ข้ามกาลบันดาลรัก 154.2-155.3

 ตอนที่ 154.2

 

ความจริง

 


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้า แสร้งถามอย่างเกรงขาม “แม่นางเมิ่ง เมื่อครู่คุณชายจางได้บอกกล่าวต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเจ้ายังมีอะไรจะเพิ่มเติมหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านใต้เท้า เมื่อครู่ข้าไม่ได้อยู่ในศาล ย่อมไม่ได้ยินคำพูดของคุณชายจาง ไม่ทราบว่าจะขอให้เขาพูดใหม่อีกครั้งได้หรือไม่?”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้า สั่งการคุณชายจาง “เจ้าจงพูดซ้ำอีกครั้ง”


 


 


คุณชายจางไม่กล้าขัดขืน จำต้องพูดคำพูดเมื่อครู่อีกครั้ง ทว่าน้ำเสียงไม่เห่อเหิมเหมือนเมื่อครู่แล้ว


 


 


ฟังคำพูดเขาจบ เมิ่งเชี่ยนโยวทำความเคารพเปาชิงเหอแล้วพูด “ท่านใต้เท้าได้ยินแล้ว เป็นเขาที่ใช้วาจาหมิ่นเกียรติข้า ทำลายชื่อเสียงของข้าก่อน ข้าโมโหที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมถึงได้ลงมือกับเขา ขอใต้เท้าพิจารณา คืนความยุติธรรมให้ผู้น้อยด้วย”


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเตะลูกบอลหนังมาที่ตัวเอง เปาชิงเหอยิ่งให้กลัดกลุ้ม รู้ว่าคดีในวันนี้หากไม่มีคำตอบที่นางพอใจ สาวน้อยนางนี้ไม่มีทางรามือง่ายๆ จึงใช้แท่งไม้ตบบัลลังก์ เปล่งเสียงพูดดังสนั่น “คุณชายจาง เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”


 


 


คุณชายจางถือว่าครอบครัวร่ำรวย เที่ยวระรานใช้อำนาจบาตรใหญ่ ก่อเรื่องผิดเหลือคณานับ จำนวนครั้งที่มาศาลาว่าการก็นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทุกครั้งเปาชิงเหอจะซักถามอย่างละมุนละม่อม ไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้ถามเขามาก่อน พลันตกใจขาระทวย คุกเข่าลงกับพื้น


 


 


เปาชิงเหอพูดอย่างเกรงขาม “กลางวันแสกๆ เจ้าเกี้ยวพาราสีแม่นางน้อยต่อหน้าผู้คนมากมาย นี่คือความผิดที่หนึ่ง พอเกี้ยวพาไม่สำเร็จ เกิดอับอายกลายเป็นความโมโห สั่งการกลุ่มคนรับใช้ใช้ไม้กระบองเข้ารุมทำร้ายแม่นางน้อยและคนในครอบครัว ถือเป็นความผิดที่สอง ความผิดสองกระทงนี้ เจ้าจะรับหรือไม่รับ”


 


 


หากเป็นในอดีต คุณชายจางคงเถียงคอเป็นเอ็นแล้วว่า “ข้ารับแล้วอย่างไร ไม่รับแล้วอย่างไร” แต่ตอนนี้เห็นอากัปกิริยาเช่นนี้ของเปาชิงเหอ ต่อให้เขาโง่ก็รับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของเขา ไม่กล้าเห่อเหิมใจอีก คุกเข่าแล้วตอบแต่โดยดี “ท่านใต้เท้า ข้ารับ ข้ารับแล้ว”


 


 


เปาชิงเหอเห็นเขายังนับว่ารู้ความ พยักหน้าพึงพอใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงตัดสินโทษ “คนรับใช้ทั้งหมดให้รับโทษโบยสิบไม้ ปรับเงินคุณชายจางห้าสิบตำลึง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป”


 


 


คุณชายจางถอนใจโล่งอก ตัวเองไม่ถูกโบยก็พอ


 


 


เปาชิงเหอพูดจบถามเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่งพอใจการตัดสินคดีของข้าหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ตอบอย่างนอบน้อม “เรียนใต้เท้า ไม่พอใจ”


 


 


เปาชิงเหอสะอึกกึก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้หน้าคุณชายจางแล้วพูดต่อ “เขาเริ่มจากใช้วาจาจาบจ้วงข้า แล้วสั่งการคนรับใช้รุมทำร้ายพวกเราสองพี่น้อง เหตุใดคนรับใช้ถูกโบย เขากลับแค่ถูกปรับเงินห้าสิบตำลึง?”


 


 


เปาชิงเหอก่นด่าคุณชายจางในใจเป็นร้องครั้ง เจ้ามีเรื่องกับใครไม่มี จะต้องมามีกับแม่นางน้อยที่ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร ครานี้ดีแล้ว ต่อให้ข้ามีใจอยากช่วยเจ้า ก็ไม่ได้แล้ว


 


 


คุณชายจางเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ยอมรับคำตัดสินนี้ โมโหเดือดดาล พูดอย่างเคืองขุ่น “นังตัวดี อย่าได้ดีแล้วไม่รู้จักดี เงินห้าสิบตำลึงนี้เพียงพอให้คนบ้านนอกอย่างพวกเจ้าสุขสบายไปทั้งชีวิต เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีก?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งตบหน้าอก พูดกับเปาชิงเหออย่างหวาดกลัว “ท่านใต้เท้า เขาข่มขู่ข้า! ข้าตกใจหมดเลย”


 


 


คุณชายจางเห็นท่าทีของนาง โมโหจนจมูกเบี้ยว


 


 


เจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็เกือบจะล้มไม่เป็นท่า


 


 


เปาชิงเหอเกือบจะพ่นหัวเราะออกมา รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวต้องการจะแกล้งคุณชายจาง ยังแอบรอคอยในใจ ฝืนกลั้นความขบขันไว้ ดึงหน้า ใช้แท่งไม้ตบบัลลังก์อย่างน่ายำเกรง พูดสนับสนุน “คุณชายจาง เจ้าอยู่ในศาลยังกล้าข่มขู่ผู้เคราะห์ร้ายเช่นนี้ ไม่เห็นนายอำเภออย่างข้าอยู่ในสายตาเลยใช่หรือไม่?”


 


 


ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม คุณชายจางหวาดกลัวลนลาน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดซึมออกมาจากหน้าผาก พูดอย่างสั่นกลัว “ผู้น้อยไม่กล้า”


 


 


เปาชิงเหอส่งเสียง “อือ” ด้วยใบหน้าเมินเฉยแล้วพูดว่า “เชื่อว่าเจ้าก็ไม่กล้า!”


 


 


พูดจบถามเมิ่งเชี่ยนโยว “ต้องลงโทษพวกเขาอย่างไรเจ้าถึงจะพอใจ?”


 


 


คุณชายจางได้ยินคำพูดเปาชิงเหอ เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามตัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดเล็กน้อย พูดอย่างไม่แยแส “เงินห้าสิบตำลึงไม่ต้องแล้ว โบยเขายี่สิบไม้เถอะ”


 


 


คุณชายจางตกใจนั่งซึมกระทื่อไปกับพื้น ตาลอยมองเปาชิงเหอ กลัวเขาจะรับปากคำขอของเมิ่งเชี่ยนโยว ให้ตัวเองถูกโบยยี่สิบไม้


 


 


เปาชิงเหอตรึกตรองอย่างลำบากใจครู่หนึ่ง พูดว่า “แม่นางเมิ่ง แม้คุณชายจางจะสั่งให้คนรับใช้ลงมือกับพวกเจ้าสองพี่น้อง อย่างไรพวกเจ้าก็ไม่บาดเจ็บอะไร เจ้าลองดูว่าพอจะลงโทษเขาสถานเบาได้หรือไม่”


 


 


คุณชายจางพยักหน้าพัลวัน มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมีความหวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเปาชิงเหอขอร้องแทนคุณชายจาง รู้ว่าครอบครัวคุณชายจางจะต้องมีพื้นเพไม่ธรรมดา เขาไม่กล้าล่วงเกินโดยใช่เหตุ และรู้ว่าเปาชิงเหอเห็นแก่หน้าเปาอีฝานถึงเกรงใจตนเอง ถามความคิดเห็นของตนเองเช่นนี้ หากตนเองยังดึงรั้นต่อไป จะต้องทำให้เขาไม่พอใจ จึงพูดเออออตาม “เมื่อใต้เท้าขอร้องแทนเขาเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องโบยยี่สิบไม้แล้ว ให้เขาชดใช้เงินห้าร้อยตำลึงเถอะ”


 


 


เปาชิงเหอเห็นนางยอมอ่อนข้อให้ตนเอง ก็โล่งอก พูดต่อจากนาง “คุณชายจาง เจ้าได้ยินชัดหรือไม่? แม่นางเมิ่งเรียกร้องให้เจ้าจ่ายเงินชดใช้ห้าร้อยตำลึง เจ้าจะยินดีหรือไม่?”


 


 


ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวร้องขอให้โบกเขายี่สิบไม้ คุณชายจางก็หายใจไม่ทั่วท้องมาพักใหญ่แล้ว กลัวเปาชิงเหอจะรับปากข้อเสนอของนาง ให้เจ้าหน้าที่โบยเขาจริงๆ เช่นนั้นชีวิตเขาได้หาไม่เป็นแน่ ตอนนี้ได้ยินเปาชิงเหอถามเขาว่ายินดีจะชดใช้เงินห้าร้อยตำลึงหรือไม่ ไหนเลยจะกล้าลังเล รับปากโดยพลัน “ผู้น้อยยินดี”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้าพึงพอใจ พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะตัดสินสินอย่างเป็นทางการ ให้โบยคนรับใช้คนละสิบไม้ ส่วนคุณชายจางให้ชดใช้แม่นางเมิ่งห้าร้อยตำลึง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ใต้เท้าพูดผิดแล้ว เงินห้าร้อยตำลึงนี้ข้าไม่ได้ต้องการเอง แต่ข้าพูดขอแทนหลงจู๊ของภัตตาคาร พวกเราวิวาทกันที่ภัตตาคาร ทำให้ลูกค้าในภัตตาคารหนีหายไปโดยไม่ทันได้คิดเงิน ยังมีโต๊ะเก้าอี้ที่พวกเราทำเสียหาย พวกเราสมควรชดใช้ ใต้เท้าสั่งการให้ชดใช้เงินนี้ให้หลงจู๊เถอะ”


 


 


คุณชายจางไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเรียกร้องเงินก้อนโตเช่นนี้ ไม่ได้เพื่อให้ตัวเอง งุนงงตกตะลึงอยู่ตรงนั้น


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้าอย่างพอใจอีกครั้ง กำชับเจ้าหน้าที่ไปนำตัวหลงจู๊ของภัตตาคารมา


 


 


หลงจู๊ของภัตตาคารเร่งรีบตามเจ้าหน้าที่มา พอได้ยินว่าใต้เท้าเปาตัดสินให้คุณชายจางชดใช้เงินให้ตัวเองห้าร้อยตำลึง ตื้นตันใจจนน้ำตาเกือบไหล กล่าวขอบคุณเปาชิงเหออย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณใต้เท้าเปาเป็นปากเสียงแทนข้า แต่เงินนี้มากเกินไป เมื่อครู่ผู้น้อยคำนวณดูแล้ว ความเสียหายทั้งหมดคือสองร้อยตำลึง ไม่ต้องให้มากขนาดนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเตือนเขา “พวกเราวิวาทที่ภัตตาคารของท่าน ไม่เพียงทำลูกค้าที่มากินข้าววันนี้ตกใจหนีไป วันสองวันนี้เกรงว่าก็จะไม่มีคนเข้ามากินข้าว เงินที่เหลือถือว่าชดเชยความเสียหายในอีกวันสองวันนี้ ท่านอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย รับไว้เถอะ”


 


 


หลงจู๊เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวคิดแทนตนเองเช่นนี้ ก็กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ


 


 


หลงจู๊แสดงความเคารพเปาชิงเหอ รับเงินห้าร้อยตำลึงจากไปอย่างยินดี


 


 


สองพี่น้องตู้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวให้เงินห้าร้อยตำลึงกับคนอื่นไปโดยไม่กะพริบตา สบตากันแวบหนึ่ง ต่างเข้าใจความหมายกันและกัน ทั้งสองมองเมิ่งเหรินอย่างเร่าร้อน ราวกับมองเห็นภูเขาเงินภูเขาทอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับจ้องพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขา เผยอยิ้มเล็กน้อย หันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ใต้เท้าเปา แม้ท่านจะลงโทษคุณชายจางและคนรับใช้แล้ว แต่ต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ท่านคงยังไม่รู้”


