กระบี่จงมา 154.1-154.2
บทที่ 154.1 อาจารย์เฒ่านั่งลงถกปัญหา
โดย
ProjectZyphon
ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าเดินออกมาจากภาพวาดภูเขาและแม่น้ำอีกครั้งก็เห็นว่าเด็กหนุ่มชุยฉานยังคงแกล้งนอนตายอยู่บนพื้น จึงแค่นเสียงหยัน “ไม่ได้เรื่อง”
ชุยฉานจ้องเป๋งไปยังม่านฟ้า “มีชีวิตอยู่โดยไม่มีความหวัง ตายเสียยังดีกว่า”
ซิ่วไฉเฒ่าเดินเข้าไปใกล้และเตะหนึ่งที “เลิกแสร้งทำตัวน่าสงสารสักที ไม่อยากรู้หรือว่าทำไมเสี่ยวฉีแค่ทำให้ขอบเขตของเจ้าถดถอย ไม่ได้ถอนรากถอนโคนเพื่อความสะใจ?”
สายตาของชุยฉานเลื่อนลอย พูดพึมพำ “ตอนนั้นเจ้าถูกไล่ออกจากศาลเจ้าบุ๋น ฉีจิ้งชุนไม่เพียงแต่ไม่เดือดร้อนไปกับเจ้า ขอบเขตกลับยังเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง เดิมทีนี่ก็อธิบายให้เห็นถึงปัญหามากมาย เขาฉีจิ้งชุนมีคุณสมบัติจะก่อตั้งสำนักของตัวเองนานแล้ว แม้ภายนอกจะดูกลมเกลียวกับสายของเหวินเซิ่งอย่างเจ้า แต่ความจริงกลับไม่ใช่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีคุณสมบัติให้สังหารข้า จึงหวังให้เจ้าเป็นคนมาจัดการข้าเอง”
ซิ่วไฉเฒ่าโมโหความไม่เอาไหนของอีกฝ่ายจึงเตะไปอีกที “ใช้จิตใจของคนถ่อยมาวัดใจวิญญูชน ประโยคนี้ก็พูดถึงคนอย่างเจ้านี่แหละ! ข้าจะนับถึงสาม หากยังไม่ลุกขึ้น เจ้าก็นอนรอความตายอยู่อย่างนี้ไปเถอะ อย่าได้คาดหวังกับมหามรรคาอีกเลย สาม! สอง! สอง สอง…”
ชุยฉานตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ลุกขึ้น
ทำเอาซิ่วไฉเฒ่าประดักประเดิดยิ่งนัก ได้แต่หันขยิบตาให้เฉินผิงอันมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วจึงรับกระบี่ไม้ไหวมาจากมือของหลี่เป่าผิง ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า พอหยุดยืนอยู่ข้างกายชุยฉานแล้วก็พูดคำว่า “หนึ่ง” ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ครั้นจึงแทงกระบี่ลงไปที่ลำคอของเด็กหนุ่มชุดขาว
กำลังมือหนักหน่วง ปลายกระบี่พุ่งสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ แม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็อาจสัมผัสไม่ได้ว่า หลังจากที่เข้าใจถึงหลักของจิตใจที่มั่นคงจากในม้วนภาพแล้ว ในที่สุดมือทั้งสองข้างก็ตามทันความคิดของเฉินผิงอัน ดังนั้นกระบี่นี้ของเขาจึงแทงได้อย่างเหนือสามัญ กลับยิ่งเฉียบคมเผ็ดร้อน เปี่ยมไปด้วยปราณสังหาร
ทำเอาชุยฉานตกใจจนรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา
เฉินผิงอันเก็บกระบี่ พยักหน้าให้ซิ่วไฉเฒ่า ความหมายก็คือไฟลนขนคิ้วของท่านผู้เฒ่าดับลงแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ มองเฉินผิงอันและสตรีชุดขาวที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “หาสถานที่เหมาะๆ มาพูดคุยกันหน่อย”
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็หันไปถลึงตาใส่ชุยฉาน “ตามมา! เกี่ยวข้องกับโอกาสบนมหามรรคาของเจ้า หากยังแสร้งทำเป็นไขสือจะให้เฉินผิงอันใช้กระบี่ฟันเจ้าให้ตายไปเสีย”
คนทั้งกลุ่มเดินเข้าไปในลานบ้าน ซิ่วไฉเฒ่าหันมองรอบด้าน ปรายตามอง “ม่านฟ้าเล็ก” ที่กางออกจากใบบัวสีขาวหิมะใบนั้นแวบหนึ่ง ใช้นิ้วทำมุทรา ลังเลอยู่ชั่วครู่ “เข้าไปคุยกันในห้องดีกว่า เฉินผิงอัน มีสถานที่เหมาะๆ บ้างไหม เอาแค่พูดคุยกันได้ก็พอ จะมีหรือไม่มีโต๊ะเก้าอี้ก็ไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันมองไปยังห้องหลังของหลินโส่วอีที่ดับไฟลงแล้ว อาจเพราะหลินโส่วอีฝึกตนอยู่ในศาลามานานเกินไป ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยเหนื่อยล้าจึงพักผ่อนแล้ว เขาจึงต้องยอมถอดใจไม่ใช้ห้องใหญ่ที่สุดห้องนี้ หันไปพยักหน้าให้ผู้เฒ่า “ไปที่ห้องของข้าก็แล้วกัน มีแค่หลี่ไหวคนเดียวที่นอนหลับ หากเสียงดังจนเขาตื่นก็ไม่มีปัญหา หลินโส่วอีเป็นผู้ฝึกตนน่าจะมีข้อห้ามมากกว่า พวกเราอย่าไปรบกวนเขาเลย”
