ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 154-161

 ตอนที่ 154 เคล็ดใจปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พูดเช่นนี้หมายความว่าด้านล่างของนิกายเราก็มีหลุมปีศาจ ถ้าอย่างนั้นไอปีศาจบริสุทธิ์ที่อาจารย์อาจางให้เมื่อตอนกลางวันคือ…” หลิ่งหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็พอจะเข้าใจบ้างแล้ว


“ไม่ผิด! เป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้มีหลุมปีศาจขนาดใหญ่อยู่หลุมหนึ่ง นิกายปีศาจของเราถึงได้เลือกสถานที่นี้เพื่อก่อตั้งนิกาย และไอปีศาจบริสุทธิ์ที่นิกายมอบให้เจ้าในก่อนหน้านั้นก็เอามาจากหลุมปีศาจนี้ แต่ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้เป็นแค่ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินพิภพเท่านั้น หลังจากควบแน่นเป็นปราณแข็งแกร่งแล้ว เพียงแค่ควบแน่นต่อให้เข้มข้นหน่อยก็สามารถใช้พลังไอเย็นทำร้ายศัตรูได้ ส่วนผลลัพธ์นั้นมีไม่ค่อยมากนัก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม หลายปีมานี้ไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เกิดจากหลุมปีศาจของนิกายเราก็มีไม่มากแล้ว เมื่อศิษย์โดยทั่วไปฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ และนอกจากจะมามีคุณสมบัติโดดเด่นจนทางสาขาที่สังกัดอยู่ยื่นเรื่องขอกับทางนิกายแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็ต้องใช้แต้มคุณูปการมหาศาลเพื่อไปแลกเอาไอปีศาจบริสุทธิ์มาเป็นของตนเอง จากนั้นถึงได้รับโอกาสหนึ่งครั้งในการทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ นี่ก็เป็นเพราะว่าการทดสอบความเป็นความตายนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก ทางนิกายถึงได้มอบไอปีศาจบริสุทธิ์เป็นรางวัลให้กับพวกเจ้า” นักพรตแซ่จงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“อาจารย์อธิบายในรอบนี้ทำให้ศิษย์เข้าใจชัดเจนมากขึ้น เช่นนี้ก็หมายความว่าถ้าศิษย์ไปหาไอปีศาจบริสุทธิ์อื่นจากด้านนอก ก็สามารถควบแน่นให้กลายเป็นปราณแข็งแกร่งที่ปกป้องร่างกายได้ดียิ่งกว่า!” หลิ่วฉุกคิดอย่างรวดเร็วและถามออกไป


“แน่นอนว่าย่อมได้ แต่ความหวังนี้เลือนลางมาก เจ้ารู้ไหมว่าด้านนอกเขาขายไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินพิภพชุดนี้กันเท่าไหร่?” นักพรตแซ่จงพยักหน้าก่อนที่จะส่ายหน้าไปมา


“หวังว่าอาจารย์จะชี้แนะ!” หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง


“หินจิตวิญญาณสามหมื่นก้อน และในสถานการณ์ทั่วไปก็ไม่อาจซื้อได้ ส่วนไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ค่อนข้างดีหน่อยราคาก็พุ่งสูงกว่าหลายเท่าซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะผู้ฝึกฝนที่ต้องการไอปีศาจบริสุทธิ์นั้นมีมาก และพอทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณล้มเหลว และคิดที่จะลองทะลวงอีกครั้งก็จำเป็นต้องหาไอปีศาจบริสุทธิ์ชุดใหม่มาอีก นอกจากนี้ในขณะที่ทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณนั้น ถ้าหากสามารถละลายไอปีศาจบริสุทธิ์ได้หนึ่งถึงสองชุดล่ะก็จะยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ราคามันจึงสูงกว่าที่คิดไว้มาก” นักพรตแซ่จงกล่าว


“หินจิตวิญญาณสามหมื่นก้อน!” หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้สนใจคำพูดในตอนท้ายก็ต้องยิ้มขมขื่นออกมาก่อนแล้ว


เช่นนี้ก็หมายความว่าหินจิตวิญญาณที่เขาได้จากการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในการทดสอบความเป็นความตายนั้น เพิ่งจะพอซื้อไอปีศาจบริสุทธิ์ได้เพียงชุดเดียวเท่านั้น


ด้วยคุณสมบัติของเขาในตอนนี้ ถ้าจะบอกว่าสามารถทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้อย่างแน่นอนนั้น เกรงว่าแม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถเชื่อมั่นได้


“ราคานี้ถือว่าถูกมากแล้ว เพราะว่าถ้าหากได้รับโอกาสทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ ไม่รู้ว่าผู้ฝึกฝนอิสระนอกนิกายกับศิษย์ที่ค่อนข้างมีอายุในนิกายสักเท่าไหร่ที่ยอมแลกกับมัน เอาล่ะ! ข้าขอพูดเรื่องไอปีศาจบริสุทธิ์เพียงแค่นี้ ต่อไปจะพูดเรื่องที่เจ้าต้องระวังในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ ประการแรก ผู้ฝึกฝนอายุน้อยกว่าสามสิบมีโอกาสทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้สำเร็จสูง ถ้าหากว่าเลยอายุเหล่านี้ไปแล้วก็ไม่สามารถพูดได้ว่าจะทำไม่สำเร็จ แต่ทะเลจิตวิญญาณ เส้นลมปราณในร่าง และสภาพด้านอื่นๆ ล้วนแตกต่างจากก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง มีความเป็นไปได้ว่าจะลดลงจนถึงระดับต่ำมาก นอกจากนี้จะสามารถควบแน่นปราณให้เป็นของเหลวได้หรือไม่นั้น มันมีความเกี่ยวกับข้องกับระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ของเจ้าเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าพลังเวทย์ในร่างของเจ้าบริสุทธิ์จนถึงระดับที่แน่นอน ไอปีศาจบริสุทธิ์ย่อมละลายเข้าไปในปราณแท้ได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ มาก นี่คือเหตุผลที่ข้ากับอาจารย์ลุงกุยของพวกเจ้าไม่ยอมให้พวกเจ้าทานโอสถเพิ่มพลังเวทย์ และให้พวกเจ้าค่อยๆ ฝึกฝนพลังเวทย์ด้วยตนเอง นอกจากพืชผลไม้จิตวิญญาณที่มาจากปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อทานเข้าไปแล้วพลังเวทย์จะบริสุทธิ์เป็นอย่างมากและไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว โอสถอื่นๆ หรือเลือดเนื้อของปีศาจอสูรถ้าทานมากไปจะเป็นอุปสรรคต่อปัญหาคอขวดในภายหลัง พอถึงเวลานั้นจะเสียใจก็สายเกินไปแล้ว แต่ถ้าหากว่าตนเองใช้เวลาส่วนมากในการทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์ล่ะก็ ทำให้ต้องใช้เวลามากจนอายุเลยสามสิบก็เป็นได้” นักพรตแซ่จงกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความหมายลึกซึ้ง


หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็มีสีหน้าเคอะเขินอย่างช่วยไม่ได้


ประจักษ์ชัดว่าอาจารย์คิดว่าก่อนหน้าที่เขาฝึกฝนได้รวดเร็วเป็นเพราะว่าเคยใช้โอสถเพิ่มพลังเวทย์


“นอกจากนี้ ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณก่อนอายุสามสิบเจ้าก็ไม่ต้องท้อใจ เจ้าเพียงแค่นึกภาพศิษย์จิตวิญญาณหลายพันคน แต่มีคนที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้แค่สามสิบกว่าคน แค่นี้เจ้าก็จะรู้ว่าการทะลวงเขตแดนนั้นมันยากแค่ไหน เกือบจะนับได้ว่าหนึ่งในร้อยเลยทีเดียว อีกอย่างต่อให้เป็นศิษย์มีพรสวรรค์อย่างหยางเฉียนและเกาชง ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันได้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้อย่างแน่นอน เพียงแต่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ เท่านั้น ในนิกายเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์บางคนถูกผู้อาวุโสหมายตาไว้แล้ว แต่กลับไม่สามารถเข้าสู่ระดับของเหลวได้จึงเป็นศิษย์จิตวิญญาณไปจนแก่เฒ่า และแต่ก่อนในนิกายเราก็มีผู้อาวุโสระดับผลึกที่มีวาสนาทะลวงเข้าสู่ระดับของเหลวตอนอายุสามสิบ จากนั้นก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็กลายเป็นอาจารย์อาเยี่ยนที่มีฝีมือสูงส่งผู้นี้” นักพรตแซ่จงกล่าวปลอบใจหลิ่วหมิง


“ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์จะจำมันไว้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม


“ดีมาก! หากเจ้าทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ นอกจากเงื่อนไขที่สำคัญทั้งสองข้อที่กล่าวมาแล้ว ยังมีด้านอื่นๆ ที่เจ้าจะมองข้ามมันไปไม่ได้เด็ดขาด อย่างเช่นจะต้องไม่ถูกรบกวนในตอนทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ ขณะเดียวกันสถานที่ต้องมีพลังปราณฟ้าดินเข้มข้น ยิ่งเข้มข้นยิ่งดี…” นักพรตแซ่จงพยักหน้า แล้วยังพูดเสริมเกี่ยวกับปัญญาอื่นๆ ที่ต้องให้ความสนใจอย่างละเอียด


หลิ่วหมิงตั้งใจจดจำทุกถ้อยคำ


ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดนักพรตแซ่จงก็พูดเรื่องที่ควรพูดกับหลิ่วหมิงไปจนหมด แล้วถึงให้เขาจากไป


เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงออกไปจากที่พักมุ่งหน้าไปยังหอเก็บคัมภีร์อีกครั้ง และยังใช้แต้มคุณูปการที่เพิ่งได้มาใหม่แลกกับ ‘เคล็ดใจปีศาจ’ จากนั้นก็ไปซื้อถุงใส่ปีศาจที่มีคุณภาพธรรมดาจากตลาดสีเทามาใบหนึ่ง


เป็นธรรมดาที่ถุงใบนี้จะไม่สามารถเทียบกับถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณได้ แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้หัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวเบียดเสียดอยู่ด้วยกัน


จากนั้นภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน หลิ่วหมิงก็ตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ได้มาใหม่โดยไม่ไปไหนเลย


การสยบหัวบินในวันนั้นช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากนัก ถ้าหากเขาหาเหตุผลที่ชัดเจนไม่ได้ เขาก็จะไม่สามารถวางใจได้เลยแม้แต่วันเดียว


ถึงแม้เคล็ดใจปีศาจจะต้องใช้แต้มคุณูปการจำนวนมากในการแลกมา แต่การฝึกฝนค่อนข้างง่าย


ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถฝึกได้สำเร็จเล็กน้อยแล้ว ตามที่กล่าวไว้ในนั้นมันเพียงพอที่จะสื่อสารกับจิตของหัวปีศาจได้แล้ว


เช้าวันนี้ เมื่อเขาพักผ่อนเพียงพอแล้วก็เอามือตบถุงหนังที่ซื้อมาใหม่ และไอสีดำก็พุ่งออกมาในฉับพลัน จากนั้นมันก็พวยพุ่งรวมตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหัวบินตนนั้น


เดิมทีหัวบินมีสีหน้าชั่วร้ายเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ตาทั้งคู่มองเห็นหลิ่วหมิงแล้วก็มีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามขึ้นมา และมันก็บินมาหาหลิ่วหมิงอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ซบหน้ากับพื้นไม่ขยับเขยื้อน


หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่เล็กน้อย เขาทำท่ามือด้วยมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอสีดำพวยพุ่งออกจากร่างเขาในทันที ขณะเดียวกันอักขระก็พุ่งออกมาจากช่องระหว่างนิ้ว และค่อยๆ จมหายเข้าไปในหัวบิน


ขณะนี้หลิ่วหมิงกางนิ้วทั้งห้าออกมา แล้วกดลงบนหน้าผากของหัวบินท่ามกลางไอสีดำที่รัดพันอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาทั้งสองลง


ครู่ต่อมา อักขระสีเลือดบนหน้าผากของหัวบินก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ดวงหน้าทั้งคู่แลดูงงงวยเป็นอย่างมาก


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงก็ลืมตาทั้งสองขึ้นในทันที จากนั้นก็เอามือออกจากหน้าผากของหัวบิน


“เกิดอะไรขึ้น! อะไรคือเห็นนายท่านที่แข็งแกร่งอีกคนอยู่ในร่างของนายท่าน?”


หลิ่วหมิงจ้องมองหัวบินและกล่าวพึมพำกับตนเอง แต่สีหน้าของเขาดูประหลาดใจ และฉงนสนเท่ห์อยู่ตลอด


การแสดงวิชาของเขาเมื่อครู่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ แต่ผลลัพธ์ของการสื่อสารจิต นอกจากจะรับรู้ได้ว่าหัวปีศาจตนนี้เคารพและยำเกรงเขามากแล้ว เรื่องราวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็รับรู้ได้ไม่หมด ทำให้เขายังไม่สามารถคลายความสงสัยได้


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็แสดงวิชาสื่อสารกับจิตของหัวบินอีกรอบ เพราะยังไม่พอใจในคำตอบ


แต่ครั้งนี้เขาก็ยังคงได้รับคำตอบออกมาแบบเดิม


แต่ดีที่การแสดงวิชาทั้งสองครั้งนี้ ทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมหัวบินที่เป็นถึงหัวปีศาจระดับสี่ แต่กลับมีระดับการฝึกฝนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ในปีก่อนหน้านั้นหัวปีศาจตนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังถูกปิดผนึกมาโดยตลอด และช่วงนี้เพิ่งจะได้รับอิสระ มันถึงได้อ่อนแอเช่นนี้


แต่หลิ่วหมิงกลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


เช่นนี้ก็หมายความว่า เพียงแค่หัวปีศาจตนนี้ฟื้นฟูพลังเดิมกลับมาได้ ก็เท่ากับว่าเขาจะมีผู้ช่วยระดับของเหลวจิตวิญญาณในทันที


แต่น่าเสียดายที่การสื่อสารเมื่อครู่ ไม่ได้รู้ถึงวิธีรักษาอาการบาดเจ็บให้กับหัวปีศาจตนนี้


จากปากของมันบอกว่า นอกจากการนอนหลับระยะยาวที่สามารถทำให้อาการบาดเจ็บดีขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว มันก็พูดคำแปลกๆ ออกมา ซึ่งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งทำให้ไม่รู้จะหาวิธีช่วยมันอย่างไร


ดูท่าเรื่องนี้ คงต้องค่อยว่ากันภายหลังเมื่อมีโอกาส


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วชี้ไปยังอากาศเหนือหัวบิน


เสียงดัง “ฟุ่บ!” หัวปีศาจกลายเป็นไอก่อนที่จะมุดหายเข้าไปในถุงหนัง


เวลาที่เหลือ หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญถึงประโยคที่หัวบินบอกเขา แท้จริงแล้วมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่


แต่น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไม่มีที่มาที่ไปอะไรเลย หลังจากที่เขาคิดใคร่ครวญไปได้ซักพักก็ได้แต่ยิ้มขมขื่นแล้วเก็บเรื่องนี้ไว้คิดทีหลัง


จากนั้นเขาก็คิดเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบแผ่นป้ายสีเงินกับขวดสีดำออกมาจากแขนเสื้อ


ของทั้งสองสิ่งนี้ เป็นของที่สามารถเข้าบ่อจิตวิญญาณของนิกาย กับไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินพิภพที่เขาได้รับมอบมาก่อนหน้านั้น


หลิ่วหมิงวางของสองสิ่งนี้ไว้บนมือทั้งสองข้าง จากนั้นสมาธิเขาก็จมดิ่งลงไปอีกครั้ง


ตามความคิดแต่แรกของเขา ขอแค่ตัวเองฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ย่อมสามารถทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้ทันที เพราะเป็นอาจารย์จิตวิญญาณเร็วหนึ่งวัน ก็มีจุดยืนในโลกผู้ฝึกฝนได้เร็วขึ้นอีกวัน


แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของนักพรตแซ่จงแล้ว หลิ่วหมิงกลับรู้สึกลังเลขึ้นมา!


……………………………………….


