พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1535-1542

บทที่ 1535 ขุนนางทรราช

 

กำลังพลครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นก่อนเข้ากองทัพองครักษ์หรือหลังจากเข้ากองทัพองครักษ์ ก็ยังไม่เคยทำศึกที่จำนวนคนฝ่ายตัวเองกับฝ่ายศัตรูแตกต่างกันมากขนาดนี้มาก่อนเลย อาศัยกำลังพลห้าหมื่นรับศึกกับกองทัพฝ่ายศัตรูที่มีเยอะกว่าฝ่ายตัวเองยี่สิบเท้า! ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะเคยทำศึกใหญ่มาแล้ว ต่อให้จะสู้อย่างดุเดือดขนาดไหน กองทัพองครักษ์ก็อยู่ในสถานการณ์มั่นใจในชัยชนะอยู่ดี ยังไม่เคยร้องขอชีวิตอยู่ในหลุมแห่งความตายแบบนี้มาก่อน


และยังไม่เคยทำศึกที่ดุเดือดขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน ศพเกลื่อนเต็มพื้น แผ่นดินถูกย้อมไปด้วยเลือดสดสีแดง แผ่นดินที่ถูกพลิกมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่ายังโดนย้อมเป็นสีแดงเลือดเหมือนเดิม!


เป็นศึกเลือดที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ! แต่สภาพกลายเป็นแบบที่เห็นตรงหน้านี้แล้ว


คนที่รอดชีวิตมาได้ ทั้งร่างกายและจิตใจราวกับได้ผ่านพิธีล้างบาปมาแล้วหนึ่งครั้ง


มู่อวี่เหลียนที่ยืนน้ำตานองอยู่ตรงหน้าศพลูกน้องคนสนิท ในที่สุดก็ได้สัมผัสเองกับตัวแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘ความสำเร็จของนายทหารชั้นสูงหนึ่งคน แลกมาด้วยกองกระดูกนับพันนับหมื่น’ เพราะศพทหารพวกนี้ทำให้นางมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า ศพทหารเหล่านี้ได้ปูเส้นทางอันเรืองรองไว้ให้นาง และคนที่รบตายพวกนี้ก็จะถูกลืมเร็วมาก


ความรู้สึกประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด มู่อวี่เหลียนห้ามน้ำตาลำบาก ในบรรดาทุกสิ่งที่เผชิญอยู่ตรงหน้า สิ่งที่มากกว่านั้นก็คือความเสียใจและรู้สึกผิด เสียใจที่ตัวเองในอดีตเคยเป็นคนไร้ยางอายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกลาภยศเงินทอง!


เหมียวอี้ที่บนตัวค่อนข้างสะอาดยืนอยู่บนภูเขาหินก้อนหนึ่งไกลๆ เพียงลำพัง เขากำลังเงียบงัน


สำหรับกำลังพลที่ทำศึกครั้งนี้ เรียกได้ว่าค่อนข้างน่าเวทนา แต่สำหรับเขาแล้ว เขาเคยผ่านประสบการณ์ตอนทำศึกที่ฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูมีความแตกต่างกันมาก่อน ดุเดือดรุนแรงกว่านี้ ตอนอยู่ที่แดนอเวจีเขาบุกเดี่ยวเผชิญหน้ากับทัพใหญ่หนึ่งล้าน แค่เขาคนเดียวก็ฆ่าไปแล้วหลายพันคน


เพียงแต่ทั้งสองศึกนี้ไม่อาจเอามาเทียบกันได้…


อุทยานหลวง เรือนพักท่านโหวเซวียนหยวน เซวียนหยวนจัวที่สวมชุดเครื่องแบบราชสำนักเดินก้าวยาวออกไปนอกประตูใหญ่ กำลังจะเข้าไปประชุมราชสำนัก


ตอนที่เพิ่งเดินออกจากประตู จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงเรียกดังขึ้น “ท่านโหว!”


เซวียนหยวนจัวหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมอง เห็นอวี่เลี่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างแย่ จึงขมวดคิ้วถาม่วา “เป็นอะไรไป? ได้ข่าวทางนั้นมารึยัง?”


ในดวงตาอวี่เลี่ยฉายแววสับสน แล้วพยักหน้าช้าๆ กล่าวอออกมาอย่างยากลำบากว่า “ทางน่านฟ้าระกาติงพลาดแล้ว”


เซวียนหยวนจัวขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก หันตัวไปเตรียมจะเหาะขึ้นฟ้า แต่จู่ๆ อวี่เลี่ยก็พูดเสริมว่า “ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงที่ล้อมปราบทัพใหญ่ห้าหมื่นนั่นรบแพ้แล้วขอรับ! แพ้ยับเยิน! ทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านถูกทัพใหญ่ห้าหมื่นตีพัง ความเสียหายจากการรบนับรวมได้ประมาณห้าแสนห้าหมื่นคน มีเพียงกำลังพลสี่หมื่นกว่าที่หนีรอดไปได้!”


“อะไรนะ?” เซวียนหยวนจัวอุทานเสียงหลง หันขวับมามองเขา แล้วเบิกตากว้างถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? ทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านโดนกำลังพลห้าหมื่นตีพ่าย? รบตายไปห้าแสนห้าหมื่นคน?”


อวี่เลี่ยพยักหน้าอย่างยากลำบาก “น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ ไปตรวจสอบกับคนมาแล้วมากมาย ตอนนี้ทัพใหญ่ที่โดนตีพ่ายยังกลับมาไม่หมดเลย”


เซวียนหยวนจัวกล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “ต่อให้ในทัพใหญ่ห้าหมื่นนั่นจะมียอดฝีมือบงกชกลาย ต่อให้เป็นยอดฝีมือบงกชกลาย แต่การจะฆ่าหมูหนึ่งล้านตัวก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หมูมันก็ต้องวิ่งหนีไปทั่ว ทำไมถึงรบตายไปตั้งห้าแสนห้าหมื่นคนได้? มันรบศึกนี้กันยังไง? อย่าบอกนะว่าในห้าหมื่นคนนั้นมียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอยู่เยอะ?”


อวี่เลี่ยกล่าวอย่างเศร้าโศกเสียใจว่า “ตามรายงาน! อีกฝ่ายไม่มียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเลย ไม่มียอดฝีมือบงกชกลายด้วย มีแค่นักพรตบงกชรุ้งร้อยกว่าคน ส่วนที่เหลือเป็นนักพรตบงกชทองทั้งหมด อาวุธที่ยอดเยี่ยมของน่านฟ้าระกาติงก็ไม่ได้แย่กว่าพวกเขาเช่นกัน”


“เหลวไหล!” เซวียนหยวนจัวโมโหแล้ว ตะเบ็งเสียงถามว่า “แล้วมันทำศึกกันยังไง? อย่าบอกนะว่ายืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายฆ่าตามใจชอบ?”


“หนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นแม่ทัพหาญที่หาพบได้ยากจริงๆ…” อวี่เลี่ยรายงานสถานการณ์การรบที่รวบรวมได้ทันที


เซวียนหยวนจัวที่ฟังจบแล้วเผยความดุร้ายบนใบหน้า กัดฟันกล่าวอย่างแค้นเคืองว่า “เหยียนชุน! ถ้าเจ้าไม่ตาย ข้านี่แหละจะสับเจ้าเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นเอง!”


“ท่านโหว ตอนนี้จะทำยังไงดีขอรับ?” อวี่เลี่ยถาม


เซวียนหยวนจัวตกอยู่ในความเงียบ หลังจากยืนเงียบอยู่นานมาก ใบหน้าที่ตึงเครียดก็ค่อยๆ บรรเทาลงแล้วเช่นกัน จู่ๆ ก็ถามว่า “แล้วความเสียหายฝั่งหนิวโหย่วเต๋อเป็นยังไงบ้าง?”


อวี่เลี่ยตอบว่า “รู้รายละเอียดไม่ค่อยชัดเจนขอรับ คนมากมายขนาดนั้น อย่างมากก็เหลือประมาณหมื่นกว่าคนขอรับ เกรงว่าจะมีความเสียหายจากการรบแปดส่วน!”


“หึหึ! เหลือทหารเหนื่อยๆ อยู่แค่หมื่นกว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะขับไล่จนทัพใหญ่หลายแสนหนีหัวซุกหัวซุน ตลกแล้ว! เป็นเรื่องที่ตลกมากจริงๆ!” เซวียนหยวนจัวหัวเราะลั่น แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าถอนหายใจ “ช่างเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ดีจริงๆ! ทหารนับหมื่นพันหาได้ง่าย ขุนพลหนึ่งเดียวหายากยิ่ง! ถ้าได้ขุนพลพยัคฆ์แบบนี้ ก็เทียบเท่ากับได้กองทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านแล้ว!”


อวี่เลี่ยจึงกล่าวว่า “ฝั่งน่านฟ้าระกาติง ทหารที่หลบหนีมารวมตัวกับกำลังหนุนหนึ่งล้านที่ตามมาทีหลังแล้วขอรับ ข้าสั่งให้ทางนั้นล้อมไว้แล้ว ให้ปราบกำลังพลที่เหลือหนึ่งหมื่นกว่านั่นให้หมด”


“ไม่ต้องแล้ว!” เซวียนหยวนจัวส่ายหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย


“ทำขนาดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าจะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้?” อวี่เลี่ยตกใจ


เซวียนหยวนจัวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้ายังคิดว่าสิ่งนี้จำเป็นอยู่อีกเหรอ? เจ้าคิดว่าฝั่งหนิวโหย่วเต๋อจะไม่รายงานขึ้นไปขอความช่วยเหลือรึไง? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวก็พอแล้ว ถ้าทำสำเร็จสักครั้งก็พอแล้ว จะทำซ้ำๆ อีกได้ยังไง? เจ้าคิดว่าเบื้องบนจะดูไม่ออกเหรอว่าการล้างแค้นของทัพใหญ่หนึ่งล้านนี้มีข้าบงการอยู่เบื้องหลัง? เพียงแต่ถ้าไม่มีหลักฐาน ทุกคนก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี ฝ่าบาทก็จะปิดตาข้างเดียวไม่สืบสาวเอาเรื่องข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะทำเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะแย่น่ะสิ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ ถ้าทำแบบนี้ต่อไปไม่จบไม่สิ้น เจ้าจะให้ฝ่าบาทคิดยังไง? จะให้ผู้บัญชาการองครักษ์มองข้ายังไง? จะให้ฝั่งกองทัพองครักษ์ทนความรู้สึกนี้ได้ยังไง? กำลังพลระดับล่างที่อยู่ฝั่งนี้ ข้าก็ให้โอกาสพวกเขาไปแล้ว แต่พวกเขาคว้าโอกาสไม่ได้เอง! ให้จบลงตรงนี้แล้วกัน ฝ่าบาท นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ ฝั่งกองทัพองครักษ์ แล้วก็ขุนนางเต็มราชสำนักล้วนเข้าใจ ว่าการที่ข้าทำแบบนี้ถือว่าใจกว้างเมตตาแล้ว! ในตอนที่ราชสำนักเทียบกับกองทัพองครักษ์ไม่ติด ทุกเรื่องล้วนมีขอบเขต ทำอย่างพอเหมาะพอควรก็กลับจะทำให้ฝ่าบาทเข้าใจความเหนื่อยยากลำบากใจของข้าด้วยซ้ำ ให้ฝ่าบาทมองข้าในระดับที่สูงขึ้นหน่อย เข้าใจมั้ย?”


อวี่เลี่ยมองเขาอย่างตะลึงงัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเข้าใจเรื่องราวหรือไม่ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้บัญชาการองครักษ์ถึงต้องแนะนำให้ท่านหัวหน้าภาคขึ้นมานั่งตำแหน่งท่านโหว เป็นเพราะไม่ใช่ว่าหัวหน้าภาคทุกคนของกองทัพองครักษ์จะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้…


วังสวรรค์ ตำหนักหยกอันงดงาม นอกตำหนักฟ้าดินที่สูงใหญ่เต็มไปด้วยสวนของฤดูใบไม้ผลิ ขุนนางหลายร้อยทยอยกันมาถึง โค่ว อิ๋ง ฮ่าว ก่วง สี่อ๋องสวรรค์ทยอยกันปรากฏตัว ทุกคนทำความเคารพกัน


สี่อ๋องสวรรค์ทักทรายปราศัยกัน ยืนอยู่ตรงตำแหน่งแรกที่ตีนบันไดนอกตำหนัก ระหว่างนั้นก็คุยกันบ้างเป็นครั้งคราว


ผ่านไปไม่นาน เซี่ยโห้วท่าที่ค้ำไม้เท้าก็เดินเนิบนาบเข้ามา ทุกคนทำความเคารพอีกครั้ง เมื่อเดินมาอยู่ข้างหน้าสุด สี่อ๋องสวรรค์ก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ท่านปู่สวรรค์”


เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ และคุยเล่นเรื่อยเปื่อยระหว่างกัน เมื่อเห็นว่าโยงไปโยงมาแต่ไม่เข้าประเด็นหลักสักที เซี่ยโห้วท่าจึงหรี่ตาพร้อมถามว่า “อ๋องสวรรค์ก่วง ได้ยินว่าน่านฟ้าระกาติงของเจ้าเกิดเรื่องนิดหน่อยเหรอ?”


ก่วงลิ่งกงตอบเสียงเรียบว่า “เหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ตอนนี้ยังสืบไม่ชัดเจน กำลังให้คนสืบอย่างละเอียดอยู่พอดี ท่านปู่สวรรค์ข่าวไวเชียวนะ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะหรือขอรับ?”


เซี่ยโห้วท่าชำเลืองมองอีกสามคนที่ยังนิ่งเฉยใจเย็นเหมือนจะไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องที่ยังไม่มีหลักฐาน ตาแก่คนนี้ก็แค่ฟังมาเท่านั้น ชี้แนะอะไรไม่ได้หรอก”


คนที่อยู่ข้างๆ เห็นคนพวกนี้กำลังพูดจาเหมือนทายปริศนา พวกเขาจึงแกล้งโง่ตาม บางคนก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ


ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ก่วงลิ่งกงก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งที่สั่นออกมา แล้วถือโอกาสวางไว้ในแขนเสื้อ ใช้เวลาไม่นานก็ทำสีหน้าตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด เขาหันหน้ามาช้าๆ สายตาไปหยุดตรงท่านโหวเซวียนหยวนที่อยู่ในกลุ่มคนข้างหลัง แล้วก็จ้องเพียงครู่เดียวเท่านั้น ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก


สายตาของอ๋องสวรรค์อีกสามคนวูบไหว จู่ๆ เห็นเซี่ยโห้วท่าถือระฆังดาราอันหนึ่งเข้าไว้ในแขนเสื้อ แล้วไม่นานก็เห็นเซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าตกตะลึงอีก เห็นเขาหันหน้าช้าๆ ไปหาท่านโหวเซวียนหยวนที่อยู่ในกลุ่มคนข้างหลังเช่นกัน


อ๋องสวรรค์ทั้งสามหันไปมองท่านโหวเซวียนหยวนเช่นกัน แต่กลับเห็นท่านโหวเซวียนหยวนมีสีหน้าสงบใจเย็น กำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเพื่อนร่วมงาน เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย


ไม่รู้จริงเหรอ? ความคิดบางอย่างปิดบังทั้งสามไม่ได้ เรื่องที่สามารถทำให้เซี่ยโห้วท่ากับก่วงลิ่งกงเสียอาการต่อหน้าฝูงชนต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน ตอนนี้กำลังจะเข้าประชุมราชสำนักแล้ว ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้ามีเรื่องอะไรเอ่ยขึ้นในราชสำนัก แต่ทางนี้กลับไม่รู้สถานการณ์อะไรเลยสักนิด แบบนั้นจะไม่ลนลานทำอะไรไม่ถูกหรอกเหรอ


อ๋องสวรรค์ทั้งสามแทบจะหยิบระฆังดารามาวางในแขนเสื้อแล้วติดต่อคนของตัวเองพร้อมกัน สั่งให้รีบตรวจสอบ!


“น่านฟ้าระกาติงแย่งผลงาน? ทั้งยังจะฆ่าปิดปากด้วย? ไม่อาจนั่งรอความตายถึงได้โจมตีกลับเหรอ?”


ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงสีหน้าขรึมเครียด เขายืนอยู่ตรงหน้าโพ่จวิน เอามือไขว้หลัง ถามกลับทีละประโยค แล้วสุดท้ายก็ถามเน้นย้ำทีละคำว่า “เจ้าเชื่อเหรอ?”


