คัมภีร์วิถีเซียน 1537-1539
ตอนที่ 1537 ท่านมหาปุโรหิต
เกาะกลางมหาสมุทรมีขนาดประมาณสองสามร้อยลี้ แม้ว่าสตรีอสรพิษสองสามคนจะเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว แต่ถ้าหากต้องเดินไปตรงใจกลางเกาะ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาชั่วครู่
แต่ภายใต้การนำทางของเหยียนอู่ หลังจากที่คนกลุ่มนี้เดินเข้ามาในเกาะได้สองสามลี้ เบื้องหน้าพลันมีสิ่งปลูกสร้างหยาบๆ ที่ดูคล้ายคลึงกับเพิงน้ำชาแห่งหนึ่ง ด้านในมีบุรุษและสตรีอสรพิษอยู่สองสามตน กำลังดูแลอสูรที่ดูคล้ายกับกิ้งก่าอยู่สิบกว่าตัว ในส่วนท้ายของเพิงมีแม้กระทั่งรถลากสีดำสนิทอยู่คันหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าใช้ผ้าคลุมสีดำอะไรสักอย่างคลุมเอาไว้
เมื่อเหล่ามนุษย์อสรพิษเหล่านี้เห็นสตรีโฉมสะคราญเดินทางมา ก็มีคนสองคนวิ่งออกมาทักทายด้วยความนอบน้อมทันที
แต่เหยียนอู่กลับออกคำสั่งอย่างราบเรียบแค่สองสามประโยค แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่รถลากสีดำคันนั้น
มนุษย์อสรพิษสองตนนั้นเผยสีหน้าตื่นตกใจออกมา และอดไม่ไหวมองมาทางหานลี่ปราดหนึ่ง ปากก็เอ่ยตอบรับอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาจึงกลับเข้าไปในเพิงในทันที นำอสูรกิ้งก่าสองตัวผูกเชือกเข้ากับรถลากสีดำคันนั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังไปลากอีกสามตัวมา
ดังนั้นหานลี่จึงถูกสตรีอสรพิษเหล่านั้นยกขึ้นไปในรถลากสีดำอย่างระมัดระวัง จากนั้นสตรีอสรพิษสองคนพลันนั่งอยู่ด้านหน้า ที่เหลืออีกสามคนนั่งอยู่บนตัวของอสูรกิ้งก่าแต่ละตัว
เป็นเพราะกายท่อนล่างของสตรีอสรพิษเหล่านี้ไม่มีขา ดังนั้นบนแผ่นหลังของอสูรกิ้งก่าเหล่านี้จึงมีอานรูปทรงประหลาดติดอยู่ ทำให้พวกนางนำหางงูใส่ลงไปในนั้นได้อย่างพอดิบพอดี
คนกลุ่มนี้จึงออกเดินทางอีกครั้งในทันใด
อสูรกิ้งก่าเหล่านี้ดูเหมือนจะงุ่มง่ามอยู่เล็กน้อย เวลาวิ่งก็โคลงเคลงไปมาเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเท้าทั้งสี่เคลื่อนไหว ก็สามารถวิ่งไต่ในระยะยี่สิบจั้งเศษได้ในพริบตา ความเร็วกลับไม่เชื่องช้าเลยสักนิด!
ดังนั้นความเร็วของคนกลุ่มนี้จึงเพิ่มขึ้นสองสามเท่าในทันที
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม พวกนางพลันมาถึงหน้าเมืองดินแห่งหนึ่ง
เป็นเมืองดินของจริงเสียงจริง!
ขนาดไม่ใหญ่นัก มีขนาดเพียงสิบลี้เศษเท่านั้น กำแพงเมืองเป็นสีเทาขมุกขมัว ล้วนก่อขึ้นจากดินเหนียวสีเหลืองอ่อน และเมื่อมองลอดผ่านกำแพงเมืองเข้าไปด้านใน ในเมืองล้วนเป็นบ้านดินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน แม้กระทั่งมองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นจากหินศิลา
หานลี่มองเห็นทุกอย่างผ่านทางหน้าต่าง ในใจพลันรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่กลับไม่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเลยสักนิด กลับมองไปยังมนุษย์อสรพิษสิบกว่าคนที่ยืนรักษาการณ์อยู่ตรงประตูเมือง
เหล่าผู้รักษาการณ์เหล่านี้ล้วนมีบุรุษน้อยกว่าสตรีเช่นกัน แต่บนเรือนร่างของทุกคนล้วนสวมใส่หมวกและเกราะที่ใช้วัตถุดิบอะไรสักอย่างหลอมขึ้นชั้นหนึ่งเช่นกัน ในมือถือขวานยาวเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ แผ่นหลังสะพายอาวุธที่ใช้พุ่งหรือขว้างอย่างสามง่ามสั้นสีเงิน และหลาวอะไรเทือกนั้น ท่าทางพร้อมรบ และเมื่อมองจากไกลๆ ใกล้กับกำแพงดินยังมีมนุษย์อสรพิษติดอาวุธยืนอยู่รางๆ จำนวนมาก
ดูเหมือนจะเตรียมการป้องอย่างแน่นหนาเป็นพิเศษ!
เหยียนอู่มาถึงหน้าประตูเมือง พลางสั่งให้กิ้งก่าใต้ร่างหยุดเคลื่อนไหว จากนั้นพลันกระโจนกระโดดลงไป
ส่วนในบรรดามนุษย์อสรพิษผู้รักษาการณ์เหล่านั้นก็มีสตรีอสรพิษท่าทางองอาจสง่างามเดินออกมาคนหนึ่ง นางร้องเรียกปุโรหิตหญิงด้วยรอยยิ้มบางๆ
ปุโรหิตหญิงเห็นอีกฝ่ายเองก็ตื่นเต้นดีใจ จึงเข้าไปพูดคุยอะไรด้วยท่าทีดีใจเช่นกัน แต่ไม่นานนักก็ชี้มาที่รถด้านหลัง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
สตรีอสรพิษผู้รักษาการณ์พลันหุบยิ้มลงเช่นกัน พยักหน้า จากนั้นพลันโบกมือไปด้านหลัง ชั่วขณะนั้นผู้รักษาการณ์ด้านหลังพลันเปิดทางเป็นเส้นทางสายหนึ่งทันที
ดังนั้นสตรีอสรพิษผู้งดงามจึงกระโดดขึ้นไปบนอสูรกิ้งก่าอีกครั้ง พารถลากสีดำเข้าไปในเมืองดิน
หานลี่นั่งอยู่ในรถ พิจารณาทุกอย่างในเมืองดินไปมาไม่หยุด
แม้ว่าเมืองดินจะไม่ใหญ่โตนัก แต่ถนนหลักในเมืองกลับกว้างใหญ่เป็นพิเศษ และยิ่งไปกว่านั้นยังปูด้วยก้อนหินสีขาวซีด แตกต่างกับบ้านเรือนสีเหลืองที่อยู่ในบริเวณรอบ เผยความสะดุดตาออกมาอย่างเห็นได้ชัด
สองฝั่งถนนมีมนุษย์อสรพิษสัญจรไปมาอยู่จำนวนมาก
บุรุษทุกตนล้วนมีท่าทีกำยำล่ำสัน สตรีล้วนมีท่าทีอรชรอ้อนแอ้น และยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังพกอาวุธประเภทมีคมเอาไว้ แม้แต่มนุษย์อสรพิษเด็กที่มีความสูงแค่สองสามฉื่อ ยังถือสามง่ามและหลาวเอาไว้เช่นกัน ทว่าขนาดก็เล็กกว่าเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นดูแล้วยังสร้างขึ้นจากไม้ธรรมดาเท่านั้น
เมื่อมองจนมาถึงเวลานี้ หานลี่พลันอดที่จะครุ่นคิดขึ้นมาไม่ได้!
ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งเคยได้ยินชนต่างเผ่า ‘ตระกูลวา’ นี้เป็นครั้งแรก แต่เห็นได้ชัดว่ามนุษย์เผ่านี้เป็นผู้มีกลิ่นอายความเป็นทหารกันทุกคน แต่ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรในเผ่านี้มีจำนวนมากหรือไม่ หากสัดส่วนการกำเนิดของผู้บำเพ็ญเพียรน่าตกตะลึงละก็ ประกอบกับประชากรธรรมดาในชนเผ่าก็แข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าเผ่านี้น่าจะมีกำลังไม่น้อยถึงจะถูก แต่ชนต่างเผ่าที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
หานลี่พลันสังเกตได้ว่าสตรีอสรพิษของเผ่าเพลิงอาทิตย์นี้มีจำนวนมากกว่าบุรุษมาก
จากการตรวจสอบมาระหว่างทางแล้ว จำนวนของสตรีอสรพิษที่ปรากฏตัวบนถนนมีมากกว่าบุรุษอสรพิษถึงสองเท่า
และยิ่งไปกว่านั้นจากสีบนผิวกายท่อนล่างของอสรพิษเหล่านี้ล้วนไม่ค่อยเหมือนกันนัก
ในบรรดาเหล่านั้นมีสีเขียวอ่อนและสีเหลืองอ่อนมากที่สุด แต่ตำแหน่งดูเหมือนว่าจะต่ำต้อยที่สุด ส่วนสีขาวและสีดำนั้นมีอยู่น้อยหน่อย ส่วนใหญ่ล้วนถูกมนุษย์อสรพิษคนอื่นๆ รุมล้อม ดูเหมือนว่าจะต้องเป็นที่มีตำแหน่งในเผ่าเป็นแน่
ส่วนมนุษย์อสรพิษสีอื่นๆ หานลี่ก็พอเห็นบ้าง
หานลี่วิเคราะห์ทุกอย่างที่มองเห็นอยู่ในรถอย่างเงียบๆ แต่ไม่นานนักรถก็ถูกควบคุมไปถึงหน้าจัตุรัสที่ปูด้วยหินเรียบ ตรงปลายจัตุรัสมีวิหารที่สร้างขึ้นจากไม้และดินเหนียวผสมกันตั้งอยู่ ผิวของมันถูกประดับไว้ด้วยเปลือกหอยที่ทาสีเอาไว้หลากหลาย
ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนไม่สามารถดึงดูดความสนใจของหานลี่ได้ สายตาของเขาตกอยู่ที่สิ่งแปลกประหลาดตรงใจกลางของจัตุรัส
นั่นคือสิ่งที่ดูเหมือนกรวยกลมๆ ซึ่งทำขึ้นจากทองสัมฤทธิ์ สูงประมาณสิบจั้งเศษ ด้านบนเรียวแหลมด้านล่างกว้างใหญ่ ผิวของมันมีลวดลายประหลาดเรียงรายอยู่ ลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งแผ่ออกมาเรืองๆ
และรอบด้านของเจ้าสิ่งนี้ก็มีบุรุษและสตรีอสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวยืนอยู่เจ็ดแปดคน ในมือต่างมีลำแสงสีขาวเปล่งแสงระยิบระยับ
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง มองเห็นคนเหล่านั้นบรรจุอะไรสักอย่างเข้าไปในสิ่งประหลาดสิ่งนั้น แม้ว่าจะมีขนาดแค่เท่ากำปั้น แต่มีสีสันสดใส ราวกับว่าไม่ใช่ศิลาวิญญาณ
และบุรุษสตรีที่สวมชุดคลุมสีขาวเหล่านั้นก็เหมือนกับสตรีอสรพิษผู้งดงามที่นำทางเขาอย่างไรอย่างนั้น เรือนกายไม่มีพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่ แต่พลังยุทธ์ยังสู้สตรีอสรพิษผู้งดงามไม่ได้
ทว่าเมื่อผู้สวมชุดคลุมสีขาวเหล่านี้เหยียนอู่และขบวนรถปรากฏตัว ก็มีคนสองคนเดินออกมาในทันที
และในครานั้นหานลี่พลันถูกคนอื่นๆ ยกลงมาอีกครั้ง และถูกวางลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่หามาจากที่ใดก็สุดจะรู้ได้อย่างระมัดระวัง
หานลี่มองคนเบื้องหน้าสนทนากันสองสามประโยค แม้ว่าจะฟังไม่ออก แต่เห็นได้ชัดว่ามนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวทั้งสองเคารพนับถือสตรีอสรพิษผู้งดงามเป็นอย่างมาก
และในตอนนั้นเองพลันมีมนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวเช่นกันเดินออกมาจากวิหารตรงข้ามจัตุรัสโดยแบ่งออกเป็นสองแถว
แถวหนึ่งเป็นสตรี แถวหนึ่งเป็นบุรุษ เดินเข้ามาทางหานลี่อย่างแช่มช้า
เมื่อเห็นฉากนี้สตรีอสรพิษผู้งดงามและมนุษย์อสรพิษในจัตุรัสคนอื่นๆ ที่กำลังพูดคุยกันพลันหน้าเปลี่ยนสี แบ่งออกเป็นสองฝั่งทันที สีหน้าเคารพนบน้อม
หลังจากที่มนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวสองแถวยืนเป็นสองฝั่งแล้ว ด้านในพลันมีผู้สวมชุดคลุมสีแดงคนหนึ่งเดินออกมา
หานลี่เห็นคนผู้นี้ ใบหน้าพลันฉายแววประหลาดใจ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฮูหยินร่างกายผ่ายผอม หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง กายท่อนล่างมีเท้าสองข้างเหมือนกับเผ่ามนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ใช่ร่างของอสรพิษ
สิ่งที่ทำให้หานลี่ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นก็คือ เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณระดับก่อกำเนิดที่กำลังไหลโคจรอยู่ในร่างของนาง
นี่มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปหน่อยแล้ว
ต้องเข้าใจว่าแม้ว่ามนุษย์สอรพิษสวมชุดคลุมสีขาวในจัตุรัสจะมีพลังวิญญาณไหลโคจรอยู่ แต่ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดก็เป็นแค่บุรุษมนุษย์อสรพิษระดับสร้างปราณคนหนึ่งเท่านั้น คนที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในระดับฝึกปราณเหมือนกับสตรีหน้าตางดงาม
ภายใต้สถานการณ์ที่มีสิ่งมีชีวิตระดับสูงคนหนึ่งโผล่พรวดพราดออกมาเช่นนี้ ความแตกต่างของทั้งสองมันจะมากไปหน่อยแล้วกระมัง
หลังจากที่ฮูหยินผู้นั้นกวาดสายตามาบนเรือนร่างของหานลี่แล้ว ก็เผยสีหน้าตะลึงงันออกมาเช่นกัน แต่ครู่ต่อมาก็เยือกเย็นลง แล้วเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ชนรุ่นหลังหั่วเย่ว์ คารวะท่านอาวุโสหาน!” เมื่อฮูหยินมาอยู่ตรงหน้าหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะทำความเคารพ ปากพลันเอ่ยภาษาชาววิญญาณเหาะเหินออกมาอย่างคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ
“เจ้าคือมหาปุโรหิตของเผ่าเพลิงอาทิตย์?” หานลี่แววตาเปล่งประกาย ปากพลันเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ! ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะแก่การพูดคุย ท่านอาวุโสตามข้าเข้ามาพูดคุยในวิหารเป็นอย่างไร?” ฮูหยินเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“ได้ ข้ามีเรื่องมากมายอยากถามเจ้าอยู่พอดี” หานลี่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่ต้องขบคิด