วิญญาณกระบี่นั่งลงบนเก้าอี้หินในลาน เอ่ยยิ้มๆ “พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้”
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่า เฉินผิงอัน เด็กหนุ่มชุยฉาน หลี่เป่าผิงก็แยกกันนั่งบนม้านั่งสี่ตัวล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง หลี่ไหวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาเป็นเด็กที่นอนได้ไม่นิ่งนัก ตอนนี้จึงนอนพาดเตียงแนวขวาง หัวห้อยออกมานอนขอบเตียง แต่ก็ยังหลับสนิทดี
เฉินผิงอันช่วยจัดร่างเขานอนตรงๆ อย่างคนคุ้นชิน เขาสอดเท้าของหลี่ไหวไว้ในผ้าห่ม เหน็บชายผ้าห่มฝั่งแขนซ้ายขวาและปลายเท้าเบาๆ เพื่อไม่ให้ไอร้อนไหลหายไปจากในผืนผ้า สุดท้ายหลี่ไหวจึงเหมือนบ๊ะจ่างที่ถูกห่อ
เฉินผิงอันทำเรื่องที่สมเหตุสมผลเหล่านี้เสร็จก็กลับมานั่งบนโต๊ะ หลี่เป่าผิงถามเขาเบาๆ “อาจารย์อาน้อย ทุกคืนท่านต้องช่วยห่มผ้าให้ข้าแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?”
เฉินผิงอันตอบยิ้ม “เจ้าไม่ต้อง เจ้านอนได้นิ่งกว่าหลี่ไหวเยอะเลย หัวถึงหมอนก็หลับ พอหลับแล้วก็สามารถนอนอยู่ท่าเดิมไม่กระดุกกระดิกได้ถึงเช้า”
หลี่เป่าผิงทอดถอนใจ ใช้กำปั้นทุบฝ่ามือ กล่าวน้ำเสียงเสียดาย “หากรู้แต่แรกตอนเด็กๆ คงไม่ฝึกนอนดี ต้องโทษพี่ชายใหญ่ของข้านั่นแหละที่โกหกข้าว่าถ้านอนนิ่งจะฝันดี”
เฉินผิงอันยิ้ม “วันหน้าหากกลับไปถึงบ้านเกิดแล้วข้าต้องขอบคุณพี่ชายใหญ่ของเจ้าสักหน่อยแล้ว”
ตลอดทางมานี้ คนในครอบครัวที่หลี่เป่าผิงพูดถึงบ่อยที่สุดก็คือพี่ชายใหญ่คนนี้ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีความประทับใจที่ดีมากต่อบัณฑิตซึ่งชอบซ่อนตัวอยู่ในห้องหนังสือผู้นี้
ซิ่วไฉเฒ่ามองแม่นางน้อย ยิ้มถาม “พี่ชายใหญ่ของเจ้าใช่หลี่ซีเซิ่งที่อยู่บนถนนฝูลวี่หรือไม่?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ ถามอย่างกังขา “ทำไมหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะเฮอๆ “ชื่อนี้ตั้งได้ยิ่งใหญ่ไปหน่อย”
ตอนที่ฟังมาถึงตรงนี้ ชุยฉานอดกลอกตามองสูงไม่ได้
หลี่เป่าผิงค่อนข้างเป็นกังวล “ชื่อมีความหมายยิ่งใหญ่เกินไปเลยไม่ดีงั้นหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งอารมณ์ดี ส่ายหน้าตอบ “ตั้งไว้ยิ่งใหญ่ ขอแค่สยบไว้ได้ ย่อมเป็นเรื่องดี”
หลี่เป่าผิงคือแม่นางน้อยที่ชอบเสียเวลาครุ่นคิดถึงปัญหาที่ไม่มีความหมายมากที่สุด “ท่านผู้เฒ่า แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าสยบไว้ได้ล่ะ?”
ชุยฉานกลอกตาอีกรอบ จบเห่แล้ว คราวนี้ก็สมใจเขาพอดี ตาเฒ่าที่เป็นถึงอาจารย์ต้องเริ่มถ่ายทอดความรู้ ไขข้อข้องใจให้อีกฝ่ายเป็นแน่
แล้วก็จริงดังคาด ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้าน เมื่อไม่เห็นของขบเคี้ยวที่กินเล่นได้ก็เสียดายเล็กน้อย ก่อนพูดเนิบนาบ “สันดานบริสุทธิ์เมตตา ความรู้ลึกล้ำ คุณธรรมสูงส่ง เดินทางหมื่นลี้ก็คือสยบไว้ได้”
แม่นางน้อยวางตราประทับลงบนโต๊ะก่อน ขยับตัวดุกดิกสลัดรองเท้าสานคู่น้อย ยกขานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ สองแขนกอดอก พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “แต่พี่ชายใหญ่ของข้าไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึงนี่นา ไม่อย่างนั้นข้าควรจะส่งจดหมายกลับบ้านแล้วบอกให้เขาเปลี่ยนชื่อดีไหม?”
ชุยฉานจำต้องออกเสียงเอ่ยเตือน “ตาเฒ่า พวกเรามาคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันดีไหม? มหามรรคา มหามรรคา!”