 


 


เปาชิงเหอก็คร่ำหวอดรับราชการมานานหลายปี ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ทันทีว่านางยังมีเรื่องจะพูด เออออซักถามนางทันควัน “หรือว่าเรื่องนี้ยังมีต้นเหตุอื่น?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าและพี่ใหญ่ น้องเล็กเดิมนั่งกินข้าวอยู่ในห้องรับรองดีๆ ได้ยินเสียงโวยวายด้านนอก เดิมพวกเราไม่คิดจะสนใจ แต่เสียงโวยวายที่ลอยเข้ามากลับเป็นเสียงของพี่ใหญ่บุตรชายลุงใหญ่ข้า ท่านพี่ข้าตื่นตกใจ ถึงได้ออกไปดูว่าเกิดเรื่องอันใด ทำให้บัณฑิตธรรมดาคนหนึ่ง กล้ามาร้องเอ็ดตะโรเรียกร้องความยุติธรรมอย่างไม่สนใจสถานะต่อหน้าผู้คนมากมายในภัตตาคาร” พูดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองสองพี่น้องตู้แวบหนึ่ง


 


 


สอนพี่น้องตู้สะท้อนแววตาปริบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ข้าสอบถามความจากคนอื่นถึงได้รู้ว่า ที่แท้พวกเขาสองพี่น้องเอาการหมั้นหมายมาบังหน้าหลอกลวงต้มตุ๋นคนไปทั่ว พี่ใหญ่ข้าหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ ถูกพวกเขาหลอกต้มตุ๋น นำทุกสิ่งทุกอย่างของตนเองมาเอาใจคุณหนูตู้ แต่พอนางจะอาจเอื้อมเข้าหาคุณชายจาง ก็ถีบเขาทิ้งอย่างไม่ไยดี พี่ใหญ่ข้าใช้โอกาสตอนที่ไม่มีคาบเรียน ออกมาซื้อเครื่องเขียน เห็นพวกเขาเดินเข้าภัตตาคารไปพร้อมคุณชายจาง ถึงไม่สนใจสถานะตามหลังพวกเขาไป แต่คุณชายตู้กลับเห็นเข้า ทั้งสองฝ่ายถึงได้มีปากเสียงกันในภัตตาคาร แล้วเกิดเรื่องราวหลังจากนั้นขึ้น”


 


 


เปาชิงเหอได้ฟังถามสองพี่น้องตู้ “ที่แม่นางเมิ่งพูดเป็นความจริงหรือไม่?”


 


 


สองพี่น้องตู้ปฏิเสธทันควัน คุณหนูตู้พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ใต้เท้าเปา ผู้น้อยถูกใส่ร้าย พี่ใหญ่นางและพี่ชายข้าเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนกัน มีครั้งหนึ่งข้ามาเยี่ยมพี่ชายแล้วเขาเห็นเข้า เกิดเป็นรักแรกพบ คอยสอบถามกับพี่ชายข้าหลายครั้ง พี่ชายข้าคิดว่าพวกเราไม่คู่ควรกัน ห้ามปราบหลายครั้ง แต่เขาไม่ฟัง คอยตามตอแยข้าไม่วาย ข้าไม่ยินยอม เขาทำใจไม่ได้ ถึงได้สะกดรอยตามพวกเรา”


 


 


สิ้นเสียงเขา เมิ่งเหรินโต้แย้งด้วยโทสะเสียงลั่น “เหลวไหลทั้งเพ พี่ชายเจ้าต่างหากที่พูดว่า ตอนที่เจ้ามาเยี่ยมเขาครั้งแรก ก็เกิดรักแรกพบต่อข้าที่อยู่กับเขาด้วย ถามข้าว่ายินดีรับเจ้าไว้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเห็นเจ้าอ่อนโยนสุภาพ ถึงได้ตบปากรับคำ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเจ้ายังให้คำสัญญาข้า หากข้าสอบซิ่วไฉได้ จะให้ไปสู่ขอที่บ้านพวกเจ้าได้ พ่อแม่เจ้าเห็นแก่ที่ข้าเป็นซิ่วไฉ จะต้องยอมรับปากเรื่องหมั้นหมายของเรา ถึงตอนนั้นเจ้ายังจะใช้โอกาสนี้ขอให้บิดามารดาเจ้าสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสอบเคอจวี่ให้ข้าด้วย”


 


 


คุณหนูตู้โต้กลับพลัน “เจ้าพูดโกหก ข้าเป็นถึงคุณหนูสกุลสูงศักดิ์ จะพึงพอใจคนบ้านนอกแร้นแค้นอย่างเจ้าได้อย่างไร ยิ่งไม่เคยให้สัญญาหมั้นหมายกับเจ้า”


 


 


ได้ยินคำพูดนาง เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเล็กน้อย ถามขึ้น “ขอถามคุณหนูสกุลสูงศักดิ์ เมื่อเจ้าไม่ได้พึงพอใจพี่ใหญ่ข้า เหตุใดต้องหลอกให้เขาซื้อปิ่นปักผมราคาแพง มอบให้เจ้าแทนของหมั้นหมายด้วย”


 


 


ปิ่นปักผมขายทิ้งไปแล้ว ให้ตายคุณหนูตู้ก็ไม่ยอมรับ “พวกเจ้าอย่าใส่ร้ายข้า แม้ข้าจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ชายหญิงห้ามลักลอบคบหากันข้ายังพอรู้บ้าง พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ข้าจะไปรับปิ่นของเขามาได้อย่างไร อีกอย่าง ด้วยการแต่งเนื้อแต่งตัวของเจ้า จะมีปัญหาซื้อปิ่นราคาแพงหรือ? ใครได้ยิน ก็รู้ว่าเจ้าพูดโกหก”


 


 


เมิ่งเหรินคัดค้านเสียงแข็ง “ข้าไม่ได้พูดโกหก ตอนที่เราพบกันตามลำพังเจ้าพูดกับข้าเอง หากข้ามีใจต่อเจ้าจริง ก็ให้ซื้อปิ่นปักผมมาเป็นของหมั้นหมาย ข้าถึงได้หัวร้อน นำเงินค่าแรงครึ่งปีที่น้องชายข้าฝากข้านำกลับบ้านตอนปีใหม่มาซื้อปิ่นปักผมให้เจ้า”


 


 


คุณหนูตู้พูดเยาะหยัน “คำพูดเจ้ายิ่งน่าขบขันนัก ข้าเป็นคุณหนูสกุลสูงศักดิ์ ปกติไม่เยื้องย่างกายออกไปไหน จะไปพบเจ้าลำพังได้อย่างไร หากคำพูดเช่นนี้แพร่งพรายออกไปข้าจะมีหน้าอยู่ต่อไปได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกรุ่มกริ่ม พูดเหยียดหยัน “เมื่อคุณหนูตู้เอาแต่พูดว่าตัวเองเป็นคุณหนูสกุลสูงศักดิ์ ไม่พบกับชายหนุ่มตามลำพัง ข้าก็อยากถามเจ้า วันนี้เจ้าปรากฏตัวพร้อมคุณชายจางที่ภัตตาคารได้อย่างไร?”


 


 


คุณหนูตู้ไม่คิดว่านางจะถามเช่นนี้ พลันพูดไม่ออก


 


 


คุณชายตู้ก็กะพริบตาปริบอย่างร้อนตัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปถามคุณชายจาง “ไม่ทราบว่าคุณชายจางพอจะตอบคำถามนี้ได้หรือไม่?”


 


 


คุณชายจางก็ไม่ได้โง่ ได้ฟังมานานพอจะจับจุดบางอย่างได้ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา จึงตอบว่า “ข้ากับพวกเขาก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน วันนี้สาวงามนางนี้ไม่ตั้งใจเดินมาชนข้า ข้าเห็นนางหน้าตาสะสวย เกิดความคิดอยากให้นางกลับจวนไปกับข้า นางมิได้ตอบตกลง บอกว่ารับไม่ได้กับกฎระเบียบเคร่งครัดของสกุลใหญ่ บอกว่าหากข้าหมายปองนางจริงๆ ให้ซื้อเรือนสักหลังให้นาง เลี้ยงดูนางข้างนอก เรือนหลังหนึ่งใช้เงินไม่กี่มากน้อย บวกกับสาวงามนางนี้ก็ดูสง่างามอรชร ข้าคิดว่านางจะต้องไม่ธรรมดา จึงได้ตบปากรับคำไป ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงพอดี ข้าจึงไปกินอาหารกับพวกเขาที่ภัตตาคาร เตรียมจะให้เด็กรับใช้ไปซื้อเรือนหลังกินอาหารเสร็จ แต่พวกเรามาถึงภัตตาคารเพิ่งจะสั่งอาหารเสร็จ พี่ชายของสาวงามนางนี้ก็บอกว่ามีคนสะกดรอยตาม พวกเขาจะออกไปสั่งสอนเขาเสียหน่อย ตอนนั้นข้าบอกจะให้คนรับใช้ลงมือสั่งสอนคนที่สะกดรอยตาม พวกเขาไม่ยอม ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอพวกเขาออกไป เกิดเรื่องเอะอะโวยวายด้านนอก ข้าก็ยังไม่สนใจ กระทั่งข้ารอไม่ไหวแล้ว ออกมาดู ถึงเกิดเรื่องเหล่านั้นตามมา”


 


 


คุณชายจางพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างเหยียดหยัน “เกี้ยวพาผู้ชายข้างถนนก็คือลักษณะของคุณหนูสกุลสูงศักดิ์ที่คุณหนูตู้พูดถึง?”


 


 


สองพี่น้องตู้พูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง


 


 


เปาชิงเหอก็จับใจความเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว ใช้แท่งไม้ตบบัลลังก์ “สองพี่น้องตู้บังอาจนัก ยังไม่ยอมสารภาพพฤติกรรมต้มตุ๋นของพวกเจ้าออกมาอีก?”


 


 


เรื่องมาถึงตอนนี้ สองพี่น้องตู้ยังคิดจะเล่นลิ้น “ใต้เท้า ข้าถูกปรักปรำ พวกเราไม่ได้รับปิ่นจากเขามาจริงๆ ขอใต้เท้าตรวจสอบด้วย!”


 


 


ไม่มีพยานหลักฐาน สองพี่น้องตู้ให้ตายก็ไม่ยอมรับ เปาชิงเหอเองก็ยากจะตัดสินความได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ยาก ใต้เท้าให้พี่ใหญ่ข้าวาดรูปปิ่นปักผมออกมา ให้เจ้าหน้าที่นำไปถามที่ร้านเครื่องประดับในอำเภอ ดูว่าพวกเขาได้รับซื้อปิ่นแบบนี้ไว้หรือไม่ หากว่ามี ก็นำตัวพวกเขามายืนยัน ว่าใครที่นำปิ่นนี้มาขาย หากไม่มี ก็แปลว่าพี่ใหญ่ข้าพูดปด ปรักปรำคุณหนูตู้ ถึงตอนนั้นจะโบยหรือปรับพวกเราก็ยินดี”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้า ให้กุนซือนำกระดาษพู่กันมอบให้เมิ่งเหริน ให้เขาวาดรูปปิ่นออกมา


 


 


เมิ่งเหรินคุกเข่าลง วาดรูปปิ่นอย่างละเอียดออกมา มอบให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ถือแล้วรีบเดินออกไป

 

 

 


ตอนที่ 154.3

 

ความจริง

 


 


 


สองพี่น้องตู้หันหน้ามองกันอย่างหวาดกลัว รอคอยอย่างไม่เป็นสุข


 


 


เจ้าหน้าที่ทำงานเร็ว ไม่นานก็พาตัวหลงจู๊ร้านเครื่องประดับเข้ามา


 


 


หลงจู๊ผู้นั้นไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตกใจสองขาสั่นพับๆ พอมาถึงศาลก็คุกเข่าลงดัง “พลั่ก” เอ่ยปากถามเสียงสั่น “ไม่ทราบว่าใต้เท้าเรียกตัวผู้น้อยมา ด้วยเรื่องอันใด?”


 


 


เปาชิงเหอส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่กางภาพปิ่นปักผมออก ถามหลงจู๊ “เจ้าเคยรับซื้อปิ่นปักผมเช่นนี้หรือไม่?”


