ยอดหญิงสกุลเสิ่น 154.1-158.1

 ตอนที่ 154.1

 

พายุสินสอด

 


 


 


 


เพราะว่าเป็นการสมรสพระราชทาน ดังนั้นจึงละเว้นพิธีทาบทาม ถามชื่อวันเกิด หาฤกษ์ต่างๆ ได้ วันที่สามของการสมรสพระราชทานสำนักหอดูดาวหลวงก็ส่งผลดวงชะตาของคนทั้งสองมา แน่นอนว่าเหมาะสมราวกับสวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่ ที่ส่งมาพร้อมกันยังมีฤกษ์พิธีสมรส เดือนสามปีหน้า เดือนสามฤดูใบไม้ผลิ เดือนสามที่สรรพสิ่งฟื้นตัวอีกครั้ง เป็นลางที่ดียิ่งนัก 


 


 


ในที่สุดฮูหยินซื่อจื่อฮูหยินสวี่ก็โล่งอกได้เสียที เดิมจวนจงอู่โหวก็แต่งบุตรสาวสามคนต่อเนื่องกันหลายเดือน ก่อนหน้านี้นางยังกังวลว่าฤกษ์ของเวยเจี่ยเอ๋อร์จะกำหนดวันใกล้ทำให้ยุ่งวุ่นวาย ตอนนี้ดีแล้ว เดือนสามปีหน้า นับได้ว่ามีเวลาเตรียมงานแต่งให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ อย่างไรเสียเวยเจี่ยเอ๋อร์ก็แต่งงานกับราชวงศ์ เป็นเกียรติยศของจวนโหว 


 


 


วันที่สิบแปดเดือนเก้าเป็นวันดี เป็นวันที่สวีโย่วมามอบสินสอดที่จวนจงอู่โหว เพราะว่าเป็นการสมรสพระราชทาน กรมพิธีการงานสมรสของสวีโย่วจึงต้องเข้ามาดำเนินการอย่างยากจะเลี่ยง แต่สวีโย่ว 


 


 


เองก็ไม่ได้วางมือไม่ถามไถ่ด้วยเหตุนี้ แต่กลับคอยติดตามขั้นตอนทั้งหมด 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องยุ่งอยู่เจ็ดแปดวันในการจัดการใบรายการสินสอด หาโอกาสส่งให้สวีโย่วในวันที่ 


 


 


จิ้นอ๋องอยู่ “โย่วเอ๋อร์นี่คือใบรายการสินสอดที่แม่เตรียมไว้ให้เจ้า เจ้าลองอ่านดู ดูว่ายังต้องเพิ่มอะไรอีกหรือไม่” 


 


 


สวีโย่วรับใบรายการสินสอดเข้ามาเปิดอ่านอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย อ่านทุกหน้าทุกบรรทัด อ่านละเอียดอย่างยิ่ง เขาเอาแต่ก้มหน้าอ่านใบรายการสินสอด แต่กลับไม่เห็นว่าจิ้นอ๋องกำลังขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดอยู่ 


 


 


ครู่ใหญ่ในที่สุดสวีโย่วก็ปิดใบรายการสินสอดลง พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวถามอย่างเป็นกังวล “โย่วเอ๋อร์ มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ หากมีเจ้าก็เอ่ยมาเลย แม่จะเปลี่ยนให้ทันที” 


 


 


ท่าทางระมัดระวังเช่นนั้นทำให้คิ้วของจิ้นอ๋องขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม “มีอะไรไม่เหมาะสม เจ้าเคยทำเรื่องพลาดที่ไหนกัน ข้าว่าใบรายการสินสอดฉบับนี้ดีอย่างยิ่ง” ที่สำคัญก็คือเจ้าอ่านแล้วหรือยัง 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องยิ้มอย่างอ่อนโยนกล่าว “อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของโย่วเอ๋อร์ ควรจะยึดความคิดเห็นของเขาเป็นหลัก” 


 


 


“เขาจะเข้าใจอะไร พระชายาตัดสินใจเองก็พอ แค่เงินสินสอดก็ห้าหมื่นตำลึงก็ไม่น้อยแล้ว มากกว่านี้จวนจงอู่โหวจะให้สินเดิมได้หรือ พอแล้ว เอาตามใบรายการสินสอดฉบับนี้เถิด” จิ้นอ๋องโบกมือกล่าว เงินสินสอดห้าหมื่นตำลึงเป็นจำนวนเงินที่พระชายาจิ้นอ๋องกระซิบข้างหูเขาเมื่อคืน บอกว่าเท่ากับเงินของเยี่ยเกอเอ๋อร์และเหยียนเกอเอ๋อร์ในตอนแรก 


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับยกใบรายการสินสอดขึ้นกล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เงินสินสอดห้าหมื่นตำลึงน้อยไปหน่อย อย่างไรเสียข้าก็เป็นบุตรคนโต เงินสินสอดมากหน่อยจึงจะสมควร” 


 


 


ใบรายการสินสอดฉบับนี้ใช้สำนวนโวหารแพรวพราว ความจริงแล้วมูลค่าไม่ได้สูง อย่างเช่นร้านค้า ร้านบนถนนฝั่งตะวันออกเทียบร้านบนถนนฝั่งตะวันตกได้หรือ ยังมีหมู่บ้าน ความอุดมสมบูรณ์ของที่นาเทียบกับได้หรือ อีกทั้งเครื่องประดับเพชรนิลจินดานั้น ช่องว่างที่ใช้อุบายได้ก็ยิ่งเยอะ 


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน สวีโย่วอาจจะถูกหลอกจริงๆ ตอนนี้ไม่ได้แล้ว อันที่จริงตั้งแต่วันนั้นที่ตัดสินใจจะสู่ขอเสิ่นเวยเขาก็ขบคิดเรื่องสินสอดแล้ว เขาไม่เข้าใจไม่เป็นไร ข้างกายเขามีคนเข้าใจ สวีโย่วใช้วิชาความรู้มาศึกษาสินสอด พระชายาจิ้นอ๋องยังจะหลอกเขาได้อยู่อีกหรือ 


 


 


สวีโย่วเอ่ยปากว่าสินสอดน้อย พระชายาจิ้นอ๋องยังไม่ทันได้พูด จิ้นอ๋องก็ไม่พอใจแล้ว “จะน้อยได้อย่างไร พวกเจ้าสามพี่น้องได้เท่ากัน แม้ว่าเจ้าจะเป็นบุตรคนโต น้องรองของเจ้าก็ยังเป็นซื่อจื่อ” 


 


 


สวีโย่วจ้องตาของจิ้นอ๋องโดยตรง กระตุกมุมปาก “ตำแหน่งซื่อจื่อของน้องได้มาอย่างไรเสด็จพ่อท่านไม่ใช่รู้ดีที่สุดหรือ ในเมื่อซื่อจื่อโดดเด่นเหนือพี่น้องทั้งหมดได้ เช่นนั้นเหตุใดน้องสามกับน้องรองถึงได้เท่ากันเล่า” 


 


 


ความเหยียดหยามที่ชัดเจนในดวงตาคู่นั้นทำให้จิ้นอ๋องหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างอึกอัก “ตำแหน่งซื่อจื่อของน้องรองไม่ใช่เจ้าถอยให้เองหรอกหรือ เจ้าร่างกายไม่ดี จะแบกรับหน้าที่ซื่อจื่อจวนอ๋องได้อย่างไร น้องรองของเจ้าเองก็แบ่งเบาภาระให้เจ้า” นอกจากความอึดอัดในตอนแรกเริ่มแล้ว จิ้นอ๋องยิ่งพูดก็ยิ่งคล่อง แสดงท่าทางว่าทุกอย่างที่ทำล้วนหวังดีต่อเจ้า 


 


 


ความเหยียดหยามในดวงตาของสวีโย่วเพิ่มมากขึ้น “ลูกยอมถอยเองเพราะท่านไปร้องทุกข์กับเสด็จลุงทั้งวันมิใช่หรือ” 


 


 


ตามกฎหมายของต้ายง ซื่อจื่อจวนอ๋องมีบุตรภรรยาหลวงและก็ต้องตั้งบุตรภรรยาหลวง ไม่มีบุตรภรรยาหลวงก็ต้องแต่งตั้งบุตรคนโต ตำแหน่งซื่อจื่อควรตกเป็นของเขา แต่เสด็จพ่อถ่วงเวลายืดเยื้อไม่ยอมแต่งตั้งซื่อจื่อ ซ้ำยังไปร้องทุกข์ต่อหน้าเสด็จลุงอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็ว่าบุตรคนโตสุขภาพไม่ดีแบ่งเบาภาระเขาไม่ได้ บ้างก็ว่าเยี่ยเกอเอ๋อร์กตัญญูเก่งทั้งด้านบุ๋นและบู๊ เจตนาเช่นนั้นใครบ้างจะดูไม่ออก 


 


 


สวีโย่วเองก็อยากจะอยู่อย่างสงบ รวมถึงไม่อยากทำให้เสด็จลุงลำบากใจจึงยอมปล่อยตำแหน่งซื่อจื่อด้วยตัวเอง อีกทั้งเขายังเชื่อว่า แม้จะไม่มีตำแหน่งซื่อจื่อนี้ ด้วยความสามารถของเขาก็สามารถแย่งทรัพย์สินในบ้านมาได้เช่นกัน 


 


 


ใบหน้าของจิ้นอ๋องคร่ำเครียด โมโหกล่าว “เจ้าลูกทรพีเจ้าหมายความว่าอย่างไร” วันทั้งวันหน้าดำคร่ำเครียดราวกับคนอื่นติดหนี้เขา คำพูดที่พูดออกมาทำคนสำลักตายได้ ตำหนิเขาได้หรือที่เขาไม่ชอบบุตรคนโต 


 


 


สวีโย่วยิ้มเยาะ “เสด็จพ่อคิดว่าลูกหมายความว่าอย่างไร” คิดว่าเขายังเป็นเด็กน้อยคนนั้นหรือไร 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเห็นสองพ่อลูกกำลังจะทะเลาะ ในใจนางก็มีความสุขอย่างยิ่ง จะทำอย่างไรได้ เนื้อหาที่ทะเลาะก็เกี่ยวข้องกับตำแหน่งซื่อจื่อของบุตรนาง นางจำใจต้องเข้าไปโน้มน้าวนายท่าน “ท่านอ๋อง ท่านทำอะไร สองพ่อลูกมีอะไรก็พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ โย่วเอ๋อร์เองก็อย่าหาเรื่อง พวกเรามาพูดเรื่องสินสอดกันต่อเถิด จากที่เจ้าเห็นว่าสินสอดนี้น้อยไป เช่นนั้นเพิ่มเท่าไรจึงจะเหมาะสม” 


 


 


สวีโย่วมองพระชายาจิ้นอ๋องที่งดงามเพียบพร้อม ในดวงตามีบางอย่างแวบผ่าน “พวกเราไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งซื่อจื่อก่อน อย่างไรเสียลูกก็เป็นบุตรคนโต อย่างน้อยสินสอดนี้ก็ต้องเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นตำลึง สำหรับของอื่นๆ ลูกไม่ยุ่งแล้ว เสด็จพ่อเองก็มอบเงินส่วนตัวให้ลูก ไว้ลูกจะไปจัดการเอง” 


 


 


เขาคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ กล่าว “ลูกมีใบรายการสินสอดของน้องรองกับน้องสามอยู่ เสด็จพ่อลองอ่านสักหน่อย แท้จริงแล้วเหมือนกับของลูกหรือไม่ อ้อจริงสิ เพียงแค่อ่านยังไม่พอ ต้องให้คนไปสืบถามด้วยว่าร้านค้าหมู่บ้านในนี้ทุกปีมีกำไรต่างกันเท่าไร แม้ว่าลูกจะไม่ได้จัดการงานทั่วไป แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ยังเข้าใจดี” ประโยคสุดท้ายเขาตั้งใจพูดให้พระชายาจิ้นอ๋องฟัง 


 


 


สวีโย่วก้าวขาเดินออกไป ทว่าในใจพระชายาจิ้นอ๋องกลับกระวนกระวายเล็กน้อย “ท่านอ๋อง โย่วเอ๋อร์หมายความว่าอย่างไร เหตุใดข้าถึงไม่เข้าใจเล่า” 


 


 


ทว่าจิ้นอ๋องกลับจ้องมองใบรายการสินสอดสามฉบับบนโต๊ะคล้ายกำลังครุ่นคิด กล่าวลวกๆ “ใครจะรู้ว่าเด็กนั่นหมายความว่าอย่างไร เจ้าไม่ต้องสนใจ ทำตามที่เขาพูดเถิด อย่างไรเสียก็เป็นงานสมรสของเขา ขายหน้าก็เป็นเขาเองที่ขายหน้า” แน่นอนว่านี่คือคำพูดจากความโกรธ ลูกขายหน้าแล้ว คนเป็นพ่อยังมีหน้าอะไรอีก 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเห็นจิ้นอ๋องเก็บใบรายการสินสอดสามฉบับไปจริงๆ มือที่กำผ้าเช็ดหน้าอยู่ก็กำแน่นขึ้นอย่างอดไม่ได้ ในใจก็ยิ่งไม่เป็นสุข แอบเสียใจที่ตนประมาท ใครจะรู้ว่าคุณชายใหญ่ที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาผู้นั้นจะเข้าใจการจัดการการเงินถึงเพียงนั้น 


 


 


วันที่สิบแปดเดือนเก้าวันนี้ ฮูหยินซื่อจื่อฮูหยินสวี่ยุ่งตั้งแต่เช้า ทั้งจวนโหวทำความสะอาดจวนเหมือนใหม่ตั้งแต่สามวันก่อน ใต้ระเบียงทางเดินแขวนผ้าแดงและโคมไฟ แม้แต่กำแพงยังทาสีใหม่หนึ่งรอบ บ่าวรับใช้ทั้งหลายก็เปลี่ยนชุดใหม่ วิ่งวุ่นทั้งจวนด้วยความกระปรี้กระเปร่า 


 


 


“เร็วๆๆ เอาปะการังกระถางนี้ไปวางไว้ตรงนั้น วางดอกไม้สีสดกระถางนี้ไว้ตรงนั้น ทำเบาๆ อย่าให้เกิดข้อผิดพลาด” ฮูหยินสวี่ลงมือบัญชาการด้วยตัวเอง 


 


 


จวนจิ้นอ๋องฝั่งนั้นส่งข่าวมาก่อนแล้ว บอกว่าวันนี้พระชายาจิ้นอ๋องกับองค์หญิงใหญ่จะมา พระชายาจิ้นอ๋องเป็นว่าที่แม่สามีของเวยเจี่ยเอ๋อร์ องค์หญิงใหญ่เป็นผู้ที่นอกจากจะเข้าวังก็ไม่เคยออกไปเป็นแขกมาก่อน สองบุคคลสูงส่งเช่นนี้จะมา เป็นเกียรติต่อจวนโหวมากมายเพียงใด จะไม่ให้ฮูหยินสวี่ให้ความสำคัญได้อย่างไร 


 


 


“ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ มาแล้วขอรับ ท่านเขยสี่มา มามอบสินสอดแล้วขอรับ” มีบ่าวรับใช้วิ่งหอบมารายงาน 


 


 


ฮูหยินสวี่ตกใจ “อะไรนะ ท่านเขยสี่ของพวกเราก็มาด้วยงั้นหรือ” ไม่เห็นได้ยินว่าคุณชายใหญ่สวีก็จะมาด้วยนี่ 


 


 


บ่าวรับใช้คนนั้นกลืนน้ำลายหลายคราจึงจะหายใจคล่อง “ฮูหยินขอรับ ท่านเขยสี่ของพวกเรานำคนมามอบสินสอดเองขอรับ” เขาเห็นแต่ไกลๆ ก็วิ่งมารายงานทันที 


 


 


“อืม เจ้ามีไหวพริบดี กลับไปจะต้องให้บำเหน็จเจ้าแน่” ฮูหยินสวี่มองเด็กรับใช้ที่มารายงานด้วยความชื่นชมปราดหนึ่ง คิดครู่หนึ่งแล้วจึงสั่ง “รีบไปเชิญซื่อจื่อและนายท่านสามกลับจวนมารับแขก” คุณชายใหญ่สวีมาแล้วจะต้องต้อนรับให้ดีมิใช่หรือ 

 

 

 


ตอนที่ 154.2

 

พายุสินสอด

ฮูหยินสวี่รีบไปรับแขกที่หน้าประตูใหญ่ ว่ากับตามเหตุผลแล้วนางเป็นฝ่ายหญิง ซ้ำวันนี้ยังเป็นวันที่ฝ่ายชายมามอบสินสอด นางควรจะนั่งอยู่ในโถงหลักรอผู้อาวุโสฝ่ายชายมาถึง แต่ใครให้ตระกูลฝ่ายชายสูงส่งเกินไปเล่า ไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองนางก็ไม่สบายใจ มีเหล่าไท่จวินกำลังรออยู่ที่โถงหลักด้วยเหมือนกัน


 


 


สินสอดมาถึงก่อน คุณชายที่ราวกับเทวดาผู้นั้นลงมาจากรถม้า ฮูหยินสวี่ก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน ฟ้าดินสงบนิ่ง


 


 


“เสิ่นฮูหยิน วันนี้โย่วมามอบสินสอด”


 


 


เสียงที่เยือกเย็นดังขึ้นข้างหู ฮูหยินสวี่เพิ่งจะหันหลังกลับมา ยกยิ้มกล่าว “คุณชายใหญ่รีบเข้ามา เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ รีบพาคุณชายใหญ่ไปพักที่ห้องหนังสือเรือนหน้า สินสอด สินสอดยกไปที่เรือนเฟิงฮวาได้เลย” ชั่วพริบตาฮูหยินสวี่ก็ตัดสินใจเช่นนี้ อย่างไรเสียสินสอดก็เป็นของเวยเจี่ยเอ๋อร์ ยกไปที่เรือนเฟิงฮวาเลยเหมาะสมที่สุด


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไร โย่วยังไม่ได้คำนับเหล่าไท่จวินเลย” ในใจเขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอเด็กคนนั้นให้ได้ เด็กคนนั้นอารมณ์ร้อนจริงๆ ตอกตะปูปิดตายหน้าต่างเสียแล้ว ทำให้เขาต้องกลับไปมือเปล่า


 


 


เห็นสินสอดที่ยกเข้ามาราวกับกระแสน้ำไหล บ่าวรับใช้ที่ทำงานอยู่บริเวณประตูใหญ่ต่างก็ตกใจจนอ้าปากกว้าง แม้แต่ฮูหยินสวี่ที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังแอบตกใจอยู่เงียบๆ สินสอดนี้มากเกินไปแล้วกระมัง


 


 


ราชรถขององค์หญิงใหญ่กับพระชายาจิ้นอ๋องมาถึงแล้ว สวีโย่วเร่งฝีเท้าเข้าไปยื่นมือประคององค์หญิงใหญ่ ส่วนฮูหยินสวี่ก็เข้าไปรับพระชายาจิ้นอ๋อง เดินเรียงเข้าไปในเรือนด้านในพร้อมกัน


 


 


“หม่อมฉันขอต้อนรับองค์หญิงใหญ่และพระชายาจิ้นอ๋องเพคะ” เหล่าไท่จวินเสิ่นลุกขึ้นทำความเคารพ จากนั้นจึงให้คนทั้งสองนั่งประจำที่


 


 


สวีโย่วก้าวเข้าไปทำคำนับเหล่าไท่จวินและฮูหยินสวี่ หลังจากนั้นคนทั้งหลายก็ทักทายกัน


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องปั้นหน้ายิ้มน้อยๆ อยู่ตลอด ท่าทางอ่อนโยนเป็นมิตร นางมองคุณชายใหญ่ที่หลุบตาดื่มชาปราดหนึ่ง ล้วงใบรายการสินสอดออกมาจากในแขนเสื้อแล้วจึงยื่นให้เหล่าไท่จวิน “นี่คือใบรายการสินเดิมของจวนจิ้นอ๋องเรา เหล่าไท่จวินเชิญอ่าน” เป็นปกติ จวนเช่นจวนโหวนี้นางเหยียดหยาม แม้ว่าท่านเสิ่นโหวจะเป็นผู้ที่จักรพรรดิให้ความสำคัญ แต่ในสายตาจวนจิ้นอ๋อง จวนจงอู่โหวก็เป็นเพียงตระกูลที่รวยชั่วข้ามคืน ไม่ควรค่าให้นางคบค้าสมาคมด้วย


 


 


ทว่าตั้งแต่ที่จักพรรดิพระราชทานสมรสให้สองตระกูล คุณหนูสี่ของจวนจงอู่โหวก็ต้องแต่งงานเข้าจวนจิ้นอ๋อง ซ้ำวันนี้ยังเป็นวันมอบสินสอด นางจึงจำใจต้องมา โชคดีที่มาครั้งนี้เพียงครั้งเดียว อดทนหน่อยประเดี๋ยวก็ผ่านไป


 


 


เหล่าไท่จวินรับใบรายการสินสอดมาเปิดอ่านครู่หนึ่ง แทบจะตะลึงงัน ให้ตายเถอะ เพียงแค่เงินสินสอดก็หกหมื่นตำลึงแล้ว จวนจิ้นอ๋องร่ำรวยและทรงอำนาจจริงๆ เวยเจี่ยเอ๋อร์เด็กคนนั้นมีอนาคตจริงๆ


 


 


เหล่าไท่จวินถอนหายใจในใจ ถือโอกาสส่งใบรายการสินสอดให้ฮูหยินสวี่ข้างๆ “อีกประเดี๋ยวส่งไปให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ ให้นางอ่าน”


 


 


ไม่ใช่ว่าเหล่าไท่จวินเปลี่ยนมุมมองต่อเสิ่นเวย แต่หลานสาวคนนี้ก็ได้คู่หมั้นดีอย่างยิ่งจริงๆ นางต้องผูกมิตรไว้หน่อย จะได้เป็นผลดีต่อเซียนเกอเอ๋อร์พวกเขาพี่น้องมิใช่หรือ