หลี่เป่าผิงหยิบตราประทับขึ้นมาเงียบๆ หันตัวอักษรสี่คำที่อยู่ตรงก้นตราประทับเข้าหาตัวแล้วเป่าลมใส่ลงไป
ชุยฉานหุบปากฉับทันใด
ต่อให้ตบะของผู้เฒ่าจะสูงส่งเทียมฟ้า แต่ก็เป็นคนชอบอธิบายหลักการเหตุผล หน้าด้านหน้าทนก็ทำได้ดี
ทว่าเด็กสองคนที่ฉีจิ้งชุนหมายตาอย่างเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงนี้ คนหนึ่งคือเด็กบ้านนอกที่ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน อีกคนเรียนหนังสือแต่ก็ออกนอกลู่นอกทางไปไกลสิบหมื่นแปดพันลี้ ตอนนี้เขาชุยฉานคือมังกรเกยน้ำตื่นที่ถูกมองเป็นปลา สำหรับหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่คู่นี้ ต่อให้เขาชุยฉานจะเก่งกล้าห้าวหาญแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากจะถูกทุบตีและได้รับความอัปยศแล้วก็ไม่มีผลลัพธ์อย่างอื่นอีก ยิ่งแข็งขืนก็ยิ่งถูกเล่นงานมากเท่านั้น
ซิ่วไฉเฒ่าเสกเหล้ามากาหนึ่ง เงยหน้าจิบคำเล็กๆ ปรายตามองตราประทับที่แม่นางน้อยวางกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้งด้วยความรู้สึกเศร้าใจ
อันที่จริงคืนนี้ชุยฉานก็รู้สึกแปลกใจมาก แม้ว่าเมื่อก่อนตาเฒ่าจะมีช่วงเวลาที่เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงอยู่บ้าง แต่เวลาส่วนใหญ่ก็มักจะวางตัวเป็นคนแก่คร่ำครึเข้มงวด นั่งอยู่ตรงไหนก็เหมือนเทวรูปร่างทองที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ความรู้ของเขาได้รับความเลื่อมใสจากผู้คนในราชสำนักมากที่สุด ทุกครั้งที่ตาเฒ่าเริ่มถ่ายทอดความรู้ ไขข้อข้องใจ “นักเรียน” ที่นั่งอยู่เบื้องหลัง เงี่ยหูตั้งใจฟัง เคยมีน้อยกว่าพันคนหรือ? จักรพรรดิ อัครเสนาบดี เทพเซียนบนภูเขา นักปราชญ์ วิญญูชน ผู้คนมากมายหลากหลายฐานะ แม้แต่ชุยฉานที่ทรยศต่ออาจารย์ก็ยังไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตาเฒ่าในเวลานั้นเจิดจรัสสะดุดตา ดั่งดวงตะวันจันทราที่ลอยอยู่กลางนภา ส่องประกายแสงสว่างจ้าไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน สยบให้ทางช้างเผือกทั้งเส้นหม่นหมองได้อย่างแท้จริง
ทว่าตอนนี้กลับเตะเขาสองครั้ง พอพูดว่าจะเอ่ยถึงมหามรรคากลับยังดื่มเหล้าด้วย?
ดูเหมือนชุยฉานไม่สนใจ แต่อารมณ์กลับหนักอึ้ง
จะว่าไปแล้วความรู้สึกที่ชุยฉานมีต่อตาเฒ่าที่นั่งอยู่ข้างกายนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง ทั้งเลื่อมใจทั้งเคียดแค้น ทั้งหวาดกลัวทั้งรำลึกถึง เขาชุยฉานที่ในอดีตเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง ไหนเลยจะไม่เคยรู้สึกโมโหที่อีกฝ่ายไม่เอาไหน ไม่เสียใจกับความโชคร้ายที่อาจารย์ของตนต้องเผชิญ?
