คัมภีร์วิถีเซียน 1543-1546
ตอนที่ 1543 ศัตรูปรากฏ
เงาร่างคนบนอสูรเกราะทมิฬ หากพิจารณาท่อนบนให้ละเอียดแล้ว คาดไม่ถึงว่ามีผิวหนังสีม่วงอ่อน เป็นสตรีที่มีดวงตาสองข้างเป็นสีดำเขียว
ทุกคนล้วนไว้ผมยาวและสวมผ้าคลุมไหล่ สวมเกราะสงครามสีดำ ในมือถือมีดอาวุธสีดำสนิทรูปทรงต่างๆ เครื่องหน้าแววตาสดใสงดงาม
ครั้นเมื่ออสูรเกราะทมิฬหยุดชะงักสตรีพลันทยอยกันกระโดดลงมาจากหลังอสูร เผยเรือนร่างทั่วสรรพางค์กายออกมา รูม่านตาของหานลี่ที่มองไปยังผลึกลูกบอลพลันหดเล็กลง!
ตั้งแต่บั้นเอวลงไปของสตรีเหล่านี้ล้วนเป็นตะขาบ!
เท้าเล็กๆ ยี่สิบสามสิบข้าง ประกอบกับร่างกายสตรีท่อนบน แม้ว่าหานลี่จะเห็นแล้วก็ยังอดที่จะขนลุกซู่ไม่ได้ สั่นสะท้านเล็กน้อย
แต่สตรีชนต่างเผ่าเหล่านี้ดูเหมือนจะฝึกฝนมาอย่างคล่องแคล่ว ชั่วครู่ก็เรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ
สตรีชนต่างเผ่าที่ดูมีฐานะหน่อยคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว เมื่อมาอยู่ตรงหน้าคนอื่นๆ ก็มองไปยังกำแพงหิน ฉับพลันนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ริมฝีปากฉีกจนขึ้นไปถึงใบหู เผยฟันแหลมคมเต็มปากออกมา และยังแลบลิ้นเรียวบางราวกับลิ้นงูออกมา
ใบหน้าของหญิงสาวที่สดใสและงดงามเปลี่ยนเป็นโหดเ**้ยมในพริบตา ภายใต้ความแตกต่างนี้ หากคนขวัญอ่อนเห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก ก็อาจจะเป็นลมล้มพับลงไปได้
แม้นว่าหานลี่จะไม่เป็นถึงเพียงนั้น แต่ก็ตกใจเช่นกัน มุมปากกระตุกไปเล็กน้อย
แน่นอนว่าคนอื่นๆ ย่อมมองเห็นฉากนี้
ใบหน้าของหญิงสาวอึมครึม มนุษย์อสรพิษของเผ่าเพลิงอาทิตย์ที่เหลือกลับเงียบสงัด ทุกคนล้วนเผยสีหน้าประหวั่นออกมา
“หึ ต่อให้เป็นเผ่าตาข่ายทมิฬแล้วอย่างไร? ก็แค่พวกกากเดนเท่านั้น ตอนนั้นเผ่าตระกูลวาของพวกเรากำจัดพวกมันไปจนเกลี้ยงแล้ว เวลานี้พวกเราก็ทำได้เช่นเดิม สาเหตุที่อีกสองเผ่าถูกกำจัดนั้น เป็นเพราะถูกพวกมันลอบโจมตี ในเมื่อเราเตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว เผ่าเรายังต้องหวาดกลัวเจ้าพวกที่เอาชีวิตมาได้จากความตายอีกหรือ?” ฮูหยินแค่นเสียงเฮอะ สะบัดแขนเสื้อไปทางผลึกลูกบอลวารี
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีแดงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เพลิงลำแสงรอบผลึกลูกบอลหายวับไป ทั้งเขตอาคมหยุดเคลื่อนไหว ภาพวาดทั้งหมดหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา
มนุษย์อสรพิษชุดขาวคนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ พลันมีสีหน้าฮึกเหิม น้อมกายลงเอ่ยตอบรับพร้อมกัน ความหวาดกลัวบนใบหน้าของเขาหายวับไปกว่าครึ่ง กลายเป็นสีหน้าฮึกเหิมมีกำลังใจ
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลันหน้าเปลี่ยนสี มุมปากเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา
เมื่อครู่ฮูหยินดูเหมือนว่าจะแค่นเสียงเฮอะธรรมดาๆ เท่านั้น แต่กลับใช้เคล็ดวิชาลับของพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์
แม้ว่าเคล็ดวิชาลับชนิดนี้จะลึกลับพิศวง แต่สำหรับเขาที่ฝึกฝนคาถาขับเคลื่อนแล้ว กลับพบได้อย่างง่ายดาย
มิเช่นนั้นปุโรหิตระดับต่ำเหล่านี้ ไหนเลยจะถูกปลุกเร้ากำลังใจได้อย่างง่ายดายปานนั้น
“ในเมื่อรู้ว่าศัตรูเป็นใครก็จัดการง่ายแล้ว พวกเจ้าแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม แยกกันไปตรวจสอบการรบที่ประตูเมืองทั้งสี่ หากพบกับปุโรหิตของเผ่าตาข่ายทมิฬ จะต้องจับเอาไว้ให้ได้ หากมีผู้ที่บังอาจอยากถอยในเวลานี้ ก็ลงโทษตามกฎของเผ่าเสีย!” ฮูหยินหยัดกายลุกขึ้น แล้วออกคำสั่งอย่างเข้มงวด
มนุษย์อสรพิษทั้งสองฝั่งพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม ล้วนค้อมตัวคารวะพลางตอบรับคำสั่ง จากนั้นก็ดำเนินการตามแผนเดิมที่วางไว้ แบ่งออกเป็นสี่กลุ่มเดินออกไปจากวิหาร
ชั่วพริบตาในวิหารจึงเหลือเพียงฮูหยิน หญิงสาว รวมทั้งหานลี่ และมนุษย์อสรพิษอีกสี่คน
มนุษย์อสรพิษทั้งสี่คนนี้อายุอานามไม่น้อย ล้วนมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมรวมขั้นต้น นับว่าเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์เป็นอันดับสองของเผ่ารองจากฮูหยิน
หานลี่แค่กวาดตาไปยังมนุษย์อสรพิษทั้งสี่คนวูบหนึ่ง แล้วชักสายตากลับมาอย่างไม่ใส่ใจ
ฮูหยินพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หันหน้าไป เอ่ยอะไรสักอย่างกับหานลี่
แต่ในครานั้นพลันมีเสียงอึกทึกเลื่อนลั่นดังขึ้นรอบด้าน เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พื้นดินเริ่มสั่นเทาอย่างหนักอีกครั้ง
“เริ่มโจมตีเมืองแล้ว!” ฮูหยินหน้าเปลี่ยนสี หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“อันใด สหายหั่วไม่อยากออกไปหรือ?” หานลี่กลับเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะเอ่ยถาม
“ไม่จำเป็นต้องออกไป หากเดาไม่ผิดละก็ ชนชั้นสูงของเผ่าตาข่ายทมิฬจะเป็นฝ่ายตามหาที่นี่เอง” ฮูหยินกลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย
“อ๋อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” หานลี่รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
“ตระกูลวาของพวกเราและตระกูลตาข่ายทมิฬเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน จึงรู้นิสัยของพวกมันอยู่บ้าง แม้นว่าจะเปิดเขตอาคมทั้งหมด แต่กว่าครึ่งคงไม่อาจต้านทานผู้วิเศษที่แท้จริงของเผ่านั้นได้ พวกมันเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาลับการอำพรางกาย คราที่โจมตีศัตรูก็ชอบสังหารผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดของอีกฝ่ายก่อน จากนั้นค่อยสังหารชนชั้นล่างของคู่ต่อสู้อย่างเยือกเย็น” ฮูหยินฝืนฉีกยิ้มอธิบายขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
หานลี่ลูบใต้คางไปมา เผยสีหน้าขบคิดออกมา แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่พลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา เอ่ยประโยคที่ทำให้ฮูหยินและพวกหน้าเปลี่ยนสีออกมา
“เช่นนั้น สหายที่ซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง ก็ไม่ใช่ผู้ช่วยที่สหายหั่ววางเอาไว้ก่อนหน้าสินะ เช่นนั้นข้าขอเชิญเขาออกมาเป็นอย่างไร?”
“อะไรนะ พวกมันมาแล้ว!” ฮูหยินร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้ง
แต่สตรีผู้นี้เพิ่งเปล่งคำพูด ฉับพลันนั้นหานลี่พลันใช้มือหนึ่งกวักไปทางเสาไม้ในบริเวณนั้น
ชั่วขณะนั้นมือยักษ์สีสันแวววาวข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ตะปบเสาต้นนั้นเอาไว้แน่น
เสียง ตู้ม ดังขึ้น!
มือยักษ์ยังไม่ทันได้ตะปบแน่น ในเสาพลันมีลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วอยู่ห่างออกไปยี่สิบจั้งเศษ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีสายนี้กลายเป็นเผ่าตาข่ายทมิฬคนหนึ่ง
ฮูหยินและเหล่าคนของเผ่าเพลิงอาทิตย์เห็นชาวตาข่ายทมิฬผู้นี้ ชั่วขณะนั้นพลันตั้งท่าเตรียมการป้องกันด้วยความตกตะลึง
ฮูหยินพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีกระบองสั้นสีแดงสดกระบองหนึ่งปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าทำมาจากหิน!