 


 


“เจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวจะส่งไปให้เวยเจี่ยเอ๋อร์” ฮูหยินสวี่กล่าวด้วยความเคารพ ก้มหน้ากวาดสายตาปราดหนึ่ง มองเห็นเงินสินสอดหกหมื่นตำลึงในนั้น ในใจก็ตกใจเช่นกัน มองพระชายาจิ้นอ๋องอย่างอดไม่ได้ คิดในใจ ว่าที่แม่สามีคนนี้ของเวยเจี่ยเอ๋อร์กลับเป็นคนดีนัก ปฏิบัติต่อลูกเลี้ยงดีจริงๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่อาจให้สินสอดจำนวนมากเพียงนี้ได้


 


 


สวีโย่วที่หลุบตามาโดยตลอดได้ยินชื่อเสิ่นเวย มือที่ถือแก้วชาก็หยุดชะงักเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมององค์หญิงใหญ่อย่างอดไม่ได้


 


 


องค์หญิงใหญ่หัวเราะในใจ ไอเบาๆ หนึ่งครากล่าว “ข้ายังไม่เคยเจอคุณหนูสี่จวนสูงศักดิ์เลย เชิญคุณหนูสี่มาพบหน่อยเถิด” พูดจบก็มองหลานชายปราดหนึ่ง เห็นเขาวางท่าทางเบาสบายก็หัวเราะในใจอีกครั้งอย่างอดไม่ได้


 


 


องค์หญิงใหญ่สั่งแล้ว ใครจะกล้าปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้เหล่าไท่จวินจึงสั่งสาวใช้ใหญ่หู่พั่ว “รีบไปเชิญคุณหนูสี่มา”


 


 


เรือนเฟิงฮวากำลังครึกครื้น บ่าวรับใช้จำนวนมากกำลังล้อมวงรอบสินสอดเต็มเรือนชี้ไม้ชี้มือพูดคุยอย่างตื่นเต้นดีใจ ให้ตายเถอะ ไม่เสียชื่อที่เป็นจวนจิ้นอ๋อง ร่ำรวยทรงอำนาจยิ่งนัก คุณหนูสี่มีวาสนาจริงๆ ได้ติดตามเจ้านายเช่นนี้เป็นโชคดีอย่างยิ่ง บ่าวรับใช้ในเรือนเฟิงฮวาหลังตรงอกตั้ง เชิดหน้าชูตา รับความอิจฉาริษยาเคียดแค้นของบ่าวรับใช้ในเรือนอื่นๆ


 


 


สาวใช้หลายคนข้างกายเสิ่นเวยเองก็ตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ แม้แต่หลีฮวาที่สุขุมที่สุดยังวิ่งมาดูทีลานบ้านสองรอบอย่างอดไม่ได้ เหอฮวาก็ยิ่งวิ่งเข้าวิ่งออกไม่หยุด “คุณหนู คุณหนู บ่าวคำนวณคร่าวๆ ดูแล้ว ไม่รวมเงินสินสอดก็ประมาณแสนตำลึงแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“จริงหรือ ดีจริงๆ เห็นได้ชัดว่าจวนจิ้นอ๋องให้ความสำคัญกับคุณหนูของพวกเรา” สาวใช้คนอื่นๆ กล่าวคล้อยตาม


 


 


ทว่าในใจเสิ่นเวยกลับไม่ได้ตื่นเต้นตกใจ มองเหล่าสาวใช้ที่ยินดีปรีดาปราดหนึ่ง กล่าว “คุณหนูพวกเจ้าเป็นคนไม่มีเงินหรือ” ตาไม่มีแววเกินไปแล้วจริงๆ ในมือนางเพียงแค่เงินสดก็มีเกือบล้านตำลึงแล้ว


 


 


อะไรนะ ไหนเลยจะมีมากเพียงนั้นงั้นหรือ นอกจากเงินสี่แสนตำลึงที่นางยึดกลับมาจากฮูหยินหลิวแล้ว อย่าลืมว่านางยังมีเงินทองที่ยึดกลับมาจากรังโจรเทือกเขาเฟยหลิ่ง รวมกันแล้วจะไม่ถึงเกือบล้านตำลึงได้อย่างไร


 


 


นอกจากเงินสดเกือบล้านตำลึงแล้ว ยังมีกิจการมากมายเพียงนั้น ตอนนี้ข้าเป็นคนรวยแล้ว ไหนเลยจะเห็นสินสอดแค่แสนตำลึงนี้อยู่ในสายตา


 


 


สาวใช้ทั้งหมดคิดดูแล้วก็ใช่ สิ่งที่คุณหนูมีไม่ขาดที่สุดก็คือเงิน


 


 


“แม้ว่าคุณหนูจะมีเงิน แต่สินสอดเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นว่าจวนจิ้นอ๋องให้ความสำคัญต่อคุณหนูนะเจ้าคะ” เถาจือตั้งสติแล้วกล่าว สาวใช้คนอื่นๆ ก็เห็นคล้อยตามกัน


 


 


เสิ่นเวยยกมุมปาก กำลังจะโต้เถียง ก็เห็นหู่พั่ว สาวใช้ใหญ่ข้างกายท่านย่าเข้ามา “คุณหนูสี่ เหล่าไท่จวินเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”


 


 


ไม่ต้องถามก็รู้ว่าองค์หญิงใหญ่กับพระชายาจิ้นอ๋องอยากพบนาง ในใจเสิ่นเวยเข้าใจดี ในเมื่อพระราชทานสมรสแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถอะ ไม่มีอะไรให้ต้องคัดค้าน


 


 


หลีฮวาและคนอื่นๆ รีบช่วยคุณหนูแต่งหน้าแต่งตัว หลังจากวุ่นวายเสร็จแล้วในที่สุดเสิ่นเวยก็ออกจากเรือนอย่างสง่างาม


 


 


เสียงประกาศดังเข้ามาแล้ว องค์หญิงใหญ่กล่าวหนึ่งครา “รีบเชิญเข้ามา” แผ่นหลังสวีโย่วยืดตรงสามส่วนอย่างอดไม่ได้


 


 


มองเห็นเด็กสาววัยแรกแย้มผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตู เรือนร่างผอมสูง สวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนทั้งร่าง เพิ่มความเย็นสบายให้ฤดูร้อนที่อบอ้าวเช่นนี้ เส้นผมสีดำรวบขึ้นตามอำเภอใจ ปิ่นหยกเขียวหนึ่งอันปักเอียงๆ อยู่บนศีรษะ ต่างหูไข่มุกสองข้างตรงหูแกว่งไกวเบาๆ ขับผิวขาวเนียนของนางให้เป็นประกายหลายส่วน


 


 


เมื่อมองใบหน้านั้น โอ เหตุใดถึงมีสตรีที่งดงามเช่นนี้ ตาหงส์หนึ่งคู่แฝงอมยิ้ม จมูกโด่งริมฝีปากแดงใบหน้าเล็กเป็นรูปไข่ งดงามจริงๆ


 


 


หน้าตาของคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้โดดเด่นยิ่งกว่าหร่วนเยียนหรานมารดาของนางเสียอีก มิน่าเล่าอาโย่วถึงได้ชอบเพียงนี้ องค์หญิงใหญ่เกิดความคิดเช่นนี้ในใจ


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเองก็ตกตะลึง มิน่าเล่า มิน่าเล่าถึงได้มีพระราชโองการสมรสพระราชทาน คุณหนูสี่ผู้นี้งดงามเช่นนี้ ตนเป็นผู้หญิงยังมองแล้วหวั่นไหว แล้วนับประสาอะไรกับคุณชายใหญ่ พระชายาจิ้นอ๋องคล้ายชั่วขณะก็หาเหตุผลที่คุณชายใหญ่ต้องการจะแต่งงานกับเสิ่นเวยเจอแล้ว


 


 


มุมปากของสวีโย่วเจ้าตัวยกสูงอย่างยิ่ง ตั้งแต่ที่เสิ่นเวยเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่บนร่างนาง ดวงตามีความตกตะลึงแวบผ่าน เขารู้ว่าเด็กคนนี้สวย แต่ไม่คิดว่าแต่งหน้าแต่งตัวแล้วนางจะโดดเด่นน่าจับตาเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็เสียใจอย่างยิ่ง เสียใจที่ให้เสด็จป้าเรียกเด็กน้อยเข้ามา เด็กสาวที่งดงามเพียงนี้เขาควรจะเก็บไว้ชื่นชมเพียงคนเดียวจึงจะถูก


 


 


เสิ่นเวยจะไม่รู้สึกถึงสายตาที่ร้อนแผดเผานั้นได้อย่างไร นางกลอกตาในใจ ใครบอกนางได้บ้างว่าชายโรคจิตผู้นี้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาควรจะพูดคุยเฮฮากับท่านลุงใหญ่และท่านพ่อที่เรือนนอกหรอกหรือ


 


 


ทว่าสีหน้านางกับเรียบเฉย กระโปรงไม่ขยับร่างไม่ซวนเซ เดินเข้าไปทำความเคารพด้วยความสง่างาม “หม่อมฉันเสิ่นซื่ออาเวยถวายบังคมองค์หญิงใหญ่และพระชายาจิ้นอ๋องเพคะ ท่านย่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ เวยเจี่ยเอ๋อร์คำนับเจ้าค่ะ”


 


 


แววตาขององค์หญิงใหญ่มีความชื่นชมแวบผ่าน ยังไม่ทันได้พูดก็เห็นพระชายาจิ้นอ๋องจับมือของเสิ่นเวยไว้แล้ว กล่าวชื่นชม “ดีๆๆ แม่นางงดงามยิ่งนัก”


 


 


เสิ่นเวยเม้มปากยิ้มเขิน “พระชายากล่าวเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันบอบบางอ่อนแอจะสุภาพสูงส่งเท่าพระชายาได้อย่างไร”


 


 


“จุ๊ๆ แม่นางช่างรู้จักจำนรรจา ข้าน่ะชอบสตรีเช่นนี้จริงๆ” พระชายาจิ้นอ๋องยิ้มไม่หุบปาก หันหน้ากล่าวกับเหล่าไท่จวินด้วยความอิจฉา “เหล่าไท่จวินมีวาสนาจริงๆ ได้หลานสาวที่ดีเพียงนี้”


 


 


เหล่าไท่จวินได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดคิด “เพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ไหนเลยจะต้องให้พระชายากล่าวชมเช่นนี้”


 


 


ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับยังคงจับมือเสิ่นเวยไม่ปล่อย คล้ายชอบอย่างยิ่ง “เหล่าไท่จวินก็ถ่อมตัว เด็กดี รอเจ้าเข้าจวนจิ้นอ๋องแล้ว พวกเราสองคนก็จะได้สนิทสนมกัน ปิ่นทองอันนี้ข้าใช้มาเจ็ดแปดปีแล้ว เจ้าอย่าได้รังเกียจ ให้เจ้าไว้ใส่เล่น” นางดึงปิ่นทองหนึ่งอันลงมาจากศีรษะเสียบลงบนศีรษะของเสิ่นเวยแทน


 


 


แม้ว่าจะเป็นการสมรสพระราชทาน แต่พิธีบางอย่างก็ยังมีความหมาย อย่างเช่นการปักปิ่นนี้ หากฝ่ายชายเห็นว่าพอใจก็จะปักปิ่นทองไว้บนศีรษะเด็กสาว หมายถึงการตกลงหมั้นหมาย


 


 


แม้เสิ่นเวยจะกระตุกมุมปาก แต่ก็รู้ความหมายของปิ่นทองนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท “ขอบคุณพระชายาที่ประทานให้เพคะ” นางหลุบตาเล็กน้อย หน้าแดง ประหนึ่งดอกบัวที่เขินอายดอกหนึ่ง


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องปิดปากหัวเราะ “ไม่ต้องขอบคุณ อีกไม่นานก็จะเป็นคนบ้านเดียวกันแล้ว” นางกล่าวอย่างแฝงนัย หางตาเหลือบมองคุณชายใหญ่ที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะ เห็นเขายังคงก้มหน้าดื่มชา แม้แต่เปลือกตายังไม่เหลือบขึ้นมา ในใจก็ผิดหวังหลายส่วนอย่างอดไม่ได้


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับลุกขึ้นยืน กล่าวขอโทษ “เสด็จป้า พระชายา เหล่าไท่จวิน เสิ่นฮูหยิน โย่วขอตัวก่อน รบกวนเสิ่นฮูหยินให้คนนำทางโย่วไปคำนับเสิ่นซื่อจื่อและใต้เท้าเสิ่นหน่อยขอรับ”


 


 


เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับไผ่เขียวที่สูงตรง เด็กหนุ่มเช่นนี้ใครบ้างจะไม่ชอบ ฮูหยินสวี่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เหล่าไท่จวินก็ออกคำสั่งแทรกขึ้นมา “แม่นมฉิน เร็ว รีบพาคุณชายใหญ่ไปห้องหนังสือเรือนหน้า” เดิมนางคิดจะให้หู่พั่วไป แต่แม่นมเฉินข้างๆ กลับดึงเสื้อของนาง นางจึงเปลี่ยนไปเรียนแม่นมฉินแทน


 


 


ก่อนสวีโย่วเดินออกไปก็แอบมองเสิ่นเวยเงียบๆ ปราดหนึ่ง เห็นเด็กคนนี้หลุบตายิ้มบางๆ อยู่ ไม่ได้มองมาทางเขาแม้แต่ปราดเดียว เขารู้สึกผิดหวังหลายส่วนอย่างอดไม่ได้ แต่ทันใดนั้นก็ดีใจขึ้นมา อย่างไรเสียเจตนาในการมาของเขาครั้งนี้ก็สำเร็จผลแล้ว


 


 


องค์หญิงใหญ่เห็นท่าทางเช่นนั้นของหลานชายก็ขำขันเล็กน้อยจึงกล่าวอย่างหลอกล้อ “ในเมื่อแม่สามีเจ้าก็ใจกว้างเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่อาจใจแคบได้ใช่หรือไม่ เอ้านี่ กำไลหยกอันนี้ข้าเองก็ใส่มาเจ็ดแปดปีแล้ว ให้เจ้าเอาไปใส่เล่นแล้วกัน”


 


 


นางถอดกำไลหยกออกมาจากข้อมือแล้วสวมลงบนมือเสิ่นเวยแทน นางชอบเสิ่นเวยจริงๆ หน้าตางดงาม กิริยาสง่า นี่ยังเป็นสิ่งรองลงมา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเด็กคนนี้หน้าตาซื่อตรง ไม่เหลวไหล เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นคนฉลาดรู้ประสาแน่วแน่มั่นคง เหมาะสมกับหลานชายผู้อาภัพผู้นั้นของนางพอดี


 


 


กำไลหยกอันนี้เป็นสีเขียวทั้งวง ระดับความเข้มของสีดีอย่างยิ่ง เห็นแล้วก็รู้ว่ามูลค่าไม่ใช่น้อยๆ ก็ใช่ ในมือองค์หญิงใหญ่จะมีของคุณภาพต่ำได้อย่างไร


 


 


เสิ่นเวยรีบปฏิเสธ “กำไลหยกนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว องค์หญิงใหญ่เก็บไว้เถิดเพคะ ทรงมอบผ้าเช็ดหน้าหรือกระเป๋าเงินใบเล็กให้หม่อมฉันก็พอเพคะ”


 


 


ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับไม่ยอม กล่าวอย่างไม่สนใจ “เอาไปใส่เล่นเถอะ ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร เพียงแค่สีสวย เอาไปเถอะๆ”


 


 


เอ๋ นี่ยังไม่ใช่ของล้ำค่าอะไรงั้นหรือ องค์หญิงใหญ่ใจกว้างจริงๆ เสิ่นเวยถอนหายใจในใจ แต่กลับหันมองเหล่าไท่จวินด้วยสีหน้าลำบากใจ


 


 


เหล่าไท่จวินพยักหน้าให้นาง “ในเมื่อองค์หญิงใหญ่ให้เจ้าเองแล้ว เจ้าก็รับไว้เถอะ ผู้ใหญ่ให้ของอย่าปฏิเสธ นี่เป็นกฎ”


 


 


“หม่อมฉันขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่เพคะ” เสิ่นเวยทำได้เพียงรับกำไลหยกอันนี้มา อืม ใส่แล้วก็พอดี ทั้งยังสวยยิ่งนัก เสิ่นเวยเผยรอยยิ้มน่ารักให้องค์หญิงใหญ่ด้วยความดีใจ

 

 

 


ตอนที่ 155.1

 

รายงานด่วนซีเจียง

“หัวหน้า ท่านเรียกผู้น้อยมามีเรื่องอันใดหรือ” เหลิ่งเฟยหยางผู้ดูแลตำหนักรื่อเตี้ยนของหอมือสังหารกล่าวถามด้วยความเคารพ


 


 


เซี่ยเฟยหัวหน้าหอมือสังหารยืนอยู่หน้าป่าไผ่ผืนหนึ่ง ร่างสูงสง่า ยังคงสวมหน้ากากสีเงินนั้นอยู่ เขาเงยหน้ามองฟ้า ชั้นเมฆต่ำอย่างยิ่ง เห็นเค้าลางว่ากำลังจะเกิดพายุฝน


 


 


“ผู้ว่าจ้างอักษรเทียนลำดับที่เจ็ดมาหาหรือยัง” เซี่ยเฟยถามด้วยท่าทีคล้ายไม่สนใจ


 


 


เหลิ่งเฟยหยางพยักหน้า “มาแล้วขอรับ หลังทราบว่าภารกิจล้มเหลวกลับไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้เร่งรัดให้พวกเราทำต่อ บอกเพียงแค่ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วจะส่งคนมาสั่ง”


 


 


เซี่ยเฟยตอบอืมคราหนึ่ง ยื่นมือเด็ดใบไผ่เล่น “ถอนตัวจากงานนี้เสีย” เป็นประโยคยืนยันมิใช่ประโยคคำถาม


 


 


เหลิ่งเฟยหยางไม่เข้าใจ “หัวหน้า ผู้น้อยไม่เข้าใจ นี่มันเงินก้อนใหญ่เลยนะขอรับ สิ่งที่พวกเราหอสังหารต้องทำก็แค่การค้าฆ่าคน ขอเพียงผู้ว่าจ้างจ่ายเงิน ก็ไม่มีคนที่พวกเราฆ่าไม่ได้ ครั้งนี้พลาดไปเพียงครั้งเดียว ไม่ถึงขนาดต้องล้มเลิกกระมัง” เหลิ่งเฟยหยางไม่ยินยอมในใจ


 


 


“ถอนเสีย นำเงินหนึ่งแสนตำลึงคืนผู้ว่าจ้างอักษรเทียนลำดับที่เจ็ดเสีย” เซี่ยเฟยออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นกฎของหอมือสังหาร เมื่อฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาก็ต้องชดใช้เงินเท่าตัว


 


 


เนื่องจากเซี่ยเฟยมีอำนาจมาก ต่อให้ในใจเหลิ่งเฟยหยางจะไม่ยินยอม แต่กลับไม่กล้าขัดคำสั่งของเขา “ขอรับ ผู้น้อยทราบแล้ว” แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลตำหนักรื่อเย่ว์ซิงซาน แต่ความเข้าใจที่มีต่อหัวหน้าก็เพิ่งจะแตะมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็ง เพียงแค่ตัวเขาเองก็มีวรยุทธ์ที่ไม่ว่าใครก็คาดเดาไม่ได้ ข้างกายคล้ายมีทหารลับ ส่วนมีอยู่กี่คน เป็นใครบ้างนั้น เขาไม่รู้เลย


 


 


เซี่ยเฟยมองแผ่นหลังที่เดินออกไปไกลของผู้ใต้บังคับบัญชา ละสายตามองขอบฟ้าไกลๆ อีกครั้ง


 


 


กลุ่มมือสังหารสามารถสืบทอดมาได้หนึ่งร้อยปี ไม่อาจแยกออกจากการจัดการและสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมของหัวหน้าทุกรุ่นได้ ตั้งแต่ที่จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าภารกิจอักษรเทียนลำดับที่เจ็ดไม่อาจดำเนินต่อไปได้แล้ว


 


 


เขาเป็นหัวหน้าของหอมือสังหารย่อมรู้ข่าวจำนวนมากที่คนอื่นไม่รู้ คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องผู้นั้นไม่ได้ไร้พิษภัยเหมือนอย่างที่เห็นแต่ภายนอก พูดเช่นนี้แล้วกัน ทั่วทั้งต้ายง คุณชายใหญ่สวีเป็นคนเดียวที่เขาจะไม่ยอมยุแหย่ที่สุด


 


 


ตอนนี้เป้าหมายภารกิจอักษรเทียนลำดับที่เจ็ดเป็นคู่หมั้นของคุณชายใหญ่สวี เขาย่อมต้องถอยหนึ่งก้าว มิเช่นนั้นที่รอเขาอยู่ก็อาจจะเป็นการล้อมปราบของกองทัพและการไล่ล่าสังหารที่ไม่หยุดพัก แค่คิดก็กลุ้มอย่างยิ่งแล้ว


 


 


เฮ้อ ตอนนี้กิจการมือสังหารเองก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ แล้ว พลาดไปเพียงนิดเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพังพินาศกันทั้งหมด ดังนั้นเพียงแค่เป็นมือสังหารอย่างเดียวไม่ได้ ยังต้องขยายอาชีพเสริมอื่นๆ ด้วย อย่างเช่นเขา นอกจากจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มมือสังหารแล้วก็ยังเป็นบัณฑิตน้อยของสำนักราชบัณฑิตที่เข้าไปได้ด้วยการสอบขุนนาง


 


 


จวนอีกแห่งหนึ่งในเมืองหลวง คนผู้หนึ่งที่ท่าทางเหมือนปัญญาชนวัยกลางคนเร่งฝีเท้าเลี้ยวเข้าห้องหนังสือ มือทั้งคู่ยกซองจดหมายในมือขึ้น “นายท่าน กลุ่มมือสังหารถอดถอนสัญญาของพวกเราขอรับ”