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบเกียรตินี้ให้เจ้าค่ะ! พวกเจ้ายังไม่เชิญท่านอาวุโสเข้าวิหารอีก” ฮูหยินพลันดีอกดีใจ หันหน้าไปออกคำสั่งกับสตรีอสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวเหล่านั้นที่อยู่ด้านข้าง
ชั่วขณะนั้นสตรีอสรพิษแถวหนึ่งพลันเกิดเสียงดังโวยวายขึ้น ทันใดนั้นก็มีสองคนเดินออกมาอย่างรีบร้อน ยกหานลี่ขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง จากนั้นพลันเดินตรงไปที่วิหาร
ทันใดนั้นฮูหยินพลันโบกมือ คนที่เหลือที่ยืนอยู่ทั้งสองฟากฝั่งพลันเดินตามมาติดๆ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็มาอยู่ในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายในวิหาร ด้านในนอกจากหานลี่และฮูหยินผู้นั้นซึ่งกำลังนั่งอยู่แล้ว มนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีต่างก็ยืนประสานมือเข้าหากันอยู่ทั้งสองฝั่ง
“ท่านอาวุโสเคลื่อนไหวไม่สะดวกเช่นนี้ ร่างกายคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมเจ้าคะ ชนรุ่นหลังมียาลูกกลอนไอโลหิตที่ปรุงขึ้นกับมืออยู่ สามารถชดเชยพลังปราณได้ ท่านอาวุโสกินยาลูกกลอนสักหน่อยเป็นอย่างไร?” หลังจากที่ฮูหยินนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พลันเอ่ยถามด้วยสีหน้านอบน้อม
“ไม่ต้อง ข้าแค่เกิดปัญหาในการฝึกฝนนิดหน่อย อีกเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว” หานลี่เหลือบตามองฮูหยินแวบหนึ่ง มุมปากเอยสีหน้าอมยิ้มออกมา
“แหะๆ เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้รับข้อความมากจากอู่เอ๋อร์ว่า ท่านอาวุโสมีเรื่องอยากสอบถามชนรุ่นหลังสักหน่อย ไม่ทราบว่าท่านมีข้อสงสัยอันใดหรือ ชนรุ่นหลังจะบอกอย่างไม่ปิดบังแน่นอนเจ้าค่ะ” ฮูหยินหัวเราะแห้งๆ ออกมา ฉับพลันนั้นพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพูดคุย
“อ้อ ข้าอยากรู้ว่าที่นี่คือน่านน้ำใด ในละแวกนี้มีสหายร่วมวิถีที่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรบ้าง” หลังจากหานลี่ขบคิดเล็กน้อยพลันเอ่ยออกมา
เมื่อได้ยินหานลี่ซักถามเช่นนี้ ฮูหยินที่มีสีหน้าสบายใจพลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ปากพลันตอบกลับอย่างสัตย์จริงว่า
“ที่นี่คือหมู่เกาะปะการังเพลิง ละแวกนี้ไม่มีสหายที่ร้ายกาจอะไร มากสุดก็มีพลังยุทธ์เท่าชนรุ่นหลังเท่านั้น”
“หมู่เกาะปะการังเพลิง? เจ้ามีแผนที่น่านน้ำในละแวกนี้หรือไม่?” หานลี่ได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคย พลันขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยปากถาม
“มีแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทว่าแผนที่ของชนรุ่นหลังล้วนใช้ตัวอักษรของเผ่าตระกูลวาสลักเอาไว้ ท่านอาวุโสศึกษาภาษาของเผ่าเราก่อน จากนั้นค่อยดูก็เข้าใจแผนที่แล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินกะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อืม เช่นนั้นก็ได้” หานลี่ขมวดคิ้วมุ่น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้พยักหน้า จากจิตสัมผัสที่หลงเหลืออยู่ในหัวของเขา แม้นว่าจะไม่อาจแผ่ออกไปนอกกายได้ แต่การอ่านคัมภีร์อะไรเทือกนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ปัญหาอะไร
ฮูหยินได้ยินคำนี้ พลันเผยรอยยิ้มใจดีสู้เสือออกมา ทันใดนั้นมือหนึ่งพลันควานหาในเรือนร่าง ลำแสงวิญญาณสว่างวาบ ควักแผ่นหินเปล่งแสงสีดำสนิทออกมาจากที่ใดก็สุดจะรู้ได้ โยนมาทางหานลี่
หานลี่ที่ได้พักผ่อนมายาวนานขนาดนี้ แม้ว่าร่างกายจะฟื้นฟูพลังปราณมานิดหน่อยแล้ว แต่มือเท้าก็ยังคงอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง
สายตากวาดไปบนแผ่นหิน หลังจากมั่นใจว่าคล้ายกับพวกคัมภีร์แล้ว เขาแค่อ้าปากออก ชั่วขณะนั้นพลันพ่นหมอกนสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา ม้วนคัมภีร์นั้นเอาไว้แล้วสูบเข้ามาที่หน้าผาก จากนั้นพลันหลับตาลงศึกษาสิ่งที่อยู่ในนั้น
แต่ในครานั้นเอง เสียง ปัง พลันดังขึ้น แผ่นหินระเบิดออกทันที หมอกสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกสลายออก ชั่วครู่ก็ปกคลุมหานลี่เอาไว้
ตอนที่ 1538 ยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือด
หานลี่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ม่านหมอกห่อหุ้มเรือนกายเอาไว้ ตัวเองกลับหลับตาทั้งสองข้างลง
และไม่รู้ว่าหมอกสีดำเหล่านั้นคืออะไร หลังจากที่หมุนโคจรล้อมรอบหานลี่อยู่ชั่วครู่ ถึงได้สลายหายไป
“ไม่เลว วิธีการหลอมอาวุธของเจ้าช่างวิเศษนัก ไม่ต้องให้ข้าใช้จิตสัมผัส ก็สามารถนำเข้ามาในจิตสัมผัสได้โดยอัตโนมัติ” พริบตาที่หมอกสลายหายไปหมด หานลี่พลันลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่ปากกลับเอ่ยภาษาที่เหมือนกับมนุษย์อสรพิษคนอื่นๆ ไม่มีผิดเพี้ยน
“ท่านอาวุโสเห็นเรื่องขบขันแล้ว นี่เป็นเพียงความสามารถอันน้อยนิดเท่านั้น นี่คือแผนที่หมู่เกาะปะการังเพลิงของพวกเรา เชิญท่านอาวุโสตรวจสอบได้เจ้าค่ะ!” ฮูหยินฉีกยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วโยนแผ่นหินสีขาวโพลนมาให้อีกครั้ง
ครั้งนี้แผ่นหินไม่ได้ระเบิดออก หลังจากถูกหานลี่อ้าปากพ่นลำแสงวิญญาณออกมาดูดเข้าไปแล้ว ก็แปะอยู่ที่หน้าผากไม่ขยับเขยื้อน
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง สีหน้าเริ่มเปลี่ยนจากราบเรียบเป็นตกตะลึง แต่ไม่นานนักก็ฟื้นฟูกลับเป็นดังเดิม