ตอนที่ 155 เกราะเกล็ดมังกร

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขารู้ดีว่าถึงแม้พลังเวทย์ของเขาจะบริสุทธิ์กว่าของศิษย์ทั่วไปเล็กน้อย แต่ด้วยคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณกับเคล็ดวิชากระดูกดำที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดแจ้งนั้น เกรงว่าโอกาสการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณได้สำเร็จคงมีไม่มากนัก


และตามคำพูดสุดท้ายของอาจารย์ที่บอกจุดต้องระวังในการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ หนึ่งในนั้นที่ท่านกล่าวถึงคือ ทุกครั้งที่ทะลวงคอขวดล้มเหลว ทะเลจิตวิญญาณจะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะมีไอปีศาจบริสุทธิ์อยู่ในมือก็ตาม แต่ภายในระยะเจ็ดแปดปีนี้จะไม่มีโอกาสทะลวงครั้งที่สองอีก


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขายิ่งลังเลมากขึ้นกว่าเดิม


วิธีการต่างๆ ที่นักพรตแซ่จงบอกว่าจะช่วยยกระดับความสำเร็จในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณนั้น ตอนนี้เขายังไม่ได้เตรียมพร้อมมากพอ


อีกอย่าง ต่อให้เขาโชคดีทะลวงเขตแดนได้สำเร็จในครั้งเดียว แต่ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินพิภพที่นิกายมอบให้นั้นมันธรรมดาเกินไป ถ้าใช้มันควบแน่นเป็นปราณแข็งแกร่งล่ะก็จะส่งผลกระทบต่อพลังของเขาในภายภาคหน้า


ในทางตรงกันข้าม ตอนนี้เขาได้ล่วงเกินศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชงไปแล้ว ถ้าหากว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณก่อนล่ะก็ เกรงว่าต่อไปเขาคงอยู่ในนิกายปีศาจอย่างเป็นสุขไม่ได้แล้ว


ดูจากภายนอก กุยหรูฉวน นักพรตแซ่งจงและคนอื่นๆ จะต้องเข้าข้างเขาอย่างแน่นอน แต่เกาชงเพียงแค่แอบหาเรื่องเขานิดหน่อยเขาก็ไม่สามารถรับมือได้แล้ว


แต่ถ้าหากรีบร้อนเสี่ยงทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้วไม่สำเร็จ สถานการณ์ก็ยิ่งแย่กว่าเดิมหลายเท่า


หลิ่วหมิงมองดูสิ่งของในมือ และคิดไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมดอย่างเงียบๆ เพื่อชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย


ถ้าหากเขาสามารถรอได้อีกสักระยะล่ะก็ เขาจะเตรียมไอปีศาจบริสุทธิ์สักหนึ่งถึงสองชุด แล้วไปหาซื้อโอสถหลากหลายชนิดที่มีผลลัพธ์ในการช่วยทะลวงคอขวดอีกสักหน่อย หรืออาจจะเสี่ยงอันตรายรออีกหลายปีเพื่อให้ฟองอากาศลึกลับทำพลังเวทย์ของเขาให้บริสุทธิ์ขึ้นอีกครั้ง


ดูจากขีดจำกัดของพลังเวทย์ขั้นสมบูรณ์แบบทั้งหมดของเขาในตอนนี้ คงทนการดูดกลืนของฟองอากาศในครั้งหน้า และผ่านการทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์อีกครั้งได้ อย่างน้อยระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ในร่างที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้เขามีโอกาสทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณได้สำเร็จเพิ่มขึ้นหนึ่งถึงสองส่วน และถ้ามีเวลาหลายปีล่ะก็ ก็พอที่จะไปหาไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เหมาะสมได้


ส่วนถ้าเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก่อนล่ะก็ เขาจำต้องรับภารกิจระยะยาวของนิกายเช่นภารกิจการตั้งมั่นรักษาการหรือตรวจตราเป็นต้น ซึ่งเป็นภารกิจที่ต้องจากนิกายไปหลายปี


โดยทั่วไปแล้วภารกิจประเภทนี้เป็นภารกิจที่ค่อนข้างง่าย แต่แต้มคุณูปการที่ให้นั้นช่างน่าตกใจเป็นอย่างมาก เรื่องยุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ในระหว่างดำเนินภารกิจนั้นพลังปราณฟ้าดินและสิ่งของอื่นๆ ที่ช่วยเสริมการฝึกฝนเทียบไม่ได้กับเมื่อตอนอยู่ในนิกาย ซึ่งทำให้หน่วงเหนี่ยวการฝึกฝนของตนเองเป็นอย่างมาก ดังนั้นโดยปกติศิษย์นิกายอายุต่ำกว่าสามสิบที่ตั้งปณิธานว่าจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ต่างก็ไม่ยอมรับภารกิจประเภทนี้


แต่สำหรับเขาแล้วทั้งหมดนี้ไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน


ตอนนี้พลังเวทย์ของเขาอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเพิ่มพลังเวทย์อีก ด้วยเหตุนี้ต่อให้การฝึกฝนภายนอกนิกายจะมีเงื่อนไขโหดร้ายเพียงใดก็ตาม เขาก็สามารถมองข้ามไปได้ทั้งหมด


ในระหว่างเวลานี้เขากลับมีเวลาค่อยๆ ทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์ด้วยตัวเอง จากนั้นก็รอให้ฟองอากาศลึกลับระเบิดตัวแล้วทำให้บริสุทธิ์อีกครั้ง พอถึงตอนนั้นพลังเวทย์ของเขาก็จะบริสุทธิ์อย่างเหลือเชื่อ และความมั่นใจในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกส่วน


หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดไปคิดมาอยู่นาน ในที่สุดก็หาวิธีจัดการได้ และเขาก็กัดฟันตัดสินใจยึดเอาวิธีการนี้ในทันที


“ถ้าหากมีเวลาหลายปีจริงๆ ล่ะก็ ดูเหมือนว่าจะสามารถไปหาความลับเรื่องนั้นได้ การไปสถานที่แห่งนั้นด้วยพลังของข้าในตอนนี้ไม่อาจพูดได้ว่าไม่ต้องพะวงสิ่งใด แต่ก็สามารถป้องกันตัวเองได้เกินพอ อีกอย่างยังมีเรื่องของตระกูลไป๋กับเรื่องของอาเฉียนที่ควรจะได้เวลาจัดการแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำกับตนเองด้วยสีหน้าเยือกเย็น


สองเรื่องก่อนหน้านั้นไม่ต้องพูดถึง ด้วยสถานะของเขาที่ช่วยสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้นิกาย คงไม่ต้องกังวลกับเรื่องการสวมรอยตระกูลไป๋ในปีนั้น คิดว่าถึงแม้นิกายจะทราบเรื่องนี้ก็คงไม่ลงโทษอะไรเขารุนแรงมากนัก แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ควรยืดยื้ออีกต่อไป มิเช่นนั้นต่อให้จะสร้างผลงานให้นิกายมากมายแค่ไหน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้ามันก็จะจืดจางลงได้


หลิ่วหมิงได้พิจารณาถึงแผนการของเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อคาดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมากถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนแขนที่นูนๆ อีกข้างเบาๆ


เสียงดัง “ฟู่!” รูบาดแผลรูหนึ่งได้เปิดออกมา และหอยสังข์สีขาวน้ำนมขนาดเล็กก็โดนบีบออกมาจากในนั้น


มันก็คือหอยสังข์ย่อส่วนนั่นเอง


หลิ่วหมิงคว้ามันเอาไว้ในมือ และสังเกตดูอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพลันหัวเราะออกมา


“หอยสังข์ย่อส่วน คิดไม่ถึงว่าสิ่งนี้จะเป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่าเจ้าสมุทร ไม่รู้ว่ามันตกอยู่ในมือของมังกรแดงตนนั้นได้อย่างไร ช่างเถอะ! ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นของข้าแล้ว” หลายวันนี้เขาได้ศึกษาคัมภีร์โบราณเกี่ยวกับที่มาของหอยสังข์ย่อส่วน ในที่สุดก็รู้อย่างแจ่มแจ้ง จึงไม่แปลกที่เขาจะดีใจเช่นนี้


ต่อมาหลิ่วหมิงหยิบยันต์ออกจากตัวมาผืนหนึ่ง หลังจากที่โบกไปยังอากาศมันก็กลายเป็นม่านแสงสีขาวบางๆ ปกคลุมทุกสิ่งที่อยู่ภายในรัศมีสองสามจั้ง


จากนั้นเขาก็ใช้พลังเวทย์กระตุ้นหอยสังข์ย่อส่วนให้ขยายใหญ่ขึ้น อักขระสีเงินล่องลอยออกจากพื้นผิวของมัน เมื่อแสงสีขาวม้วนตัวออกมา กล่องหยกใบหนึ่งกับคราบมังกรแดงที่สูงหลายฉื่อก็ปรากฏตรงหน้า


เมื่อเขายื่นมือออกไป กล่องหยกก็สั่นไหวและค่อยๆ ตกลงบนมือเขาอย่างมั่นคง


หลิ่วหมิงเปิดฝามันออก เผยให้เห็นถึงดินเหนียวสีทองจางๆ ที่อยู่ในนั้น มันคือดินปราณทองคำบริสุทธิ์ก้อนนั้นนั่นเอง


เขานำมันออกมาจากกล่องหยกอย่างระมัดระวัง หลังจากตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้วก็ใส่กลับเข้าไปที่เดิมราวกับคิดอะไรอยู่


ดินปราณทองคำบริสุทธิ์นี้มีมูลค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณหลายแสนก้อน สามารถพูดได้ว่าเป็นของล้ำค่ารองมาจากคราบมังกรแดงในมือเขา


แต่จะจัดการกับของสิ่งนี้อย่างไรนั้น เขากลับยังไม่ได้คิด


ถ้าจะนำของสิ่งนี้ไปขายตามตลาดล่ะก็ แน่นอนว่าไม่สามารถทำได้


เขาเคยได้ยินคนพูดว่าตลาดบางแห่งมีกำหนดเวลาการประมูล ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่ตรวจสอบสถานะของเจ้าของ ทั้งยังมีความน่าเชื่อถือสูง ถ้าอยากจะเปลี่ยนเป็นหินจิตวิญญาณล่ะก็ นี่ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว


ถ้าหากไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ เขาสามารถพิจารณานำของสิ่งนี้ไปยังตลาดเผ่าเจ้าสมุทรที่เล่าลือกันได้ ถ้าหากดวงดีล่ะก็ไม่แน่มันอาจแลกสิ่งของทั้งหมดที่เขาต้องการได้


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากที่หอยสังข์ในมือสั่นไหว กล่องหยกก็ถูกแสงสีขาวม้วนเข้าไปในนั้น จากนั้นเขาก็ละสายตามาที่คราบมังกรแดง


เมื่อเขายื่นมือข้างหนึ่งออกไป ของสิ่งนี้ก็ค่อยๆ ลอยเข้ามาหล่นอยู่บนมือทั้งสองของเขา


หลิ่วหมิงขยับนิ้วลูบไปบนคราบมังกรแดงที่เปล่งประกายแสงสีแดงออกมา และเขาก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเกล็ดมังกรในทันที


เมื่อเทียบมูลค่าของสิ่งนี้ ดินปราณทองคำบริสุทธิ์กลับห่างชั้นยิ่งนัก


ชิ้นหนึ่งเป็นคราบมังกรแดงระดับผลึก เชื่อว่าในแผ่นดินอวิ๋นชวนนี้คงไม่มีชิ้นที่สองแล้ว


แต่ที่น่าเสียดายก็คือของสิ่งนี้ไม่สามารถโดนแสงได้ เรื่องการนำไปประมูลขายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่อให้นำไปที่ตลาดเผ่าเจ้าสมุทร เกรงว่านิกายปีศาจ และนิกายอื่นๆ คงทราบเรื่องอย่างรวดเร็ว และคงจะสงสัยศิษย์ทั้งหมดที่เข้าไปในแดนลึกลับ ทั้งยังทำการตรวจสอบขึ้นมาในทันที


ด้วยเหตุนี้ เพียงแค่ผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านั้นตัดสินใจใช้วิธีการอันโหดร้ายบางอย่าง เขาเองก็ไม่กล้ารับรองว่าจะสามารถรักษาความลับนี้ได้


สำหรับผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านี้แล้ว ถึงแม้คราบมังกรแดงจะล้ำค่าเป็นอย่างมาก แต่ที่พวกเขาให้ความสำคัญคือโลหิตของมังกรแดงที่สามารถเพิ่มพลังเวทย์และช่วยทะลวงคอขวดได้ และเขาจะมีสิ่งของเหล่านี้ได้อย่างไร ต่อให้เขาจะมีปากก็ไม่สามารถอธิบายได้ ถ้าพวกเขาสืบมาถึงตัวล่ะก็คงต้องเผชิญกับความเป็นความตายแล้ว


ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเป็นคนทรหดมาโดยตลอด แต่พอคิดถึงความเป็นไปได้เหล่านี้ก็รู้สึกเย็นสะท้านอย่างอดไม่ได้ ถ้าหากเขาไม่สามารถเอาตัวรอดจากการเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสระดับผลึกที่แปลกประหลาดเหล่านี้ได้ เขาก็ไม่คิดที่จะไม่นำคราบมังกรนี้ออกมาโชว์ต่อหน้าผู้คนเด็ดขาด


คราบมังกรเป็นของล้ำค่าถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่ให้ผู้เชี่ยวชาญไปหลอมเป็นอาวุธ มันก็ยังมีพลังป้องกันอันแข็งแกร่งได้ และอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปไม่อาจทำลายมันได้


ถ้าเขามีของล้ำค่าชิ้นนี้แต่ไม่นำมาใช้ประโยชน์สักหน่อยล่ะก็ มันก็น่าเสียดายไปหน่อย


หลิ่วหมิวคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ และจ้องมองคราบมังกรในมือไปมา ทันใดนั้นตาของก็เป็นประกายเมื่อมองไปยังเกล็ดเล็กๆ ที่เปล่งประกายสีแดงอยู่บนนั้น


ถึงแม้ไม่สามารถนำคราบมังกรทั้งชิ้นออกไปสู่สายตาผู้คนได้ แต่สามารถใช้การเกล็ดเหล่านี้ได้


เขาพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ลังเล และกระบี่จันทราหยกก็ปรากฏในมือของเขา จากนั้นก็ค่อยๆ งัดเกล็ดที่อยู่บนนั้นเบาๆ โดยไม่ลังเล


เสียงดัง “ฟู่!”


เกล็ดสีแดงที่มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารเกล็ดหนึ่งดีดตัวออกมาจากคราบมังกร และพริบตาที่มันพุ่งออกมานั้น ไม่คาดคิดว่าแสงสีแดงจะสว่างขึ้นสิบกว่าเท่า จากนั้นก็ขยายขนาดจนเท่านิ้วโป้ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก กระบี่สั้นในมือเคลื่อนไหวติดต่อกันหลายครั้ง อึดใจเดียวก็งัดเกล็ดออกมาได้สามสิบกว่าเกล็ดแล้วเขาจึงหยุดงัด


จากนั้นก็หยิบเกล็ดสีแดงขึ้นมาเกล็ดหนึ่ง หลังจากใช้นิ้วดีดมันเบาๆ แล้วก็แทงกระบี่ลงไป


เสียงดัง “เต๊ง!”


กระบี่จันทราหยกเด้งออกจากเกล็ดมังกรโดยที่ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมากขึ้นกว่าเดิม


เขารีบเก็บกระบี่สั้นในทันที และถอดเสื้อตัวบนออกเพื่อปลดเกราะอาญาสิทธิ์ที่ชำรุดไปมากแล้วออกมา จากนั้นก็นำเกล็ดมังกรนี้ทาบติดผิวหนังบนหน้าอก และก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ประจักษ์ชัดว่ามันไม่ค่อยสบายมากนัก


เห็นได้ชัดว่าหลิ่วหมิงไม่ได้สนใจต่อสิ่งนี้ แต่หลังจากที่คิดไปคิดมาแล้วก็ลุกขึ้นไปค้นกล่องไม้ที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง และหยิบหนังอสูรไม่ทราบชื่อที่อ่อนนุ่มเป็นอย่างมากออกมา


เขาเอาหนังอสูรมาพาดคลุมตัวและนำเกล็ดมังกรมาทาบลงบนนั้น จากนั้นก็ขยับตัวไปมาสองสามทีแล้วถึงเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา


หลิ่วหมิงนำเอ็นอสูรเส้นเล็กๆ ออกมาจากกล่องอีกครั้ง จากนั้นกระบี่สีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นมา ไม่คาดคิดว่ามันจะกรีดไปมาบนหนังอสูรอย่างรวดเร็ว


……………………………………….


