คัมภีร์วิถีเซียน 1540-1541

ตอนที่ 1540 กระบี่ทมิฬสิงแขน

 

แน่นอนว่าหญิงสาวไม่อาจคลายความสงสัยในใจของฮูหยินได้ แต่หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง กลับย้อนถามว่า


 


 


“ต่อให้เผ่าตาข่ายทมิฬลงมือกับเผ่าอื่นอีกสองเผ่า จากระดับของท่านแม่ที่จัดอยู่ในอันดับชนชั้นสูงในเวลานี้แล้ว แถมยังมีข้าลงมือช่วยเหลือ หรือว่าจะต่อกรกับพวกเขาไม่ได้?”


 


 


“หากเป็นชาวตาข่ายทมิฬธรรมดาๆ ข้ากินผลฝึกเซียนไปแล้วย่อมมั่นใจอยู่สองสามส่วน สิ่งสำคัญก็คือจากร่องรอยที่พวกเขาลงมือ ดูคล้ายกับว่าจะปะปนอยู่ในเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬ” ฮูหยินสั่นศีรษะขณะเอ่ย


 


 


“เผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬ เป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นมหาปุโรหิตเผ่าตระกูลวาสองสามคนของพวกเราสืบค้นแล้ว เลือดเนื้อของเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬถูกกำจัดไปหมดแล้วมิใช่หรือ?” หญิงสาวร้องอุทานด้วยความตกตะลึง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย


 


 


“ในเมื่อแม้แต่ชาวตาข่ายทมิฬที่ควรจะสูญพันธุ์ไปแล้วยังปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งได้ มีราชันย์ตาข่ายทมิฬที่หนีการตรวจสอบในครานั้นไปได้สักคนสองคนก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ และเผ่าราชันย์ของเผ่านี้ก็ชอบควบคุมเผ่าตระกูลวาของพวกเราโดยธรรมชาติ นอกจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลวาแล้ว เผ่าอื่นๆ หากอยู่ต่อหน้าเผ่าราชันย์ตาข่ายทมิฬ ก็สำแดงความสามารถออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนทั้งนั้น และยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการฝึกฝนของคนเผ่าจักรพรรดิตาข่ายทมิฬ ต่อให้เทียบกับชนชั้นสูงในเผ่าต่างๆ ของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี ก็ไม่มีทางทิ้งห่างไปไกลแน่ เวลานี้กล้าลงมือกับทั้งสามเผ่าของพวกเราอย่างเปิดเผยเช่นนี้ คงจะฝึกฝนสำเร็จแล้ว” ฮูหยินเผยสีหน้ากังวลใจออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ


 


 


หญิงสาวได้ยินคำพูดเหล่านี้ของฮูหยิน พลันรู้สึกหมดคำพูด แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลังจากที่นางกลอกตาไปมาสองสามครั้ง พลันเอ่ยขึ้นว่า


 


 


“ทว่าท่านแม่ไม่จำเป็นต้องกังวล หากชาวตาข่ายทมิฬเหล่านั้นน่ากลัวเช่นนั้นจริงๆ จะให้เวลาเผ่าเพลิงอาทิตย์อย่างพวกเราพักหายใจเช่นนี้หรือ เกรงว่าการสังหารอีกสองเผ่าสองครั้งก่อน คงจะสูญเสียไปไม่น้อย พวกเราไม่ใช่ว่าจะไม่มีแรงสู้”


 


 


“หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมดี แต่อย่าลืมล่ะเผ่าอื่นอีกสองเผ่าบุรุษถูกสังหาร”


 


 


“ความหมายของท่านแม่คือ พวกมันกำลัง…” ชั่วขณะนั้นหญิงสาวพลันนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าซีดขาวขึ้นอีกสองส่วน


 


 


“อืม ตอนนั้นเผ่านี้และเผ่าตระกูลวาของพวกเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันด้วยเหตุนี้ เกรงว่าหลังจากที่พวกมันจัดการเสร็จแล้ว คงจะลงมือกับพวกเรา ถึงอย่างไรเสียเผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเราก็เป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในสามเผ่า และยิ่งไปกว่านั้นการป้องกันบนเกาะยังเหนือกว่าอีกสองเผ่า พวกมันเตรียมตัวรอบคอบแล้วค่อยมาลงมือกับพวกเรา นั่นเป็นเรื่องปกติ หากท่านหานผู้นั้นมีพลังยุทธ์ดังที่ข้าคาดการณ์ไว้ ไม่แน่ว่าความเป็นตายของเผ่าเราก็ขึ้นอยู่กับเขา” ฮูหยินแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย


 


 


“คนผู้นั้นมีความสามารถสูงส่งขนาดนั้นจริงๆ หรือ? เมื่อครู่ฟังที่ท่านแม่สนทนากับคนอื่น คนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บหนัก ถึงครานั้นเกรงว่าคงไม่มีประโยชน์หรอกกระมัง” หญิงสาวขมวดคิ้วเรียวสวยมุ่น ท่าทางไม่เข้าใจนัก


 


 


“ข้าตัดสินใจนำยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดออกมาให้คนผู้นั้นแล้ว” ฮูหยินเอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