ฮูหยินที่อยู่ไกลออกไปเห็นหานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นนี้ แววตาพลันฉายแววประหลาดใจออกมา แต่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ แผ่นหินบนหน้าผากของหานลี่พลันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบแล้วดีดตัวออก พุ่งย้อนกลับเข้าไปหาฮูหยินอย่างแผ่วเบา
ฮูหยินใช้มือหนึ่งกวักมือ แผ่นหินร่อนลงในมืออีกครั้ง
หานลี่กลับเงียบขรึมไม่พูดไม่จาอยู่ที่เดิม ดูเหมือนว่าจะกำลังขบคิดอะไรอยู่
ฮูหยินไม่ได้ทันได้เอ่ยอะไรรบกวน แค่นั่งอยู่ที่เดิมพร้อมรอยยิ้มบางๆ ไม่พูดไม่จา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่พลันเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบว่า
“เช่นนี้ที่นี่ก็อยู่ใกล้กับแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีสินะ ขอแค่บินไปสักสองสามปีก็จะถึงแผ่นดินใหญ่”
“ครึ่งปี! นั่นคือความเร็วของท่านอาวุโสสินะ หากเป็นเหล่าชนรุ่นหลัง ไม่ใช้เวลายี่สิบสามสิบปี คงไม่อาจไปถึงแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอันตรายต่างๆ ระหว่างทางเลย” ฮูหยินหางตากระตุก ทันใดนั้นพลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
หานลี่พยักหน้า นับว่ายอมรับคำพูดของฮูหยินโดยดุษณี แต่พลันเอ่ยอีกว่า
“ดูจากในแผ่นที่มหาสมุทร เผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเจ้าครอบครองหมู่เกาะเอาไว้ไม่มากนัก หมู่เกาะอื่นๆ ล้วนมีคนอยู่แล้วงั้นหรือ?”
“ความจริงแล้วก็มีไม่มากนัก มีอยู่แค่สองสามเกาะเท่านั้น หนึ่งในนั้นเกาะที่เป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าเรา ก็มีเพียงเกาะเมฆาเพลิงเท่านั้น ส่วนเกาะที่เหลือเป็นแค่ที่เอาไว้หาอาหารเก็บรวบรวมวัตถุดิบสมุนไพรเท่านั้น ปกติแล้วไม่อาจส่งใครไปตั้งถิ่นที่อยู่ได้ เกาะอื่นๆ ส่วนใหญ่ล้วนถูกเผ่าที่แข็งแกร่งอื่นๆ ยึดครองไว้ ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ถูกอาวุโสของเผ่าเช่นท่านอาวุโสยึดครองเอาไว้ ในละแวกน่านน้ำนี้เผ่าเพลิงอาทิตย์อย่างพวกเราไม่ใช่เผ่าที่ใหญ่โตอะไรจริงๆ” ฮูหยินถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยยอมรับ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” หานลี่พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
แต่หลังจากฮูหยินลังเลไปเล็กน้อย พลันเอ่ยปากถามหานลี่ว่า
“ชนรุ่นหลังดูท่าทางของท่านอาวุโสแล้ว ดูเหมือนว่าจะมาจากที่ที่ไกลแสนไกล ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมาที่นี่ด้วยเหตุใด? แม้นว่าพลังยุทธ์ของชนรุ่นหลังจะไม่สูงส่งนัก แต่ในเผ่าก็นับว่ามีกำลังพลที่พอจะช่วยเหลือท่านได้อยู่ไม่น้อย”
ฮูหยินเผยท่าทีมีไมตรีจิตเป็นพิเศษออกมา
“ผู้แซ่หานไม่ใช่คนแถวนี้จริงๆ แค่บังเอิญไปโดนเขตอาคมประหลาดเข้าด้วยความบังเอิญ จึงถูกส่งตัวมาที่นี่ และระหว่างการส่งตัวกลับเกิดความผิดพลาดขึ้น ถึงได้ทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในสถานที่จนตรอกเช่นนี้ ช่างทำให้สหายเห็นเรื่องขบขันแล้ว” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว แม้ว่าร่างกายของท่านอาวุโสจะเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกนัก ชนรุ่นหลังก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ล้ำลึกยากจะคาดเดาของท่านอาวุโส เอาเช่นนี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ ท่านอาวุโสคงต้องการสถานที่ฝึกบำเพ็ญเพียรที่มีไอวิญญาณหนาแน่นอย่างแน่นอน แม้ว่าเกาะเพลิงอาทิตย์ของพวกเราจะไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็มีชีพจรวิญญาณที่ยอดเยี่ยมอยู่สองสามแห่ง หากท่านอาวุโสไม่รังเกียจ ชนรุ่นหลังสามารถแบ่งให้ท่านเป็นการส่วนตัวได้ ให้ท่านอาวุโสได้ฟื้นฟูพลังลมปราณ” หลังจากที่ฮูหยินระบายยิ้มออกมาแล้ว พลันเอ่ยอย่างนอบน้อม
“พักรักษาตัวบนเกาะของเจ้า?” หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา ท่าทางไม่คิดเช่นนั้น
ฮูหยินเห็นเช่นนั้นในใจพลันรู้สึกร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นพลันฉีกยิ้มอย่างใจดีสู้เสือแล้วเอ่ยว่า
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ ชีพจรวิญญาณบนเกาะของชนรุ่นหลังไม่ได้ด้อยไปกว่าเกาะอื่นๆ ในละแวกนี้เลย และยิ่งไปกว่านั้นบนยังมีสมุนไพรหายากอยู่สองสามชนิดและศิลาวิญญาณที่เก็บสะสมอยู่อีกด้วย ล้วนยินดีให้ท่านอาวุโสใช้สอยได้”
หานลี่ได้ยินคำนี้ รอยยิ้มบนใบหน้ากลับหม่นหมองลง
“ผู้แซ่หานไม่มีทางรับบุญคุณจากใครโดยเปล่าประโยชน์ สหายมีสิ่งใดอยากบอกผู้แซ่หาน ก็พูดมาตามตรงเถิด ข้าน้อยไม่ชินกับการอ้อมไปอ้อนมา” หานลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฮูหยินถึงได้พบว่าคำพูดก่อนหน้าของตนเองนั้นเสียกิริยาไปเล็กน้อย หน้าพลันเปลี่ยนสีสองสามครั้ง สุดท้ายก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ในเมื่อท่านอาวุโสรู้สึกว่าชนรุ่นหลังมีเจตนาอื่นแอบแฝง เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็จะไม่ปิดบังอะไรอีก พวกเจ้าออกไปก่อน!” ประโยคสุดท้ายของฮูหยิน กลับเป็นการออกคำสั่งกับมนุษย์อสรพิษที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ชั่วขณะนั้นมนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวพลันค้อมกายลง ทยอยกันถอยออกไปจากวิหาร
หานลี่จับจ้องทุกอย่างด้วยสีหน้าราบเรียบโดยไม่ปริปากใดๆ
ส่วนฮูหยินนั้นรอให้มนุษย์อสรพิษทั้งหมดหายไปจากวิหารแล้ว ถึงได้เอ่ยถามหานลี่ด้วยความเคร่งขรึมว่า
“ท่านอาวุโสคิดว่าพลังยุทธ์ของชนรุ่นหลังเป็นอย่างไร?”