พวกซ่างกวนชิงนิ่งเงียบ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าในนั้นเกี่ยวข้องกับอวิ๋นจือชิว เกรงว่าทุกคนคงจะเชื่อไปแล้วจริงๆ


โพ่จวินกลืนน้ำลายอย่างคอแห้ง แต่ไหนแต่ไรมาเขามีความมั่นใจเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขชิง เป็นคนที่กล้าชี้หน้าด่าประมุขชิงด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกทำให้เสียความมั่นใจขนาดนี้ ถูกประมุขชิงสืบสวนจนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ว่ากันตามจริง เขาเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่ว่า…เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า  “ข้างล่างรายงานขึ้นมาตามความจริง ไม่สามารถสืบหาสาเหตุได้ภายในเวลาสั้นๆ ขอรับ ข้าน้อยก็ทำได้เพียงอธิบายตามเรื่องที่เกิดขึ้นจริง”


ประมุขชิงโมโหแล้ว ชี้หน้าโพ่จวินพร้อมด่ายับ “ตาแก่ปัญญาทึบ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้าก็กำลังถือหางปกป้อง! กองทัพองครักษ์ของข้าขาดการควบคุมแล้ว เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก?”


โพ่จวินกุมหมัดคารวะ ไม่เกรงใจเลยสักนิด เถียงกลับไปตรงๆ เลยว่า “ข้าน้อยไม่ได้ถือหางปกป้อง แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบความจริง จึงไม่สะดวกจะหาข้อสรุปขอรับ ต่อไปถ้าตรวจสอบเจอว่าหนิวโหย่วเต๋อเล่นไม่ซื่อจริงๆ กฎทหารของหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!”


ประมุขชิงหัวเราะแห้งๆ “เจ้ายังกล้าปากแข็งอีก! ชัดเจนแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นวางกับดักให้คนของน่านฟ้าระกาติงเข้าไปติด คิดว่าข้าโง่รึไง! เจ้าลูกลิงนั่นนับวันจะยิ่งใจกล้าขึ้นแล้ว ยิ่งนับวันจะยิ่งไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา…” เขาหันขวับ แล้วตะคอกใส่เกาก้วนว่า “เกาก้วน สั่งให้หน่วยตรวจการขวาจับตัวหนิวโหย่วเต๋อมาเดี๋ยวนี้ ลงโทษอย่างหนักให้ใต้หล้าได้เห็น!”


เกาก้วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง หยิบระฆังดาราออกมากำลังจะปฏิบัติตาม แต่ใครจะคิดว่าโพ่จวินจะตะคอกอย่างโมโหว่า “ขุนนางทรราช! เจ้ากล้าเหรอ!”


เกาก้วนที่โดนด่าว่า ‘ขุนนางทรราช’ อึ้งนิดหน่อย ในมือถือระฆังดารามองไปที่ประมุขชิง


ประมุขชิงถลึงตาจ้องโพ่จวินอย่างเดือดดาล แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ตาแก่ปัญญาทึบ! เจ้าว่าอะไรนะ? ในสายตาของเจ้า คนที่ปฏิบัติตามคำสั่งของข้าเป็นขุนนางทรราชหมดเลยใช่มั้ย? ในสายตาเจ้าข้าคือทรราชคนหนึ่งใช่มั้ย?”


ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาระงับไฟโกรธได้เสมอ แต่กับโพ่จวินเขาทำไม่ไหวจริงๆ เพราะคนอื่นเห็นเขาเป็นประมุขของใต้หล้า มีเพียงโพ่จวินเท่านั้นที่ยามอยู่ต่อหน้าเขาแล้วนึกจะด่าก็ด่า ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด สำหรับคนที่เป็นประมุขสูงส่งอย่างเขา ก็ไม่อาจทนข่มไฟโกรธนั่นได้อีกแล้ว!


โพ่จวินตอบอย่างโมโหว่า “เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกตรวจสอบให้ชัดเจน จะขาวจะดำก็ยังไม่รู้ชัด แต่ก็ลงโทษขุนนางตำหนักสวรรค์แล้ว เอากฎสวรรค์ไปวางไว้ตรงไหนแล้วล่ะ ถ้าเกาก้วนไม่ใช่ขุนนางทรราชแล้วจะเป็นอะไร?”


ประมุขชิงโมโหจนตัวสั่น แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับด่าตนว่าเป็นทรราช เพราะเขาเป็นคนสั่งให้เกาก้วนทำแบบนี้ จู่ๆ เขาก็ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ทหาร! ลากตาแก่ปัญญาทึบนี่ออกไปประหาร!”



 

 

 


บทที่ 1536 โพ่จวินที่ขวยอาย

 

ผู้บัญชาการองครักษ์อู๋ฉวี่แห่งหน่วยองครักษ์ขวาถลันตัวเข้ามายืนตรงหน้าคนพวกนั้น กางมือในแนวขวาง ขวางพวกเขาเอาไว้ “ฮึ่ม!” ถลึงตาจ้องพวกเขาอย่างดุร้าย


การกระทำนี้ทำให้กลุ่มคนมองหน้ากันเลิกลั่ก หยุดอยู่เงียบๆ ไม่ขยับไปไหน ในใจกลับแอบโล่งใจ


พวกเขาเองก็ไม่อยากลงมือกับโพ่จวินเช่นกัน พวกเขาเป็นลูกน้องของโพ่จวินครึ่งหนึ่ง เป็นลูกน้องของอู๋ฉวี่ครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อราชันสวรรค์มีคำสั่ง พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ได้ ต่อให้เข้ามาแล้วลังเลเล็กน้อย แต่ราชันสวรรค์ก็สามารถประหารพวกเขาได้ภายใต้ความเดือดดาล


อย่าไปมองว่าการมาทำงานในวังสวรรค์ที่ผู้คนมากมายอยากจะเห็นแต่ไม่มีโอกาสนั้นมีหน้ามีตาอะไรนัก ที่จริงอยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ ถ้าประมุขชิงที่อยู่ในวังสวรรค์อยากจะฆ่าใครก็เป็นเรื่องที่สั่งแค่ประโยคเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับขุนนางภายนอก ยังมีกฎมากมายที่ผูกมัดประมุขชิงได้


“อู๋ฉวี่ เจ้าคิดจะก่อกบฏเหรอ?” ประมุขชิงชี้หน้าถาม


“ข้าน้อยมิบังอาจ!” อู๋ฉวี่หันตัวมา แล้วกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ! แค่หนิวโหย่วเต๋อผู้ต่ำต้อยตายไปคนเดียวก็ไม่พอให้เสียดาย ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ ถ้าฆ่าทิ้งโดยไม่แม้แต่จะสืบหาความผิด สิ่งที่จะสูญเสียก็คือชื่อเสียงอันดีงามของฝ่าบาท ฝ่าบาทได้โปรดไตร่ตรอง” เขาไม่ได้พูดเรื่องโพ่จวิน แต่เบี่ยงประเด็นไปที่หนิวโหย่วเต๋อ


ซือหม่าเวิ่นเทียนแห่งหน่วยตรวจการซ้ายก็รีบก้าวขึ้นมาเช่นกัน แล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการองครักษ์ขวากล่าวมีเหตุผล ฝ่าบาท! แค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวจะฆ่าช้าหรือฆ่าเร็วก็ไม่สำคัญอะไรเลย สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อนฆ่าก็ยังไม่สาย”


ซ่างกวนชิงก็กุมหมัดคารวะเช่นกัน “ฝ่าบาท! ทุกเรื่องล้วนอิงตามกฎระเบียบของตำหนักสวรรค์ แต่หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวไม่มีค่าพอให้ฝ่าบาทเดือดดาล ทำตามกฎดีกว่าขอรับ”


กฎระเบียบ? พอผู้การใหญ่วังสวรรค์อย่างเขาเอ่ยปาก ประมุขชิงก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ถ้าจะบอกว่าในใต้หล้านี้โพ่จวินทำให้เขาเดือดดาลได้มากที่สุด เช่นนั้นซ่างกวนชิงก็คือคนที่ทำให้เขาสงบลงได้มากที่สุด นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญว่าทำไมซ่างกวนชิงถึงได้กลายเป็นผู้การใหญ่ของวังสวรรค์


ประมุขชิงรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงกระโดออกมาปกป้อง เป็นเพราะเขาไม่อาจล้ำเส้นกฎระเบียบไปฆ่าหนิวโหย่วเต๋อกับโพ่จวินโดยตรงได้ ถ้าลงมือขึ้นมาโพ่จวินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน และถ้าประมุขแห่งใต้หล้าอย่างเขาต้องการจะทำแบบนี้ ก็ไม่มีใครขัดขวางเขาได้เช่นกัน ที่จริงใช่ว่าเขาจะไม่เคยล้ำเส้นกฎระเบียบแล้วฆ่าคนภายใต้ความเดือดดาล แต่เขารู้อย่างแจ่มแจ้ง ว่าถ้าไม่ใช่เพราะหมดหนทางแล้วจริงๆ ก็ไม่อาจทำเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ได้


สาเหตุก็เข้าใจง่ายมาก เพราะกฎระเบียบในใต้หล้าเป็นสิ่งที่เขาตั้งขึ้นมาเอง ที่ตั้งกฎระเบียบนี้ขึ้นก็เพื่อสร้างกฎเกณฑ์ในการลำเลียงทรัพยากรในใต้หล้าให้ส่งมาที่เขา เขาถึงได้เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดของกฎระเบียบนี้ ในเมื่อเขาไม่อยากให้คนอื่นมาทำลายกฎ ขาเองก็ย่อมต้องเป็นผู้นำที่เคารพกฎด้วย ถ้าเขามองข้ามกฎระเบียบนี้ขึ้นมาเมื่อไร กฎระเบียบนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ถ้าเบื้องบนทำเป็นตัวอย่าง เบื้องล่างก็จะทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาต่างหากที่เป็นเสารักษาเสถียรภาพของกฎระเบียบนี้ ถ้าเขาอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ต่างอะไรกับพระปีศาจหนานโป


เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ คนในใต้หล้าก็พากันร้อนอกร้อนใจ เหมือนกับที่กลัวพระปีศาจหนานโปในปีนั้น เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ทุกคนล้วนอยากให้พระปีศาจหนานโปตาย สุดท้ายแม้แต่ศิษย์ของพระปีศาจหนานโปก็ยังคิดจะเล่นงานพระปีศาจหนานโปให้ถึงตาย ถ้เมื่อไรที่คนในใต้หล้าล้วนอยากให้ประมุขชิงตายไวๆ เช่นนั้นเวลาตาของเขาก็จะมาถึงในอีกไม่นานแล้ว กำลังของคนคนเดียวต้านทานทวนในที่แจ้งกับเกาทัณฑ์ในที่ลับของทุกคนในใต้หล้าไม่ไหวอยู่ดี การวางแผนลับต่างๆ มักทำให้เขาตายได้สักวัน พระปีศาจหนานโปก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว


ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ที่พวกเขากระโดดออกมาไม่ใช่เพื่อปกป้องหนิวโหย่วเต๋อ แต่เพื่อปกป้องกฎระเบียบนี้ การปกป้องกฎระเบียบนี้ก็เท่ากับปกป้องพวกเขาเอง ไม่อย่างนั้นก็จะกังวลว่าสักวันหนึ่งสถานการณ์แบบเดียวกันจะเกิดขึ้นกับพวกเขา


ความจริงแล้ว ที่บอกว่าจะฆ่าโพ่จวินก็เป็นแค่การพูดตามอารมณ์โกรธเท่านั้น ถึงแม้โพ่จวินจะเจ้าอารมณ์ แต่ก็จงรักภักดีไม่มีใครเทียบ ในจุดนี้ทำให้ประมุขชิงวางใจมาก ถ้าต้องการจะฆ่าโพ่จวินจริงๆ เหตุผลก็มีเยอะเกินไป โพ่จวินเองก็มักจะทำผิดข้อหา ‘หลอกลวงเบื้องบน’ บ่อยๆ ถ้าต้องการจะฆ่าก็ฆ่าได้ทุกเมื่อ


แต่ถ้าจะเปลี่ยนให้คนอื่นมาคุมหน่วยองครักษ์ซ้าย เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี


ที่จริงประมุขชิงก็เข้าใจดีมาก ต่อให้เมื่อครู่นี้จะไม่มีใครห้าม ถ้าองครักษ์ต้องการจะคุมตัวโพ่จวินออกไปจริงๆ แต่ข้างนอกก็จะรอให้เขาหายโกรธก่อนแล้วค่อยถามยืนยันอีกครั้ง เสร็จแล้วค่อยทำโทษประหารจริงๆ และสุดท้ายเขาก็จะได้แค่ปล่อยให้จบไป เขาเพียงต้องการกลั่นแกล้งโพ่จวินเพื่อระบายความโมโหเท่านั้นเอง


เมื่อเห็นประมุขชิงมีสีหน้าบรรเทาลงเรื่อยๆ แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจจะรอให้ประมุขชิงตบปากตัวเองแล้วคืนคำพูด ซ่างกวนชิงรีบโบกมือให้องครักษ์ที่พุ่งเข้ามา “มัวยืนอึ้งอะไรอยู่ตรงนี้? นี่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมายืนอึ้งเหรอ? ยังไม่รีบถอยออกไปอีก!”


กลุ่มแม่ทัพเกราะแดงมองปฏิกิริยาของประมุขชิง เมื่อเห็นประมุขชิงไม่มีความเห็นแย้งต่อเรื่องนี้ ก็เท่ากับอนุญาติแล้ว พวกเขาถึงได้ทยอยกันออกไปจากตำหนักดาราจักร


พวกอู๋ฉวี่แอบโล่งใจ


ประมุขชิงที่ข่มไฟโกรธในใจได้แล้วเอียงหน้ามองโพ่จวินที่กำลังสบตากับตนอย่างโกรธเคือง แล้วด่าว่า “ตาแก่ที่สมควรตาย!”


พอโพ่จวินเอียงหน้า ทุกคนก็เครียดทันที นึกว่าเขาจะเถียงด้วยคำพูดเหยียดหยาม แต่ใครจะคิดว่าเขาจะหยิบระฆังดาราอันหนึ่งที่กำลังสั่นออกมา ทำท่าทางตั้งใจฟังด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่รู้ว่าใครส่งข่าวมา


แต่ไม่นานทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็พบว่าโพ่จวินสีหน้าแปลกไป เหมือนออกมาจากการโต้เถียงด้วยความเดือดดาลในชั่วพริบตาเดียว บนใบหน้าฉายแววงุนงงและตกตะลึง


ทุกคนจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เห็นเขาเขย่าระฆังดารารีบตอบไปอีก ไม่รู้ว่ารีบร้อนขนาดนี้เพราะเรื่องอะไร


ประมุขชิงเอียงหน้าเหล่ตามองเขา รู้ว่าในมือโพ่จวิน นอกจากเรื่องของหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็แสดงว่าทางหน่วยองครักษ์ซ้ายมีเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง


สายตาของคนอื่นๆ ก็กำลังสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ในใจต่างกำลังพึมพำว่า มีเรื่องอะไรกัน?


เห็นได้ชัดว่าถามกลับไปกลบัมาพักใหญ่ เสร็จแล้วถึงได้เห็นโพ่จวินค่อยๆ เก็บระฆังดารา แล้วมองประมุขชิงอย่างตะลึงงัน ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี


ประมุขชิงรอให้เขาพูด ผลปรากฏว่ารอนานแล้วไม่เห็นเขาเอ่ยปากสักที ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว “มีอะไรก็รีบพูดว่า!”


โพ่จวินที่เมื่อครู่นี้ยังหยิ่งจองหอง ในเวลานี้กลับเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง พูดอึกอักอย่างขวยอายว่า “เกิดเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงอีกแล้วขอรับ”


ทุกคนแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยเห็นโพ่จวินมีท่าทางแบบนี้มาก่อนเลย


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?” ประมุขชิงขมวดคิ้ว


โพ่จวินตอบว่า “น่านฟ้าระกาติงรวบรวมทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านไปล้างแค้น ล้อมโจมตีกำลังพลห้าหมื่นของหนิวโหย่วเต๋อ”


เกาก้วนที่มีใบหน้าเย็นชาพลันจ้องไปที่หน้าของโพ่จวิน


ประมุขชิงโมโหอีกแล้ว “พวกฝูงหมาที่สวมควรตาย เห็นกำลังพลที่ใช้จ่ายทรัพยากรของมหาศาลตำหนักสวรรค์เป็นกองทัพส่วนตัวของตัวเองไปแล้วรึไง คิดจะเรียกไปใช้งานยังไงก็ได้ตามใจชอบงั้นเหรอ?” แต่ไม่นานก็นึกอะไรบางอย่างไร หันไปถามอู๋ฉวี่อีก “น่านฟ้าระกาติงถูกควบคุมโดยเซวียนหยวนจัวที่เจ้าแนะนำไปไม่ใช่เหรอ?”