ตอนที่ 156 วันแต่งงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผ่านไปสักพัก หนังอสูรก็ถูกกรีดจนเป็นรูปร่างง่ายๆ จากนั้นหลิ่วหมิงจึงเก็บกระบี่สั้นแล้วหยิบหนังอสูรขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างก็จับเอ็นอสูรที่สั่นไหวเบาๆ


เสียงดัง “ซิ้ว!”


หลังจากที่ปลายเส้นเอ็นสั่นไหวเล็กน้อยแล้วมันก็ตั้งตรงขึ้นมา และไอสีดำจางๆ ก็วนเป็นเกลียวอยู่บนนั้น จากนั้นมันก็กลิ้งไปกลิ้งมาตรงขอบหนังอสูรราวกับอสรพิษจิตวิญญาณ


แต่เพียงไม่กี่อึดใจหลิ่วหมิงก็เด็ดเอาเอ็นอสูรที่เหลือออก เขาจับมุมของหนังอสูรแล้วสะบัด และมันก็กลายเป็นเกราะหนังง่ายๆ


ถึงแม้เกราะหนังนี้จะมีรูปร่างประหลาด แต่มันก็ปกป้องหัวใจ หน้าท้อง และส่วนสำคัญอื่นไว้ได้


หลิ่วหมิงลองนำมันแนบติดกับร่างกาย แล้วก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา


วิธีการทำเกราะหนังอย่างง่ายนี้ เป็นความสามารถที่เราเรียนรู้จากการใช้ชีวิตบนเกาะมฤตยู คิดไม่ถึงว่าถึงแม้จะไม่ได้ใช้มาหลายปีแต่ฝีมือก็ยังใช้ได้อยู่


ต่อมาหลิ่วหมิงดึงหนังอสูรออก และยื่นมือไปคว้าเอาเกล็ดมังกรขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีแสงสีเขียวดีดตัวออกมา หลังจากที่มันหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ค่อยๆ ตกลงบนมืออย่างว่านอนสอนง่าย


มันคือเข็มเงาหยกเล่มนั้นนั่นเอง


นิ้วหลิ่วหมิงจับเข็มเงาหยกไว้แน่น หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาก็ใช้เข็มเล่มนี้แทงเข้าไปยังเกล็ดมังกร


เสียงแหลมเล็กดังมาจากเกล็ดมังกรในทันที!


ระหว่างที่ปลายเข็มสัมผัสกับเกล็ดมังกรจะมีแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ราวกับว่ามันกำลังแทงเหล็กบริสุทธิ์อยู่


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป “ฟู่!” เข็มเงาหยกเพิ่งจะแทงทะลุเกล็ดมังกรไปได้


หลิ่วหมิงแสยะปาก และสะบัดมือที่เริ่มรู้สึกเมื่อยบ้างแล้ว จากนั้นก็ใช้เอ็นอสูรแทงเข้ารูที่ปรากฏบนเกล็ดมังกรและเย็บมันติดเข้ากับหนังอสูร


ผ่านไปไม่นาน เกล็ดมังกรก็ติดอยู่บนหนังอสูรอย่างมั่นคง


หลิ่วหมิงลองดึงดูเบาๆ อยู่หลายครั้ง เมื่อเห็นว่าเกล็ดมังกรไม่หลุดออกมาเขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


ช่วงเวลาที่เหลือ หลิ่วหมิงใช้เข็มเงาหยกเจาะเกล็ดสีแดงเหล่านั้นทีละเกล็ด


ถึงแม้ว่าเกล็ดมังกรเหล่านี้จะเป็นเกล็ดมังกรที่บางที่สุดที่เขาเลือกมา แต่เขาก็ต้องใช้เวลาในการเจาะไม่น้อย


หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงเย็บเกล็ดมังกรเกล็ดสุดท้ายติดกับหนังอสูรแล้ว เกราะเกล็ดมังกรอย่างง่ายๆ ก็ปรากฏต่อหน้าเขา


เกราะหนังนี้แตกต่างกับเกราะเกล็ดโดยทั่วไปมาก ตรงส่วนที่เป็นจุดสำคัญจะมีเกล็ดมังกรอยู่หนาแน่น สำหรับส่วนอื่นๆ มีเกล็ดมังกรอยู่ไม่กี่เกล็ดเท่านั้น


ไม่ใช่เพราะว่าหลิ่วหมิงเสียดายที่จะใช้เกล็ดมังกรเหล่านี้ แต่เป็นเพราะว่าถ้าบนเกราะหนังมีเกล็ดมังกรมากเกินไปล่ะก็จะต้องส่งผลกระทบต่อการเดินเหินอย่างแน่นอน


เพราะนี่ไม่ใช่เกราะคุ้มกันที่ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธสร้างขึ้นมา เกล็ดมังกรเหล่านี้ไม่ได้ผ่านการจัดการโดยเฉพาะ จึงไม่สามารถหดตัวได้ทุกส่วนตามใจนึก


ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้หลิ่วหมิงก็รู้สึกพอใจมากแล้ว


เชื่อว่าหากมีเกราะหนังคุ้มกายล่ะก็ ต่อให้จะมีชีวิตเพิ่มมาอีกชีวิต ต่อให้จะเจอกับศัตรูตัวฉกาจ มันก็เหลือเฟือสำหรับการป้องกันตัวแล้ว


แต่กลิ่นไอของมังกรนี้ต้องกำจัดออกให้หมด มิเช่นนั้นพอใส่เข้าไปคงจะมีคนไม่น้อยที่รับรู้ถึงกลิ่นไอมังกรแดงตนนี้


และพอดีกับที่เขารู้ว่ามีน้ำยาจิตวิญญาณชนิดหนึ่งสามารถกำจัดกลิ่นไอของปีศาจอสูรได้


น้ำยาจิตวิญาณนี้ผสมง่ายมาก เพียงแค่หาสมุนไพรง่ายๆ มาสองสามอย่าง จากนั้นก็เอามันมาผสมปนเปเข้าด้วยกันก็สามารถทำได้แล้ว บางครั้งในตลาดสีเทาก็มีคนขายน้ำยาที่ผสมเสร็จแล้วด้วย


ดูท่าพรุ่งนี้คงต้องไปตลาดสีเทาอีกรอบแล้ว


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็รีบเก็บเกราะหนังกับคราบมังกรแดงเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน หลังจากที่สะบัดแขนเสื้ออีกครั้งม่านแสงที่ปกคลุมอยู่รอบด้านก็แตกกระจายออกไป ส่วนตัวเขาก็หลับตาแล้วเริ่มกำหนดลมหายใจขึ้นมา


เช้าวันที่สอง เมื่อเขากลับมาจากตลาดสีเทา เขาก็มีน้ำยาจิตวิญญาณที่ผสมเสร็จแล้วหนึ่งขวด


วันนี้ดวงเขาไม่เลว ตอนที่เขาไปตลาดสีเทานั้นมีศิษย์คนหนึ่งกำลังขายน้ำยาจิตวิญญาณนี้อยู่พอดี


แต่ขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าเหาะกลับมายังเขาเก้าทารกนั้น พลันมีเมฆเทาก้อนหนึ่งเหาะเข้ามาทางเขา


หลิ่วหมิงหยุดอยู่กลางอากาศด้วยความตกตะลึง และเขม้นมองไปยังเมฆเทาก้อนนั้น ผ่านไปไม่นานเขาก็นึกได้ในฉับพลัน


“ศิษย์น้องไป๋ ไม่เจอกันนาน ตอนนี้เจ้างานยุ่งจริงๆ แล้ว ข้าอยากจะไปพบเจ้าที่เขาทารกสักหน่อยก็ไม่สามารถพบได้ ต้องถูกศิษย์ที่ลาดตระเวณขัดขวางเอาไว้ตลอด” คนผู้นั้นเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็เหาะมาอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ไกล และยังกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย


นางก็คือมู่อวิ๋นเซียนนั่นเอง


“ศิษย์พี่มู่ล้อข้าเล่นแล้ว เป็นเพราะศิษย์น้องเพิ่งกลับมาได้ไม่นานจึงมีเรื่องที่ต้องสะสางเล็กน้อย และถึงได้สั่งให้ศิษย์พี่ที่ออกลาดตระเวณว่าถ้ามีคนมาเยี่ยมล่ะก็ให้บอกปัดไปก่อน” หลิ่วหมิงกำมือคารวะ และกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ครั้งนี้ศิษย์น้องมีชื่อเสียงไปทั่วนิกาย และเก็บเกี่ยวทรัพยากรจากแดนลึกลับมาได้มากมาย แน่นอนว่าต้องยุ่งบ้างเล็กน้อย แต่ครั้งนี้ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะบอกเจ้า ไม่ทราบว่าตอนนี้ศิษย์น้องไป๋พอจะมีเวลาไหม?” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็มองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนที่จะค่อยๆ กล่าวออกมา


“ศิษย์พี่ใยต้องถือตัวเป็นคนอื่นด้วยเล่า เอาอย่างนี้เถอะ! สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเตะตาคน พวกเราลงไปข้างล่างแล้วค่อยคุยรายละเอียดกันเถอะ!” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด


มู่อวิ๋นเซียนย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด ดังนั้นเมฆเทาของทั้งสองจึงร่อนลงไปยังกองหินระเกะระกะที่อยู่ด้านล่าง


“ศิษย์น้องไป๋ เจ้ารู้ไหมว่าหลายวันก่อนมู่หมิงจูถูกพี่ใหญ่ข้ารับกลับตระกูลมู่แล้ว” พอมู่อวิ๋นเซียนอ้าปากก็พูดเรื่องที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา


“ศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไร?” รอบยิ้มหลิ่วหมิงหายไปก่อนที่จะถามออกมา


“ดูท่าศิษย์น้องจะยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ เจ้ารู้ไหมว่าหลังกลับมาจากแดนลึกลับเกาชงก็เก็บตัวฝึกฝนในทันที ได้ยินมาว่าเป็นการเตรียมตัวก่อนทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ และหลังจากที่เขาเก็บตัวแล้วท่านประมุขก็ไม่อนุญาตให้หมิงจูเข้าไปเขาพลังโลหิตอีกเลย ทั้งยังออกคำสั่งให้มู่หมิงจูไม่ต้องทำงานตามเวลาที่กำหนดแล้ว นี่ก็เท่ากับว่าขับไล่ให้นางกลับไปยังตระกูลมู่” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยแววตามีเลศนัย


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่คิ้วค่อยๆ ขมวดขึ้นมา


“ศิษย์น้องวางใจเถอะ! ต่อให้เกาชงจะทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณจริงๆ แต่ก็ไม่สามารถเตรียมการในระยะเวลาสั้นๆ ได้ คาดว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามสี่เดือน อย่างมากก็ครึ่งปีถึงจะเริ่มได้ และการเปลี่ยนไอให้กลายเป็นของเหลวนั้นต้องใช้เวลาติดต่อกันนานถึงปีกว่าๆ” มู่อวิ๋นเซียนยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมา


“เรื่องนี้ข้าทราบดี แต่ที่ศิษย์พี่มาหาข้าในครั้งนี้คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกมัง!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสงบ


“แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ เรื่องนี้ต่อให้ข้าไม่บอกเชื่อว่าอีกไม่นานศิษย์น้องก็จะรู้เองอยู่แล้ว ที่ข้าอยากบอกเจ้าคือเมื่อตระกูลไป๋ของเจ้าได้ข่าวที่เจ้าชิงตำแหน่งสิบศิษย์แกนนำได้ไม่นาน ก็ได้กำหนดวันแต่งงานของเจ้ากับมู่หมิงจูอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งก็คือเวลาอีกครึ่งปีให้หลัง” มู่อวิ๋นเซียนยิ้มขมขื่นและกล่าวออกมา


“อะไรนะ! กำหนดวันแต่งงานแล้ว ตระกูลมู่ของพวกท่านยินยอมแล้วหรือ?” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


“เดิมทีพี่ใหญ่ข้าก็ลังเลเล็กน้อย แต่พอรู้ข่าวว่าเจ้าเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายก็รีบตอบตกลงทันที อีกอย่างทั้งสองตระกูลก็ได้ส่งเทียบเชิญให้กับตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีไปแล้ว บอกตามจริง ตั้งแต่ที่เจ้ากลายเป็นสิบศิษย์แกนนำ ข้าคิดว่าตระกูลไป๋ของเจ้าจะทำการถอนหมั้นเสียแล้ว ด้วยสถานะเจ้าในตอนนี้ทำให้มู่หมิงจูไม่อาจตีตนเสมอ และตระกูลไป๋สามารถหาหญิงสาวที่มีชีพจรจิตวิญญาณมาเป็นสะใภ้ได้ แต่ไม่คิดว่าตระกูลไป๋จะรีบกำหนดวันแต่งงานเร็วกว่าตระกูลมู่เราเสียอีก ศิษย์น้องไป๋เรื่องนี้มีอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่?” มู่อวิ๋นเซียนถามหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่ดูแปลกไป


“เรื่องแอบแฝง! แน่นอนว่าย่อมมีเล็กน้อย ส่วนรายละเอียดนั้นตอนนี้ศิษย์น้องไม่สะดวกที่จะบอกกับศิษย์พี่ แต่ดูเหมือนว่าข้าคงต้องกลับไปตระกูลไป๋สักครา” หลิ่วหมิงฟังจบก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ยังตอบกลับไปด้วยท่าทีที่ดูสงบนิ่ง


“ในเมื่อศิษย์น้องไม่สะดวกที่จะบอกข้าก็ไม่บังคับ แต่ข้าอยากจะถามศิษย์สักหนึ่งประโยค เจ้าจะแต่งหมิงจูเป็นภรรยาไหม?” มู่อวิ๋นเซียนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามขึ้นมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


“คงจะไม่ อย่างไรซะคนที่แม่นางหมิงจูอยากแต่งก็ไม่ใช่ข้า ข้าเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับหลานของท่าน” หลิ่วหมิงหรี่ตาอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับไปอย่างราบเรียบ


“ข้าเข้าใจแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ เดิมทีข้าหวังให้เจ้าแต่งกับมู่หมิงจู แต่เรื่องการแต่งการงานนั้นข้าเองก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมตระกูลมู่ได้ คงต้องพึ่งศิษย์น้องไป๋เป็นคนจัดการแล้วล่ะ!” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด นางเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ


“ได้! ศิษย์พี่อภัยให้ข้าได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว อีกอย่างเกรงว่าอีกไม่นานข้าต้องไปจากนิกายสักพัก ต่อไปศิษย์พี่มู่ต้องรักษาตัวด้วย เวลาเย็นมากแล้วศิษย์น้องต้องขอตัวกลับก่อน” หลิ่วหมิงเห็นนางมีท่าทีสงบเช่นนี้กลับรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่พยักหน้าแล้วก็กล่าวคำลาออกไป


มู่อวิ๋นเซียนไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด นางมองดูหลิ่วหมิงเรียกเมฆเทา และทะยานฟ้าเหาะไปยังเขาเก้าทารก


จากนั้นนางถึงได้ขี่เมฆทะยานฟ้าและมุ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง


นางเหาะไปได้สักระยะก็ร่อนลงตรงป่าเล็กๆ ผืนหนึ่ง


“อวิ๋นเซียน เป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์น้องไป๋รับปากแต่งหมิงจูไหม?” ชายหนุ่มใบหน้าเยือกเย็นเดินออกมาจากป่า และถามด้วยความเป็นห่วง


เขาก็คือตู้ไห่แห่งสาขาหยินทนทรมาณนั่นเอง


“ไม่ผิดจากที่คาดไว้ ศิษย์น้องไป๋ไม่ยอมแต่งกับมู่หมิงจู” มู่อวิ๋นเซียนฝืนหัวเราะ และกล่าวออกมา


“ทำไมล่ะ! เจ้าเด็กไป๋ชงเทียนมีสถานะต่างไปจากเดิม ถึงได้กล้าคิดเรื่องถอนหมั้นขึ้นมา!” ตู้ไห่ได้ยินกลับรู้สึกโมโหขึ้นมา


“เรื่องนี้จะโทษศิษย์น้องไป๋ไม่ได้ เรื่องการแต่งงานนี้เดิมทีเป็นข้าและสองตระกูลยัดเยียดให้เขาเอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยพูดว่าจะแต่งกับมู่หมิงจูเลย ถ้าหากให้เจ้าไปแต่งกับหญิงที่มีชายอื่นในใจ เกรงว่าเจ้าก็คงจะไม่ยอมเช่นกัน อีกอย่างสถานะของหญิงผู้นี้ก็ไม่คู่ควรกับตนเองแล้ว” มู่อวิ๋นเซียนส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา


……………………………………….


