้แล้วว่าฮูหยินจะปรี๊ดแตกโมโหร้าย ตอนนี้อึ้งทันที จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา เอามือปิดปากแอบหัวเราะ
อวิ๋นจือชิวอับอายจนโมโหทันที เข้าไปหยิกพวกนางหลายครั้ง แต่ก็ถูกเหมียวอี้ดึงแขนกลับมาอีก แล้วโอบไว้ในอ้อมกอดพร้อมก้มหน้ามอง “น้องชิว หลายปีมานี้สบายดีมั้ย?”
อวิ๋นจือชิวผลักเขาออก แล้วพูดอย่างรังเกียจว่า “สกปรกจะตาย อย่ามาจับข้า” จากนั้นหันมาตะโกนสั่งเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “มัวยืนเหม่ออะไรกันอยู่ ยังไม่รีบไปเตรียมน้ำร้อนอีก? แล้วก็ไปบอกคนห้องข้างๆ ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก วันๆ เอาแต่เสพสุขอยู่ในห้องตัวเองด้วย” นางหมายถึงเทพธิดาหงเฉิน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว
เหมียวอี้ยังอยากจะโอบกอดอีกสักหน่อย แต่อวิ๋นจือชิวกลับผลักหน้าอกเขา แล้วชี้ที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว บอกใบ้ว่ายังมีคนอีก อย่าทำซี้ซั้ว จากนั้นก็โบกมือเรียกเฒ่าฟ่านออกมา
พอโผล่หน้ามาเห็นเหมียวอี้ที่เกราะรบเต็มไปด้วยเลือด เฒ่าฟ่านก็งงทันที แล้วถามอย่างไม่แน่ใจว่า “เถ้าแก่เนี้ย นี่คื?”
“หนิวโหย่วเต๋อ!” เหมียวอี้รายงานชื่อตัวเอง แล้วชี้ไปที่อวิ๋นจือชิว “ฮูหยินของพวกเจ้าก็คือฮูหยินเอกของข้า หลายปีมานี้เฒ่าฟ่านปกป้องภรรยาของข้า ขอกล่าวขอบคุณตรงนี้!” ขณะที่พูดก็กุมหมัดคารวะ
“อืม…หา…หนิวโหย่วเต๋อ…ภรรยา?” ข้อมูลข่าวสารเยอะเกินไป เฒ่าฟ่านงุนงงนิดหน่อย คิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ ถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อไหน?”
“แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อของกองมังกรดำ หน่วยองครักษ์ซ้ายเจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว!” เหมียวอี้กล่าว
“หา!” เฒ่าฟ่านตะลึงงัน นี่คือหนิวโหย่วเต๋อคนนั้นเหรอ หันหน้าช้าๆ กลับมามองอวิ๋นจือชิว “เถ้าแก่เนี้ย เขาก็คือคนของพวกเราเหมือนกันเหรอ?”
ผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกยังไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยง
“อวิ๋นจือชิวพยักหน้าถอนหายใจ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ออกไปก่อนเถอะ”
“อ่อ…อืม… “เฒ่าฟ่านมองมาแวบหนึ่งอย่างเหม่อๆ แล้วก็ถอยออกไปอย่างงุนงง พอเดินมาถึงประตูก็รีบเร่งฝีเท้า เรื่องนี้ต้องรีบรายงานขึ้นไป
ตอนที่เขาเพิ่งจะออกไป เทพธิดาหงเฉินที่สวมชุดกระโปรงสีแดงก็เดินเนิบนาบออกมา เมื่อแห็นเหมียวอี้มีเลือดเปื้อนทั่วทั้งเกราะรบ นางก็ตะลึงงันเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นเหมือนเดิม แล้วย่อเข่าทำความเคารพ “นายท่าน ฮูหยิน!”
“หลายปีมานี้สบายดีมั้ย?” เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองพร้อมถามอย่างอ่อนโยน
พออวิ๋นจือชิวเห็นหงเฉินก็ส่ายหน้าทันที ทั้งชีวิตนี้เคยเจอคนที่ไร้กังวลมาก่อน แต่ไม่คยเจอใครไร้กังวลขนาดนี้เลย แม้แต่นางที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาหลายปีก็ยังเจอหน้ากันได้ยาก คนเราใช้ชีวิตจนกลายเป็นแบบนี้ก็ว่าหนักแล้ว แม้แต่สาวใช้ประจำตัวสองคนก็กลายเป็นคนจิตใจสะอาดผ่องใสไปด้วย
“มีฮูหยินดูแล ข้าสบายดีมาตลอดค่ะ” หงเฉินยืนตัวตรงแล้วตอบเสียงเบา
แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะกล่าวว่า “ข้าเตรียมจะส่งเจ้ากลับไปอยู่เป็นเพื่อนเวยเวยที่พิภพเล็ก เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”
“เหมียวอี้งงทันที แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนทะเลาะกันเหรอ?”
“ทะเลาะกันเหรอ? ข้าก็อยากจะทะเลาะกับนางจะแย่ แต่นิสัยสงบเยือกเย็นอย่างนาง ทำตัวยิ่งกว่าคนออกบวชอีก จะทะเลาะอะไรกันได้ล่ะ?” อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด “อย่ามองข้าอย่างนี้ ข้าส่งนางไปก็เพราะเจ้านั่นแหละ ตอนนี้เจ้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เจ้าวางใจปล่อยให้นางอยู่ที่พิภพใหญ่ได้เหรอ? นางอยู่ที่นี่ก็ไม่สะดวกจะเดินไปไหน แต่ถ้าไปที่พิภพเล็กก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรนาง จะได้ไม่ต้องเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้อง”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วลองถามหงเฉินว่า “เจ้าเต็มใจจะกลับไปมั้ย?”
“แล้วแต่นายท่านกับฮูหยินจะกำชับค่ะ”” หงเฉินตอบอย่างสงบเยือกเย็น
“พอได้ยินว่าอะไรก็ได้แบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็กลอกตามองบน รอจนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ต้มน้ำร้อนเสร็จแล้ว นางก็กำชับหงเฉินทันทีว่า “เจ้าไปปรนนิบัตินายท่านตอนอาบน้ำ อีกเดี๋นยวก็จะส่งเจ้ากลับแล้ว เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น