อู๋ฉวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “ขอรับ!”


ประมุขชิงหรี่ตาเล็กน้อยพลาลูบเครา ในร่องตาวูบไหวเล็กน้อย ไม่เอ่ยถึงเรื่องเซวียนหยวนจัวอีก แต่ถามกลับโพ่จวินว่า “คาดว่ากำลังพลห้าหมื่นนั่นคงตายหมดแล้วใช่มั้ย?”


“เปล่าขอรับ!” โพ่จวินตอบเสียงเบา


ประมุขชิงขานรับ “อ้อ” แล้วถามอีกว่า “แล้วยังเหลืออีกเท่าไร?”


“เหลือรอดอยู่หนึ่งหมื่นกับอีกไม่กี่ร้อยขอรับ” โพ่จวินตอบ


ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “สงสัยน่านฟ้าระกาติงจะลงมือแบบปรานี ไม่ได้ฆ่าให้ตายหมด เพียงแต่จะปล่อยตัวการไปไม่ได้ หนิวโหย่วเต๋อล่ะ?”


ทุกคนได้ฟังน้ำเสียงของเขาก็เข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะสืบสาวเอาเรื่องเซวียนหยวนจัว แต่คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่างจากเซวียนหยวนจัวไกลมาก เซวียนหยวนจัวมีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัยกว่า ไม่มีใครกำจัดท่านโหวทิ้งเพื่อแม่ทัพภาคคนเดียวหรอก มิหนำซ้ำหนิวโหย่วเต๋ออาจจะโดนกำจัดไปแล้วก็ได้ การจะถอดท่านโหวเพื่อคนตายคนเดียวก็ยิ่งไม่คุ้ม สิ่งไหนสำคัญกว่าก็แยกแยะได้ไม่ยาก


“หนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่สบายดีขอรับ” โพ่จวินยังคงตอบเสียงเบาเช่นเดิม


ประมุขชิงอุทาน “เอ๋” แล้วกล่าวอย่างงุนงงว่า “ทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงไปล้างแค้นไม่ใช่เหรอ? ปล่อยคนอื่นไปก็ยังพอฟังขึ้น แต่ปล่อยตัวการอย่างหนิวโหย่วเต๋อไปเหรอ?อย่าบอกนะว่าปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อหนีไป?”


โพ่จวินอึกอักครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กัดฟันบอกว่า “ไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อหนีไป แต่หนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลธงพยัคฆ์ห้าหมื่นโจมตีทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกแล้ว”


“…” ประมุขชิงมองเขาอย่างตะลึงงัน


ในตำหนักดาราจักรเงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกได้ ทุกคนทำท่าเหมือนนึกว่าฟังผิดไป มองไปที่โพ่จวินอย่างอึ้งๆ


ส่วนนอกวังสวรรค์ กลุ่มขุนนางต่างก็สังเกตเห็นความผิดปกติของสี่อ๋องสวรรค์กับท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ทั้งห้าคนไม่คุยกันแล้ว แต่ละคนได้แต่ยืนด้วยท่าทางที่ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน


ก่วงลิ่งกงได้รับข่าวก่อนเพราะเรื่องเกิดขึ้นที่อาณาเขตตัวเอง ส่วนตระกูลเซี่ยโห้วก็มีช่องทางข่าวสารที่ไม่ธรรมดา จึงได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว โค่วหลิงซวี อิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟางก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติของทั้งสองเช่นกัน หลังจากรีบสั่งให้คนรีบสืบแล้วถึงได้รู้ข่าว


คนทั่วไปอาจจะไม่มีกำลังทรัพย์และความสามารถในการควบคุมมากพอที่จะวางกำลังสายลับเอาไว้ในแต่ละพื้นที่ แต่เห็นได้ชัดว่าสี่อ๋องสวรรค์มีกำลังทรัพย์และความสามารถนี้ แต่ละอาณาเขตดาวล้วนมีคนของพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้สายลับเบื้องล่างจะไม่ได้เข้าร่วมศึกใหญ่ที่น่านฟ้าระกาติง แต่ในฐานะที่เป็นสายลับของท้องถิ่น เมื่อโดนเบื้องบนเร่งเร้าก็รีบติดต่อทหารหลบหนีแล้วถามสถานการณ์จนรู้ทุกอย่างแล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ข่าวก็เริ่มแพร่ไปที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนแล้ว


จุดที่ทำศึกกันห่างจากดาวจิ่วหวนไม่ไกล กอปรกับดาวจิ่วหวนเป็นที่ตั้งของตลาดสวรรค์ นักพรตที่ไปมาที่นี่จึงมีเยอะ จุดที่ทำศึกกันก็สะท้านฟ้าสะเทือนดิน คนที่อยู่ระหว่างทางตกใจเสียง จะไม่ให้เข้าไปดูสักหน่อยก็คงยาก พอได้เห็นก็พบว่าเป็นการต่อสู้ขนาดใหญ่ จึงพากันตกใจมาก ถึงแม้ทุกคนจะกลัวว่าตัวเองจะซวยไปด้วยจึงหนีห่าง แต่คนที่ได้เห็นสถานการณ์ตอนก่อนและหลังทำศึกก็มีอยู่แล้ว พอนำข่าวมารวมกันก็พอจะวางเค้าโครงเรื่องได้


พอคนพวกนี้กลับมาที่ตลาดสวรรค์ ข่าวจะไม่แพร่ออกไปได้อย่างไร


ดังนั้นความเงียบในตำหนักดาราจักรจึงถูกทำลายแล้ว นอกจากประมุขชิง โพ่จวินและอู๋ฉวี่แล้ว ซ่างกวนชิง ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนก็ทยอยกันหยิบระฆังดาราออกมา ทุกคนต่างก็ได้รับข่าวแล้ว


ประมุขชิงหันกลับมามองพวกเขา


ซ่างกวนชิงที่ได้รับข่าวมองไปที่โพ่จวินด้วยแววตาล้ำลึก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนก็มองไปที่โพ่จวินเช่นกัน แล้วสุดท้ายก็กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ได้รับรายงานมา ที่อาณาเขตดาวใกล้ๆ ดาวจิ่วหวนเกิดศึกใหญ่ขึ้น จากสถานการณ์ที่รวบรวมมา ทัพใหญ่ประมาณหนึ่งล้านของตำหนักสวรรค์ล้อมโจมตีกองทัพองครักษ์หลายหมื่น ฝ่ายหลังเอาชนะได้ด้วยกำลังพลที่น้อยกว่า สังหารทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไปหลายแสน โจมตีจนพ่ายแพ้ แล้วไล่สังหารทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์อีกหลายแสน! สถานการณ์คร่าวๆ เป็นอย่างนี้ ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดยังไม่ราบแน่ชัดขอรับ”


สายตาประมุขชิงไปหยุดอยู่บนตัวซ่างกวนชิง จากนั้นซ่างกวนชิงก็พยักหน้าเบาๆ บอกใบ้


ไม่ได้มองไปที่เกาก้วนอีก ประมุขชิงหันขวับไปมองที่โพ่จวิน แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “กำลังพลห้าหมื่นของหนิวโหย่วเต๋อจะตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกได้ยังไง? ตาแก่ตาแก่ปัญญาทึบอย่างเจ้ากลายเป็นคนพูดอึกอักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร รายละเอียดเป็นยังไง รายงานเดี๋ยวนี้!”



 

 

 


บทที่ 1537 ประชุมราชสำนักของตำหนักสวรรค์

 

ตอนนี้ตรงนี้ไม่มีใครสงสัยในข่าวกรองของโพ่จวินแล้ว


ส่วนโพ่จวินก็เริ่มสงสัยนิดหน่อยว่าข่าวของตัวเองมีปัญหาอะไรรึเปล่า เพราะรู้สึกว่ามันเกินไปหน่อย ในใจไม่มีมความมั่นใจ ถึงอย่างไรช่องทางข่าวสารของกองทัพองครักษ์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ข้างล่างพูดอะไรมาก็เชื่ออย่างนั้น ตอนนี้พอได้ยินรายงานของซือหม่าเวิ่นเทียน ก็พบว่าเป็นความจริงแล้ว ในใจมีความมั่นใจขึ้นมาทันที


ขณะที่เขากำลังจะพูด จู่ๆ นอกตำหนักดาราจักรก็มีเสียงคนดังขึ้น เตือนว่า  “ฝ่าบาท ถึงเวลาเข้ารประชุมราชสำนักแล้ว!”


ประมุขชิงหันกลับมาตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “สมควรตาย! ไม่เห็นรึไงว่าข้าติดธุระ? ให้พวกเขารอก่อน!”


คนที่อยู่ตรงประตูตกใจทันที ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ฝ่าบาทโมโห ซ่างกวนชิงโบกมือให้เล็กน้อย ทำให้คนคนนั้นรีบถอยออกไป


เมื่อเห็นความสนใจของทุกคนมาอยู่ที่ตัวเอง โพ่จวินก็ถอนหายใจเบาๆ อีก เสร็จแล้วถึงได้เล่าสิ่งที่ลูกน้องรายงานขึ้นมาให้ฟังอย่างละเอียด


หลังจากเล่าเรื่องราวจบแล้ว โพ่จวินที่สรุปผลการรบก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นบ้างนิดหน่อย เริ่มตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้นว่า “ธงพยัคฆ์น้ำเงินของหนิวโหย่วเต๋อโจมตีทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงทัพแตกแล้ว ประหารคนไปห้าแสนกว่า จากนั้นก็นำคนไล่สังหารทหารหลายแสนของน่านฟ้าระกาติงที่หลบหนี หลังจากโจมตีจนอีกฝ่ายพ่ายแพ้ในอึดใจเดียว ถึงได้ถอนกำลัง! ส่วนความเสียหายของกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินห้าหมื่นก็สูงถึงแปดส่วนขอรับ แทบจะโดนโจมตีจนพิการ มีเพียงคนจำนวนหมื่นนิดๆ ที่รอดชีวิตจากการเข่นฆ่านี้ บนตัวของคนที่รอดก็แทบจะบาดเจ็บทุกคน ตอนนี้กำลังรอฟังคำสั่งอยู่ที่เดิมขอรับ!” พูดจบก็กุมหมัดต่อประมุขชิงอย่างหนักแน่น สื่อว่ารายงานจบแล้ว


แต่ละคนที่อยู่ในตำหนักพูดไม่ออก ถ้าไม่ตกใจก็ตกตะลึง ต่างก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ แววตาวูบไหว ยังคงจมอยู่ในเหตุการณ์ที่โพ่จวินรายงานให้ฟัง


ศึกเลือดหนึ่งสนาม ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทั้งสองฝ่ายมีคนตายไปเกือบหกแสน นี่มันหมายความว่าอะไรล่ะ?


ต่อให้ไม่เห็นเองกับตาก็จินตนาการออกว่าศึกนี้ดุเดือดขนาดไหน แสดงว่าคนต้องตายราวกับฝนตกถึงได้รบตายไปหกแสนกว่าภายในเวลาครึ่งชั่วยาม แค่คิดก็รู้แล้วว่าตอนนั้นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อฆ่าคนจนเป็นบ้าไปแล้ว ไม่ต้องเห็นเองกับตาก็จินตนาการออกว่ากำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อในตอนนั้นเศร้าสลดและเร้าใจขนาดไหน ทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อสู้ตายแล้ว


และภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ทหารที่เหลือรอดอยู่เพียงหนึ่งหมื่นยังกล้าเป็นฝ่ายรุกโจมตีอีก ไล่ตามโจมตีทัพที่แข็งแกร่งหลายแสนจนหลบหนีพ่ายแพ้ มันช่าง…


โดยเฉพาะตามที่บอกในรายงาน ยามหน้าสิ่วหน้าขวานทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินถอดเจตจำนงที่จะสู้สุดชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าจะรวมตัวกันตะโกนเสียงดังบอกว่ายอมล่อศัตรู ให้หนิวโหย่วเต๋อหนีไปและเก็บร่างกายอันมีค่าไว้ล้างแค้นให้พวกเขา!


เมื่อได้ยินรายงานนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่มีใครที่ไม่สะเทือนใจ!


ทุกคนแอบทอดถอนใจ ใช่แล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะถอดเจตจำนงที่จะสู้สุดชีวิต มีหรือที่จะยืนหยัดอยู่ในวงล้อมโจมตีของทัพใหญ่หนึ่งล้านได้นานขนาดนั้น มีหรือที่จะยืนหยัดได้จนชัยชนะมาถึง


ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ฟังคำโน้มน้าว กลับมาพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง สิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาทอดถอนใจไม่หยุดเช่นกัน ศึกนี้เรียกได้ว่าร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ทหารทุกคนเชื่อฟังคำสั่งจริงๆ!


ในตำหนักดาราจักร ทุกคนยืนเงียบอยู่ที่เดิม ราวกับเอาตัวไปอยู่ในสนามรบเอง ยากที่จะดึงตัวออกมาจากเหตุการณ์นั้น!


อู๋ฉวี่เป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา บอกไม่ถูกว่ามีสีหน้าอย่างไร มีทั้งความตกตะลึงและความสะท้อนใจ และก็มีความละอายด้วย!


จะไม่ให้ละอายใจคงยาก เพราะเขารู้ว่าลูกน้องคนสำคัญทุกคนของน่านฟ้าระกาติงล้วนออกไปจากหน่วยองครักษ์ขวาของเขา การนำทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านไปทำศึกแบบนี้ได้ ทั้งยังโดนกำลังทหารหมื่นกว่าไล่สังหารจนทหารที่แข็งแกร่งหลายแสนคนหนีหัวซุกหัวซุน แบบนี้ทำเขาเสียหน้าหมดแล้วจริงๆ!


ในฐานะที่มีพื้นเพมาจากผู้บัญชาการทัพใหญ่ พอได้ฟังก็ย่อมรู้ว่ากุญแจสำคัญของความพ่ายแพ้นี้อยู่ตรงไหน


เขาจำชื่อ ‘เหยียนชุน’ นั่นได้ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องฉีกร่างคนคนนี้ทั้งเป็นแน่นอน  ไม่น่าเชื่อว่าจะแพ้ยับเยินขนาดนี้จนทำให้คนอื่นได้ชื่อเสียงบารมีไป!


หลังจากนั้นนานมาก ประมุขชิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ แล้วหรี่ตาบอกว่า  “ห้ามหมื่นคน ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์ด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะตีทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านพ่ายแพ้ กองทัพองครักษ์ยังไม่เคยมีตัวอย่างแบบนี้มาก่อน ช่างเป็นขุนพลพยัคฆ์จริงๆ! มีพรสวรรค์ของนายพล!”


ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงสบตากันแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ทุกคนย่อมรู้ว่าประมุขชิงกล่าวชมใคร


ทว่าใครจะคิดว่าตอนหลังประมุขชิงจะกล่าวเสริมอีก “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้โดนขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี แต่นึกไม่ถึงว่าจะบัญชาการกำลังพลกองมังกรดำได้คล่องแคล่วตามใจประสงค์ นึกไม่ถึงว่าเขาจะดูแลจัดการกองมังกรดำได้ลึกซึ้ง กองทัพห้าวหาญชาญศึกที่มีพลังรบองอาจกลุ่มนี้ได้ผ่านพิธีชำระล้างจากศึกเลือดครั้งนี้แล้ว ล้วนกลายเป็นทหารห้าวแม่ทัพหาญกันหมด ในอนาคตถ้ามีการเปลี่ยนผู้บังคับบัญชา ก็เกรงว่าจะไม่ฟังคำสั่งใครแล้วนอกจากหนิวโหย่วเต๋อ ปัญหานี้เก็บไว้ไม่ได้ โพ่จวิน เดี๋ยวกลับไปกระจายกำลังพลกลุ่มนี้ออกไปด้วย หน่วยองครักษ์ขวายังรับคนได้อีกครึ่งหนึ่ง”


นี่ตัดสินว่าเป็นทหารห้าวแม่ทัพหาญเลยเหรอ? ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงแอบสบตากันอีกครั้ง ต่างก็เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นของประมุขชิง ในใจพวกเขาแอบปลงอนิจจัง นึกไม่ถึงว่ากำลังพลที่เพิ่งสร้างผลงานการรบที่ดังเกริกก้องจะโดนจับแยกกันแล้ว แต่ที่จริงกำลังพลกลุ่มนี้ก็สร้างผลงานการรบโดดเด่นเกินไป ถึงแม้ศักยภาพรายบุคคลของกำลังพลกลุ่มนี้จะยังไม่เก่งกาจสักเท่าไร แต่ของแบบนี้ก็เพิ่มกันได้ ถ้าลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อเติบโตขึ้นมาทีละก้าว กำลังพลกลุ่มนี้ก็จะกุมอำนาจทางทหารที่มากกว่าเดิม อาศัยแค่ที่คนกลุ่มนี้ตะโกนบอกว่าจะสละชีพเพื่อหนิวโหย่วเต๋อ ถ้ารวมตัวกันขึ้นมาจะเกิดผลลัพธ์อะไรที่คาดเดาได้ยากรึเปล่าล่ะ? นี่ต่างหากสาเหตุสำคัญที่ฝ่าบาทต้องกระจายกำลังพลกลุ่มนี้


ที่จริงไม่ว่าใครก็เข้าใจทั้งนั้น สำหรับฝ่าบาทแล้ว พลังรบของกำลังพลกลุ่มนี้ไม่ได้สำคัญเท่าอำนาจที่มั่นคงของฝ่าบาทเลย


แน่นอน ทั้งสองไม่คัดค้านสิ่งนี้เช่นกัน เพราะตราบใดที่เป็นผลประโยชน์ที่ปกป้องประมุขชิงได้ ก็เท่ากับเป็นผลประโยชน์ที่ปกป้องพวกเขาได้เช่นกัน


และทั้งสองก็ฟังความหมายที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งออกเช่นกัน การกระจายกำลังพลออกจากกันก็เท่ากับว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ต้องตายแล้ว!