ตอนที่ 157 จากนิกายไปทำภารกิจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่บิดาเขาก็เป็นคนรับปากการแต่งงานนี้เอง ไม่ว่าอย่างไรตระกูลไป๋ก็ต้องอธิบายความให้กระจ่าง” ตู้ไห่ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด


“ด้วยตำแหน่งในนิกายปีศาจของศิษย์น้องไป๋ตอนนี้ เกรงว่าตระกูลไป๋ทั้งตระกูลคงต้องพึ่งพาเขา ส่วนการแต่งงานนี้จะถูกยกเลิกหรือไม่นั้น สุดท้ายแล้วก็ต้องฟังคำพูดของเขาอีกที จะว่าไปแล้วเป็นข้าเองที่ติดค้างศิษย์น้องไป๋ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้านำเรื่องหมิงจูมาพัวพันกับเขา เขาก็คงไม่ถูกบีบให้ไปจากนิกายเพื่อหลบซ่อนเกาชงชั่วคราวหรอก” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


“อะไรนะ ศิษย์น้องไป๋จะไปจากนิกาย?” ครั้งนี้เป็นทีของตู้ไห่ที่ต้องตกใจบ้างแล้ว


“ไม่ผิด ศิษย์น้องของเราคนนี้เป็นคนฉลาด เขารู้ว่าพอเกาชงทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณสำเร็จ เขาก็ไม่สามารถทำการต่อต้านใดๆ ได้ ดังนั้นจึงเตรียมหลบหนีไปไกลๆ” มู่อวิ๋นเซียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“มันก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่าการฝึกฝนของศิษย์น้องจะถูกหน่วงเหนี่ยวไปด้วย ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ไม่นาน ถ้าจะฝึกฝนให้ถึงระดับสมบูรณ์แบบเพื่อใช้ในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ คงต้องใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว” สีหน้าตู้ไห่เปลี่ยนไปมาก่อนที่จะกล่าว


“อืม! ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ด้วยคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณของศิษย์น้องไป๋ ต่อให้ฝึกฝนจนถึงระดับที่เพียงพอ แต่ความหวังในการเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็ยังคงดูเลือนลางอยู่ดี ถ้าเขาทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณล้มเหลว เขาคงจะอยู่ข้างนอกและไม่กลับมานิกายอีก! พอถึงตอนนั้นคงเป็นเรื่องที่แย่สำหรับเขาจริงๆ” มูอวิ๋นเซียนถอนหายใจ


“จะว่าไปแล้ว ศิษย์น้องไป๋อยู่ข้างนอกคงไม่สบายอย่างที่ข้าคิด มิน่าล่ะ! เจ้าถึงไม่สนใจเรื่องการถอนหมั้นของเขา ว่าแต่มันคงไม่มีผลกระทบใดๆ กับมู่หมิงจูใช่ไหม หากว่าศิษย์น้องไป๋ถอนหมั้นไป และเมื่อเกาชงออกจากการเก็บตัวแล้วเขาจะไปหมิงจูไหม” ตู้ไห่พยักหน้าแล้วกล่าวออกมา


“อันนี้เจ้าวางใจได้ หมิงจูกลับไปตระกูลมู่ครั้งนี้ ต่อให้ไม่แต่งกับตระกูลไป๋ ข้าก็จะเร่งรัดให้พี่ใหญ่หาคู่หมั้นหมายใหม่ให้ และแต่งออกไปให้เร็วที่สุด หลังจากเกาชงเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว คงไม่หน้าด้านไปฝืนใจภรรยาของคนอื่นหรอก” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนที่จะกล่าวออกมา


“ที่แท้ก็เป็นวิธีการที่ศิษย์น้องคิดไว้แล้ว นับว่าไม่เลว ว่าแต่การเก็บตัวของเกาชงในครั้งนี้มีความเชื่อมั่นในการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณมากขนาดนั้นเชียวหรือ คนส่วนใหญ่ถึงคิดว่าพอเขาออกจากการเก็บตัวแล้ว ก็จะทะลวงเข้าสู่ระดับของเหลวได้อย่างแน่นอน” ตู้ไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวออกมา


“คุณสมบัติชีพจรจิตวิญญาณพสุธานั้นน่ากลัวมาก มันไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์อย่างพวกเราจะเข้าใจได้ แต่ในเมื่อผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายต่างก็คิดเช่นนี้ ส่วนใหญ่ก็ย่อมไม่มีข้อผิดพลาด อย่างน้อยก็คงมีความเชื่อมั่นเจ็ดถึงแปดส่วนขึ้นไป” มู่อวิ๋นเซียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา


“เชื่อมั่นเจ็ดถึงแปดส่วนว่าจะสามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้! จุ๊ๆ! ถ้าเจ้ากับข้าสามารถไปถึงระดับนี้ได้ อายุขัยของพวกเราก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่ากว่าๆ” สีหน้าอิจฉาปรากฏขึ้นบนใบหน้าตู้ไห่อย่างอดไม่ได้


“ด้วยคุณสมบัติของเจ้าอาจจะพอมีความเป็นไปได้บ้าง แต่ข้ากลับติดค้างอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางหลายปี ชาตินี้คงไม่มีโอกาสแล้ว” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินกลับมีเศร้าสลดขึ้นมา


ตู้ไห่เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขารีบเดินหน้าไปจับไหล่ของนางไว้ และกล่าวคำปลอบโยนอยู่พักหนึ่งถึงทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย


ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย แล้วก็พากันทะยานขึ้นฟ้าเพื่อออกไปจากป่า


……


พอหลิ่วหมิงกลับถึงเขาเก้าทารกก็รีบร่อนลงไปที่พักของตนเองทันที จากนั้นก็เข้าไปในห้องและหยิบยันต์ผืนหนึ่งขึ้นมาฉีกทันที


ทันทีที่มีแสงเปล่งประกายออกมา ม่านแสงชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง


หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในม่านแสง และเริ่มไตร่ตรองเรื่องที่มู่อวิ๋นเซียนบอกเขาในก่อนหน้านั้น


ตระกูลไป๋รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ แต่ยังกล้ากำหนดงานแต่งงานระหว่างเขากับมู่หมิงจูโดยไม่บอกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะว่าสมองของนายท่านตระกูลไป๋กับคุณหนูใหญ่ผู้นั้นมีปัญหา ก็คงจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างบีบจนพวกเขาต้องทำเช่นนี้ คิดจริงๆ หรือว่าทำแบบนี้จะผูกมัดเขาไว้กับตระกูลไป๋ได้


เมื่อเปรียบเทียบความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนี้ เขากลับคิดว่าอย่างหลังน่าจะมีความเป็นไปได้มากสุด


แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลำพังแค่ตระกูลผู้ฝึกปราณก็สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้นได้ และการไปจากนิกายในครั้งนี้ เดิมทีเขาก็คิดจะจัดการปัญหาตระกูลไป๋ให้เสร็จสิ้น คาดว่าฝ่ายตรงข้ามคงให้ข้อแก้ตัวที่ดีได้


หลิ่วหมิงวางแผนอยู่ในใจแล้วเก็บเรื่องนี้ไว้ทำทีหลัง จากนั้นก็ล้วงมือหยิบขวดเล็กสูงไม่กี่ชุ่นออกมาจากอก แล้วลุกไปไปหาอ่างไม้ค่อนข้างใหญ่มาใบหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่ามือพร้อมกับชี้ไปยังอ่างไม้ใบนั้น


หลังจากที่มีแสงสีฟ้าปรากฏอยู่ในอ่างเป็นจุดๆ หยดน้ำกลมๆ แต่ละหยดก็ทะลักออกมาจนกลายเป็นน้ำสะอาดครึ่งอ่าง


หลิ่วหมิงเปิดจุกขวดและเทของเหลวสีเทาออกมา พอมันสัมผัสกับน้ำสะอาดในอ่างก็โชยกลิ่นฉุนแสบจมูกทันที ขณะเดียวกันมันก็ผสมเข้ากับน้ำสะอาดอย่างดุเดือด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับแสดงสีหน้าพอใจออกมา


เขาตบแขนข้างหนึ่งเพื่อเอาหอยสังข์ย่อส่วนออกมาอีกครั้ง และร่ายคาถาส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้น


ผ่านไปไม่นานก็มีแสงสีขาวเปล่งประกายออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน และเกราะเกล็ดมังกรตัวนั้นก็ปรากฏอยู่ในอ่างไม้


ภายใต้การเคลื่อนของมือทั้งสอง หลิ่วหมิงกดเกราะหนังไว้ใต้ของเหลวขุ่นข้น จากนั้นก็หลับตากำหนดลมหายใจ


สามชั่วยามผ่านไปเขาถึงลืมตาทั้งสองขึ้นแล้วหยิบเกราะหนังออกมาจากอ่างไม้ ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่ามือเรียกน้ำสะอาดออกมาชะล้างของเหลวขุ่นข้นที่ติดอยู่บนเกราะหนังออกมาจนหมด


ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


กลิ่นฉุนแสบจมูกหายไปแล้ว และกลิ่นไอมังกรแดงจากเกล็ดที่อยู่บนเกราะหนังก็หายไปจนหมดสิ้น


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้มีคนเห็นเกราะโกโรโกโสนี้ ก็ไม่คิดไม่ถึงว่าเกล็ดที่อยู่บนเกราะหนังจะเป็นเกล็ดของมังกรแดง


หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พอเขาส่งพลังเวทย์เข้าไปในเกราะหนัง ไอร้อนระอุก็ค่อยๆ แผ่ออกมา พริบตาเดียวมันก็ทำให้เกราะหนังที่เปียกโชกแห้งและอบอุ่นขึ้นมา


ต่อมาเขาก็ถอดเสื้อชั้นนอกออกไปอย่างไม่ลังเล และสวมเกราะหนังเข้าไป เมื่อเขาลองขยับตัวดูแล้วไม่พบปัญหาอะไรก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง


วันที่สองหลิ่วหมิงไปหอดำเนินการอีกครั้ง เขาใช้แต้มคุณูปการจำนวนหนึ่งเพื่อขอออกไปด้านนอกชั่วคราว จากนั้นก็ออกจากนิกายมุ่งหน้าไปตลาดเว่ยโจวอย่างเงียบๆ


เวลาในแต่ละวันค่อยๆ ผ่านไป


หนึ่งเดือนผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงนิกายด้วยความเหน็ดเหนื่อย อาวุธจิตวิญญาณสองชิ้นในหอยสังข์ย่อส่วนที่เขาไม่ได้ใช้ก็กลายเป็นหินจิตวิญญาณหลายหมื่นก้อน เหลือเพียงแผ่นป้ายสีฟ้าที่เขาไม่รู้ว่าใช้ประโยชน์อันใดเท่านั้น


และในขณะเดียวกันถุงหนังที่เขาเคยใส่หัวบินก็ถูกเปลี่ยนเป็นถุงหนังสีดำที่ประณีตงดงามอีกใบหนึ่ง ดูจากที่ไอสีดำแผ่ออกมาอยู่รำไร เห็นได้ชัดว่ามันเป็นของล้ำค่าที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณเลย


บริเวณหน้าอกของเขากับหอยสังข์ย่อส่วนก็มียันต์ โอสถ และสิ่งของอื่นๆ เพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย สิ่งของเหล่านี้ใช้หินจิตวิญญาณไปเกือบหมื่นก้อนเพื่อแลกมันมา


หลังจากกลับมาในครั้งนี้ หลิ่วหมิงก็พักผ่อนไปหลายวันแล้วถึงค่อยไปหอดำเนินการอีกครั้ง


ในห้องโถงชั้นสอง หลิ่วหมิงยืนอยู่ใต้ป้ายประกาศที่เป็นผลึกใส เขาจ้องมองภารกิจล่างสุดอยู่ไม่หยุดเหมือนกับว่ายังตัดสินใจไม่ได้


ถึงแม้เขาจะตั้งใจมาแต่เช้า แต่บริเวณนั้นก็ยังมีศิษย์ที่มารับภารกิจอยู่เจ็ดถึงแปดคน และยังมีศิษย์จำนวนหนึ่งจำหลิ่วหมิงได้ ภายใต้ความประหลาดใจพวกเขาก็พูดจากระซิบกระซาบกับคนข้างๆ อย่างอดไม่ได้


ผ่านไปไม่นาน ศิษย์ทั้งหมดก็รู้สถานะของหลิ่วหมิง พวกเขาพากันมองมาด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป มีทั้งเคารพ ยำเกรง และอื่นๆ


หลิ่วหมิงย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาอันร้อนแรงเหล่านี้ เขาหันหน้ามองไปในทันที


เมื่อศิษย์เหล่านี้สบตาหลิ่วหมิงก็รู้สึกเย็นสะท้านจนต้องถอนสายตากลับไปด้วยความตกใจ


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้หันกลับไปมองป้ายผลึกใสอย่างเงียบๆ อีกครั้ง


ภารกิจระยะยาวที่นิกายประกาศออกมาในตอนนี้ มีแค่สามภารกิจที่เขาสามารถพิจารณาได้


ภารกิจแรกคือเขาหินแร่ที่นิกายปีศาจได้รับมาจากหอสายธารโลหิตเมื่อไม่นานมานี้ ต้องการศิษย์นิกายสายในจำนวนมากไปตั้งมั่นรักษาการณ์เป็นเวลาหลายปี


ภารกิจต่อมาคืออารามฮั่นซานที่นิกายปีศาจสังกัดอยู่ ซึ่งอยู่ระหว่างพรมแดนแคว้นต้าเสวียนกับแคว้นเฮยสุ่ย ต้องการศิษย์ไปดูแล เนื่องจากผู้ดูแลคนเดิมสิ้นสุดภารกิจแล้ว


ภารกิจสุดท้ายคือ ที่เมืองเสวียนจิง เมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียน มีศิษย์ตรวจตราที่เป็นตัวแทนของนิกายปีศาจหายตัวไป และขาดการติดต่อกับนิกาย ดังนั้นจึงต้องการศิษย์ตรวจตราคนใหม่ไปรับหน้าที่ตรวจตราแทน และตามหาเบาะแสของศิษย์ที่หายไป


ภารกิจทั้งสามอย่างนี้ ภารกิจแรกเป็นภารกิจที่ง่ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


ในเมื่อหอสายธารโลหิตส่งมอบเขาหินแร่ลูกนั้นออกมา ดังนั้นก่อนการประลองใหญ่ในครั้งหน้า พวกเขาย่อมไม่กล้าส่งคนมาก่อกวนเด็ดขาด ถ้าหากไปตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่นั่นล่ะก็ คิดว่าคงจะผ่านเวลาสี่ปีไปอย่างสบายๆ แต่เรื่องของตัวเองที่ต้องจัดการ และเรื่องการรวบรวมไอปีศาจบริสุทธิ์ก็คงจะต้องคว้าน้ำเหลว


และตำแหน่งนี้ขอเพียงแค่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางก็สามารถรับหน้าที่ได้แล้ว


ภารกิจที่สองนับว่าอันตรายเล็กน้อย


เพราะว่านิกายในแคว้นต้าเสวียนกับนิกายในแคว้นเฮยสุ่ยเป็นศัตรูกันมานาน ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่เคยทำการต่อสู้กัน แต่ผู้ฝึกฝนของทั้งสองแคว้นมักจะต่อสู้กันบริเวณชายแดนอยู่บ่อยๆ


แต่เมื่อเทียบกันแล้ว หากสามารถรับภารกิจผู้ดูแลอารามได้ ก็จะได้ตำแหน่งที่สูงและมีอำนาจมาก เพียงแค่อาศัยชื่อของนิกายปีศาจก็จะมีลูกน้องจำนวนมาก และเชื่อว่าถ้าจะประกาศตัวเป็นใหญ่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร และถ้าหากเขานั่งตำแหน่งผู้ดูแลอารามได้มั่นคงแล้ว ต่อให้เกาชงจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ก็คงไม่กล้าจัดการเขาอย่างโจ่งแจ้ง


แน่นอนว่าตำแหน่งอันหอมหวานนี้ย่อมมีเงื่อนไขกับศิษย์ที่รับภารกิจค่อนข้างสูง ไม่เพียงแต่ต้องเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น แต่ทุกปียังต้องส่งมอบหินจิตวิญญาณให้นิกายเป็นจำนวนมาก มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่สูญเสียตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังจะถูกลงโทษจากนิกายอย่างหนักด้วย


ส่วนภารกิจสุดท้าย…


หลิ่วหมิงจ้องมองไปยังภารกิจนี้ด้วยท่าทีเคร่งขรึม แล้วทำท่าราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่


……………………………………….