“อะไรนะ ท่านแม่จะมอบยาเทวะให้คนผู้นั้น ไม่ได้เด็ดขาด แม้นว่าท่านแม่จะกินยาฝึกเซียนลงไป แต่หากกินยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดเข้าไปอีกละก็ ยังสามารถฟื้นฟูอายุขัยมาได้อีกส่วนหนึ่ง หากมอบให้คนผู้นั้น จะไม่มีแม้แต่ที่ให้เอาคืนกลับเลยนะ” หญิงสาวผละออกจากอ้อมอกของฮูหยิน เอ่ยแย้งอย่างร้อนใจ


 


 


“เมื่อครู่ข้าก็ลังเลไม่แน่ใจ เพราะเรื่องนี้ หากคนผู้นี้มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันกับอาจารย์ของจูเอ๋อร์ มอบยาเทวะให้เขาย่อมคุ้มค่า แต่หากสูงกว่าข้าแค่ขั้นสองขั้น แค่ใช้สมบัติวิเศษปกปิดพลังยุทธ์เดิมเอาไว้ จนทำให้ข้าไม่อาจดูออกได้ กลับเป็นการสิ้นเปลืองไปโดยแท้” ฮูหยินหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


 


 


“คนผู้นั้นจะเทียบกับท่านอาจารย์ได้อย่างไร! ท่านอาจารย์ของข้าฝึกฝนอยู่ในระดับขั้นที่ห้าของชนชั้นสูงแล้ว พอที่จะจัดอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดในน่านน้ำแห่งนี้” ความกังวลของหญิงสาวผ่อนคลายลง เอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อถือ


 


 


“แม้นข้าจะมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายไม่ออก แต่อีกฝ่ายจะต้องมีพลังสูงกว่าข้าอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บหนัก ข้าจึงยังสัมผัสได้รางๆ ว่าหากอีกฝ่ายลงมือ ก็สามารถสังหารข้าได้อย่างง่ายดาย มิเช่นนั้นข้าคงไม่ยอมขอร้องให้เขาอยู่ต่ออย่างยากลำบากเช่นนี้ แต่ขอแค่คนผู้นี้มีประโยชน์ต่อภัยพิบัติครั้งใหญ่ของเผ่าเรา ยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดเม็ดหนึ่งจะมีค่าอะไร” ฮูหยินลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยอย่างรอบคอบออกมา


 


 


“เมื่อครู่ข้าได้ยินบทสนทนาของคนเหล่านั้น ตั้งแต่ต้นจนจบคนผู้นี้ล้วนไม่เผยความสามารถใดๆ ออกมา หากเอายาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดไปมอบให้เขาไปทั้งอย่างนั้น จะไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยหรือ ต่อให้ต้องมอบให้ ก็จะต้องลองทดสอบก่อน” หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


“ลองดู! เวลานี้ลมปราณของอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนัก จะลองทดสอบอย่างไร” ฮูหยินขบคิดไปเล็กน้อย แล้วพลันรู้สึกสนใจ


 


 


“ต่อให้พลังยุทธ์เสียหาย แต่หากเป็นชนชั้นสูงของเผ่าจริงๆ จิตสัมผัสต้องแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย หากท่านแม่วางใจละก็ คราที่มอบยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดมิสู้ให้ข้าติดตามไปด้วยเป็นอย่างไร? ถึงครานั้นก็ค่อยตัดสินไปตามสถานการณ์! หากคนผู้นี้มีความสามารถเกรียงไกรจริง เพื่ออนาคตของเผ่าเพลิงอาทิตย์แล้ว ก็มอบยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดให้เขาเถิด แต่ถ้าหากเป็นแค่ภาพวาดเสือ[1] ยาลูกกลอนนี้สำคัญขนาดนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจให้คนนอกคนหนึ่งกินได้” หญิงสาวเอ่ยอย่างเด็ดขาด


 


 


“เรื่องนี้…” ฮูหยินได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ พลันรู้สึกลังเลไม่มั่นใจ


 


 


ยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดสามารถทำให้อายุขัยของนางฟื้นฟูกลับมาได้กว่าครึ่ง ในใจนางจึงไม่อยากนำออกมาง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน


 


 


“ก็ได้ จูเอ๋อร์เจ้าลองดูสักครั้ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าทำเกินไป และอย่าไปล่วงเกินคนผู้นี้” สุดท้ายฮูหยินพลันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย


 


 


“ท่านแม่โปรดวางใจ ข้ารู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร” หญิงสาวได้ฟังคำนี้ ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มหวานหยดย้อยออกมา


 


 