“รับทราบ!” อู๋ฉวี่กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แสดงออกว่ายินดีจะรับกำลังพลครึ่งหนึ่งเอาไว้


“ฝ่าบาท…” เห็นได้ชัดว่าโพ่จวินยังมีอะไรจะพูดอีก


“หืม?” แต่ประมุขชิงทำเสียงเหมือนสงสัย พลันจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ สบตากับโพ่จวินพลางเม้มริมฝีปากแน่น เขาจึงต้องกลืนสิ่งที่พูดกลับลงไป แล้วกุมหมัดคารวะขานตอบอย่างยากลำบากว่า “ขอรับ!”


เขาอยากจะอาศัยสิ่งนี้สร้างทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งขึ้นมา แต่เขาก็เข้าใจความคิดของประมุขชิงเช่นกัน เรื่องบางเรื่องเขาสามารถต่อต้านประมุขชิงได้ แต่รื่องบางเรื่องก็ไม่อาจขัดคำสั่ง ตราบใดที่เรื่องนั้นเป็นประโยชน์ต่อประมุขชิงในการควบคุมใต้หล้า เพียงแต่บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ


ประมุขชิงหันกลับไปมองเกาก้วนอีก “ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ถ้ามีหลักฐานว่าหนิวโหย่วเต๋อออกนอกลู่นอกทางจริงๆ ก็ลงโทษตามกฎ!”


“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับ


“เข้าประชุมราชสำนักเถอะ!” ประมุขชิงพูดทิ้งท้ายแล้วเดินก้าวยาวออกไป แล้วทุกคนก็เดินตามหลัง


เวลาเข้าประชุมราชสำนักผ่านไปแล้ว ขุนนางหลายร้อยเข้ามาในตำหนักฟ้าดินแล้ว


ในบรรดาคนพวกนี้มีบางส่วนที่กุมอำนาจที่แท้จริงฝ่ายต่างๆ ของตำหนักสวรรค์ รวมทั้งผู้ตรวจการใหญ่ที่ควบคุมแต่ละหน่วยของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาด้วย ที่มากกว่านั้นคือสมาชิกที่อยู่ในระดับและตำแหน่งที่ว่างงาน รวมทั้งเซี่ยโห้วท่าด้วย แต่ในบรรดาคนพวกนี้เซี่ยโห้วท่าโดดเด่นที่สุด เพราะมีเขาคนเดียวที่มีเก้าอี้นั่ง กำลังนั่งค้ำไม้เท้าพลางหรี่ตาอย่างสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ถึงแม้จะอยู่ในตำแหน่งชิดมุมข้างหน้า ทว่าสิ่งนี้ก็ทำให้มองเห็นเกียรติยศแล้ว ใครใช้ให้หลานสาวของเขาเป็นราชินีสวรรค์ล่ะ หลานสาวเขามีศักดิ์เป็นภรรยาที่นั่งตีเสมอกับราชันสวรรค์ได้


เวลาประชุมราชสำนักผ่านไปแล้ว ยังไม่เห็นประมุขชิงออกมา ทุกคนกำลังรอเงียบๆ บางครั้งพวกอ๋องสวรรค์ที่อยู่หน้าสุดก็เอียงหน้าสบตากัน ในใจพวกเขาเข้าใจดี ว่าประมุขชิงเลื่อนเวลาประชุมราชสำนักแล้ว เกรงว่าคงจะรู้เรื่องนั้นแล้ว


จนกระทั่งโพ่จวิน อู๋ฉวี่ ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนโผล่หน้ามา ทุกคนก็รู้ว่าประมุขชิงกำลังจะโผล่ออกมาแล้ว


บนบัลลังก์ฟ้าดินที่สูงส่ง โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาด้านล่างบัลลังก์ ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็ยืนบนบันไดที่ต่ำลงมาไม่กี่ขั้น ทั้งสี่กึ่งยืนเข้าหาบัลลังก์กึ่งยันเข้าหาขุนนางใหญ่ที่ยืนเรียงแถวเป็นรูปตัวอักษร ‘八’ ในตำหนัก เอียงหน้ามองข้างบนก็จะเห็นคนที่นั่งบนบัลลังก์ เอียงหน้ามองข้างล่างก็จะเห็นขุนนางใหญ่ในตำหนัก


ส่วนผู้ตรวจการใหญ่ยี่สิบคนของกองทัพองครักษ์ก็แบ่งเป็นสี่กลุ่ม ไปยืนอยู่สี่มุมในตำหนักใหญ่ สายตากวาดมองกลุ่มคนในตำหนักเป็นระยะ ไม่เหมือนคนที่เข้าร่วมการประชุม ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนที่เฝ้าสังเกตทุกความเคลื่อนไหวของขุนนางใหญ่ในตำหนักมากกว่า


ผ่านไปไม่นาน ประมุขชิงก็เดินออกมาจากตำหนักด้านหลังโดยมีซ่างกวนชิงติดตาม พอเดินมาถึงบัลลังก์ฟ้าดิน ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกันก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ ประมุขชิงยืนอยู่หน้าบัลลังก์แล้วมองสำรวจกลุ่มคนในตำหนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม


ทันใดนั้น กลุ่มขุนนางใหญ่ในตำหนักก็ทำความเคารพอย่างมีระเบียบ กล่าวพร้อมกันว่า “คารวะฝ่าบาท!”


“ยืนขึ้น!” ประมุขชิงกล่าว ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลง


ซ่างกวนชิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสียงดังว่า “ถ้ามีเรื่องก็รายงาน ถ้าไม่มีเรื่องก็ถอยออกไป!”


ด้านล่างเงียบงันอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ขุนนางใหญ่คนหนึ่งที่รับตำแหน่งแต่ในนามก็ก้าวออกนอกแถวมาถามว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยได้ยินมาว่ากองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นของน่านฟ้าระกาติงปะทะกัน ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ขอรับ?”


“ฮึ!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วกล่าวเสียงดังก้องตำหนัก “ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน สาเหตุที่มาเข้าประชุมช้าก็เพราะเรื่องนี้ เพิ่งจะเกิดเรื่องขึ้น แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ชัดว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ข่าวเจ้าไวเหลือเกินนะ ครั้งหน้าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สงสัยข้าจะต้องขอคำชี้แนะจากเจ้าเสียแล้ว”


เขาพูดแดกดันอย่างไม่ปรานี ทำให้คนคนนั้นที่เงยหน้าสบตาโดยตรงต้องก้มเหลือบตาลงเล็กน้อย “ข้าน้อยมิบังอาจ!”


เซี่ยโห้วท่าที่นั่งลงช้าๆ หลับตาพักผ่อน สี่อ๋องสวรรค์ที่ยืนอยู่หน้าสุดก็ทำท่าทางเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ที่จริงทุกคนก็รู้ว่าผู้ถามคือคนของหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ ถ้าไม่มีการชี้แนะจากสี่ท่านนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะโผล่หน้าออกมาถาม


ในตำหนักใหญ่เงียบลงเล็กน้อย เซี่ยโห้วท่าที่หลับตาพักผ่อนพลันลืมตาเหลือบมองกลุ่มคนแวบหนึ่ง ขุนนางใหญ่บางคนที่ได้รับสัญญาณจากเขาก้าวออกนอกแถวทันที แล้วก้าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยขอกล่าวโทษท่านโหวเซวียนหยวนจัว!”


“อ๋อเหรอ!” ประมุขชิงกวาดสายตามองเซวียนหยวนจัวที่ยืนเงียบไปสะทกสะท้านแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “มีเรื่องอะไร?”


คนคนนั้นกล่าวอย่างโมโหว่า “เรื่องของน่านฟ้าระกาติง ข้าน้อยก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ตามที่ข้าน้อยรู้มา เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงบังคับแต่งงานกับผู้หญิงของแม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อแห่งอุทยานหลวง เพื่อผู้หญิงคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นทำศึกเลือดกัน ถ้าแม้แต่คนแบบนี้ก็ยังกล้าใช้งาน ก็จะเห็นได้ว่าท่านโหวเซวียนหยวนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งโหวเลย ข้าน้อยขอเสนอให้ถอดเซวียนหยวนจัวออกจากตำแหน่งโหวขอรับ”


สายตาประมุขชิงไปหยุดอยู่บนตัวเซวียนหยวนจัว “เซวียนหยวนจัว เป็นอย่างนี้รึเปล่า?”


เซวียนหยวนจัวก้าวออกจากแถว “ข้าน้อยไม่ทราบสถานการณ์ขอรับ” ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย แก้ตัวให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์ทันที


ขุนนางตำแหน่งว่างคนนั้นตำหนิทันทันทีว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกน้องเจ้า เจ้าจะไม่รู้สถานการณ์เชียวเหรอ? อย่าบอกนะว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีใครรายงานเจ้าเลย? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะเห็นได้ว่าเจ้าไม่ตั้งใจทำหน้าที่ท่านโหว เปลี่ยนให้คนมีความสามารถมาทำดีกว่า”


เซวียนหยวนจัวตอบว่า “ที่ข้าบอกว่าไม่รู้สถานการณ์ก็เพราะว่าข่าวตีกันมั่ว เพราะเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน ข้าไม่อาจนำเรื่องที่ปนกันมั่วซั่วมาพูดเรื่อยเปื่อยบนการประชุมราชสำนักหรอก หลังจากประชุมราชสำนักแล้วข้าจะไปตรวจสอบทันที หลังจากตรวจสอบแล้วก็ย่อมรายงานโดยละเอียดได้”



 

 

 


บทที่ 1538 ขุนพลพยัคฆ์

 

เพิ่งจะพูดจบ ก็มีขุนนางอีกคนโผล่ออกมาหัวเราะลั่นสามที แล้วชี้เขาพร้อมพูดแดกดันว่า “ช่างน่าขัน! เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว หลังจากได้รับข่าวก็ควรจะสั่งให้คนไปสืบรายละเอียดทันทีสิ ยังจะรอให้การประชุมราชสำนักจบแล้วค่อยสืบรายละเอียดอีก เจ้านี่ทำหน้าที่ท่านโหวแบบผ่อนคลายจริงๆ!”


“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าไม่ได้สั่งให้คนไปสืบในทันที?”


“นี่เจ้าพูดเองนะว่าจะสืบรายละเอียดหลังจากการประชุมราชสำนักจบ”


“จับผิดคำพูดที่ตกหล่นของข้าเพื่อมาพิสูจน์ว่าข้ามีความผิดเหรอ?”


“ดี! ในเมื่อสืบแล้ว เช่นนั้นสืบได้ผลลัพธ์รึยังล่ะ?”


“ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น การจะสืบให้ได้ผลไม่ต้องใช่เวลารึไง?”


“หากสืบแล้วพบว่าฉู่จื่อซานมีปัญหาจริงๆ ท่านโหวเซวียนหยวนจะทำยังไง?”


ขุนนางใหญ่ตำแหน่งว่างกลุ่มหนึ่งทยอยกันก้าวออกมา พากันใช้ปากล้อมโจมตีเซวียนหยวนจัว ประชิดเข้ามาติดกัน หมายจะกดดันให้เซวียนหยวนจัวยอมให้คำสัญญา แต่ในขณะนี้เอง จู่ๆ ประมุขชิงก็กล่าวว่า “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ในเมื่อเซวียนหยวนจัวบอกแล้วว่าหลังจากสืบจะพูดอีกที เช่นนั้นก็รอสืบให้ชัดแล้วค่อยว่ากัน ถึงตอนนั้นใครเป็นใครมองปราดเดียวก็เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเถียงกันตรงนี้ไม่จบไม่สิ้น พอแล้ว คุยประเด็นต่อไป!”


มีคนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก ทุกคนนับว่าดูออกแล้ว ว่าเดิมทีฝ่าบาทไม่ได้คิดจะลงโทษเซวียนหยวนจัวอยู่แล้ว เลยกดเรื่องนี้เอาไว้ข้างๆ เสียเลย


แต่ก็ช่วยไม่ได้ นี่ก็คืออำนาจพิเศษที่ประมุขชิงมีคนเดียวเท่านั้น ขอเพียงหาเหตุผลได้นิดหน่อยก็สามารถตัดสินใจได้แล้วว่าจะให้เรื่องนี้คืบหน้าช้าหรือเร็ว ถ้าอีกฝ่ายบอกว่าร่างกายไม่สบาย แล้วขอออกจากการประชุมกลางคัน เจ้าก็จะฝืนดึงตัวอีกฝ่ายไว้เพื่อสืบเรื่องราวให้ชัดเจนไม่ได้


พวกขุนนางใหญ่ที่เพิ่งใช้ปากโจมตีเมื่อครู่นี้มองพวกที่ยืนอยู่แถวหน้าแวบหนึ่ง เมื่อเห็นท่านพวกนั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็ทำได้เพียงหุบปากไป


สี่อ๋องสวรรค์ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าคนที่เพิ่งพูดเมื่อครู่นี้คือคนของพวกเขา เมื่อเดินขึ้นมาถึงจุดอย่างพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะออกหน้าเองทุกเรื่อง ย่อมมีคนกระโดดออกหน้าก่อนอยู่แล้ว จากนั้นพวกเขาค่อยตัดสินใจตามสถานการณ์อีกทีว่าจะออกโรงเองหรือไม่


และทั้งสี่คนก็ยังไม่เคลื่อนไหวอะไร เป็นเพราะเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานจริงๆ เซวียนหยวนจัวอาศัยข้ออ้างนี้ ไม่ว่าใครตะยั่วยุอย่างไรเขาก็ยืนยันหนักแน่นว่ายังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน ไม่มีใครพูดได้ชัดเจนว่าสถานการณ์ที่ตัวเองเพิ่งรู้มาจะไม่มีอะไรผิดพลาดเลย เซวียนหยวนจัวจึงยืนนิ่งไม่ลนลาน ถ้าเรื่องนี้ยังไม่เปิดโปงอย่างถึงที่สุด ก็ไม่มีใครทำอะไรเซวียนหยวนจัวได้ มีแต่ต้องรอให้ได้ผลลัพธ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


การประชุมราชสำนักของตำหนักสวรรค์ที่น่าเกรงขามไร้ที่เปรียบในจินตนาการของผู้คนในใต้หล้า ยุติการถกเถียงโวยวายลงชั่วคราว เริ่มหัวข้อประชุมใหม่แล้ว


หลังจากการประชุมราชสำนักจบลง กลุ่มขุนนางก็ทยอยกันเดินออกมา


“ท่านโหวเซวียนหยวน!” อันถู เทพประจำดาวดินวอกที่กำลังเดินลงบันไดเรียกเซวียนหยวนจัวเอาไว้


เซวียนหยวนจัวหันไปมอง แล้วหันตัวไปต้อนรับทันที กุมหมัดคารวะบอกว่า “เทพประจำดาว!”