ตอนที่ 158 ศิษย์ตรวจตรา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภารกิจสุดท้ายเป็นภารกิจที่อันตรายที่สุด


เพราะเดิมทีเสวียนจิงก็เป็นสถานที่มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนอยู่ด้วยกัน ในหลายปีก่อนนิกายต่างๆ เคยตกลงกับราชสำนักว่าเมืองหลวงอย่างเสวียนจิงจะต้องไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของนิกายใดๆ และผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขึ้นไปห้ามเข้าไปเหยียบเมืองนี้แม้แต่ก้าวเดียว


เพื่อรักษาข้อตกลงนี้ นิกายแต่ละนิกายสามารถทิ้งศิษย์ตรวจตราไว้ในเมืองเสวียนจิงได้แค่คนเดียวเท่านั้น เพื่อตรวจตราดูว่านิกายอื่นๆ ทำผิดข้อตกลงหรือไม่


เพราะเหตุนี้ถึงทำให้เมืองเสวียนจิงกลายเป็นดินแดนแห่งความผาสุกของผู้ฝึกฝนอิสระและผู้ฝึกฝนจากแคว้นอื่นๆ แม้กระทั่งผู้ฝึกฝนนอกรีตกับผู้ฝึกฝนที่หนีความผิดมา ก็เปลี่ยนสถานะตนเองแล้วเข้าไปอยู่ในเมืองเสวียนจิง และแอบตั้งกลุ่มแก๊งขึ้นมา


ด้วยเหตุนี้ศิษย์ตรวจตราที่แต่ละนิกายส่งมาเมืองเสวียนจิง ต่างก็ถูกคนบางคนจับตามองและลอบสังหาร ซึ่งมักจะเกิดเหตุลอบสังหารหรือรุมโจมตีอยู่บ่อยๆ บางนิกายมีศิษย์ตรวจตราเสียชีวิตปีละหลายคนเลยทีเดียว


เรื่องแบบนี้ย่อมทำให้แต่ละนิกายรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก พวกเขาร่วมมือกันกวาดล้างผู้ฝึกฝนเหล่านั้นอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ว่าจะสามารถกำจัดพวกมันได้ แต่ศิษย์ตรวจตราที่ถูกส่งมาทั้งหมดกลับไม่สามารถปรากฏตัวในเมืองเสวียนจิงได้อย่างเปิดเผย ซึ่งต่างก็เปลี่ยนสถานะของตัวเองแล้วดักซุ่มอยู่ในเมืองเสวียนจิง


เช่นนี้แล้วจึงจะทำให้ศิษย์ตรวจตราของแต่ละนิกายมีความปลอดภัยขึ้นมา


อย่างไรก็ตาม ศิษย์ตรวจตราเมืองเสวียนจิงก็ยังคงเป็นตำแหน่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก มีศิษย์เสียชีวิตหนึ่งคนในแต่ละปีก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ มีน้อยมากที่สามารถทำภารกิจได้ครบสี่ปีและกลับไปนิกายอย่างปลอดภัย


แน่นอนว่าภารกิจอันตรายเช่นนี้ ทางนิกายย่อมให้รางวัลอย่างงาม เมื่อรับภารกิจครบสี่ปีแล้วจะมอบแต้มคุณูปการเกือบหมื่นแต้มให้เป็นรางวัล ซึ่งมันเพียงพอที่จะนำไปแลกกับไอปีศาจบริสุทธิ์หนึ่งชุด


แต่เงื่อนไขการรับภารกิจนี้ ขอเพียงแค่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางขึ้นไปก็เพียงพอแล้ว


อย่างไรซะหน้าที่ของศิษย์ตรวจตราก็แค่ตรวจดูความสงบของเมืองเสวียนจิงเท่านั้น ไม่ใช่ไปต่อสู้กับผู้คนแต่อย่างใด


เหตุที่หลิ่วหมิงสนใจภารกิจนี้ เป็นเพราะว่าสถานที่ปฏิบัติภารกิจกับสถานที่ซ่อนความลับในใจเขาคือที่เดียวกัน และศิษย์ตรวจตราไม่เพียงแต่สามารถไปมาได้อย่างอิสระ แต่พอเข้าไปเมืองเสวียนจิงแล้ว แม้แต่นิกายก็ไม่สามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ของเขาที่เป็นชัดเจนได้


แม้จะบอกว่าเมืองเสวียนจิงเป็นเมืองที่ผู้ฝึกฝนนอกรีตเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่ก็ด้วยเหตุนี้ถึงได้มีตลาดมืดที่มีที่ชื่อเสียงที่สุดของแคว้นต้าเสวียนกับงานแอบประมูลขายของสีเทา ในนั้นมักจะปรากฏของล้ำค่าที่แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ ไม่แน่มันอาจจะมีปราณปีศาจบริสุทธิ์ที่เขาอยากได้ด้วย


ส่วนภัยอันตรายของภารกิจศิษย์ตรวจตรานั้น เขาเชื่อว่าเพียงแค่เขาเปลี่ยนสถานะ และเพิ่มความระมัดระวังอีกเล็กน้อย สถานะที่แท้จริงของเขาก็จะไม่ถูกเปิดโปิงออกมาโดยง่าย


ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ขอเพียงแค่ไม่ใช่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไปเขาจะไม่กลัว เพราะศิษย์ทั่วไปมีไม่กี่คนที่สามารถรับมือกับเขาได้


และภารกิจแรกกับภารกิจที่สองมีขอบเขตจำกัดที่กว้างไปหน่อย มันไม่เอื้อต่อแผนการณ์ที่เขาวางไว้ในตอนท้าย


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว หลังจากที่คิดชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละภารกิจแล้ว ก็ตัดสินใจได้ในที่สุด เขารีบเดินไปยังโต๊ะหินเพื่อรับภารกิจนี้ในทันที


“อะไรนะ! ศิษย์น้องไป๋จะรับภารกิจศิษย์ตรวจตราเมืองเสวียนจิงเป็นเวลาสี่ปี!” ผู้ดูแลหอดำเนินการก็นับว่าเป็นผู้ที่รู้จักกับหลิ่วหมิงดี แต่พอได้ยินหลิ่วหมิงพูดเช่นนี้ เขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้


“ทำไมล่ะ! หรือว่าคุณสมบัติของศิษย์น้องไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยรอยยิ้ม


“มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ด้วยด้วยสถานะของศิษย์น้องไป๋ในตอนนี้ใยต้องรับภารกิจนี้ด้วยเล่า? ถึงแม้ศิษย์น้องจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ถ้าต้องไปเมืองเสวียนจิงจริงๆ ล่ะก็ มันก็ยังอันตรายอยู่ดี” ผู้ดูแลหอดำเนินการกล่าวเตือนหลิ่วหมิงอย่างอดไม่ได้


“ภารกิจนี้อันตรายแค่ไหน บนป้ายผลึกก็ได้อธิบายไว้หมดแล้ว ไม่เป็นไรหรอก! ศิษย์น้องคิดว่าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้” หลิ่วหมิงยืนยันอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาย่อมไม่เปลี่ยนใจไปด้วยเหตุผลเช่นนี้


“ในเมื่อศิษย์น้องไป๋จะต้องรับภารกิจนี้ให้ได้ ศิษย์พี่เองก็ไม่อาจคัดค้าน แต่ตำแหน่งศิษย์ตรวจตราไม่เหมือนกับทั่วไป หลังจากศิษย์น้องรับภารกิจนี้แล้วยังต้องไปหาอาจารย์อาเหลยที่สาขากลลับสวรรค์ อาจารย์อาเหลยเป็นผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับศิษย์ตรวจตราในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะ หากท่านคิดว่าเจ้าไม่เหมาะสมล่ะก็ เจ้าก็ไม่อาจรับภารกิจนี้ได้ อีกอย่างข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์ตรวจตราคนก่อนกับป้ายบ่งบอกสถานะก็ไปเอาได้ที่อาจารย์อาเหลยเท่านั้น” ชายดูแลหอดำเนินการได้ยินก็รับป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิง และใช้กระบองสั้นแตะลงไปไม่กี่ครั้ง จากนั้นถึงได้กล่าวขึ้นมา


“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือน ศิษย์จะไปหาอาจารย์ลุงเหลยสักครั้ง” หลิ่วหมิงรับป้ายประจำตัวคืนมาแล้วรีบกล่าวขอบคุณในทันที


เวลาต่อมาหลิ่วหมิงก็หมุนตัวออกไปจากหอดำเนินการ และเรียกเมฆเทาเพื่อเหาะไปยังเขากลลับสวรรค์


ผ่านไปไม่นาน เขาก็มาอยู่ตรงเชิงเขาสาขากลลับสวรรค์ และถูกศิษย์ลาดตระเวนสองคนขัดขวางไว้


“ศิษย์น้องไป๋ต้องการพบอาจารย์เหลย?” ศิษย์ทั้งคนนี้ต่างก็มีระดับการฝึกฝนที่ไม่เลว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็เข้าร่วมการประลองใหญ่ด้วยเช่นกันจึงจำหลิ่วหมิงได้ แต่พอได้ยินความต้องการของหลิ่วหมิง พวกเขากลับแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา


“ทำไมล่ะ! หรือว่าอาจารย์อาเหลยไม่ได้อยู่บนเขา” หลิ่วหมิงถามด้วยความงุนงง


“มันไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ช่วงนี้อาจารย์อารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่ยอมพบแขกง่ายๆ” ศิษย์เขากลลับสวรรค์ผู้หนึ่งลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา


“อ๋อ! ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ต้องขอรบกวนศิษย์พี่ทั้งสองรายงานท่านสักหน่อย บอกว่าตอนนี้ศิษย์น้องรับภารกิจศิษย์ตรวจตราถึงได้มาขอพบท่าน” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม


“เฮ่อๆ! ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ พวกข้าคงไม่กล้าเสี่ยงล่วงเกินอาจารย์เหลยเพื่อทำเรื่องเช่นนี้ แต่ศิษย์น้องไป๋เพิ่งจะสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กับนิกาย ไม่แน่อาจารย์เหลยอาจจะเมตตาบ้าง” ศิษย์เขากลลับสวรรค์ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง แล้วหนึ่งในนั้นก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวขอบคุณอีกครั้ง


จากนั้นศิษย์เขากลลับสววรค์ผู้หนึ่งก็ทะยานฟ้าไปยังยอดเขา อีกผู้หนึ่งก็สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับแดนลึกลับกับหลิ่วหมิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น


หลิ่วหมิงเองก็บอกเล่าสิ่งที่เขาได้พบได้เห็นในแดนลึกลับให้กับศิษย์ผู้นี้ฟังโดยเป็นเรื่องจริงบ้างไม่จริง ทำให้ศิษย์สาขากลลับสวรรค์ผู้นี้ฟังอย่างเพลิดเพลิน


เมื่อเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ศิษย์ที่ไปรายงานก็เหาะลงมาจากเขา และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์น้องไป๋ช่างมีเกียรติมากจริงๆ พออาจารย์เหลยได้ยินว่าศิษย์น้องขอเข้าพบ ท่านก็รีบตอบตกลงในทันที”


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


ดังนั้นเวลาต่อมาเขาก็เหาะตามศิษย์เขากลลับสวรรค์ผู้นั้นขึ้นไปบนยอดเขาพร้อมกัน


เทียบกับเขาเก้าทารกแล้ว เขากลลับสวรรค์นับว่าสูงและอันตรายกว่ามาก สถานที่ส่วนใหญ่เป็นหน้าผาสูงชะโงกเงื้อม เส้นทางบนเขาบางแห่งไม่สามารถเดินได้ ศิษย์นิกายสายนอกบางคนต้องจับเชือกยาวๆ จำนวนหนึ่งเพื่อปีนป่ายขึ้นไปบนเขา


หลิ่วหมิงมองศิษย์นิกายสายนอกเหล่านี้จากบนอากาศด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เขม้นมองไปบนยอดเขา


ผ่านไปไม่นาน เขากับศิษย์เขากลลับสวรรค์ก็ร่อนลงด้านหน้าอารามสีเงินแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขา


บนประตูอารามแห่งนี้มีป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่หนึ่งแผ่น และมีอักขระโบราณสีทองที่เขียนคำว่า ‘กลลับสวรรค์’ อยู่บนนั้น


ด้านหลังของอารามสีเงิน จะมีหอขนาดต่างๆ อยู่มากมาย


“อาจารย์เหลยรออยู่ข้างในแล้ว ศิษย์น้องไป๋เข้าไปได้เลย ข้ายังต้องไปลาดตระเวนต่อไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนศิษย์น้องได้แล้ว” ศิษย์เขากลลับสวรรค์กล่าว


“รบกวนท่านแล้ว ศิษย์พี่รีบไปทำงานของท่านเถิด” หลิ่วหมิงโค้งตัวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง


จากนั้นศิษย์เขากลลับสวรรค์ผู้นี้ก็ทำท่ามือขี่เมฆเหาะลงไปจากเขา หลิ่วหมิงจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางแล้วเดินเข้าประตูใหญ่ด้วยสีหน้าสงบ


อารามทั้งหลังมีขนาดกว้างห้าสิบถึงหกสิบจั้ง ด้านหน้าของเก้าอี้ที่อยู่ในสุดมีชายรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำกำลังหันไปมองกระบี่ยักษ์สีเงินที่ใช้แขวนประดับประดาอยู่บนผนัง รูปร่างที่ไม่เคลื่อนไหวของเขาทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความมั่นคงและหนักแน่นดังขุนเขา


“ศิษย์ไป๋ชงเทียนคารวะอาจารย์ลุงเหลย” หลิ่วหมิงเดินไปข้างหน้าแล้วกล่าวคารวะอย่างหนักแน่น


แต่ชายชุดดำกลับแหงนหน้ามองกระบี่ยักษ์บนผนังราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา


หลิ่วหมิงแอบแบะปาก แต่ก็ทำได้เพียงโค้งคารวะค้างด้วยท่าทีนอบน้อม และไม่ขยับเขยื้อน


เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย ทั้งสองยังคงสงบนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น อารามทั้งหลังเงียบสงัดไปชั่วระยะหนึ่ง


ผ่านไปราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าว ไหล่ของชายชุดดำก็ค่อยๆ ขยับ ในที่สุดเขาก็หันตัวกลับมา และเขาก็คือ ‘อาจารย์ลุงเหลย’ ผู้นั้นนั่นเอง


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยพินิจดูหลิ่วหมิงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงและกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ไม่เลว! สมกับเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงจากการทดสอบความเป็นความตาย มีความสงบมั่นคงใช้ได้ แต่ถ้าอาศัยแค่ความสงบมั่นคงล่ะก็ คงไม่อาจมีชีวิตรอดจากแดนลึกลับได้ใช่ไหม”


“อาจารย์ลุงเหลยสั่งสอนได้ถูกต้อง ศิษย์ดวงดีถึงได้ออกจากแดนลึกลับอย่างปลอดภัย” พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรของ ‘อาจารย์ลุงเหลย’ ผู้นี้ ก็ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ แต่ยังคงตอบกลับอย่างระมัดระวัง


“ดวงดี! พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าหลานเหลยเจิ้นของข้าคงดวงไม่ดี ถึงไม่สามารถออกจากแดนลึกลับได้?”พอชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าหม่นหมองลง


“มิกล้า! ศิษย์มิกล้าคิดเช่นนี้อย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงแอบถอนใจ แต่ยังคงตอบกลับอย่างถ่อมตัว


“ฮึ! ถ้าอาศัยแค่พลังล่ะก็ เหลยเจิ้นหลานข้าที่มีพลังอัสนีผู้นั้น ย่อมไม่เป็นรองศิษย์แกนนำผู้ใดอย่างแน่นอน แต่คนทั้งห้าที่รอดจากแดนลึกลับกลับไม่ใช่เขา สิ่งนี้ทำให้ข้าอยากรู้ว่าศิษย์เขาเก้าทารกที่มีผลงานเยี่ยมยอดผู้นี้ แท้จริงแล้วจะมีพลังเท่าไหร่?” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหรี่ตาทั้งสองแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น


“ความหมายของอาจารย์ลุงเหลยคือ…” หลิ่วหมิงแอบขมวดคิ้วแล้วถามออกมาอย่างไม่ตั้งใจ


“ง่ายมาก! หลายวันนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีต้องการหาคนมาประมือด้วย ข้าไม่สนว่าเจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด แต่ถ้าเจ้ารับการโจมตีจากข้าไม่ได้ เจ้ามาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตะคอกด้วยสีหน้าที่เดือดดาล


พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ผ่านไปสักพักถึงได้ฝืนยิ้มแล้วกล่าวออกมา


“อาจารย์ลุงอย่าล้อข้าเล่นเลย ด้วยระดับการฝึกฝนของท่าน ผู้น้อยอย่างข้าจะรับมือได้อย่างไร”


……………………………………….