มนุษย์อสรพิษสวมชุดขาวอีกสี่คนที่เหลือพลันโบกมือ ในมือมีมีดยาวสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น เปล่งแสงเย็นยะเยือก ราวกับอสรพิษน้อยสีเงินกำลังสะบัดหัวสะบัดหางไปมา
สองมือของหญิงสาวเริ่มรางเลือน คันธนูแกร่งสีเหลืองบนแผ่นหลังมาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ลูกธนูกระดูกสีขาวดอกหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบวางอยู่บนนั้น
ชาวตาข่ายทมิฬที่ถูกหานลี่บีบออกมา มีผิวสีม่วงอ่อน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเป็นสีเงินแวววาว ขับให้ใบหน้าน่าเอ็นดูของเขาดูลึกลับขึ้นสองสามส่วน
มันกำลังจ้องเขม็งมายังหานลี่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่สนใจการเคลื่อนไหวของฮูหยินและพวก ปากพลันเอ่ยอย่างเย็นเยียบออกมา
“กลิ่นอายของเจ้าแปลกพิกล ไม่ใช่คนของเผ่าตระกูลวา เป็นคนของเผ่าใด! มองเคล็ดวิชาอำพรางกายของข้าออก เป็นเผ่า‘ดวงตาสีขาว’หรือว่าเผ่า ‘พันฝัน’
เห็นได้ชัดว่าชาวตาข่ายทมิฬผู้นี้เข้าใจผิดว่าหานลี่คือคนของสองชนต่างเผ่าที่มีชื่อเสียงในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่ได้เอ่ยปากอะไร กลับกวาดสายตาไปยังเงาทะมึนตรงมุมหนึ่งของวิหาร นิ้วหนึ่งชี้ไปตรงนั้นโดยไม่ปริปาก
เสียง พรึ่บ ดังขึ้น กระบี่เล่มเล็กสีเขียวเล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งออกไปราวกับสายฟ้า เปล่งแสงเจิดจ้าแล้วไปถึงเงาทะมึน พลางสับลงไป
เสียงดังขึ้นเบาๆ เงาทะมึนมีลำแสงดำสนิทสายหนึ่งพุ่งออกมา ชั่วขณะนั้นพลันตัดสลับกันกับกระบี่เล่มเล็ก ในเวลาเดียวกันเงาสายหนึ่งพลันลอยขึ้นจากเงาทะมึน
รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ กระบี่เล่มเล็กที่อยู่ไกลออกไปเปล่งแสงสีเขียวออกมา กระบี่ลำแสงทำให้ลำแสงสีดำแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา ทันใดนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ สับลงมาหาเงาสีดำที่ปรากฏขึ้นมา
ความเร็วนี้มากกว่าครั้งก่อนสองสามเท่า
เงาสีดำที่ทะลักออกมาถูกความเร็วของลำแสงสีเขียวทำให้ประหลาดใจ แต่มันก็ไม่ธรรมดา ร่างกายบิดเบี้ยว แล้วกลายเป็นเส้นไหมสีดำสายหนึ่งพุ่งออกไป
แค่พลิ้วไหวคราหนึ่ง เส้นไหมสีดำพลันปรากฏห่างออกไปสิบจั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ กระบี่เล่มเล็กแค่พลิ้วไหว พลันกลายเป็นเส้นไหมสีเขียวไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
เส้นไหมสีดำที่เดิมทีหยุดชะงักคิดจะหยุดลง เห็นเส้นไหมสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่เบื้องหน้าของตนเอง ก็ตะลึงงันพุ่งตัวออกไปอีกครั้ง
พริบตานั้นเสียง ฟิ้วๆ พลันดังแหวกอากาศขึ้น!
ลำแสงสีเขียวและสีดำ หนึ่งวิ่งหนีหนึ่งไล่ตาม จนกะพริบวาบเลือนๆ ไปทั่วทั้งวิหาร
เห็นเพียงก่อนหน้านี้เส้นไหมลำแสงทั้งสองยังอยู่อีกฝั่งของวิหาร ครู่ต่อมาก็มาปรากฏที่อีกฝั่งของวิหาร
ความเร็วของทั้งสอง แค่มองก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนตาค้าง!
ฉับพลันนั้นเส้นไหมสีดำเบื้องหน้าพลันรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเจ็ดแปดสายที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไปทั้งสี่ทิศแปดด้าน
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้หานลี่เลิกคิ้ว มือหนึ่งกวักออกไป เส้นไหมสีเขียวหยุดชะงัก พุ่งกลับมา หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ พลันกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กเล่มหนึ่งจมหายเข้าไปในร่าง
ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าของหานลี่ล้วนเยือกเย็น ราวกับว่าไม่กินแรงเลยแม้แต่น้อย
เส้นไหมสีดำที่แยกกันพุ่งออกไป หมุนวนโคจรอยู่กลางอากาศในวิหารแล้วรวมตัวกันเป็นเส้นเดียวอีกครั้ง
จากนั้นลำแสงสีดำพลันสว่างวาบ ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีทองอ่อนคนหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
แต่แค่สตรีผู้นี้จ้องเขม็งไปมายังหานลี่อย่างโหดเ**้ยม เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
เมื่อเห็นดวงตาสีทองของสตรีผู้นั้น ร่างของฮูหยินพลันสั่นสะท้าน
“ดวงตาสีทองเงิน นั่นคือสัญลักษณ์ของเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬ! มหาปุโรหิตอีกสองเผ่าที่เหลือล้วนถูกพวกเจ้าสังหารสินะ!”
เอ่ยจบนนางพลันจ้องเขม็งไปยังชาวเผ่าทมิฬอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“เฮอะ นับว่าเจ้าตามีแววอยู่บ้าง แต่ในเมื่อพวกเราลงมือเองแล้ว ดวงชะตาของเผ่าเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว” ชาวตาข่ายทมิฬตาสีทองเหลือบตามองวูบหนึ่ง ปากพลันเอ่ยด้วยเสียงแหลมสูงออกมา
เวลานี้ร่างของชาวตาข่ายทมิฬที่ปรากฏขึ้นคนแรกพลันพลิ้วกาย หายวับไปราวกับภูตผี ครู่ต่อมาพลันปรากฏขึ้นข้างกายชาวตาข่ายทมิฬตาสีทอง และยืนเคียงไหล่กัน
หานลี่มองสตรีทั้งสอง ดวงตาทั้งสองกลับหรี่ลงเล็กน้อย
บนร่างของชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองมีลำแสงวิญญาณประหลาดปกคลุมอยู่ จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขาคาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจมองออกได้ว่าอีกฝ่ายมีพลังยุทธ์ลึกล้ำแค่ไหน
ดูแล้วอีกฝ่ายจะต้องมีสมบัติป้องกันตัว แค่ไม่รู้ว่าคือสมบัติชนิดใด!
เมื่อขบคิดเช่นนี้ หานลี่กลับไม่ได้มีเจตนาจะลงมือในทันที
ฮูหยินที่อยู่ด้านข้างดวงตาเปล่งประกายสองสามครั้ง ยังไม่ทันใดได้เอ่ยอะไร หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันยกคันธนูสีเหลืองในมือขึ้นง้าง ปล่อยลูกธนูกระดูกในมือออกไปอีกครั้ง
เสียง ฟิ้ว ดังขึ้น ลูกธนูลำแสงสีเหลืองและขาวสองสีสายหนึ่งพุ่งออกไป ทันใดนั้นพลันสั่นเทา ชั่วขณะนั้นทั่วท้องฟ้าพลันดูเหมือนเต็มไปด้วยลูกธนูสีเหลืองอย่างไรอย่างนั้น ชั่วครู่ก็ปกคลุมชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามเอาไว้
ในความคิดของไป๋จูเอ๋อร์ผู้นี้ ถึงอย่างไรเสียสงครามครั้งนี้ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แน่นอนว่าจึงไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามไร้สาระอะไร ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ฮูหยินพลันตะลึงงัน ทันใดนั้นพลันกัดฟันกรอด ขยับกระบองสั้นสีแดงในมืออย่างปล่อยเลยตามเลย กลายเป็นอสรพิษเพลิงสายหนึ่งพุ่งออกจากมือไป
มนุษย์อสรพิษชุดขาวอีกสี่คนมองสบตากันวูบหนึ่ง กวัดแกว่งมีดยาวสีเงินในมือ มีดลำแสงสีเงินสายแล้วสายเล่าสับออกไปอย่างดุดัน
ครานั้นเหล่าคนเผ่าเพลิงอาทิตย์พลันร่วมมือกันทำการโจมตี
ภายใต้ลำแสงหลากสีสันที่กำลังพัวพันกันไปมานั้น ชั่วพริบตานั้นดูเหมือนว่าจะห่อหุ้มชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองเอาไว้
แต่สตรีทั้งสองที่อยู่ท่ามกลางการโจมตีอย่างบ้าคลั่งนั้น กลับยกมือข้างหนึ่งขึ้น ลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งระเบิดออกไป
พวกมันกลายเป็นรัศมีลำแสงสีดำสองกลุ่ม หมุนคว้างอยู่ตรงหน้าสตรีทั้งสองด้วยความรวดเร็ว
ตอนที่ 1544 คลื่นลำแสงภยันตราย
เสียงอึกทึกดังขึ้น!