เทพประจำดาวดินวอกอันถูกล่าวเสียงเรียบว่า “กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นฆ่ากันเองไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าจะส่งคนไปช่วยเจ้าสืบหารายละเอียดสักหน่อยแล้วกัน”


“ขอรับ!” เซวียนหยวนจัวเอ่ยรับ เขาไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะท่านนี้คือผู้บังคับบัญชาของตัวเอง


อันถูขานรับ “อืม” แล้วเดินออกไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว


ขณะที่มองดูเงาหลังของเขา เซวียนหยวนจัวก็ได้รับแรงกดดันแล้ว เทพประจำดาวดินวอกไม่เหมือนตำแหน่งว่างของพื้นที่อื่นที่แม้แต่เทพประจำดาวก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ด้วย อีกฝ่ายเป็นคนของจอมพลสายวอกอย่างแท้จริง และเป็นลูกน้องของอ๋องสวรรค์ก่วงด้วย เขาได้รับความลำบากเมื่อโดนขนาบอยู่ตรงกลาง แล้วฉู่จื่อซานก็ดันก่อเรื่องแบบนี้อีก การที่เทพประจำดาวดินวอกส่งคนมาช่วยสืบก็ย่อมไม่มีเจตนาดีอะไรอยู่แล้ว


“ท่านโหวเซวียนหยวน!” ด้านข้างมีคนเรียก


เซวียนหยวนจัวหันไปมอง เห็นแม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งที่เฝ้าวังสวรรค์ อีกฝ่ายเอียงหน้าบอกใบ้เขา เขามองตามไปทางนั้น เห็นผู้บัญชาการองครักษ์อู๋ฉวี่ของหน่วยองครักษ์ขวากำลังยืนอยู่ใต้ชายคาตำหนักฟ้าดิน เขาถึงได้ยืนอยู่กับที่ รอให้ขุนนางคนอื่นๆ ออกไปให้หมดก่อน


ตำหนักหลังของตำหนักฟ้าดิน จู่ๆ ประมุขชิงก็ก้าวออกมาแสยะยิ้ม “เซี่ยโห้วท่า วันนี้เขาขยันเข้าประชุมราชสำนักขึ้นเยอะเลย ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะกระโดดออกมาประสมโรงด้วย อย่าบอกนะว่าเขาอยากจะเข้ามากวนน้ำให้ขุ่น? เจ้ามองอยู่ข้างๆ เห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนกว่า เจ้าคิดว่ายังไง?”


ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างหลังเขาโดยห่างเพียงหนึ่งก้าวตอบอย่างเคารพว่า “ตามที่บ่าวเห็น ท่านปู่สวรรค์ไม่ได้อยากจะกวนน้ำให้ขุ่น แต่อยากจะเตือนฝ่าบาท”


ประมุขชิงตอบอ้อ แล้วถามอีกว่า “หมายความว่ายังไง?”


ซ่างกวนชิงบอกว่า “ท่านปู่สวรรค์ให้คนของเขากระโดดออกมาเปิดเผยว่าเซวียนหยวนจัวกับหนิวโหย่วเต๋อทำศึกเพราะแย่งผู้หญิงกัน แต่กลับซักไซ้หาความรับผิดชอบเพียงเซวียนหยวนจัว แต่ไม่ถามหาความรับผิดชอบจากหนิวโหย่วเต๋อ แบบนี้กำลังเป็นการเตือนฝ่าบาทว่า คนอื่นๆ ไม่เอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อเลยด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวจะดังได้อย่างไร”


ประมุขชิงหยุดฝีเท้า นอกจากฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วที่เอ่ยชื่อหนิวโหย่วเต๋อออกมา คนอื่นๆ ก็ไม่เอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ เขาถามอย่างสงสัยว่า “ทำแบบนี้มีเจตนาอะไร?”


“ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือขอรับ? ครั้งก่อนข้าน้อยเคยเอ่ยกับฝ่าบาท ครั้งก่อนภายนอกมีข่าวลือนี้แล้ว บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี” ซ่างกวนชิงตอบ


“เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก ข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ประมุขชิงกล่าว


ซ่างกวนชิงเอ่ยเบาๆ ว่า “แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!”


ประมุขชิงนิ่งชะงัก หรี่ตาครุ่นคิดอย่างช้าๆ แล้วเริ่มแสยะยิ้ม “พวกเขาฝันหวานเกินไปแล้ว!” จากนั้นเหล่ตาบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย ต้องทำให้เรื่องนี้ล้มเหลวเสีย”


“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ


“เซี่ยโห้วท่า…ตาจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ยังนึกว่าเขามีเจตนาดีอะไรจริงๆ เสียอีก ที่แท้ก็อยากกวนน้ำให้ขุ่นเท่าไรก็ยิ่งดี!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วเอามือไขว้หลังเดินก้าวยาวออกไป


และในตอนนี้ ทัพพิการของหนิวโหย่วเต๋อก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งน่านฟ้าระกาติงเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติอีก จึงสั่งให้นำกำลังพลไปหลบที่ตลาดสวรรค์ของดาวจิ่วหวนที่อยู่ใกล้ๆ กันก่อน รอให้เบื้องบนมาตรวจสอบ ที่จริงทัพเป่ยโต้วก็ไม่มีทางส่งคนตามมาคุ้มกันฝั่งนี้ได้ทันเวลาเช่นกัน ต่อให้น่านฟ้าระกาติงจะบ้าระห่ำขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางทำเรื่องประเภทโจมตีตลาดสวรรค์อีกแน่นอน ทว่าคำสั่งนี้ตรงกับความคิดของเหมียวอี้พอดี สมปรารถนาเขาแล้ว เขาย่อมปฏิบัติตามคำสั่งในทันที รีบเร่งไปยังตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน


ทำไมถึงรีบเร่งขนาดนี้น่ะเหรอ? ก็เพราะเขาเพิ่งได้รับข่าวจากเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ว่าอวิ๋นจือชิวถูกคนของตำหนักคุ้มเมืองพาตัวไปแล้ว


ที่จริงตอนที่อวิ๋นจือชิวเพิ่งถูกพาตัวไป เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ได้ส่งข่าวให้เหมียวอี้แล้ว แต่จนใจที่ตอนนั้นเหมียวอี้กำลังอยู่ในศึกเลือด ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้เลย


และข่าวที่แพ่บนตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็แพร่ไปยังจุดต่างๆ ในดาราจักรอย่างรวดเร็ว แม้แต่กองมังกรดำที่อยู่ฝั่งอุทยานหลวงก็ได้ยินข่าวนี้แล้วเช่นกัน


ใต้ศาลาเย็นบนไหล่เขา หยางชิ่งเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างท้องฟ้ายามราตรี บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้ารันทดอย่างที่บรรยายออกมาได้ยาก


คนอื่นได้ยินเพียงว่ากองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นทำศึกกัน แต่เขาแค่ได้ยินครั้งก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เลยมายืนมองท้องฟ้าเงียบๆ อยู่คนเดียวตรงนี้


หน้าอกหยางชิ่งค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้น แต่จู่ๆ ร่างกายก็สั่นสะท้าน “อั้ก!” เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เอาฝ่ามือข้างหนึ่งกุมที่หัวใจ แล้วใช้มืออีกข้างจับเสาศาลา โซเซก้มหน้าพลางหอบหายใจ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าน้อยไม่มีค่าพอจะไปวางแผนให้เขา…”


จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ลูกชายสามคนของตระกูลโค่วเดินตามหลังโค่วหลิงซวีไปที่หอสามรากฐาน


“หนิวโหย่วเต๋อคนนี้คือความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงของข้าจริงๆ!” โค่วเจิงที่อยู่ข้างหลังถอนหายใจยาว


โค่วฉินที่อยู่ข้างกันบอกว่า “เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองอีก มิหนำซ้ำ ข้าก็ได้ยินมาว่าที่หนิวโหย่วเต๋อชนะได้ก็เป็นเพราะแม่ทัพน่านฟ้าระกาติงที่ชื่อว่า ‘เหยียนชุน’ ไร้ความสามารถ ไม่อย่างนั้นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อคงตายหมดอย่างไม่ต้องสงสัย!”


“เจ้านี่ช่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่จริงๆ!” โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะยาวพูดแดกดัน แล้วชี้เขาพร้อมบอกว่า “คนที่พูดแบบนี้กับเจ้าก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละ เป็นพวกที่ไม่เคยสู้สุดชีวิตบนสนามรบมาก่อน! ตอนอยู่บนสนามรบสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า โอกาสแวบผ่านไปผ่านมาเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อตัวตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ถ้าพลาดขึ้นมาเมื่อไร แค่คิดก็รู้ถึงผลที่จะตามมาแล้ว ทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงนำ ‘หน่วยกล้าตาย’ มุ่งตรงไปหาฉู่จื่อซานล่ะ ชัดเจนแล้วว่าต่อให้ฉู่จื่อซานไม่นำทัพออกรบ เขาก็จะยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตฉู่จื่อซานอยู่ดี สิ่งนี้อธิบายได้ชัดเจนว่าตอนนั้นเขาคว้าโอกาสดีๆ ในการรบได้แล้ว แล้วตอนหลังก็หาจุดอ่อนนิดหน่อยเพื่อทำให้วุ่นวาย เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ไม่ลังเลที่จะสั่งให้กำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งหนึ่งละทิ้งความได้เปรียบของตัวเอง ต่อให้จะโดนโจมตีตายทั้งกองทัพแต่ก็ต้องสู้สุดชีวิต เจ้ารู้รึเปล่าว่าในฐานะแม่ทัพหลักนั้นจะต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวขนาดไหน ต้องใช้ความกล้าหาญขนาดไหนกว่าจะออกคำสั่งนี้ได้?


เมื่อเจอเหตุไม่คาดคิดอีกครั้งก็ตัดความหวังสุดท้ายในการคว้าชัยชนะของทัพใหญ่อย่างไม่ลังเล ฝังธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พวกนั้นกับมือตัวเอง เพื่อจะให้ทัพใหญ่ทนได้อีกสักหน่อย เมื่อเห็นว่าทัพจะโดนโจมตีจนตายหมด เขาก็ใช้อุบายก่อกวนทำให้ขวัญกำลังใจกองทัพฝ่ายศัตรูปั่นป่วน แล้วคว้าชัยชนะได้ในรวดเดียว จากนั้นก็ใช้กำลังพลที่เหลือรอดอยู่หมื่นกว่าไล่สังหารทัพที่แข็งแกร่งหลายแสน เจ้ารู้รึเปล่าว่าการทำสิ่งนี้ต้องใช้ความกล้าขนาดไหน? เขาทำแบบนี้ก็เพียงเพื่อโจมตีทัพฝ่ายศัตรูให้แตกพ่าย ไม่ให้โอกาสศัตรูโจมตีกลับอีก! สุดท้ายก็คว้าผลงานการรบไว้ได้อย่างมั่นคง! ผู้บัญชาการทัพที่คว้าโอกาสดีในการรบได้หนึ่งครั้งก็ถือว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์  ผู้บัญชาการทัพที่สามารถคว้าโอกาสในการรบได้ทุกครั้งนั้นถือว่ายอดเยี่ยม และเขาก็ไม่ใช่แค่คว้าโอกาสดีที่ผ่านมาเพียงชั่วแวบเดียวได้ทุกครั้ง เวลาที่ไม่มีโอกาสเขาก็สร้างโอกาสขึ้นมาเองด้วย นี่คือคุณสมบัติที่หาได้จากตัวผู้บัญชาการทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่านั้น และไม่ใช่ว่าว่าได้มาเพราะโชคช่วยด้วย นี่คือขุนพลพยัคฆ์ ได้คนแบบนี้คนเดียวก็เท่ากับเลี้ยงทัพใหญ่หนึ่งล้าน เข้าใจมั้ย?”


โค่วฉินตะลึงค้างไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะอย่างเถียงไม่ออก “ลูกได้รับการชี้แนะแล้ว”


โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ค่อนข้างมีมาด เมื่อเห็นท่านพ่อสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขาก็เหมือนจะไม่อยากให้น้องชายลำบาก จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ท่านพ่อ ทำไมไม่เห็นท่านอาถัง?”


โค่วหลิงซวีเอนตัวกับเกาอี้ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าให้เขาไปหาเหวินหลานแล้วไปดาวจิ่วหวนด้วยกันแล้ว”


โค่วเจิงแปลกใจ “หนิวโหย่วเต๋อยอมเสียทุกอย่างเพื่อก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาบอกว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงคนนั้นคืออวิ๋นจือชิว ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้ อย่าบอกนะว่าท่านพ่อยังมีความคิดจะให้ใครแต่งงานกับเขาอีก?”


“นี่ก็คือข้อได้เปรียบของคนที่รู้เหตุการณ์ก่อน อีกสามอ๋องคงจะกำลังคุ่นคิดหาวิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์” โค่วหลิงซวีหัวเราะเบาๆ “แน่นอน เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์พวกเราย่อมล้มเลิกไม่ได้”


สามพี่น้องมองหน้ากันเลิกลั่ก มีบางอย่างที่ฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าในเมื่อพูดแดกดันอีกสามอ๋องแล้วแต่ทำไมตัวเองไม่ละทิ้งวิธีการนี้


โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “วันนี้ตอนที่ไปวังสวรรค์ ข้าบังเอิญได้ยินเกาก้วนกับลูกน้องของเขากำลังพูดเรื่อง ‘ลูกสาวบุญธรรม’ ของตระกูลหนึ่ง สิ่งนี้เตือนข้าได้ดีมาก ข้าอยากจะเห็นว่าอีกสามอ๋องจะหน้าดำคร่ำเครียดขนาดไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสนใจ ก็เลยให้เฒ่าถังไปจัดการแล้ว”


ทีแรกสามพี่น้องก็งุนงงก่อน จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน โค่วเหมี่ยนถามว่า “อย่าบอกนะว่าท่านพ่อให้เหวินหลานพาท่านอาถังไปหาอวิ๋นจือชิว?”


“เหวินหลานรู้จักไม่ใช่เหรอ ให้คนคุ้นเคยเจอหน้ากันจะได้คุยง่าย” โค่วหลิงซวีตอบอย่างเกาไม่ถูกที่คัน


โค่วฉินขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะว่าท่านพ่อจะรับแม่หม้ายคนนั้นเป็นลูกสาวบุญธรรม? หรือว่าจะให้ท่านอาถังรับนางเป็นลูกบุญธรรม?”


โค่วหลิงซวีเหล่ตมอง แล้วเอานิ้วเคาะผิวโต๊ะแรงๆ พร้อมถามว่า “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”



 

 

 


บทที่ 1539 ถ้าไม่โดนอิจฉาแสดงว่าเป็นค...

 

เมื่อเห็นว่ายั่วให้ท่านพ่อโมโหอีกแล้ว โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ก็รีบแก้ไขสถานการณ์ “แล้วอวิ๋นจือชิวนั่นจะไร้ไมตรีเหมือนหนิวโหย่วเต๋อรึเปล่าขอรับ?”


โค่วหลิงซวีถลึงตามองลูกชายคนรอง เคาะนิ้วทั้งห้าบนที่วางมือพลางถามว่า “แรงกดดันจากอีกสามอ๋องนั่นจะต้านทานได้ง่ายๆ เหรอ?”


โค่วเจิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว จึงยิ้มพร้อมตอบว่า “เกรงว่าอีกสามอ๋องคงจะไม่เลิกหากไม่บรรลุเป้าหมาย ถ้าหนิวโหย่วเต๋อปฏิเสธพวกเขา ทางอวิ๋นจือชิวจะต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลแน่นอน ที่บอกว่าแรงกดดันมหาศาลก็ยังเบาไปด้วยซ้ำ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็จะรักษาไว้ไม่ได้ ยิ่งอีกสามอ๋องกดดันมากเท่าไร ตระกูลโค่วก็จะยิ่งปกป้องอวิ๋นจือชิวได้ดีที่สุด เกรงว่าไม่ตอบตกลงคงไม่ได้แล้ว”


โค่วหลิงซวีพยักหน้าเบาๆ แล้วจินตนาการตามพลางอมยิ้มเล็กน้อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือยิ้มเจ้าเล่ห์ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรอดูอะไรสนุกๆ


จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เว่ยซูเดินช้าๆ อยู่ข้างกายเซี่ยโห้วท่า พูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนัก


หลังจากพูดจบ เซี่ยโห้วท่าก็ยิ้มเล็กน้อยพลางชี้แนะอีก “เจ้าคิดว่าทำไมข้าจึงทำอย่างนั้น?”


เว่ยซูยิ้มพร้อมตอบว่า “นายท่านกำลังป้องกันเหตุไม่คาดคิด ป้องกันไม่ให้ประมุขชิงไม่เข้าใจ ถึงได้เตือนประมุขชิงไป หลังจากประมุขชิงเข้าใจแล้ว ก็ย่อมไม่ให้เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสี่อ๋องสวรรค์สำเร็จ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อที่ทำความผิดใหญ่หลวงขนาดนี้ ต่อให้จะไม่เป็นอะไรแต่ก็ต้องโดนลงโทษอยู่ดี ในภายเวลาสั้นๆ นี้เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะใช้งานหนิวโหย่วเต๋อในตำแหน่งสำคัญ ไม่อย่างนั้นจะได้รับการนับถือได้ยังไง? พอเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่าจะไม่มีใครได้ลูกศิษย์ของอสุราอัคนีไปทั้งนั้น แบบนี้จะมีประโยชน์กับตระกูลเซี่ยโห้วของพวกเราที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วจะได้แอบติดต่อกับเขาอย่างลับๆ ได้สะดวก แยกเขาออกจากอำนาจฝ่ายอื่นๆ พวกเราจะได้สืบได้สะดวกว่าเบื้องหลังของพวกเขาเป็นใครกันแน่ ไม่ทราบว่าเว่ยซูพูดถูกหรือไม่ขอรับ?”