“สามวันให้หลัง ข้าน่าจะเอายาลูกกลอนเทวะออกมาจากเพลิงธรณีได้ ถึงครานั้นก็ไปกับข้าก็แล้วกัน หากอีกฝ่ายเป็นอาวุโสผู้มีความสามารถเกรียงไกร คิดดูแล้วคงไม่ถือโทษอะไรกับชนรุ่นหลังอย่างเจ้า อีกอย่างเดาว่าการก่อกบฏของเผ่าตาข่ายทมิฬคงจะไม่อยู่พักนานนัก ข้าได้ขอทัพเสริมกับสหายสนิทคนอื่นไปสองสามคนแล้ว กว่าครึ่งคงคาดหวังไม่ได้! ในช่วงเวลานี้ข้าจะไปคุยกับเหล่าอาวุโสสองสามคนในเผ่าก่อน นอกจากนี้จะเพิ่มการเฝ้าระวังในเผ่าเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว” สุดท้ายฮูหยินพลันเอ่ยอย่างตัดสินใจ


 


 


หญิงสาวได้ฟังพลันพยักหน้าเป็นพัลวัน จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยถึงรายละเอียดการป้องกันเผ่าตาข่ายทมิฬต่อในวิหาร


 


 


เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


 


 


ตรงตีนเขาห่างออกไปร้อยกว่าลี้ หานลี่ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ เปลือกตากระตุก เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น ในเวลาเดียวกันลำแสงสีทองที่โคจรอยู่บนเรือนร่างก็หม่นแสงลง


 


 


เห็นเพียงดวงตาที่แต่เดิมหม่นแสงลงเล็กน้อย เวลานี้มีลำแสงเรืองรองปรากฏขึ้นสองสามส่วน


 


 


หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แค่ยกมือหนึ่งขึ้นพิจารณาเล็กน้อย จากนั้นนิ้วทั้งห้าพลันขยับ แล้วค่อยๆ กำจนเป็นกำปั้น


 


 


เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ


 


 


เวลานี้แม้นว่าพลังปราณของเขาจะฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แต่โลหิตบริสุทธิ์และจิตสัมผัสที่สูญเสียไปช่างรุนแรงเกินไปจริงๆ แม้นว่าจะใช้ยาลูกกลอนจำนวนมากที่พกติดตัวมา เกรงว่าต้องใช้สามสี่ปีถึงจะฟื้นฟูกลับมาอยู่ในระดับยอดสุดเหมือนเดิมได้


 


 


ทว่าเขากล้าตอบรับว่าจะอยู่ที่ชนต่างเผ่าของฮูหยิน แน่นอนว่าย่อมมีความมั่นใจอยู่บ้าง


 


 


เมื่อขบคิดในใจเช่นนั้น ฉับพลันนั้นหานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ วงแหวนกลมๆ สีดำพลันพุ่งออกมา หมุนคว้างไปมาผิวเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีดำสายหนึ่งและลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งบินออกมา


 


 


ลำแสงหลีกหนีสองสายหมุนโคจรอยู่เบื้องหน้าของหานลี่ บนพื้นมีวานรน้อยสีดำและเสือดาวน้อยตัวหนึ่งปรากฏขึ้น


 


 


นั่นก็คืออสูรวิญญาณครวญและอสูรมิคาทน!


 


 


อสูรวิญญาณสองตัวนี้ ตัวหนึ่งแม้หานลี่เองก็ยังไม่แน่ใจว่าขีดจำกัดความสามารถของมันคือจุดไหน อีกตัวหนึ่งอยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับระดับเทพแปลงแล้ว


 


 


แต่อสูรทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่เขานั่งสมาธิพักผ่อนอยู่ชั่วครู่ ฟื้นฟูพลังปราณและพลังจิตสัมผัสกลับมาแล้วถึงได้ฝืนเรียกมันออกมาได้ หากเปลี่ยนเป็นตอนที่ตื่นขึ้นมา ตกอยู่ในสภาวะที่จิตสัมผัสพลังปราณเหือดแห้ง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเปิดแหวนอสูรวิญญาณและเชื่อมโยงกับอสูรวิญญาณทั้งสองได้อย่างง่ายดายแน่


 


 


เมื่ออสูรวิญญาณทั้งสองปรากฏตัว วิญญาณครวญก็วูบไหวกาย มาปรากฏตัวบนหัวไหล่ของหานลี่พลางหัวเราะคิกคัก พลางนั่งยองๆ อยู่บนนั้น เงาร่างไม่สมบูรณ์อีกตนหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายที่มีขนปุกปุยกระโจนเข้ามาในอ้อมแขนของหานลี่ และใช้ลิ้นสีชมพูเลียฝ่ามือของหานลี่อย่างใกล้ชิดสนิทสนม จนรู้สึกอุ่นๆ และจั๊กจี้เล็กน้อย


 


 


หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา สองมือจับไปที่ร่างของอสูรทั้งสอง จากนั้นพลันฝืนควบคุมจิตสัมผัสออกคำสั่งกับอสูรทั้งสองสองสามประโยค


 


 


ชั่วขณะนั้นอสูรวิญญาณครวญพลันกระโดดหนีออกจากหัวไหล่ของเขาก่อน จากนั้นร่างกายพลันขยายขนาดขึ้น ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นหานลี่ที่สวมอาภรณ์เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว จากนั้น ‘หานลี่’ ผู้นี้ก็นั่งลงด้านข้างหานลี่พร้อมฉีกยิ้มจนตาหยี และนั่งสมาธิลงเช่นกัน


 


 