ตอนที่ 159 เวลาสามเดือน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“วางใจเถอะ! ข้าจะไม่ใช้พลังเวทย์ของอาจารย์จิตวิญญาณโจมตีอย่างแน่นอน ถ้าเจ้าไม่ยอมรับล่ะก็ข้าก็จะไม่บังคับ และก็ออกไปเสียตั้งแต่บัดนี้ ข้าจะทำเหมือนกับว่าเจ้าไม่เคยมาหาข้า” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขาย่อมเข้าใจคำว่า ‘ไม่เคยมาหา’ แน่นอนมันหมายความว่าชายฉกรรจ์แซ่เหลยผู้นี้จะไม่ตอบรับคำขอร้องใดๆ จากเขาอีก


ดังนั้นเขาจึงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วอยู่หลายรอบ จากนั้นถึงได้ค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา และกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษ


“ในเมื่ออาจารย์ลุงจะต้องทดสอบพลังของศิษย์ให้ได้ ถ้าอย่างงั้นศิษย์ก็ขอให้อาจารย์ลุงลงมือเถอะ!”


“เฮ่อๆ! ดีมาก มันต้องอย่างนี้สิ! เพียงแค่รับการโจมตีจากข้าแล้วไม่เป็นอะไร ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำเรื่องอะไร ข้าก็จะตอบรับไว้ก่อน” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะแล้วกล่าวออกมา จากนั้นเขาก็ขยับแขนและค่อยๆ ชี้นิ้วไปทางหลิ่วหมิง


พอหลิ่วหมิงเห็นฉากนี้ก็รีบทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ไอดำจำนวนมากพวยพุ่งออกจากร่างของเขา และกลายเป็นหนวดสัมผัสโบกสะบัดไปมา ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ตบไปยังหน้าอก ทันใดนั้นแสงสีดำสามจุดก็เปล่งประกายออกมาก่อนที่โล่แสงที่ดำจะมาบังอยู่ตรงหน้าเขา


ขณะนี้แสงสายฟ้าก็ได้เปล่งประกายขึ้นบนนิ้วมือของชายฉกรรจ์แซ่เหลย เมื่อสายฟ้าเส้นเล็กพุ่งยิงออกจากปลายนิ้วของเขา มันก็กลายเป็นอสรพิษสายฟ้าขนาดเท่าปากชามและพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยเสียงฟ้าผ่าอันดังก้อง


ยังไม่ทันที่อสรพิษสายฟ้าจะพุ่งเข้าถึงตัวหลิ่วหมิง ก็มีกลิ่นไหม้ม้วนตัวออกมาจากอากาศด้านบนก่อน


หลิ่วหมิงเรียกกระบี่จันทราหยกออกมาโดยไม่ต้องคิด เมื่อกระบี่จันทราหยกปรากฏออกมามันก็ฟันปราณกระบี่ออกไปสามสาย


เขาแค่วาดมืออีกข้างไปบนอากาศ คมวายุหกเส้นก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน จากนั้นมันก็พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงที่ดัง “ฟิ้วๆ!”


หลังจากมีเสียงดังกึกก้อง คมวายุจำนวนมากก็ฟันลงบนตัวอสรพิษสายฟ้าติดต่อกัน นอกจะทำให้มันหยุดชะงักเล็กน้อยแล้ว ยังทำให้มันค่อยๆ ระเบิดตัวสลายไป


ขณะนี้ปราณกระบี่สีเขียวสามสายรวมกันเป็นหนึ่งแล้วฟันลงบนตัวอสรพิษสายฟ้า


ทั้งสองระเบิดตัวบนอากาศด้วยเสียงดัง “ตู๊ม!”


ปราณกระบี่สีเขียวกับสายฟ้าสีเงินประสานเข้าหากันภายในพริบตา แต่หลังจากมีเสียงฟ้าร้องดังออกมา สายฟ้าก็ถูกปราณกระบี่สีเขียวทำลายจนขาดออกจากกัน และสายฟ้าที่เหลือก็ผ่าลงบนโล่แสงสีดำตรงหน้าหลิ่วหมิง


สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที เขายกแขนขึ้นแล้วแยกนิ้วทั้งห้าออกจากกันก่อนที่จะกดลงบนโล่แสง ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังเวทย์พรั่งพรูออกมาด้วย


อย่างไรก็ตามโล่แสงสีดำก็ต้านทานได้เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ จากนั้นก็แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ


แต่ตอนนี้สายฟ้าที่เหลือก็มีขนาดเท่านิ้วโป้งเท่านั้น และหนวดสัมผัสที่มาจากไอสีดำบนร่างหลิ่วหมิงก็โบกสะพัดรุนแรงมากขึ้นจนมองเห็นเป็นเงาทับซ้อน


ทันทีที่มีเสียงฟ้าแลบฟ้าผ่าดังขึ้น หนวดสัมผัสกับสายฟ้าที่เหลือก็ถูกทำลายจนแตกกระเจิง


สีหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ประจักษ์ชัดว่าการเคลื่อนไหวติดต่อกันเมื่อครู่ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อย แต่ก็นับว่าสามารถรับการโจมตีของชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้


“ไม่เลว! ที่แท้เจ้าก็มีความสามารถจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้กล้าล่วงเกินเกาชงเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว ครั้งนี้ถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบ พูดมาเถอะ! เจ้ามาให้ข้าช่วยเรื่องอันใด” เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง และยังกล่าวชื่นชมหลิ่วหมิงด้วย


“ขอบคุณอาจารย์ลุงเหลย ก่อนมาที่นี่ศิษย์ได้รับภารกิจตรวจตราเมืองเสวียนจิง ดังนั้นถึงได้ตั้งใจมาคารวะอาจารย์ลุง” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกโล่งใจ แต่ยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม


“ตรวจตราเมืองเสวียนจิง? ตำแหน่งนี้อันตรายและจัดการได้ยาก คาดว่าเจ้าคงไม่คิดทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณในระยะเวลาอันใกล้ถึงได้รับภารกิจนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็นับว่าเจ้าฉลาดที่รู้จักไปจากนิกาย มิเช่นนั้นถ้าเกาชงทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณสำเร็จ เจ้าคงไม่สามารถอยู่ในนิกายได้อย่างสบายใจ” พอชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง เขากลับพยักหน้ากล่าวออกมา


“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าอาจารย์ลุงเหลยตอบรับคำขอของข้าแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความดีใจ


“เจ้าสามารถรับการโจมตีจากข้าได้ ขอเพียงเจ้าระมัดระวังตัวเพิ่มอีกสักหน่อย คาดว่าคงพอจะปกป้องตนเองให้อยู่ในเมืองเสวียนจิงได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าเจ้าอยากให้ข้ารับปากเจ้าจริงๆ ล่ะก็ เจ้าจะต้องรับปากข้าหนึ่งเรื่อง” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมา


“อาจารย์ลุงพูดมาได้เลย ขอเพียงเป็นเรื่องที่ผู้น้อยสามารถทำได้ ผู้น้อยก็จะทำอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงอึ้งไปสักพักก่อนที่จะกล่าวออกมา


“ง่ายมาก! หลังจากที่เจ้าไปเมืองเสวียนจิงแล้ว ขอให้ช่วยข้าทำเรื่องเล็กน้อยบางอย่าง ตอนที่ข้ายังไม่ได้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ติดค้างสหายเก่าผู้หนึ่งอยู่ไม่น้อย ตอนนี้สหายผู้นี้ได้จากโลกนี้ไปแล้ว และลูกหลานของเขากลับย้ายไปอยู่เมืองเสวียนจิง แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะพบกับความยุ่งยากบางอย่าง และยังให้คนนำสิ่งของยืนยันมาให้ข้าไปช่วยเหลือ เจ้าก็คงรู้ดีถึงข้อตกลงของแต่ละนิกายในเมืองเสวียนจิงปีนั้น ข้าเป็นผู้ฝึกฝนระดับสูงไม่อาจทำลายกฎเกณฑ์เพื่อไปเมืองเสวียนจิงได้ และศิษย์ข้างกายของข้าในตอนนี้ ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ก็มีระดับการฝึกฝนที่ไม่เพียงพอ ข้าจึงไม่อาจวางใจให้ไปเมืองเสวียนจิงได้ ดังนั้นถ้าหากเจ้ารับตำแหน่งตรวจตราเมืองเสวียนจิงแล้ว ก็ถือโอกาสช่วยสหายเก่าของข้าจัดการเรื่องยุ่งยากนี้ด้วยเถอะ!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยค่อยๆ กล่าวออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ อาจารย์ลุงวางใจเถอะ ขอเพียงศิษย์สามารถทำได้ ศิษย์จะต้องช่วยอาจารย์ลุงตอบแทนน้ำใจนี้ให้ได้” หลังจากหลิ่วหมิงได้ฟังแล้ว ก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนที่จะรับปากอย่างรวดเร็ว


“ดีมาก! ข้าเองก็เชื่อมั่นในพลังของเจ้า นี่คือป้ายของศิษย์ตรวจตราเมืองเสวียนจิงกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งนี้ อืม! ข้อมูลของศิษย์ตรวจตราคนก่อนที่หายตัวไปก็อยู่ในนี้ด้วย เจ้านำกลับไปดูเถอะ นอกจากนี้เจ้าต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในเมืองเสวียนจิงภายในสามเดือนนับตั้งแต่ได้รับป้ายนี้ มิเช่นนั้นจะถูกลงตามกฎของนิกาย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยพยักหน้าแล้วหยิบป้ายหยกสี่เหลี่ยมสีขาวกับแผ่นหยกออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้หลิ่วหมิง


“ทราบ! ศิษย์จะต้องไปถึงเมืองเสวียนจิงภายในระยะเวลาสามเดือนให้ได้” หลิ่วหมิงรับของทั้งสองอย่างมาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น


“ไม่มีเรื่องอะไรแล้วเจ้าก็ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากจะอยู่เงียบๆ” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวจบก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วหลับตาทั้งคู่ลงโดยไม่สนใจหลิ่วหมิงอีกเลย


ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่หลังจากคารวะเสร็จแล้วก็ถอยออกไปจากอารามสีเงินด้วยท่าทีนอบน้อม


“ศิษย์พี่เหลย ท่านคิดที่จะมอบตำแหน่งตรวจตราเมืองเสวียนจิงให้ศิษย์หลานไป๋จริงๆ หรือ? ถ้าเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว ไม่แน่อาจทำให้เกิดเรื่องหมางใจกับท่านได้” ร่างอรชรอ้อนแอ้นเดินออกมาจากหลังเสาต้นหนึ่ง


นางมีใบหน้าสวยงามราวกับหญิงสาวอายุยี่สิบกว่า และนางก็คืออาจารย์จิตวิญญาณสาขาระบำปีศาจที่มีนามว่า ‘หลินไฉอวี่’ ผู้นั้น


“ศิษย์น้องหลิน ข้ารู้ว่าเจ้าก็อยากจะแนะนำศิษย์ของเจ้าไปทำหน้าที่นี้ แต่ศิษย์ตรวจตราเมืองเสวียนจิงคนก่อนก็นับว่ามีพลังแข็งแกร่งมาก คาดไม่ถึงว่าเขาจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าว่าเหตุการณ์ในเมืองเสวียนจิงซับซ้อนขึ้นทุกวัน ศิษย์น้องคิดจริงๆ หรือว่าคนที่ศิษย์น้องแนะนำมาจะเหมาะสมกว่าศิษย์หลานไป๋?” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยลืมตาทั้งคู่กวาดมองหญิงสาวใบหน้างดงามอยู่ครู่หนึ่ง และตอบคำถามนางแค่เพียงส่วนแรก


“มันก็ถูก ศิษย์ของข้าผู้นี้อายุใกล้จะเลยสามสิบแล้ว เพื่อที่จะได้ไอปีศาจบริสุทธิ์มาหนึ่งชุด ถึงได้คิดไปเสี่ยงภัยที่เมืองเสวียนจิง แต่ในเมื่อศิษย์พี่เหลยเห็นว่าศิษย์หลายไป๋เหมาะสมกว่า ก็คิดเสียว่าศิษย์น้องไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ก็แล้วกัน แต่เพราะเรื่องของเหลยเจิ้นทำให้ศิษย์พี่อยู่แต่ในสาขา แม้ว่าทางนิกายจะเรียกประชุมศิษย์พี่ก็ไม่ยอมเข้าร่วม เกรงว่ามันคงจะไม่ค่อยดีนัก!” หลินไฉอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ฮึ! ดูท่าเรื่องแนะนำศิษย์จะเป็นเรื่องรอง ที่จริงศิษย์น้องได้รับคำสั่งจากท่านประมุขให้มาเกลี้ยกล่อมข้าใช่ไหม?” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา


“ในนิกายนี้ข้ากับท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด ถ้าท่านประมุขไม่ให้ข้ามาแล้วจะให้ใครมาได้ล่ะ!” หลินไฉอวี่กล่าวโดยไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย


“ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องหลินก็ไปรายงานศิษย์พี่ด้วยว่าข้าไม่ได้เป็นอะไร แม้ว่าการเสียชีวิตของเหลยเจิ้นจะทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่ถึงกับหน่วงเหนี่ยวเรื่องสำคัญของนิกาย เพราะถ้าข้าไม่ยินยอมตั้งแต่แรก ก็คงจะออกหน้าห้ามปรามไม่ให้เหลยเจิ้นไปแดนลึกลับแล้ว ในเมื่อข้าพนันแพ้ ข้าก็ย่อมยอมรับผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วย ทางตระกูลเหลยเองก็ไม่มีวันล้มลงเพราะศิษย์ผู้มีพรสวรรค์เพียงคนเดียว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวอย่างไม่สนใจใยดี


“ดี! ได้ยินศิษย์พูดเช่นนี้ข้าก็พอใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องขอกลับไปรายงานศิษย์พี่ท่านประมุขก่อน” หลินไฉอวี่ได้ยินก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา


“ใช่สิ! ศิษย์พี่ท่านประมุขทำอย่างไรกับเรื่องของศิษย์ตนเองกับศิษย์หลานไป๋”


พอเห็นหญิงสาวกำลังจะไป ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็เอ่ยปากถามออกมา


“ศิษย์พี่ท่านประมุขเคยพูดเรื่องนี้กับศิษย์น้องอยู่ เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงศิษย์พี่กุย ศิษย์พี่จง และคนอื่นๆ ดังนั้นท่านประมุขเองก็ไม่อาจออกหน้าก้าวก่ายเรื่องนี้ได้ จึงได้ให้ศิษย์หญิงที่เป็นตัวชนวนเหตุของปัญหาผู้นั้นกลับไปที่ตระกูลของตนเองก่อน เรื่องนอกเหนือจากนี้คงต้องปล่อยไปตามน้ำ” หลินไฉอวี่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา


“ฮึ! ดูท่าไม่ว่าศิษย์หลานไป๋จะสร้างผลงานให้แก่นิกายมากแค่ไหน ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ยังมีใจเอนเอียงให้กับศิษย์ของตน อะไรเรียกว่าปล่อยไปตามน้ำ ถ้าหากเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ศิษย์น้องไป๋ก็ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินก็ทำเสียงฮึดฮัดก่อนที่จะกล่าวออกมา


“เฮ้อ! ศิษย์พี่ท่านประมุขเองก็ลำบากใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติของเกาชงมีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่จะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราได้ แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็มีโอกาสเป็นไปได้ ถึงแม้ศิษย์หลานไป๋จะสร้างผลงานให้นิกาย แต่ทางนิกายก็ได้มอบรางวัลที่สมควรมอบไปไม่ใช่น้อย คุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณของเขาค่อนข้างต่ำไปหน่อย ต่อให้มีร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ แต่ถ้าไม่สามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ก็ไม่สามารถมีอนาคตที่ดีได้ ศิษย์พี่ท่านประมุขคงไม่หยุดยั้งความแข็งแกร่งของนิกายเพียงเพราะศิษย์จิตวิญญาณแค่คนเดียวหรอก ดังนั้นสิ่งที่ท่านทำในตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องดีที่ให้ศิษย์หลานไป๋ไปจากนิกาย ไม่แน่หลังจากที่เกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว อาจจะไม่สนใจเรื่องบุญคุณความแค้นนี้ก็เป็นได้” หญิงสาวแซ่หลินกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง


“ถ้าหากเป็นเกาชงเมื่อสามปีก่อน ข้าอาจจะเชื่อ แต่ด้วยอุปนิสัยของเขาในตอนนี้น่ะหรือ…เฮ่อๆ! ช่างเถอะ! ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องนี้มาก แต่ถ้าเกาชงโทษข้าเพราะเรื่องศิษย์ตรวจตรานี้จริงๆ ล่ะก็ ศิษย์น้องคิดว่าข้าสนใจหรือ!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา


……………………………………….