“เด็กมีอนาคตสอนได้!” เซี่ยโห้วท่าลูบเคราพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ


เว่ยซูกลับกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “แต่เว่ยซูกลับกังวล นายท่านบอกเป็นนัยแบบคลุมเครือ ประมุขชิงจะมองออกเหรอ?”


เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “ก็ต้องคลุมเครือหน่อยสิ ถ้าให้สี่อ๋องสวรรค์รู้จะไม่หาว่าข้าแสเรื่องชาวบ้านหรอกเหรอ? ส่วนจะมองออกหรือไม่นั้น ข้าแน่ใจว่าเขาจะต้องมองออก ข้าส่งสายตาให้ซ่างกวนชิงไปแล้ว ถ้าเขายังไม่เข้าใจก็แสดงว่าโง่แล้ว”


เว่ยซูอึ้งทันที รู้สึกว่าน่าสนใจ หัวเราะเบาๆ เช่นกัน


จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ศาลางดงามหลังหนึ่งบนไหล่เขาที่กว้างโล่งและมีทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพเหตุการณ์ในศาลาก็พบเห็นได้ยากจากที่อื่น เจ้านายกับผู้ดูแลบ้านกำลังนั่งดื่มสุราด้วยกัน


“กำลังพลไม่ถึงครึ่งธงพยัคฆ์ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่ายได้! นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นขุนพลที่เหี้ยมหาญขนาดนี้!” ซูอวิ้นผู้ดูแลบ้านที่รินสุราให้ฮ่าวเต๋อฟางส่ายหน้าพลางถอนหายใจ


ฮ่าวเต๋อฟางทอดสาตามองไปไกล ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ดังนั้นเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จึงต้องพยายามให้เต็มที่!”


ซูอวิ้นวางกาสุราลงเบาๆ “ที่จริงข้าควรจะไปเป็นเพื่อนเยี่ยนจื่อด้วยตัวเอง ถึงจะแสดงความจริงใจที่สุด”


ฮ่าวเต๋อฟางหันหน้าช้าๆ ไปมองนาง “รู้รึเปล่าว่าทำไมข้าถึงไม่ให้เจ้าไปด้วยตัวเอง?”


ซูอวิ้นยิ้มอย่างขื่นขม “ท่านอ๋องกลัวว่าหลังจากข้าทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองแล้ว จะทำให้คนในบ้านนินทาข้าลับหลัง ในภายหลังข้าจะเผชิญหน้ากับพวกเขาลำบาก”


ฮ่าวเต๋อฟางยกสุราดื่มแล้วบอกว่า “นี่เป็นเพียงหนึ่งในเหตุผลเท่านั้น เพื่อให้การจับคู่สำเร็จ ข้ากำชับลูกน้องไว้แล้ว ว่าเมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ให้ใช้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนากับหนิวโหย่วเต๋อได้”


ซูอวิ้นเงียบไป ย่อมรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาคืออะไร เขาไม่อยากให้นางไปทำเรื่องสกปรกแบบนั้น


นางหยิบกาสุรารินให้เขาเงียบๆ อีกครั้ง


ฮ่าวเต๋อฟางกลับยกมือกดเบาๆ คว้ามือที่เรียวขาวของนางเอาไว้ แล้วมองนางเงียบๆ


ซูอวิ้นมือสั่นเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านอ๋อง การที่ข้านั่งตีเสมอกับท่านก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว คนในใต้หล้าต่างก็รู้ว่าท่านสาบานกับฮูหยินเอาไว้ ถ้าล้ำเส้นกว่านี้ เกรงว่าข้าคงจะไม่มีหน้าอยู่ในจวนท่านอ๋องต่อไปแล้วจริงๆ”


“ในปีนั้นเจ้าไม่ควร…” ฮ่าวเต๋อฟางออกแรงจับมือนางด้วยสีหน้าสื่ออารมณ์ซับซ้อน


ซูอวิ้นยิ้มเบาๆ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว แบบนี้ก็ดีมากแล้วค่ะ ข้าพอใจมาก”


ฮ่าวเต๋อฟางคลายนิ้วทั้งห้าออกอย่างช้าๆ…


ในห้องเล็กสวยประณีตหลังหนึ่งกำลังถูกหามด้วยคนสิบหกคน กำลังแล่นด้วยความเร็วอยู่ในดาราจักร โกวเยว่สวมผ้าฝ้ายหยาบทั้งตัว ยืนอยู่ข้างราวบันไดด้านนอกห้อง ในมือกำลังถือระฆังดาราติดต่อกับใครบางคน


ในห้องที่อยู่ข้างหลังม่านไข่มุกงดงาม สองแม่ลูกที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาแต่ก็ปิดบังความงามล่มเมืองได้ยากกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงในนั้น


“จำไว้นะ ทุกการกระทำของเจ้าตอนอยู่ข้างนอกคือสิ่งที่แสดงถึงภาพลักษณ์ของจวนท่านอ๋อง ห้ามหยิ่งผยองเอาแต่ใจเด็ดขาด ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ควรจะมีลักษณะของผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน เข้าใจใช่มั้ย?” เม่ยเหนียงอดไม่ได้ที่จะชี้แนะลูกสาวที่กำลังนอนหมอบริมหน้าต่างมองดูดวงดาวด้านนอก


ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันกลับมามองอย่างจนใจมาก นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านแม่ ตลอดทางมานี้ท่านพูดแบบเดิมให้ข้าฟังหลายรอบแล้วนะคะ ข้าจำได้แล้ว ข้าไม่ทำลายภาพลักษณ์ของจวนท่านอ๋องหรอก”


“นางหนูตัวแสบ แม่หวังดีกับเจ้านะ เจ้าทนรำคาญไม่ไหวเหรอ” เม่ยเหนียงบ่นแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนางหนึ่งที


หลังจากในห้องสงบลง เม่ยเหนียงเห็นว่าโกวเยว่ที่อยู่ข้างนอกกำลังใช้ระฆังดาราติดต่อกับใครบางคนอยู่ตลอด คิดไปคิดมาก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย รอจนกระทั่งโกวเยว่หยุดทำแบบนั้นแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะถามแทรกว่า “พ่อบ้านโกว มีเรื่องอะไรเหรอ?” นางกังวลว่าเรื่องราวจะมีการเปลี่ยนแปลง


โกวเยว่หันตัวมาเงียบๆ เดินมาตรงข้างๆ ม่านไข่มุกที่กั้นอยู่ แล้วตอบว่า “หวังเฟย มีคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อกำลังก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงนิดหน่อยขอรับ”


เม่ยเหนียงงงงัน นางเองก็รู้เช่นกัน ก็ไม่ใช่เพราะรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงหรอกเหรอ ถึงได้แน่ใจว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหนแล้วตามมา แต่การที่โกวเยว่เอ่ยแบบนี้หมายความว่าอะไร?


“หนิวโหย่วเต๋อ? ใช่แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อที่อุทยานหลวงนั่นรึเปล่าคะ?” ใครจะคิดว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะพลันหันหน้ามาแล้วยืนขึ้น เดินมาตรงหน้าประตูแล้วแหวกม่านไข่มุกออก


พอเม่ยเหนียงเห็นปฏิกิริยาของลูกสาว ก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ ถึงความหมายของโกวเยว่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่สะดวกจะพูดตรงๆ ว่าจะพาลูกสาวมาดูตัว เพราะกลัวว่าจะพามาไม่ได้


“เป็นหนิวโหย่วเต๋อนั่นแหละขอรับ” โกวเยว่พยักหน้ายิ้ม


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำสีหน้าแปลกใจทันที “ข้าเคยได้ยินเรื่องเขามาก่อน ได้ยินว่าคนนี้กำเริบเสิบสานมาก เขาโดนฝ่าบาททำโทษขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมถ่อไปก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงได้ล่ะ?”


“พ้นโทษมาครึ่งปีแล้วขอรับ” โกวเยว่ตอบพร้อมรอยยิ้ม


“หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องอะไร?” เม่ยเหนียงเดินเข้ามาถามด้วย


โกวเยว่ยิ้มเจื่อน “ครั้งนี้ก่อเรื่องใหญ่ไปหน่อยจริงๆ…” เขาเล่ารายละเอียดให้ฟังทันที เล่าเรื่องฉู่จื่อซานโดนประหารที่เม่ยเหนียงรู้อยู่แล้วให้ฟังรอบหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องศึกเลือดของธงพยัคฆ์น้ำเงินกับทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ฟังจนตกตะลึงอ้าปากค้าง


เม่ยเหนียงกลับอุทานถามเสียงแตก “ทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อร้ายกาจขนาดนี้เชียวเหรอ?” นึกไม่ถึงว่าตอนหลังจะยังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นอีก


โกวเยว่เหล่ตามองก่วงเม่ยเอ๋อร์แวบหนึ่ง แล้วกล่าวชมว่า “เมื่อครู่เพิ่งติดต่อกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็ชมว่าเขาเป็นยอดทหารห้าวเช่นกัน!”


เม่ยเหนียงตาเป็นประกายทันที ถึงอย่างไรนางอยู่ในสังคมระดับบนมาหลายปี รู้อย่างลึกซึ้งว่าแม่ทัพที่มีความสามารถแบบนี้ต่างหากที่มีความหมาย ถ้าได้ลูกเขยชั้นยอดแบบนี้จริงๆ ก็เพียงพอจะเทียบเท่ากองทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านเลย ในภายหลังพวกรุ่นเด็กที่จวนท่านอ๋องจะยังมีใครกล้าดูถูกนางอีก? ถ้าใครคิดจะแย่งตำแหน่งนางก็ต้องผ่านด่านลูกสาวนางไปก่อน! ไม่อาศัยอะไรอย่างอื่นหรอก อาศัยแค่เบื้องหลังมีลูกเขยที่เก่งเทียบเท่าทัพใหญ่หนึ่งล้านก็พอแล้ว นอกเสียจากท่านอ๋องจะแตกคอกับลูกเขยก็ว่าไปอย่าง!


แต่ใครจะคิดว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะเบะปากแล้วบอกว่า “ท่านพ่อเป็นอะไรไปแล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กำเริบเสิบสานขนาดนี้ ฆ่าลูกน้องของท่านพ่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังชมเขาอีก”


โกวเยว่บอกว่า “คนที่บอกว่าเขากำเริบเสิบสานจะต้องเป็นกลุ่มสหายของคุณหนูแน่นอน พวกนั้นกำลังอิจฉาเขา หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดา เป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง เป็นชายชาตรีเหนือชายชาตรี! คุณหนูคงจะเคยได้ยินเรื่องร้านขายของชำซื่อตรงมาก่อน นั่นคือร้านที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ ตอนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ เขาเผชิญหน้ากับร้านค้าของผู้มีอำนาจมากมายแต่ก็ไม่ยอมก้มหัว ตอนทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตก็โดดเด่นเหนือกลุ่มวีรบุรุษและได้รับอันดับหนึ่งจากราชันสวรรค์ ตอนทดสอบที่แดนอเวจีมีคนมากมายรังแกเขา แต่เขาก็ไม่ยอมจำนน บุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบ หัวเราะเยาะวีรบุรุษในใต้หล้า! พอเกิดเรื่องที่ตลาดผีก็สร้างผลงานใหญ่ไว้อีก แดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่มีคนมากมายหวาดกลัว แต่เขาก็ยังรอดชีวิตออกมาได้อยู่ดี เขาไม่ได้มีตำหนักสวรรค์หนุนหลังหรือภูมิหลังอะไร แต่เขาก็อาศัยความสามารถของตัวเองไต่เต้าขึ้นมาถึงตำแหน่งแม่ทัพภาคกองทัพองครักษ์ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่พันปี จากทหารเลวเลื่อนเป็นผู้บัญชาการ เลื่อนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ เป็นแม่ทัพภาค กระโดดข้ามขั้นขึ้นมาตลอดทาง แม้แต่ตำแหน่งรองยังไม่เคยเป็นเลย จากความเร็วแบบนี้ ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่พันปี เกรงว่าตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวจะต้องเป็นของเขาแน่ เขาจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ที่ยืนประชุมในราชสำนักแน่นอน ถ้าแบบนี้ยังไม่นับว่ามีความสามารถ แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่ามีความสามารถล่ะ?


 ถ้าท่านอ๋องสามารถมีลูกน้องสักคนที่สามารถนำกำลังพลห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านแตกได้ เกรงว่าท่านอ๋องคงจะดีใจมากแล้ว ถ้าการมีลูกน้องเก่งกาจแบบนี้นับว่ากำเริบเสิบสาน คาดว่าท่านอ๋องคงหวังให้มีลูกน้องแบบนี้เยอะๆ คุณหนูลองคิดดูสิ สหายที่ท่านรู้จักส่วนใหญ่เป็นคนจากตระกูลขุนนางที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาทั้งนั้น แต่มีคนไหนบ้างที่มีความสามารถอย่างหนิวโหย่วเต๋อ? สหายพวกนั้นของคุณหนู เกรงว่าคงจะมีไม่น้อยที่ตอนนี้ยังไม่มีงานทำ พวกที่มีงานทำนิดหน่อยก็คงจะฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เช่นกัน คนประเภทนี้คู่ควรที่จะมาว่าหนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสานด้วยเหรอ? คนที่พูดประโยคนี้ ถ้าเก่งนักก็ลองให้กำเริบเสิบสานดูบ้างสิ! ดังนั้นแล้ว มีแต่คนที่อิจฉาเท่านั้นที่จะพูดแบบนี้ ถ้าไม่โดนอิจฉาแสดงว่าเป็นคนฝีมือธรรมดา!”


ก่วงเม่ยเอ๋อร์งุนงง เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนวิจารณ์หนิวโหย่วเต๋อแบบนี้ แต่นางก็รู้ว่าโกวเยว่มีความสำคัญขนาดไหนข้างกายท่านพ่อ พูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน นางจึงหันมามองมารดาตัวเอง แล้วถามว่า “เป็นแบบนี้เหรอคะ?”


เม่ยเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว! คนที่ไม่เข้าใจถึงจะบอกว่าเขากำเริบเสิบสาน ถ้าจะให้แม่บอก  หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ต่างหากที่เป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง ดีกว่าพวกคุณชายที่วันๆ เอาแต่วางมาดหาความสำราญในหมู่ผู้หญิงตั้งหลายเท่า นี่ต่างหากที่เป็นคนมีอนาคตอย่างแท้จริง!”


พูดจบก็เงยหน้าถามโกวเยว่ “พ่อบ้านโกว ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อก็อยู่ตรงนั้นพอดี ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง จัดให้พวกเราเจอกันได้รึเปล่า?”


แววตาอยากออกล่าสิ่งแปลกใจของของก่วงเม่ยเอ๋อร์มองไปที่โกวเยว่ทันที ท่าทางเหมือนเฝ้ารอนิดหน่อย


โกวเยว่พยักหน้า “หวังเฟยมีคำสั่ง บ่าวก็จะพยายามตัดการให้ขอรับ” จากนั้นก็ถอยออกประตูไป


“ท่านแม่! หนิวโหย่วเต๋อคนนี้หน้าตาดุมากใช่มั้ย?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันกลับมาถาม


เม่ยเหนียงยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าได้ยินมาว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้หน้าตาทรนงองอาจ มีสง่าราศีความเป็นชายเต็มเปี่ยม!” พูดจบก็จูงมือลูกสาวกลับมานั่งลงบนเตียง แล้วบอกว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว พวกเราไปดูกันดีกว่าว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้เป็นยังไงบ้าง เอามาทำสามีให้เจ้าดีมั้ย?”


“ท่านแม่!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หน้าแดงอย่างเขินอายทันที แล้วกระทืบเท้าพร้อมบอกว่า “ข้าไม่เอาคนเหี้ยมโหดที่ฆ่าคนจนชาชินแบบนี้หรอก”


เม่ยเหนียงเหล่ตาบอกว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะเอาพวกคุณชายไม่เอาไหนที่วันๆ เอาแต่มั่วสุมอยู่ในกองเครื่องประทินโฉม? คนพวกนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน แต่จะมีสักกี่คนที่มีอนาคต?”