ส่วนอสูรมิคาทนนั้นพลันพุ่งออกมาจากอ้อมอกของหานลี่ ชั่วครู่ก็กลายเป็นเงาร่างไม่สมบูรณ์สองสามสายหายวับไปจากกลางอากาศ ไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนอยู่ตรงที่ใดของห้อง


 


 


หลังจากทำเช่นนี้เรียบร้อยแล้ว หานลี่พลันใช้มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ธงอาคมหลากสีสันตั้งหนึ่งพลันปรากฏขึ้น


 


 


ชูมือหนึ่งขึ้น ธงอาคมทยอยกันพุ่งไปที่กำแพงรอบด้าน ทยอยกันกลายเป็นลำแสงวิญญาณจมหายเข้าไปในกำแพงอย่างไร้เงา


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นด้านนอกเรือนไม้ที่หานลี่พำนักอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะมีลำแสงสีขาวอ่อนชั้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด


 


 


หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หานลี่ถึงได้ผ่อนคลายลง หลังจากขบคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น และพิจารณาด้านบนเขม็ง


 


 


เห็นเพียงรอยสีเหลืองจางๆ สายหนึ่งปรากฏอย่างรางๆ อยู่ตรงนั้น


 


 


แววตาของหานลี่มีแสงสีฟ้ากะพริบวาบอย่างต่อเนื่อง หลังจากพิจารณารอยนั้นอย่างละเอียดชั่วครู่แล้ว พลันลังเลเล็กน้อย ฉับพลันนั้นแขนพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะนำลมปราณที่มีอยู่ไม่มากในร่างมารวมตัวกันที่รอยแยกนี้


 


 


ผลคือเดิมทีรอยแยกเป็นสีเหลืองจางๆ ชั่วขณะนั้นพลันชัดเจนขึ้น


 


 


ดูจากรูปร่างมันแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกระบี่ที่หานลี่ฟันออกไป ผลสวรรค์ทมิฬที่หายไป แต่แค่ไม่รู้ว่าหลังจากที่หานลี่หลับใหลไปแล้ว เจ้าผลนี้สิงเข้าไปอยู่ในแขนของเขาได้อย่างไร


 


 


หานลี่พลันขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสไปมาเช่นกัน


 


 


จากพลังยุทธ์ที่ไม่มากนักของเขาในเวลานี้ มากสุดก็ทำให้รอยสีเหลืองชัดเจนขึ้นกว่าเดิมสองสามส่วนเท่านั้น หากมากกว่านี้แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่สิ่งที่เขาในเวลานี้จะทำได้


 


 


นี่จึงทำให้หานลี่อดบ่นพึมพำในใจ รู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก


 


 


ไม่ต้องพูดถึงอานุภาพของผลสวรรค์ทมิฬที่กลายเป็นกระบี่ แต่ผลตอบแทนที่หานลี่ฟันกระบี่เล่มนี้ออกไป ก็ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นอยู่ในตอนนี้


 


 


เมื่อฟันสมบัติกระบี่ชิ้นนี้ออกไป ไม่ว่าศัตรูจะเป็นอย่างไร เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของเขาคงต้องปิดปลิวไปกว่าครึ่ง


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ถึงได้ปล่อยแขนออกด้วยแววตาเปล่งประกาย


 


 


เขาตัดสินใจแล้ว หลังจากรอให้พลังปราณฟื้นฟู จะบีบให้สมบัติชิ้นนี้ออกมาจากแขนแล้วค่อยว่ากัน


 


 


มิเช่นนั้นสิ่งที่จะทำลายตนเองก่อนที่จะทำลายศัตรูเช่นนี้อยู่บนแขน ช่างเป็นสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ภาพวาดเสือ เป็นสำนวนจีน หมายถึงคนหรือกลุ่มที่ดูเหมือนมีพลังอำนาจ แต่ความจริงแล้วไม่มีอำนาจอะไรเลย 

 

 


ตอนที่ 1541 ใช้เพลิงกลั่นยา

 

หลังจากใช้นิ้วลูบไปที่รอบสีเหลืองชั่วครู่แล้ว หานลี่พลันปล่อยแขนลง หลังจากขบคิดเล็กน้อย ก็กินยาลูกกลอนสองสามชนิดลงไปอีกครั้ง


 


 


แม้นว่าเขาจะรู้สึกสนใจยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือด และยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินยังกล่าวสรรพคุณเอาไว้อย่างอัศจรรย์ แต่ก็ไม่มีทางเอาความหวังทั้งหมดไปไว้ที่มันแน่


 


 


หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง เข้าสู่ภวังค์สมาธิ


 


 


สองวันต่อมา ตรงขอบฟ้าฟ้ามีเมฆสีขาวกลุ่มหนึ่งลอยมา บนเมฆมีฮูหยินและหญิงสาวจูเอ๋อร์ยืนอยู่


 


 


หญิงสาวยังคงแบกคันธนูแกร่งสีเหลืองและลูกธนูกระดูกสีขาวสามดอกเอาไว้ที่แผ่นหลัง ส่วนฮูหยินนั้นในมือมีกล่องหยกสีแดงสดเพิ่มขึ้นมา