 


 


หลงจู๊พยักหน้าตามจริง “เรียนใต้เท้า เคยซื้อ”


 


 


เปาชิงเหอเค้นถาม “เมื่อไร และใครเป็นคนนำมาขาย?”


 


 


หลงจู๊ตอบ “หลังวันปีใหม่ ตอนนั้นผู้น้อยเพิ่งจะเปิดประตูร้านค้า ก็มีชายหญิงวัยหนุ่มสาวคู่หนึ่งเข้ามา หยิบปิ่นปักผมใหม่เอี่ยมออกมา ถามว่าร้านพวกเรารับซื้อหรือไม่? ข้าเห็นว่าเป็นปิ่นปักผมใหม่ คุณภาพก็ดี จึงถามราคาพวกเขา พวกเขาบอกว่าสิบตำลึง ข้าเห็นว่าราคาถูก เกิดความละโมบ จึงซื้อเก็บไว้”


 


 


เปาชิงเหอถามอีก “เจ้ายังจำคนที่ขายปิ่นนั้นได้หรือไม่?”


 


 


หลงจู๊พยักหน้า “ตอนนั้นพวกเขาให้ราคาที่ถูกมาก ข้าคลางแคลงใจ จึงเพ่งมองพวกเขาหลายครั้ง น่าจะจำได้”


 


 


เปาชิงเหอชี้สองพี่น้องตู้ถามเขา “เจ้าดูว่าใช่พวกเขาสองคนหรือไม่?”


 


 


หลงจู๊เงยหน้า แวบเดียวก็จำพวกเขาได้ ตอบกลับพลัน “ใต้เท้า ก็คือพวกเขา”


 


 


พอถูกจำได้ สองพี่น้องตู้นั่งซึมกระทื่อไปกับพื้น


 


 


เปาชิงเหอโมโหหนัก ตะเบ็งเสียงดังลั่น “กำเริบเสิบสาน ตอนนี้พยานหลักฐานพร้อม ยังไม่สารภาพความจริงออกมาอีก”


 


 


คุณหนูตู้มองพี่ชายตัวเองแวบหนึ่ง แสร้งพูดอย่างหวาดกลัว “ใต้เท้า ข้ายอมรับแล้ว”


 


 


คุณชายตู้คิดจะห้ามนาง คุณหนูตู้ส่งสายตาให้เขา คุณชายตู้รีบหดตัวกลับไปอยู่อีกด้านอย่างเชื่อฟัง


 


 


คุณหนูตู้พูดว่า “เรียนใต้เท้า เมื่อครู่ผู้น้อยพูดโกหก ความจริงครั้งแรกที่ข้าเห็นคุณชายเมิ่งก็เกิดเป็นรักแรกพบกับเขาแล้ว และเป็นข้าที่ขอร้องพี่ชายฝากข้อความแก่เขา บอกว่าข้ามีใจให้เขา ถามเขาว่าเขาก็พึงพอใจข้าหรือไม่ หลังจากที่คุณชายเมิ่งรับปากแล้ว ข้าก็ยินดีปรีดา มักจะใช้การมาเยี่ยมพี่ชายบังหน้าเพื่อมานัดเจอเขา เพื่อไม่ให้เขาเปลี่ยนใจหลังจากสอบซิ่วไฉได้ ข้าจึงขอร้องให้เขาซื้อของหมั้นหมาย เขาจึงซื้อปิ่นปักผมให้ข้า ข้าหวงแหนดั่งดวงใจ เก็บรักษาไว้อย่างดี แต่ไม่รู้ว่าบิดามารดาข้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หลังจากตำหนิข้าอย่างหนัก ยังสั่งห้ามไม่ให้ข้าออกจากบ้าน และห้ามมาพบคุณชายเมิ่งอีก ข้าไม่กล้าขัดแย้งความคิดเห็นบิดามารดา ทำได้เพียงให้พี่ชายบอกกล่าวความจนใจนี้ของข้ากับคุณชายเมิ่ง เดิมข้าก็คิดจะคืนปิ่นปักผมนี้ให้เขา แต่พอคิดว่าสักวันเขาก็จะมอบปิ่นปักผมนี้ให้กับผู้หญิงอื่น ใจข้าดั่งถูกมีดกรีด ถึงตัดสินใจไม่ว่าราคาเท่าไหร่ก็จะขายมันทิ้ง เพื่อตัดใจที่มีต่อเขาอย่างเด็ดขาด ไม่คิดว่าคุณชายเมิ่งจะรักปักใจต่อข้าเช่นนี้ ไม่ยอมรามือต่อคำปฏิเสธของข้า คอยตอแยข้าไม่เลิก ข้ากลัวเขาคลุ้มคลั่งเสียสติ ทำลายอนาคตที่ดีของตัวเอง ถึงหักใจอย่างไรก็ไม่ยอมรับ”


 


 


นางเพิ่งจะพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปรบมือแปะๆ ให้ พูดเย้ยหยัน “ช่างเป็นคำสารภาพรักที่ลึกซึ้งเต็มไปด้วยช่องโหว่ หากวันนี้ข้าไม่อยู่ในที่นี้ เกรงว่าพี่ใหญ่ข้าคงซาบซึ้งไปกับคำพูดของเจ้าจนไม่รู้จะตอบแทนเจ้าอย่างไรดีแล้ว น่าเสียดาย ที่เจ้ามาเจอข้า เกรงว่าคำพูดที่เจ้าวางแผนปั้นแต่งมาอย่างเหนื่อยยากนี้คงต้องล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้ว”


 


 


หลังจากได้ยินคำพูดช่วงแรก คุณหนูตู้ก็แอบชำเลืองมองเมิ่งเหริน เห็นใบหน้าเขาปรากฎอาการรวดร้าวใจจริงๆ ตอนที่กำลังลอบลำพองใจที่คำพูดนี้ของตัวเองไม่แน่ว่าจะทำให้เขาหวั่นไหว แล้วยินดียอมรับตัวเองอีกครั้งนั้น ก็ได้ยินคำพูดต่อมาของเมิ่งเชี่ยนโยว เคียดแค้นจนปวดรากฟัน ถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เมื่อครู่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ไม่เชื่อใต้เท้าส่งคนไปตรวจสอบดูได้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าข้าวางแผนปั้นแต่งเรื่อง? ข้าวางแผนใครกัน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยัน “ก็ต้องเป็นพี่ใหญ่ข้าอยู่แล้ว เจ้าคาดการณ์แล้วว่าพอพี่ใหญ่ข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากเจ้า จะต้องหวั่นไหวจนทนไม่ได้ ต่อไปจะต้องยิ่งทะนุถนอมเจ้า เจ้าก็จะยังเกาะเกาะพี่ใหญ่ข้าไม่ปล่อยได้ แต่น่าเสียดาย เจ้าคาดการณ์ผิดแล้ว แม้ข้าจะมีเงินหลายพันตำลึงในมือ แต่ครอบครัวพี่ใหญ่ข้ากลับแร้นแค้นมาก แม้แต่ค่าใช้จ่ายของเขายังต้องอาศัยเงินที่พี่รองข้าทำงานในภัตตาคารอย่างลำบากถึงได้มา”


 


 


คุณหนูตู้ร้องเสียงหลง “จะเป็นไปได้อย่างไร พวกเจ้ามิใช่ครอบครัวเดียวกันเรอะ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่พวกเราแยกบ้านกันนานแล้ว เงินที่ครอบครัวพวกเราหามาได้เขาไม่มีสิทธิ์ได้แม้แต่อีแปะเดียว”


 


 


คุณหนูตู้มองเมิ่งเหรินอย่างไม่เชื่อ


 


 


เมิ่งเหรินก้มหน้าละอาย


 


 


คุณหนูตู้นั่งแน่นิ่งไปกับพื้น คุณชายตู้ก็อ้าปากค้าง ไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังรู้สึกว่าเล่นงามไม่หนำใจ เอ่ยปากพูดต่อ “คุณหนูตู้และคุณชายตู้สมรู้ร่วมคิดกัน หลอกเงินนักเรียนยากจน ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเยี่ยงพี่น้องใช่หรือไม่?”


 


 


คุณหนูตู้และคุณชายตู้เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าซีดขาวมองมาที่นาง


 


 


คุณชายตู้โพล่งปากถามออกไปอย่างไม่เชื่อ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”


 


 


พูดจบ ถึงรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป สีหน้ายิ่งขาวซีดพลัน เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเหยาะหยัน “ข้าไม่เพียงรู้ว่าพวกเจ้าไม่ใช่พี่น้องกัน ข้ายังรู้ว่าพวกเจ้าเป็นสามีภรรยากัน ข้ายิ่งรู้ด้วยว่าพวกเจ้าหาใช่คุณชายคุณหนูสูงศักดิ์สกุลไหน เหล่านั้นพวกเจ้าล้วนปั้นแต่งเรื่องขึ้นเพื่อหลอกพวกนักเรียนฐานะยากจน โป้ปดให้พวกเขานำเงินที่มีทั้งหมดมาซื้อของให้พวกเจ้า”


 


 


สองพี่น้องตู้ใบหน้าซีดเผือด ทิ้งตัวอ่อนระทวยไปกับพื้น


 


 


เมิ่งเหรินไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ถามอย่างไม่เชื่อ “น้องโยวเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา หันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ใต้เท้า ข้าน่าจะพูดไม่ผิด หากท่านไม่เชื่อ ก็ให้พวกเขาบอกที่อยู่ของตัวเอง แล้วส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ เรื่องก็จะกระจ่างเอง”


 


 


เปาชิงเหอก็ตกใจในคำพูดของนาง ได้ยินคำแนะนำ ย้อนกลับมาถามสองพี่น้องตู้ทันที “ที่แม่นางเมิ่งพูดเป็นความจริงหรือไม่ พวกเจ้ามิใช่พี่น้องแต่เป็นสามีภรรยากัน เพียงเพื่อต้องการหลอกต้มตุ๋นเงินทองถึงเสแสร้งพูดว่าเป็นพี่น้องกัน?”


 


 


ทั้งสองก้มหน้า ตัวสั่นเทิ้มไม่ได้พูดอะไร


 


 


เปาชิงเหอบันดาลโทสะ ตบแท่งไม้ไปที่บัลลังก์ พูดอย่างฉุนเฉียว “ยังไม่สารภาพความผิดออกมาตามจริง อยากถูกโบยใช่หรือไม่?”


 


 


คุณหนูตู้ตกใจตัวสั่นระริกเหมือนกระชอน คุณชายตู้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน คลานเข่าวิงวอนอย่างขยาดกลัว “ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย ข้าพูด ข้าจะพูดทั้งหมด”


 


 


คุณหนูตู้หน้าถอดสีอย่างสิ้นเชิงฟุบไปกับพื้น


 


 


เปาชิงเหอพูดเกรี้ยวกราด “ยังไม่รีบพูด?”