 


 


นายท่านผู้นั้นคล้ายคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ตกใจแม้แต่นิดเดียว “ถอนก็ถอนเถอะ” ตั้งแต่ที่จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง เขาก็รู้แล้วว่าการค้าขายครั้งนี้จะต้องทำไม่สำเร็จ น่าเสียดาย พลาดไปแค่นิดเดียว


 


 


“นายท่าน ท่านว่าจะต้อง?” ปัญญาชนวัยกลางคนเสนอความคิดเห็นอย่างไม่ยินยอมเล็กน้อย


 


 


ทว่านายท่านผู้นั้นกลับส่ายหน้า “อย่าเพิ่งบุ่มบ่ามชั่วคราว” เขาจะส่งทหารเดนตายไปลงมือ เพียงแต่ไม่คุ้มค่า ตอนนี้เขายังไม่อยากมีปัญหากับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเพียงแค่เด็กสาว ปล่อยให้นางกระโดดโลดเต้นสักหน่อยจะเป็นอะไรไป พอนางเข้าจวนจิ้นอ๋องแล้ว เกรงว่าไม่ต้องให้เขาลงมือนางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้แล้ว


 


 


ตอนนี้หัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองหลวงก็คือสินสอดก้อนใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง ไม่กี่วันก่อนยังวิพากษ์วิจารณ์คุณหนูสี่จวนจงอู่โหวว่าทำบุญมาดี ถอนหมั้นเพื่อชีวิต ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงสาวชนบทป่วยเรื้อรังแต่ก็ยังถูกจักรพรรดิพระราชทานให้สมรสกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องได้ ต้องมีดวงพลิกชะตาเพียงใด ในขณะที่เสียดายคุณชายจวนจิ้นอ๋องก็พากันคาดเดาไปว่าคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้มีความสามารถอะไร เดาไปเดามาก็พบว่าไม่รู้จักคุณหนูผู้นี้เลยแม้แต่น้อย รู้เพียงแค่ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดนางเคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง จวนแม่ทัพใหญ่ฝั่งมารดาเคยยิ่งใหญ่อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง


 


 


หรือว่าจักรพรรดินึกถึงคดีที่ถูกใส่ความของแม่ทัพใหญ่หร่วนจึงละอายใจอยากชดใช้ให้ แต่หากจะชดใช้ก็ควรจะชดใช้ให้กับหลานสาวหลานชายของแม่ทัพใหญ่หร่วน หร่วนเจิ้นเทียนยังมีหลานสาวคนเล็กอยู่อีกหนึ่งคนมิใช่หรือ คำนวณอายุดูแล้วก็น่าจะสิบสามปีได้ ถึงอายุที่พูดเรื่องแต่งงานได้แล้วเช่นกัน


 


 


หรือว่าจักรพรรดิระลึกถึงคุณูปการสูงส่งของท่านเสิ่นโหวจึงอยากตอบแทน แต่จวนจงอู่โหวเพียงแค่รุ่นหลานก็มีถึงหกคนแล้ว มีบ้านใหญ่กันอยู่ข้างหน้า ไหนเลยจะตกมาถึงบุตรสาวบ้านสามได้


 


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเซ็งแซ่ รายงานผลการรบของซีเจียงก็เร่งความเร็วแปดสิบลี้มาถึงเมืองหลวงแล้ว


 


 


ซีเจียงเกิดไฟสงคราม พรมแดนที่ติดต่อกับฝั่งตะวันตกของซีเจียงมีแคว้นเล็กๆ ที่ชื่อว่าซีเหลียง พวกเขาชนเผ่าเร่ร่อน เลี้ยงสัตว์เพื่อทำมาหากิน ปีนี้ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุ่งหญ้าของแคว้นซีเหลียงตายเป็นวงกว้าง ทำให้วัวแกะม้าทั้งหลายตายเป็นฝูงใหญ่ ชั่วพริบตาก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ไม่มีอาหารจะผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างไร


 


 


ด้วยเหตุนี้แคว้นซีเหลียงจึงยอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจน ตัดสินใจบุกต้ายงแคว้นเพื่อนบ้าน ทำศึกชิงเสบียงอาการที่เขตพรมแดนติดๆ กัน ประชาชนต้ายงที่อาศัยอยู่บริเวณพรมแดนก็ประสบภัยพิบัติ ทุกๆ แห่งที่ชาวซีเหลียงผ่านไป หมู่บ้านทั้งหมดล้วนถูกปล้นจนหมด ชายหญิงคนแก่เด็กไม่ถูกฆ่าตายก็ถูกจับไปเป็นทาส


 


 


ท่านเสิ่นโหวที่ตั้งมั่นรักษาซีเจียงย่อมไม่อาจนั่งมองอยู่เฉยๆ ได้ นำคนไปตรวจตราเขตชายแดนด้วยตัวเอง โจมตีขับไล่ชาวซีเหลียงที่ลงมาจากทิศตะวันออกได้หลายกลุ่ม


 


 


ทว่าฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา ไม่รู้ว่าเบื้องบนแคว้นซีเหลียงทำข้อตกลงอะไรไว้ กองทัพใหญ่ของแคว้นซีเหลียงเข้ามาทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว พยายามจะทำลายเขตชายแดนในครั้งเดียว บุกเข้าอาณาเขตแคว้นต้ายง


 


 


ท่านเสิ่นโหวเคลื่อนทัพนำกำลังพล พลางส่งคนนำรายงานการรบไปยังเมืองหลวง


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนได้รับรายงานศึกแล้วก็ให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักเองก็ส่งเสียงดังเกรียวกราว มีคนเลือดร้อนม้วนแขนเสื้อขึ้นอยากจะประมือกับซีเหลียงกลางพระตำหนักจินหลวน อีกทั้งยังมีคนคร่ำครึกำลังร้อนอกร้อนใจ กังวลว่าซีเหลียงจะมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง ต้ายงไม่ใช่คู่ต่อสู้ แทนที่จะต้องบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนเพราะสงคราม ไม่สู้ทิ้งเสบียงจำนวนหนึ่งก่อนเพื่อความปลอดภัย


 


 


ชั่วขณะ เหล่าขุนนางก็ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ตำหนักจินหลวนกลายเป็นตลาดสด จักรพรรดิยง


 


 


เซวียนนั่งอยู่บนบัลลังก์สีหน้าเรียบเฉย ทว่ามือที่จับที่วางแขนกลับมีเส้นเลือดดำปูดนูน


 


 


แน่นอนว่าจวนจงอู่โหวย่อมรู้ข่าวนี้แล้ว ซื่อจื่อเสิ่นหงเหวินพาน้องชายสองคนมาปรึกษาหารือกับนายทหารผู้ช่วยทั้งคืน เป็นห่วงความปลอดภัยของบิดาในซีเจียง


 


 


คนทุกระดับชั้นในจวนโหวก็เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตรา กลางดึกก็เพิ่มหน่วยลาดตระเวนสองกะ ไม่อนุญาตให้ดื่มสุราเล่นการพนันฉวยโอกาสจับปลาในน้ำขุ่น ชั่วขณะทั่วทั้งจวนโหวก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้เสิ่นเวยจำใจต้องเลื่อมใสฝีมือของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ อย่างไรเสียก็เป็นลูกสะใภ้ที่ท่านปู่เลือกมากับมือ ในช่วงเวลาสำคัญก็สามารถรับมือได้


 


 


อันที่จริงข่าวที่เสิ่นเวยรู้มากกว่าที่ท่านลุงใหญ่ของนางรู้เล็กน้อย ก่อนที่รายงานศึกจะมาถึงเมืองหลวง ต้ายงกับกองทัพใหญ่ซีเหลียงได้ทำศึกไปหนึ่งครั้งแล้ว ชนะแต่เจียนตาย


 


 


คำคำนี้หมายความว่าอย่างไร เพียงพอให้เสิ่นเวยไปจินตานาการ


 


 


“เจ้าบอกว่าทหารเดนตายซีเหลียงเผายุ้งฉางข้าวของพวกเราหรือ” เสิ่นเวยถามเด็กรับใช้ที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าผู้นั้น คิ้วคู่งามขมวดมุ่น


 


 


“ขอรับ ท่านโหวไม่ทันระวัง ถูกทหารเดนตายซีเหลียงฉวยโอกาส ท่านโหวส่งผู้น้อยเข้าเมืองหลวงมาหาคุณหนูสี่เงียบๆ เพื่อคิดหาวิธี” ทหารคนสนิทท่านเสิ่นโหวที่สวมชุดเด็กรับใช้ผู้นั้นกล่าวอย่างไม่ประจบไม่วางก้าม


 


 


ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือยังว่าเหตุใดถึงพูดว่าชนะแต่เจียนตาย แม้ว่าจะขับไล่การบุกโจมตีของกองทัพซีเหลียงได้แต่เสบียงทหารและม้าก็ถูกพวกเขาเผาหมดแล้ว กองทัพใหญ่จะกินอะไร ไม่มีข้าวกินแล้วจะสู้รบได้อีกอย่างไร เจียนตายจริงๆ


 


 


เสิ่นเวยถอนหายใจหนึ่งครา ได้ยินคำพูดข้างหลังของทหารคนสนิทแล้วก็ดีใจอย่างอดไม่ได้ เรื่องใหญ่เพียงนี้ ท่านปู่ไม่ปรึกษาท่านลุงใหญ่ แต่กลับให้คุณหนูเช่นตนคิดหาวิธี หมายความว่าอย่างไร ก็แค่ถือจี้หยกพังๆ ของเขาอยู่มิใช่หรือ ยังต้องถวายตัวเป็นวัวเป็นม้าด้วยหรือ ข้าไม่เอาแล้วไม่ได้หรือ


 


 


“ข้าจะมีวิธีอะไรได้ เจ้าไปปรึกษาท่านลุงใหญ่จะดีกว่า” เสิ่นเวยไม่อยากยุ่ง ข้าเพิ่งจะมีชีวิตสงบสุขได้เพียงกี่วันเอง คุณหนูใช้ชีวิตสบายใจสบายอารณ์อยู่ ทำไมนางต้องกู้สถานการณ์ราวกับเป็นนักดับเพลิงด้วยเล่า


 


 


สงครามไม่เกี่ยวกับสตรี การสู้รบเป็นงานของบุรุษ ผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นนางจะเข้าร่วมเพื่ออะไร


 


 


ทว่าทหารคนสนิทผู้นั้นกลับไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว “ท่านโหวสั่งผู้น้อยเพียงแค่ว่าให้มาหาคุณหนูสี่ ผู้น้อยมีจดหมายที่เขียนด้วยลายมือท่านโหว คุณหนูโปรดอ่าน”


 


 


เห็นจดหมายที่ส่งขึ้นมา เสิ่นเวยก็ก่ายหน้าผาก นางไม่อ่านได้หรือไม่


 


 


คำตอบแน่นอนว่าไม่ได้ เพราะโอวหยางไน่ที่ยืนอยู่ข้างๆ นางรับจดหมายมายื่นให้นางเรียบร้อยแล้ว เสิ่นเวยถลึงตามองโอวหยางไน่ด้วยความโหดเ**้ยมปราดหนึ่ง คนทรยศ


 


 


โอวหยางไน่สีหน้าเรียบเฉย ทำเหมือนมองไม่เห็น


 


 


เสิ่นเวยรับจดหมายมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉีกเปิดอย่างลวกๆ เนื้อหาในจดหมายเรียบง่ายอย่างยิ่ง มีไม่กี่ประโยค แต่เสิ่นเวยกลับยิ้มออกมาแล้ว ท่านปู่นางเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ มักจะเกาถูกจุดที่นางคันเสมอ


 


 


ตอนนี้ในมือนางต้องการคนก็มีคน ต้องการเงินก็มีเงิน ยังมีงานสมรสอันดีที่จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้ นางเป็นคนที่ไม่ต้องการอะไรแล้วจริงๆ แต่นางเป็นห่วงน้องชายของนางอยู่ ตอนนี้ท่านปู่รับปากเรื่อนอนาคตอันดีของน้องเจวี๋ย นางจึงอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว


 


 


ก็แค่ต้องการเสบียงมิใช่หรือ ในมือนางมีเงินก้อนใหญ่จะซื้อเสบียงไม่ได้ได้อย่างไร ความคุ้มค่าในการซื้อขายนี้ นางตัดสินใจทำแล้ว


 


 


“ได้ เจ้าไปพักก่อนเถอะ ห้าวัน ห้าวันให้หลังข้าจะเอาเสบียงให้เจ้าสองพันต้าน[1]” เสิ่นเวยกล่าว


 


 


อย่างเด็ดเดี่ยว


 


 


ทว่าทหารคนสนิทผู้นั้นกลับไม่ขยับ ลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าว “คุณหนูสี่ เร็วกว่านี้ได้หรือไม่ ผู้น้อยกลัวว่าซีเจียงจะประคับประคองไม่อยู่” กองทัพใหญ่แปดหมื่นนายล้วนพุ่งเป้าไปที่ยุ้งฉางข้าวที่เหลืออยู่ เกรงว่าจะรักษาสภาพได้อีกไม่นาน


 


 


เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ ช่วยคนเหมือนช่วยดับเพลิง นางออกแรงอีกหน่อยแล้วกัน “เช่นนั้นก็สามวัน” ความสามารถในการดำเนินงานของพวกชวีไห่จางสยงก็นับว่าไม่เลว


 


 


ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นชวีไห่จางสยงเฉียนเป้าที่ตามเสิ่นเวยเข้าเมืองหลวง หรือว่าฝูปั๋วหลีปั๋วที่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลเสิ่นต่างก็ได้รับคำสั่งจากคุณหนูของพวกเขาแล้ว ‘เก็บเสบียง ยิ่งมากยิ่งดี ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ต้องเก็บเงียบๆ ห้ามให้ผู้อื่นสังเกตเห็น’


 


 


 


 


 


 


[1] ต้าน ใช้เป็นหน่วยในการตวงข้าวสารหรือธัญพืช 1 ต้าน = 27 ชั่ง

 

 

 


ตอนที่ 155.2

 

รายงานด่วนซีเจียง

ขณะเดียวกับที่เสิ่นเวยออกคำสั่งให้เก็บเสบียง จักรพรรดิยงเซวียนเองก็กำลังปรึกษาแผนรับมือในห้องหนังสือจักรพรรดิกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคน


 


 


“ในรายงานลับขุนนางเสิ่นบอกว่าฉางข้าวถูกทหารเดนตายซีเจียงเผาแล้ว ขอให้เมืองหลวงจัดสรรเสบียงโดยด่วน ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร” จักรพรรดิยงเซวียนกล่าวถาม


 


 


เสนาบดีกรมกลาโหมขมวดคิ้วมุ่น “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เข้าใจ ท่านเสิ่นโหวสู้รบมาทั้งชีวิต เหตุใดถึงสะเพร่าเช่นนี้ได้ ทหารเดนตายซีเหลียงบุกเข้ามาในอาณาจักรต้ายงของเราก็เหมือนเข้ามาในพื้นที่ที่ไร้ผู้คนมิใช่หรือ” ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจอย่างยิ่ง


 


 


คนผู้หนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาก็กล่าวคล้อยตาม “นั่นสิ ท่านเสิ่นโหวเป็นท่านแม่ทัพผู้มากประสบการณ์ ว่ากันตามเหตุผลไม่ควรจะเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ได้ กระหม่อมกังวลเป็นอย่างยิ่ง ฝ่าบาทเห็นว่าควรจะเรียกท่านเสิ่นโหวกลับเมืองหลวง สั่งให้ส่งแม่ทัพคนอื่นไปหรือไม่”


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนนิ่งเงียบ มองอัครเสนาบดีฉินแล้วกล่าว “อัครเสนาบดีฉินคิดเห็นอย่างไร”


 


 


อัครเสนาบดีฉินรีบกล่าว “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมกลับคิดว่าตอนนี้ไม่ควรเปลี่ยนแม่ทัพ เปลี่ยนแม่ทัพช่วงเวลาทำศึกจะทำให้ทหารวิตกกังวล” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ทหารเดนตายซีเหลียงสามารถเข้ามาในเขตแดนของเราได้ เกรงว่าจะมีการร่วมมือกับไส้ศึกซีเหลียงในเมือง แม้ท่านเสิ่นโหวจะปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง แต่อย่างไรเสียก็ชนะกองทัพใหญ่ซีเหลียง คุณงามความดียังคงมากล้น ตอนนี้เพียงแต่ขอให้ฝ่าบาทจัดสรรเสบียงไปยังซีเจียงโดยเร็ว แก้ปัญหาเรื่องด่วนให้ท่านเสิ่นโหว”


 


 


เสนาบดีกรมกลาโหมกำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน ก็ได้ยินจักรพรรดิกล่าว “อัครเสนาบดีฉินพูดถูก ขุนนางหลี่ กรมพระคลังนำเสบียงออกมาได้เท่าไร” จักรพรรดิยงเซวียนเอ่ยถามเสนาบดีกรมพระคลัง


 


 


เสนาบดีกรมกลาโหมเห็นทีท่าก็ทำได้เพียงปิดปากอย่างไม่ยินดี


 


 


เสนาบดีกรมพระคลังกล่าวด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ทูลฝ่าบาท กรมพระคลังนำเสบียงออกมาได้ไม่มากนัก ปีที่แล้วทางตะวันออกเกิดความเสียหายจากหนอนและแมลง สองปีที่แล้วทางตอนเหนือก็เกิดภัยแล้ง ท้องพระคลังว่างเปล่าอย่างยิ่ง คำนวณเต็มจำนวนแล้วตีเป็นเสบียงได้เพียงหนึ่งหมื่นต้านพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


คิ้วของจักรพรรดิยงเซวียนขมวดมุ่น หนึ่งหมื่นต้านเท่าไรเอง ยังไม่พอให้กองทัพซีเจียงกินได้ถึงครึ่งเดือนด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ดีว่าท้องพระคลังไม่มีเงินแล้วจริงๆ กลับไม่ได้ตำหนิเสนาบดีหลี่ “ส่งหนึ่งหมื่นต้านไปก่อน เจ้าค่อยคิดหาวิธีรวบรวมอีกครั้ง” ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้กองทัพซีเจียงที่สู้รบไม่มีข้าวกินได้


 


 


เสนาบดีหลี่หน้าเหยเกจนแทบจะร้องไห้แล้ว เสบียงหนึ่งหมื่นต้านนี้ยังไม่รู้ว่าจะรวบรวมออกมาอย่างไร ต้องรวบรวมหรือ เขาจะไปรวบรวมที่ไหน คงจะต้องหยิบยืมจากอีกคนไปให้อีกคน สุดท้ายก็ทำให้เกิดรูพรุนไปทั่วทุกด้าน เสนาบดีหลี่รู้สึกว่าการเป็นเสนาบดีกรมพระคลังนี้ช่างอึดอัดใจจริงๆ แต่ฝ่าบาทเอ่ยวาจาแล้ว เขาจะยังพูดอะไรได้อีก “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะคิดหาทางอีกที” ใครให้เขาดูแลกรมพระคลังเล่า กินเงินเดือนราชสำนัก ก็ต้องจงรักภักดีต่อกษัตริย์


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้า ยิ้มให้เสนาบดีหลี่ “รบกวนขุนนางหลี่แล้ว” หลังจากนั้นเขาก็ถามต่อ “ขุนนางทั้งหลายเห็นว่าควรส่งใครไปคุมการขนส่งเสบียงจึงจะเหมาะสม” แม้ว่าจะถามทุกคน แต่จักรพรรดิยงเซวียนกลับมองอัครเสนาบดีฉิน


 


 


อัครเสนาบดีฉินเองก็มีไหวพริบอย่างยิ่ง กล่าว “กระหม่อมขอเสนอเสิ่นซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ สุภาษิตกล่าวว่าสายโลหิตกลมเกลียว ปฏิบัติหน้าที่ย่อมสำเร็จลุล่วง ท่านเสิ่นโหวยืนหยัดสู้รบอยู่ที่ซีเจียง เสิ่นซื่อจื่อเองก็เป็นกังวลอยู่ในเมืองหลวง ฝ่าบาทไม่เห็นใจบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ เชื่อว่าเสิ่นซื่อจื่อจะต้องตั้งใจทำหน้าที่ครั้งนี้ได้ดีแน่นอน”


 


 


ทว่าเสนาบดีกรมกลาโหมกลับกระโดดออกมาคัดค้าน “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าไม่เหมาะนัก แม้ว่าเสิ่นซื่อจื่อจะดำรงตำแหน่งอยู่ในกรมกลาโหม แต่ก็ไม่เคยรับหน้าที่ประเภทนี้มาก่อน กระหม่อมคิดว่าส่งผู้ที่มีประสบการณ์ไปจะดีกว่า กระหม่อมแนะนำหย่งติ้งโหวพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หย่งติ้งโหวคือจวิ้นหม่าของท่านหญิงหวาคัง เคยนำทัพที่ซีเป่ย


 


 


“กระหม่อมกลับคิดว่าแม่ทัพอู่เลี่ยเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว” เสนาบดีกรมอาญากล่าวตามติดๆ “แม่ทัพอู่เลี่ยนำทัพที่ด่านชายแดนมากว่าสิบปีแล้ว แทบจะไม่เคยแพ้พ่าย คุมส่งเสบียงเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ย่อมไม่ยากเกินความสามารถเขาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนกะพริบตาครู่หนึ่ง กล่าว “ขุนนางทุกท่านพูดมีเหตุผล เรื่องนี้ค่อยว่ากันวันหลัง เตรียมเสบียงให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน”


 


 


ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดทยอยออกจากห้องหนังสือจักรพรรดิ คืนนั้น สวีโย่วคุณชายใหญ่จวนจิ้น


 


 


อ๋องก็ปรากฏตัวอยู่ในตำหนักบรรทมของจักรพรรดิยงเซวียนอย่างลับๆ


 


 