บนเตียง หลี่ไหวงึมงำละเมอ “อาเหลียง อาเหลียง ข้าจะกินเนื้อ! อาเหลียงผีขี้งก ให้ข้าดื่มเหล้าในน้ำเต้าน้อยสักอึกสิ…”
หลี่เป่าผิงดวงตาเป็นประกาย เรื่องน่าอายนี้ของหลี่ไหวสามารถเอามาเป็นหัวข้อพูดคุยหลังมื้ออาหารได้หลายวันเลยทีเดียว
ชุยฉานที่ได้ยินชื่ออาเหลียงก็ปรายตามองผู้เฒ่าแวบหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่ากระแอมไอ กวาดตามองคนทั้งสามที่นั่งอยู่ “เอาล่ะ เข้าเรื่องกันได้แล้ว เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง พวกเจ้าน่าจะรู้แล้วว่าข้าก็คืออาจารย์ของฉีจิ้งชุน ส่วนชุยฉานก็เคยเป็นศิษย์คนแรกของข้า ศิษย์พี่ใหญ่ของฉีจิ้งชุน ตอนนั้นเพราะข้ามัวแต่รวบรวมความรู้ ดังนั้นการเล่าเรียน การเล่นหมากล้อม ฯลฯ ของฉีจิ้งชุนก็ล้วนเป็นชุยฉานลูกศิษย์คนแรกที่ช่วยสั่งสอนถ่ายทอดแทนอาจารย์อย่างข้า สุดท้ายชุยฉานทรยศต่อสำนัก ทำเรื่องราวมากมายที่เป็นการหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ เป็นเหตุให้ฉีจิ้งชุนต้องตายอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ชุยฉานถือเป็นคนเล่นหมากล้อมที่คำนวณสถานการณ์บนกระดานหมากไว้เรียบร้อยแล้ว หากจะบอกว่าเขาชุยฉานคือฆาตกรที่สังหารฉีจิ้งชุนศิษย์น้องของเขาก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย หม่าจานในฐานะหนึ่งในลูกศิษย์ที่ข้าจำชื่อได้ก็เป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าหม่าจานไม่ใช่คนที่เล่นหมากล้อม แต่เขาคือนักเล่นธรรมดาที่สำคัญมากในกระดานหมากของผู้บงการเบื้องหลัง ก่อนหน้าที่ข้าจะไปถึงเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดของพวกเจ้า เรือนกายนี้เป็นเพียงแค่สถานที่ที่ชุยฉานฝากจิตให้พักพิงเท่านั้น ชุยฉานที่แท้จริงคือราชครูของราชวงศ์ต้าหลีพวกเจ้า คือตาแก่คนหนึ่งที่มองดูแล้วอายุแทบไม่ต่างจากข้า”
ใบหน้าของหลี่เป่าผิงเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น โกรธจนตาแดงก่ำ จ้องชุยฉานเขม็ง
กลับเป็นเฉินผิงอันที่ทำให้ชุยฉานหวาดผวายิ่งกว่า เพราะเขาหลุบสายตาลงต่ำ มองเห็นสีหน้าไม่ชัด
หมาที่กัดคนมักจะไม่เห่า
ชุยฉานรู้นิสัยของเฉินผิงอันเป็นอย่างดี เพราะอย่างไรซะเขาก็คอยสังเกตประสบการณ์การเติบโตของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงมายาวนานกว่าหยางเหล่าโถว
ชุยฉานพยายามรักษาความสุขุมเยือกเย็น แต่ในใจกลับพร่ำพูดว่า ตายแน่ๆ ตาเฒ่าเจ้าช่างทำร้ายคนได้เจ็บแสบนัก
ซิ่วไฉเฒ่ามองไปยังเฉินผิงอัน เปลี่ยนเรื่องพูด “มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกกับเจ้าไว้ก่อน หากเจ้ารับปากข้าแล้วค่อยทำ ข้าอยากดึงน้ำของสายธารแห่งกาลเวลาช่วงหนึ่งมาจากร่างของเจ้า วางใจเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นส่วนตัวอะไร แค่จะเอามาเป็นตัวเปิดฉากในการพูดคุยคืนนี้ เจ้ายินยอมหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งเข้าหาเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หมุนข้อมือม้วนชายแขนเสื้อ ไม่นานรอบกายเฉินผิงอันก็มีไอน้ำเป็นเส้นๆ ผุดขึ้นมาแล้วลอยเข้าหาฝ่ามือของผู้เฒ่า สุดท้ายกลายมาเป็นหยดน้ำสีเขียวเข้มโปร่งใสหยดหนึ่ง ผู้เฒ่าพลิกมือ หันฝ่ามือลงด้านล่าง ลูบเบาๆ ลงบนหยดน้ำ น้ำที่อยู่ด้านในจึงไหลลงบนโต๊ะที่อยู่เบื้องล่าง และภาพเหตุการณ์ที่มีชีวิตชีวาเสมือนจริงก็ปรากฏอยู่บนหน้าโต๊ะ
หลี่เป่าผิงเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง รีบฟุบคว่ำลงไปบนโต๊ะ “ว้าว อาจารย์อาน้อย นี่มันบนทางภูเขาที่พวกเราเจอผีสาวสวมชุดแต่งงานนี่นา มีข้าด้วยแหละ! ฮ่าๆ ยังคงเป็นหีบหนังสือของข้าที่สวยที่สุด สวยกว่าของหลินโส่วอีกับของหลี่ไหวจริงๆ ท่าทางพวกเขาตอนแบกหีบหนังสือดูทึ่มๆ โง่ๆ เนอะ…”
นับตั้งแต่ผีสาวสวมชุดแต่งงานถือร่มกระดาษน้ำมันปรากฎตัวบนทางดินโคลนเส้นเล็ก โคมไฟทยอยกันถูกจุดสว่างไสว ปรากฏเป็นภาพมังกรเพลิงที่ยิ่งใหญ่ตระการตาบนป่าเขา
มาจนถึงหลินโส่วอีร่ายใช้ยันต์แผ่นหนึ่งแต่ก็ยังถูกผีบังตา ไม่เพียงแต่ไม่สามารถออกจากขอบเขตของผีสาวได้ กลับยังถูกหลอกไปอยู่เบื้องหน้าจวนที่แขวนป้ายคำว่า “น้ำสวยลมเย็น”
สุดท้ายเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะตวัดหนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม เยื้องกรายมาถึงอย่างสง่างาม ทำลายสถานการณ์ที่ชะงักค้าง พาคนทั้งกลุ่มไปจากที่นั่นได้สำเร็จ
บทที่ 154.2 อาจารย์เฒ่านั่งลงถกปัญหา
โดย
ProjectZyphon
ซิ่วไฉเฒ่าคว้าจับไปบนหน้าโต๊ะ สายธารแห่งกาลเวลาช่วงนั้นกลับมารวมกันเป็นก้อนอีกครั้ง พอเขาผลักเข้าหาร่างของเฉินผิงอัน มันก็สลายหายกลับเข้าไปในฟ้าดินดังเดิม
วิชาอภินิหารไร้เทียมทานที่เกี่ยวพันกับต้นกำเนิดของมหามรรคาชนิดนี้ ไม่ได้อาศัยฟ้าดินขนาดเล็กของอริยะ ไม่ได้อาศัยอาวุธอาคมที่มหัศจรรย์ ผู้เฒ่าเพียงแต่โบกมือเรียกมาอย่างไม่ใส่ใจ
หลี่เป่าผิงเพียงรู้สึกถึงความมหัศจรรย์น่าสนใจ
แต่ชุยฉานที่มองออกกลับยิ่งตกตะลึง ตาเฒ่านี่เป็นอะไรกันแน่ ทั้งๆ ที่ตบะอริยะไม่เหลืออยู่แล้ว เหตุใดยังสามารถใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้?