“ก็นับว่าใช้ได้นะ!” หานลี่กวาดสายตาไปที่ฮูหยินแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“แต่หนึ่งเดือนก่อน ชนรุ่นหลังก็เป็นเหมือนกับเผ่าอื่นๆ ยังสร้างขามายาไม่ได้จึงยังไม่จัดอยู่ในประเภทชนชั้นสูงของเผ่า” ฮูหยินมีสีหน้าแปลกประหลาดไปเล็กน้อย
“ชนชั้นสูงของเผ่าที่เจ้าหมายถึงคือ…” หานลี่ขมวดคิ้วมุ่น แล้วเอ่ยปากซักถาม
“แน่นอนว่าหมายถึงผู้ที่สามารถฝึกฝนร่างกายให้เป็นชนชั้นสูง มีเพียงผู้ฝึกฝนที่ฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้อย่างข้า ถึงจะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นคนธรรมดาในเผ่าอย่างเป็นทางการได้ แล้วกลายเป็นชนชั้นสูงของเผ่าได้” ฮูหยินกลับเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
“อ๋อ ฟังจากคำพูดของเจ้าแล้วดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องปกติที่ฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้ได้ หรือว่ากินยาลูกกลอนอะไรหรือใช้เคล็ดวิชาลับอะไรทำให้พลังยุทธ์ของตนเองเพิ่มสูงขึ้นจนมาอยู่ในระดับนี้ได้” หานลี่ได้ฟังคำนี้ ใจพลันหายวาบ แต่ยังพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่มีสีหน้าประหลาดใจอะไรผุดขึ้นมา
ส่วนฮูหยินนั้นก็ไม่ได้สนใจความตกตะลึงระคนสงสัยของหานลี่ดังคาด ตอบกลับอย่างสัตย์จริงว่า
“ท่านอาวุโสช่างมีสายตาเฉียบแหลมนัก! ชนรุ่นหลังใช้ยาลูกกลอนล้ำค่าสองสามชนิดที่เผ่าเก็บสะสมไว้จริงๆ และใช้เคล็ดวิชาลับที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง ถึงได้บีบให้พลังยุทธ์ขึ้นมาในจุดนี้ ทว่าด้วยเหตุนี้วันข้างหน้าชนรุ่นหลังไม่เพียงจะไม่มีทางพัฒนาพลังยุทธ์ได้อีกแล้ว อายุขัยก็ยังน้อยกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันครึ่งหนึ่ง แต่ที่ข้าทำเช่นนี้ความจริงแล้วเป็นเพราะเวลานี้เผ่าเพลิงอาทิตย์กำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ ชนรุ่นหลังจึงจำใจต้องพยายามดูสักตั้ง” ฮูหยินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นพิเศษ
“ภัยพิบัติ? ไหนลองเล่ามาซิ” หานลี่ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกสนใจขึ้นมาสองสามส่วน
“ครึ่งปีก่อน เผ่าย่อยจากเผ่าตระกูลวาอย่าง ‘เผ่าฟันแหลม’ ที่อยู่ติดกันกับพวกเรา ล้วนถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์แล้ว สตรีทั้งหมดในเผ่าล้วนถูกกินจนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงกระดูกกองหนึ่ง ส่วนบุรุษล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่นานนัก ‘เผ่าหางแมงป่อง’ ที่อยู่ในละแวกนี้ก็พบกับชะตากรรมเช่นกัน เผ่าตระกูลวาในน่านน้ำแห่งนี้มีเพียงพวกเราสามเผ่าเท่านั้น แม้นว่าทั้งสามเผ่าจะไม่นับว่ายิ่งใหญ่นัก แต่เมื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันแล้ว ก็นับว่าแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่เวลานี้ถูกทำลายล้างไปสองเผ่า เกรงว่าต่อไปก็คงถึงตาเผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเราแล้ว ส่วนสาเหตุที่ถูกทำลายเผ่า ชนรุ่นหลังกลับหาไม่พบเลยสักนิด รู้เพียงว่าผู้ที่ลงมือน่าจะไม่ได้มีเพียงคนเดียว น่าจะเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งเผ่าอื่นกระมัง ส่วนมหาปุโรหิตของเผ่าที่เหลืออีกสองเผ่า จากพลังยุทธ์ความสามารถแล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย ชนรุ่นหลังช่างจนปัญญานัก ถึงได้ยอมเพิ่มพลังลมปราณของตนเองให้ถึงระดับเทพแปลงชั่วคราวอย่างไม่เสียดาย” ฮูหยินเอ่ยอย่างหมดเปลือก
“อ๋อ เช่นนั้นข้าอยู่ที่นี่ อยากให้ข้าช่วยต้านทานเคราะห์นี้แทนพวกเจ้าหรือ! เจ้าเชื่อใจข้าขนาดนี้ ไม่กลัวว่าข้าเองก็รักษาชีวิตตัวเองได้ยากหรือ?” หลังจากหานลี่ฟังจบ ก็ฉีกยิ้มออกมา
“แม้ชนรุ่นหลังจะไม่รู้ว่าพลังยุทธ์ที่แท้จริงของท่านอาวุโสเป็นอย่างไร แต่ระดับพลังปราณจะต้องสูงกว่าชนรุ่นหลังแน่ ส่วนอาการบาดเจ็บของท่านอาวุโสนั้น เผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเรายังมียาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดอยู่หนึ่งเม็ด สรรพคุณของยาเพียงพอที่จะทำให้กระดูกและเนื้อหนังฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง หากท่านอาวุโสยอมช่วยชนรุ่นหลังอีกแรง ชนรุ่นหลังยินดีมองยาลูกกลอนชนิดนี้ให้ท่านอาวุโสได้พักรักษาอาการบาดเจ็บได้ในระยะเวลาอันสั้น” ฮูหยินกัดฟัน ในที่สุดก็เผยไพ่ตายของตนเองออกมา
“ยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือด! เป็นยาลูกกลอนธาตุเพลิงสินะ! อาการบาดเจ็บของข้ารุนแรงมาก ไม่เหมือนกับที่สหายคาดการณ์ไว้ เกรงว่ายาลูกกลอนเทวะของเผ่าเจ้าเม็ดนี้คงมีผลต่อข้าไม่มากนัก” หานลี่ขมวดคิ้วแน่น พลางเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ ยาลูกกลอนเทวะนี้ไม่เพียงปรุงขึ้นจากแก่นอสูรของมังกรวารีไฟสองหัว และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ปรุงเสร็จแล้วก็ถูกเผ่าของข้าเก็บเอาไว้ในเพลิงธรณี เวลานี้ผ่านมาสองสามพันปีแล้ว ด้านผลลัพธ์ของมันนั้น ชนรุ่นหลังมั่นใจอยู่บ้าง” ฮูหยินได้ยินน้ำเสียงผ่อนคลายในคำพูดของหานลี่ ทันใดนั้นก็รีบร้อนอธิบายด้วยความยินดี
หานลี่ได้ฟังแล้ว ใบหน้ากลับยังคงเผยสีหน้าลังเลใจออกมา ราวกับว่ายังมีอะไรที่ตัดสินใจไม่ได้อยู่