ตอนที่ 160 สังเกตกำแพง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ด้วยตำแหน่งของศิษย์พี่ในนิกาย ต่อให้เกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณจริงๆ ต่อหน้าท่านเขาก็ยังต้องเชื่อฟังท่านอยู่ดี จะว่าไปแล้วเหตุที่อุปนิสัยของเกาชงแตกต่างจากเดิมมากนั้น ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะว่ามาจากตัวของเขาเอง อีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะว่าฝึกฝนวิชาพื้นฐานที่ศิษย์พี่ท่านประมุขได้รับถ่ายทอดจากอาจารย์โดยตรงชุดนั้น ถึงแม้วิชานี้จะลี้ลับมหัศจรรย์ และเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณก็สามารถวางรากฐานได้ไม่ธรรมดา แต่มันมีผลกระทบต่ออุปนิสัยค่อนข้างรุนแรงมาก ต้องรอผ่านด่านเตาหลอมพลังก่อนถึงจะค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมา และศิษย์พี่ท่านประมุขก็หาเตาหลอมพลังใหม่ได้แล้ว” หลินไฉอวี่อธิบายด้วรอยยิ้ม


“ศิษย์น้องไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ต่อไปเกาชงจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้ามากนัก ต่อให้เขาจะกลายเป็นผู้ฝึกในระดับผลึก ถึงตอนนั้นข้าก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว นี่ก็นานมากแล้ว ศิษย์น้องก็ควรลงเขาไปได้แล้วล่ะ ข้าต้องการความสงบจริงๆ” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยโบกมือแล้วกล่าวอย่างเมินเฉย


หลินไฉอวี่เห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มขมขื่นแล้วก็ลาจากไป


……


หลิ่วหมิงกลับถึงที่พักก็หยิบป้ายหยกตรวจตรามาชื่นชม


บริเวณขอบป้ายหยกไม่เพียงแต่มีอักขระที่งดงาม แต่ยังมีคำว่า ‘ตรวจตรา’ สลักไว้บนแผ่นป้ายด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็สลักคำว่า ‘นิกายปีศาจไว้’ และพอส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้นเล็กน้อย ก็มีค่ายกลอักขระหกชั้นที่มีสีสันแตกต่างกันปรากฏออกมา


ไม่คาดคิดว่าของสิ่งนี้จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ


แต่พอหลิ่วหมิงมองดูลักษณะสิ่งของที่อยู่ในมือแล้ว กลับแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่


ของสิ่งนี้ดูคล้ายกับป้ายสีฟ้าที่เขาได้มาจากปีศาจครึ่งมังกรตนนั้น เพียงแต่ระดับของมันอยู่ห่างกันมาก


อย่างนี้แสดงว่าป้ายสีฟ้านั้นก็เป็นสิ่งของแทนสถานะบางอย่างเหมือนกัน แต่ทำไมถึงมาอยู่ในตัวของปีศาจมังกรแดงตนนั้นได้นะ


ต่อให้หลิ่วหมิงจะคิดด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมสักร้อยรอบ ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัวอยู่ในแดนลึกลับ และถูกปีศาจครึ่งมังกรตนนั้นสังหาร และสุดท้ายสิ่งของของพวกเขาก็ตกอยู่ในมือของตนเอง


หลังจากที่เขาชื่นชมป้ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอาแผ่นหยกมาแปะไว้บนหน้าผาก จากนั้นก็เริ่มใช้พลังจิตตรวจดูสิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้น


ผ่านไปไม่นานหลิ่วหมิงก็หยิบแผ่นหยกออก สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


“คิดไม่ถึงว่า เมืองเสวียนจิงจะซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มาก แม้แต่คนต่างเผ่าก็เคยปรากฏตัวในนั้น แต่ในเมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะถอย”


หลังจากเขาพูดพึมพำไม่กี่ประโยค ก็คิดใคร่ครวญอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็เก็บป้ายกับแผ่นหยกเข้าไป จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก


……


สามวันผ่านไป ด้านหน้าของหุบเขาที่เป็นเขตต้องห้ามที่อยู่ตรงด้านหลังยอดเขาหลักของนิกายปีศาจ หลิ่วหมิงยืนเก็บมืออย่างเรียบร้อยอยู่ตรงปากทางเข้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กองหญ้าแห้งที่อยู่ไม่ไกลออกไปมีแมวดาวหิมะขาวลำตัวยาวครึ่งจั้งกว่านอนขดตัวอยู่


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดถึงมีเสียงฝีเท้าดังมาจากในหุบเขา และมีเด็กน้อยสวมชุดสีเหลืองอายุราวๆ สิบเอ็ดถึงสิบสองปีเดินออกมา


พอเขาเดินมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิงก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์พี่ไป๋ คืนนี้อาจารย์ปู่อนุญาตให้ท่านเข้าหุบเขาเพื่อทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาได้ แต่ในช่วงเวลากลางวันนี้ท่านต้องรออยู่ด้านนอก พอถึงเวลากลางคืนแล้วข้าจะนำท่านไปสังเกตกำแพงเก็บเงา”


“ขอบใจศิษย์น้องมาก ข้าจะรออยู่แถวนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบหาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้นแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป


ในเมื่อเขาวางแผนที่จะไม่กลับนิกายปีศาจเป็นเวลาหลายปี โอกาสในการทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงานี้ย่อมไม่อาจละทิ้งได้ ดังนั้นหลังจากที่เขาสะสมพลังมาหลายวัน ในที่สุดวันนี้เขาก็มาขอทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาในเขตต้องห้ามของอาจารย์ปู่เยี่ยนหนึ่งคืน


แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เดิมทีหลิ่วหมิงจะถือโอกาสมาคารวะอาจารย์ปู่เยี่ยนผู้นี้สักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าท่านไม่คิดที่จะพบผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเลย ท่านเพียงแค่ให้เด็กน้อยเฝ้าหุบเขาตอบรับคำขอของเขาเท่านั้น


ขณะนี้ เด็กน้อยชุดเหลืองผู้นั้นก็นั่งลงด้านข้างแมวดาวหิมะขาวตัวนั้น และเอนตัวพิงขนอ่อนนุ่มของมัน ไม่นานเขาก็หลับสนิท


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก


แมวดาวตนนั้นทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายเป็นอย่างมาก และระดับการฝึกฝนของเจ้าเด็กชุดเหลืองก็ดูเหมือนจะไม่สูงมากนัก แต่ทั้งสองกลับสนิทสนมกันเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ


แต่หลิ่วหมิงก็รีบปิดตาดึงพลังจิตกลับมาอย่างรวดเร็ว และเริ่มทำการฝึกฝน


เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย เมื่อท้องฟ้าใกล้จะมืดลงนั้น ในที่สุดเด็กน้อยที่หลับไปทั้งวันก็พลิกตัวขึ้นจากลำตัวของแมวดาวหิมะขาว หลังจากที่บิดขี้เกียจแล้วก็หันมาทักทายหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์พี่ไป๋ ได้เวลาแล้ว ข้าจะนำท่านไปที่กำแพงเก็บเงา แต่ตอนที่เข้าไปในหุบเขาศิษย์พี่จะต้องตามหลังข้ามาติดๆ มิเช่นนั้นถ้าหากไปโดนชั้นจำกัดที่อาจารย์ปู่วางไว้จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้”


“ย่อมได้! ศิษย์น้องนำทางอยู่ด้านหน้าก็พอแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบลืมตาทั้งสอง และลุกขึ้นมากล่าว


ถึงแม้เด็กน้อยตรงหน้าจะอายุยังน้อย แต่กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกผิดปกติเป็นอย่างมาก ทำให้หลิ่วหมิงไม่กล้าเมินเฉยต่อคำพูดของเขา


จากนั้นเด็กน้อยก็พาหลิ่วหมิงเดินไปตามทางหินสีขาวเล็กๆ เพื่อเข้าไปในหุบเขา แต่เจ้าแมวดาวหิมะขาวตนนั้นยังคงเฝ้าอยู่ด้านนอก


ทางเดินทั้งสองด้านเต็มไปด้วยไอหมอกมืดครึ้ม และท่ามกลางไอหมอกจะเห็นต้นไม้ ก้อนหิน และสิ่งของอื่นๆ อยู่รำไร แต่ถ้ายิ่งจ้องมองมันอย่างละเอียดกลับยิ่งรู้สึกว่าสิ่งของเหล่านี้กลายเป็นสีดำไปหมด จนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน


หลิ่วหมิงเดินตามเด็กน้อย จนเดินผ่านบ่อน้ำหนึ่งแห่งกับป่าดงดิบอีกผืน หลังจากที่เดินคดเคี้ยวไปมาหลายรอบก็มาถึงด้านหน้าของหน้าผาสูงชัน


และด้านล่างสุดของหน้าผามีประตูหินสีเขียวที่ถูกแสงสีขาวปกคลุมอยู่


เด็กน้อยหยิบป้ายออกมาจากอกแล้วแกว่งไปทางประตูหินเบาๆ ทันใดนั้นแสงสีเงินเส้นหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป และจมหายเข้าไปในประตูหิน


ครู่ต่อมาแสงสีขาวบนประตูหินก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ และหลังจากที่มันกะพริบเพียงไม่กี่ที มันก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” ก่อนที่จะหายไป


“ศิษย์พี่จำไว้ให้ดี ท่านมีเวลาแค่คืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้เช้าเมื่อชั้นจำกัดบนประตูหินหายไปอีกครั้งท่านจะต้องออกมาจากข้างในทันที อีกอย่างอาจารย์ปู่ได้กระตุ้นกำแพงเก็บเงาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อท่านเข้าไปก็สังเกตแลย แต่จำไว้อีกหน่อยว่ากำแพงเก็บเงานี้เป็นของล้ำค่าของนิกาย ห้ามใช้มือไปสัมผัสมันเด็ดขาด มิเช่นนั้นถ้าหากว่ามันเสียหายแม้เพียงเล็กน้อย ท่านจะต้องถูกทำโทษตามกฎของนิกาย” เด็กน้อยหันมากล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจังเป็นอย่างมาก


“ศิษย์น้องวางใจเถอะ! ข้าจะกล้าฝืนกฎได้อย่างไร” หลิ่วหมิงตอบรับด้วยท่าทีจริงจัง


พอเด็กน้อยได้ยินเช่นนี้ถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วค่อยๆ ผลักประตูหินออก จากนั้นก็หันมากล่าวกับหลิ่วหมิง “เชิญ!”


หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วเดินเข้าประตูหินไป


ตอนที่เขาก้าวเข้าไปนั้น ประตูหินก็ปิดเข้าหากันเอง ขณะเดียวกันก็มีแสงเปล่งประกายออกมา และแสงสีขาวที่หายไปก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง


หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วถึงสังเกตดูทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านอย่างละเอียด


เขาพบว่าตนเองอยู่ในห้องหินที่มีความกว้างสามสิบกว่าจั้ง บนพื้นกับผนังรอบด้านเป็นหินผาสีขาว มันดูแข็งแกร่งจนยากจะหาที่เปรียบได้ และนอกจากจะมีกำแพงผลึกสีฟ้าที่ดูคล้ายฉากกั้นแล้วตั้งอยู่ตรงกลางห้องแล้ว ก็ยังมีเบาะสีเหลืองอ่อนวางอยู่ตรงมุมห้อง นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งของอื่นใดอีกเลย


หลิ่วหมิงเดินไปที่กำแพงผลึกด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินวนอยู่หลายรอบ


กำแพงผลึกก้อนนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก กว้างยาวไม่เกินสองถึงสามจั้ง และหนาเพียงฉื่อกว่าๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่เขามองออกไปก็รู้สึกว่ามีแต่มีลำแสงสีฟ้าละลานตาไปหมด จากนั้นเขาก็พยายามเพ่งมองอีกครั้ง แต่กลับรู้สึกหน้ามืดตาลายอย่างแปลกประหลาด


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย เขารีบหลับตาทั้งสองเพื่อหลบแสงที่ส่องเข้ามา จนเมื่อเขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยถึงค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง


แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ได้มองกำแพงเก็บเงาก้อนนี้ แต่กลับเดินไปสังเกตดูผนังหินด้านหนึ่งอยู่ไม่หยุด


บนผนังหินนี้มีร่องรอยแปลกประหลาดอยู่เป็นจำนวนมาก และบางรอยก็ตรงไปตรงมา บางรอยกลับโค้งงอ และบางรอยเป็นเครื่องหมายที่ดูคล้ายอักขระแต่ก็ไม่ใช่อักขระ พวกมันปรากฏอยู่เต็มไปทั่วผนังหิน


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว หลังจากที่เขาใช้นิ้วมือลูบรอยและเครื่องหมายเหล่านี้แล้ว ก็ละสายตาไปยังผนังหินอีกสามด้านที่เหลือ


ตอนนี้เขาถึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ผนังหินด้านอื่นก็มีร่องรอยแปลกประหลาดเหมือนกันไม่มีผิด


แน่นอนว่าผู้ที่มาทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาได้ทิ้งร่องรอยเหล่านี้ไว้ คนเหล่านี้ค้นพบอะไรบางอย่างจากกำแพงเก็บเงาในฉับพลันและกลัวจะลืมมันไป จึงได้สลักร่องรอยเครื่องหมายเหล่านี้ไว้ แน่นอนว่าคนส่วนมากก็ไม่ได้อะไรกลับไป แต่ก็ช่วยชี้ทางสว่างให้กับผู้มาทีหลังได้ไม่น้อย


นี่เป็นสิ่งสำคัญที่อาจารย์จงเคยพูดกำชับกับหลิ่วหมิงในตอนที่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงา


หลิ่วหมิงใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการจดจำร่องรอยบนผนังทั้งหมดด้วยความรีบร้อน หลังจากที่หลับตาจดจำมันได้อย่างแม่นยำแล้วถึงได้เดินไปยังมุมห้อง เขาหยิบเบาะรองนั่งขึ้นมา จากนั้นโยนไปบนพื้นที่อยู่ห่างจากกำแพงเก็บเงาหลายจั้งแล้วถึงค่อยๆ นั่งขัดสมาธิลงไปอย่างไม่รีบร้อน


ขณะนี้เขาเอามือทั้งสองวางบนเข่าเหมือนตอนฝึกฝนปกติ จากนั้นค่อยๆ ส่งพลังเวทย์ไปยังดวงตาทั้งสอง แล้วถึงเบิกตาเพ่งมองกำแพงผลึกอยู่ไม่หยุด…


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป แววตาของหลิ่วหมิงยังคงเปล่งประกายออกมาอยู่ไม่หยุด แต่แก้มทั้งสองข้างกลับแดงขึ้นมา เหงื่อเริ่มผุดออกมาตรงหน้าผาก และมีไอร้อนแผ่ออกมาจากแผ่นหลัง


ทันทีที่หลิ่วหมิงตะโกนเสียงต่ำออกมา แสงที่เปล่งประกายในดวงตาทั้งสองก็หายไป เขาหลับตาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สีหน้าเขาถึงได้ดูผ่อนคลายขึ้นพร้อมถอนหายใจยาวออกมา และกล่าวพึมพำกับตัวเอง


“กำแพงเก็บเงาช่างร้ายกาจนัก ไม่คาดคิดว่ามันจะมีสร้างภาพลวงตาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้ามีพลังจิตแข็งแกร่งมากพอ คงจะหลงเข้าไปจนไม่อาจถอนตัวได้ แต่เงาร่างพร่ามัวเหล่านั้นหมายถึงอะไรกันแน่?”