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเบาๆ “ผีสาวผู้นี้น่ารังเกียจหรือไม่? แน่นอนว่าน่ารังเกียจ สังหารผู้บริสุทธิ์พร่ำเพื่อ มีโทษมหันต์ น่าสงสารหรือไม่? ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน เป็นภูตผีที่เดิมทีมีสันดานดีงาม ไม่เพียงแต่มีคุณความชอบในการสยบโชคชะตาให้แก่ราชสำนัก แต่ยังสร้างกรรมดีต่อพื้นที่ของตน ทั้งยังรักใคร่กับบัณฑิต เดิมทีควรจะเป็นเรื่องที่ดีงามถึงจะถูก สุดท้ายกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งผีและเทพต่างก็เคียดแค้น ถูกมหามรรคาผลักไสไล่ส่ง ผลกรรมติดตัวพัวพัน ทั่วร่างเปรอะเปื้อนน้ำคลำดินโคลน ไม่ว่ากี่ชาติก็ไม่อาจชดใช้หนี้เลอะเลือนครั้งนี้ได้หมดสิ้น”
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ดังนั้นคนที่น่ารังเกียจก็มีส่วนที่น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ใช่หรือไม่?”
ชุยฉานตั้งท่าเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ ไม่กล้าพยักหน้าแล้วก็ไม่กล้าส่ายหน้า
หลี่เป่าผิงเข้าสู่รูปแบบของ “ขึ้นเขาตีพยัคฆ์ขวางทางให้ตาย” ตั้งใจคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “แต่น่ารังเกียจมากกว่า”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ายิ้มให้แม่นางน้อย “ถ้าอย่างนั้นน่ารังเกียจกับน่าสงสาร น่ารังเกียจมากกว่าเท่าไหร่? แล้วน่าสงสารล่ะมากเท่าไหร่?”
แม่นางน้อยตั้งใจคิดอีกครั้ง “สมเหตุสมผล ถูกกฎระเบียบ ย้อนกลับไปลองคำนวณอย่างละเอียดอีกครั้งดีไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยี “หลี่เป่าผิง ถูกกฎระเบียบย่อมไม่เลวร้าย แต่ปัญหาก็มาแล้ว เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่ากฎระเบียบบนโลกมนุษย์ใบนี้เป็นกฎดีหรือกฎเลว?”
แม่นางน้อยตะลึงงัน ราวกับว่าไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน แต่กลับไม่ตกประหม่า บอกกับผู้เฒ่าว่า “ท่านผู้เฒ่า รอข้าสักเดี๋ยวนะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาใหญ่เหมือนกับของอาจารย์น้อยก่อนหน้านี้ ข้าต้องคิดอย่างจริงจัง!”
รอยยิ้มของซิ่วไฉเฒ่าอ่อนโยน ผงกศีรษะเอ่ยชม “ประเสริฐ”
ชุยฉานมองรอยยิ้มที่คุ้นตาของผู้เฒ่า มองแม่นางน้อยที่หน้าเคร่งเพราะกำลังใช้สมาธิแล้วแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที
ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ที่ฉีจิ้งชุนและอาจารย์ของฉีจิ้งชุนภาคภูมิใจ สมกับเป็นการสืบทอดความรู้ สืบทอดแนวคิดจากสำนักเดียวกัน แม้แต่บรรยากาศของการถ่ายทอดความรู้ก็ยังเป็นแบบเดียวกัน!