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็มาถึงกลางอากาศเหนือลานบ้าน และลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น


 


 


“คนผู้นั้นอยู่ที่นี่หรือ? ดูเหมือนว่าจะวางเขตอาคมเอาไว้ หึ คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะไม่ไว้ใจพวกเรา” ดวงตาคู่งามของจูเอ๋อร์กะพริบปริบๆ พิจารณาบ้านไม้สองสามหลังด้านล่างอย่างสนอกสนใจ สายตากวาดมองไปยังม่านลำแสงสีขาวที่ปกคลุมบ้านเรือนเอาไว้ แค่นเสียงเฮอะขึ้นจมูก


 


 


“พลังปราณของท่านหานเสียหายไป ไม่ได้รู้จักอะไรกับพวกเราลึกซึ้ง ทำเช่นนี้ก็ไม่แปลกอะไร ถ้าหากที่นี่เหมือนกับตอนที่ข้าจากไป ไม่มีเขตอาคมใดๆ ละก็ ข้าคงจะแปลกใจกว่า” ฮูหยินหัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วกลับไม่ได้ใส่ใจเลยสักกระผีก


 


 


ทันใดนั้นนางพลันควบคุมเมฆสีขาว ทั้งสองคนร่อนลงมาในทันที


 


 


“ท่านอาวุโสหาน ข้านำยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดมาแล้ว หวังว่าท่านอาวุโสจะออกมาพบหน้าสักครั้ง!” ฮูหยินคารวะอยู่ที่ประตูเรือน แล้วเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล


 


 


“ที่แท้ก็สหายหั่ว ผู้แซ่หานไม่สะดวกลุกขึ้นไปรับ เชิญสหายเข้ามาเถิด” เสียงบุรุษอันราบเรียบดังออกมาจากในบ้าน


 


 


เมื่อเอ่ยจบ ม่านลำแสงสีขาวพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ชั่วครู่พลันหายไปอย่างแปลกประหลาด ในเวลาเดียวกันประตูบ้านก็เปิดออกอย่างช้าๆ


 


 


ฮูหยินเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันไม่ลังเลอีก พาหญิงสาวเดินเข้าไปในประตูพร้อมกันทันที


 


 


“เอ๋ นี่คือ…” ฮูหยินเข้ามาในห้องพลันกวาดตามองวูบหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี เผยสีหน้าประหวั่นใจออกมา


 


 


บนเตียงไม้ในห้องมี ‘หานลี่’นั่งเรียงกันอยู่สองคน คนหนึ่งกำลังมองมาทางพวกเขายิ้มๆ อีกคนหนึ่งหลับตาทั้งสองข้างลงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


 


 


หญิงสาวเองพลันตะลึงงัน เผยสีหน้าระแวงสงสัยกวาดไปยังเรือนร่างของ ‘หานลี่’ ที่สองสองวูบ และไม่รู้ว่ามองอะไรออกหรือไม่


 


 


“สหายโปรดเชิญนั่ง ท่านผู้นี้คือ?” หานลี่ที่ลืมตาอยู่ผู้นั้น ชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง ทันใดนั้นพลันมองหญิงสาววูบหนึ่ง เผยเจตนาซักถามออกมา


 


 


“นี้คือลูกสาวของข้าไป๋จูเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ไปฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ภายนอก สองวันก่อนเพิ่งจะกลับมายังเผ่า” ฮูหยินตอบกลับด้วยสีหน้าเคารพและรอบคอบ ในเวลาเดียวกันหลังจากกวาดจิตสัมผัสไปยังเรือนร่างของหานลี่ทั้งสองแล้ว ในใจพลันรู้สึกตื่นตะลึง


 


 


‘หานลี่’ ทั้งสองคน แม้คนหนึ่งจะมีกลิ่นอายที่อ่อนแอ คนหนึ่งมีกลิ่นอายที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง นางล้วนไม่อาจคาดเดาพลังยุทธ์ของทั้งสองได้ ทั้งสองคนไม่ว่าจะเป็นอาภรณ์หรือองคาพยพล้วนเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว!


 


 


นี่จึงทำให้สตรีผู้นี้รู้สึกขนลุกชันไปเล็กน้อย


 


 


แม้ว่าเคล็ดวิชาแปลงกายนอกกาย นางจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าย่อยสาขาเล็กๆ เผ่าหนึ่งของปุโรหิตอย่างนางจะร่ำเรียนได้


 


 


แต่แค่จุดนี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าอีกฝ่ายมีอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา ส่วนหญิงสาวจะยังหยั่งเชิงสอบสวนต่ออีกหรือไม่นั้น นี่จึงทำให้นางรู้สึกลังเลไม่แน่ใจ


 


 


และในครานั้นเองหญิงสาวกับสืบเท้ามาเบื้องหน้า คารวะ ‘หานลี่’ อย่างนอบน้อม ฉีกยิ้มอ่อนหวานพลางเอ่ยว่า


 


 


“จูเอ๋อร์ได้ฟังท่านแม่กล่าวว่ามีอาวุโสชนชั้นสูงท่านหนึ่งมาที่นี่ เช่นนั้นถึงได้ตั้งใจมาคารวะสักหน่อยเจ้าค่ะ หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือโทษ!”