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัด “ข้าไม่เอาหรอกค่ะ ข้าต้องหาคนที่ตัวเองชอบสิ ภูมิหลังวงศ์ตระกูลอะไรนั่นไม่สำคัญเลย ขอเพียงเป็นคนมีใจรักความก้าวหน้า ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีอนาคตอีกเหรอ?”


เม่ยเหนียงกลอกตามองบน นางค่อนข้างพูดไม่ออก ในปีนั้นตัวเองก็อยากไต่เต้าเข้าตระกูลร่ำรวยเช่นกัน แต่ดูลูกสาวตัวเองสิ ช่างไม่รู้จักความยากลำบากของโลกใบนี้จริงๆ เอาแต่พูดอะไรเพ้อฝันอยู่ตรงนี้ นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ข้าคงคิดมากไป ช่วยถูกใจแทนเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? คุณหนูใหญ่ที่โดนเลี้ยงให้หยิ่งเอาแต่ใจแบบเจ้า คนอย่างหนิวโหย่วเต๋ออาจจะไม่ชอบเจ้าจริงๆ ก็ได้ แค่คิดก็เสียเวลาเปล่า”


ก่วงเม่ยเอ๋อร์เบะปากแล้วกัดฟัน คิดในใจว่าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับคำชมมากขนาดนี้ ดีขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?



 

 

 


บทที่ 1540 เปิดประตู!

 

พูดไปเป็นชุด ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าห้องที่คนโดนห้ามนี้ช้าลงเรื่อยๆ แล้วก็หยุดลง พอยื่นหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ดาวเคราะห์ดวงใหญ่ที่สวยงามก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เห็นนักพรตเหาะไปมาบ้างเป็นครั้งคราว


ด้านนอกประตูมีเสียงของโกวเยว่ดังขึ้นอีก “ฮูหยิน กำลังจะถึงแล้วขอรับ ถ้ายกเกี้ยวห้องนี้เข้าตลาดสวรรค์ก็จะสะดุดตาเกินไป” คำเรียกเปลี่ยนไปแล้ว


“เข้าใจแล้ว” เม่ยเหนียงตอบ แล้วยื่นมือมาหยิบหมวกมุ้งไว้บนศีรษะลูกสาว แล้วตัวเองก็ใส่ไว้ด้วยเช่นกัน


จากนั้นสองแม่ลูกที่ปิดบังใบหน้าก็เดินออกประตูมา ถึงได้พบว่าโกวเยว่ใส่หน้ากากปลอมใบหน้าแล้ว กลายเป็นชายชราที่ใบหน้าเหมือนแม่พิมพ์คนหนึ่ง สองแม่ลูกจูงมือกันเหาะไปบนท้องฟ้าแล้ว


คนยกห้องเกี้ยวถูกเก็บกลางอากาศ คนหามเกี้ยวกลายเป็นองครักษ์อยู่ทางซ้ายและขวา มีหนึ่งคนคอยติดตาม โกวเยว่นำทางอยู่ข้างหน้า เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไปในดาวจิ่วหวนอย่างรวดเร็ว


พวกเขาเหาะจากฟ้าลงมาใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงจุดไกลๆ นอกประตูเมืองฝั่งตะวันออกของดาวจิ่วหวนตลาดสวรรค์ และมีแค่ประตูเมืองฝั่งตะวันออกที่ยังมีคนเข้าออก ประตูเมืองที่เหลือถูกปิดหมดแล้ว และที่ประตูเมืองก็ยังมีทหารสวรรค์จำนวนมากสอบสวนคนที่เข้าเมือง แต่คนที่ออกนอกเมืองไม่ถูกควบคุมอะไร แต่ดูจากการที่ทหารลาดตระเวนบนหัวกำแพงเมืองอย่างถี่ๆ ก็ยังมองออกว่าบรรยากาสค่อนข้างตึงเครียด


เซี่ยหลิงหลิง ผู้จัดการหอฉางเจิน เป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังมีเสน่ห์หลงเหลืออยู่ หอฉางเจินเป็นกิจการของตระกูลก่วง นางก็เป็นคนของตระกูลก่วงเช่นกัน ตอนนี้นางที่กำลังเหลียวซ้ายและขวารีบเหาะลงมาจากไหล่เขา ทำความเคารพชายร่างผอมที่อยู่ข้างกายโกวเยว่ “เซี่ยหลิงหลิงยินดีตอนรับผู้จัดการใหญ่”


ผู้จัดการใหญ่หานตง เป็นผู้รับผิดชอบร้านค้าทั้งหมดในตลาดสวรรค์ของตระกูลก่วง ข้างล่างยังมีผู้ช่วยรับผิดชอบร้านค้าที่มีสาขาอยู่ในเขตต่างๆ ยามปกติเซี่ยหลิงหลิงติดต่อกับผู้ช่วยที่อยู่ข้างบนเท่านั้น ในสถานการณ์ทั่วไปนอกจากเวลาตรวจสอบบัญชีครั้งใหญ่ นางก็จะไม่เห็นผู้จัดการใหญ่ท่านนี้ อย่างไรเสียร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ของตระกูลก่วงที่อยู่ตามตลาดสวรรค์ที่ต่างๆ ก็มีเป็นหมื่นร้าน หมายความว่าผู้จัดการร้านก็มีหลายหมื่นคนเช่นกัน ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็มีสองร้าน ผู้จัดการใหญ่จะมีเวลาว่างมาติดต่อกับผู้จัดการร้านทุกคนได้อย่างไร


หานตงจ้องมองนางครู่หนึ่ง แล้วหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้นาง


เซี่ยหลิงหลิงรับแผ่นหยกมาดู ข้างในเป็นบัญชีที่นางเคยรายงาน บนนั้นมีตราอิทธิฤทธิ์ของนาง เนื้อหาส่วนล่างถูกลบไปแล้ว เหลือไว้เพียงตราอิทธิฤทธิ์ของนาง นางเข้าใจในทันที ว่าผู้จัดการใหญ่คงจะไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับนาง มีแต่ต้องตรวจสอบตราอิทธิฤทธิ์ที่นางลงไว้เท่านั้น


นางจึงร่ายลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไว้บนนั้นทันที แล้วใช้สงมือมอบแผ่นหยกให้


หลังจากหานตงรับมาเปรียบเทียบในมือแล้ว ก็เก็บแผ่นหยกเอาไว้ แล้วถามว่า “เตรียมไว้พร้อมหรือยัง?”


“เตรียมการตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วค่ะ” เซี่ยหลิงหลิงตอบอย่างเคารพ


หานตงหันตัวมาย่อเข่าให้โกวเยว่เล็กน้อย โกวเยว่พยักหน้า เสร็จแล้วหานตงถึงได้โบกมือให้เซี่ยหลิงหลิง “นำทางไป”


“รับทราบ!” เซี่ยหลิงหลิงเอ่ยรับ แต่ในใจกลับแอบตกใจ แอบมองประเมินโกวเยว่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่


สำหรับเซี่ยหลิงหลิง ผู้จัดการใหญ่คือคนใหญ่คนโตที่ยอดเยี่ยมมาก คนที่ควบคุมช่องทางรายได้ส่วนใหญ่ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีฐานะที่จวนอ๋องสวรรค์เป็นอย่างไร นั่นเป็นบุคคลที่ค่อนข้างเหนือผู้อื่นแล้ว แต่กลับเคารพนอบน้อมต่อชายชราที่ปลอมตัวขนาดนี้ คนคนนี้เป็นใครกันแน่นะ?


ทว่าเมื่อเห็นรูปร่างแบบนั้น ก็ทำให้หัวใจนางตื่นตระหนกทันที เพราะตรงกับคนคนหนึ่งที่นางเคยเห็นไกลๆ ครั้งหนึ่ง โกวเยว่พ่อบ้านใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์!


น่าจะไม่ผิดพลาด คนที่ทำให้พ่อใหญ่เคารพนอบน้อมได้ขนาดนี้ นอกจากพวกเจ้านายที่จวนอ๋องสวรรค์แล้ว ก็มีโกวเยว่ที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์นี่แหละ ผู้จัดการใหญ่เป็นลูกน้องสายตรงของท่านนั้น เป็นหนึ่งในแขนซ้ายแขนขวาของท่านนั้นด้วย


หลังจากเดาออกแล้วว่าเป็นใคร นางก็ตกใจจนแทบตัวสั่น พ่อบ้านใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์เป็นใครกัน? ในบางระดับสามารถเป็นตัวแทนของอ๋องสวรรค์ก่วงได้โดยตรงเลย


แล้วผู้หญิงสองคนที่สวมหมวกมุ้งนั่นเป็นใครล่ะ? เซี่ยหลิงหลิงสงสัยไม่หยุด นางรู้เพียงว่ามีสมาชิกครอบครัวผู้หญิงสองคน เบื้องบนสั่งไว้ว่าให้นางต้อยรับขับสู้อย่างดีที่สุด ไม่ต้องกลัวเรื่องจ่ายเงิน บัญชีทุกอย่างที่ลงไว้เบื้องบนจะรับผิดชอบเอง


ตอนที่มาถึงประตูเมือง เซี่ยหลิงหลิงก็เงยหน้ามองรองผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ฟางลี่เหิงที่ยืนอยู่บนกำแพง อีกฝ่ายเอียงศีรษะบอกใบ้ทหารยามเบื้องล่างเล็กน้อย


ดังนั้นทหารยามที่เฝ้าอยู่ข้างล่างจึงไล่ให้คนอื่นที่เข้าเมืองไปหลบอยู่ด้านข้าง แล้วก็ปล่อยคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปก่อน ไม่ได้ทำการตรวจค้นอะไร


หลังจากคนกลุ่มนี้มาถึงหอฉางเจิน เรือนเดี่ยวที่ดีที่สุดก็ได้ถูกเตรียมไว้ให้เม่ยเหนียงกับลูกสาวแล้ว สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติก็มีกิริยาท่าทางเหมาะสมเช่นกัน นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมร้านค้าในตลาดสวรรค์ที่มีผู้มีอำนาจหนุนหลังถึงได้ครอบครองสถานที่ขนาดใหญ่และสร้างสวนที่ดีขนาดนี้เอาไว้ ไม่ใช่เพื่ออวดความร่ำรวย สาเหตุหลักก็เพื่อให้รับแขกได้สะดวกยามแขกผู้มีเกียรติมาเยือน


หลังจากได้เห็นสถานที่ที่จัดไว้ให้สองแม่ลูกกับตาตัวเองแล้ว โกวเยว่ถึงได้ออกจากเรือนเดี่ยว เซี่ยหลิงหลิงก็กันออกไปแล้วเช่นกัน หานตงเข้ามารายงานว่า “นายท่าน พวกเรานับว่ามาช้าไปแล้ว คนจากอีกสามตระกูลมาก่อนแล้วหนึ่งก้าว” หลังจากมาที่นี่แล้วก็ไม่ได้เรียกว่าผู้การใหญ่หรือพ่อบ้านอะไรอีก


โกวเยว่เข้าใจสาเหตุ ฝั่งนี้มีหวังเฟยออกหน้าเอง ระหว่างทางไม่สะดวกจะต้อนรับไม่ดี จึงทำให้เสียเวลาอยู่บ้าง จึงถามว่า “มีใครมาบ้างแล้วบ้าง?”


หานตงตอบว่า “ตามที่ลูกน้องรายงานมา ฝั่งตระกูลโค่วน่าจะเป็นถังเฮ่อเหนียน โค่วเหวินลวี่กับโค่วเหวินหลาน ฝั่งตระกูลอิ๋งเป็นจั่วเอ๋อร์ อิ๋งเยว่ ส่วนตระกูลฮ่าวก็เป็นต้วนหง ฮ่าวชิงเยี่ยน”


“ทางตระกูลฮ่าวส่งต้วนหงมากำกับดูแลเหรอ? ไม่ได้ส่งซูอวิ้นมาด้วยตัวเองเหรอ?” โกวเยว่ถามอย่างแปลกใจ


“ซูอวิ้นน่าจะไม่ได้มา ข้าเองก็กังวลว่าจะผิดพลาด เลยตั้งใจไปยืนยันมาอีกรอบ ฝั่งตระกูลฮ่าวมีคนเห็นซูอวิ้นยังอยู่ในจวนขอรับ” หานตงตอบ


หลังจากโกวเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มอ่อนอีก “สงสัยฮ่าวเต๋อฟางจะยังเฝ้าคิดว่าจะแต่งงานใหม่กับซูอวิ้น ฝั่งตระกูลอิ๋งก็ปกติมาก ฝั่งตระกูลโค่วมีโค่วเหวินหลานเพิ่มมาอีกคน คงจะเป็นเพราะสนิทกับหนิวโหย่วเต๋อ อิ๋งเยว่ ฮ่าวชิงเยี่ยน หึหึ ตระกูลโค่วมีโค่วเหวินลวี่ที่นับว่าหน้าตาโดดเด่นที่สุด คงคิดว่าตัวเองมีคนรู้จักแล้วจะจัดเรื่องนี้สะดวก อีกสองบ้านล้วนนำลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานออกมา จู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ก็กลายเป็นบุคคลที่คนอื่นต้องเกรงใจแล้ว  เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอนจริงๆ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง!”


หานตงพึมพำในใจ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมพูดเรื่องในบ้านตัวเองทั้งนั้น ฝั่งนี้ก็นำลูกสาวสุดหวงออกมาเช่นกันไม่ใช่หรือ ทุกคนก็พอๆ กันทั้งนั้น


โกวเยว่เอียงหน้ามา “คาดว่าการมาถึงของพวกเรา อีกสามบ้านก็คงจะรู้แล้วเช่นกัน”


หานตงพยักหน้าเห็นด้วย ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คนที่นายท่านส่งไปสืบเรื่องได้ส่งข่าวกลับมาแล้ว หนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลมาที่ฝั่งนี้แล้ว อีกครึ่งชั่วยามก็คงจะถึง”


“ทางตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรใช่มั้ย?” โกวเยว่พยักหน้าเบาๆ


“ตอนนี้ยังไม่เคลื่อนไหวอะไรผิดปกติขอรับ” หานตงตอบ


“ประมาทไม่ได้ จับตาดูทั้งสี่ฝ่ายนั่นให้ดี” โกวเยว่กล่าว


“รับทราบ!”


เงาคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า ทำให้กลุ่มคนบนตลาดสวรรค์พากันเงยหน้ามองขึ้นไป หลังจากเห็นพวกเขาเหาะเข้ามาในเมืองแล้ว ก็ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หัวถนนใหญ่ทันที


“มีใครมาน่ะ?”


“ทำไมสภาพเหมือนปีนขึ้นมาจากบ่อเลือดเลยล่ะ”


“คงไม่ใช่กำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ทำศึกใหญ่อยู่ข้างนอกหรอกใช่มั้ย?”


“แกร๊ง…แกร๊ง…แกร๊ง…” เสียงระฆังดังแว่วหลายครั้ง เสียงมาจากประตูเมืองตะวันออกที่กำลังพลกลุ่มนั้นเหาะไป สิ่งนี้ยิ่งทำให้หัวถนนเกิดเสียงฮือฮาตกใจ


ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูเมืองตะวันออกลนลานอยู่พักหนึ่ง รีบตัดขาดผู้คนที่เข้าออกเมือง แกร๊ง!พอปิดประตูเมือง ค่ายกลใญ่ที่คุ้มกันเมืองก็ถูกปิดโดยอัตโนมัติทันที


ถ้าไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากร้านค้าใหญ่ในเมือง ประตูเมืองนี้ก็ไม่มีทางเปิดออกเลย คนของตำหนักคุ้มเมืองย่อมไม่รู้ว่าร้านค้าใญ่ๆ พวกนี้ต้องการจัดคนเข้าออก ดึงดันจะเปิดประตูเมืองหนึ่งในสี่ที่ปิดสนิทให้ได้


เห็นได้ชัดว่าคนที่เหาะลงมาจากฟ้าก็เห็นแล้วเช่นกันว่าประตูเมืองฝั่งนี้เปิดอยู่ ก็เลยเหาะมาลงที่ฝั่งนี้ ฟางลี่เหิง รองผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่วันนี้อยู่ตรงนี้พอดีโผล่หน้าออกไปมองแล้วต้องสูดหายใจอย่างตกตะลึงทันที


คนที่นำกำลังมาที่นี่ก็ย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน เหมียวอี้นำกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินที่เหลือเร่งมาทางนี้แล้ว


แต่ละคนยังไม่ถอดเกราะรบออก ทั้งตัวเป็นสีดำเข้ม เป็นสีที่เกิดจากเลือดสดที่อยู่บนตัวแห้งและเกาะตัวกัน บนศีรษะ บนใบหน้า บนเกราะรบ ทุกที่ล้วนเป็นสีแบบนั้น


นั่นคือเลือดสดของศัตรู และเป็นเลือดของเพื่อนร่วมรบเช่นกัน นี่คือเกียรติยศของชีวิตนี้ ไม่มีใครอยากลบออกไปง่ายๆ สาเหตุที่มาที่นี่พร้อมรอยเลือดบนตัว ก็ไม่ใช่เพราะจุดประสงค์อื่น เป็นเพราะอยากโอ้อวดให้คนอื่นเห็น ทำแบบนี้เพื่อตัวเอง และทำเพื่อเพื่อนทารที่รบตายไปด้วย จะปล่อยให้พวกเขาตายโดยไร้ชื่อเสียงไม่ได้!