หลังจากตั้งปัญหายากให้กับแม่นางน้อยได้แล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก็หันไปมองเฉินผิงอันที่ดวงตาใสกระจ่าง “เมื่อก่อนเวลาที่ข้ารวบรวมความรู้ ขบคิดถึงปัญหายุ่งยาก มักจะชอบตั้งสมมติฐานไปในทางที่เลวร้ายก่อน วันนี้ก็ไม่แตกต่าง คนน่ารังเกียจย่อมมีจุดที่น่าสงสาร ประโยคนี้เดิมทีไม่มีปัญหามากนัก แต่บนโลกมีคนมากมายที่ชอบอวดฉลาด ชอบวางท่าว่าคนอื่นเมามาย มีเพียงข้าผู้คงสติ คิดแต่จะพูดถึงจุดที่น่าสงสาร จงใจมองข้ามจุดที่น่ารังเกียจ”
“คนบางคนกลับชอบที่จะประทานความเมตตาและเกิดจิตใจแห่งความสงสารพร่ำเพื่อ บวกกับที่ ‘จุดที่น่ารังเกียจ’ ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงไม่เคยสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แท้จริงสักเท่าไหร่ ในทางกลับกันยังชอบชี้ไม้ชี้มือ บอกให้คนอื่นทำใจกว้างถ่ายเดียว เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหน? ต้องรู้ว่าคนเหล่านี้ที่ข้าพูดถึง หลายคนมักเคยเรียนหนังสือ มีความรู้ไม่น้อย และไม่แน่ว่าบางคนยังเป็นยอดฝีมือด้วย เฉินผิงอัน เจ้ามีความคิดอะไรหรือไม่? พูดมาได้เลย อยากจะพูดอะไรก็พูดเลย”
เฉินผิงอันขยับปากจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรที่อยากพูด”
ชุยฉานไม่สนใจแล้วว่าคำตอบของเฉินผิงอันคืออะไร เขาเริ่มคิดอนุมานกับตัวเองเงียบๆ ว่าทำไมตาเฒ่าถึงต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้
ซิ่วไฉเฒ่าหันไปมองหลี่เป่าผิงและชุยฉานที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายขวา เอ่ยเนิบช้า “ถูกผิด สำเร็จล้มเหลวล้วนมีใจคนวัดประเมิน ดีเลวมากน้อยย่อมมีพญายมราชเป็นผู้ตัดสิน เหตุใดถึงพูดเช่นนี้? เพราะว่าคุณธรรม การอบรมบ่มเพาะ ประสบการณ์การเติบโต สิ่งที่ประสบพบเจอล้วนแตกต่างกัน ใจคนมีขึ้นมีลงไม่แน่นอน มีสักกี่คนก็กล้าพูดว่ามโนธรรมของตนเป็นกลางเที่ยงธรรมที่สุด?”
“ดังนั้นสำนักนิตินิยมจึงใช้ทางลัด ดึงบรรทัดฐานของคุณธรรมและมารยาทลงมาต่ำที่สุด เมื่ออยู่ที่นี่สูงเพียงเท่านี้ ไม่อาจต่ำไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”
ผู้เฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาวาดเส้นหนึ่งลงบนโต๊ะ
แล้วจึงหันไปมองชุยฉาน “รู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนี้ที่เจ้าเสนอปัญหานั้นขึ้นมา ข้าถึงได้ตอบไวขนาดนั้น?”
เรื่องไหนไม่พูดดันมาพูดเรื่องนี้
ชุยฉานเอ่ยเสียงขุ่น “เพราะเจ้าชอบและให้ความสำคัญกับฉีจิ้งชุนมากกว่า รู้สึกว่าความรู้ของข้าชุยฉานล้วนเป็นกองกระดาษเสียที่อยู่ในถังขยะ หากจะให้ใต้เท้าเหวินเซิ่งอย่างเจ้าคลี่ออกมารีดให้เรียบก็ยังรังเกียจว่ามือจะสกปรก!”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เพราะปัญหาข้อนั้นของเจ้า ข้าได้ใคร่ครวญมานานหลายปีก่อนที่เจ้าจะถามซะอีก ตอนนั้นไม่ว่าข้าจะอนุมานอย่างไรก็ได้แค่ข้อสรุปเดียว เขื่อนยาวพันลี้พังได้ด้วยรังมดเล็กๆ เมื่อน้ำบ่าไหลหลาก ถึงเวลานั้นก็ไม่อาจเก็บกวาดได้อีก เพราะไม่เพียงแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ ภายใต้สถานการณ์ที่รากฐานความรู้ของเจ้ายังไม่แน่นหนาพอ ความรู้ที่แต่เดิมมีจุดประสงค์ที่ดีเยี่ยมนี้จะกลับกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ เหมือนหอเรือนอาคารสูงแห่งหนึ่ง ยิ่งเจ้าสร้างได้สูงได้สวยมากเท่าไหร่ แต่หากรากฐานไม่มั่นคง ลมแรงๆ พัดมาก็พังถล่ม ยิ่งทำร้ายคนมากกว่าเดิม”
ชุยฉานอึ้งงันอยู่กับที่ แต่ก็ยังไม่ยอมศิโรราบง่ายๆ
ผู้เฒ่าถอนหายใจ กล่าวอย่างจนใจ “พวกเจ้าต้องรู้ว่าระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเรามีโรคเรื้อรัง หาใช่งดงามสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด กฎเกณฑ์มากมายเช่นนั้น เมื่อกาลเวลาบนโลกหมุนเวียนเปลี่ยนผันก็ใช่ว่าจะใช้ได้ตลอดกาล ใช่ว่าสรรพสิ่งบนโลกจะไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากเหตุผลล้วนเป็นสิ่งที่คนในยุคแรกเริ่มสุดพูดได้ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด แล้วคนรุ่นหลังจะทำอย่างไร? จะเล่าเรียนศึกษาไปเพื่ออะไร?”
“วิธีการที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์มอบไว้ให้กว้างขวางที่สุด แล้วก็ถูกต้องมากที่สุด ดังนั้นความอบอุ่นและผลประโยชน์คืออาหารบำรุงที่มีแต่ผลดีไม่มีผลร้าย แต่ก่อนที่จะเป็นอาหารบำรุงได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าทุกคนจะกินอาหารของ ‘ลัทธิขงจื๊อ’ นี้หรือไม่ ถูกไหม?”