การโจมตีต่างๆ เข้ามาประชิดรัศมีลำแสงในพริบตา ลำแสงหลากสีสันระเบิดออกพร้อมกัน เสียงอันน่าตกตะลึงพลันดังขึ้น!
ราวกับว่าครู่ต่อมาจะฉีกรัศมีลำแสงสีดำสองกลุ่มออกเป็นชิ้นๆ
แต่ในครานั้นรัศมีลำแสงสีดำพลันมีลำแสงประหลาดสีทองเงินพุ่งออกมา จากนั้นรัศมีลำแสงทั้งสองพลันขยายออกไปอย่างบ้าคลั่ง ชั่วครู่พลันผสมรวมตัวกัน
ลำแสงสีดำเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งพลันปรากฏขึ้น ลำแสงประหลาดสีทองเงินตรงใจกลางตัดสลับกันไปมา ไม่ว่าลูกธนูลำแสงหนาแน่นเหล่านั้น หรือว่ามีดลำแสงสีเงินของมหาปุโรหิตมนุษย์อสรพิษทั้งสี่ แม้กระทั่งสมบัติที่กลายเป็นอสรพิษเพลิงในมือของฮูหยิน ล้วนถูกสูบเข้าไปข้างในอย่างไร้เงา
การร่วมมือโจมตีอย่างยิ่งใหญ่ก่อนหน้า ดูเหมือนจะเป็นดอกถานฮัวยามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้น จึงเหลือเพียงเงาร่างคนสองคนที่ยืนนิ่งงันอยู่ใต้ลำแสงสีดำ และดวงตาเย็นชาสี่สาย
“คลื่นลำแสงภยันตราย! คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะฝึกฝนอิทธิฤทธิ์นี้สำเร็จ!”
ชาวเผ่าเพลิงอาทิตย์ในวิหารเห็นสถานการณ์นี้พลันจิตใจหนักอึ้ง การโจมตีในมือหยุดชะงัก ฮูหยินจึงยิ่งเอ่ยพึมพำด้วยความเจ็บปวด
แต่ชาวตาข่ายทมิฬที่มีดวงตาสีทองเงินซึ่งอยู่ตรงข้ามคู่นั้น ร่างกายกลับพลิ้วไหว สองแขนประกบเข้าด้วยกัน ในเวลาเดียวกันแขนอีกข้างหนึ่งกลับยกขึ้น ยื่นนิ้วหนึ่งออกมาชี้ออกไป เป้าหมายก็คือฮูหยินและสตรีสองคนนั้น!
เห็นเพียงรัศมีลำแสงสีดำปริแตก เส้นไหมบางๆ สีทองสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป
“รีบหลบไป! อย่ารับตรงๆ!” ฮูหยินพลันตื่นตะลึง รีบร้อนเอ่ยเตือนไป๋จูเอ๋อร์ ในเวลาเดียวกันผิวของตนเองพลันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งหลบหลีกไป
หญิงสาวใจหายวาบ แต่พลังยุทธ์ของนางอยู่แค่ระดับหลอมรวม หากหมายจะหลบหลีกในชั่วครู่ กลับไม่ค่อยทันนัก เส้นไหมบางๆ สีทองเงินสายหนึ่งพลิ้วไหวมาอยู่ตรงหน้าของนาง ราวกับเคลื่อนย้ายกายได้อย่างไรอย่างนั้น
ภายใต้ความจนปัญญา สตรีผู้นี้ทำได้เพียงทำให้สองมือรางเลือน ลูกธนูกระดูกดอกหนึ่งปรากฏขึ้นบนคันธนูแกร่งสีเหลือง มือหนึ่งง้างธนูออก แล้วปล่อยออกไปอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังของลูกธนูดังออกมาจากคันธนู ลำแสงสีเหลืองขาวเปล่งแสงสว่างวาบ!
ลูกธนูกระดูกกลายเป็นเสาลำแสงขนาดเท่าแขนพ่นออกมา ปะทะกับเส้นไหมสีทองเงินที่มาถึงเบื้องหน้าอย่างพอดิบพอดี
ทั้งสองมีขนาดที่ใหญ่โตเป็นพิเศษ แต่เมื่อสัมผัสกันกลับเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
จากนั้นเห็นเพียงลำแสงวิญญาณของเสาลำแสงสีเหลืองขาวแข็งค้าง แล้วพุ่งกลับมาอย่างแปลกประหลาด
แม้นว่าหญิงสาวจะมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว แต่ระยะห่างแค่นี้ การโจมตีที่ปล่อยออกไปถูกดีดกลับมาอย่างคาดไม่ถึง จึงไม่อาจเตรียมการป้องกันใดๆ ได้ทัน จึงทำได้เพียงร้องอุทานออกมาด้วยความประหวั่นใจ ขวางคันธนูแกร่งในมือเอาไว้เบื้องหน้าตามจิตสำนึก
พลานุภาพของลูกธนูดอกเมื่อครู่ยิ่งใหญ่เพียงใด นางย่อมรู้ดีแจ่มแจ้ง ภายใต้การโจมตีที่ไร้ซึ่งการลังเลใจนี้ กายเนื้อของนางรวมทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมคงจะหายไปในทันที
หูของนางได้ยินแม้กระทั่งเสียงฮูหยินร้องอุทานออกมา
ครู่ต่อมาฝ่ามือของนางพลันสั่นเทา คันธนูแกร่งถูกเสาลำแสงโจมตีจนกระเด็นลอยออกไป ความรู้สึกร้อนฉ่าห่อหุ้มไปทั้งเรือนร่างของนาง
ทำให้ไป๋จูเอ๋อร์หน้าถอดซี ทำได้เพียงหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างรอคอยความตาย
และในพริบตานั้นมีคนเข้ามาคว้าคอเสื้อของหญิงสาวเอาไว้ ออกแรงดึงเบาๆ ชั่วขณะนั้นหญิงสาวพลันหายวับไปท่ามกลางลำแสงสีเขียวอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเสียงสะเทือนก้องฟ้าพลันดังขึ้น!
หญิงสาวพลันตะลึงงัน เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะพบว่าตนเองอยู่ห่างออกมาสิบจั้งเศษ เสาลำแสงทะลวงผ่านตำแหน่งเดิมที่ตนเองยืนอยู่ จมหายเข้าไปในกำแพงวิหารใกล้เคียงกัน
ผลคือเมื่อปะทะกับเขตอาคมลำแสงห้าสี พลันระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมา จากนั้นพลันหายวับไป
ทว่าเส้นไหมสีทองเงินที่ไล่ตามเสาลำแสงมาติดๆ ด้านหลังกลับไม่ได้โจมตีกำแพงเช่นเดียวกัน แต่กลับเปลี่ยนทิศทาง พุ่งมาหาหญิงสาวอีกครั้ง
“เอ๋” หญิงสาวร้องอุทานออกมา!
แต่ไม่รอให้นางหมายจะเคลื่อนไหวกายใดๆ ก็สัมผัสได้ว่าตรงคอเสื้อแน่นเปรี๊ยะ ทัศนียภาพรอบด้านรางเลือน เคลื่อนย้ายกายมาอยู่อีกที่ภายในพริบตาอีกครั้ง
หญิงสาวถึงได้ได้สติกลับคืนมารีบร้อนหันกลับไปมอง!
เห็นเพียงผู้ที่อยู่ด้านหลัง เอามือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของนางอย่างส่งเดช สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
ไม่ใช่หานลี่ แล้วเป็นผู้ใดได้อีก!