 


 


คุณชายตู้พูดเสียงสั่น “พวกเรามิใช่พี่น้อง แต่เป็นสามีภรรยากัน”


 


 


สิ้นเสียงเขา เกิดเสียงสูดลมหายใจดังไปทั่วทั้งศาล เจ้าหน้าที่ทั้งหมดต่างมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเลื่อมใส แม้แต่เปาชิงเหอก็แสดงสายตาชื่นชม


 


 


หลังเสียงสูดลมหายใจผ่านไป คุณชายตู้ก็พูดต่อ “พวกเราเป็นสามีภรรยาในตำบลข้างๆ เดิมข้าเรียนหนังสือ นางทำนา ชีวิตครอบครัวราบรื่นเป็นสุขดี แต่ปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์พลิกผัน ไม่เพียงใช้เงินของพวกเราไปจนหมด ยังติดหนี้ญาติสนิทมิตรสหายไม่น้อย เดิมข้าคิดจะล้มเลิก กลับบ้านไปช่วยนางทำงาน แต่นางไม่ยินยอม บอกว่าทำเช่นนั้นพวกเราก็จะไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก เพื่อหลบเลี่ยงญาติมิตรทวงเงิน ข้าจึงเข้ามาเรียนในอำเภอ แต่เงินที่เหลือทั้งหมดรวมกันแล้ว เพียงพอให้ข้าเรียนในอำเภอได้เพียงสองเดือน อีกสองเดือนให้หลังข้าก็จะถูกโรงเรียนขับออก พวกเราปรึกษาหารือกัน จึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา ข้าเริ่มจากตัดใจนำเงินกว่าครึ่งซื้อเสื้อผ้าชั้นดีมาสวมใส่ แสร้งเป็นคุณชายเศรษฐี แล้วถึงให้นางแสดงเป็นน้องสาวข้า แต่งองค์เป็นคุณหนูสูงศักดิ์มาเยี่ยมเยียนข้า ข้าจงใจเชิญเพื่อนร่วมชั้นเรียนไปรับนางที่หน้าประตูกับข้าด้วย แล้วจึงบอกว่าน้องสาวข้าพึงพอใจพวกเขา แล้วพวกเขาก็ติดกับ เพื่อเอาอกเอาใจน้องสาวข้า นำเงินที่มีทั้งหมดมาซื้อของกำนัลมอบให้นาง แต่เพราะพวกเขาจนมาก พวกเราหลอกเอาเงินมาจากพวกเขาได้ไม่กี่มากน้อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ดังนั้นพวกเจ้าเห็นคุณชายจางเจ้าชู้บ้าตัณหาบนถนน ก็เลยเกิดแผน คิดจะหลอกเงินจากเขามาสักก้อน ถึงได้จงใจเดินชนเขา เรียกร้องความสนใจจากเขา หลอกล่อเขาให้ลุ่มหลง รับเลี้ยงเจ้าไว้เป็นบ้านเล็ก”


 


 


คุณชายตู้มองคุณชายจางแวบหนึ่ง ไม่โต้แย้ง ถือว่ายอมรับกลายๆ


 


 


คุณชายจางไม่เคยถูกใครวางแผนการเช่นนี้มาก่อน โมโหเดือดดาลพลัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับถามต่อ “พวกเจ้าทำเช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุมีผล แต่ข้ายังแคลงใจอยู่เรื่องหนึ่ง หากคุณชายจางรับภรรยาเจ้าเป็นบ้านเล็กจริงๆ เจ้าก็เท่ากับถูกสวมเขา เจ้าเป็นคน ยอมรับได้หรือ?”


 


 


คุณชายตู้กระพริบตาปริบ ถอยร่นไปด้านหลัง ห่างจากคุณชายจางเล็กน้อย ถึงพูด “ไม่มีทาง พวกเราปรึกษากันแล้ว ถึงตอนนั้นจะซื้อยากล่อมประสาท ทุกครั้งที่คุณชายจางมา จะเอาให้เขากิน ทำให้เหมือนว่าทำกิจสำเร็จแล้ว รอให้ผ่านไปสักระยะหนึ่งพอพวกเราหลอกได้เงินมา จะขายเรือนทิ้ง แล้วหนีไปไกล ไม่กลับมาอีก ให้เขาหาพวกเราไม่เจอ”


 


 


คุณชายจางโมโห ตรงเข้าเตะคุณชายตู้ “รนหาที่ตายชัดๆ กล้าวางแผนเช่นนี้กับข้า คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร?”


 


 


คุณชายตู้ถูกเตะกลิ้งไม่เป็นท่า ล้มพับไปอยู่ข้างคุณหนูตู้


 


 


คุณหนูตู้ตกใจร้องลั่น กระเถิบหนีไปอีกด้าน


 


 


เปาชิงเหอก็โมโหโกรธเกรี้ยว แผดเสียงก่นด่า “เสียแรงที่เจ้าเป็นคน กลับคิดแผนการชั้นต่ำเช่นนี้มาหลอกเงินคนอื่น ข้าว่าเจ้าไม่ต้องคิดจะสอบซิ่วไฉแล้ว เข้าไปทบทวนตัวเองในคุกเถอะ”


 


 


คุณชายตู้ได้ฟังพยุงตัวขึ้นโขกศีรษะอย่างไม่คิดชีวิต “ท่านใต้เท้า อภัยให้ข้าสักครั้งเถอะ ต่อไปพวกเราไม่กล้าอีกแล้ว ท่านอย่าได้จับข้าเข้าคุกเลย ทำเช่นนั้นข้าจะไม่มีวันเข้าสอบเคอจวี่ได้อีก”

 

 

 


ตอนที่ 155.1

 

ซื้อคน

 


 


 


เปาชิงเหอยังขุ่นเคืองไม่หาย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “คนไร้ยางอายอย่างเจ้ายังคิดจะเข้าสอบเคอจวี่ หากเจ้าสอบได้จริงๆ ภายหน้าไม่ยิ่งเป็นภัยต่อผู้อื่นมากกว่านี้เรอะ เจ้าเข้าไปทบทวนความผิดในคุกเถอะ”


 


 


พูดจบตะเบ็งเสียงบอกเจ้าหน้าที่ “เจ้าหน้าที่ จับพวกเขาสองคนไปขังคุก รอการตัดสินโทษ!”


 


 


เปาชิงเหอพูดจบ ทั้งสองใบหน้าตายด้านแน่นิ่งไปกับพื้น


 


 


เจ้าหน้าที่สองคนขานรับ เดินเข้ามากระชากทั้งสองคน คุมตัวเข้าคุก


 


 


เปาชิงเหอพูดกับเจ้าหน้าที่ที่เหลือ “ลากตัวคนรับใช้ออกไป รับโทษ”


 


 


เจ้าหน้าที่ขานรับ นำตัวคนรับใช้ไปยังลานโล่ง จับโบยเรียงตัว เสียงไม้พายสัมผัสกับร่างกายและเสียงร้องโหยหวนของคนรับใช้ดังไปทั่วลานกว้างของศาลาว่าการ


 


 


คุณชายจางไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ตกใจหดตัวไปอีกด้านไม่กล้าเปล่งเสียง


 


 


โบยคนรับใช้ทั้งหมดเสร็จ ทำเอาเหล่าเจ้าหน้าที่เหนื่อยหอบ ต่างเช็ดเหงื่อซับหน้าผากกันเป็นแถว


 


 


พวกคนรับใช้ฟุบไปกับพื้นร้องครวญครางไม่หยุด


 


 


เปาชิงเหอพูดกับพวกเขาอย่างเกรงขาม “เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่ได้ทำร้ายใครถึงแก่ชีวิต ถึงลงโทษสถานเบา หากครั้งหน้าพวกเจ้ายังกล้ากระทำผิดอีก จะไม่ใช่แค่โบยเพียงสิบไม้เช่นนี้แล้ว ได้ยินชัดหรือไม่?”


 


 


พวกคนรับใช้ไหนเลยจะกล้าพูดเป็นอื่น รีบร้อนพยักหน้ารับคำ


 


 


เปาชิงเหอโบกมืออย่างเดียดฉันท์ “ออกไปได้!”


 


 


คุณชายจางเหมือนยกภูเขาออกจากอก ลุกขึ้นยืน ไม่แม้แต่จะทำความเคารพ วิ่งกระเซอะกระเซิงออกไปจากศาลาว่าการ


 


 


คนรับใช้เห็นคุณชายจางไปแล้ว ไม่กล้ารอช้า ต่างลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ช่วยกันประคองกันและกันเดินสะเปะสะปะออกไปจากศาลาว่าการ


 


 


ตัดสินเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว เปาชิงเหอเปล่งเสียงบอกเลิกศาล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำความเคารพเปาชิงเหอ แล้วหันหลังเดินออกไป


 


 


เปาชิงเหอร้องเรียกนาง “แม่นางเมิ่งช้าก่อน!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างข้องใจ


 


 


เปาชิงเหอโบกมือให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกไป เดินมาตรงหน้านาง ซักถามเสียงเบา “ครั้งนี้แม่นางเข้าอำเภอมาด้วยเรื่องอันใด?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจแจ่มแจ้ง ยิ้มตอบ “พรุ่งนี้น้องชายข้าจะเข้าร่วมสอบถงเซิงระดับอำเภอ วันนี้พวกเรามุ่งหน้ามาก่อน เพราะอยากให้เขาได้พักผ่อนเต็มที่ มีสภาพจิตใจที่ดีรับมือกับการสอบวันพรุ่งนี้ ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอพี่ใหญ่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น โชคดีได้ใต้เท้าเปาตัดสินอย่างยุติธรรม คนลวงโลกสองคนนั้นถึงถูกตัดสินโทษตามที่พวกเขาสมควรได้รับ”


 


 


เปาชิงเหอโบกมือ “การขจัดทุกข์ให้ประชาชนเดิมก็เป็นเรื่องที่ข้าบิดาของประชาราษฎร์อยู่แล้ว แม่นางเมิ่งมิต้องกล่าวชม ทว่า” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็บีบเล็กลง “การสอบระดับอำเภอของน้องชายเจ้าต้องการให้ข้าช่วยอำนวยความสะดวกให้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ขอบคุณท่านใต้เท้า แต่ข้าอยากให้เขาใช้ความสามารถของตัวเองเข้าสอบ หากว่าสอบผ่าน พวกเราย่อมปีติยินดี หากสอบไม่ผ่าน ก็ไม่เป็นไร เพราะด้วยอายุของเขายังกลับบ้านไปพากเพียร ปีหน้าค่อยสอบใหม่ได้”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้าชื่นชม “แม่นางเมิ่งพูดถูกต้อง หากว่าน้องชายเจ้าไม่มีความสามารถ ต่อให้ข้าช่วยเขาผ่านการสอบระดับอำเภอได้ ก็คงจะยากที่จะผ่านในระดับจังหวัดได้ เจ้าคิดได้เช่นนี้ เป็นการคิดแทนน้องชายได้อย่างรอบคอบ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “หากใต้เท้าไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน น้องชายข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมลำพัง ข้าไม่วางใจ”


 


 


เปาชิงเหอคิดถึงเรื่องที่เมิ่งเจี๋ยหายตัวไปครั้งก่อน รีบร้อนพูด “ข้าไม่มีอะไรแล้ว แม่นางเมิ่งรีบกลับไปดูแลน้องชายให้ดีเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ยกเท้าเดินออกไปจากประตูใหญ่ศาลาว่าการ


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งเหรินทำความเคารพเปาชิงเหอ เดินตามออกมา


 


 


ออกมาจากศาลาว่าการได้ไม่ไกล เมิ่งเหรินหยุดฝีเท้า พูดกับทั้งสองคน “น้องเสียน น้องโยวเอ๋อร์ ข้าจะกลับเข้าโรงเรียน พวกเราแยกกันเท่านี้เถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้า พูดว่า “พี่ใหญ่กระทำเรื่องเช่นนี้ ยังมีหน้ากลับไปโรงเรียนอีกหรือ?”


 


 


เมิ่งเหรินไม่คิดว่านางจะถามอย่างไร้ความยำเกรงซึ่งหน้าเช่นนี้ นิ่งงันเล็กน้อย พูดชี้แจง “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ข้าลุ่มหลงไม่ได้สติไปชั่วขณะ กระทำเรื่องผิดพลาด แต่หาใช่ตัวตนแท้จริงของข้า เหตุใดน้องโยวเอ๋อร์ถึงกล่าวหาข้าเช่นนี้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยัน “จนถึงตอนนี้พี่ใหญ่ยังไม่รู้ว่าตัวเองผิดที่ตรงไหน ข้าว่าท่านไม่ต้องกลับไปแล้ว กลับบ้านไปทำนาเถอะ”


 


 


ตอนปีใหม่กลับไป เมิ่งเหรินรู้ถึงสถานะของเมิ่งเชี่ยนโยวในครอบครัวแล้ว ได้ฟังก็ตกใจ ลนลานพูด “ข้าสำนึกในความผิดที่ก่อแล้ว ไยน้องโยวเอ๋อร์ยังพูดกับข้าเช่นนี้อีก?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พี่ใหญ่ไม่สนใจความแร้นแค้นขัดสนของครอบครัว นำเงินค่าแรงที่พี่รองตรากตรำทำงานกว่าครึ่งปีฝากให้ท่านนำกลับบ้าน นำไปซื้อปิ่นปักผมให้คนที่ตัวเองหมายปองโดยพลการ นี่เป็นข้อแรก ข้อที่สองคือท่านมีคนที่หมายปองแล้ว กลับบ้านไปยังจะรับปากท่านป้าใหญ่จัดพิธีสู่ขอให้ เกือบทำลายชื่อเสียงหญิงสาวที่ดีนางหนึ่ง แค่สองเรื่องนี้ที่ท่านทำ ก็ไม่เหลือหน้าไปพบใครได้อีกแล้ว ข้าว่าท่านอย่ากลับไปโรงเรียนอีกเลย พอพรุ่งนี้อี้เซวียนสอบระดับอำเภอเสร็จ ก็กลับบ้านไปพร้อมข้าเถอะ”