“อาโย่ว รีบมาวางหมากกับเราหน่อย” จักรพรรดิยงเซวียนเอ่ยเรียก


 


 


สวีโย่วเดินเข้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามจักรพรรดิยงเซวียน ทั้งสองคนเริ่มวางหมากลงกระดาน


 


 


“อาโย่วคิดว่าส่งผู้ใดไปคุมส่งเสบียงจึงจะเหมาะสมที่สุด” จักรพรรดิยงเซวียนกล่าวถามขึ้นตามอำเภอใจ


 


 


“แม่ทัพอู่เลี่ยพ่ะย่ะค่ะ” สวีโย่วเองก็ตอบอย่างสบายๆ


 


 


“เอ๋ เหตุใดเล่า” จักรพรรดิยงเซวียนค่อนข้างประหลาดใจ “เรายังคิดว่าเจ้าจะเสนอเสิ่นซื่อจื่อเสียอีก” อย่างไรเสียท่านเสิ่นโหวก็เป็นปู่ของคู่หมั้นผู้นั้นของเขา


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับกล่าว “เสิ่นซื่อจื่ออยู่ในเมืองหลวงดีกว่า เขาไปแล้วใต้เท้าเสิ่นทั้งสองจะประคับประคองจวนจงอู่โหวไม่ได้” ถึงตอนนั้นจวนจงอู่โหววุ่นวายขึ้นมา จะเป็นการนำปัญหามาให้เด็กน้อยมิใช่หรือ


 


 


“อ้อ แล้วเหตุใดจวนหย่งติ้งโหวถึงไม่ได้เล่า ป้าหวาคังของเจ้าเพียงคนเดียวสามารถประคับประคองจวนหย่งติ้งโหวได้” จักรพรรดิยงเซวียนถามด้วยความสนใจใคร่รู้ ราวกับกำลังทดสอบสวีโย่วอยู่


 


 


สวีโย่ววางหมากหนึ่งตัวลงแล้วจึงกล่าว “ท่านลุงหย่งติ้งโหวเป็นคนที่มีความอดทน แต่ปีนั้นที่เขานำทัพอยู่ข้างนอกได้รับบาดเจ็บที่ขา ปกติไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเหนื่อยแล้วขาจะเจ็บจนชา ฝ่าบาทสงสารท่านลุงหย่งติ้งโหวเถิด”


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนหัวเราะร่าฮ่าๆ อันที่จริงในใจเขาก็ตั้งใจจะเลือกแม่ทัพอู่เลี่ย คนผู้นี้คือทหารเสือ เขาไปซีเจียงแล้วยังสามารถช่วยเหลือเสิ่นผิงยวนได้


 


 


“อาโย่วอยากไปซีเจียงสักรอบหรือไม่” ตอนนี้อารมณ์ของจักรพรรดิยงเซวียนดีอย่างยิ่ง มองหลานชายอย่างหยอกล้อ กล่าว “นี่คือโอกาสกุมหัวใจหญิงงามที่หาได้ยากเชียวนะ”


 


 


สวีโย่วหันหน้ามองจักรพรรดิยงเซวียน ถามกลับ “ฝ่าบาทอยากให้กระหม่อมไปหรือไม่” เขาไตร่ตรองในใจอย่างรวดเร็ว ไปเที่ยวหนึ่งไม่ใช่ว่าไปไม่ได้ เขาอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ใช่ว่าจะได้เจอเด็กคนนั้น ซ้ำยังคิดถึงอยู่เสมอ ไม่สู้ไปซีเจียงสักเที่ยว ถือโอกาสสร้างคุณงามความดีอะไรเล็กๆ กลับมาแล้วก็ขอบำเหน็จจากจักรพรรดิ อย่างไรเสียเขาเองก็เป็นคนที่กำลังจะแต่งงานแล้ว เลี้ยงดูภรรยาก็ต้องใช้เงิน


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนไม่ตอบว่าอยาก แต่ก็ไม่ได้ตอบว่าไม่อยาก ถามเพียง “อาโย่วอยากไปหรือไม่”


 


 


สวีโย่วคิดครู่หนึ่ง กล่าว “ได้” ฟังว่าครั้งนี้กองทัพใหญ่ซีเหลียงมากันอย่างโหดเ**้ยม ไม่รู้ว่าทหารแปดหมื่นนายเหล่านั้นของซีเจียงจะปกป้องเมืองชายแดนไว้ได้หรือไม่ อย่างไรเสียท่านเสิ่นโหวก็เป็นปู่ของเด็กน้อย หากเกิดเรื่องขึ้นกับเขา เด็กน้อยก็ต้องไว้ทุกข์ใช่หรือไม่ ตนอายุยี่สิบสองแล้ว อีกสามปีก็ยี่สิบห้าแล้ว ไม่ได้ ไม่อาจรอถึงตอนนั้นได้เด็ดขาด


 


 


วันที่สองแม่ทัพอู่เลี่ยจังเฮ่าหรานก็คุมเสบียงหนึ่งหมื่นต้านออกเดินทาง เพราะว่าสวีโย่วมักจะเก็บตัวเงียบ ดังนั้นคนที่รู้ว่าเขาเองก็อยู่ในขบวนคุมส่งเสบียงครั้งนี้จึงมีไม่เยอะ คนไม่กี่คนนี้คิดเหมือนกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ฝ่าบาทต้องการส่งคุณชายใหญ่ไปแบ่งคุณงามความดีที่ซีเจียง


 


 


เย็นวันนี้หลังจากที่สวีโย่วออกเดินทาง รายงานด่วนของซีเจียงก็มาถึงเมืองหลวงอีกหนึ่งฉบับ ท่านเสิ่นโหวถูกธนูยิงหมดสติ ซีเจียงสถานการณ์คับขัน


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนตกใจจนแทบจะพ่นพระสุธารสชาออกจากพระโอษฐ์ หลังจากนั้นก็รู้สึกโชคดีที่คนที่ส่งไปคุมเสบียงคือแม่ทัพอู่เลี่ยกับอาโย่ว สำหรับหลานชายคนนี้แล้ว เขายังคงวางใจอย่างยิ่ง


 


 


เสิ่นหงเหวินได้รับข่าวก็รีบเข้าวังของพบจักรพรรดิยงเซวียน จักรพรรดิยงเซวียนเข้าใจเจตนาในการมาของเขาดี เห็นแก่ท่านเสิ่นโหวจึงเรียกเขามาพบ


 


 


“ฝ่าบาท ตอนนี้บิดากระหม่อมที่ซีเจียงเป็นตายไม่อาจรู้ กระหม่อมทราบว่ากระหม่อมกระทำการล่วงเกิน แต่กระหม่อมที่เป็นบุตรชายร้อนใจจริงๆ ฝ่าบาทโปรดอนุญาตให้กระหม่อมนำทหารคุ้มกันในจวนไปเยี่ยมที่ซีเจียงด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นหงเหวินคุกเข่าทั้งคู่ลงพื้นร้องขอวิงวอน


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนไม่อยากรับปาก แต่เห็นท่าทางที่น่าสงสารของเสิ่นหงเหวินแล้ว ก็นึกถึงเสิ่นผิงยวนที่อายุปูนนี้แล้วแต่ยังจงรักภัคดีต่อตนอยู่ที่ซีเจียง ใจก็อ่อน คล้ายนึกอะไรขึ้นได้กล่าวถาม “บุตรคนโตของเจ้าก็อายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้วใช่หรือไม่ ทักษะการต่อสู้เป็นอย่างไร”


 


 


แม้เสิ่นหงเหวินจะไม่เข้าใจว่าจักรพรรดิยงเซวียนมีเจตนาอะไร แต่ก็ยังคงตอบด้วยความซื่อสัตย์ “ทูลฝ่าบาท ปีนี้บุตรคนโตของกระหม่อมอายุสิบแปดปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทักษะการต่อสู้ก็ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็ก ค่อนข้างเก่งกว่าคนทั่วไป”


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนกล่าว “ให้บุตรคนโตของเจ้าไปแทนเจ้าแล้วกัน เราจะสั่งให้ทหารองครักษ์ห้าร้อยนายติดตามไป จวนโหวในเมืองหลวงยังต้องให้เจ้าดูแล เราไม่อาจส่งเจ้าไปซีเจียงได้เป็นอันขาด”


 


 


เสิ่นหงเหวินยังคิดจะร้องขอต่อ แต่จักรพรรดิยงเซวียนกลับแสดงท่าทีว่าได้ตัดสินพระทัยแล้ว เขาจึงทำได้เพียงปิดปากแล้วถอยออกไป


 


 


เสิ่นเวยรู้ข่าวว่าพี่ใหญ่จะไปซีเจียง ก็พลันละสายตา ออกจากจวนไปพบท่านตาของนางทันที


 


 


สองตาหลานอยู่ในห้องหนังสือไม่รู้ว่ากระซิบอะไรกัน ท้ายที่สุดตอนที่เสิ่นเวยเดินออกมา หร่วนเหิงญาติผู้พี่ของนางก็เก็บของตามนางออกไปด้วยกัน นางปรึกษากับท่านตาเสร็จแล้ว ญาติผู้พี่ก็จะแต่งงานแล้ว ไม่ประสบความสำเร็จสักเรื่องก็คงไม่ได้การ ฉวยโอกาสนี้ให้ญาติผู้พี่ไปสั่งสมประสบการณ์ที่ซีเจียงด้วย สร้างฐานะตำแหน่งจากหายนะ ด้วยฝีมือของญาติผู้พี่แล้วก็น่าจะรักษาชีวิตไว้ได้


 


 


ชวีไห่จางสยงและคนอื่นๆ มีความสามารถจริงๆ ไม่ถึงสามวันก็รับซื้อเสบียงสามหมื่นต้านได้ เสิ่นเวยยังไม่ทันไปเรียกทหารคนสนิทผู้นั้น ทหารคนสนิทก็มาหานางก่อนแล้ว


 


 


“อะไรนะ ให้ข้าคุมเสบียงไปซีเจียงด้วยตัวเอง?” เสิ่นเวยแทบจะลุกพรวดขึ้นมา มีได้คืบเอาศอกเช่นนี้ที่ไหนกัน มีหรือ มีหรือ นางไม่เพียงแต่ต้องออกเงินเตรียมเสบียง ซ้ำยังต้องเสียแรงเสียเวลาคุมไปซีเจียงด้วยตัวเองอีกหรือ ต่อให้เป็นปู่แท้ๆ ก็ไม่อาจทำร้ายหลานสาวเช่นนี้ได้ เสิ่นเวยใกล้จะโมโหตายแล้ว


 


 


ทหารคุ้มกันคนสนิทผู้นั้นคุกเข่าลงบนพื้น กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “ก่อนท่านโหวหมดสติได้ทิ้งคำพูดไว้ให้คุณหนูสี่หนึ่งประโยค ‘เสาหลักถูกทำลาย สิ่งใดเล่าจะรอดชีวิต’ ”


 


 


โอวหยางไน่ที่สมควรตายผู้นั้นก็คุกเข่าลงบนพื้นเงียบๆ คุกเข่าอยู่เช่นนี้ ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว


 


 


ไฟโทสะเต็มทรวงของเสิ่นเวยระเบิดออกมาในชั่วพริบตา โบกมือกล่าวอย่างอ่อนแรง “ลุกขึ้นเถอะๆ”


 


 


นางย่อมรู้ดีว่าเสาหลักถูกทำลาย สิ่งใดเล่าจะรอดชีวิต หากท่านปู่ไม่อยู่แล้ว จวนจงอู่โหวจะต้องตกต่ำ แม้ว่านางจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก แต่สตรีที่แข็งแกร่งมีอำนาจเช่นนางแต่งเข้าไปในจวนจิ้นอ๋องก็สามารถใช้บารมีข่มเหงผู้อื่นได้มิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีน้องเจวี๋ย จวนจงอู่โหวตกต่ำแล้ว เขาจะทำอย่างไร ท่านปู่คิดว่านางรังแกง่ายนักใช่หรือไม่


 


 


ช่างเถอะๆ นางก็ไปซีเจียงด้วยตัวเองสักรอบแล้วกัน นางจะต้องถอนหนวดสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นจนหมดให้ได้


 


 


เช้าวันที่สองรถม้าของเสิ่นเวยวิ่งออกจากประตูใหญ่จวนจงอู่โหว นางกำลังไปวัดต้าเจวี๋ยที่ห่างจากเมืองหลวงห้าสิบหกสิบลี้เพื่อขอพรให้ท่านปู่

 

 

 


ตอนที่ 156.1

 

ข้าศึกโจมตี

คนที่เสิ่นเวยพามาด้วยมีไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน นางพาทหารคุ้มกันเรือนไปมากกว่าครึ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีหลีฮวาเถาฮวารวมถึงพี่สะใภ้เซียงเหมยสองแม่ลูก


 


 


อาจารย์ซูที่เรือนหน้าทิ้งไว้ในเรือนเพื่อประสานงาน อันที่จริงนางอยากพาอาจารย์ซูไปอย่างยิ่ง นี่คือกุนซือมากความสามารถ มีเขาอยู่ข้างกายตนก็สามารถลดการใช้เซลล์สมองไปได้มาก


 


 


แต่ในเมืองหลวงนางก็ต้องเหลือคนที่สามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้หนึ่งคน คนผู้นี้ไม่ใช่อาจารย์ซูก็ไม่มีใครแล้ว


 


 


เถาจือกับเหอฮวาเองก็อยู่ที่จวนเช่นกัน ก่อนไปเสิ่นเวยเรียกคนทั้งสองมาที่ห้อง “ครั้งนี้ข้าไปวัดต้าเจวี๋ย อย่างเร็วก็หนึ่งเดือน อย่างช้าก็สามเดือนจึงจะกลับมาได้ เจ้าสองคนดูแลเรือนของพวกเราได้หรือไม่”


 


 


เมื่อเหอฮวาได้ยินว่าคุณหนูไม่พานางไป ในใจก็ผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินคุณหนูมอบหน้าที่สำคัญให้นางอย่างจริงจังก็พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “คุณหนูวางใจ บ่าวจะดูแลเรือนของพวกเราเป็นอย่างดี”


 


 


ทว่าในใจเถาจือกลับตกใจ อย่างไรเสียนางก็โตกว่าเหอฮวาสองปี ทั้งยังเติบโตมาในเรือน บรรยากาศที่ตึงเครียดในจวนช่วงนี้นางย่อมรู้สึกได้ ตอนนี้ได้ยินคุณหนูบอกว่าจะไม่กลับมาหลายเดือน ในใจก็ยิ่งเครียดเล็กน้อย


 


 


แต่เถาจือก็เป็นคนฉลาด รู้ว่าคุณหนูเห็นความสำคัญของตน จึงกล่าวอย่างตั้งใจ “บ่าวจะช่วยคุณหนูดูแลเรือนเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”


 


 


เสิ่นเวยพอใจ ยกมุมปากกล่าว “แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ในจวน แต่พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลัว วันเวลาจะผ่านไปเช่นไรก็ให้มันผ่านไปเช่นนั้น ไม่ต้องก่อเรื่องสร้างปัญหา แต่หากปัญหาเข้ามาเองก็ไม่ต้องกลัว ขอเพียงแค่พวกเจ้ามีเหตุผล ข้าก็จะรับผิดชอบแทนพวกเจ้าทั้งหมด หากพบเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ก็ไปถามคุณชายจี้ อาจารย์ซูและแม่นมกู้ที่เรือนหน้า”


 


 


คิดครู่หนึ่งเสิ่นเวยก็สั่งอีกหนึ่งประโยค “อาการของเยวี่ยกุ้ยยังไม่ดีขึ้นเลย พักรักษาตัวต่อไป ก่อนหน้านี้ใช้ยาอะไรทานน้ำแกงบำรุงอะไร หลังจากนี้ก็ให้เหมือนเดิม” นางกลัวว่านางไม่อยู่ในจวนจะมีคนปฏิบัติไม่ดีต่อเยวี่ยกุ้ย อันที่จริงเสิ่นเวยอยากพาเยวี่ยกุ้ยไปด้วยอย่างยิ่ง ฝีมือต่อสู้ของนางไม่เลว ไม่อาจเป็นภาระ แต่น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บของเยวี่ยกุ้ยยังไม่ดีขึ้น


 


 


“บ่าวจะจำไว้เจ้าค่ะ” เถาจือกับเหอฮวากล่าวตอบด้วยความเคารพ โดยเฉพาะเถาจือ มือข้างลำตัวกำแน่นอย่างอดไม่ได้ ส่วนลึกในใจมีความตื่นเต้นรางๆ นางรับรู้ได้แล้วว่า นี่คือโอกาสอันดีของนาง ขอเพียงแค่นางสามารถดูแลเรือนเฟิงฮวาในช่วงที่คุณหนูไม่อยู่ได้ หลังจากนี้ในสายตาคุณหนูนางก็จะเท่าเทียมกับหลีฮวาเหอฮวาแล้ว


 


 


เสิ่นเวยเพิ่งจะขึ้นรถม้า เสิ่นเจวี๋ยก็ขวางทางอยู่หน้ารถม้า เสิ่นเวยจนใจ ทำได้เพียงเรียกเข้ามา “ทำไมถึงไม่ไปสำนักศึกษา”


 


 


เสิ่นเจวี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อย มองชุดขาวบนร่างพี่สาว “ท่านพี่จะไปซีเจียงหรือ” สุ่ยเซียนกับแม่นมกู้บอกว่าท่านพี่จะไปขอพรให้ท่านปู่ที่วัดต้าเจวี๋ย แต่เขารู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้ ไปวัดต้าเจวี๋ยไหนเลยจะต้องพาทหารคุ้มกันเรือนไปมากเพียงนี้ ยังมีอาจารย์โอวหยาง เมื่อคืนเขาเห็นอาจารย์เช็ดทวนอยู่


 


 


“ใครบอกเจ้า” เสิ่นเวยประหลาดใจในไหวพริบของเสิ่นเจวี๋ยอย่างยิ่ง เรื่องที่นางจะไปซีเจียงไม่มีข่าวลือปรากฎออกมาแม้แต่นิดเดียว กระทั่งหลีฮวาก็ยังไม่รู้


 


 


“ไม่ต้องสนใจว่าใครบอกข้า ท่านบอกข้ามาว่าใช่หรือไม่” เสิ่นเจวี๋ยจ้อมองพี่สาว ท่าทางหากไม่ได้คำตอบก็สาบานว่าจะไม่หยุด


 


 


ในเมื่อเด็กคนนี้ทายถูกแล้ว เสิ่นเวยก็ไม่คิดจะปิดบังเขา พยักหน้ากล่าว “ใช่! ท่านปู่โดนธนูยิงหมดสติ ข้าไม่วางใจ จะไปดูเสียหน่อย” และถือโอกาสแลกอนาคตที่ดีมาให้เจ้าด้วย ประโยคหลังนี้นางพูดอยู่ในใจ


 


 


“เช่นนั้นข้าก็จะไปด้วย” เสิ่นเจวี๋ยรู้ว่าท่านพี่ตัดสินใจแล้วไม่อาจเปลี่ยนใจ แต่ซีเจียงกำลังสู้รบกัน อันตรายเกินไปแล้ว แม้ว่าท่านพี่จะเก่งอย่างยิ่ง แต่อย่างไรเสียก็เป็นสตรี เขาไม่วางใจ


 


 


“ไม่ได้” เสิ่นเวยปฏิเสธทันที นางสบสายตาที่ดื้อรั้นของน้องชาย ใจอ่อน ตบไล่เขาแล้วกล่าว “ตอนที่ควรจะให้เจ้าไปหากเจ้าไม่ไปข้าก็จะโบยเจ้าให้เจ้าไป แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาให้เจ้าไป หน้าที่ในตอนนี้ของเจ้าคือเรียนหนังสือในเมืองหลวงให้ดี เรียนรู้วิชาจากอาจารย์ซูให้มาก”


 


 


เสิ่นเจวี๋ยยืนนิ่งไม่ขยับ ไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย


 


 


“น้องเจวี๋ย ฟังนะ!” เสิ่นเวยจ้องมองดวงตาของเขา “น้องเจวี๋ยเจ้าต้องรู้ว่าพี่ไม่ได้อยากไป แต่พี่จำเป็นต้องไป เจ้าดูสิว่าคนสองรุ่นในจวนโหวของเรามีคนไหนที่สามารถเป็นเสาหลักได้บ้าง หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านปู่ จวนโหวของพวกเราก็จะล่มสลายทันที ท่านปู่เลือกพี่ก็เพราะหมดหนทางเช่นกัน ใครให้ผู้ชายจวนโหวของพวกเราใช้ไม่ได้เล่า พี่รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงพี่ เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งต้องตั้งใจเรียนให้ดี แต่ก่อนที่เจ้าจะโต ก่อนที่จะเก่ง พี่จะต้องช่วยประคองเจ้าก่อน”


 


 


เสิ่นเจวี๋ยเบ้าตาแดงก่ำ ข้างในมีน้ำตาเอ่อ เขากัดริมฝีปาก ฝืนใจมองพี่สาวที่อันที่จริงก็โตกว่าตนไม่กี่ปี ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ท่านพี่ต้องระวังตัว ข้าจะดูแลเรือนของพวกเราเป็นอย่างดี”


 


 


เสิ่นเวยมองเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ที่ยืดหลังตรง ยิ้มแล้ว รอยยิ้มนั้นงดงามและเปล่งประกายเช่นนั้น


 


 


เสิ่นเจวี๋ยมองรถม้าของพี่สาวค่อยๆ วิ่งออกไปไกล กำปั้นข้างลำตัวก็กำแน่น ท่านพี่ทำเพื่อเขา ท่านพี่ที่เดิมก็ควรจะอยู่ในเรือนไร้ความกังวลกลับต้องไปซีเจียงสถานที่ที่อันตรายเพียงนั้นเพื่อเขา เขาต้องรีบโต ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรังแกพี่สาวของเขาได้


 


 