 


 


“ที่แท้ก็เป็นบุตรีของสหายหั่ว อายุยังน้อยก็มีพลังยุทธ์เพียงนี้ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีโดยแท้!” หานลี่เปิดเปลือกตาขึ้น หัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยชื่นชมส่งเดชสองประโยค


 


 


“ที่ไหนกันเจ้าคะ! ยัยหนูพลังยุทธ์แค่นี้จะไปอยู่ในสายตาของท่านอาวุโสได้อย่างไร ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสคุ้นเคยกับการพักอยู่ที่นี่หรือยัง หากมีตรงใดไม่เหมาะสม ก็บอกมาได้เลยนะเจ้าคะ ชนรุ่นหลังจะเปลี่ยนที่ให้ท่านอาวุโสทันที” ฮูหยินสลัดความสงสัยทิ้งไปชั่วคราว พลางเอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ไอวิญญาณที่นี่ไม่เลวนัก ไม่ต้องลำบากเช่นนั้น! ของในมือสหาย คือยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดสินะ?” ‘หานลี่’ ไม่ได้มีเจตนาจะพูดให้มากความ จ้องเขม็งไปยังกล่องหยกสีแดงเพลิงในมือของฮูหยิน แล้วเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ


 


 


“ใช่แล้ว คือสิ่งนี้เจ้าค่ะ! ยาลูกกลอนนี้เป็นสิ่งที่ท่านมหาปุโรหิตคนแรกของเผ่าข้าสังหารอสูรตัวหนึ่งได้ในน่านน้ำละแวกนี้…” หลังจากที่ฮูหยินยกกล่องหยกขึ้นแล้ว พลันเอ่ยยอมรับด้วยรอยยิ้ม และอธิบายประวัติความเป็นมาของยาลูกกลอนเม็ดนี้


 


 


แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังนิ่งฟังด้วยสีหน้าราบเรียบ


 


 


และในครานั้นเองแววตาของหญิงสาวข้างกายพลันมีแววตาเจ้าเล่ห์ฉายแวบผ่าน ฝ่ามือทั้งสองซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ฉับพลันนั้นมือข้างหนึ่งพลันมีใบไม้สีเขียวมรกตเพิ่มขึ้นมา อีกมือหนึ่งบิดพลิ้วเป็นท่าทางร่ายคาถาแปลกประหลาด


 


 


ชั่วขณะนั้นพลังจิตสัมผัสที่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพลันลอบโจมตีไปยังหานลี่ทั้งสองคนอย่างเงียบเชียบ


 


 


ปฏิกิริยาของหานลี่ทั้งสองคนกลับไม่เหมือนกัน!


 


 


‘หานลี่’ ที่ดวงตาทั้งสองปิดแน่นยังคงนิ่งงันไม่ไหวติง ราวกับว่าสัมผัสไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น


 


 


แต่หญิงสาวกลับสัมผัสได้ว่าเมื่อใช้เคล็ดวิชาลับกระตุ้นจิตสัมผัสบนร่างของหานลี่ กลับดูเหมือนสิ่งที่ตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น คาดไม่ถึงว่าจะสัมผัสถึงเคลื่อนจิตสัมผัสบนร่างของอีกฝ่ายไม่ได้เลย


 


 


หญิงสาวพลันตะลึงงัน อดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้


 


 


สถานการณ์เช่นนี้หากไม่ใช่อีกฝ่ายใช้เคล็ดวิชาลับที่น่าเหลือเชื่อ อำพรางจิตสัมผัสของตนเองเอาไว้ ก็คืออีกฝ่ายเป็นกายเนื้อว่างเปล่ากายหนึ่งเท่านั้น


 


 


ไม่รอให้นางได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผลจากการหยั่งเชิง ‘หานลี่’อีกคนหนึ่ง ก็ทำให้หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสี ริมฝีปากเผยอออกอย่างร้อนรนสองสามครั้ง สีหน้าซีดขาวไร้สีโลหิต


 


 


เมื่อนางกระตุ้นจิตสัมผัสเข้าใกล้เรือนร่างของอีกฝ่าย คาดไม่ถึงว่าจะจมหายเข้าไปในระลอกคลื่นยักษ์ จิตสัมผัสทั้งหมดจมหายเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว


 


 


เวลานี้จะไม่ทำให้มนุษย์อสรพิษหญิงสาวผู้นี้ตกใจจนขวัญกระเจิงรีบร้อนดึงเคล็ดวิชาลับกลับมาและดึงจิตสัมผัสตนเองกลับมาได้อย่างไร


 


 


คาดไม่ถึงว่าจิตสัมผัสที่ดูคล้ายกับไม่อาจช่วยเหลือกลับมาได้จะถูกนางเก็บกลับมาได้อย่างง่ายดาย และไม่ได้รับการขัดขวาง


 


 


นี่จึงทำให้หญิงสาวพลันตะลึงงัน!