เส้นไหมสีทองเงินที่อยู่ไกลออกไปโจมตีกับความว่างเปล่าอีกครั้ง มันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะพุ่งออกมาอีกครั้ง ราวกับว่าหากไม่สังหารสตรีผู้นั้นให้ตาย ก็จะไม่ยอมหยุดพัก
ตรงอีกมุมหนึ่งของวิหาร เส้นไหมบางๆ สีทองเงินเส้นหนึ่งกำลังไล่ตามฮูหยินจนต้องหนีกระเซอะกระเซิงเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรเสียฮูหยินก็มีพลังยุทธ์ระดับก่อกำเนิด เมื่อเหาะเหินอย่างเต็มกำลังแล้ว ประกอบกับการต้านทานเส้นไหมสีทองเงินด้วยลำแสงสีเงินในมือของมนุษย์อสรพิษชุดขาวอีกสี่คนแล้ว ก็พอจะรักษาชีวิตรอดไปได้
“สะท้อนการโจมตีได้ ช่างน่าสนใจนัก!” หานลี่เอ่ยพึมพำประโยคหนึ่ง แต่พลันสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสีเทาผืนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าไป๋จูเอ๋อร์
แต่เมื่อเส้นไหมสีทองเงินเส้นทะลวงเข้ามา ก็แค่หยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วทะลวงผ่านไปได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้รับผลกระทบจากลำแสงเทวะดูดปราณเลยสักนิด
ไป๋จูเอ๋อร์เห็นฉากนี้ พลันหน้าซีดขาวไปอีกครั้ง
แต่เสียง ปัง พลันดังขึ้น เปลวเพลิงลำแสงห้าสีชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นที่หลังม่านลำแสงสีเทา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสูบเส้นไหมสีทองเงินเข้ามาข้างใน
เส้นไหมบางๆ ที่แต่เดิมความเร็วแปลกพิกลเข้ามาในเปลวเพลิงลำแสงก็ดูเหมือนปลาติดแหอย่างไรอย่างนั้น ชั่วครู่พลันเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลง
หานลี่หยักมุมปากขึ้น อดที่จะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาไม่ได้
แต่ครู่ต่อมา รอยยิ้มของเขาพลันแข็งค้าง
เพราะว่าเส้นไหมสีทองเงินพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ชั่วครู่ก็กลับมากระตือรือร้นดังเดิม แค่กะพริบวาบก็ต้านทานลำแสงห้าสีออกไป มาอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
ความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ทำให้ไป๋จูเอ๋อร์ที่เพิ่งมีสีหน้าผ่อนคลายลง รู้สึกหวาดผวา คิดว่าครั้งนี้คงไม่อาจโชคดีได้แล้วจริงๆ
แต่ความเปลี่ยนแปลงต่อจากนั้น ก็ทำให้สตรีผู้นี้ตกตะลึงจนตาค้าง
เส้นไหมบางๆ เส้นนั้นไม่มีท่าทีจะพลิ้วไหวเลยสักนิด ก็หายวับไปจากเบื้องหน้าของพวกเขา
และครู่ต่อมา บรรยากาศตรงหน้าหานลี่ที่อยู่ตรงแผ่นหลังของนางพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้น เส้นไหมสีทองเงินเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วพุ่งเข้ามา
ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ ราวกับสายฟ้าแลบอย่างไรอย่างนั้น!
หานลี่มีสีหน้าตะลึงงันฉายวาบผ่าน แต่ร่างกายไม่หลบหลีกเลยสักนิด แค่แววตาเปล่งประกายเย็นชา อ้าปากออก
เสียง ปัง ดังขึ้น พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีเข้ากับเส้นไหมสีทองเงิน
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น!
แม้แต่ลำแสงเทวะดูดปราณและเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีก็ไม่อาจกักเส้นไหมบางๆ สีทองเงินได้ ถูกเปลวเพลิงสีเงินห่อหุ้มเอาไว้ แล้วดูเหมือนปะทะกับดาวตกอย่างไรอย่างนั้น เสียง สวบ ดังขึ้นแล้วหดเล็กลงจนมีขนาดเท่าไข่ไก่
ส่วนลูกบอลเพลิงสีเงินที่กำลังลุกโชนนั้น พลันเปลี่ยนรูปร่าง กลายเป็นวิหคน้อยสีเงินตัวหนึ่ง
ลูกบอลลำแสงสีทองเงินในร่างของเขาหลอมละลายหดเล็กลงอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ชั่วพริบตาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
วิหคเพลิงสีเงินสยายปีกทั้งสองข้างออก เปล่งเสียงร้องไพเราะด้วยความพึงพอใจ ฉับพลันนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่พลันหายไปอย่างลึกลับ
ส่วนอีกด้านของวิหารเส้นไหมสีทองเงินที่ไล่ตามฮูหยินจนทำให้เข้าตาจนนั้นพลันมีแสงสีเงินขึ้นปรากฏเบื้องหน้า วิหคเพลิงปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ อ้าปากออกกลืนเส้นไหมบางๆ เข้าไปในท้องด้วยความรวดเร็วอย่างไม่สามารถหลบหลีกได้
จากนั้นเสียง ปัง พลันดังขึ้นเบาๆ ร่างของวิหคเพลิงสีเงินพลันระเบิดออกจากที่เดิม กลายเป็นจุดลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
เวลานี้หานลี่ถึงได้เลื่อนสายตาไปด้วยแววตาอมยิ้ม มองไปยังชาวตาข่ายทมิฬสองคนที่อยู่ในลำแสงสีดำไกลออกไป
การประมือที่ดูเหมือนสลับซับซ้อนเมื่อครู่ ความจริงแล้วเกิดขึ้นแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น
ฮูหยินและพวกอดที่จะเผยสีหน้ายินดีที่รอดพ้นจากความตายมาได้! เวลานี้ในที่สุดนางถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดชนชั้นสูงทั้งสองเผ่าถึงถูกสังหารลงอย่างง่ายดาย
อย่าพูดถึงมหาปุโรหิตทั้งสองมีความสามารถสู้ฮูหยินที่ยังไม่กินผลฝึกเซียนไม่ได้ แม้แต่ฮูหยินที่พลังยุทธ์มากกว่าสองสามเท่า ยังไม่อาจต้านทานคลื่นลำแสงภยันตรายได้ นี่จึงทำให้สตรีผู้นี้รู้สึกดีอกดีใจ และรู้สึกโชคดีเป็นอย่างมาก!
เห็นได้ชัดว่า เผ่าตาข่ายทมิฬทั้งสองไม่ใช่สิ่งที่พวกนางจะต้านทานได้ จำต้องคาดหวังกับ ‘ท่านหาน’ ที่เพิ่งเชิญมาผู้นี้แล้ว
เมื่อขบคิดจนถึงมาตรงนี้ ฮูหยินพลันร้องเตือนอย่างไม่ต้องคิด
“ท่านอาวุโสหานโปรดระวัง คลื่นลำแสงภยันตรายไม่เพียงสามารถสะท้อนการโจมตี ไม่สนเขตอาคมต่างๆ แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีพิษประหลาด หากถูกมันเข้าส่วนต่างๆ ของกายเนื้อจะสลายหายไปทันที ไม่อาจถอนพิษได้ ตอนนั้นผู้วิเศษในเผ่าของข้าจำนวนมาก ล้วนต้องตายอย่างน่าอนาถด้วยคลื่นลำแสงภยันตรายนี้”
ฮูหยินร้อนใจจริงๆ ว่าหลังจากที่วิหคเพลิงสีเงินซึ่งบินออกมาจากร่างของหานลี่นั้นดูดซับคลื่นลำแสงภยันตรายไปแล้ว จะเกิดผลข้างเคียงขึ้น
“พิษประหลาด!” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี และรู้สึกประหลาดใจ ทว่าในเมื่อเพลิงกลืนวิญญาณของเขาสามารถกลืนกินสิ่งที่เรียกว่าคลื่นลำแสงภยันตรายได้ แน่นอนว่าย่อมต้องนำพิษมาใช้ประโยชน์ แล้วจะทำอันตรายเขาได้อย่างไร
แน่นอนว่าพลานุภาพของเพลิงกลืนวิญญาณนั้น แน่นอนว่าหานลี่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับฮูหยิน แค่พยักหน้าให้สตรีผู้นั้นเป็นการแสดงออกว่าทราบแล้วเท่านั้น
สายตาของเขายังคงมองไปยังชาวตาข่ายทมิฬสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ละสายตาไปไหน
“คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลืนคลื่นลำแสงภยันตรายไป!”
ภายใต้ลำแสงสีดำที่ห่อหุ้มอยู่ หานลี่ไม่อาจมองเห็นสีหน้าของเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองได้ แต่เสียงที่อีกฝ่ายถ่ายทอดมานั้นเผยความตื่นตะลึงออกมาเป็นอย่างยิ่ง
“หึๆ ความสามารถของพวกเจ้าช่างน่าสนใจนัก น่าเสียดายที่พวกเจ้ายังฝึกฝนไม่ถึงไหน มิเช่นนั้นต่อให้เป็นความว่องไวของข้าก็ไม่อาจจัดการได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เอาล่ะ ดูแล้วผู้ที่มาที่นี่คงมีแค่พวกเจ้าสองคน คงต้องรีบส่งพวกเจ้าไปแล้วล่ะ ข้าจะได้กลับไปพักผ่อน!” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะมีน้ำเสียงไม่เห็นทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามอยู่ในสายตา ทันใดนั้นร่างกายพลันไหววูบ สาวเท้ายาวๆ ตรงเข้าไป
ฝีเท้าของหานลี่ดูเหมือนจะไม่รวดเร็ว แต่ทุกก้าวคาดไม่ถึงว่าจะทิ้งระยะห่างสองสามจั้ง แค่พลิ้วไหวสองสามครั้ง ก็มาอยู่ห่างจากเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองไปแค่ยี่สิบจั้งเศษ และในเวลาเดียวกัน ร่างของหานลี่พลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ เกล็ดสีทองชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ในเวลาเดียวกันเหนือศีรษะพลันมีรัศมีลำแสงสีทองปรากฏขึ้น
ตรงใจกลางของรัศมีลำแสง พระพุทธรูปสีทองสามเศียรหกหัตถ์นั่งขัดสมาธิอยู่
บนใบหน้าของพระพุทธรูป มีสองหน้าที่ชัดเจน เครื่องหน้าเหมือนกับหานลี่อย่างไรอย่างนั้น ส่วนลำแสงสีทองเรืองรองบนร่างของพระพุทธรูป ดูคล้ายกับของจริงอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นหานลี่เผยสีหน้าประหลาดออกมา ไม่ใช่แค่ฮูหยินและคนของเผ่าเพลิงอาทิตย์ แม้แต่เผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬสองคนในรัศมีลำแสงสีดำยังรู้สึกตื่นตะลึง
แทบจะไม่ล่าช้าเลยสักนิด เสียงหึ่งๆ ดังขึ้นท่ามกลางรัศมีสีดำ ฉับพลันนั้นพลันสั่นเทาแล้วบิดเบี้ยว เปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นใบมีดยักษ์สีดำขนาดเจ็ดแปดจั้ง พุ่งเข้ามาหานลี่ แล้วสับลงมาอย่างเ**้ยมโหด
ตอนที่ 1545 สังหาร
ตัวมีดยักษ์เป็นสีดำสนิทดุจน้ำหมึก ตรงกลางมีประจุไฟฟ้าแสงสีทองเงินเปล่งแสงระยิบระยับ เผยความลึกลับออกมาเป็นอย่างมาก
หานลี่เห็นฉากนี้ สองตาพลันหรี่ลง ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ตะปบไปทางนั้น
เทวรูปเหนือศีรษะพลันลืมเนตรทั้งสี่ขึ้น กรทั้งหกตะปบออกไปเช่นกัน การเคลื่อนไหวเหมือนกับหานลี่ทุกกระเบียดนิ้ว
เสียง ปัง ดังสนั่นขึ้น!