 


 


เพื่อการสอบขุนนางนี้ เมิ่งเหรินมานะพากเพียรมาหลายปีแล้ว ย่อมไม่ยินยอม พูดว่า “ข้าใช้เงินค่าแรงน้องรอง เป็นความผิดข้า รอให้โรงเรียนปิดภาคเรียน ข้าจะกลับไปรับผิดกับบิดามารดาข้า ขอร้องพวกเขาให้อภัยต่อความผิดของข้า สำหรับเรื่องหมั้นหมาย ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ต่อให้ข้ามีคนที่หมายปองแล้ว ก็สามารถหมั้นหมายกับที่บ้านได้ แต่โบราณมาผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน มีภรรยาจนๆ เพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่เห็นจะเป็นไร”


 


 


ได้ยินเช่นนี้เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งทวีความเคืองขุ่น พูดเย้ยหยัน “พี่ใหญ่ช่างคิดไปไกลมากจริงๆ ตอนนี้แม้แต่บรรดาศักดิ์ซิ่วไฉก็ยังไม่มี ก็คิดจะเสวยสุขชีวิตหนึ่งสามีสองภรรยานี้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ ข้ายิ่งไม่อาจให้ท่านเข้าร่วมการสอบขุนนางได้อีก ตอนนี้ท่านยังดูแคลนภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งเช่นนี้ หากท่านเกิดสอบได้ขึ้นมา ไม่ขับไล่ภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาออกไปหรือ”


 


 


เรื่องเกี่ยวพันถึงอนาคตในวันข้างหน้าของตนเอง เมิ่งเหรินไม่มีทางยอม “นี่เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับน้องโยวเอ๋อร์ เจ้าเลิกยุ่งเรื่องของข้าได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะ “ใครบอกไม่เกี่ยวกับข้า ภรรยาท่านข้าเป็นคนช่วยดูให้ พิธีหมั้นหมายของท่านข้าก็ช่วยจัดแจงให้ ตอนนี้ท่านทำเรื่องผิดต่อพวกเขา ข้าย่อมทนนิ่งดูดายไม่ได้ ตอนนี้ข้าจะให้ท่านสองทางเลือก ทางเลือกแรกท่านกลับไปทำเรื่องลาออกที่โรงเรียน ทางเลือกที่สองข้าจะไปป่าวประกาศเรื่องที่ท่านทำที่โรงเรียน ให้ท่านจำต้องลาออก สองท่านเลือกนี้พี่ใหญ่เลือกสักทางเถอะ”


 


 


“เจ้า?” เห็นเขาพูดข่มขู่ตนเองเช่นนี้ เมิ่งเหรินโมโหจนพูดไม่ออก


 


 


ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้เมิ่งเหรินลาออก เมิ่งเสียนก็ตกใจมาก คิดจะพูดขอร้อง แต่เพิ่งจะอ้าปากร้องเรียก “น้องสาว” ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งไว้ “พี่ใหญ่ สภาพจิตใจของเขาไม่เหมาะจะรับราชการ ต่อให้ภายหน้าเขาสอบได้ ก็จะนำภัยพิบัติมาสู่ครอบครัวพวกเรา สู้ให้เขาตัดใจเสียแต่เนิ่นๆ ตอนนี้ ให้ครอบครัวของพวกเราได้อยู่อย่างสงบสุข”


 


 


เมิ่งเสียนย่อมไม่ได้คิดไปไกลเช่นนั้น จึงพูดโน้มน้าว “น้องสาว พี่ใหญ่เพียงแค่ลุ่มหลงไปชั่วขณะ ถึงกระทำเรื่องผิดพลาดไป หลังจากเรื่องนี้ เขาจะต้องปรับปรุงตัว อย่าให้เรื่องเล็กน้อยนี้เป็นตัวถ่วงอนาคตของเขาเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ฟังคำโน้มน้าว พูดเด็ดขาด “ข้าให้เวลาพี่ใหญ่ทบทวนหนึ่งวัน อย่างช้าที่สุดเวลานี้ของวันพรุ่งพี่ใหญ่จักต้องปรากฏตัวที่โรงเตี๊ยมที่พวกเราพัก ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”


 


 


พูดจบหันหลังเดินจากไป


 


 


เมิ่งเสียนพูดกับเมิ่งเหรินด้วยน้ำเสียงลุกลน “พี่เมิ่งเหริน ท่านใจเย็นก่อน ข้าจะเกลี้ยกล่อมน้องสาวเอง”


 


 


พูดจบผลุนผลันตามเมิ่งเชี่ยนโยวไป


 


 


เมิ่งเหรินยืนอยู่เช่นนั้นเป็นนานก็ไม่เคลื่อนไหว


 


 


เมิ่งเสียนตามมาถึงตัวเมิ่งเชี่ยนโยว คิดจะพูดโน้มน้าวอีก เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดขึ้นก่อน “ท่านพี่ เรื่องของพี่ใหญ่ข้าจะไม่ยุ่งแล้ว หลังจากพาเขากลับบ้านข้าจะไปพูดเรื่องนี้กับท่านปู่และลุงใหญ่ให้ชัดเจน หากพวกเขาคิดว่าข้าทำผิด ข้าจะพาเขากลับมาส่งเอง”


 


 


เมิ่งเสียนได้ยินนางพูดเช่นนี้ จึงล้มเลิกความคิดโน้มน้าว


 


 


เสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมเห็นพวกเขากลับมา พูดอย่างมิตรไมตรี “แม่นางเมิ่ง ข้าคอยเฝ้าดูให้ตลอด น้องชายท่านยังอยู่ในห้อง ไม่เกิดเรื่องอันใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ


 


 


เสี่ยวเอ้อโบกมือ “เทียบกับบุญคุณใหญ่หลวงที่แม่นางมีให้ เรื่องนี้เล็กน้อยยิ่งนัก แม่นางอย่าได้เกรงใจ”


 


 


ทั้งสองขึ้นไปชั้นบน เมิ่งเชี่ยนโยวเคาะประตู พูดว่า “อี้เซวียน ข้าเอง เปิดประตู”


 


 


ประตูถูกเปิดออกจากด้านในโดยไว ใบหน้าจิ้มลิ้มของเมิ่งอี้เซวียนปรากฏเบื้องหน้าพวกเขา พูดอย่างยินดี “พวกท่านกลับมาแล้ว!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้ม ยื่นมือออกไปลูบศีรษะเขา แล้วเดินเข้าห้อง


 


 


เมิ่งเสียนก็ตามเข้ามา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนดีอกดีใจลูบหัวตัวเองยืนนิ่งอยู่ข้างประตู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาเอาแต่ยืนอยู่ข้างประตู ถามอย่างแปลกใจ “เจ้าเป็นอะไร?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนได้สติกลับมา ใบหน้าแดงเรื่อ รีบงับประตูห้อง พูดเสียงแผ่ว “ไม่ ไม่มีอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจความผิดปกติของเขา พูดกับเขา “ถ้าเจ้าพักผ่อนพอแล้ว พวกเราออกไปเดินเล่นกัน จะได้ซื้อเครื่องเขียนที่เจ้าชอบด้วย”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้ายินดี


 


 


ทั้งสามออกมาจากโรงเตี๊ยม เดินเรื่อยเปื่อยไปตามท้องถนน เดินไปดูของไป เจออะไรที่ชอบก็ซื้อติดมือมา อิ่มเอมใจยิ่งนัก


 


 


เกือบจะถึงปลายสุดของถนน ถึงเห็นร้านหนังสือ ทั้งสามเข้ามาในร้าน พนักงานร้านหนังสือเข้ามาถามอย่างกระตือรือร้น “ทุกท่าน ต้องการซื้อสิ่งใด?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ดวงตามองไปโดยรอบตามความเคยชิน ถึงตอบ “พวกเราต้องการซื้อเครื่องเขียนชั้นดี ไม่ทราบว่าร้านพวกเจ้ามีหรือไม่?”


 


 


พนักงานมองพวกเขาแต่งกายไม่เหมือนเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน ทั้งได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากก็บอกว่าต้องการซื้อเครื่องเขียนชั้นดี ท่าทีทวีความเป็นมิตร พูดเป็นพรวน “มีๆๆ ทุกท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเอามาให้พวกท่านเดี๋ยวนี้”


 


 


พูดจบ เดินไปหลังโต๊ะสินค้า หยิบเครื่องเขียนจำนวนหนึ่งออกมาวางตรงหน้าพวกเขา พูดว่า “เหล่านี้เป็นเครื่องเขียนที่ดีที่สุดของทางร้าน พวกท่านดูก่อนว่าชอบแบบไหน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องพวกนี้ หันไปพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียน “พี่ใหญ่ อี้เซวียนพวกท่านเลือกเองเถอะ ถ้ามีแบบที่ชอบพวกเราก็ซื้อ ที่เหลือก็เลือกกระดาษเซวียนอย่างดีจำนวนหนึ่งกลับไปให้ท่านปู่ด้วย”


 


 


ทั้งสองรับคำ เลือกของอย่างมีความสุข

 

 

 


ตอนที่ 155.2

 

 ซื้อคน

 


 


 


หลังจากเลือกเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวชี้หนังสือที่วางเรียงรายเต็มร้านพูดกับทั้งสองคน “พวกท่านดูว่ามีหนังสือที่ชอบหรือไม่? ใช้โอกาสนี้ซื้อติดมือกลับไป”


 


 


เมิ่งเสียนพูดอย่างเปิดเผย “ให้อี้เซวียนเลือกเถอะ ข้าไม่ต้องแล้ว เพราะอย่างไรข้าก็ไม่ได้เข้าสอบคัดเลือกขุนนาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พี่ใหญ่ ใครบอกว่าไม่สอบคัดเลือกขุนนางก็จะอ่านหนังสือไม่ได้ ท่านเลือกซื้อหนังสือแบบที่ชอบจำนวนหนึ่งกลับไปได้ ตอนว่างๆ ไม่มีอะไรทำจะได้เอามาอ่านเล่น”


 


 


หนังสือเป็นของล้ำค่ามีราคา พวกนักเรียนยากจนเวลาเข้าเรียนมักจะซื้อไม่ไหว มักจะต้องหยิบยืมหรือคัดลอกมาใช้ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งเสียนให้ซื้อหนังสือกลับไปอ่านยามว่างอย่างไม่ใยดีสักนิด หลงจู๊ร้านหนังสือและพนักงานอดเพ่งมองนางหลายครั้งไม่ได้


 


 


เดิมเมิ่งเสียนชื่นชอบมาก เพียงแต่เพื่อช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวแบกรับภาระหนักของครอบครัวถึงไม่ได้รับปากคำขอของนางให้เข้ามาเรียนหนังสือในเมือง ตอนนี้ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ดีใจใหญ่ เดินไปหน้าชั้นหนังสือ เลือกหนังสือที่ตัวเองชอบมาหลายเล่ม


 


 


เมิ่งอี้เซวียนก็เลือกที่ตัวเองชอบเสร็จแล้ว หยิบไปวางตรงหน้าพนักงาน


 


 


พนักงานนำเครื่องเขียนและหนังสือที่พวกเขาเลือกเสร็จแล้วไปตรงหน้าหลงจู๊


 


 


หลงจู๊คำนวณราคา พูดว่า “ทั้งหมดห้าสิบสามตำลึง พวกท่านซื้อเยอะ ข้าคิดถ้วนๆ เหลือเพียงห้าสิบตำลึง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงตั๋วแลกเงินห้าสิบตำลึงออกมามอบให้หลงจู๊


 


 


หลงจู๊เห็นนางเป็นคนจ่ายเงิน ประเมินมองนางอีกเล็กน้อย ถึงหยิบตั๋วแลกเงินมาดูอย่างละเอียด พบว่าไม่มีปัญหา จึงให้พนักงานห่อสิ่งของทั้งหมดอย่างดี


 


 


ทั้งสามคนนำสิ่งของที่ห่อเสร็จเรียบร้อยออกจากร้านหนังสือ เดินกลับไปอย่างเรื่อยเฉื่อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าพี่รองทำงานที่ภัตตาคารไหน? วันนี้พวกเราว่างพอดี จะได้ไปหาเขา”


 


 


เมิ่งเสียนส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ตั้งแต่ที่พี่เมิ่งอี้มาทำงานในอำเภอ ก็กลับบ้านน้อยครั้ง หนึ่งปีพวกเราแทบไม่ได้พบหน้ากัน ข้ารู้เพียงว่าเขาทำงานที่ภัตตาคาร แต่เป็นที่ไหน ข้าไม่เคยถาม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงล้มเลิกความคิดจะไปหาเมิ่งอี้ ทั้งสามเดินเรื่อยเปื่อยกลับมา มองเห็นหน้าทางเข้าโรงเตี๊ยมมีรถม้าหลายคันจอดอยู่ลิบๆ คิดว่าเป็นของลูกค้าที่มาเข้าพักนำมา ทั้งสามไม่ได้สนใจ ยังคงเดินเอื่อยเฉื่อย


 


 


เสี่ยวเอ้อชะเง้อมองเห็นพวกเขาแต่ไกล หุนหันวิ่งออกมาต้อนรับ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง พวกคุณชายเซี่ยมารอพวกท่านที่ห้องโถงชั้นหนึ่งนานแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสาวเท้าเข้ามาในห้องโถง


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงเห็นนางก่อน พูดอย่างดีใจ “แม่นางเมิ่งกลับมาแล้ว”


 


 


อันอี่หยวนก็เห็นนางแล้ว ร้องทักทายนางเช่นกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกท่านทั้งสองมาได้อย่างไร?”