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้ท่านอาวุโสพักอยู่ในเผ่าของพวกเราก่อน รอจนกินยาลูกกลอนเทวะแล้วดูผลมันว่าเป็นอย่างไร? หากยาลูกกลอนนี้ไม่มีประสิทธิภาพรักษาอาการบาดเจ็บของท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังก็จะไม่ขอให้ช่วยอะไรอีก แต่ถ้าหากมีละก็…”
“หากยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดนี้มีผลในการรักษาอาการบาดเจ็บของข้า ข้าช่วยพวกเจ้าฟาดเคราะห์ของเผ่าเพลิงอาทิตย์ครั้งนี้ไป ย่อมเป็นเรื่องที่สมควร แต่บอกเอาไว้ก่อนว่า หากศัตรูที่พวกเจ้าต้องประสบมีกำลังแข็งแกร่งเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่ผู้แซ่หานจะลงมือแก้ไขได้ สัญญานี้ก็จะถูกยกเลิก!” หานลี่ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจเอาไว้แล้ว ไม่รอให้ฮูหยินเอ่ยจบ พลันเอ่ยตัดคำพูดของนางขึ้น
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว! ต่อให้ข้าโง่เขลาแค่ไหน ก็ไม่มีทางขอร้องให้ท่านอาวุโสเสี่ยงชีวิตช่วยเผ่าเล็กๆ อย่างพวกเรา” ฮูหยินกลับไม่ใส่ใจคำพูดส่วนท้ายของหานลี่ กลับรู้สึกยินดีขึ้นมา
หานลี่พยักหน้า นับว่าเป็นการตอบรับเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
ดังนั้นเรื่องต่อจากนี้ก็ง่ายขึ้นมากแล้ว หานลี่ซักถามเรื่องราวของชนต่างเผ่าในน่านน้ำละแวกนี้ ฮูหยินล้วนตอบคำถามทั้งหมด ทันใดนั้นก็เตรียมส่งหานลี่ไปยังแดนฝึกบำเพ็ญเพียร
ฮูหยินควานหาในอกเสื้อ ควักอาวุธที่เป็นดังผ้าพันคอสีขาวบางออกมา โบกสะบัดเล็กน้อย กลายเป็นก้อนเมฆยักษ์ขนาดสองสามจั้ง
เมฆก้อนนี้กะพริบวาบ ชั่วครู่ก็รองหานลี่รวมทั้งเก้าอี้ใต้เรือนร่างขึ้นสูงไปสองสามจั้ง
ร่างกายของมนุษย์อสรพิษพลิ้วไหว ยืนอยู่ด้านบนอย่างแปลกประหลาด จากนั้นปากพลันบริกรรมคาถา หลังจากที่เมฆสีขาวหมุนวน ก็พุ่งออกมาจากประตูวิหาร
เมื่อเมฆสีขาวพุ่งออกจากวิหาร มนุษย์อสรพิษที่รออยู่ด้านนอกประตูวิหารต่างค้อมกายลงส่งฮูหยินจากไปด้วยความเคารพนบน้อม
แม้นว่าความเร็วของเมฆก้อนนี้จะไม่นับว่ารวดเร็วนัก แต่เดิมทีเกาะแห่งนี้มีขนาดแค่สองสามร้อยลี้เท่านั้น
ดังนั้นหลังจากผ่านไปแค่หนึ่งมื้ออาหาร ฮูหยินก็ขับเคลื่อนเมฆก้อนนี้มาส่งหานลี่ที่ตีนเขาขนาดย่อมซึ่งมีวิวทิวทัศน์สวยสดงดงาม
ตอนที่ 1539 จูเอ๋อร์กับเผ่าตาข่ายทมิฬ
ตีนเขามีบ้านไม้สีเขียวเรียงต่อกันสองสามหลังจนกลายเป็นเรือนสี่ประสาน
ฮูหยินขับเคลื่อนเมฆสีขาวมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนหลังน้อย หันไปเอ่ยถามหานลี่ด้วยสีหน้ามอมยิ้ม
“ท่านอาวุโสหานคิดว่าที่นี่เป็นอย่างไร?”
หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังวิญญาณเข้มข้นที่พัดโชยเข้ามา ใบหน้าเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา พลางพยักหน้าน้อยๆ
ฮูหยินเห็นเช่นนี้พลันดีอกดีใจ กระตุ้นเมฆสีขาวให้ตรงไปยังกลางเรือนสี่ประสานทันที และยกมือขึ้นผลักประตูไม้ออก หมายจะส่งหานลี่เข้าไปข้างใน
แต่ในครานั้นหานลี่พลันฉีกยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“จากนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนสหายแล้ว ข้าน้อยเจ้าไปเองได้”
หานลี่พูดไปพลางร่างกายก็วูบไหว ชั่วครู่ก็ยืนขึ้นบนเมฆสีขาว จากนั้นพลันร่อนลงไปด้านล่างอย่างแช่มช้า
“เอ๋ สหายท่าน…” ฮูหยินพลันตะลึงงัน รู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมา
“แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะยังเหมือนเก่า แต่ตอนนี้สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย
“ขอแสดงว่ายินดีกับท่านอาวุโส เดิมทีชนรุ่นหลังอยากส่งลูกศิษย์สองสามคนมาคอยรับใช้ท่านอาวุโส เวลานี้คงไม่จำเป็นแล้ว คิดดูแล้วท่านอาวุโสคงไม่อยากให้คนมารบกวน” ฮูหยินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อืม ข้าไม่อยากให้คนนอกอยู่ข้างกายเวลาที่รักษาตัว ที่นี่ไม่เลวนัก ข้าจะพักอยู่ที่นี่สักระยะก็แล้วกัน ทางที่ดีที่สุดรีบนำยาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดที่เจ้าพูดถึงมาส่งให้ไวที่สุดจะดีกว่า หากได้ผลจริงละก็ ข้าจะได้รีบฟื้นฟูพลังปราณความสามารถ นั่นถึงจะลงมือปกป้องเผ่าของพวกเจ้าได้” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ นั่นเป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำอย่างแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทว่ายาลูกกลอนเทวะตะวันเดือดกำลังกลั่นอยู่ในเพลิงธรณี ชนรุ่นหลังยังต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน ท่านอาวุโสโปรดอภัยด้วย” ฮูหยินเอ่ยปากตอบรับ และเอ่ยอธิบายสองสามคำ
“สองสามวัน แน่นอนว่าข้าย่อมรอได้ เมื่อได้ยาลูกกลอนเทวะมาก็นำมาส่งให้ข้าก็ได้แล้ว เจ้าไปได้แล้ว ข้าต้องการพักผ่อน” หานลี่พยักหน้า พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ยินหานลี่ออกคำสั่งไล่แขก แน่นอนว่าฮูหยินย่อมไม่รั้งรออยู่ที่นี่อย่างไม่รู้จักวางตัว หลังจากทำความเคารพในทันทีแล้ว พลันขับเคลื่อนเมฆสีขาวบินออกไปในทันที
หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพลางทอดสายตามองท้องฟ้า หลังจากที่เมฆสีขาวหายวับไปที่ขอบฟ้าแล้ว ถึงได้หันกายเดินตรงเข้าไปในห้องที่ประตูไม้ถูกเปิดออก