มือยักษ์สีทองที่ขนาดไม่ด้อยไปกว่ามีดยักษ์พลันปรากฏขึ้นด้านล่างมีดยักษ์ในพริบตา และรองมีดเอาไว้
เมื่อทั้งสองปะทะกัน ลำแสงสีดำลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบอย่างบ้าคลั่ง มือยักษ์สีทองไม่เคลื่อนไหว มีดยักษ์ถูกพยุงให้ลอยตัวขึ้น
ชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามเห็นเหตุการณ์นี้ ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา แต่ทันใดนั้นชาวตาข่ายทมิฬที่มีดวงตาสีทอง พลันใช้สองมือร่ายอาคม ชั่วพริบตานั้นร่างกายพลันขยายขนาดขึ้น จนมีขนาดใหญ่กว่าเดิมสองสามเท่า ในเวลาเดียวกันส่วนหางพลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ สร้างหางตะขอยักษ์สีทองเรืองรองออกมา ขยับคราหนึ่งก็กระโจนเข้ามาหาหานลี่ราวกับสายฟ้า
ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีเงินอีกตนหนึ่งที่ยืนเคียงไหล่นาง กลับอ้าปากออก สีหน้าโหดเ**้ยมฉายแวบผ่านไป เปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ราวกับเสียงมังกรคำรามออกมา
จากนั้นเหนือศีรษะของนางพันมีม่านหมอกสีขาวปรากฏขึ้น แสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางม่านหมอก เผยเงาร่างตะขาบยักษ์หน้าคนตัวหนึ่งออกมา
เห็นเพียงลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าเงาลวงตาจะกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่ง กระโจนเข้าไปหาหานลี่ ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ตรงหน้า ใบหน้าคนของตะขาบพลันอ้าปากออก พ่นลำแสงสีเงินออกมาห่อหุ้มเอาไว้
เผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬสองตนที่อยู่ตรงข้ามพลันร่วมมือกันโจมตี หานลี่ยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก!
แต่เขาพลันสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นกระบี่เล่มเล็กสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มพลันพุ่งออกไป จากนั้นพลันรางเลือน กลายเป็นกระบี่ลำแสงผืนหนึ่งโถมเข้าไปหาตะขอยักษ์สีทอง
เห็นเพียงตะขอยักษ์สีทองเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา พื้นผิวมีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ดูเหมือนว่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรสักอย่าง
แต่ครู่ต่อมาลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มลงมา ชั่วขณะนั้นตะขอสีทองพลันเปล่งเสียงร้องโอดครวญ กลายเป็นเศษซากจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมา
ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีทองผู้นั้นพลันตะลึงงัน
แทบจะในเวลาเดียวกันที่เผชิญหน้ากับตะขาบหน้าคนฝั่งตรงข้าม หานลี่พลันยกมืออีกข้างขึ้น กางนิ้วทั้งห้าออก ฝ่ามือเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก นิ้วทั้งห้าขยับไปมาเล็กน้อย เบื้องหน้าของหานลี่มีม่านลำแสงสีเทาผืนหนึ่งปรากฏขึ้น ต้านทานหมอกสีเงินที่ตะขาบหน้าคนพ่นออกมาเอาไว้
จากนั้นฝ่ามือของเขาพันเปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ ภูเขาขนาดย่อมสีดำลูกหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างแปลกประหลาด
มองตะขาบหน้าคนที่กะพริบวาบมาอยู่ตรงหน้า แค่พลิกฝ่ามือตามอำเภอใจอย่างส่งเดช
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
พริบตานั้นภูเขาขนาดย่อมพลันหมุนคว้างอยู่กลางฝ่ามือ พลิ้วไหวแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาเหนือตะขาบหน้าคนพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ท่ามกลางลำแสงสีเทา ภูเขาขนาดย่อมพลันปรากฏออกมา
แต่ครู่ต่อในช่วงเวลาที่ภูเขาขนาดย่อมสีดำปรากฏขึ้นนั้น ผิวของมันพลันมีลำแสงสีดำไหลโคจรอยู่ พริบตานั้นขนาดพลันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า กลายเป็นยอดเขาสีดำความสูงสิบจั้งเศษ
ยอดเขาเริ่มรางเลือนไปเล็กน้อย แล้วกดแผ่นหลังของตะขาบหน้าคนเอาไว้อย่างแน่นหนา
ศีรษะหน้าคนของเงามายาตะขาบปรากฏสีหน้าแห่งความเจ็บปวดออกมา ในเวลาเดียวกันพลันเปล่งเสียงประหลาดๆ อย่าง “ซือๆ” ออกมาจากปาก ร่างกายถูกพลังมหาศาลกดเอาไว้จนร่วงลงกับพื้น
ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีเงินที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง สองแขนร่ายอาคมอย่างร้อนรนจนดูราวกับล้อรถ ใบหน้าสดใสของอิสตรีปรากฏออกมาจากลวดลายสีเงินอย่างคาดไม่ถึง เผยความโหดเ**้ยมออกมา
นางอ้าปากออก พ่นโลหิตบริสุทธิ์สีเงินอ่อนออกมากลุ่มหนึ่ง
เมื่อโลหิตออกจากปาก พลันเกิดเสียง ปัง ขึ้น กลายเป็นอักขระสีเงินเป็นพวง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของตะขาบที่อยู่ไกลออกไปอย่างไร้ร่องรอย
ตะขาบหน้าคนที่อยู่ไกลออกไปราวกับเพิ่มอานุภาพมากขึ้นหลายเท่า กายท่อนร่างเปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า คาดไม่ถึงว่าจะสะบัดหัวสะบัดหางอยู่ใต้ยอดเขาสีดำอีกครั้ง กายท่อนล่างแม้กระทั่งนั่งขัดสมาธิ ชั่วครู่ก็รัดส่วนล่างของยอดเขาเอาไว้แน่น ท่าทางคิดจะคว่ำภูเขาลูกนี้
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ หานลี่พลันมีสีหน้าแปลกประหลาด มือสีดำสนิทตวัดชี้ไปทางยอดเขา ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงคำว่า “หนัก” ออกมา
ยอดเขาสีดำพลันสั่นสะเทือน ฉับพลันนั้นพลันเปล่งแสงสีเทาขาวที่ไม่สะดุดตาออกมา ไม่เห็นว่ามันจะความเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าสิบเท่าในพริบตา
ตะขาบหน้าคนที่แต่เดิมยังพอฝืนรับไหวพลันไม่อาจต้านทานได้อีก ชั่วครู่ก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าราวกับดาวตก
หลังจากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น วิหารทั้งหลังพลันสั่นคลอนอย่างรุนแรง ภูเขาสีดำทับตะขาบหน้าคนเอาไว้กับพื้น
พื้นดินในระยะสามสิบจั้งของวิหารพังทลายลงเป็นระยะสองสามจั้ง เผยหลุมอันน่าสะพรึงออกมาหลุมหนึ่ง
ส่วนยอดเขาสีดำพลันหยุดอยู่ตรงใจกลางหลุมยักษ์ หลังจากตะขาบหน้าคนด้านล่างเปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา ก็กลายเป็นดวงแสงสีเงินแล้วสลายหายไป
ถูกหานลี่หลอมละลายเข้าไปในก้อนหินประหลาดของภูเขาเทวะดูดปราณ น้ำหนักเทียบได้กับภูเขายักษ์หมื่นจั้งของจริง นั่นคือสิ่งที่มันรับไหว
ส่วนพริบตาที่เงาลวงตาของตะขาบสลายหายไปนั้น ชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีเงินที่อยู่ไกลออกไปพลันหน้าซีดเผือด ชั่วครู่ก็กระอักโลหิตสดออกมากลุ่มหนึ่ง
แต่โลหิตสดในครั้งนี้ไม่ได้เป็นสีเงินออก เป็นสีแดงดำ
ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจเท่านั้น
ชาวตาข่ายทมิฬอีกตนหนึ่ง เป็นเพราะตะขอยักษ์สีทองที่ตนเองสร้างขึ้นถูกกระบี่บินของหานลี่สับออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดาย เวลานี้เห็นสหายร่วมวิถีกำลังได้รับบาดเจ็บหนัก หน้าพลันเปลี่ยนสี ร่างกายพลิ้วไหวทันที คนเปล่งแสงสว่างวาบมาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังชาวตาข่ายทมิฬดวงตาสีเงิน มือข้างหนึ่งตบไปที่ด้านหลังเขา