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงค่อนขอดนางอย่างไม่เกรงใจ “เจ้ายังจะพูด เข้าเมืองมาไม่บอกพวกเราสักคำ หากไม่เพราะเปาอีฝานให้คนส่งข่าวบอกพวกเรา พวกเรายังไม่รู้ว่าเจ้าเข้ามาเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ครั้งนี้ข้าพาน้องชายมาเข้าสอบถงเซิงระดับอำเภอ เดิมไม่อยากรบกวนพวกท่าน แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องกับพี่ใหญ่อีกคนของข้าโดยบังเอิญเข้า เรื่องราวบานปลายไปถึงใต้เท้าเปา ข้าก็รู้ว่าเรื่องปิดไม่มิดแล้ว แต่ข้าคิดว่ารอวันพรุ่งให้น้องชายข้าเข้าสนามสอบก่อน ค่อยไปหาพวกท่าน”


 


 


ได้ยินนางพูดเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเที่ยง เซี่ยเจียงเฟิงถามอย่างเป็นห่วง “ข้าได้ยินว่าพวกเจ้ามีเรื่องวิวาทกับพวกที่ดีแต่อวดเบ่งบารมีของสกุลจาง พวกเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บนะ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ยิ้มพูด “ถูกลูกหลงเล็กน้อย แต่คนบ้านนอกหนังหนาเนื้อทน ไม่เป็นไร”


 


 


อันอี่หยวนไม่เห็นด้วย “จะไม่เป็นไรได้อย่างไร? รีบไปตรวจดูที่โรงหมอหน่อยเถอะ”


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงก็พยักหน้าเห็นพ้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวล ไม่เป็นไรจริงๆ ข้ายังออกไปเดินเล่นในตลาดกับพี่ใหญ่และน้องเล็กมารอบหนึ่งแล้วเลย”


 


 


ทั้งสองเห็นนางไม่เหมือนคนที่จะเป็นอะไรจริงๆ จึงวางใจลง


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนก็เดินเข้ามา ทักทายคนทั้งสองอย่างมีมารยาท


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเชิญทั้งสองขึ้นไปนั่งในห้อง ทั้งสั่งเสี่ยวเอ้อชงชาชั้นดีมาให้หนึ่งกา


 


 


เสี่ยวเอ้อรับคำไปชงชา


 


 


คนทั้งหมดเข้ามาในห้องพักชั้นบน วางสิ่งของในมือเพิ่งจะนั่งสนิท เสี่ยวเอ้อก็ยกน้ำชาเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนนั่งดื่มชาไปพลางพูดคุยกับเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวน เมิ่งอี้เซวียนจัดการกับข้าวของที่เพิ่งซื้อกลับมาลำพัง


 


 


อันอี่หยวนกล่าวว่า “เดิมเปาอีฝานก็มาด้วยกัน พวกเราใกล้จะถึงทางเข้าโรงเตี๊ยมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็วิ่งหน้าตั้งมาหาเขา เหมือนว่าคดีค้ามนุษย์ที่ครั้งก่อนเจ้าฝากฝังเรื่องกับเขาจะมีความคืบหน้า เขาก็เลยต้องไปสืบคดีก่อน บอกว่าช่วงค่ำจะเข้ามาพาพวกเจ้าไปเลี้ยงข้าว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ขอบคุณพวกท่าน ตอนค่ำพวกเราคงไม่ไปกินข้าวด้วยแล้ว วันพรุ่งน้องชายข้าต้องเข้าสอบถงเซิงระดับอำเภอ ค่ำนี้ข้าอยากให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ มีสภาพจิตใจที่สมบูรณ์ พร้อมรับมือกับการสอบระดับอำเภอในวันพรุ่งนี้”


 


 


ทั้งสองได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็พยักหน้า ล้มเลิกความคิดจะชวนนางออกไปกินข้าว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของคุณชายจูเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงตอบ “ตอนนี้ลงจากเตียงมาเดินเหินได้แล้ว เพียงแค่ยังออกกำลังหนักไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “คุณชายจูได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้กลับฟื้นตัวได้ดีเช่นนี้ เพราะมีร่างกายที่แข็งแรง ฝากพวกท่านไปบอกให้เขาค่อยๆ รักษาตัว ห้ามใจร้อนเด็ดขาด?”


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงถาม “แม่นางเมิ่งมาครั้งนี้ไม่คิดจะไปเยี่ยมเขาหน่อยหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ครั้งนี้ฉุกละหุกเกินไป ไม่มีเวลา เอาไว้ครั้งหน้ามีเวลาค่อยไปเยี่ยมเขา”


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนหันหน้าสบตากัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองสีหน้าพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาเข้าใจผิดแล้ว แย้มยิ้มอธิบาย “พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้เคืองโกรธเขาด้วยเพราะเรื่องครั้งก่อน เป็นเพราะครั้งนี้ยุ่งมากจริงๆ พรุ่งนี้พอน้องชายเข้าสนามสอบ ข้ายังมีเรื่องบางอย่างต้องทำ ข้าไม่มีเวลาไปเยี่ยมเขาจริงๆ “


 


 


ทั้งสองโล่งอก แทบจะถามขึ้นพร้อมกัน “แม่นางยังมีเรื่องอันใด? ต้องการให้พวกเราช่วยหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า “ล้วนเป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่รบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว”


 


 


ทั้งสองคนเห็นนางไม่อยากพูด ก็ไม่ถามให้มากความ คุยเรื่องสัพเพเหระอื่นอย่างสนุกสนาน เมิ่งเชี่ยนโยวบอกอันอี่หยวน หลังจากเมิ่งอี้เซวียนสอบระดับอำเภอเสร็จ นางจะกลับไปซื้อที่ดินร้างปลูกมันฝรั่ง หากว่าราบรื่น ฤดูร้อนก็จะเก็บเกี่ยวมันฝรั่งจำนวนมากได้แล้ว


 


 


อันอี่หยวนยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เกรงใจ จะต้องขายมันฝรั่งแผ่นทอดให้ตนเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับปากเต็มคำ


 


 


ผ่านไปหนึ่งชั่วยามได้ เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนถึงจากไปอย่างอิ่มเอม


 


 


หลังจากพวกเขาจากไป เมิ่งอี้เซวียนเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ถามนางอย่างปวดใจ “เจ้าได้รับบาดเจ็บ?” เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงัน ถึงนึกได้ว่าเขาคงได้ยินเรื่องที่ตนเองพูดกับเซี่ยเจียงเฟิงใต้โรงเตี๊ยม พูดปลอบโยนเขา “โดนนิดหน่อยเท่านั้น ไม่เป็นไร”


 


 


เห็นเขาไม่เชื่อ รีบร้อนพูดอีก “ไม่เชื่อเจ้าถามพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ก็ถูกตีเล็กน้อยเช่นกัน”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหันไปมองเมิ่งเสียน


 


 


เมิ่งเสียนกำลังจะพูดว่าเจ็บมาก กลับเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา พยายามส่งสัญญาณให้เขาพูดว่าไม่เป็นไร จึงเม้มปากฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “คนรับใช้พวกนั้นไม่มีวรยุทธ์ ตีแล้วไม่เจ็บ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมองเขาอย่างแคลงใจแวบหนึ่ง พูดเสียงแผ่ว “ข้าช่วยดูให้พี่ใหญ่หน่อยดีกว่า จะได้ใส่ยาด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวเรื่องแตก รีบร้อนพูด “ออกมาครั้งนี้ข้าไม่ได้เอายามาด้วย”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยิ่งมองนางอย่างเคลือบแคลงใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มร้อนตัว แสร้งพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญ “พวกเราบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ เจ้าจะเป็นห่วงอะไรหนักหนา ยังไม่รีบไปทบทวนตำราอีก พรุ่งนี้สอบระดับอำเภอไม่ผ่านคอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรีบร้อนไปอ่านตำราทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก


 


 


เมิ่งเสียนห็นอาการของนาง ก็หลุดขำ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมายังห้องตนเอง เริ่มรู้สึกเจ็บที่หลังของตัวเอง แอบด่าตัวเองในใจ ช่วงเวลานี้ตามใจตัวเองจนเหลิง อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านี้ยังรู้สึกเจ็บ คิดถึงตอนฝึกซ้อมในชาติก่อนได้รับบาดเจ็บทุกวัน บาดเจ็บหนักกว่านี้หลายเท่า ยังไม่รู้สึกเจ็บเหมือนเช่นในตอนนี้ แล้วทิ้งตัวฟุบไปบนเตียง คิดจะพักสักประเดี๋ยว ไม่ทันไรก็สะลึมสะลือหลับไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเสียงอึกทึกหนึ่งทำให้ตื่น ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองนอนหลับไปบนเตียง ร้องสบถเสียงต่ำ รีบร้อนยันกายขึ้น ออกมาที่ห้องพักข้างๆ ค่อยๆ เคาะประตูห้อง ร้องถามเสียงเบา “พี่ใหญ่ อี้เซวียน พวกท่านอยู่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเสียนเปิดประตูห้องออก เห็นท่าทีเพิ่งตื่นนอนของนาง ถามขึ้น “เจ้าตื่นเพราะเสียงอึกทึกด้านนอกใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าถาม “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีเสียงดังเช่นนั้น?”