ห้องห้องนี้ไม่นับว่าใหญ่โตนัก ข้าวของที่ถูกจัดเรียงอยู่ล้วนจัดขึ้นอย่างง่ายๆ ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ทำขึ้นจากไม้เท่านั้น
หานลี่ไม่ได้มองสิ่งอื่น เดินตรงเข้าไปที่เตียงไม้ตรงมุมหนึ่งของห้อง ร่างกายพลิ้วไหวนั่งสมาธิลง
เขาพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมา
“คิดไม่ถึงว่ายืนครู่เดียว จะใช้กำลังที่สะสมมาเมื่อครู่ไปจนเกลี้ยง ดูแล้วคงเสียโลหิตบริสุทธิ์มากเกินไปโดยแท้” หานลี่เอ่ยพึมพำ จากนั้นมือหนึ่งพลันลูบไปที่กำไลเก็บของ ลำแสงสีขาวอ่อนเปล่งแสงสว่างวาบ ขวดใบเล็กรูปทรงต่างๆ ปรากฏขึ้นในมือ
หานลี่เทยาลูกกลอนสองสามเม็ดออกมาจากทุกขวดอย่างไม่ยอมชี้แจงแถลงไข ยัดเข้าไปในปากทีเดียว จากนั้นพลันหลับตาลงละลายฤทธิ์ยา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ครั้นเขารู้สึกว่าจุดตันเถียนมีความร้อนพัดเข้ามาระลอกหนึ่ง ไอเย็นเยียบสองสามกลุ่มพลันไล่โคจรไปตามแนวเส้นเอ็นต่างๆ ทันที จุดที่เสียหายต่างๆ ของกายเนื้อรู้สึกชุ่มฉ่ำขึ้นไม่หยุด
หานลี่พลันรู้สึกยินดี
ยาลูกกลอนเหล่านี้คู่ควรกับที่เขาใช้สมุนไพรอายุหมื่นปีปรุงขึ้นเป็นยารักษาอาการบาดเจ็บโดยเฉพาะโดยแท้ สรรพคุณของมันช่างล้ำเลิศนัก
หลังจากผ่านไปแค่ประเดี๋ยวเดียว บนร่างของหานลี่พลันมีลำแสงสีทองอ่อนปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง ในเวลาเดียวกันเหนือศีรษะพลันมีเงาร่างสีทองรางเลือนปรากฏขึ้น กะพริบวาบไปมาไม่หยุด
ภายในห้องไม้ พลันตกอยู่ในความเงียบสงัดในพริบตา…
ในเวลาเดียวกันฮูหยินเองก็ขับเคลื่อนเมฆสีขาวกลับเข้ามาที่เมืองดิน และร่อนลงตรงหน้าวิหารในจัตุรัส
ปุโรหิตระดับต่ำสวมชุดคลุมสีขาวยี่สิบสามสิบคนยังคงรอคอยอยู่เงียบๆ
“เหยียนอู่ เจ้าตามข้ามา นอกจากนี้พวกเจ้าไปเรียกกลุ่มล่าสัตว์ที่พบท่านหานกลุ่มแรกมาหาข้า ข้าต้องการซักถามให้ละเอียด”ประโยคแรกของฮูหยินก็คือการออกคำสั่งเช่นนี้
“เจ้าค่ะ!” ……
มนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวเหล่านั้นรับคำสั่งในทันใด ส่วนสตรีอสรพิษผู้งดงามที่มาส่งหานลี่ถึงที่นี่พลันเดินตามฮูหยินเข้าไปในวิหารอีกครั้งอย่างเชื่องฟัง
“เจ้าพาคนผู้นั้นมาถึงที่นี่ ลองบอกความรู้สึกที่มีต่อคนผู้นั้นมาให้ข้าฟังซิ รวมทั้งทุกสิ่งที่สังเกตเห็น อธิบายมาให้ละเอียดห้ามมิให้ตกหล่น!” ฮูหยินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์จะรายงานตามความจริงแน่นอนเจ้าค่ะ! ครั้นเมื่อศิษย์เข้าเวรที่ท่าเรือ…” เหยียนอู่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกตึงเครียด แต่ก็อธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เดินทางมาพร้อมกับหานลี่ออกไปและสิ่งที่ตนเองสังเกตเห็นทั้งหมดออกไปจนหมดเปลือก
แม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะฟังดูแล้วน่าเบื่อไร้สีสัน แต่ฮูหยินกลับตั้งใจฟังอย่างไม่กะพริบตา…
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม กลุ่มมนุษย์อสรพิษของชายร่างใหญ่ที่พบหานลี่เป็นกลุ่มแรกก็ขี่อสูรกิ้งก่าเข้ามาในเมืองดิน มายังด้านหน้าวิหาร
แค่พูดคุยกับมนุษย์อสรพิษสวมชุดคลุมสีขาวที่รักษาการณ์อยู่ด้านนอกวิหารนิดหน่อย พวกเขาก็เร่งรุดเข้ามาด้านในวิหาร แต่เมื่อกลุ่มคนเดินเข้ามา หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ถึงได้ออกมาพร้อมกับเหยียนอู่
เวลานี้ฮูหยินนั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักในวิหาร หลังพิงพนักพิง ใบหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ดูเหมือนว่าจะไม่อาจตัดสินใจอะไรได้
“อันใด ท่านแม่มีข้อสงสัยอะไรหรือ?” ฉับพลันนั้นเสียงไพเราะกังวานก็ดังขึ้นท่ามกลางวิหารที่เงียบสงัด
“จูเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ? มาถึงเผ่าเมื่อใดกัน?” ฮูหยินได้ยินเสียงนี้พลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมาขณะเอ่ยถาม
ชั่วพริบตานั้นเบื้องหน้าของฮูหยินพลันมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ เงาร่างแน่งน้อยของมนุษย์อสรพิษปรากฏขึ้นรางๆ ในลำแสงวิญญาณ
นี่คือมนุษย์อสรพิษสาวอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี เครื่องหน้างดงามไม่เป็นสองรองใคร บนศีรษะมีเรือนผมสีดำยาว
มวยผมของหญิงสาวผู้นี้มีห่วงกลมขนาดเท่าหัวแม่มือสีเงินแวววาวมัดอยู่ แผ่นหลังแบกคันธนูแกร่งสีเหลืองและลูกธนูกระดูกสีขาวสามดอก ตรงเอวมีถุงหนังสีดำสนิทใบหนึ่ง ในมือถือธงสีขาวโพลนเอาไว้ด้ามหนึ่ง
กายท่อนล่างของนางเป็นอสรพิษ แต่สีขาวผ่องจนแทบมองไม่เห็นเกล็ดใดๆ
สตรีผู้นี้ยืนอย่าสง่าผ่าเผยอยู่ตรงนั้น ส่งยิ้มระรื่นให้กับฮูหยิน พวงแก้มเผยลักยิ้มหวานหยดย้อยออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“จูเอ๋อร์จริงๆ ด้วย! คิดไม่ถึงว่าไม่พบกันหลายปี พลังยุทธ์ของเจ้าจะพัฒนาจนมาถึงขั้นนี้แล้ว” ฮูหยินดีอกดีใจเป็นพิเศษ รีบร้อนหยัดกายลุกขึ้น โอบหญิงสาวเข้ามาในอ้อมอก ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ารักใคร่เอ็นดู
“ข้าตกใจแทบแย่ ท่านแม่ไม่พบกันสองสามปีทะลวงจนถึงระดับเทพแปลงได้แล้วหรือ” หญิงสาวอสรพิษนามว่าจูเอ๋อร์กลับหัวเราะคิกคักออกมา