หลีฮวากับพี่สะใภ้เซียงเหมยมาถึงวัดต้าเจวี๋ยแล้วก็เพิ่งรู้ว่าคุณหนูจะไปซีเจียง ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ “คุณหนู อันตรายเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” ในสนามรบคนฟาดฟันบาดเจ็บนับไม่ถ้วน หากคุณหนูบาดเจ็บขึ้นมาจะว่าอย่างไร


 


 


เสิ่นเวยกล่าว “ข้าตัดสินใจแล้ว แต่ข่าวที่ข้าไม่อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยไม่อาจลือออกไปได้ เดิมข้าก็จะมาขอพรให้ท่านปู่อยู่แล้ว หลังข้าไปพวกเจ้าก็อยู่สวดมนต์ไหว้พระในเรือนเล็ก พยายามออกข้างนอกให้น้อยที่สุด ข้าทิ้งหญิงที่ชำนาญการต่อสู้ไว้ให้พวกเจ้าสี่คน อีกประเดี๋ยวจะมีคนเข้ามา พวกเจ้าก็ปรนนิบัติเหมือนเป็นข้า”


 


 


ขณะที่กำลังพูดก็มีสตรีสวมผ้าคลุมศีรษะผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก สวมชุดเหมือนกับเสิ่นเวย รูปร่างนั้นมองดูแล้วเหมือนเสิ่นเวยเจ็ดแปดส่วน เข้าห้องมาแล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่ทำความเคารพเสิ่นเวย


 


 


“คุณหนู นี่คือ” หลีฮวาตกใจอีกครั้ง


 


 


เสิ่นเวยกล่าวอธิบาย “นี่คือซู่เหนียง หลังข้าไปแล้วนางจะปลอมตัวเป็นข้า ซู่เหนียง ถอดผ้าคลุมหน้าออกให้พวกนางดู”


 


 


ซู่เหนียงเพิ่งจะเอ่ยปาก “เจ้าค่ะ” นางถอดผ้าคลุมผมศีรษะลง หลีฮวากับพี่สะใภ้เซียงเหมยเห็นว่าแม้แต่ปิ่นปักผมบนศีรษะนางก็ยังเหมือนกับของคุณหนู เมื่อมองใบหน้านั้นอีกครั้ง หัวใจที่เป็นกังวลก็วางลงช้าๆ ยังดี ยังดี ยังเหมือนคุณหนูอยู่สองสามส่วน


 


 


เสิ่นเวยเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดจากนั้นก็เตรียมเดินทาง ทว่าหลีฮวากลับดึงแขนเสื้อนางไว้ “คุณหนู ท่านพาบ่าวไปด้วยเถิด ข้างกายท่านต้องมีคนไว้คอยรับใช้” คุณหนูพาไปเพียงเถาฮวา การเดินทางครั้งนี้คาดว่าแม้แต่แกงร้อนก็คงจะไม่ได้ทาน


 


 


“ไม่ได้ เจ้าเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายข้า หากเจ้าไม่อยู่ คนอื่นจะสงสัย” เสิ่นเวยปฏิเสธทันที


 


 


“เช่นนั้นคุณหนูก็พาบ่าวไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ” พี่สะใภ้เซียงเหมยกล่าวอย่างอดไม่ได้ ตั้งแต่ที่คุณหนูช่วยนางสองแม่ลูกไว้ ก็ไม่เคยใจแคบกับพวกนางเลย ทั้งยังไม่ให้นางขายตัวแลกที่ดิน เสียเงินเลี้ยงไว้เช่นนี้ นางเป็นคนรู้บุญคุณ อยากตอบแทนคุณหนูมานานแล้ว


 


 


“ไม่ได้เหมือนกัน ลูกสาวยังเล็ก ห่างเจ้าไม่ได้ อีกทั้งมีเจ้าอยู่ หลีฮวาเจอปัญหาก็ยังมีคนให้ปรึกษา” เสิ่นเวยปฏิเสธเช่นเดียวกัน “เอาล่ะ เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าต้องรีบไปแล้ว พวกเจ้ารักษาสุขภาพด้วย”


 


 


เสิ่นเวยพูดพลางก้าวขาเดินออกไปข้างนอก เสียงตะโกนของหลีฮวายังไม่ทันออกจากปาก นางก็ออกจากประตูเรือนไปแล้ว หลีฮวากระทืบเท้าด้วยความเคียดแค้น เศร้าใจที่สุด


 


 


อย่างไรเสียพี่สะใภ้เซียงเหมยก็อายุมาก เร็วอย่างยิ่งก็ได้สติกลับมา กล่าว “แม่นางหลีฮวา พวกเราทำตามคำสั่งของคุณหนูเถอะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราก็เริ่มถือศีลกินเจ อาหารเจมียายเฉินและคนอื่นไปรับมา ช่วงนี้พวกเราก็อย่าออกจากเรือนเลย แล้วก็คุณหนูซู่เหนียง เชิญท่านอยู่ในห้อง”


 


 


พี่สะใภ้เซียงเหมยสงบลงอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพซู่เหนียงผู้นั้นเหมือนกับว่าเป็นคุณหนู


 


 


ซู่เหนียงผู้นั้นเองก็มีไหวพริบ ไม่เล่นเนื้อเล่นตัวแม้แต่นิดเดียว ย่อคำนับแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องด้านใน


 


 


พี่สะใภ้เซียงเหมยกับหลีฮวาสบตากันปราดหนึ่ง คิดในใจ วันคืนหลังจากนี้คงจะไม่ลำบากนัก

 

 

 


ตอนที่ 156.2

 

ข้าศึกโจมตี

ครั้งนี้เสิ่นเวยนำกำลังคนที่สามารถพาไปได้ทั้งหมดไปด้วย แบ่งเป็นสองเส้นทาง ทางหนึ่งปลอมตัวเป็นหน่วยคุ้มภัย มีจางสยงคุมส่งเสบียงสองหมื่นต้าน อีกทางหนึ่งแต่งตัวเป็นกลุ่มพ่อค้า มีเฉียนเป้า ชวีไห่ กัวซวี่คุมส่งเสบียงหนึ่งหมื่นต้าน


 


 


เสิ่นเวยตามกลุ่มของเฉียนเป้าชวีไห่นี้ไป ตอนที่ผ่านหมู่บ้านตระกูลเสิ่นนางก็ทิ้งกัวซวี่ไว้ สงครามครั้งนี้ไม่มีใครรู้ว่าจะนานเพียงใด เสบียงสามหมื่นต้านฟังดูแล้วเยอะอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้วก็เพียงพอให้กองทัพใหญ่แปดหมื่นนายกินใช้ได้แค่หนึ่งเดือน หลังจากหนึ่งเดือนเล่า จะให้ขอแต่ราชสำนักได้อย่างไร!


 


 


ดังนั้นจึงยังต้องเหลือคนไว้ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นเพื่อรับซื้อเสบียงต่อ อืม ในห้องลับยังซ่อนเสบียงไว้อยู่จำนวนหนึ่ง หากไม่ได้จริงๆ ก็เอาออกมาใช้ก่อน


 


 


เพราะว่าเป็นห่วงสงครามที่ซีเจียง เสิ่นเวยจึงเร่งเดินทางสุดกำลัง สองวันพักหนึ่งครั้ง พวกเขาคนเยอะ สามารถแบ่งกันพักผ่อนได้ แต่ม้ากลับไม่ได้


 


 


ช่วงพลบค่ำวันที่หก กลุ่มพ่อค้าหยุดพักที่เนินเขาแห่งหนึ่ง ล่างเนินเขามีแม่น้ำ บนเนินเขามีป่าเขา


 


 


ชวีไห่ออกคำสั่ง ให้ทุกคนรีบก่อไฟทำอาหาร ทั้งเนินเขาต่างก็มีเสียงดังอื้ออึง เสิ่นเวยจับมือเถาฮวาลงจากรถม้า นางขยับมือเท้าที่แข็งทื่อเล็กน้อย มองตะวันตกดินสีแดงดั่งเลือดที่ขอบฟ้า


 


 


“คุณชาย ดื่มน้ำขอรับ” เสี่ยวตี๋ ทหารลับหญิงที่ปลอมตัวเป็นชายส่งถุงน้ำดื่มเข้ามา ปีนี้เสี่ยวตี๋อายุสิบเจ็ดปีแล้ว หน้าตาธรรมดาอย่างยิ่ง แต่ฝึกฝนวิชาตัวเบาจนยอดเยี่ยม เป็นมือดีในการสืบข่าวสาร


 


 


เสิ่นเวยรับเข้ามาดื่มหลายอึกใหญ่ หลังจากนั้นก็ส่งให้เถาฮวาข้างๆ เถาฮวาดื่มอึกใหญ่ ดูท่าแล้วจะกระหายน้ำอย่างถึงที่สุด เสิ่นเวยกระตุกมุมปากเล็กน้อย นางรู้ว่าอันที่จริงเด็กคนนี้กินของว่างบนรถม้าไปเยอะ


 


 


“คุณชาย ท่านอยากทานอะไร” เสี่ยวตี๋รับถุงน้ำดื่มเข้ามาแล้วกล่าวถาม


 


 


เถาฮวาข้างๆ ตาลุกวาว เสิ่นเวยหัวเราะในใจ จริงๆ เลย ราวกับหิวมาแปดชั่วโคตร ตลอดทางนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีของให้นางกินนี่นา


 


 


ขาหมู ของว่างต่างๆ ผลไม้เชื่อม บวกกับวัตุดิบนานาชนิดที่นำมาสองคันรถม้า นี่ล้วนแต่เป็นของที่ชวีไห่ดูแล เขาบอกแล้วว่า ‘ต่อให้ลำบากก็ไม่อาจลำบากคุณหนู เสบียงสามหมื่นต้านเตรียมไว้พร้อมแล้ว จะขาดของคุณหนูได้อย่างไร บุตรสาวจวนโหวที่สูงศักดิ์เช่นคุณหนูจะกินเสบียงเหมือนชายฉกรรจ์ได้อย่างไร’


 


 


เสี่ยวตี๋มีฝีมือ มีฝีมือในการเปลี่ยนของไร้ประโยชน์ให้มีประโยชน์ได้ ดังนั้นตลอดเส้นทางนี้แม้เสิ่นเวยจะลำบาก แต่ในด้านอาหารการกินกลับสบายใจอย่างยิ่ง


 


 


“แล้วแต่เลย” เสิ่นเวยไม่เรื่องมากแม้แต่นิดเดียว นางเชื่อใจฝีมือการลงครัวของเสี่ยวตี๋


 


 


เสี่ยวตี๋คิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “เช่นนั้นผู้น้อยต้มแกงปลาให้คุณชายทานแล้วกัน”


 


 


“เอาปลามาจากไหน” เสิ่นเวยสงสัยอย่างยิ่ง นางจำไม่ได้ว่าพวกนางเอาปลามาด้วย ถึงจะเอามา ก็คงจะเป็นปลาแห้งกระมัง


 


 


เสี่ยวตี๋ชี้ล่างเนินเขาแล้วกล่าว “นั่นไม่ใช่แม่น้ำหรือ ในนั้นจะต้องมีปลาแน่นอน ผู้น้อยจะไปจับมาสักตัวสองตัว”


 


 


“ข้าอยากไปด้วย พี่เสี่ยวตี๋ ข้าอยากไปจับปลาด้วย” เถาฮวาร้องดีใจ ถึงแขนเสื้อเสี่ยวตี๋ขอตามนางไปด้วย เสิ่นเวยยิ้มแย้ม หาพื้นหญ้าสะอาดๆ นั่งลง


 


 


กลุ่มพ่อค้าของพวกเขามีหนึ่งร้อยห้าสิบหกสิบคน หนึ่งในสามเป็นคนหนุ่มที่มาจากหมู่บ้านตระกูลเสิ่น พวกเขารู้ว่าครั้งนี้คุณหนูจะพาพวกเขาไปฆ่าศัตรูสร้างคุณูปการในสนามรบ แต่ละคนก็ฮึกเหิม ดีใจอย่างถึงที่สุด


 


 


เพราะว่าพลังของแบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เสิ่นเซ่าหย่งเด็กคนนั้นไปซีเจียงก่อนพวกเขาแค่ไม่กี่เดือน ตอนนี้เป็นป่าจ่ง[1]ลำดับเจ็ดแล้ว ตอนที่ฝึกทหารไม่ว่าใครก็ไม่ได้แย่ไปกว่าใคร เสิ่นเซ่าหย่งเด็กคนนั้นยังเป็นป่าจ่งได้ ตนก็ต้องเป็นได้เช่นกัน


 


 


ทุกคนพลางพูดพลางหัวเราะพลางยุ่ง เก็บฝืน ล่าสัตว์ ตักน้ำ ก่อไฟ…แบ่งงานกันทำอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนที่เดินผ่านเสิ่นเวยก็เรียกคุณชายด้วยความเคารพ อันที่จริงแต่ละคนต่างก็รู้ดีว่านี่คือคุณหนูของพวกเขา คุณหนูที่มอบชีวิตดีๆ ให้พวกเขา ความเคารพที่พวกเขามีต่อเสิ่นเวยออกมาจากหัวใจ


 


 


“คุณชายเหนื่อยหรือไม่” ชวีไห่ยิ้มแย้มเดินมาข้างๆ เสิ่นเวย


 


 


เสิ่นเวยเองก็ยิ้ม “ยังไหวอยู่” หลังจากนั้นก็เอียงคอหยอกล้อ “ท่านอาชวีมีกำลังวังชาดียิ่งนัก!” ชวีไห่อายุมากที่สุดในกลุ่มคุมส่งเสบียงทั้งหมด อีกทั้งยังไม่เป็นวรยุทธ์


 


 


“คุณชายล้อเล่นแล้ว ผู้น้อยเพียงแค่ชินแล้วก็เท่านั้นเอง” ชวีไห่ยังคงยิ้มแย้ม ตอนเขาวัยเยาว์ก็ติดตามกลุ่มพ่อค้าออกไปข้างนอก ไม่ได้ออกจากบ้านก็แค่ไม่กี่ปีนี้ พื้นฐานที่สร้างไว้ตอนเยาว์ไหนเลยจะทิ้งไปได้ง่ายๆ ประสบการณ์ของเขาโชกโชนอย่างยิ่ง


 


 


“ท่านอาชวีว่า ด้วยความเร็วเช่นนี้พวกเราจะถึงซีเจียงเมื่อไร” เสิ่นเวยถาม ฟังว่าม้าเร็ววิ่งจากเมืองหลวงไปซีเจียงใช้เวลาสิบวัน ตอนนี้ก็วันที่หกแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านปู่จะฟื้นแล้วหรือยัง อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง นางร้อนใจเล็กน้อย


 


 


“คาดว่าอีกสิบวัน” ชวีไห่คิดแล้วจึงกล่าว


 


 


หัวใจเสิ่นเวยด่ำดิ่งลงในชั่วขณะ สิบวัน! สงครามแปรเปลี่ยนในชั่วพริบตา ใครก็บอกไม่ได้ว่าภายในสิบวันนี้ซีเจียงจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด ที่เสิ่นเวยเป็นห่วงที่สุดยังคงเป็นปัญหาเรื่องเสบียง แม้จะบอกว่าราชสำนักเองก็ส่งแม่ทัพอู่เลี่ยนำเสบียงไปให้ซีเจียง แต่พวกเขาก็อาจจะไม่ได้ไปถึงก่อนกลุ่มพ่อค้ากลุ่มนี้ของตน


 


 


เสบียงของซีเจียงจะอยู่ได้นานเพียงนั้นหรือไม่


 


 


“ท่านอาชวี เร็วกว่านี้อีกได้หรือไม่ ข้ากลัวท่านปู่รอไม่ไหว” เสิ่นเวยมองชวีไห่


 


 


ชวีไห่เองก็รู้ว่าซีเจียงรอเสบียงการช่วยเหลืออยู่ ก้มหน้าตริตรองครู่หนึ่ง กล่าว “เช่นนั้นนับตั้งแต่คืนนี้ไปพวกเราเปลี่ยนเป็นสองวันพักครึ่งคืน คาดว่าน่าจะถึงก่อนกำหนดสองสามวัน”


 


 


“ได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน” เสิ่นเวยตอบเสียงเด็ดขาด


 


 


“ขอรับ อีกประเดี๋ยวผู้น้อยจะออกคำสั่งลงไป” ชวีไห่กล่าวอย่างจริงจัง


 


 


ตอนที่ทั้งสองคนพูดคุยกันโอวหยางไน่ก็กอดอกยืนอยู่ไม่ไกลจากเสิ่นเวย เขามองดวงอาทิตย์ตกดินช้าๆ ในใจก็ร้อนรนดั่งไฟสุม เขาเป็นลูกกำพร้าที่ท่านโหวเก็บมาเลี้ยง แม้จะบอกว่าติดตามคุณหนูสี่มา แต่ตอนที่ได้ยินว่าท่านโหวโดนธนูยิงเขาก็อยากจะบินไปสนามรบซีเจียงทันที


 


 


บทสนทนาของคุณหนูกับเจ้าของร้านชวีเขาเองก็ได้ยินแล้ว อันที่จริงให้ม้าเร็วเขาหนึ่งตัว ไม่ถึงสิบวัน แปดวันเขาก็สามารถไปถึงซีเจียงได้ แต่ประโยคนี้เขากลับไม่กล้าเอ่ยปากบอกคุณหนูน่ะสิ


 


 


กลิ่นหอมที่น่าดึงดูดหนึ่งกลุ่มลอยเข้ามา จู่ๆ เสิ่นเวยก็รู้สึกหิว เงยหน้าตามกลิ่นไป เห็นเสี่ยวตี๋กับเถาฮวาต้มแกงปลาอยู่ หมอหลิ่วข้างๆ ยังชี้อะไรสักอย่างข้างใน


 


 


เสิ่นเวยเดินเข้าไป “จับปลาได้จริงๆ ด้วย หอมจริงๆ!” พูดพลางสูดกลิ่น นางรู้สึกหิวกว่าเดิม


 


 


เถาฮวาแกว่งไม้แกว่งมือด้วยความตื่นเต้น “คุณชาย คุณชาย พี่เสี่ยวตี๋เก่งจริงๆ จับปลาได้หลายตัวเลย เถาฮวาก็จับได้ตั้งสองตัว”


 


 


เสิ่นฮวาหลุดหัวเราะ ประเด็นสำคัญของเด็กคนนี้อยู่ที่ประโยคหลังสินะ “เถาฮวาเก่งมาก วันนี้ข้าได้เถาฮวาช่วยเยอะเลย” เสิ่นเวยชมนางอย่างไม่ฝืนใจเลยแม้แต่น้อย


 


 


เถาฮวาก็แย้มยิ้ม ใบหน้าเล็กๆ ที่เดิมไม่อ้วนคล้ายผอมกว่าเดิม กินเยอะเพียงนี้เหตุใดถึงไม่มีเนื้อเลยเล่า เสิ่นเวยเป็นห่วงยิ่งนัก


 


 


“ท่านหมอหลิ่วเหนื่อยหรือไม่” เสิ่นเวยถามอย่างเป็นมิตร


 


 


หลิ่วซื่อเฉวียนนวดทุบขากล่าวพึมพำ “แก่แล้ว ไหนเลยจะเทียบเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้ได้ แค่นั่งรถผู้น้อยก็รู้สึกว่าร่างทั้งร่างจะแหลกแล้ว” เขากลับพูดความจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราเหมือนเจ้าขุนมูลนาย แต่นอกจากขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรแล้วก็ไม่เคยได้รับความลำบากอะไรมาก่อน


 


 


“ลำบากท่านหมอหลิ่วแล้ว” เสิ่นเวยรู้สึกผิดเล็กน้อย บอกว่าจะพาเขามาเสวยสุขในเมืองหลวง ตอนนี้กลับพามาเดินทางลำบาก


 


 


ทว่าหลิ่วซื่อเฉวียนกลับกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ดูคุณชายพูดเข้า ครั้งนี้ผู้น้อยสมัครใจมาเอง” ก่อนมาคุณหนูถามความต้องการของเขา เป็นเขายินยอมมาเอง


 


 


ในใจชายทุกคนล้วนมีความฝันอยากฆ่าศัตรูตอบแทนแว่นแคว้น ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย หลิ่วซื่อเฉวียนคิดไม่ถึงว่าตนอายุปูนนี้แล้วจะยังได้รับโอกาสเช่นนี้ แม้เขาจะไม่อาจลงสนามรบฆ่าศัตรูด้วยตัวเองได้ แต่เขาก็ชำนาญการรักษา สามารถช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บได้ ถือว่าเป็นการจงรักภัคดีต่อแว่นแคว้นเช่นเดียวกัน


 


 


“คุณหนู แกงปลาเสร็จแล้ว ท่านลองชิมก่อน” เสี่ยวตี๋ยกเข้ามาด้วยความเคารพ


 


 


เสิ่นเวยรับถ้วยมาทาน ทานคำเล็กช้าๆ ความหอมสดใหม่นั้นกระตุ้นต่อมรับรสชาติของนางทันที ทำให้นางทานอีกคำอย่างอดไม่ได้ “อร่อย! ฝีมือเสี่ยวตี๋พัฒนาอีกแล้ว” เสิ่นเวยชม “มาทานกันให้หมด ตกใจอะไร เถาฮวา ยังต้องให้ข้าตักให้เจ้าอีกหรือ เสี่ยวตี๋เจ้าเองก็ทานด้วยกัน เอาไปให้หมอหลิ่ว ท่านอาชวี เฉียนเป้าคนละถ้วย” เสิ่นเวยกะปริมาณแกงปลาในหม้อ อืม น่าจะพอแบ่งพวกเขา


 


 


“เช่นนั้นผู้น้อยไม่เกรงใจแล้ว” หลิ่วซื่อเฉวียนแช่เสบียงแห้งไว้ในแกงปลา ซดน้ำแกงเข้าไปทันที


 


 


เสิ่นเวยเองก็เลียนแบบเขา แช่เสบียงแห้งไส้ในแกงปลา กินแกงปลาถ้วยใหญ่ลงท้อง แม้ว่าหน้าผากจะมีเหงื่อออก แต่ร่างทั้งร่างกลับรู้สึกสบายอย่างถึงที่สุด


 


 


กินข้าวอิ่มแล้ว ทุกคนก็เตรียมพักผ่อน เรื่องจุกจิกอย่างการเฝ้ายามลาดตระเวนก็ไม่จำเป็นต้องให้เสิ่นเวยเป็นห่วง นางลากกระโจมอย่างง่ายๆ ออกมาจากในรถ พาเสี่ยวตี๋เข้าไปข้างใน เถาฮวาก็นอนอยู่บนรถม้า นางตัวเล็กจึงนอนได้


 


 


เดินทางมาสองวัน เสิ่นเวยเหนื่อยจะแย่แล้วจริงๆ หัวถึงหมอนก็ส่งเสียงกรนเบาๆ ออกมาทันที


 


 


ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร เสิ่นเวยก็ลืมตาอย่างรวดเร็ว นางคล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ดังเข้ามาในหูนางรางๆ จากที่ไกลๆ นางตื่นตัวอย่างอดไม่ได้ หลังจากนั้นก็เห็นเสี่ยวตี๋ที่นอนอยู่ข้างๆ ลืมตาทันทีเช่นกัน


 


 


เสิ่นเวยส่งสายตาไถ่ถามไปหานาง เสี่ยวตี๋พยักหน้าเบาๆ ยืนยันกับนาง เสิ่นเวยลุกขึ้นออกมาจากกระโจมทันที ตะโกนเสียงดัง “ข้าศึกโจมตี ตั้งแถว ดับไฟ!”