เมื่อเรือนร่างของชาวตาข่ายทมิฬตาสีเงินมีลำแสงสีทองเงินเปล่งแสงเจิดจ้า สีหน้าก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
หานลี่กลับแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา ชี้ไปที่กระบี่เล่มเล็กสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มกลางอากาศ
กระบี่บินทั้งหมดพลันสั่นเทา พุ่งแหวกผ่านอากาศไป เส้นไหมสีเขียวยี่สิบสามสิบสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วห่อหุ้มลงมา
ชาวตาข่ายทมิฬสองตนเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ในที่สุดใบหน้าพลันมีสีหน้าหวาดกลัวปรากฏขึ้น หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันชูมือข้างหนึ่งขึ้น รัศมีลำแสงสีดำสองกลุ่มหมุนคว้างปรากฏออกมา กำบังร่างของทั้งสองเอาไว้
ในพริบตานั้นเส้นไหมสีเขียวยี่สิบสามสิบสายพลันเปล่งเสียง พรึ่บ ออกมา มาอยู่ตรงรัศมีลำแสงสีดำ
หานลี่เห็นเหตุการณ์นั้นสีหน้าโหดเ**้ยมพลันฉายแวบผ่านไป ร่ายคาถากระตุ้นกระบี่อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หลังจากที่เส้นไหมสีเขียวสั่นคลอน พลันกลายเป็นกระบี่บินสีเขียวความยาวสองสามฉื่อ แต่เมื่อกระบี่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ล้วนรางเลือนลงอย่างแปลกพิกล ราวกับว่าจะกลายเป็นเงาลวงตาสายแล้วสายเล่าอย่างไรอย่างนั้น
นี่คืออิทธิฤทธิ์กระบี่วิญญาณลวงตาที่มีหลังจากหานลี่หลอมกระบี่บิน
ส่วนเงากระบี่เหล่านั้นแค่ล้อมรอบรัศมีลำแสงสีดำเอาไว้ พลันทยอยกันพุ่งออกไปราวกับลูกธนู
เมื่อเงากระบี่จางๆ สัมผัสกับรัศมีลำแสงสีดำ หลังจากเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ พลันทะลวงออกไปอย่างเงียบเชียบ
ราวกับว่ารัศมีลำแสงสีดำไม่มีอยู่แล้ว ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด!เห็นได้ชัดว่าชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองที่อยู่ด้านล่างคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้เกิดขึ้น มองเห็นเงากระบี่เข้ามาประชิดร่าง ทั้งสองพลันเคลื่อนไหวด้วยความร้อนรนทันที คิดจะกลายเป็นเส้นสีดำสองสายพุ่งหนีเตลิดออกไป
แต่ระยะประชิดเช่นนี้ ความเร็วที่พุ่งเข้ามาของเงากระบี่เหล่านี้รวดเร็วถึงเพียงนั้น เห็นได้ชัดว่าสายไปแล้ว
เห็นเพียงเงากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพัวพันเข้าด้วยกันและทะลวงเข้ามา เสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาสองเสียงดังขึ้น ร่างของชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองถูกทะลวงจนเป็นรูพรุน!
ชั่วขณะนั้นฮูหยิน ไป๋จูเอ๋อร์และเหล่าชาวเผ่าเพลิงอาทิตย์ที่มองเห็นทุกอย่างไกลออกไปพลันเผยสีหน้าดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา
แต่รูม่านตาของหานลี่กลับเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ฉับพลันนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว คนกลายเป็นเงาสายหนึ่งมาปรากฏด้านข้างซากศพทั้งสอง ยื่นแขนทั้งสองออกไปพร้อมกัน ตะปบไปกลางอากาศในบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้นสองครั้ง ฝ่ามือทั้งสองระเบิดเปลวเพลิงสีเงินชั้นหนึ่งออกมา จากนั้นนิ้วทั้งห้าพลันตะปบออกไป ลำแสงสีทองเงินสองกลุ่มเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน ถูกเปลวเพลิงร้อนแรงห่อหุ้มเอาไว้ข้างใน
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตะขาบสีทองตัวหนึ่งและสีเงินตัวหนึ่ง
ตะขาบทั้งสองตัวมีขนาดแค่สองสามชุ่น แต่ส่วนศีรษะทั้งสองกลับมีใบหน้าของสตรีที่มีสีหน้าตกตะลึง หน้าตาเหมือนกับชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองตนก่อนหน้า
ภายใต้เปลวเพลิงสีเงินที่ห่อหุ้มตะขาบทั้งสองอยู่ ปากพลันเปล่งเสียงร้องร้อนรนไม่ได้ศัพท์ออกมา ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมา
ต้องเข้าใจว่าลำแสงสีทองเงินที่แผ่ออกมาจากผิวของทั้งสองนั่นก็คือคลื่นลำแสงภยันตราย หากเปลี่ยนเป็นเขตอาคมอื่น เกรงว่าคงถูกทะลวงหนีออกไปตั้งนานแล้ว แต่เมื่อถูกหานลี่ใช้เพลิงกลืนวิญญาณกักเอาไว้ ชั่วครู่ก็กลายเป็นปลาติดแห
หานลี่เองก็ไม่ได้มีเจตนาจะปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมของชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองออกไป ฝ่ามือทั้งสองที่พ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมาพลันประกบเข้าหากันเบื้องหน้า แค่ถูกันไปมาตามอำเภอใจ
ชั่วขณะนั้นตะขาบทั้งสองตัวในเปลวเพลิงสีเงิน พลันหดเล็กลงละลายไปในเปลวเพลิงทันที ชั่วครู่ลำแสงสีทองเงินพลันสลายหายไปกลายเป็นสีทองอ่อน เมื่อร่างตะขาบหน้าคนทั้งสองสัมผัสกับเปลวเพลิงสีเงิน พลันกลายเป็นเปลวควันสีเขียวสองกลุ่มหายวับไป
ยามนี้หานลี่ถึงได้นับว่าสังหารเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองได้อย่างแท้จริง!
ทว่าตัวเขาเองกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก
เพราะว่าการประมือเมื่อครู่ ชาวตาข่ายทมิฬทั้งสองตนมีพลังยุทธ์มากสุดแค่ระดับเทพแปลงขั้นต้นเท่านั้น หากไม่ใช่คลื่นลำแสงภยันตรายนั่นแปลกพิลึกไปหน่อย คงถูกเขาดีดนิ้วก็ปลิดชีวิตได้ไปแล้ว
ทว่าหานลี่กลับสนใจว่าเหตุใดถึงไม่อาจใช้จิตสัมผัสตรวจสอบพลังยุทธ์ของพวกเขาทั้งสองได้ สายตาสอดส่ายไปมา ตกอยู่บนศพทั้งสอง
มือหนึ่งตะปบออกไป ศพทั้งสองลอยขึ้นมา ตรงมาหาเขาอย่างเชื่องช้า
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ตรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
ดวงตาทั้งสองพลันเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นเขาพลันออกแรงกวักมือ
เสียง “พรึ่บๆ” สองเสียงพลันดังขึ้น ผ้าพันคอสีดำสนิทสองผืนพลันพุ่งออกมาจากเรือนร่างของสตรีทั้งสอง แล้วร่อนลงในมือของเขา
หานลี่ก้มหน้าลงแค่มองสอบแวบ ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี ทันใดนั้นพลันพลิกฝ่ามือ ผ้าพันคอทั้งสองพลันสลายหายไปอย่างไร้เงา
“ขอบพระคุณพี่หานที่ลงมือช่วยเหลือ! บุญคุณในการช่วยชีวิตครั้งนี้ เผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเราจะต้องไม่ลืมไปชั่วลูกลูกหลาน!” ยามนี้ฮูหยินพลันพาหญิงสาวเดินเข้ามาด้วยความตื่นตะลึงระคนดีใจ ไม่อาจปกปิดสีหน้ายินดีเอาไว้ได้มิดขณะเอ่ย
ส่วนเรื่องที่หานลี่เพิ่งจะเอาผ้าพันคอสีดำสองผืนไปเมื่อครู่นั้น ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำ
นางในเวลานี้ถึงได้รู้อย่างแท้จริงว่า อิทธิฤทธิ์ของหานลี่แข็งแกร่งกว่าที่คิดเอาไว้ตั้งไม่รู้กี่เท่า จึงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกนับถือเป็นพิเศษเช่นกัน
ไป๋จูเอ๋อร์ที่ได้เห็นความสามารถของหานลี่เมื่อครู่ ปะหน้าไม่กี่ครั้งก็สามารถสังหารเผ่าที่พวกนางคิดว่าไม่อาจต้านทานไหวได้อย่างง่ายดาย าช่างน่าตกตะลึงนัก!