“ข้ามีความสามารถทะลวงจุดคอขวดที่สองสามร้อยปีก็ไม่อาจทะลวงได้ที่ไหนกัน แค่กิน ‘ผลฝึกเซียน’ เข้าไปเท่านั้น” ฮูหยินกลับหุบยิ้ม แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“อะไรนะ ท่านแม่กิน ‘ผลฝึกเซียน’! มันจะสูญเสียอายุขัยไปมิใช่หรือ” หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสี คว้าข้อมือของฮูหยินเอาไว้ หลังจากใช้พลังวิญญาณตรวจสอบรอบหนึ่งแล้ว พลันหน้าซีดขาวไร้สีโลหิต
“หากชีวิตก็ยังไม่มี มีอายุขัยมากหน่อยแล้วมีประโยชน์อันใดเล่า ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ของเจ้าไม่ได้กลับมากับเจ้าหรือ?” ฮูหยินหัวเราะอย่างขมขื่น แต่ทันใดนั้นพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ พลางเอ่ยถามด้วยความคาดหวังอยู่เต็มอก
“คราที่ข้าได้รับจดหมายจากท่านแม่ ท่านอาจารย์ก็ออกจากเกาะไปเยี่ยมเยียนสหายพอดี ข้ากลัวว่าในเผ่าจะเกิดเรื่องไม่ทันการณ์ จึงนำสมบัติที่ท่านอาจารย์เก็บเอาไว้ในเกาะมาสองสามชิ้นกลับมาเพียงลำพัง เมื่อครู่ตอนที่เข้ามา ได้เห็นท่านแม่ซักถามคนอื่นเกี่ยวกับ ‘ท่านหาน’จึงไม่ได้ปรากฏตัวชั่วคราว” หญิงสาวมีสีหน้ากังวลใจ แต่ก็ยังเอ่ยอธิบายอย่างชัดเจน
“อาจารย์ของเจ้าไม่อาจกลับมาได้ นั่นยิ่งแย่แล้ว” ฮูหยินได้ยิน พลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ท่านแม่ ในเผ่าเกิดเรื่องร้ายจริงๆ หรือ ข้านำ ‘ธนูทะลวงสวรรค์’ ของท่านอาจารย์มาด้วย ขอแค่ผู้มาเยือนมีพลังยุทธ์ไม่มากกว่าข้าเกินสิบเท่า ก็สามารถสังหารได้ในธนูดอกเดียว” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างคลายโมโหครึ่งหนึ่งและเชื่อมั่นครึ่งหนึ่ง
“จูเอ๋อร์ แม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะพัฒนาขึ้น แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากข้าในอดีตมากนัก แม้ว่าพลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่า เกรงว่าก็ต่อกรกับวิบัติครั้งนี้ไม่ได้ หากท่านอาจารย์เจ้ามาด้วยตนเอง ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยที่นี่เอาไว้สองสามส่วน” ฮูหยินลูบศีรษะของหญิงสาวไปมา แล้วเอ่ยเสียงค่อย
“แม้ว่าครั้งนี้ข้าจะเร่งรุดมา แต่ท่านแม่พูดเรื่องวิบัติเอาไว้อย่างคลุมเครือ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับเผ่าเรากันแน่ ทำให้ท่านแม่กังวลใจเช่นกัน แม้กระทั่งยอมกินผลฝึกเซียนเข้าไปอย่างไม่เสียดาย และดึงผู้บำเพ็ญเพียรชนชั้นสูงนิรนามเข้ามาเป็นพวก” หญิงสาวหมอบอยู่ในอกของฮูหยิน เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของมารดาตน ใบหน้ายังคงเผยสีหน้าเจ็บปวดใจออกมา
“เจ้ากลับมาถึงเกาะแล้ว หากปล่อยให้เจ้าไปอีกเดาว่าคงอันตรายยิ่งกว่า ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังก็แล้วกัน” ฮูหยินลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตบบ่าหญิงสาวขณะเอ่ย
“เผ่าอื่นอีกสองเผ่าถูกทำลายไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้แล้ว”
“อืม ในจดหมายของท่านแม่ได้เอ่ยเอาไว้เล็กน้อย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นท่านแม่ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวกระมัง สองเผ่านั้นเดิมทีก็อ่อนแอกว่าเผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเราอยู่แล้ว พลังยุทธ์ของมหาปุโรหิตยังสู้ท่านแม่ก่อนที่จะกินผลฝึกเซียนไม่ได้” แม้นว่าหญิงสาวจะใจหายวาบ แต่ปากกลับจงใจเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น
“แต่เจ้ารู้ว่าผู้ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั้งสองเผ่าคือผู้ใดหรือไม่?” ฮูหยินเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ท่านแม่บอกว่าไม่มีเบาะแสมิใช่หรือ?” หญิงสาวพลันตะลึงงัน อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“เผ่าทั้งสองเผ่าถูกสังหารจนหมด แม้ว่าจะลึกลับขนาดไหน จะไม่เผยร่องรอยอะไรออกมาได้อย่างไร ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดละก็ ผู้ที่ลงมือเกรงว่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเผ่าตระกูลวาของพวกเราในอดีต เผ่าตาข่ายทมิฬ” ฮูหยินเอ่ยสีหน้ามีแววหวาดกลัวฉายแวบผ่านไป
“เผ่าตาข่ายทมิฬ! เป็นไปไม่ได้ จากในคัมภีร์กล่าวว่าเผ่านี้ถูกเผ่าตระกูลวาของพวกเรากำจัดไปจนสิ้นซากมาตั้งไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว เหตุใดจะมาปรากฏตัวที่น่านน้ำแห่งนี้!” หญิงสาวแสดงออกว่าเคยได้ยินคำว่าเผ่าตาข่ายทมิฬ ใบหน้าเล็กๆ ซีดเผือด เอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเทาในเวลาเดียวกัน
“ใช่แล้ว ตามหลักแล้วตอนที่เผ่าตาข่ายทมิฬและเผ่าตระกูลวาของพวกเราทำสงครามกันที่แผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี น่าจะสังหารคนเผ่าตาข่ายทมิฬไปจนหมดแล้ว แต่ถ้าหากมีพวกกากเดนหลบหนีออกไปนอกมหาสมุทรได้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นนอกจากเผ่าตาข่ายทมิฬแล้ว จะมีเผ่าใดที่มีความชอบเข่นฆ่าบุรุษของเผ่าเราและกินเนื้อของสตรีของเผ่าในเวลาเดียวกันอีกล่ะ สิ่งเดียวที่เขาให้รู้สึกฉงนก็คือ พวกเราทั้งสามเผ่าปักหลักอยู่ที่นี่มาสองสามพันปีแล้ว หากเผ่าตาข่ายทมิฬมีชีวิตอยู่อยู่ในละแวกนี้จริง เหตุใดวันนี้ถึงเพิ่งก่อความวุ่นวาย” ฮูหยินมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่เมื่อเอ่ยจนถึงประโยคสุดท้าย แววตาพลันฉายแววตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น