 


 


เมิ่งเสียนตอบ “เจ้าหน้าที่คุมตัวนักโทษเดินผ่านไปตามถนน ผู้คนมากมายล้อมมุงดู เสียงวิพากษ์จึงดังอย่างเลี่ยงไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเช่นนั้น รีบเดินไปเปิดหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก เห็นนายทหารกำลังตะคอกใส่นักโทษสิบกว่าคนให้รีบเดินไปบนถนน เดินไปก็ตวาดไป “ยังไม่รีบเดินอีก? โอ้เอ้นักจะต้องให้เฆี่ยนก่อนใช่ไหม?” พูดจบ ใช้แส้ในมือฟาดชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างกาย


 


 


ชายฉกรรจ์มองเขาด้วยแววตาเคียดแค้น


 


 


เจ้าหน้าที่รัฐเห็นเขาจนถึงตอนนี้ยังกล้าใช้สายตาเช่นนี้มองตัวเอง จึงใช้แส้ฟาดเขาอีกครั้ง พูดอย่างเห่อเหิม “เฮอะ ไม่ยอมใช่ไหม ไม่ยอมแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้? เจ้าคิดว่าตนเองยังเป็นคุณชายสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนชื่อเสียงลือเลื่องนักอีกเรอะ? ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงทาสหลวงที่รอขายออกไปของทางการ” พูดจบใช้แส้ฟาดเขาไม่ยั้งอีกครั้ง


 


 


ชายฉกรรจ์ไม่หลบหลีก ทั้งไม่ส่งเสียงร้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่หลุบนัยน์ตา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นชายฉกรรจ์ถูกแส้ฟาดหลายครั้งติดครั้ง พูดด้วยความเห็นใจ “ถูกเฆี่ยนด้วยแส้เช่นนี้ พวกเขาจะต้องเจ็บปวดอย่างมาก น่าสงสารยิ่งนัก”


 


 


เมิ่งเสียนเห็นสภาพของพวกเขา ก็พูดอย่างสงสาร “ไม่รู้ว่าพวกเขากระทำความผิดอะไร ถึงกับถูกลดขั้นเป็นทาสหลวง ข้าเคยเห็นในหนังสือ ทาสหลวงน่าสังเวชที่สุด สามารถถูกด่าว่าทุบตี ซื้อขายได้ตามใจ ต่อให้ถูกข่มเหงรังแกจนตาย ก็ไม่มีใครสนใจ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ พูดกับคนทั้งสอง “ข้าจะลงไปดู”


 


 


พูดจบสาวเท้าเดินออกไป


 


 


เมิ่งเสียนคิดจะห้ามนาง แต่นางเดินออกไปแล้ว เขาเริ่มเป็นห่วง อยากตามออกไป แต่ไม่วางใจทิ้งเมิ่งอี้เซวียนไว้คนเดียวในห้อง จำต้องมานั่งที่หน้าต่าง เฝ้ามองดูเหตุการณ์ด้านนอกต่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินลงมา แม้แต่เสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมที่ส่งเสียงทักทายก็ไม่สนใจ เดินออกไปหน้าถนน ตามทิศทางของกลุ่มคนมาถึงหน้ากลุ่มคนพวกนั้น มองประเมินชายฉกรรจ์ที่ถูกเฆี่ยนตีเมื่อครู่อย่างละเอียด เห็นเขามีร่างกายกำยำ รอบเอวกว้างหนา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนมีวรยุทธ์ ฝีเท้าหนักแน่น ราวกับแส้ที่ฟาดลงมาหลายครั้งเมื่อครู่ ไม่ได้กระทบถูกตัวเขา ทว่าในตอนนี้กลับมีใบหน้ากลัดกลุ้ม มักจะคอยมองหญิงสาวและเด็กที่ถูกต้อนมาด้วยกันข้างกาย สะท้อนแววตารวดร้าวใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับจ้องพฤติกรรมทั้งหมดนี้ ทั้งมองประเมินหญิงสาวและเด็กข้างกายเขาหลายครั้ง ถึงหยุดฝีเท้า มองดูพวกเขาค่อยๆ จากไป

 

 

 


ตอนที่ 155.3

 

 ซื้อคน

 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นท่าทีของนางก็ให้กังขา ถามเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ โยวเอ๋อร์คิดจะทำสิ่งใด?”


 


 


เมิ่งเสียนเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของนาง ก็ไม่เข้าใจ ส่ายหน้าตอบ “ข้าก็ไม่รู้”


 


 


กระทั่งกลุ่มคนเดินไปไกล เมิ่งเชี่ยนโยวถึงค่อยๆ เดินกลับมาโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อเห็นนางกลับมา คิดว่านางคงรู้สึกแปลกใหม่กับเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงออกไปดู พูดว่า “แม่นางคงรู้สึกประหลาดใจมากใช่ไหมขอรับ ความจริงเหตุการณ์คุ้มกันตัวนักโทษพบเห็นได้บ่อยในอำเภอแห่งนี้ พวกเราเห็นจนชินตาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า แสร้งถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “นักโทษที่ถูกคุมตัวไปล้วนเป็นคนแบบไหน?”


 


 


เดิมเสี่ยวเอ้อก็มีความซาบซึ้งใจต่อนาง คอยแต่คิดจะทำอะไรเพื่อตอบแทนบุญคุณ เห็นนางสนใจเรื่องนี้มาก จึงพูดให้นางฟังอย่างละเอียด “นักโทษแบบไหนก็มีหมด มีทั้งลักขโมย ฆ่าคนวางเพลิง ก่อกรรมทำชั่ว บางครั้งยังมีพวกโจรภูเขา พวกเขาล้วนแต่ทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ ถูกทางการตัดสินให้เป็นทาสหลวง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าถาม “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านักโทษในวันนี้กระทำความผิดใด?”


 


 


เสี่ยวเอ้อเหลียวซ้ายแลขวา เห็นว่าไม่มีคนสนใจทางนี้ ถึงพูดกับนางเสียงเบา “ข้าได้ยินลูกค้าที่มาพักพูดว่า พวกคนในวันนี้ เดิมเป็นคนของสำนักคุ้มภัยมีชื่อของเมืองหลวง ไม่รู้เพราะสาเหตุใดเกิดไปล่วงเกินผู้สูงศักดิ์เข้า ถึงถูกเล่นงานจนต้องมีจุดจบเช่นนี้” พูดถึงตรงนี้ยิ่งกดเสียงต่ำพูดขึ้นอีกว่า “ข้ายังได้ยินมาว่านอกจากสิบกว่าคนนี้ ผู้คุ้มกันภัยคนอื่นของสำนักคุ้มภัยต่างถูกส่งไปยังพื้นที่แร้นแค้น ห้ามกลับมาชั่วชีวิต”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเลียนแบบท่าทางของเขากดเสียงต่ำถาม “เช่นนั้นเหตุใดถึงมีแต่พวกเขาที่ถูกตัดสินเป็นทาสหลวง?”


 


 


เสี่ยวเอ้อเหลียวหน้าแลหลัง ถึงพูดว่า “คนสิบกว่าคนนี้เป็นคุณชายและคนในครอบครัวสำนักคุ้มภัย ได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนนายท่านของสำนักคุ้มภัยเคยช่วยเหลือผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ตอนพวกเขาได้รับโทษผู้สูงศักดิ์ท่านนี้มาช่วยพูดประนีประนอมให้พวกเขา ทางการถึงยอมไว้หน้าตัดสินโทษพวกเขาเป็นทาสหลวง แม้จะเป็นทาสหลวงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งในดินแดนแร้นแค้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กล่าวขอบคุณอย่างยินดี “ขอบคุณเสี่ยวเอ้อ”


 


 


เสี่ยวเอ้อตกใจที่ได้รับการเอ็นดู โบกมือเป็นพัลวัน “ข้าหาได้ทำสิ่งใดไม่ แม่นางอย่าได้เกรงใจ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เรื่องที่เจ้าพูดกับข้านี้ถือว่าได้ช่วยข้ามากมายแล้ว”


 


 


เสี่ยวเอ้อไม่เข้าใจ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อธิบายกับเขา เปลี่ยนเรื่องพูด “ตอนกลางคืนพวกเราไม่คิดจะออกไปแล้ว รบกวนพวกเจ้าเตรียมสำรับอาหารชั้นดี ส่งมาที่ห้องพวกเราด้วย”


 


 


ส่งอาหารเพิ่มเท่ากับได้รายรับเพิ่ม เสี่ยวเอ้อย่อมรับคำด้วยความยินดี บอกให้นางกลับไปรออย่างสบายใจ พอห้องครัวทำอาหารเสร็จ เขาจะรีบยกขึ้นไปให้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่ห้อง เมิ่งเสียนเข้าไปถาม “น้องสาว เมื่อครู่เจ้ารีบร้อนไปดูนักโทษกลุ่มนั้น คิดจะทำสิ่งใด?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พี่ใหญ่ เมื่อครู่ข้าไปดูพวกเขา ในกลุ่มคนพวกนั้นมีคนหนึ่งวรยุทธ์สูงส่ง ข้าอยากจะซื้อตัวเขา ต่อไปจะได้มาคุ้มกันอี้เซวียนไปเรียนหนังสือ”


 


 


พอได้ยินว่าจะซื้อคน เมิ่งเสียนก็ตกใจสะดุ้งโหยง “น้องสาว ซื้อคนเป็นเรื่องใหญ่ พวกเรากลับไปปรึกษาท่านพ่อท่านแม่ก่อนเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พวกเรากลับไปปรึกษาเสียเวลาเกินไป หากช่วงเวลานี้พวกเขาถูกคนอื่นซื้อตัวไป ข้าเสียใจก็ไม่ทันการแล้ว อีกอย่างท่านพ่อท่านแม่จะต้องไม่เห็นด้วยให้ข้าซื้อคนกลับไป พวกเราซื้อคนกลับไปก่อน พอพากลับไป ท่านพ่อท่านแม่เห็นแก่ที่พวกเขาน่าเวทนา ไม่แน่ว่าก็จะไม่คัดค้าน”


 


 


เมิ่งเสียนมุ่นหัวคิ้ว “พวกเขา? น้องสาวคิดจะซื้อพวกเขาทั้งหมดหรือ? แต่ข้าเห็นคนสิบกว่าคนนั้น ส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวและเด็ก พวกเราซื้อไปจะมีประโยชน์อะไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าจะซื้อกี่คน รอพรุ่งนี้พออี้เซวียนเข้าสนามสอบ เราไปถึงตลาดค้ามนุษย์ค่อยว่ากันอีกที”


 


 


เมิ่งเสียนรู้ว่าเรื่องที่นางตัดสินใจแล้วใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทำได้เพียงพยักหน้า


 


 


เมิ่งอี้เซวียนนั่งฟังอีกด้านเงียบๆ ไม่พูดอะไร


 


 


ตอนค่ำ เสี่ยวเอ้อนำอาหารขึ้นมาส่งแต่หัววัน ทั้งสามกินอาหารค่ำในห้องเสร็จ พูดคุยอีกเล็กน้อย ถึงแยกย้ายไปพักผ่อน


 


 


ค่ำคืนเงียบสงบเคลื่อนคล้อยผ่านไป


 


 


วันรุ่งขึ้นทั้งสามคนตื่นนอนแต่เช้า แปรงฟันล้างหน้าล้างตา กินอาหารเช้าที่เสี่ยวเอ้อส่งมาให้ แล้วตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าเมิ่งอี้เซวียนไม่มีสิ่งใดตกหล่น ก็เดินลงมาชั้นล่าง


 


 


เมิ่งเสียนเดินไปจูงมาออกมาจากหลังโรงเตี๊ยม ซักถามสถานที่โดยละเอียดกับเสี่ยวเอ้อ แล้วจึงให้เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งอี้เซวียนขึ้นนั่งบนรถม้า เมิ่งเสียนบังคับรถม้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่สอบระดับอำเภอ


 


 


พอมาถึงสนามสอบ ก็เห็นนักเรียนมากมายยืนรายล้อมรอบข้างสนามสอบแล้ว เมิ่งเสียนจอดรถม้าในจุดที่คนค่อนข้างน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า เดินไปที่หน้าประตูสนามสอบ


 


 


บรรดานักเรียนเห็นรถม้าเข้ามา ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเวลามาสอบถงเซิงจะมีคนบังคับรถม้าเข้ามาทุกครั้ง แต่พอเห็นมีแค่เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนที่เดินมุ่งหน้ามายังสนามสอบ ต่างก็ไม่เชื่อว่าอายุยังน้อยอย่างเมิ่งอี้เซวียนก็มาเข้าร่วมการสอบระดับอำเภอด้วย เกิดเสียงกระซิบกระซาบขึ้นฉับพลัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเสียงวิพากษ์ของบรรดานักเรียน พาเมิ่งอี้เซวียนมาถึงหน้าประตูสนามสอบ ช่วยจัดแจงกระเป๋านักเรียนให้เขา พูดกับเขาอย่างขึงขัง “เข้าไปในสนามสอบแล้วไม่ต้องกลัว ตั้งใจตอบคำถามก็พอ ไม่ต้องมีแรงกดดันอะไร เจ้าสอบผ่าน พวกเราทั้งครอบครัวก็ดีใจ เจ้าสอบไม่ผ่าน พวกเราก็ไม่ผิดหวัง เพราะเจ้าอายุยังน้อย ปีหน้าพวกเรามาสอบอีกได้”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนจ้องนางเขม็ง ถามขึ้น “เจ้าอยากให้ข้าสอบผ่านหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวใส่เขา “ก็ต้องอยากให้เจ้าสอบผ่านอยู่แล้ว เช่นนั้นใบหน้าข้าถึงจะเปล่งแสงได้”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรับประกัน “วางใจเถอะ ข้าจะต้องสอบผ่าน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองบนใส่เขาอีกครั้ง “น้อยๆ หน่อย ให้สอนผ่านได้ก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มชวนหลงใหล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสบถเสียงต่ำ หลบตาไปทางอื่น


 


 


นักเรียนโดยรอบได้ยินพวกเขาบทสนทนาของพวกเขา เสียงวิพากษ์ยิ่งดังขึ้น


 


 