แม้ว่าปากเล็กรูปผลอิงเถาของนางจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่สายตาที่มองมายังหานลี่ก็มีความเคารพนับถือขึ้นเช่นกัน
ส่วนมนุษย์ปุโรหิตอสรพิษสองสามตนนั้นก็เข้ามาด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน ท่าทางเคารพนบน้อม
“หึๆ นี่แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรเสียการลงมือครั้งนี้ ด้านนอกก็ยังมีชาวตาข่ายทมิฬตนอื่นอีก ข้าเองจะช่วยพวกเจ้าไล่ไปสักครั้งก็แล้วกัน” หานลี่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของคนเหล่านั้น แล้วกลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมาขณะเอ่ย
เมื่อได้ฟังคำพูดของหานลี่ ฮูหยินและพวกพลันรู้สึกดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง ปากพลันเอ่ยคำขอบคุณเป็นพัลวัน
ตอนที่ 1546 ผ้าพันคอสีดำ
หานลี่พลันหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา หลังจากเก็บกระบี่บินและยอดเขาสีดำเข้าไปแล้ว พลันสะบัดแขนเสื้อ
ลำแสงสีทองดวงหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นอสูรตัวน้อยรูปร่างเหมือนเสือดาวร่อนลงมาที่พื้นดินเบื้องหน้าห่างออกไป สองสามฉื่อ
นั่นก็คืออสูรมิคาทน!
เมื่อเห็นอสูรตัวนี้ฮูหยินและปุโรหิตชาวอสรพิษตนอื่นๆ พลันตะลึงค้าง แต่ทันใดนั้นก็กวาดจิตสัมผัสไปบนร่างของอสูรตัวน้อยแล้วสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกตะลึง!
อสูรตัวนี้แผ่กลิ่นอายที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งออกมา ทำให้ฮูหยินที่มีพลังยุทธ์เช่นนี้ใจหายวาบ
“ไป สังหารชาวตาข่ายทมิฬเหล่านั้น” หานลี่ออกคำสั่งกับอสูรน้อยตัวนั้น
อสูรมิคาทนได้ยิน แววตาพลันฉายแวบโหดเ**้ยม ร่างกายวูบไหว กลายเป็นเงาลวงตาที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเจ็ดแปดเงา แล้วพุ่งตรงไปยังประตูวิหาร
เห็นเพียงเงาอสูรเหล่านั้นรางเลือน แล้วมาอยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง หลังจากกะพริบวาบพร้อมกัน ก็หายวับไปจากประตูอย่างไร้ร่องรอย
ความเร็วของมันทำให้ทุกคนตกใจจนปากอ้าตาค้าง!
หลังจากที่ฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง ถึงได้ฝืนรักษาสีหน้าให้สุขุมได้ แต่ในใจตื่นตะลึงแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
ทว่านางนึกอะไรขึ้นได้ในทันที ฉับพลันนั้นพลันควักแผ่นป้ายออกมา โบกไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถา!
ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงห้าสีที่ปกคลุมด้านนอกวิหารสลายหายไป
“ในเมื่อจัดการปัญหาได้แล้ว ผู้แซ่หานก็จะไม่รั้งรออยู่ที่นี่นานอีก ขอกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อน อสูรวิญญาณตัวนี้ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลอันใด หลังจากทำภารกิจเสร็จ มันจะกลับมาหาข้าเอง” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
ทันใดนั้นเขาก็ไม่รอให้ฮูหยินและพวกชาวเผ่าเพลิงอาทิตย์ได้เอ่ยคำพูดซาบซึ้งอะไรอีก เรือนร่างเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งบินพุ่งออกไป
กะพริบวาบสองสามครา สายรุ้งสีเขียวพุ่งออกนอกประตูใหญ่ หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เหลือเพียงมนุษย์อสรพิษเผ่าเพลิงอาทิตย์กลุ่มหนึ่งที่กำลังมองสบตากันไปมา!
“มหาปุโรหิต ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเจ้าออกจากรั้ง ‘ท่านหาน’ผู้นี้เอาไว้ เกรงว่าเผ่าของพวกเราคงต้องสูญสิ้นแล้ว!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ มนุษย์อสรพิษสวมชุดสีขาวตนหนึ่งพลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เอ่ยอย่างรู้สึกโชคดี
“ใช่แล้ว! ตอนแรกพวกเราก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมหาปุโรหิตถึงได้นำยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดไปมอบให้คนนอกง่ายดายนัก ยามนี้ดูแล้วคงเป็นการมองการณ์ไกลของท่านมหาปุโรหิต!” ปุโรหิตสวมชุดขาวอีกคนหนึ่งพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
ฮูหยินได้ยินคำชมจากทั้งสอง กลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“ทั้งสองมองข้าสูงส่งเกินไปแล้ว ที่ข้าทำไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการกระทำที่จนปัญญาแล้วเท่านั้น แค่สวรรค์เมตตาเผ่าเรา อิทธิฤทธิ์ของท่านหานเหนือกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก จูเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าท่านหานเทียบกับอาจารย์ของเจ้าได้หรือไม่” ประโยคสุดท้ายฮูหยินกลับหันหน้าไปเอ่ยซักถามหญิงสาว ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นพิเศษ
ไป๋จูเอ๋อร์ได้ฟังท่านแม่ของตนเองถามเช่นนี้ กลับขมวดคิ้วมุ่น ชั่วครู่ถึงได้ตอบกลับอย่างลังเลว่า
“ท่านอาจารย์ของข้าจัดอยู่ในระดับห้าของเผ่าเบื้องบน แต่ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะมาที่นี่ด้วยตนเอง คิดจะจัดการเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬสองตนนั้นก็ต้องไตร่ตรองอย่างหนัก ไม่อาจลงมือสังหารอย่างง่ายดายเช่นนี้”
เมื่อได้ยินคำตอบที่คลุมเครือของหญิงสาว ฮูหยินก็เข้าใจความนัยในทันที หลังจากพยักหน้า ก็ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจอะไรออกมา
จนถึงตอนที่ปุโรหิตชุดขาวสองสามตนด้านข้างมีสีหน้าแปลกพิกลนั้น แม้กระทั่งคนหนึ่งยังเอ่ยพึมพำว่า
“หรือว่าท่านหานจะเป็นชนชั้นสูงของเผ่าเบื้องบน หากเป็นเช่นนั้นละก็ ฆราวาสฉลามเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในน่านน้ำแห่งนี้ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“เรื่องนั้นพูดยาก ฆราวาสฉลามเงินเองอยู่ในระดับสามเช่นกัน ต่อให้พลังยุทธ์ไม่ต่างกันมาก สู้รบกันก็ยังต้องดูเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนและอานุภาพของสมบัติที่มี” ฮูหยินพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างแช่มช้า
เมื่อได้ฟังคำนั้น มนุษย์อสรพิษชุดขาวเหล่านั้นพลันพยักหน้า ต่างขบคิดอะไรสักอย่าง ครานั้นไม่มีผู้ใดปริปากใดๆ
“ท่านหานคิดจะอยู่บนเกาะเมฆาเพลิงนานเท่าใด คิดจะอยู่อาศัยระยะยาวหรือไม่!” ในที่สุดก็มีคนคนหนึ่งลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม
“เรื่องนี้ไม่เคยพูดถึง ทว่าเดาว่าคงไม่ได้จากไปในทันที แต่ก็ไม่ได้จะอยู่อาศัยระยะยาว จากพลังยุทธ์ของท่านอาวุโสหาน ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าเล็กๆ อย่างพวกเราจะรั้งเอาไว้ได้” ดูเหมือนจะรู้ความหมายของคำพูดของปุโรหิต ฮูหยินหน้ากระตุก แต่ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินฮูหยินกล่าวเช่นนั้น มนุษย์อสรพิษชุดขาวที่เหลือพลันขมวดคิ้วแน่น ในวิหารตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง
“เอาล่ะ หลังจากจัดการเรื่องอื่นเสร็จแล้วค่อยว่ากัน การต่อสู้ด้านนอกยังไม่จบ แม้นว่าเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองตนจะถูกสังหารแล้ว แต่ก็อาจจะมีชนชั้นสูงของชาวตาข่ายทมิฬอื่นอีก แม้นอสูรวิญญาณของท่านหานจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่อาจสังหารทั้งหมดได้ พวกเราเรียกออกไปช่วยกันเถิด หว่านแหจับชาวตาข่ายทมิฬได้เร็วหน่อย เผ่าของเราก็สูญเสียประชากรน้อยลงเท่านั้น” ฮูหยินกวาดสายตาไปด้านนอกวิหาร ฉับพลันนั้นพลันออกคำสั่งเช่นนี้ออกมา
มนุษย์อสรพิษชุดขาวสี่คนได้ฟังเช่นนั้น พลันได้สติ พากันค้อมตัวเอ่ยตอบรับ
ดังนั้นทั้งหกจึงขับเคลื่อนลำแสงหลีกบินหนีออกไปจากวิหารอย่างร้อนรน ตรงไปยังจุดที่มีเสียงฝีเท้าดังอึกทึกมากที่สุด
……
ไม่นานนัก หานลี่กลับมาถึงที่พัก ก็เดินเข้าไปในห้องไม้ซึ่งเป็นที่พักของตนเองทันที แล้วเปิดเขตอาคมขึ้นอีกครั้ง นั่งขัดสมาธิลงบนเตียง
แววตาของเขาเปล่งประกาย ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ชาวตาข่ายทมิฬที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดสองคนล้วนถูกเขาสังหารแล้ว มีอสูรมิคาทนคอยช่วยเหลือ สงครามของเมืองหินครั้งนี้ย่อมถูกตัดสินแล้ว!