“แต่มีบางครั้ง ก็เหมือนคนคนหนึ่งที่เนื่องจากสมรรถภาพของร่างกายลดน้อยลง หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะตากแดดตากลมจึงเจ็บไข้ไม่สบาย อาหารบำรุงไม่สามารถเห็นผลในทันที แล้วก็ไม่สามารถช่วยรักษาชีวิตคนได้ สิ่งที่จำเป็นคือยาบำรุง”
“แต่ยามีพิษสามส่วน จำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก อริยะในยุคบรรพกาลยังได้แต่กล้าทดลองพืชหญ้าร้อยชนิดก่อนแล้วถึงกล้าพูดว่าพืชหญ้าชนิดไหนคือยา ชนิดไหนคือพิษ”
“นิสัยใจร้อนของเจ้าชุยฉานจะเต็มใจเสียเวลาทำเช่นนี้จริงๆ หรือ? ฉีจิ้งชุนศิษย์น้องของเจ้าเคยเตือนเจ้ามาหลายครั้งแล้วว่าเจ้าชุยฉานฉลาดเกินไป ความทะเยอทะยานสูงกว่าฟากฟ้า ไม่ชอบเสียเวลากับเรื่องต่ำต้อย แบบนี้จะได้อย่างไร? หากเจ้าเป็นแค่เด็กที่งอแง คิดอยากจะเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียน เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ถ้าอย่างนั้นคูคลองที่เจ้าขุดเจาะ หรือแม้แต่เขื่อนที่เจ้าสร้างจะเกิดรูรั่วนับพันนับหมื่นจริงๆ ถึงท้ายที่สุดน้ำทะลักเขื่อนพัง ก็ยังมีคนมาคอยช่วย แต่หากความรู้ของเจ้ากลายมาเป็นกระแสความคิดหลักของระบบลัทธิขงจื๊อ เมื่อเกิดปัญหา ใครจะมาช่วยเจ้า? ข้า? หรือว่าหลี่เซิ่ง หรือว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์? ต่อให้คนเหล่านี้ลงมือช่วยเหลือ แต่เจ้าชุยฉานจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเมื่อถึงเวลานั้นอริยะของพุทธเต๋าสองลัทธิเจ้าไม่เพิ่มปัญหาให้วุ่นวาย? ไม่ทำให้ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้กลายมาเป็นใต้หล้าที่นิยมหลักคำสอนของสองลัทธิพวกเขาอย่างแพร่หลาย?”
ชุยฉานยังคงไม่ยอมแพ้
ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย “แม้ว่าวิชาความรู้นี้ของเจ้า ข้าจะคิดได้มาตั้งนานแล้ว แต่หากเจ้าลองตั้งใจคิดพิจารณา วันหน้าก็มีแต่จะคิดได้ยาวไกลยิ่งกว่าข้า สุดท้ายข้าเองก็มีความคิดอยากจะลงมือ รู้สึกว่าน่าจะทดลองทำดูได้หรือไม่ ดังนั้น ‘ศึกตรีจตุ’ ที่แท้จริงซึ่งหลบอยู่เบื้องหลังเวทีในครั้งนั้นก็คือ ‘พิธีการและดนตรี’ กับ ‘กิจการและความดีความชอบ’ ที่สองราชวงศ์ใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่างฝ่ายต่างผลักดัน จากนั้นก็มาดูว่าหกสิบปีให้หลัง ใครชนะใครแพ้ ใครได้เปรียบเสียเปรียบ แน่นอนว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร ใต้หล้าล้วนรู้กันดี เป็นข้าที่พ่ายแพ้ ดังนั้นจึงจำต้องขังตัวเองอยู่ในสวนป่ากงเต๋อ”
สีหน้าของชุยฉานตะลึงพรึงเพริด ถลันพรวดลุกขึ้นยืน “เจ้าโกหก!”
ผู้เฒ่าเอ่ยเรียบเรื่อย “ลืมอีกแล้วหรือ? เวลาที่ถกเถียงกับคนอื่น สภาพจิตใจของตนต้องสงบและเป็นกลาง ไม่ควรใช้อารมณ์ตัดสิน”
ชุยฉานนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พึมพำกับตัวเอง “เจ้าเดิมพันด้วยเรื่องนี้ได้อย่างไร ข้าจะแพ้ได้อย่างไร…”
ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้าไปมองทางลานบ้าน “จำไว้นะ อย่าได้ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังเด็ดขาดเชียว”
สตรีสูงใหญ่ตอบอย่างเกียจคร้าน “รู้แล้วน่า”
คราวนี้ซิ่วไฉเฒ่ากระดกเหล้าอึกใหญ่ พูดเยาะเย้ยตนเอง “ใช้เหล้าดับทุกข์ก็ถูก เหล้ากระตุ้นคนขลาดให้กล้าหาญก็ยิ่งถูก”
ซิ่วไฉเฒ่าวางไหเหล้าลง จัดอาภรณ์ เอ่ยเนิบช้า “หลี่เซิ่งเขียนคำสองคำลงในใต้หล้าเที่ยงธรรมของพวกเรา ชุยฉาน จะอธิบายว่าอย่างไร?”
คำตอบของชุยฉานหลุดออกมาจากจิตใต้สำนึก “ระเบียบ!”