 


 


หลังเสียงตะโกนของเสิ่นเวย บริเวณที่ตั้งต่ายก็มีเสียงนกหวีดแหลมเปรียวดังขึ้น ทั่วทั้งค่ายเคลื่อนไหวในชั่วพริบตา


 


 


ก่อนจะนอนพักพวกเขาก็รวบรวมรถและม้าทั้งหมดไว้ด้วยกันแล้ว หลังเสียงนกหวีดแจ้งว่าข้าศึกโจมตีดัง ทุกคนก็ลุกขึ้นคลำหาอาวุธยืนประจำตำแหน่งทันที หันหลังเข้าหากันล้อมรถไว้ตรงกลาง


 


 


กองไฟดับไหม้หมดแล้ว ทุกคนกุมอาวุธตั้งมั่นพร้อมรบ ตอนนี้ได้ยินเสียงกีบเท้าม้ารางๆ แล้ว


 


 


 


 


 


 


[1] ป่าจ่ง ยศนายทหารระดับล่าง

 

 

 


ตอนที่ 157.1

 

บุกฆ่า

เสียงกีบเท้าม้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เสิ่นเวยกลั้นหายใจ ตั้งใจเงี่ยหูฟัง


 


 


“คุณชาย มีประมาณแปดสิบคนขอรับ คล้ายกับว่าเป็นม้าพันธุ์ดีทั้งหมด” เสี่ยวตี๋คุ้มกันอยู่ข้างกายเสิ่นเวยด้วยความระมัดระวัง กล่าวเตือนเสียงเบา


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า จำนวนคนนี้ไม่ต่างจากที่นางคาดเดามากนัก เพียงแค่นางไม่เชี่ยวชาญเท่าเสี่ยวตี๋ ฟังไม่ออกว่าเป็นม้าพันธุ์ดีหรือไม่ดี


 


 


แทบจะในชั่วพริบตาเสิ่นเวยก็ตัดสินใจได้แล้ว “ศัตรูมีประมาณแปดสิบคน ทุกคนตั้งสติอย่าแตกตื่น ฟังคำสั่งของหัวหน้ากลุ่ม ทหารลับ ประสานงาน”


 


 


ตลอดการเดินทางเสิ่นเวยได้ปรึกษากับทุกคนมาก่อนแล้ว หากการเดินทางครั้งนี้ราบรื่นก็ดีไป หากพบศัตรูเข้าควรจะทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงวางแผนยุทธวิธี แบ่งคนที่สามารถสู้รบได้เป็นกลุ่ม กลุ่มละยี่สิบคน แต่ละกลุ่มเลือกหัวหน้าหนึ่งคน ระหว่างกลุ่มต้องให้ความร่วมมือกัน


 


 


สำหรับการประสานงานของทหารลับก็เป็นเจตนาเห็นแก่ตัวเล็กน้อยของเสิ่นเวย แม้ว่าคนเหล่านี้จะฝึกฝนมานาน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเห็นเลือดมาก่อน พบศัตรูก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้ตื่นตระหนก เสิ่นเวยจึงนำทหารลับยี่สิบนายออกมา ไม่ให้พวกเขาลงมือ เพียงแค่ให้แต่ละคนดูคนสิบคนให้ดี เวลาที่มีอันตรายก็เข้าไปช่วยได้ทันเวลา ไม่ให้พวกเขาเสียชีวิตโดยไม่คาดคิด


 


 


ในเมื่อเสิ่นเวยพาพวกเขาออกมาแล้ว ก็หวังว่าจะสามารถพาพวกเขาทั้งหมดกลับได้อย่างปลอดภัย


 


 


เสียงกีบเท้าม้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในราตรีที่เงียบสงัดประหนึ่งรัวกลอง เสิ่นเวยสายตาดีอย่างยิ่ง สามารถมองเห็นเงาดำรางๆ ข้างหน้าได้ และคนทั้งหมดที่กุมอาวุธแน่นก็เบิกตาโต อารมณ์ฮึกเหิม หัวใจดวงนั้นที่อยู่ในอกคล้ายกำลังจะหลุดออกมา


 


 


ตลอดการเดินทางพวกเขาฝึกซ้อมมาสามครั้งแล้ว ครั้งนี้พบศัตรูเข้าจริงๆ พวกเขาล้วนแต่หวังว่าตนจะสามารถฆ่าศัตรูได้ ไม่เสียหน้าคุณชาย


 


 


ใกล้แล้ว ใกล้เข้ามาแล้ว


 


 


มองเห็นกองทหารม้าที่เร็วราวกับสายลมกำลังจะบดขยี้เข้ามา ได้ยินหัวหน้ากลุ่มหนึ่งกลุ่มสองตะโกนพร้อมกัน “กลุ่มหนึ่งกลุ่มสองยิง” ตามมาติดๆ ก็เป็นกลุ่มสามกลุ่มสี่ กลุ่มห้ากลุ่มหก…ลูกธนูพุ่งไปยังกองทหารม้าราวกับตั๊กแตน


 


 


กองทหารม้าไม่ได้ระวังตัวอย่างสิ้นเชิง ถูกยิงจนรับมือไม่ทัน คนหงายม้าร้อง เสียงโอดครวญดังขึ้นไม่หยุด


 


 


“แย่แล้ว มีข้าศึกกำลังมาก รีบจับอาวุธ” ในฝ่ายศัตรูมีคนตะคอกเสียงดัง พากันเฆี่ยนม้า มีคนฉวยโอกาสช่วงชุลมุนจุดคบเพลิง แม้ว่าจะถูกเสิ่นเวยยิงดับทันที แต่ศัตรูก็ยังคงมองเห็นรถฝั่งนี้ของเสิ่นเวย “สหายพี่น้องบุกเลย ปล้นชิงมันมา” ในน้ำเสียงมีความดีใจ


 


 


เสิ่นเวยตะโกนกล่าว “ล้อม”


 


 


ทุกคนส่งเสียงร้องโผเข้าไปราวกับเสือร้ายที่ลงจากเขา แบ่งกลุ่มเล็กๆ ออกเป็นหน่วย กระจายตัวตามสนามรบ ในด้านจำนวนคนฝั่งเสิ่นเวยเดิมก็ได้เปรียบอยู่แล้ว ยี่สิบคนล้อมตีสิบคนย่อมง่ายดาย อีกทั้งยังรู้จักร่วมมือกัน ยังมีทหารลับที่ตามมาสนับสนุน เติมเต็มจุดอ่อนที่พวกเขาไม่เคยเห็นเลือดไม่มีประสบการณ์ได้เป็นอย่างยิ่ง


 


 


ราตรีมืดสนิดเป็นสีกำบังที่ดีอย่างยิ่ง เพราะว่าเห็นไม่ชัด ดังนั้นจึงไม่มีความรู้สึกพะอืดพะอมที่ต้องมองเห็นภาพแขนขาดขาขาดเหล่านั้นเหมือนตอนกลางวัน ทุกคนยิ่งสู้ก็ยิ่งกล้า จักต้องกำจัดศัตรูให้สิ้นซากจนได้


 


 


เถาฮวาข่มใจไม่ไหววิ่งออกไปนานแล้ว นางกับทหารลับที่ไม่ถูกส่งให้ไปทำหน้าที่หลายคนก็คอยสอดส่องอยู่ข้างๆ โดยเฉพาะ เมื่อเห็นว่ามีคนที่คิดจะหนีก็เข้าไปทุบด้วยกระบอง คุณหนูบอกแล้วว่าห้ามปล่อยให้หนีไปแม้แต่คนเดียว เพื่อเลี่ยงไม่ให้ข่าวลือรั่วไหล นางไม่เข้าใจว่าข่าวลือรั่วไหลคืออะไร เพียงแต่จำคำของคุณหนูจนขึ้นใจ ห้ามปล่อยให้หนีไปแม้แต่คนเดียว


 


 


เหล่าทหารลับเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนี้โหดเ**้ยมเช่นนี้ก็กระตุกมุมปากอีกครั้ง ชายฉกรรจ์เช่นพวกเขาเหล่านี้ยังไม่ฆ่าคนราวกับฆ่าไก่เหมือนเถาฮวาด้วยซ้ำ คุณหนูสี่ไปหาเด็กประหลาดได้จากที่ไหนกัน


 


 


สงครามครั้งนี้แทบจะเป็นการฆ่าเพียงฝ่ายเดียว บดขยี้เต็มกำลัง ชั่วขณะในสนามรบก็มีเสียงร้องโอดครวญไม่หยุด คนที่มีไหวพริบเห็นว่าสิบคนรุมหนึ่งคนได้ ไม่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยจริงๆ ก็ฉวยโอกาสจูงม้าของศัตรูมารวมไว้ด้วยกัน คุณหนูสั่งแล้วว่า นี่คือของที่ยึดได้จากข้าศึก ต้องรู้จักงกเสียบ้าง


 


 


หนึ่งชั่วยามผ่านไปสงครามก็หยุดลง จับพยานมาได้หลายคน ที่เหลือล้วนถูกกำจัด


 


 


คบเพลิงจุดขึ้นแล้ว ส่องราตรีอันมืดมิดให้สว่างราวกับกลางวัน เฉียนเป้าพาคนเก็บกวาดสนามรบ เสิ่นเวยกับโอวหยางไน่ไต่ถามพยานที่จับมาด้วยตัวเอง


 


 


ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าคนกลุ่มนี้คือโจรบนเขาเอ้อร์หลงอะไรสักอย่าง เขาเอ้อร์หลังอยู่ห่างจากเมืองชายแดนซีเจียงประมาณหนึ่งรอยลี้ ครั้งนี้พวกเขาถือโอกาสที่ต้ายงเปิดศึกกับซีเหลียง คิดจะตามมาฉกฉวยผลประโยชน์ข้างหลัง เดิมพวกเขาคิดจะโจมตีกลุ่มขนส่งเสบียงของราชสำนัก ไม่คิดว่าจะพลาดมาเจอเสิ่นเวยกลุ่มนี้แทน เป็นโชคร้ายจริงๆ


 


 


เสิ่นเวยวิจารณ์ในใจ คนแค่นี้ยังคิดจะแย่งชิงเสบียงราชสำนักงั้นหรือ รนหาที่ตายสิไม่ว่า เสิ่นเวยเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ หัวหน้าใหญ่เขาเอ้อร์หลงไม่ถูกกับรองหัวหน้า หัวหน้าใหญ่ส่งรองหัวหน้าออกมาไม่ใช่ว่าส่งมาตายหรือไร


 


 


“รู้ข่าวล่าสุดที่เมืองชายแดนซีเจียงหรือไม่” เสิ่นเวยกล่าวถามตามอำเภอใจ เดิมไม่หวังว่าจะได้ข่าวที่มีประโยชน์อะไร นึกไม่ถึงว่ายังมีพยานเอ่ยปากพูดจริงๆ “สถานการณ์ที่เมืองชายแดนไม่ค่อยดีนัก ตั้งแต่ที่ท่านเสิ่นโหวหมดสติก็ยังไม่ฟื้น กองทัพซีเหลียงโจมตีกำแพงเมืองทุกวันๆ เกรงว่าจะประคับประคองไม่ไหวแล้ว ดังนั้นรองหัวหน้าของพวกข้าจึงพาสหายพี่น้องออกมา ไหนเลยจะไม่ได้หาหนทางรอดชีวิต” เขาเอ้อร์


 


 


หลงอยู่ใกล้เมืองชายแดนอย่างยิ่ง กำแพงเมืองกำลังจะถูกกองทัพใหญ่ซีเหลียงพังแล้ว เขาเอ้อร์หลงเองก็หนีไม่พ้น


 


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านเสิ่นโหวยังไม่ฟื้น” เสิ่นเวยกล่าวถามหน้านิ่ง


 


 


พยานผู้นั้นก็บอกว่า “โธ่ มีใครไม่รู้บ้าง ทุกคนต่างก็พูดกันเช่นนี้ ตั้งแต่ที่ท่านเสิ่นโหวถูกยิงธนูก็ไม่ปรากฎตัวอีกเลย ยังมีคนบอกว่าท่านเสิ่นโหวตายแล้วด้วยซ้ำ”


 


 


เสิ่นเวยสบตาโอวหยางไน่ปราดหนึ่ง ในแววตาของฝ่ายตรงข้ามมองเห็นความตึงเครียด ท่านเสิ่นโหวไม่ปรากฎตัวนานแล้ว สถานการณ์ไม่ดีแล้ว


 


 


“คุณชาย ห้าคนนี้จะจัดการอย่างไรขอรับ” โอวหยางไน่กล่าว


 


 


เมื่อพยานไม่กี่คนนั้นได้ยินก็ร้องขออ้อนวอนทันที ต้องการให้ไว้ชีวิต เสิ่นเวยนิ่งเงียบ นี่คือโจรที่กุมชีวิตผู้อื่น หากปล่อยพวกเขาไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนถูกพวกเขาทำร้าย สำหรับคนชั่วเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือส่งพวกเขาไปตาย


 


 


เสิ่นเวยบอกเป็นนัย จากนั้นจึงมีทหารลับเข้ามาลากตัวพยานออกไปจัดการ


 


 


เร็วอย่างยิ่งสนามรบก็เก็บกวาดเรียบร้อย เงินติดตัวและของมีค่าต่างก็ยึดมา ศพทั้งหมดโยนเข้าไปในป่า อาวุธและม้าถูกนำไปทั้งหมด ม้าวิ่งหนีไปจำนวนหนึ่ง บาดเจ็บล้มตายอีกจำนวนหนึ่ง จำนวนที่เหลืออยู่รวบรวมได้สามสิบกว่าตัว


 


 


เฉียนเป้านำเงินและของต่างๆ จำพวกจี้หยกมาให้เสิ่นเวยดู เสิ่นเวยยิ้ม โบกมืออย่างใจกว้าง “เอาไปให้ทุกคนแบ่งกันเถอะ” ของแค่นี้นางไม่สนใจ แต่สำหรับทุกคนแล้วกลับเป็นบำเหน็จที่หาได้ยาก นางใช้ข้อเท็จจริงอธิบายเหตุผลแก่ทุกคน ‘ดูสิ ติดตามคุณหนูเช่นข้าก็จะมีเงินอยู่ในมือ’


 


 


เป็นดั่งคาด ทุกคนส่งเสียงร้องยินดี แม้แต่ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บก็รู้สึกไม่เจ็บแล้ว แม้ว่าจะชนะ แต่ฝั่งเสิ่นเวยก็บาดเจ็บเล็กน้อยด้วยเหตุผลต่างๆ กว่าสามสิบคน แต่กลับไม่มีคนบาดเจ็บสาหัส


 


 


ถือโอกาสขณะที่ทุกคนตื่นเต้นดีใจ เสิ่นเวยก็ตัดสินใจเดินทางในคืนนั้น คราวนี้นางตัดสินใจพาคนส่วนหนึ่งไปก่อน เถาฮวา โอวหยางไน่กับเสี่ยวตี๋จำเป็นต้องพาไปด้วย นอกจานี้แล้วนางยังพาทหารลับเจ็ดคนกับเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นที่เก่งกล้าที่สุดสามสิบคนไปพร้อมกัน


 


 


เสิ่นเวยทิ้งรถม้า ขี่ม้าตลอดทั้งวันทั้งคืนเหมือนกับทุกคน ตอนที่ไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็หยุดพักครึ่งชั่วยาม เป็นเช่นนี้ในที่สุดสามวันต่อมาก็มาถึงเมืองชายแดนซีเจียง


 


 


อาทิตย์ตกดินอีกครั้ง อาทิตย์บนท้องฟ้าตะวันตกสีแดงดั่งเลือด


 


 


กองทัพใหญ่ซีเหลียงกำลังโจมตีกำแพงเมือง เสิ่นเวยเฆี่ยนม้าหยุดอยู่บนเนินเขาสูง ทอดสายตาออกไป ทุกๆ แห่งที่สายตากวาดผ่านล้วนแต่เป็นกองทัพซีเหลียงที่แน่นขนัด หากจะไปถึงล่างกำแพงเมืองก็ต้องฆ่าเปิดทาง จะทำอย่างไร หาที่หลบรอกองทัพซีเหลียงถอยทัพ หรือว่าบุกเข้าไปตอนนี้เลย


 


 


“คุณชาย พวกเราบุกเถอะขอรับ!” เสิ่นหู่โถวมองทหารซีเหลียงที่อยู่เต็มพื้นที่ ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น


 


 


ตลอดการเดินทางนี้พวกเขาเองก็เคยผ่านหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านเหล่านี้ล้วนแต่เงียบสงัดไร้ผู้คนเหมือนกันทั้งหมด บ้านเรือนพังทลาย ยังมีร่องรอยของการถูกไฟเผา กระทั่งมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งทั่วทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยคนตาย มีคนชรา มีเด็ก มีชายหนุ่มไม่น้อย ศพต่างก็เน่าเปื่อยหมดแล้ว ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งไปทั่ว


 


 


“ถูกต้อง คุณชาย พวกเราบุกกันเถอะ!” คนที่เหลือพากันเห็นด้วย


 


 


เสิ่นเวยหันหลังกลับไปมอง เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยโลหิตแต่ละคู่ๆ และใบหน้าที่แดงก่ำ โลหิตในร่างกายนางเดือดพล่านในชั่วพริบตา ใช่แล้ว ทุกคนล้วนแต่ไม่กลัว เช่นนั้นนางจะยังกลัวอะไร สายตาของนางทอดมองไปยังดาบหมื่นโลหิตที่วางนอนอยู่บนม้า เบื้องลึกภายในใจก็มีความรู้สึกที่แตกต่างเกิดขึ้น ดาบหมื่นโลหิตเงียบเหงามานานแล้ว ครั้งนี้ก็ให้มันได้ดื่มเลือดของคนซีเหลียงแล้วกัน


 


 


“ได้!” เสิ่นเวยหยักหน้าอย่างจริงจัง ทันใดนั้นก็ออกคำสั่ง “ตั้งทัพบุกเข้าไป อย่าแตกกลุ่ม ทหารลับขนาบข้าง ตั้งใจร่วมมือกัน พวกเราเพียงแค่บุกฆ่า อย่าพลีชีพอย่างไร้ค่า”


 


 


พวกเขาเพียงสี่สิบคน บุกเข้าไปในกองทัพใหญ่ซีเหลียงหลายหมื่นนายนี้ชั่วพริบตาก็ถูกปกคลุม ดังนั้นไม่อาจแตกแยกได้เป็นอันขาด รวมตัวบุกฆ่าด้วยกันกลับยังมีแรงสู้รบ


 


 


“ขอรับ ผู้น้อยทราบแล้ว” ทุกคนตอบรับพร้อมกัน


 


 


“เช่นนั้นก็ตามข้ามา!” เสิ่นเวยถือดาบหมื่นโลหิตนำหน้าบุกเข้าไปในกองทัพใหญ่ซีเหลียง เถาฮวากับโอวหยางไน่คุ้มกันอยู่ด้ายซ้ายขวาของนาง ข้างหลังเป็นทหารลับและเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นที่กุมทวนยาวสีเดียวกัน


 


 


ถูกต้อง เป็นทวนยาวสีเดียวกัน ในสนามรบยังจะมีอาวุธใดเทียบเท่าราชาแห่งอาวุธเช่นทวนยาวได้อีก กลุ่มทวนยาวขนาดเล็กกลุ่มนี้เองก็ฝึกฝนมานานกว่าสองปีแล้ว วันนี้ได้แสดงความสามารถเป็นครั้งแรก


 


 


ดาบหมื่นโลหิตของเสิ่นเวยได้ทำการปรับเปลี่ยนแล้ว เพิ่มด้ามยาวหนึ่งด้ามเข้าไป นั่งอยู่บนม้าไม่ต้องออกแรงเป่าฝุ่นก็สามารถฆ่าศัตรูได้อย่างง่ายดาย


 


 


ดาบหมื่นโลหิตของเสิ่นเวยเก่งกาจจริงๆ ทุกๆ ที่ที่ผ่านไป คมมีดกะพริบวาบจักต้องมีศีรษะคนกระเด็นหลุดลอย ทหารซีเหลียงจำนวนมากยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับมาก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางยมโลกอย่างไม่รู้ตัวแล้ว


 


 


เถาฮวาเองก็แสดงพลังองอาจ มือหนึ่งควบม้า มือหนึ่งถือกระบองเหล็กกวาดออกไป ทุกๆ แห่งที่กระบองผ่านไปทหารซีเหลียงก็ล้มลงไม่เว้นแม้แต่คนเดียว