เช่นนั้นเขาจึงนับยาลูกกลอนที่ฮูหยินมอบให้ไปเล็กน้อย จากนี้ต้องใช้เวลาครึ่งปี รักษาอาการบาดเจ็บของตนเองให้กลับมาเป็นดังเดิม
เมื่อขบคิดเช่นนั้น มุมปากของหานลี่พลันเผยรอยยิ้มออกมา แต่ครู่ต่อมาพลันนึกอะไรได้ ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ลำแสงสีดำสว่างวาบ ผ้าพันคอผืนหนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นก็คือสมบัติที่ได้มาจากเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬสองตนนั้น
หานลี่จ้องเขม็งไปยังของในมือ เผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา
ผ้าพันคอเป็นสีดำสนิท บางๆ ชั้นหนึ่ง แต่ลูบไปกลับนุ่มนิ่มเป็นพิเศษ เรียบลื่นและเย็นสบาย เมื่อสะบัดเล็กน้อย ผิวของมันพลันมีอักขระสีดำปรากฏขึ้นรางๆ แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่สมบัติธรรมดา
หลังจากหานลี่เพ่งมองอยู่ชั่วครู่ พลันยื่นนิ้วชี้ออกไปแตะที่มัน
ปลายนิ้วมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ บรรจุพลังวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมากลงไป จากนั้นพลันสะบัดข้อมือ ผ้าสีดำลอยขึ้น หมุนคว้างกลางอากาศ กลายเป็นผ้ากึ่งโปร่งใสผืนหนึ่ง
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างมองของสิ่งนี้ มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ปล่อยลำแสงสีเขียวสายหนึ่งออกไป อาคมเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในผ้าพันคอสีดำ จากนั้นพลันพลิ้วไหว ร่อนลงมาเหนือศีรษะของหานลี่ ปกคลุมเรือนร่างของเขาเอาไว้พอดี
ฉากที่น่าตกใจพลันปรากฏขึ้น
พริบตาที่ผ้าพันคอตกมาถึงเรือนร่างของหานลี่ เงาร่างที่เดิมทีชัดเจนพลันรางเลือน จากนั้นพลันกะพริบวาบแล้วหายวับไป
แววตาของหานลี่ฉายแววตื่นตะลึง ยกมือขึ้นมอง แล้วก้มหน้ามองร่างกายที่อำพรางกายไปของตนเอง แววตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วครู่เขาพลันเผยรอยยิ้มบางเบาออกมา
ไม่ผิดจริงๆ ด้วย!
หากเขาไม่ใช้อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณจนถึงขีดสุด ก็ไม่อาจมองเห็นการอำพรางกายของผ้าพันคอผืนนี้ได้ คิดดูแล้วนี่ก็คงเป็นสมบัติที่ชาวตาข่ายทมิฬสองตนใช้อำพรางกายเข้ามาในวิหารในตอนแรก
เมื่อครุ่นคิดเช่นนั้น หานลี่พลันแผ่จิตสัมผัสออกไปเล็กน้อย คิดจะทะลวงผ่านผ้าพันคอไป
แต่เมื่อจิตสัมผัสสัมผัสกับผ้าพันคอสีดำ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนกับจมหายเข้าไปในหมอกหนาทึบ ไม่อาจแผ่จิตสัมผัสออกไปนอกผ้าพันคอสีดำได้ ดูแล้วที่เขาไม่อาจมองพลังยุทธ์ของเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬทั้งสองตนออกได้ ก็คงจะเป็นเพราะสิ่งนี้
เมื่อครุ่นคิดแล้ว ฉับพลันนั้นเขาพลันยื่นมือออกไปจับมุมหนึ่งของผ้าพันคอสีดำ ร่ายคาถาในใจแล้วสะบัดออกเบาๆ
ผ้าพันคอสีดำกะพริบวาบ ฉับพลันนั้นพลันจมหายเข้าไปในชุดคลุมยาว อำพรางกายไป
หานลี่ใช้จิตสัมผัสกวาดดูบนเรือนร่างตนเองอีกรอบสองสามครั้ง แล้วเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
ผ้าพันคอสีดำผืนนี้เป็นสมบัติช่วยเสริมที่หายากชิ้นหนึ่ง แต่ในด้านการอำพรางกายนั้น ช่างน่ามหัศจรรย์นัก เกรงว่าคงเป็นรองแค่ยันต์ชำระพิสุทธิ์
แม้ว่ายันต์ชำระพิสุทธิ์จะมีประสิทธิภาพในการอำพรางกายที่น่าตื่นตะลึง แต่ก็มีข้อจำกัดไม่น้อย ไม่เพียงการเรียกใช้จะเชื่องช้าเกินไป เคล็ดวิชาและอิทธิฤทธิ์จำนวนไม่น้อยก็ถูกจำกัดไว้ว
แต่ผ้าพันคอสีดำนี้เดิมทีก็เป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพดีชิ้นหนึ่ง การเรียกใช้ก็สะดวกมาก อานุภาพขึ้นอยู่กับลมปราณของผู้ใช้ และสำแดงความสามารถที่ไม่เหมือนกันออกมา
ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะชาวตาข่ายทมิฬสองตนนั้นมีพลังยุทธ์ค่อนข้างต่ำ เขาก็ไม่อาจมองร่องรอยของพวกเขาออกได้อย่างง่ายดาย
หลังจากเรียกผ้าพันคอสีดำออกมาอีกครั้ง หานลี่พลันลูบเล่นไปมาชั่วครู่ แล้วเก็บสิ่งนั้นลงไป เก็บเอาไว้ใช้
เวลาต่อมาหานลี่ก็ไม่ได้ทำสิ่งใดอีก หลับตาทั้งสองข้างลง ฝึกฝนอย่างซื่อๆ
เห็นเพียงผิวของเขามีลำแสงสีทองเรืองๆ รัศมีลำแสงสีทองเป็นวงๆ แผ่ออกมาจากศีรษะของเขา เทวรูปสีทองนั่งขัดสมาธิปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ร่างของหานลี่นิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน…
สองสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว!
ช่วงเวลานั้นฮูหยินนำสมุนไพรวิญญาณที่หายากและศิลาวิญญาณระดับสูงจำนวนหนึ่ง มามอบให้ที่ด้านหน้าบ้านไม้ด้วยตนเอง
ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้เปิดประตูไปรับ แค่ให้สตรีผู้นั้นวางของไว้ด้านนอกประตู ท่าทางไม่ยอมพบแขกง่ายๆ อีก
ฮูหยินเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าไม่พอใจ ทันใดนั้นก็วางของลงตามคำพูดของเขา แล้วกล่าวลาจากไปอย่างรู้จักวางตน
หานลี่ถึงได้ให้อสูรวิญญาณครวญดูดของเข้ามาในบ้าน ส่วนตนเองก็ไม่ลงจากเตียงเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้กระทั่งเปลือกตาก็ไม่ยอมเปิดออกอีกแม้แต่คราเดียว
วันเวลาไหลผ่านไป ชั่วครู่ก็ผ่านไปสองสามเดือน
ฮูหยินและชนชั้นสูงของเผ่าเพลิงอาทิตย์บนเกาะ ไม่มีผู้ใดกล้ามารบกวนหานลี่อีก
แต่วันนี้หานลี่ที่กำลังนั่งโคจรพลังอยู่เงียบๆ พลันเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง อ้าปากออก พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบ พลันกลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง
นั่นก็คือวิหคเพลิงวิญญาณวิญญาณ!
หานลี่มองวิหคเพลิง แววตากลับฉายแววประหลาดใจ
วิหคเพลิงตัวนี้ดูเหมือนก่อนหน้าไม่มีผิดเพี้ยน แต่หลังจากกวาดจิตสัมผัสไป แน่นอนย่อมพบว่าในร่างของวิหคเพลิงดูเหมือนจะมีอะไรเพิ่มขึ้นมา
แววตาของเขาฉายแววสีฟ้าสว่างวาบ ในที่สุดก็มองสิ่งประหลาดนั้นออก
ของเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เพลิงกลืนวิญญาณหลอมสิ่งที่เรียกว่า ‘คลื่นลำแสงภยันตราย’ จนหมด
ทั้งสองน่าจะเกี่ยวข้องกัน
หานลี่ตรึกตรองเล็กน้อย มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ชี้ไปทางวิหคเพลิงสีเงินกลางอากาศเบาๆ
ชั่วขณะนั้นวิหคเพลิงตัวนี้พลันสยายปีกทั้งสองข้างออก บินหมุนวนอยู่เหนือศีรษะของหานลี่
แต่บินไปแค่สองรอบ วิหคเพลิงพลันอ้าปากออก พ่นเส้นไหมสีทองเงินบางสายหนึ่งออกมา
แค่กะพริบวาบก็โจมตีไปยังเขตอาคมบนกำแพงด้านหนึ่ง
เห็นเพียงเขตอาคมสีขาวมีลำแสงไหวกระเพื่อม เส้นไหมบางสีทองเงินทะลวงผ่านกำแพงไปราวกับมองไม่เห็นมัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น