 


 


และในครานั้นเอง ‘หานลี่’ที่กำลังพูดกับหญิงสาวก็เหลือบตามอง ส่งสีหน้าอมยิ้มมาให้นาง


 


 


เมื่อหญิงสาวเห็นเช่นนั้น ริมฝีปากรูปอิงเถา[1]พลันเผยอออก ท่าทางทำอะไรไม่ถูก ดูแล้วลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง!


 


 


ฮูหยินดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ปากยังแนะนำสรรพคุณของยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดและข้อห้ามในการกินให้หานลี่ฟังอีกชั่วครู่ แล้วมอบกล่องหยกสีแดงเพลิงให้ ‘หานลี่’


 


 


‘หานลี่’มีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยขอบคุณ แล้วถึงได้ใช้มือหนึ่งกวักเรียกกล่องหยกให้เข้าไปอยู่ในมือ


 


 


จากนั้นฮูหยินก็ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งรออยู่อีก กล่าวลาอย่างรู้จักวางตัว แล้วลากหญิงสาวข้างกายที่ยังใจลอยขวัญผวาออกไปจากห้อง


 


 


“วิญญาณครวญ น่าสนใจดี ไฉนจึงไปทำให้แม่หญิงผู้ตกใจจนขวัญกระเจิงเช่นนั้น” ‘หานลี่’ ที่หลับตาทั้งสองข้างสนิทอยู่ด้านข้าง พลันเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างขึ้นหลังจากที่ฮูหยินและหญิงสาวออกไปแล้ว พลางเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา


 


 


จากนั้นเขาพลันโบกมือข้างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นด้านนอกห้องไม้ทั้งหมดพลันถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงสีขาวอีกครั้ง


 


 


“นายท่าน! แม่หญิงนั่นช่างบังอาจหนัก ทว่าพลังยุทธ์ระดับหลอมรวม คาดไม่ถึงว่าจะกล้าตรวจสอบจิตสัมผัสของนายท่าน แน่นอนว่าต้องทำให้นางรู้จักความยากลำบากแล้วถอยไปซะ!” ‘หานลี่’อีกคนหนึ่ง หัวเราะคิกคักออกมาขณะเอ่ย


 


 


ทันใดนั้นร่างของ ‘หานลี่’ ก็เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ร่างกายหดเล็กลง กลายเป็นวานรน้อยสีดำสนิทตัวหนึ่ง


 


 


ร่างของวานรกระโจนขึ้นมาอยู่บนหัวไหล่ของหานลี่ และหยิบกล่องหยกมาตรงหน้าหานลี่อย่างเอาอกเอาใจ


 


 


หานลี่สั่นศีรษะพร้อมกลั้วหัวเราะ ไม่ได้เอ่ยอะไรมากนัก รับกล่องหยกนั้นมา


 


 


หลังจากที่อสูรวิญญาณครวญถูกเบิกเนตรในเมืองเทวะสวรรค์ แล้วค่อยๆ หลอมจิตสัมผัสของเขาเข้าไปตามความรู้ในคัมภีร์ จนกลายร่างเป็นเขาแล้ว ก็ยิ่งเหมือนเขามากขึ้นเรื่อยๆ จนแยกแยะไม่ออก


 


 


เปิดฝากล่องหยกออกอย่างเบามือ!หมอกสีแดงพลันแผ่ออกมา กลิ่นอายร้อนฉ่ากรูเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้เขารู้สึกราวกับอยู่ข้างเตาหลอมอย่างไรอย่างนั้น


 


 


หานลี่ไม่ตกตะลึงกลับรู้สึกยินดี พลางจ้องเขม็งมองไป


 


 


เห็นเพียงท่ามกลางลำแสงสีแดงมีไข่มุกกลมขนาดเท่าหัวแม่มืออยู่เม็ดหนึ่ง กำลังเปล่งแสงสีดำเจิดจ้าแยงตา


 


 


“นี่คือยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือด มีความพิเศษดังคาด” หานลี่บ่นพึมพำ ยื่นนิ้วสองนิ้วออกไปคีบมันออกจากกล่องหยกอย่างไม่รีบร้อน


 


 


“ฟู่” เสียงดังขึ้นเบาๆ!


 


 


เมื่อนิ้วทั้งสองเข้าใกล้ไข่มุกกลมนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีเปลวเพลิงสีแดงกลุ่มหนึ่งทะลักออกมา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มฝ่ามือของหานลี่เอาไว้


 


 


หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ เกรงว่าเวลานี้คงถูกเปลวเพลิงประหลาดเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยแล้ว


 


 


แต่จากความแข็งแกร่งของกายเนื้อของหานลี่ แน่นอนว่าย่อมไม่เห็นเปลวเพลิงลูกนี้อยู่ในสายตา ร่องรอยเผาไหม้สักนิดบนนิ้วมือก็ยังไม่เห็น คีบไข่มุกกลมสีแดงเอาไว้ในมือ


 


 


อสูรวิญญาณครวญนั่งยองๆ อยู่ตรงหัวไหล่ของหานลี่ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องเขม็งไปยังไข่มุกกลมพลางกลอกไปมาไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะรู้สึกสนใจยาลูกกลอนเม็ดนี้เป็นอย่างมาก