……………………………………….


ตอนที่ 161 แสงลูกกลม

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะจ้องมองกำแพงผลึกโดยตรงได้ไม่นาน แต่ก็ยังมองเห็นเงาร่างพร่ามัวที่นักพรตแซ่จงเคยพูดถึง


เงาร่างเหล่านี้ปรากฎตัวขึ้นหลังจากที่เขาหลงลึกอยู่ในภาพลวงตาที่กำแพงผลึกสร้างขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงไม่แน่ใจว่าภาพที่เห็นเหล่านี้ปรากฏออกมาจากกำแพงผลึก หรือเป็นเพียงแค่ภาพมายาที่สมองเขาสร้างขึ้นมาเท่านั้น


ตามที่นักพรตแซ่จงได้กล่าวไว้ เงาร่างพร่ามัวเหล่านี้จะดูเหมือนจริงก็ไม่ใช่ จะดูไม่เหมือนจริงก็ไม่เชิง มีคนเคยเข้าใจอะไรบางอย่างจากเงาร่างเหล่านี้ แต่ส่วนมากจะหลงอยู่ในภาพลวงตาจนทำให้เสียเวลาทำความเข้าใจไปหนึ่งคืน ส่วนจะปฏิบัติอย่างไรนั้นย่อมต้องดูที่การเลือกของแต่ละคน


แต่กำแพงเก็บเงานี้ลี้ลับมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แม้แต่พลังจิตระดับเขาก็คงไม่อาจจ้องมองได้นาน ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะตกอยู่ภาพลวงตา หรือไม่ก็ไม่อาจต้านทานความง่วงที่ค่อยๆ ครอบงำจนหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว


เมื่อครู่เขาต้องใช้จิตที่เด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมากถึงได้หลุดพ้นออกมาได้


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่เงียบๆ ไปพักหนึ่ง จนเมื่อรู้สึกว่าพลังจิตฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว ถึงได้ทำท่ามือด้วยมือเดียวเพื่อส่งพลังเวทย์ไปที่ดวงตาทั้งสอง และเพ่งมองไปที่กำแพงผลึกต่อ


เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย


ผ่านไปครึ่งค่อนคืน หลิ่วหมิงเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองดูกำแพงไปแล้วกี่รอบ แต่นอกจากจะเห็นเงาร่างพร่ามัวในตอนแรกแล้ว เขาก็ยังไม่เจอสิ่งใดอีกเลย ส่วนเงาร่างพร่ามัวเหล่านั้น เขาเองก็เคยสังเกตอย่างละเอียด แต่มันก็พร่ามัวจนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยิ่งทำให้มองไม่ออกมาว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับร่องรอยบนผนังทั้งสี่ด้าน


และการจ้องมองกำแพงเก็บเงาหลายครั้งเช่นนี้ ทำให้สิ้นเปลืองพลังจิตไปไม่น้อย ถึงแม้จะไม่มีทางเลี่ยง แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัดกลุ้มอะไร


เพราะมีอาจารย์จิตวิญญาณนิกายปีศาจจำนวนไม่น้อยที่มาทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาแห่งนี้ แต่มีน้อยมากที่จะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาทั้งชุดได้ ตนเองเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณ ถ้าจะออกไปมือเปล่าก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่เช่นนี้ และก็ไม่ฝืนตนเองอีก เขาลุกขึ้นมาแล้วเดินวนรอบกำแพงผลึกอยู่หลายรอบ


ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กน้อยผู้นั้นได้กำชับไว้ว่าห้ามสัมผัสของสิ่งนี้เป็นอันขาด และเขาเองก็กังวลว่าบนนั้นจะมีชั้นจำกัดอะไรหรือเปล่าล่ะก็ เขาคงจะใช้นิ้วแหย่ดูว่ามันจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง


แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายศีรษะแล้วกลับไปนั่งบนเบาะ จากนั้นก็หลับตาทั้งสองลงแล้วเริ่มกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำขึ้นมา


ในเมื่อกำแพงเก็บเงานี้ไม่มีวาสนาต่อเขา เขาเองก็ไม่คิดที่จะดึงดันอะไร ควรจะอาศัยโอกาสนี้ฝึกฝนเพิ่มอีกหน่อยจะดีกว่า


ไอสีดำพวยพุ่งออกจากร่างเขาในทันที และมันยังกลายเป็นหนวดสัมผัสโบกสะบัดอยู่รอบตัวเขา


เมื่อเขากระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำเร็วขึ้น ไอสีดำบนร่างก็ยิ่งพวยพุ่งออกมามากขึ้น หนวดสัมผัสสีดำก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น


หลิ่วหมิงที่กำลังหลับตาฝึกฝนอยู่กลับไม่รู้ว่าชั่วพริบตาที่ไอดำพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขานั้น กำแพงผลึกสีฟ้าที่ดูสงบก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมา


ตอนแรกมันก็สั่นไหวช้าๆ แต่พอไอดำบนร่างหลิ่วหมิงยิ่งออกมามากขึ้น มันก็เริ่มสั่นไหวรวดเร็วและถี่ขึ้น


สุดท้ายเมื่อหนวดสัมผัสเส้นที่ใหญ่ที่สุดโบกสะบัดหนึ่งที ปลายของมันก็อยู่ห่างจากกำแพงผลึกแค่จั้งกว่าๆ ทันใดนั้นก็มีแสงสีฟ้าเปล่งประกายออกมาจากกำแพงผลึก และแสงสีฟ้าก็พุ่งออกมาปะทะกับหนวดสัมผัสสีดำ


เพียงแค่มีแสงเปล่งประกายออกมา ตรงปลายของหนวดสัมผัสก็สั่นไหวก่อนที่จะหายไป ตามด้วยแสงสีฟ้าที่สั่นไหวไม่กี่ทีก็กลายเป็นตาข่ายสีฟ้าห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้อย่างรวดเร็ว


ชั่วพริบตาที่หนวดสัมผัสสีดำหายไปนั้น หลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ


ผลลัพธ์คือเขาแค่รู้สึกว่าแสงสีฟ้าตรงหน้าเปล่งแสงแวววับ ไอสีดำกับหนวดสัมผัสก็ค่อยๆ สลายไปราวกับน้ำแข็งละลาย ท่ามกลางแสงสีฟ้าที่เปล่งประกาย


เมื่อแสงสีฟ้ากลืนกินไอดำไปหนึ่งส่วน ตัวมันก็จะเปล่งประกายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน ราวกับว่าไอดำเป็นอาหารเสริมชั้นดี


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนหน้าถอดสี เขาคิดที่จะเปลี่ยนท่ามือเพื่อทำท่าป้องกันก็ไม่ทันเสียแล้ว


เมื่อไอดำชั้นสุดท้ายบนตัวเขาหายไป แสงสีฟ้าทั้งหมดก็จมหายเข้าไปในร่างของเขา และพุ่งเข้าไปที่ทะเลจิตวิญญาณของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็กลายเป็นแสงลูกกลมสีฟ้าขนาดเท่าเม็ดถั่ว และหมุนวนอย่างรวดเร็ว


ตอนนี้หลิ่วหมิงรู้สึกชาไปทั้งร่างจนไม่สามารถควบคุมพลังเวทย์และมือเท้าทั้งสี่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งนิ้วมือก็ไม่อาจกระดิกได้ แต่ในขณะเดียวกันไอเย็นก็แผ่ขึ้นในจิตรับรู้ของเขา ทันใดนั้นคัมภีร์โบราณปกหนังสีดำเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนลาง จากนั้นมันก็ค่อยๆ เปิดทีละหน้า แต่รอยอักขระบนนั้นค่อนข้างจะพร่ามัว


“ข้าไปสัมผัสโดนสิ่งของบนกำแพงเก็บเงาเข้าแล้ว ทั้งยังดูเหมือนว่าจะเป็นวิชาฝึกพลังแบบครบถ้วน!” ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทั้งรู้สึกตกตะลึงและดีใจเป็นอย่างมาก เขาหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ เพื่ออ่านดูคัมภีร์โบราณอย่างละเอียด แต่ไม่ว่าจะใช้พลังมากมายแค่ไหนอักขระบนคัมภีร์ก็ยังพร่ามัวจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน


“ไม่ดี! สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนว่าพลังเวทย์ของข้าไม่เพียงพอ! มิน่าล่ะ! ปรมาจารย์ลิ่วยินท่านนั้นถึงได้ทิ้งคำพูดไว้ว่าจะต้องก้าวสู่ระดับของเหลวเท่านั้นถึงจะมีโอกาสสังเกตกำแพงเก็บเงาหนึ่งคืน” ภายใต้ความร้อนรนใจ เขาถึงตระหนักได้ว่าเป็นเพราะอะไร


อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่มองคัมภีร์ที่ปรากฏอยู่ใต้จิตรับรู้ของเขาพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย แล้วมันก็แตกสลายกลายเป็นจุดแสงสีฟ้า และหายไป


และในขณะเดียวกัน แสงลูกกลมที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณก็หยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นมันก็พุ่งออกไปจากร่างเขาอย่างลางเลือน และพุ่งกลับไปยังกำแพงผลึก


ในใจหลิ่วหมิงรู้สึกขมขื่น ขณะที่กำลังคิดว่าตนเองพลาดโอกาสอันดีไปนั้น ทะเลจิตวิญญาณก็พลันพวยพุ่งขึ้นมา ฟองอากาศลึกลับปรากฏออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน และมันค่อยๆ เปล่งประกายแสงแวววาวออกมา


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทุกสิ่งที่อยู่บริเวณรอบๆ เงียบสงัดลงในฉับพลัน ขณะเดียวกันสิ่งของรอบตัวทั้งหมดก็ดูเคลื่อนไหวช้าลง แสงลูกกลมสีฟ้าที่พุ่งกลับไปยังกำแพงผลึกก็ดูคล้ายกับหอยทากที่ค่อยๆ คืบคลาน ขณะเดียวกันเขาก็มองออกว่าแสงลูกกลมสีฟ้าประกอบขึ้นมาจากอักขระจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าหดตัวลงไปกี่เท่า


และเขาสามารถมองเห็นอักขระแต่ละตัวได้อย่างชัดเจน


สถานการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ ย่อมทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เขาอยากกะพริบตา หรืออ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับค้นพบว่าการกระทำของตนเองถูกชะลอให้ช้าลงไปหลายเท่า


การกะพริบตาหนึ่งครั้ง ต้องใช้เวลาสักระยะถึงสามารถขยับเปลือกตาได้หนึ่งถึงสองในสิบส่วนเท่านั้น


สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเสียวสะท้านขึ้นมา หลังจากที่คิดวกไปมาอย่างงรวดเร็วก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้าง


สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าสิ่งของรอบด้านเคลื่อนไหวช้าลง แต่เป็นเพราะว่าสัมผัสทั้งห้าของเขาเร็วขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัว ถึงได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น


และขณะนี้พลังจิตของเขาก็กวาดดูไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว และก็ค้นพบว่าในทะเลจิตวิญญาณมีฟองอากาศลึกลับเปล่งประกายอยู่ สิ่งนี้ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที


เรื่องราวอันเหลือเชื่อนี้จะต้องเป็นการกระทำของฟองอากาศลึกลับนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงมาปรากฏตัวในตอนนี้ได้


ขณะที่หลิ่วหมิงมีคำถามอยู่เต็มไปหมดนั้น ฟองอากาศที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณก็ค่อยๆ สั่นไหว ทันใดนั้นมันก็ปล่อยไหมสีเงินพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก มันเคลื่อนไหวแค่ทีเดียวก็รัดพันแสงลูกกลมสีฟ้าไว้ และออกแรงลากเข้ามา


ถึงแม้แสงลูกกลมสีฟ้าจะดิ้นรนเอาชีวิตรอดราวกับมันมีชีวิต แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถต้านทานพลังของไหมสีเงินได้ มันจึงค่อยๆ ถูกดึงมาทางหลิ่วหมิง


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างนั้น กำแพงเก็บเงาก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ขึ้นมา!


จากนั้นแสงสีฟ้าในกำแพงผลึกก็เปล่งประกายแสงจ้าเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าจะมีแสงลูกกลมสีฟ้าออกมาอีกสิบกว่าลูก ทั้งยังเปล่งประกายแสง และพ่นไหมสีฟ้าไปพันแสงลูกกลมที่โดนดึงไปนั้น จากนั้นก็ออกแรงดึงมันกลับมาที่กำแพงผลึก


ไหมสีเงินยังคงรัดพันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แสงลูกกลมสีฟ้าที่ถูกแย่งชิงก็สั่นไหวท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด จากนั้นมันก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศไปชั่วขณะ


แต่หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณของตนเองร้อนขึ้นมาเป็นอย่างมาก จากนั้นฟองอากาศลึกลับก็เปล่งประกายแสงขึ้นอีกเล็กน้อยแล้วมันก็พ่นไหมสีเงินออกไปมากกว่าเดิม


ไหมเงินเหล่านี้พุ่งยิงไปยังกำแพงผลึกอย่างพร่ามัว มันรัดพันแสงลูกกลมสีฟ้าอีกสิบกว่าลูกไว้


จากนั้นฟองอากาศลึกลับก็หมุนตัวติ้วๆ แล้วดึงแสงลูกกลมสีฟ้าทั้งหมดจากกำแพงผลึกมาหาหลิ่วหมิง


ประจักษ์ชัดว่าแสงลูกกลมทั้งหมดรวมพลังกันก็ยังไม่สามารถต่อต้านพลังของฟองอากาศลึกลับได้ พวกมันถูกดึงมาตรงหน้าหลิ่วหมิง จากนั้นก็พร่ามัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ จมหายเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณของเขา ราวกับว่ามันได้หลอมรวมเข้ากับร่างของเขาแล้ว


ต่อมาหลิ่วหมิงก็รู้สึกถึงศีรษะที่หนักอึ้ง ตาทั้งสองมืดลง แล้วตัวเขาก็มาปรากฏอยู่ในห้องผลึกที่แสงสีฟ้าสว่างไสว


ไม่ว่าจะเป็นผนังรอบด้าน หรือว่าพื้นด้านล่างกับเพดานด้านบน ล้วนเป็นวัสดุเดียวกันกับกำแพงเก็บเงาไม่มีผิด


และมุมห้องทั้งสี่มุมต่างก็มีโต๊ะหินอยู่หนึ่งตัว แต่ละตัวมีแสงสีฟ้าปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น ในนั้นมีคัมภีร์โบราณที่มีรูปร่างแตกต่างกันไป


หนึ่งในนั้นมีคัมภีร์ปกสีดำอยู่เล่มหนึ่ง มันคือคัมภีร์เล่มที่ปรากฏอยู่ในจิตรับรู้ของเขาเล่มนั้น


แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว สิ่งของทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป


เพราะว่าใจกลางห้องที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงจั้งกว่าๆ มีนักพรตสวมชุดสีดำที่ดูเหมือนจะอายุไม่เกินสามสิบกว่าปียืนอยู่ที่นั่น


แต่นักพรตผู้นี้มีใบหน้าขาวซีดไร้ซึ่งหนวดเครา สะพายกระบี่ไร้ฝักอยู่ตรงหลัง และกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด


“ท่านคือ…” หลิ่วหมิงถอยหลังออกไปสองก้าวแล้วถามด้วยความตื่นตะลึง แต่ขณะเดียวกันกลับรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับนักพรตชุดดำผู้นี้ ราวกับว่าเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน


“เจ้าเป็นศิษย์นิกายปีศาจ? ทำไมถึงมีระดับฝึกฝนอยู่แค่ศิษย์จิตวิญญาณ!” นักพรตชุดดำถามกลับไป


“ไม่ผิด! ผู้น้อยเป็นศิษย์นิกายปีศาจจริงๆ ผู้อาวุโสคือ…ท่านคือปรมาจารย์ลิ่วยิน!” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา แต่หลังจากคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ก็พลันนึกถึงรูปภาพที่แขวนอยู่ตรงหอบูรพาจารย์


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)