 


 


ทวนยาวของโอวหยางไน่ประหนึ่งมังกรคะนองน้ำ ตวัดขึ้นลง แทบจะฆ่าได้หนึ่งทวนต่อหนึ่งคน ฟาดฟันจนทหารซีเหลียงร้องไห้หาบุพการี


 


 


เด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นที่ตามมาข้างหลังก็ถูกโลหิตสดกระตุ้นจนบ้าคลั่ง ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ อยากฆ่าศัตรูสร้างคุณูปการ อยากเลื่อนตำแหน่งได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ อยากระบายความโกรธแทนท่านโหวและคุณหนู กล้ามเนื้อทั่วร่างของพวกเขาฮึกเหิมขึ้นมา กุมทวนยาวแน่นบุกฆ่าอยู่ในกองทัพซีเหลียง


 


 


ไม่ว่าอย่างไรทหารซีเหลียงก็นึกไม่ถึงว่าข้างหลังจะยังมีคนอีก ถูกสังหารอย่างไม่ทันตั้งตัว กว่าจะตอบสนองกลับมาได้ เสิ่นเวยก็นำคนสังหารนองเลือดแล้ว รุดเข้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

 

 

 


ตอนที่ 157.2

 

บุกฆ่า

“แย่แล้ว กองกำลังหนุนต้ายงมาถึงแล้ว!” ทหารซีเหลียงตะโกนเสียงดัง ถอยไปข้างหลังราวกับกระแสน้ำ เสิ่นเวยฉวยโอกาสขยายสนามรบ พาทหารซีเหลียงเข้าสู่เส้นทางสังสารวัฏ 


 


 


เสิ่นเวยยิ่งฆ่าก็ยิ่งคึก บนร่างบนมือบนหน้านางกระเซ็นเต็มไปด้วยโลหิตสด ร่างกายฮึกเหิม ทว่าตาหงส์ทั้งคู่กลับสงบนิ่งมากเป็นพิเศษ นานเพียงใดแล้วที่ไม่ได้ฆ่าอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้ คล้ายกับว่าหลังจากเทือกเขาเฟยหลิ่งนางก็อัดอั้นมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว เรือนหลังเล็กๆ ก็ทำให้นางมักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นสัตว์ที่ถูกขังตัวหนึ่ง เดิมนางเป็นเหยี่ยวที่กางปีกโบยบินอยู่บนฟ้า จะใช้ชีวิตอย่างนกกระจอกได้อย่างไร 


 


 


บนหน้าเถาฮวามีรอยยิ้มที่แปลกประหลาดอยู่ตลอดเวลา ในสายตานาง ทหารซีเหลียงแต่ละคนก็เสมือนกับก้อนดินที่เกะกะ เก็บกวาดพวกเขาให้เกลี้ยงจึงจะเดินต่อไปได้ ไม่อาจเปรอะเปื้อนรองเท้าคุณหนูของนางได้ นางต้องปกป้องคุณหนู ไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บอีก 


 


 


“คุณชาย ท่านดู” เสี่ยวตี๋ที่ปกป้องอยู่ข้างกายเสิ่นเวยพลันเอ่ยปาก 


 


 


เสิ่นเวยมองไปตามทิศทางที่นางชี้ บริเวณที่ห่างจากตรงนี้ประมาณสามสิบจั้งมีรถศึกที่หรูหราหนึ่งคัน บนรถมีคนสองคนยืนอยู่ ดูจากเครื่องแต่งกายฐานะน่าจะไม่ต่ำ เสิ่นเวยหรี่ตา ความคิดแล่นฉับพลัน “ธนู!” เสี่ยวตี๋ดึงธนูบนม้าลงมาแล้วส่งไปถึงมือนาง 


 


 


เสิ่นเวยยืนอยู่บนโกลนม้า น้าวสายธนูช้าๆ ลูกธนูเพ่งเล็งไปยังคนผู้นั้นทางด้านซ้ายของรถศึก ฝั่งซ้ายฐานะสูง ฐานะของคนผู้นั้นทางฝั่งซ้ายน่าจะสูงกว่า 


 


 


ตอนนี้ โลกภายนอกคล้ายสงบนิ่งลง มือของเสิ่นเวยมั่นคง ในดวงตาในหัวใจมีเพียงคนผู้นั้นตรงหน้า แสงอาทิตย์ตกดินเคลือบแสงทองให้นาง นางยกมุมปากวาดรอยยิ้มเย็นชา ตอนนี้นางงดงามราวกับเทพหนึ่งองค์ 


 


 


มือปล่อยออกเบาๆ ลูกธนูพุ่งออกไปยังเป้าหมาย 


 


 


คนผู้นั้นทางด้านซ้ายของรถศึกคล้ายรู้สึกถึงอันตราย หันหน้าสบสายตาที่เย็นเยียบและกระหายเลือดคู่นั้นของเสิ่นเวยพอดี เขาตะลึงงันอย่างอดไม่ได้ ชั่วพริบตาลูกธนูก็อยู่ตรงหน้าแล้ว จะหลบก็หลบไม่ทันอีกต่อไป เขากัดฟันกรอดขยับตัวครึ่งหนึ่ง ฉึก! ลูกธนูเบี่ยงออกจากจุดอันตราย แทงเข้าไปในแผ่นหลังของเขา เขารู้สึกเจ็บปวดแผ่นหลัง ร่างทั้งร่างล้มลงไปข้างหน้า ชั่วขณะที่ล้มลงในสมองก็เป็นภาพรอยยิ้มที่ส่องสว่างนั้น 


 


 


เสิ่นเวยส่งคันธนูให้เสี่ยวตี๋อย่างเสียดาย นางยังคิดว่าจะสามารถยิงคนผู้นั้นให้ตายได้ แก้แค้นแทนท่านปู่ในดอกเดียว คิดไม่ถึงว่ายังพลาดไปเพียงแค่นิดเดียว นางเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า ถือดาบหมื่นโลหิตบุกฆ่าต่อ 


 


 


เมื่อคนผู้นั้นบนรถศึกล้มลง ทหารซีเหลียงก็แตกตื่นทันที “แย่แล้ว ท่านอ๋องใหญ่โดนธนูยิง รีบหนีเร็ว! กองกำลังหนุนต้ายงมาถึงแล้ว!” 


 


 


“ท่านอ๋องใหญ่ถูกสังหารแล้ว รีบหนีเอาตัวรอด ปีศาจ ปีศาจมาแล้ว!” 


 


 


เถาฮวาเป็นเพียงเด็กอายุไม่กี่สิบขวบ ตัวเล็กๆ ผอมๆ นั่งหลังตรงอยู่บนม้า แต่กำลังมากจนไม่มีขีดจำกัด ฝีมือก็ยังโหดเ**้ยมเพียงนั้น บนใบหน้ายังมีรอยยิ้ม นี่ไหนเลยจะเป็นเด็ก เห็นชัดๆ ว่าเป็นปีศาจ 


 


 


หัวใจของทหารซีเหลียงหวาดกลัวไปก่อนแล้ว เรี่ยวแรงการต่อสู่ย่อมลดฮวบ กลุ่มของเสิ่นเวยฉวยโอกาสเก็บชีวิตของทหารซีเหลียงจำนวนมาก 


 


 


ผู้บัญชาต้ายงบนยอดกำแพงเมืองเองก็พบเห็นสถานการณ์ผิดปกติของกองทัพซีเหลียงแล้ว พวกเขาจำไม่ได้แล้วว่ากองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีกำแพงเมืองเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว รู้เพียงแต่ว่ากองทัพใหญ่แปดหมื่นนายที่ตั้งมั่นรักษาซีเจียงบาดเจ็บล้มตายไปเกินครึ่งแล้ว แม้แต่ท่านโหวยังนอนอยู่บนเตียงเป็นตายมิอาจรู้ เสบียงในยุ้งข้าวเล็กๆ ก็กินหมดไปเมื่อสองวันก่อนแล้ว ตอนนี้ที่ทหารบนยอดกำแพงเมืองกินล้วนแต่เป็นเสบียงที่ชาวบ้านในเมืองรวบรวมให้ 


 


 


ทหารที่ตายถูกหามออกไปที่ละกลุ่มๆ ทหารใหม่ก็เสริมทัพเข้ามา ทหารซีเหลียงร้องคำรามปีนขึ้นมาราวกับกระแสน้ำ คล้ายกับไม่ว่าจะฆ่าอย่างไรก็ฆ่าไม่หมด 


 


 


ฟังต้าฉุย แม่ทัพใหญ่ที่บัญชาการอยู่บนกำแพงเมืองดวงตาแดงก่ำ จะรักษาไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ ข้างหลังยังมีประชาชนอยู่เต็มเมือง เขาไม่อาจเป็นนักโทษของต้ายงได้ ต่อให้ตายก็ต้องรบจนตัวตายบนยอดกำแพงเมือง ไม่อาจถอยหลังได้แม้แต่ก้าวเดียว 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ท่านดูตรงนั้น” จู่ๆ ทหารคนสนิทข้างกายก็ชี้กองทัพใหญ่ซีเหลียงข้างล่างตะโกนเสียงดัง 


 


 


ฟังต้าฉุยเหลือบตาขึ้นมอง เห็นเพียงกองทัพใหญ่ซีเหลียงที่บุกมาข้างหน้าอย่างห้าวหาญพากันถอยหลัง ท่ามกลางกองทัพใหญ่ซีเหลียงที่กว้างสุดลูกหูลูกตามีกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งบุกฆ่าเข้ามาทางประตูเมือง พวกเขาเป็นใคร ซ้ำยังได้ยินทหารซีเหลียงตะโกน ‘ท่านอ๋องใหญ่ถูกธนูยิงแล้ว’ ใครยิง ฟังต้าฉุยงุนงงในชั่วขณะ 


 


 


“ท่านแม่ทัพ หรือว่ากองกำลังหนุนมาถึงแล้ว” ทหารคนสนิทตะโกนกล่าวด้วยความดีใจ 


 


 


ฟังต้าฉุยเองก็มีสีหน้าดีใจ หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าทันที “เป็นไปไม่ได้ คนที่พวกเราส่งไปขอกำลังหนุนเพิ่งออกเดินทางเมื่อวาน กองกำลังหนุนไม่อาจถึงเร็วเพียงนี้ อีกทั้งกองกำลังหนุนก็ไม่อาจมีคนเพียงไม่กี่คนเช่นนี้ได้” 


 


 


คนทั้งสองต่างก็คิดไม่ตกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ต้องคิดเสีย ตั้งใจเผชิญหน้ากับการต่อสู้ตรงหน้าดีกว่า 


 


 


“ท่านแม่ทัพ กองทัพใหญ่ซีเหลียงถอยทัพแล้ว พวกเราควรจะ…?” รองแม่ทัพผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามา ทำท่าทางบุกโจมตี 


 


 


ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อเสนอนี้ทำให้ฟังต้าฉุยหวั่นไหวอย่างถึงที่สุด ช่วงหลายวันมานี้ล้วนแต่ถูกโจมตี ฟังต้าฉุยอึดอัดอยู่นานแล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสดี จะเปิดประตูเมืองไล่ฆ่าพวกเขาสักครั้งดีหรือไม่ 


 


 


ท้ายที่สุดฟังต้าฉุยก็ยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้ ไม่มั่นใจว่านี่คือแผนการของกองทัพซีเหลียงหรือไม่ พวกเราไม่อาจปล่อยให้เกิดการการสูญเสียได้อีกแล้ว” เขาไม่แน่ใจกับสถานการณ์ศึกที่แปลกประหลาดตรงหน้า ไหนเลยจะก้าวออกจากเมืองไปไล่โจมตี หากนี่เป็นแผนการล่อข้าศึกของกองทัพซีเหลียงเล่า ไม่ใช่ว่าจะตกหลุมพรางหรอกหรือ” 


 


 


“ท่านแม่ทัพ โอกาสดีไม่ควรพลาด พลาดแล้วไม่มีอีกนะขอรับ!” รองแม่ทัพสีหน้าร้อนใจ ไม่ยอมปล่อยโอกาสอันดีเช่นนี้ไปได้ 


 


 


ฟังต้าฉุยครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เจ้าพาทหารม้าห้าร้อยนายออกจากเมืองไปไล่โจมตี หากเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติให้รีบกลับมาทันที คนที่เหลือตั้งทัพบนกำแพงเมือง” ปล่อยโอกาสอันดีเช่นนี้ไป เขาเองก็ตัดใจไม่ลง 


 


 


ประตูเมืองที่หนักอึ้งเปิดออกช้าๆ ทหารม้าต้ายงห้าร้อยนายหนึ่งกลุ่มบุกออกไปทันที ไล่ฆ่ากองทัพใหญ่ซีเหลียงที่ถอยทัพ ชั่วขณะก็ตะโกนฆ่าดังสนั่นลั่นฟ้า 


 


 


“คุณชาย กองทัพของพวกเราโจมตีกลับแล้ว” เสิ่นหู่โถวตะโกนด้วยความดีใจ 


 


 


เสิ่นเวยหรี่ตามองออกไป เห็นจำนวนคนในกองทัพโจมตีกลับกลุ่มนี้มีไม่เยอะนัก ดูท่าแล้วประมาณไม่กี่ร้อยคน นางก็กล่าวหนึ่งประโยค “ปิดเป็นความลับ” แต่ในใจก็เข้าใจได้ ในเวลาที่สถานการณ์ไม่ชัดเจนการระมัดระวังตัวเป็นแผนที่ดีที่สุด 


 


 


“ออกแรงเพิ่ม ฆ่าทหารซีเหลียงอีก” เสิ่นเวยชูดาบหมื่นโลหิต ร้องตะโกนเสียงดัง นำทัพเฆี่ยนม้าหันหลังกลับไล่ฆ่าทหารซีเหลียงที่วิ่งหนี 


 


 


ทหารซีเหลียงเห็นเทพสังหารผู้นี้หันหลังกลับมาไล่ฆ่า ก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน โยนอาวุธทิ้งหมดแล้ว วิ่งสุดแรงเกิด อยากให้พ่อแม่ให้ขาเพิ่มมาอีกสักสองขาจริงๆ 


 


 


แต่ขาคนจะวิ่งสู้ม้าศึกได้อย่างไร เสิ่นเวยนำคนบุกฆ่าพักหนึ่ง เหลือไว้แต่เพียงศพทหารซีเหลียงที่วิ่งเข้ามา 


 


 


“พอแล้ว ไม่ต้องไล่ต่อแล้ว” ไล่ออกไปเจ็ดแปดลี้แล้ว เสิ่นเวยก็ตะโกนเรียกให้หยุดอย่างเฉียบแหลม หากตามต่อไปอีกก็ยากจะเลี่ยงไม่ให้กองทัพซีเหลียงหมดทางถอยจนกล้าทำได้ทุกอย่าง 


 


 


กลุ่มเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นมองแผ่นหลังที่วิ่งหนีตาลีตาลานของทหารซีเหลียง ปรารถนาอยากสู้ต่อ เสมือนตรงหน้าวางหมูตุ๋นน้ำแดงหนึ่งถ้วยไว้แต่กินไม่ได้ 


 


 


“คุณชาย พวกเราไล่ตามอีกหน่อยเถอะ ไล่ฆ่าทหารซีเหลียงอีกหน่อย” มีคนเอ่ยปากร้องขอ คนที่เหลือก็พากันคล้อยตาม 


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับเมินเฉย ยกมือหยุดพวกเขา กล่าวอธิบาย “อย่าไล่ตามข้าศึกเดนตาย บีบบังคับจนหมดหนทางแล้ว อาจจะย้อนกลับมาแว้งกัด พวกเรายังต้องรีบกลับเมือง” 


 


 


เถาฮวากลับเชิดหน้าเล็กๆ “คุณชาย ข้ายังมีแรงยังใช้ไม่หมดเลย” นั่นหมายความว่าไม่กลัว ข้าสามารถตีพวกเขาตายหมดได้ ให้พวกเขาแว้งกัดคนไม่ได้อีก 


 


 


เสิ่นเวยดึงแขนเสื้อเช็ดโลหิตที่กระเด็นโดนหน้าเถาฮวา ยิ้มพลางกล่าว “รู้แล้วว่าเถาฮวาเก่ง แต่ว่าฟ้ามืดแล้ว เถาฮวาหิวแล้วไม่ใช่หรือ พวกเรากลับเมืองไปทานของอร่อยๆ ดีกว่า” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงของกินชั่วพริบตาเถาฮวาก็โยนเรื่องทหารซีเหลียงทิ้งไป กล่าวด้วยความดีใจ “อืม เถา 


 


 


ฮวาจะเชื่อฟังคุณชาย” เถาฮวาดฉลาด ตอนที่คุณหนูแต่งตัวเป็นผู้ชายก็เรียกคุณชาย ตอนที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงจึงเรียกคุณหนู นางไม่เคยเรียกพลาดแม้แต่ครั้งเดียว 


 


 


เสิ่นเวยขี่ม้ากลับเมือง เผอิญเจอกองทัพห้าร้อยนายกลุ่มนั้นพอดี ทั้งสองฝ่ายดึงบังเ**ยนหยุดม้าด้วยท่าทีระมัดระวังตัว 


 


 


“ผู้มาตรงหน้าเป็นใคร” ฝ่ายตรงข้ามมีคนตะโกนถาม 


 


 


เสิ่นเวยและคนอื่นๆ ไม่ทันได้ตอบ ก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง “น้องโอว 


 


 


หยางหรือ โอวหยางไน่! เจ้าเด็กนี่นี่เอง!” ผู้นำทัพไว้หนวดผู้นั้นมองโอวหยางไน่ด้วยสีหน้าดีใจ 


 


 


โอวหยางไน่เองก็ดีใจอย่างยิ่ง ยกมุมปาก เผยรอยยิ้มที่บางอย่างยิ่งออกมา “ต้าชวน ข้าเอง! นี่คือคุณชายสี่ของจวนข้า หลายชายแท้ๆ ของท่านโหว” โอวหยางไน่ชี้เสิ่นเวยแล้วกล่าวแนะนำ ทั้งยังชี้ชายไว้หนวดผู้นั้นแล้วกล่าว “คุณชาย นี่คือรองแม่ทัพหวังต้าชวน ทำศึกห้าวหาญที่สุด” 


 


 


เสิ่นเวยประสานมือคำนับหวังต้าชวนบนม้า หวังต้าชวนผู้นั้นคำนับกลับอย่างจริงจังทันที “คารวะคุณชายสี่ คุณชายสี่ไม่เสียชื่อที่เป็นหลานชายแท้ๆ ของท่านโหวจริงๆ” เขาเห็นจากยอดกำแพงหมดแล้ว คุณชายสี่วัยเยาว์ผู้นี้ร่ายรำดาบใหญ่ ทุกๆ แห่งที่ผ่านไปไม่ไว้ชีวิตแม้แต่คนเดียว เป็นเทพสังหารจริงๆ มิเสียชื่อบุรุษห้าวหาญแห่งจวนแม่ทัพ 


 


 


เมื่อมองคนอื่นๆ ไอสังหารแต่ละคนคุกรุ่น ราวกับออกมาจากบ่อโลหิต ไอหยา เหตุใดถึงมีเด็กน้อยด้วย ในมือเด็กน้อยคนนั้นกุมทวนเหล็กยาวๆ บนใบหน้ายิ้มแย้ม แปลกยิ่งนัก 


 


 


ทว่าท่าทีของหวังต้าชวนกลับยิ่งเคารพ เพราะว่าคุณชายนำคนไม่กี่สิบคนนี้มาแก้การปิดล้อมของกองทัพใหญ่ซีเหลียง เพียงแค่ความกล้าหาญนี้ก็ทำให้คนเลื่อมใสแล้ว 


 


 


“ไปเถอะ กลับเมือง” หวังต้าชวนเชิญเสิ่นเวยเดินไปข้างหน้าด้วยความเคารพ 


 


 


เสิ่นเวยเองก็ไม่เกรงใจ ขี่ม้านำหน้าออกไป เมืองชายแดนอยู่ตรงหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านปู่เป็นอย่างไรกันแน่ ในใจนางเป็นห่วง 


 


 


เข้าเมืองแล้ว ฟังต้าฉุยก็นำคนมาต้อนรับ เมื่อเขารู้ว่าเด็กหนุ่มผอมบางที่สร้างคุณูปการใหญ่หลวงผู้นี้ตรงหน้าคือหลานชายแท้ๆ ของท่านโหว ก็ตบบ่าเสิ่นเวยหัวเราะร่าอย่างดีใจ “ดี! ดี! ดี! คุณชายกล้าหาญจริงๆ!” ในใจเขาดีใจแทนท่านโหว ท่านโหวมีหลานชายที่มีอนาคตเช่นนี้ รุ่นหลังก็มีคนสืบทอดแล้ว 


 


 


“แม่ทัพฟังกล่าวเกินไปแล้ว ข้าน้อยยังห่างไกล” เสิ่นเวยกล่าวอย่างถ่อมตัว “เรียนถามแม่ทัพฟัง อาการบาดเจ็บท่านปู่ข้าเป็นอย่างไรบ้าง” เสิ่นเวยร้อนใจอยากรู้ 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงอาการบาดเจ็บของท่านเสิ่นโหว รอยยิ้มบนใบหน้าฟังต้าฉุยก็หายไป เขาถอนหายใจหนึ่งครา กล่าว “ท่านโหวฟื้นแล้ว แต่บนธนูนั้นมีพิษ ไม่มียาถอนพิษ หมอทหารทำได้เพียงใช้เข็มเงินสกัดพิษไว้ที่หน้าอก ตอนนี้ยังนอนอยู่บนเตียง อ่อนแอยิ่งนัก” 


 


 


เสิ่นเวยถอนหายใจอย่างผ่อนคลายทันที คนฟื้นก็ดีแล้ว ถูกพิษไม่ใช่เรื่องใหญ่ นางนำยาลูกกลอนที่ถอนสารพัดพิษมาด้วย แม้ว่าจะถอนได้ไม่หมด แต่ก็ช่วยได้ประมาณหนึ่ง หมอหลิ่วเองก็ใกล้ถึงแล้วเช่นกัน 


 


 


ขอเพียงแค่ท่านปู่ไม่เป็นอะไร จวนจงอู่โหวก็จะไม่ตกต่ำ นางยังสามารถใช้ชีวิตร่ำรวยของนางต่อไปได้อย่างสบายใจ 


 


 


“ข้าน้อยเป็นห่วงท่านปู่จริงๆ แม่ทัพฟังโปรดพาข้าน้อยไปพบท่านปู่ด้วยเถิด” เสิ่นเวยร้องขอ 


 


 


“เป็นเรื่องสมควร คุณชายสี่เชิญทางนี้” ฟังต้าฉุยกล่าวอย่างสบายๆ ตอนนี้ความประทับใจที่เขามีต่อเสิ่นเวยดีอย่างยิ่ง หากได้เป็นลูกตนเองก็คงจะดีไม่น้อย 


 


 


จุ๊ๆ หน้าตาก็ดีจริงๆ ผิวอ่อนเนื้อนุ่มราวกับสตรี แต่ฟังต้าฉุยกลับไม่กล้าดูถูกเลยแม้แต่นิดเดียว คุณชายสี่ผู้นี้ลงมือสังหารคนขึ้นมาแล้วหาญกล้าเพียงนั้น ไม่เห็นหรือว่าโอวหยางไน่เด็กทะนงตนผู้นี้ยังเคารพเลื่อมใสเขาเลย 


 


 


เมื่อเข้าไปในเรือนหน้าจวนโหว ฟังต้าฉุยก็ตะโกนเสียงดัง “ท่านโหว ท่านโหว ท่านดูสิว่าใครมา!” 