 


 


สายตาของหานลี่เปล่งประกายไหววูบขณะจ้องมองยาลูกกลอนเม็ดนี้อยู่ชั่วครู่ ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


 


 


ถ้าหากเป็นตามที่ฮูหยินกล่าว เหตุเพราะยาเม็ดนี้มีธาตุไฟที่สุดขั้วเกินไป ไม่เพียงจะมีวิธีการกินที่สลักซับซ้อน ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่ทันระวัง ยังอาจจะถูกแว้งกัดได้โดยง่าย เช่นนั้นจะเกิดเรื่องการเผาตนเองขึ้น


 


 


ทางที่ดีที่สุดคือใช้สมุนไพรวิญญาณธาตุเย็นจำนวนมาก ผสมลงไปในยาลูกกลอนเม็ดนี้ แล้วค่อยกินจะดีกว่า


 


 


แต่เขาสัมผัสได้ถึงพลังเพลิงสุดขั้วในยาลูกกลอนเม็ดนี้ดี ช่างไม่ธรรมดา ถ้าเปล่าประโยชน์ไปก็เสียดายนัก


 


 


เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่พลันอ้าปากออกอย่างไม่ต้องขบคิด พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา


 


 


นั่นก็คือเพลิงกลืนวิญญาณ!


 


 


หลังจากที่เพลิงเปล่งเสียงดัง ปัง ชั่วครู่พลันกลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง บินวนล้อมรอบหานลี่อยู่สองสามครั้ง


 


 


หานลี่พลันเลิกคิ้วขึ้น นิ้วมือเคลื่อนไหว ไข่มุกกลมสีแดงสดในมือบินออกมาอย่างเชื่องช้า


 


 


ชั่วขณะนั้นวิหคเพลิงสีเงินพลันเปล่งเสียงร้องไพเราะเสนาะหูออกมา หลังจากสยายปีกทั้งสองออก ก็กระโจนมาที่ไข่มุกกลม


 


 


ครู่ต่อมาเปลวเพลิงสีเงินพลันห่อหุ้มยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดเอาไว้ข้างใน


 


 


……


 


 


อีกด้านฮูหยินและหญิงสาวที่ขับเคลื่อนเมฆสีขาวไปด้วยความเร็วสูง จนห่างจากภูเขาขนาดย่อมนั้นไปได้ยี่สิบสามสิบลี้แล้ว


 


 


ฉับพลันนั้นลำแสงสีขาวพลันสว่างวาบ ก้อนเมฆพลันลดระดับความเร็วลง


 


 


“จูเอ๋อร์ จิตสัมผัสไม่ได้รับบาดเจ็บสินะ!” ฮูหยินถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยปากซักถาม


 


 


“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร แค่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้น” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวยังเผยท่าทางหวาดผวาออกมา พลางฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น


 


 


“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว! เช่นนั้น ‘ท่านหาน’ผู้นี้ก็มีความอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรโดยแท้ หากเป็นเช่นนั้น มอบยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดให้เขา ก็ไม่นับว่าสูญเปล่าแล้ว” ฮูหยินไม่ได้ซักถามหญิงสาวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กลับเอ่ยด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลงไปเปลาะหนึ่ง


 


 


“อืม แม้ว่าข้าจะสืบอะไรออกมาไม่ได้ แต่คนผู้นี้ต้องมีอุบายอะไรแน่ ทว่าท่านแม่เรื่องอายุขัยของท่านที่สูญเสียไปจะแก้ไขอย่างไร” หญิงสาวกลับรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา


 


 


“หึๆ ข้าคือมหาปุโรหิตของเผ่า สูญเสียอายุขัยแลกกับการฟาดเคราะห์ของเผ่า มีอันใดที่ไม่พอใจกัน เผ่าข้ายืนหยัดอยู่ที่นี่ได้ ต้องขอบคุณท่านมหาปุโรหิตรุ่นก่อนๆ ที่คอยปกป้องคุ้มครอง ส่วนมหาปุโรหิตของเผ่านั้น จะมีสักกี่คนที่มีชีวิตจนสิ้นอายุขัยกัน เอาล่ะ พวกเราเรียกกลับไปเตรียมตัวเถิด หวังว่าท่านหานผู้นี้จะรีบดูดซับพลังของลูกกลอนเทวะ แล้วช่วยพวกเราได้อีกแรง” ฮูหยินกลั้วหัวเราะ แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเลยสักกระผีก


 


 


“แต่ว่า…” หญิงสาวมีดวงตาสีแดงก่ำ ยังคงเอ่ยอะไรสักอย่าง


 


 


แต่ฮูหยินกลับดูเหมือนว่าจะไม่อยากเอ่ยอะไรอีก สองมือร่ายอาคม หลังจากเมฆสีขาวใต้ฝ่าเท้าหมุนวนแล้ว ก็ห่อหุ้มร่างของทั้งสองเอาไว้


 


 


ทันใดนั้นลำแสงสีขาวพลันกลายเป็นลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็หายวับไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ผลอิงเถา หมายถึง ผลเชอร์รี่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)