พอหลุดปากออกไป ชุยฉานก็ให้เสียใจอารมณ์ขุ่นทันที
ผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้ารับเอ่ยเสียงหนัก “ใช่ กฎเกณฑ์และมารยาทพิธีการก็คือความเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งที่อริยะลำดับที่สองในระบบลัทธิขงจื๊อของพวกเราอย่างหลี่เซิ่งแสวงหาก็คือความเป็นระเบียบ สรรพสิ่งบนโลกล้วนมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลี่เซิ่ง ‘แย่งกลับมา’ จากมหามรรคาทีละขีดทีละเส้นอย่างยากลำบาก จนกระทั่งนำมาสร้างสิ่งที่เขาเรียกเสียดสีว่า ‘กระท่อมมุงแฝกผุพัง’ หลังหนึ่งขึ้นมาเพื่อบังลมบังฝนให้ปวงประชา กระท่อมนั้นใหญ่มาก ใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าต่อให้คนแทบทั้งหมดใช้เวลาตลอดชีวิต ใช้ความรู้ที่ลึกล้ำที่สุดก็ยังเดินไปไม่ถึงกำแพงบ้าน ใหญ่จนต่อให้ตบะของผู้ที่ฝึกตนจะสูงแค่ไหนก็แตะไม่โดนหลังคา ดังนั้นนี่ก็คือความอิสระเสรีและความมั่นคงของสรรพชีวิต”
ชุยฉานแค่นหัวเราะ “แล้วฉีจิ้งชุนล่ะ ความรู้ของเขาแตะโดนหลังคา อาเหลียงล่ะ ตบะของเขาสัมผัสโดนกำแพง ถ้าเป็นเช่นนี้จะทำอย่างไร? ควรพวกนี้ควรทำอย่างไร? อาศัยอะไรเหล่าผู้เป็นที่ภาคภูมิใจแห่งสวรรค์บนโลกมนุษย์เหล่านี้ถึงเดินออกไปจากเส้นทางของตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถเปิดประตูบ้านที่ผู้เฒ่าหลี่เซิ่งเป็นคนสร้าง ออกไปสร้างกระท่อมหลังใหม่เอี่ยมอีกหลังหนึ่ง?!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยฉานชี้นิ้วไปยังประตูห้องโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวในเวลาเต็มไปด้วยประกายเฉียบคม พลังอำนาจบีบคั้นคนมอง
จึงเห็นได้ว่าทั้งกายและใจของชุยฉานล้วนถูกดึงเข้าร่วมกับการถกปัญหาในครั้งนี้โดยที่เขาไม่อาจห้ามตัวเองได้ อาจถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่แค่ความคิดของเด็กหนุ่มชุยฉานเท่านั้น แม้แต่จิตใต้สำนึกที่สมบูรณ์แบบที่สุดในส่วนลึกของจิตวิญญาณก็อาจถูกชักนำมาด้วย
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “แสวงหาอิสระเสรีเต็มที่อย่างที่ใจพวกเจ้าปรารถนา? ได้สิ แต่เจ้ามีความมั่นใจอะไรถึงแน่ใจว่า สุดท้ายแล้วพวกเจ้าจะเดินออกไปจากประตูบาน ไม่ใช่ใช้หมัดต่อยกำแพงให้ทะลุ ใช้หัวโหม่งหลังคาให้เป็นรู? ทำให้กระท่อมที่เดิมทีแข็งแรงช่วยบังลมบังฝน ช่วยให้เจ้าเติบโตถึงจุดสูงสุดต้องคลอนแคลน เต็มไปด้วยรูรั่ว เพียงลมพัดมาก็อาจพังครืน?”
ชุยฉานหัวเราะเสียงดัง “ตาเฒ่าเจ้าพูดเองว่าอิสระเสรีอย่างเต็มที่ แล้วยังจะต้องสนใจเรื่องพวกนี้ทำไม?! แล้วเจ้าเอาอะไรมาแน่ใจว่า หลังจากที่พวกเราทุบทำลายกระท่อมหลังเก่าแล้ว กระท่อมหลังใหม่ที่สร้างขึ้นจะไม่กว้างขวางยิ่งกว่า แข็งแรงมั่นคงยิ่งกว่า?”
ผู้เฒ่าแย้มยิ้ม “อ้อ? นี่ก็ไม่เท่ากับย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของมหามรรคาข้าหรอกหรือ? ขนาดสูตรตายตัวของข้า เจ้าชุยฉานยังฝ่าออกไปไม่ได้ แล้วยังจะคิดทำลายกฎระเบียบของหลี่เซิ่งงั้นรึ?”
ชุยฉานกล่าวขุ่นเคือง “นี่จะเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ชั่วร้ายได้อย่างไร? ตาแก่เจ้าพูดจาเหลวไหล!”
ผู้เฒ่าเอ่ยเรียบเรื่อย “คำถามข้อนี้ไม่ต้องมาถามข้า ข้าเมตตาเจ้า อาศัยสิ่งนี้มาทำให้จิตวิญญาณของเจ้าสมบูรณ์แบบ เป็นโอกาสที่พันปียากจะพานพบ จงถามกมลสันดานของตัวเอง”
ชุยฉานอึ้งงันเป็นไก่ไม้
สุดท้ายราวกับว่าโลกทั้งใบเหลือเพียงแค่ซิ่วไฉเฒ่ากับเฉินผิงอัน หนึ่งแก่หนึ่งเด็กนั่งหันหน้าเข้าหากัน
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น