ประตูสนามสอบเปิดออก เจ้าหน้าที่คุมสอบเดินออกมา ให้บรรดานักเรียนที่หน้าประตูเข้าแถวให้เป็นระเบียบ นำจดหมายแนะนำออกมา มอบให้เจ้าหน้าที่คุมสอบอีกคนที่นั่งหน้าโต๊ะข้างสนามสอบ บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องให้ไปจากสนามสอบ รอช่วงบ่ายยามเซินค่อยกลับมารับ


 


 


บรรดานักเรียนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ นำจดหมายแนะนำในมือมอบให้กับมือเจ้าหน้าที่คุมสอบอย่างเป็นระบบ ถือป้ายหมายเลขที่ตนเองได้รับไปยังสนามสอบตามหมายเลข กระทั่งได้เห็นเมิ่งอี้เซวียนเด็กตัวน้อย เจ้าหน้าที่คุมสอบรับจดหมายแนะนำหลายฉบับมาจากเขาอย่างไม่เชื่อ เพ่งพินิจซ้ำแล้วซ้ำเล่า พบว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็มองประเมินเขาอีกพักใหญ่ ถึงมอบป้ายหมายเลขให้เขา ให้เขาเข้าไปได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ด้านนอกประตูสนามสอบ เห็นเข้าเดินเข้าไปลิบๆ ถึงวางใจเดินกลับมาที่รถม้า พูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ พวกเราไปหาใต้เท้าเปาที่ศาลาว่าการ ให้เขาช่วยสืบข่าว พวกคนที่จะถูกขายเมื่อวานว่าถูกคุมตัวไปไว้ที่ไหน?”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า บังคับรถม้ามาถึงหน้าประตูศาลาว่าการ


 


 


วันนี้เปาชิงเหอไปเป็นหัวหน้าคุมสอบ ในศาลาว่าการไม่มีคน มีเพียงเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรอยู่ด้านในอย่างเบื่อหน่าย พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา กุลีกุจอลุกขึ้น เดินมาตรงหน้านาง ถามอย่างนอบน้อม “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว วันนี้นายท่านของพวกเราไปเป็นหัวหน้าคุมสอบ ไม่อยู่ศาลาว่าการ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้ารู้ ข้ามาหาคุณชายของพวกเจ้า ไม่ทราบว่าเขาอยู่ด้านในหรือไม่?”


 


 


เจ้าหน้าที่ตอบกลับ “อยู่ๆๆ ท่านรอสักครู่ ข้าจะรีบไปตามมาให้เดี๋ยวนี้” พูดจบก็รีบวิ่งไปแจ้งข่าว เปาอีฝานได้ฟังรายงาน รีบเดินออกมา พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้ากำลังจะไปหาเจ้าอยู่พอดี ไม่คิดว่าเจ้าจะมาก่อน พอดีเลย เข้าไปนั่งข้างในเถอะ ข้าจะพูดกับเจ้าเรื่องพวกค้ามนุษย์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เรื่องพวกค้ามนุษย์ไว้ค่อยพูดเถอะ ข้ามีเรื่องอยากขอให้ท่านช่วย”


 


 


“มีเรื่องอะไรว่ามาได้เลย ถ้าข้าทำได้จะช่วยเจ้าเต็มที่” เปาอีฝานตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่ตนเองคิดจะซื้อทาสหลวงที่ถูกคุมตัวมาเมื่อวานอย่างไม่ปิดบัง เปาอีฝานได้ฟังแล้วพูดอย่างเบิกบาน “สบายมาก ข้าจะให้เจ้าหน้าที่ไปสอบถามให้ พวกเขาอยู่ที่ตลาดค้ามนุษย์ พวกเราไปซื้อมาก็ได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ


 


 


เปาอีฝานเรียกเจ้าหน้าที่เข้ามา ให้เขารีบรุดไปสอบถามดูว่าทาสหลวงที่ถูกคุมตัวมาเมื่อวานอยู่ในมือพวกค้ามนุษย์คนไหน


 


 


เจ้าหน้ารีบรับคำแล้วออกไป


 


 


เปาอีฝานแย้มยิ้มพูด “ตั้งแต่เจ้าจากไป ฮุ่ยเอ๋อร์ก็เอาแต่ถามถึงเจ้า พอจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ ข้าจะไปรับนางมา พวกเจ้าจะได้เสวนากัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไม่ได้เจอหลายวัน ข้าเองก็คิดถึงพี่ซุนแล้ว ได้มาอยู่พร้อมหน้ากัน พูดคุยสารทุกข์สุกดิบ”


 


 


เจ้าหน้าที่กลับมาโดยไว บอกว่าพวกคนเมื่อวานอยู่ในมือยายหวังตลาดค้ามนุษย์ด้านตะวันตกของอำเภอ


 


 


เปาอีฝานมุ่นหัวคิ้ว พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ยายหวังเป็นตลาดค้ามนุษย์ที่มีชื่อเรื่องความหน้าเงิน ขอเพียงคนตกไปอยู่ในมือเขา หากไม่ได้ราคาอีกเท่าตัวเจ้าอย่าหวังจะซื้อคนออกมาได้ ดูท่าคนที่พวกเราต้องการซื้อในวันนี้จะไม่ราบรื่นแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสัพยอก “มีคุณชายเปาผู้ยิ่งใหญ่ไปด้วยก็ยังไม่ได้หรือ?”


 


 


เปาอีฝานส่ายหน้า “พวกตลาดค้ามนุษย์นี้ต่างดำเนินการถูกต้องตามกฎทางการ พวกเราแทรกแซงไม่ได้ ตลาดค้ามนุษย์แห่งอื่นยังพอพูดคุยได้ แต่ยายหวังผู้นี้เป็นเจ้าของที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม คิดถึงแต่เงิน ไม่เคยไว้หน้าใครทั้งนั้น ทว่า ในมือนางล้วนเป็นทาสหลวงชั้นดี คนที่ซื้อกลับไปต่างพึงพอใจ ผ่านไปนานเข้า แม้ราคาของนางจะสูงไปบ้าง ก็มีคนไม่น้อยยินดีไปซื้อกับนาง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เมื่อในมือนางล้วนเป็นทาสหลวงชั้นดี ราคาสูงไปบ้างก็ไม่เป็นไร พวกเราไปดูหน่อยเถอะ”


 


 


เปาอีฝานให้คนรถนำรถม้าออกมา หลังจากขึ้นนั่ง ก็สั่งเขาไปสถานที่ซื้อขายมนุษย์ของยายหวัง


 


 


คนรถบังคับรถม้านำหน้า เมิ่งเสียนบังคับรถม้าตามหลัง ไม่นานก็มาถึงพื้นที่ของยายหวัง


 


 


คนรถและเมิ่งเสียนจอดรถม้าสนิท เปาอีฝานและเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านนำรถม้าไปผูกใต้ต้นไม้ทางนั้น ให้คนรถคุณชายเปาช่วยดูแล ท่านตามข้าเข้าไปเถอะ”


 


 


เมิ่งเสียนขบคิดเล็กน้อย นำรถม้าไปผูกใต้ต้นไม้ใหญ่ พูดกับคนรถของเปาอีฝานอย่างเกรงใจ ถึงเข้ามาในลานกว้างบ้านยายหวังพร้อมเปาอีฝานและเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ยายหวังเห็นมีคนเข้ามาแต่เช้า ร้องทักทายอย่างยินดี “ทุกท่าน มาซื้อคนเรอะ?”


 


 


พอเห็นชัดเจนว่าคนตรงหน้าคือเปาอีฝาน ก็ยิ่งทวีความเป็นกันเอง “ที่แท้ก็คุณชายเปา ไม่ทราบว่าท่านมาแต่เช้ามีธุระอันใด?”


 


 


เปาอีฝานวางมาดนิ่ง พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “สองคนนี้เป็นสหายข้า คิดจะซื้อคนกลับไปเป็นคนรับใช้จำนวนหนึ่ง ข้าได้ยินว่าทาสหลวงของที่นี่มีคุณภาพดี ตั้งใจพาพวกเขามาดู”


 


 


ยายหวังได้ฟังก็ปิติยินดี “คุณชายเปาสายตาแหลมคม ข้าจะบอกให้นะ ทาสหลวงของข้าที่นี่ล้วนเป็นทาสหลวงที่ถูกคุมตัวมาที่ดีที่สุดของอำเภอ ไม่ว่าท่านซื้อกลับไปให้พวกเขาทำอะไร รับประกันว่าท่านจะต้องพอใจ”


 


 


เปาอีฝานย่นหัวคิ้ว พูดอย่างรำคาญ “ยังจะพร่ำอะไรอีก ยังไม่รีบเรียกคนออกมาให้สหายทั้งสองของข้าดู”


 


 


ยายหวังรีบเข้าไปหลังเรือนร้องเรียกคนออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตาดู ไม่มีกลุ่มคนของเมื่อวาน ส่ายหน้าให้เปาอีฝาน


 


 


เปาอีฝานถามขึ้น “ที่นี่มีแค่คนพวกนี้หรือ?”


 


 


ยายหวังตอบ “พวกที่สั่งสอนดีแล้วมีเพียงเท่านี้ ยังมีเมื่อวานเพิ่งซื้อกลับมาอีกกลุ่ม ข้าไม่ได้ให้พวกเขาออกมา”


 


 


เปาอีฝานออกคำสั่ง “ให้พวกเขาออกมา ให้สหายของข้าได้ดู”


 


 


ยายหวังลังเลพูดว่า “คุณชายเปา คนพวกนั้นข้ายังไม่ได้สั่งสอน หากสหายของท่านซื้อกลับไปแล้วพวกเขาไม่เชื่อฟัง จะทำให้เสียชื่อข้าได้ ข้าว่าท่านเลือกจากคนพวกนี้กลับไปเถอะ ข้ารับประกันว่าพวกเขาจะเชื่อฟังเป็นอย่างดี”


 


 


เปาอีฝานแสร้งทวีความขุ่นเคืองใจ “ข้าบอกให้เจ้าไปพามา ก็ไปพามา ต่อหน้าสหายข้ากลับไม่ไว้หน้าข้า เจ้าไม่อยากทำการค้านี้แล้วใช่ไหม?”


 


 


แม้ในมือยายหวังจะมีเอกสารดำเนินการค้ามนุษย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ทำผิดกฎใดของทางการ แต่อย่างไรเปาอีฝานก็เป็นบุตรชายนายอำเภอ หากทำเขาไม่พอใจขึ้นมา ต่อไปเขาคอยมาขัดแข้งขัดขา การค้าของตัวเองก็จะยุ่งยากแล้ว พอเห็นเปาอีฝานเริ่มมีอาการเคืองขุ่น ยายหวังไม่กล้าขัดคำสั่ง รีบเดินไปหลังเรือน เรียกคนที่เพิ่งจะซื้อตัวมาออกมา พูดกับเปาอีฝาน “คุณชายเปา คนของข้าทั้งหมดอยู่ตรงนี้แล้ว ท่านดูก่อนว่ามีถูกใจสหายของท่านหรือไม่?”


 


 


เห็นกลุ่มคนเมื่อวานก็อยู่ในนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพยักหน้ากับเปาอีฝาน


 


 


เปาอีฝานทำทีเป็นพูดกับนาง “แม่นางเมิ่ง เจ้าก็ได้ยินคำพูดของยายหวังแล้ว เจ้าดูก่อนว่ามีที่เหมาะสมหรือไม่? ถ้ามีเจ้าก็เลือกออกมา หากว่าไม่มีพวกเราจะได้ไปที่อื่น”


 


 


ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ยายหวังรีบคุยโวกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง ข้าจะบอกให้นะ ทาสหลวงของข้าที่นี่ดีที่สุดแล้ว หากเจ้าไม่ได้คนที่เหมาะสมจากที่นี่ เจ้าไปหาที่ไหนก็ไม่มีแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากยกยิ้ม พูดเสียงอ่อน “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าซื้อคน ไม่ค่อยรู้เรื่อง เห็นคนไหนถูกชะตาก็ซื้อคนนั้น”


 


 


ยายหวังได้ยินว่านางไม่เคยซื้อคนมาก่อน นึกว่าจะหลอกได้ง่าย ลอบยินดี ชี้ทาสหลวงเต็มลานบ้านพูดว่า “เร็วๆๆ แม่นางดูให้ดีก่อน พอใจคนไหน ข้าจะให้ราคาต่ำสุดกับเจ้า”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)