 


 


หลังจากนั้นเสิ่นเวยก็ได้ยินเสียงท่านปู่ของนาง “เจ้าไม่บัญชาการศึกอยู่บนกำแพงเมือง วิ่งมาหาข้าทำไม ใครมา” 


 


 


“อ้อ กองทัพซีเหลียงแพ้พ่ายถอยทัพ ผู้น้อยย่อมมีเวลาว่างมาเยี่ยมท่านได้อย่างไรเล่า” ฟังต้าฉุยก้าวยาวเข้ามาในห้อง กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสทั้งใบหน้า “ท่านโหว คุณชายสี่ตระกูลท่านมาแล้ว ท่านไม่เห็น คุณชายสี่เก่งกาจนัก ยิงธนูดอกเดียวล้มท่านอ๋องใหญ่ของซีเหลียงได้ นำคนไม่กี่สิบคนไล่ฆ่ากองทัพใหญ่ซีเหลียงจนนองเลือด กองทัพซีเหลียงเห็นว่าแม้แต่ท่านอ๋องใหญ่ของพวกเขายังถูกยิง จึงแตกทัพหนีไปทันที” 


 


 


ฟังต้าฉุยสาธยายชื่นชมเสิ่นเวยไม่จบไม่สิ้น 


 


 


“ท่านปู่” เสิ่นเวยเองก็เข้ามาในห้องแล้ว เห็นปู่นางพิงหัวเตียงอยู่ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก 


 


 


ท่านเสิ่นโหวเห็นหลานสาวที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัวก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ทันใดนั้นก็ยิ้ม “เจ้าสี่มาแล้ว!” ประโยคต่อไปก็ถาม “เสบียงเล่า” 


 


 


ความเศร้าเล็กๆ ที่เพิ่งจะก่อตัวของเสิ่นเวยหายวับไปทันที นางกระตุกมุมปาก กล่าว “ยังตามมาไม่ถึง ข้ากลัวว่าพวกเขาจะมาช้าจึงนำคนกลุ่มเล็กขี่ม้าเร็วมาถึงก่อน” นางหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงตั้งใจกล่าว “โชคดีที่ข้ามาก่อน มิเช่นนั้นเมืองชายแดนครั้งนี้คงตกอยู่ในอันตราย ท่านปู่ ฟังว่าท่านถูกพิษ ข้านำยาลูกกลอนถอนพิษมาด้วย ท่านลองทานสักเม็ดดีหรือไม่” เสิ่นเวยหยิบยาลูกกลอนถอนพิษออกมา ยื่นให้คนที่มีลักษณะเหมือนหมอทหารข้างๆ 

 

 

 


ตอนที่ 158.1

 

ท่านไม่กลัวใบหน้าดวงน้อยที่งดงามของข้าเสียโฉมหรือ

ฟังต้าฉุยได้ยินคำว่าเสบียงสองคำนี้ก็อดใจไม่ไหว ถามแทรก “เรียนถามคุณชายสี่นำเสบียงมาเท่าไรหรือขอรับ” ตอนนี้สิ่งที่เมืองชายแดนขาดแคลนมากที่สุดก็คือเสบียง ไม่อาจให้ทหารท้องว่างไปรบได้


 


 


“สามหมื่นต้าน แบ่งเป็นสองกลุ่ม” เสิ่นเวยกล่าว นางเห็นฟังต้าฉุยถูมืออย่างดีใจ ก็กล่าวเตือนอย่างอดไม่ได้ “แม่ทัพฟังอย่าเพิ่งรีบดีใจไป เสบียงยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ห้าวันกว่าจะถึง” ไม่ใช่มีสำนวนที่ว่า ‘ความช่วยเหลือช้าเกินกว่าจะเร่งรัด’ หรือ ลึกๆ แล้วเสิ่นเวยก็คิดเช่นนั้น


 


 


ฟังต้าฉุยยังคงดีใจอย่างยิ่ง “ขอเพียงแค่มีก็ดีแล้ว” มีความหวังขวัญกำลังทหารจึงจะไม่สูญหาย


 


 


หมอทหารหยิบยาลูกกลอนถอนพิษมาดมใต้จมูก ใช้เล็บขูดผงจำนวนหนึ่งออกมาแตะชิมในปาก จากนั้นจึงพยักหน้าเทน้ำดื่มให้ท่านเสิ่นโหวกินยา


 


 


“คุณชายสี่ ท่านมียาลูกกลอนถอนพิษได้อย่างไร” หมอทหารเอ่ยปากอย่างเกรงใจเล็กน้อย


 


 


“ทำไมหรือ ยาลูกกลอนนี้ใช้ได้ผลหรือไม่” เสิ่นเวยไม่แน่ใจเจตนาของหมอทหารในชั่วขณะ


 


 


“ใช้ได้ๆ แม้จะบอกว่าไม่ใช่ยาต้นตำรับ แต่ก็สามารถรักษาได้สารพัดอย่าง” เอ่ยถึงสรรพคุณยาดวงตาทั้งคู่ของหมอทหารก็ลุกวาว “ผู้ชราคิดว่าหากคุณชายสี่ยังมียาลูกกลอนถอนพิษชนิดนี้ติดตัวอยู่ ก็ขอผู้ชราสักเม็ด ผู้ชราไม่มีความสนใจอื่นๆ นอกจากจะหลงใหลอยู่กับเรื่องยาและการรักษา” สีหน้าเขามีความเกรงใจหลายส่วน


 


 


เสิ่นเวยยังคิดว่าเขาเป็นอะไร ที่แท้แล้วก็อยากศึกษา เสิ่นเวยใจกว้างอย่างยิ่ง ยื่นขวดเล็กให้เขาทั้งขวด “ข้าว่า หมอทหารไม่ต้องเปลืองแรงเช่นนั้นก็ได้ ยาลูกกลอนถอนพิษนี้เป็นหมอหลิ่วของข้าปรุงขึ้นเอง เขากำลังตามมา อีกไม่กี่วันก็จะถึงเมืองชายแดนแล้ว ถึงตอนนั้นหมอทหารก็เรียนรู้จากเขาโดยตรงก็ได้”


 


 


“จริงหรือ! เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก” หมอทหารเดินวนรอบห้องด้วยความตื่นเต้น


 


 


“คุณชายสี่ ท่านมาแล้ว” อาจารย์ผังยังไม่ทันเห็นตัวก็ได้ยินเสียงเขาแล้ว


 


 


เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา คนที่ไม่รู้ยังคิดว่าอาจารย์ผังคิดถึงนางมากล่ะสิ อันที่จริงคิดถึงเสบียงของนางบวกกับเรียกนางมาเป็นแรงงานต่างหาก


 


 


“เอ๋ นี่อาจารย์ผังไม่ใช่หรือ ไม่เจอกันนานท่านซีดเซียวจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ดูท่านผอมสิ เสื้อผ้าหลวมหมดแล้ว” อาจารย์ผังที่เป็นถึงกุนซือผู้ช่วยในกองบัญชาการอันดับหนึ่งข้างกายท่านปู่ย่อมห่างไปไหนไม่ได้ ไม่แน่ว่าคนที่ออกความคิดโง่เขลาให้นางมาเป็นแรงงานที่เมืองชายแดนก็คือเขาที่เสนอความคิดเห็นกับท่านปู่


 


 


อาจารย์ผังทำเหมือนไม่ได้ยินคำเสียดสีของเสิ่นเวย ระบายความทุกข์ตรมในใจ “ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่ที่พวกอันธพาลซีเหลียงโจมตีเมือง ผู้ชราก็ไม่ได้นอนหลับดีสักคืน ซ้ำท่านโหวยังได้รับบาดเจ็บอีก การปกครองเมืองทั้งเมืองก็ตกอยู่ที่ผู้ชรา ผู้ชราลำบากยิ่งนัก!” สีหน้าท่าทางนั้นคับแค้นใจอย่างยิ่ง


 


 


เสิ่นเวยพูดจาอ้อมไปอ้อมมากับเขา “ใครให้อาจารย์ผังเก่งเล่า คนเก่งก็ย่อมเหนื่อยมาก”


 


 


อาจารย์ผังสำลัก เดิมเขาตัดสินใจจะให้เจ้าหนูน้อยคนนี้ช่วยแบ่งเบาภาระสักหน่อย แต่เจ้าหนูน้อยคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว ไม่รับคำคล้อยตามเลย เขานึกถึงกองหนังสือราชการในแต่ละวัน ไม่ได้ ต่อให้เสียหน้าก็ต้องเอาเจ้าหนูน้อยคนนี้มาช่วยให้ได้


 


 


อาจารย์ผังยังคงพูดต่อ ท่านเสิ่นโหวทนดูไม่ได้แล้วจึงตัดบทเขา “พอแล้วเหล่าผัง เจ้าสี่ไม่หนีไปไหนหรอก เจ้าร้อนใจไปไย รีบพาเขาไปล้างเนื้อล้างตัว กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั้งตัว ช่างเหม็นนัก”


 


 


เสิ่นเวยถลึงตามองท่านปู่นางอย่างโหดเ**้ยมปราดหนึ่ง ได้ผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่งยังไม่เร็วเท่านี้เลย ตอนที่ต้องการเสบียงจากนางเหตุใดถึงไม่รังเกียจที่นางเหม็นเลยเล่า คิดไว้แล้วว่าพอได้เสบียงแล้วก็จะผลักไสนางทันที เหอะ เกินไปแล้ว


 


 


แต่ว่าเสื้อผ้าที่สวมอยู่ตอนนี้ก็ไม่ค่อยสบายจริงๆ นางไม่หารือกับท่านปู่แล้ว ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนดีกว่า สำหรับคนเหล่านั้นที่นางพามา มีโอวหยางไน่อยู่ ย่อมไม่จำเป็นต้องให้นางเป็นห่วง


 


 


อาบน้ำอุ่นแล้ว ชั่วขณะก็สบายอารมณ์ขึ้นแล้ว เห็นเสิ่นอันฉงทหารอาวุโสคนสนิทของท่านปู่เร่งรีบเข้ามา “คุณชายสี่ จะทานอาหารเย็นหรือไม่ขอรับ”


 


 


กิจกรรมในวันนี้มากเพียงนั้น เสิ่นเวยหิวจริงๆ นางคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ท่านอาอันฉง เอาไปวางไว้ในห้องท่านปู่เลย ข้าจะไปคุยเป็นเพื่อนท่านปู่”


 


 


ข้าวเย็นไม่มีอะไรสมบูรณ์ทั้งสิ้น กระทั่งยังเรียกได้ว่าเรียบง่าย ผัดผักกาดขาวหนึ่งจาน หัวไชเท้าแห้งหนึ่งจาน ยังมีกับข้าวที่มีเนื้อสัตว์อีกหนึ่งจาน น่าเสียดายที่ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเศษเนื้อที่ทั้งแห้งทั้งรสฝาด แกงผักป่าหนึ่งถ้วย บวกกับข้าวสวยหนึ่งถ้วย แน่นอนว่าไม่ใช่ข้าวคุณภาพดี


 


 


เสิ่นเวยกินไปพลางเสียดสีไปพลาง “จุ๊ๆ ท่านปู่ อย่างไรเสียท่านก็เป็นท่านโหว ขุนนางที่สูงที่สุดในเมืองชายแดนซีเจียง ท่านให้หลานสาวท่านกินอาหารเช่นนี้หรือ” เอ่ยพร้อมใบหน้าดูถูก


 


 


ท่านเสิ่นโหวโมโหจนถลึงตาโต “รังเกียจมากเจ้าก็อย่ากิน เจ้าคิดว่าเมืองชายแดนเหมือนเมืองหลวงหรือไร ปู่เจ้ายังกินข้าวสวยทุกวันไม่ได้เลย เจ้ายังจะรังเกียจ!” อาหารมื้อนี้ใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดในจวนโหวเมืองชายแดนแล้ว เด็กคนนี้ยังมีหน้ามารังเกียจอีก ยั่วโมโหข้าดีจริงๆ


 


 


เสิ่นเวยกลอกตา เอ่ยต่ออย่างเฉยเมย “ไม่ว่าอย่างไรท่านปู่ก็เป็นท่านโหว ต่อสู้มาทั้งชีวิต การมองการณ์ไกลของท่านเล่า การวางแผนของท่านเล่า ไม่ใช่ข้าจะว่าท่าน แต่กระต่ายเจ้าเล่ห์ยังรู้จักเตรียมรังซ่อนตัวไว้หลายรัง ท่านกุมกองทัพใหญ่แปดหมื่นนายของเมืองชายแดนซีเจียง เสบียงถูกทหารเดนตายซีเหลียงเผาแล้วยังบอกว่าไม่ทันตั้งตัว เหตุใดท่านถึงไม่สร้างยุ้งฉางข้าวลับไว้หลายๆ แห่งเล่า ประชาชนถือเรื่องอาหารเป็นสิ่งสำคัญ กองทัพก็ยิ่งถือเรื่องอาหารเป็นสิ่งสำคัญ ดูสิว่าตอนนี้ยับเยินเพียงใด ท่านโหวผู้ยิ่งใหญ่กินไม่ได้แม้แต่ข้าวเปล่า จุ๊ๆ ลือออกไปคงขายหน้าตาย! หากไม่ใช่ว่าท่านมีหลานสาวที่เก่งเช่นข้า หวังจะพึ่งแต่เสบียงแค่นั้นของราชสำนัก หึ ท่านน่ะ คงต้องรอจนตายในหน้าที่”


 


 


ย่ำยีท่านปู่เสร็จแล้ว เสิ่นเวยก็ไม่ลืมที่จะชมตัวเอง “ท่านปู่ หลานพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อมาส่งเสบียงให้ท่าน สามหมื่นต้าน ท่านลองคำนวณสิว่าเป็นเงินมากเพียงใด ข้าทำเพราะจงรักภักดีต่อท่าน จวนโหวเมืองชายแดนของท่านยังมีเงินทองของล้ำค่าอะไรก็อยากลืมแบ่งให้ข้าบ้าง มิเช่นนั้นข้าไม่มีสินเดิมแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องก็คงจะดูไม่ดี ท่านเองก็จะเสียหน้าไม่ใช่หรือ…


 


 


…ท่านปู่ ครั้งนี้ข้าออกแรงเยอะยิ่งนัก ท่านต้องรักษาคำพูด อนาคตของน้องเจวี๋ยท่านต้องเอาใจใส่ พ่อข้าท่านก็รู้ พวกเราคาดหวังไม่ได้ ไม่ใช่ว่าหลานโอ้อวด แต่น้องเจวี๋ยไม่เลวเลยจริงๆ ท่านรอดูเถอะ ในรุ่นนี้เขาจะต้องมีอนาคตที่สุด”


 


 


“เจ้ามั่นใจเพียงนี้เลยหรือ” ท่านเสิ่นโหวกล่าว


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว” เสิ่นเวยคุยโวอย่างไม่เขินอาย “ไม่เห็นหรือว่าใครสอนมา เด็กคนนั้นเป็นลูกหมาป่า อย่าเห็นว่าเมื่อก่อนเขาเป็นอันธพาล ตอนนี้ผ่านการขัดเกลาด้วยฝีมือของหลานแล้ว รู้จักวางแผนในใจ ข้าคิดแล้วว่า พ่อข้าใช้ไม่ได้ หูเบาซ้ำยังห่วงศักดิ์ศรี แม่ข้าก็ไม่ได้ แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงนั้นยังพาตัวเองไปตายได้ ความฉลาดและความเก่งของข้ากับน้องเจวี๋ยจะต้องได้รับการถ่ายทอดข้ามรุ่นแน่นอน สืบทอดสายเลือดอันดีจากท่านและท่านตา” ขณะที่เสิ่นเวยชื่นชมตัวเองก็ยังไม่ลืมที่จะประจบท่านปู่ของนางด้วย


 


 


ท่านเสิ่นโหวหัวเราะเยาะ “เด็กน้อย พูดมาเถอะ เจ้าต้องการอะไร”


 


 


สายตาเสิ่นเวยสั่นไหว กล่าวเสียงประหลาด “ท่านปู่ดูถูกหลานแล้ว ข้าจะต้องการอะไรได้ ท่านวางใจเถอะ ท่านซื่อจื่อจวนจงอู่โหวคือท่านลุงใหญ่ ในภายหน้าก็เป็นพี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ปรารถนาแม้แต่นิดเดียว บุรุษที่ดีไม่เกาะพ่อแม่กิน มีความสามารถก็ไปแย่งชิงกับผู้อื่นข้างนอก ยื้อแย่งกันในครอบครัวตัวเอง ต่อให้ชนะแล้วจะมีประโยชน์อะไร หากน้องเจวี๋ยโตกว่านี้สักสองปี ข้าจะพาเขามาให้เห็นเลือดที่เมืองชายแดน ลูกผู้ชายต้องล้มต้องสู้จึงจะเติบโต แม้แต่เลือดยังไม่เคยเห็นแล้วจะเป็นบุรุษห้าวหาญได้อย่างไร คนที่โตมาในกองเงินกองทองล้วนแต่เป็นคนไร้ประโยชน์ น่าเสียดายที่น้องเจวี๋ยเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดปี เด็กเกินไป” สีหน้าเสิ่นเวยเสียดาย


 


 


ท่านเสิ่นโหวแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า ใช่แล้ว เลี้ยงลูกเหมือนแกะไม่สู้เลี้ยงลูกเหมือนหมาป่า หาได้ยากที่เด็กอายุน้อยเช่นเจ้าสี่จะเข้าใจเหตุผลนี้ได้ ตอนนี้เขาตั้งตารอคอยเจวี๋ยเอ๋อร์เติบโตอย่างยิ่ง


 


 


คิดครู่หนึ่งเสิ่นเวยก็กล่าวต่อ “ท่านปูใจร้ายจริงๆ เด็กสาวเช่นข้า ท่านยืนกรานจะให้ข้าลงสนามรบ จับอาวุธฆ่าคน ท่านไม่กลัวใบหน้าดวงน้อยที่งดงามของข้าเสียโฉมหรือ ถึงตอนนี้คุณชายใหญ่สวีคืนข้าให้ท่านจะทำอย่างไร แต่ใครให้ท่านปู่โชคดีเล่า หลานทั้งเก่งทั้งกตัญญู ตอนนี้ท่านเองก็อายุมาแล้ว อยากได้ทรัพย์สินเงินทองไปก็ไม่มีประโยชน์ เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นของท่านก็อย่าลืมแบ่งให้หลานเยอะๆ หน่อย” เสิ่นเวยทวงรางวัลอย่างไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่นิดเดียว


 


 


ท่านเสิ่นโหวได้ยินประโยคครึ่งแรกยังรู้สึกผิดเล็กน้อยจริงๆ ลูกชายหลานชายเต็มจวนแต่กลับต้องให้หลานสาวคนนี้ลงสนามรบ เมื่อได้ยินประโยคครึ่งหลัง ความรู้สึกผิดของเขาก็หายเกลี้ยงทันที บุตรสาวตระกูลอื่นต่างก็เห็นเงินทองเป็นสิ่งไร้ค่า แต่หลานสาวคนนี้ของเขา งกเงินเป็นอย่างยิ่ง วันทั้งวันเอาแต่พล่ามเรื่องเงินกับเขา


 


 


“ไหนบอกว่าจะไม่แต่งงานมิใช่หรือ คุณชายใหญ่สวีดีเช่นนั้นเลยหรือ” ท่านเสิ่นโหวกล่าวอย่างสนใจ


 


 


“สมรสพระราชทานปฏิเสธได้ด้วยหรือ คุณชายใหญ่สวีดีไม่ดียังไม่รู้ แต่เขาหน้าตาดี อย่างน้อยอยู่กับเขาแล้วข้าก็ยังมีความปรารถนาที่จะอยู่ต่อไปได้” เสิ่นเวยแกว่งขาเล็กๆ กล่าวอย่างไม่สนใจ หลังจากนั้นก็เสริมหนึ่งประโยคเงียบๆ ในใจ หากอยู่ไม่ได้จริงๆ ฆ่าเขาให้ตายก็ได้แล้วมิใช่หรือ


 


 


สวีโย่วที่กำลังเดินทางมาซีเจียงจามอย่างแรงหลายครั้ง เขาลูบจมูกแล้วคิด ใครคิดถึงข้า คงไม่ใช่คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นเด็กใจดำคนนั้นหรอกนะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)