ดาบและทวนตั้งเรียงราย เคร่งขรึมน่าเคารพและสงบนิ่ง หลังจากคนนับหมื่นเหยียบลงพื้นแล้วก็ไม่ได้จัดกระบวน เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่พลังอำนาจบางอย่างกลับโผไปยังประตูเมืองที่กำลังปิดสนิท


ตรงนี้เพิ่งจะเหยียบลงพื้น ประตูเมืองก็ปิดใส่พวกเขาอีกรอบแล้ว ทำเมือนพวกเขาไม่มีสิทธิ์เข้าประตูบานนี้อย่างนั้นแหละ


พวกเขาเพิ่งหนีจากความตายมาที่นี่ นึกไม่ถึงว่าจะโดนปฏิบัติด้วยแบบนี้ ไฟโกรธกลุ่มหนึ่งเริ่มลุกโชนในหัวใจทุกคนแล้ว!


เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าทัพใหญ่ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องฟางลี่เหิงที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง แล้วตะโกนเสียงดังว่า “เปิดประตู!”


กองทัพทหารยามที่อยู่บนหัวกำแพงมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่าง ไม่มีใครหัวเราะเยาะที่คนพวกนี้มีสภาพสะบักสะบอมจนตรอก ในใจรู้สึกเพียงว่ามีกลิ่นอายสังหารกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ในมือกำดาบและทวนเอาไว้แน่นอีกครั้ง รู้สึกปากคอแห้ง เมื่อได้เห็นคนพวกนี้ พวกเขาถึงได้เข้าใจแล้วกำลังพลที่ต่อสู้ในสนามรบอย่างแท้จริงคืออะไร!


ถึงแม้พวกเขาจะยืนอยู่สูง แต่เมื่อโดนสายตาเดือดดาลแต่ละคู่นั้นจ้อง ก็กลับรู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นใจแทบแย่


ฟางลี่เหิงอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้าเป็นกำลังพลจากไหน มาที่นี่ทำไม?”


เหมียวอี้ที่กำลังจ้องหัวกำแพงเมืองไม่อยากเปลืองน้ำลาย เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะสั่งโจมตีเมืองเสียเลย ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าอวิ๋นจือชิวตกอยู่ในมือตำหนักคุ้มเมือง และกังวลว่าจะทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดกับอวิ๋นจือชิว ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดผลอะไรตามมา


เหมียวอี้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ยกผ่านหัวไหล่ขึ้นมา


ในแนวรบข้างหลังมีความเคลื่อนไหวทันที มีคนหยิบเสาโลหะออกมาต่อกัน และไม่นานก็ตั้งเสาธงผืนใหญ่ขึ้นมาหลายต้น


ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ธงอินทรีแต่ละสี ธงหมาป่าหลายสีทยอยกันโบกสะบัด บนผืนธงรบที่ทำขึ้นเป็นพิเศษพวกนี้มีรอยเลือดย้อมทุกผืน บางผืนถึงขนาดขาดรุ่ย แต่กลับทำให้ทุกคนบนหัวกำแพงเมืองละสายตาออกไปได้ยาก


เหมียวอี้พลันร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคกองมังกรดำของทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่นำกำลังพลมาที่นี่แล้ว รีบเปิดประตู!” เสียงนี้ดังก้องเข้าไปในเมือง ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าในน้ำเสียงนี้แฝงอารมณ์โกรธ


พอได้ยนิคำว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ผู้คนเดินถนนที่อยู่ก็เมืองก็เงียบทันที คนงานแต่ละร้านพากันยื่นศีรษะออกมา ทำท่าเงี่ยหูฟังสถานการณ์เงียบๆ


“หนิวโหย่วเต๋อ?”


“หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว!”


“ฟังจากเสียงนี้ทำไมดูโมโหนักล่ะ?”


“อย่าบอกนะว่าเป็นพวกที่เพิ่งเหาะลงมาจากฟ้าเมื่อกี้นี้…”


“อย่าบอกนะว่าคนที่ฆ่าฉู่จื่อซานคือเขา?”


“ที่แท้กองทัพองครักษ์ห้าหมื่นที่โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่ายก็คือเขานี่เอง! แล้วเจ้าบ้านั่นมันกระฟัดกระเฟียดพาคนถ่อมาทำอะไรที่นี่? แม่งเอ๊ย ข้าตกใจนะโว้ย! ตลาดสวรรค์ไปหาเรื่องอะไรเจ้า จะล้างแค้นหรือทวงหนี้ก็ไปหาให้ถูกคนสิ ทำไมเอาแต่กลั่นแกล้งตลาดสวรรค์อยู่เรื่อย?”



 

 

 


บทที่ 1541 หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว

 

“เจ้าบ้านั่นกระฟัดกระเฟียดนำคนมาทำอะไรที่นี่?”


“เจ้าโง่รึไง ไม่เคยได้ยินข่าวเหรอว่าเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋ากับเขาได้กันแล้ว!”


“เขาได้กับเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าแล้วเกี่ยวอะไรกับตลาดสวรรค์ล่ะ?”


“โง่เอ๊ย! ฉู่จื่อซานจะบังคับให้ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานด้วยไง ตอนนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าฉู่จื่อซานตายยังไง? มาล้างแค้นไงล่ะ!”


“สงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าบ้านั่นอาจจะโจมตีเข้าประตูมา ฉู่จื่อซานเจ้านกโง่นั่น ไปหาเรื่องผู้หญิงคนไหนก็ไม่เอา ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ตัวเองเอาชีวิตไปเล่นก็ว่าหนักแล้ว ยังดึงเอาชีวิตพวกลูกน้องไปตายเป็นแสนอีก ดีไม่ดีครั้งนี้ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอาจจะซวยไปด้วยก็ได้”


ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องอะไร ตลาดสวรรค์ที่เพิ่งจะเงียบสงบ จู่ๆ ก็เริ่มปั่นป่วนแล้ว


“ผู้จัดการร้าน เขาคงไม่ถึงขั้นโจมตีตลาดสวรรค์ใช่มั้ย?”


“ขนาดหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงก็ฆ่าแล้ว ทัพใหญ่หลายแสนของตำหนักสวรรค์บทจะฆ่าก็ฆ่า เขาจะแยแสชีวิตของพวกเราเหรอ? เจ้าหมอนี่มันไม่ได้ล้างเลือดตลาดสวรรค์เป็นครั้งแรกเสียเมื่อไร มันเชี่ยวชาญเรื่องนี้จะตาย ความปลอยภัยต้องมาอันดับแรก รีบเก็บของแล้วหลบเถอะ”


“มั่วเหม่ออะไรอยู่? ยังไม่รีบเก็บของปิดร้านอีก เจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อนั่นมันอาจจะล้างเลือดตลาดสวรรค์ก็ได้ รีบๆ หน่อย…”


ผู้จัดการร้านหลายร้านรีบเรียกให้คนงานเก็บของและปิดร้าน หลบหลีกก่อนแล้วค่อยว่ากัน


“ข้าว่านะผู้จัดการร้านหลี่ เจ้ามัวเหม่ออะไรอยู่ หนิวโหย่วเต๋อจะมาคิดบัญชีให้เถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าแล้วนะ หลบก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”


เรื่องบางเรื่องยังไม่ทันรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร ร้านข้างเคียงกับร้านละแวกนั้นเตือนกันและกันให้รีบปิดร้านหนีไป รีบเรียกให้คนงานเร่งมือหน่อย


ก็ช่วยไม่ได้ ถึงแม้เรื่องที่เหมียวอี้ล้างเลือดตลาดสวรรค์ในปีนั้นจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ร่ำลือกัน แต่สิ่งที่เป็นข่าวลือก็ย่อมมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดข่าวลืออยู่แล้ว ลือไปลือมาจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าข่าวลือเป็นจริงขึ้นมาล่ะ โดยสัญชาตญาณแล้วคนเราก็ต้องเตรียมตัวเผื่อกรณีที่เลวร้ายที่สุดสิ


“นี่ๆๆๆ! พวกเจ้าทำอะไรกัน? ใช่ว่าข้าจะไม่จ่ายเงินเสียหน่อย”


“ท่านลูกข้า ขออภัยด้วย ร้านเรามีธุระนิดหน่อย ท่านไปร้านถัดไปเถอะ”


“นี่มันเรื่องอะไรกัน? พวกเราดูอีกหน่อยไม่ได้รึไง?”


“ท่านลูกค้า ไปร้านถัดไปเถอะ ร้านนี้กำลังจะปิดแล้ว”


“พวกเจ้าทำการค้าขายกันอย่างนี้เหรอ?”


“ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ไปฟ้องที่จวนผู้บัญชาการแล้วกัน…”


ในชั่วขณะนั้นมีลูกค้าโดนผลักออกมาจากร้านไม่หยุด จากนั้นก็ปิดร้านเสียเลย ลูกค้าที่โดนไล่ออกนอกร้านพากันยืนด่าอยู่บนถนน แต่ไม่นานทุกคนก็ค้นพบกระแสการปิดร้านไล่ลูกค้าที่ตลาดสวรรค์ พอยืนบนถนนแล้วหันซ้ายหันขวามอง ก็เห็นว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนนเลย


มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยงงเป็นไก่ตาแตก ตอนนี้เพิ่งจะค้นพบว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่โดนปฏิบัติด้วยอย่างไม่ยุติธรรมแบบนี้ ถึงขั้นสังเกตเห็นด้วยว่าหลังจากปิดร้านแล้ว ผู้จัดการร้านบางคนยังพากลุ่มคนงานหนีไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าหนีไปไหน


คนที่ไม่ได้เปิดร้านค้าขายที่ตลาดสวรรค์ ก็จะทำความเข้าใจได้ยากว่าในเวลานี้ชื่อของ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ มีอิทธพลต่อตลาดสวรรค์อย่างไร มีคนมากมายไม่เข้าใจ แต่เมื่อมีคนที่เข้าใจอธิบายให้ฟังแล้ว ถึงได้เข้าใจกระจ่างในทันที


เมื่อเข้าใจกระจ่างแล้ว ก็มีลูกค้าไม่น้อยที่มาซื้อของเริ่มหวาดกลัว กังวลว่าจะโดนร่างแหไปด้วย มีบางคนเริ่มหาที่หลบ ไม่ใช่ว่าทุกคนกลัวหนิวโหย่วเต๋ออะไรนักหรอก แต่เป็นเพราะคนเราเวลาประสบเหตุวุ่นวาย ก็จะหลับหูหลับตาเชื่อฟังคนอื่นไว้ก่อน ดังนั้นมันจึงเหมือนกับโรคติดต่อ ภายใต้การแพร่เชื้อหวาดกลัวของพวกลูกค้าที่หลบหนี จึงมีคนหนีตามด้วย แต่จะหนีไปไหนได้ล่ะ ประตูเมืองทั้งสี่ถูกปิดหมดแล้ว หนีอุตลุตกันอยู่ในเมืองนี่แหละ


ในชั่วขระนั้น ร้านค้าเกือบเก้าในสิบส่วนของตลาดสวรรค์รวมตัวกันปิดร้าน ที่หัวถนนมีกระแสคนหลั่งไหล มีคนงานไม่น้อยแง้มประตูมองไปด้านนอก


ตลาดสวรรค์วุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว


นอกตำหนักคุ้มเมือง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กับพวกช่างไม้กำลังรออยู่ตรงตีนบันไดสูงอย่างร้อนใจ อวิ๋นจือชิวถูกพาตัวเข้าไปในตำหนักคุ้มเมือง จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นจือชิวส่งข่าวมาว่าไม่เป็นอะไร เกรงว่าทางนี้คงจะโจมตีฝ่าเข้าไปแล้ว


ช่างหินมองเข้าไปในซอยที่หัวถนนเป็นระยะ ตรงนั้นมีเงาคนหลายคนเดินไปเดินมา ล้วนเป็นคนของลัทธิมาร ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็เตรียมพร้อมจะโจมตีตำหนักคุ้มเมืองได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าถ้าไม่ถึงขั้นโดนกดดันจนหมดหนทางก็จะไม่ทำ ตอนนี้ยังคงการติดต่อกับอวิ๋นจือชิวได้ตามปกติ จะเห็นได้ว่าในตำหนักคุ้มเมืองไม่ได้ปิดกั้นการติดต่อระหว่างอวิ๋นจือชิวกับภายนอก แต่ถ้าอวิ๋นจือชิวที่ติดต่อมาเป็นระยะขาดการตอบสนองเมื่อไร ทางนี้ก็จะลงมือแล้วจริงๆ


ส่วนในกระเป๋าสัตว์ของอวิ๋นจือชิวก็มีผู้เฒ่าฟ่านอยู่ข้างใน ทำแบบนี้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดเช่นกัน


แต่ในขณะนี้เอง มีเสียงรายงานตัวดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือตำหนักคุ้มเมือง ทำให้พวกเชียนเอ๋อร์ตะลึงงันทันที


“นายท่านมาแล้ว ในที่สุดนายท่านก็มาแล้ว!” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างดีใจมาก


พวกช่างไม้ก็โล่งใจแล้วเช่นกัน ถ้ามีคนของทางการที่สามารถประสานงานกับคนของทางการได้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ถึงอย่างไรตำแหน่งของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ตำแหน่งสูงกว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีก มิหนำซ้ำพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาก็ตัดสินใจแทนอวิ๋นจือชิวไม่ได้อยู่ดี


จากนั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขางงเป็นไก่ตาแตกก็คือ ผ่านไปไม่นานตลาดสวรรค์ก็วุ่นวายมาก บ้างก็ปิดร้าน บ้างก็ปฏิเสธลูกค้า ชั่วขณะนั้นทั่วทุกหนแห่งบนหัวถนนก็มีคนวิ่งเต็มไปหมด พวกเขาได้ยินกับหูว่าร้านค้าฝั่งตรงข้ามมีคนตะโกนว่า : หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว รีบปิดร้าน!


ช่างหินเห็นคนของลัทธิมารที่อยู่ในซอยโดนกลุ่มคนพุ่งใส่จนไม่รู้จะยืนตรงไหน แต่ละคนเอาตัวติดกำแพง เขาอดไม่ได้ที่จะเกาหัวแล้วถามว่า “ตะโกนชื่อนายท่าน แล้วก็ปิดร้าน แล้วก็วิ่งพล่านไปทั่ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


“เล่นใหญ่เกินไปรึเปล่า?” ช่างไม้ถามอย่างงุนงง


“ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้มั้ย?” บัณฑิตกลับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มองหน้ากันเลิกลั่ก นายท่านน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?


หนิวโหย่วเต๋อ’ ไม่มีภัยอันตรายอะไรกับพวกเขา พวกเขาย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกที่พ่อค้าพวกนั้นยอมปลอดภัยไว้หน่อยดีกว่าไปหาเรื่องเหมียวอี้


คนที่งุนงงเหมือนกันก็คือกลุ่มคนที่อยู่ตรงฐานกำแพงเมืองด้านในประตูเมืองตะวันออก


คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกโกวเยว่ พวกจั่วเอ๋อร์ พวกถังเฮ่อเหนียน พวกต้วนหง


เม่ยเหนียงและลูกสาวสวมหมวกมุ้งแล้ว ส่วนอีกสามฝ่ายก็มีผู้หญิงอีกสามคนสวมหมวกมุ้งเช่นกัน


ทั้งสี่ฝ่ายสืบเรื่องเวลาที่เหมียวอี้จะมาถึงเรียบร้อยแล้ว ต่างก็เตรียมตัวจะมาดูว่าเหมียวอี้มีสภาพเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ใครจะคิดว่าจะพบกันโดยมิได้นัดหมายที่นี่


โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ถังเฮ่อเหนียน ต้วนหง สี่คนนี้สนิทคุ้ยเคยกันเป็นพิเศษ เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่รู้จักกันมาแล้วหลายปี ถึงแม้จะปลอมตัวแล้ว แต่เห็นครั้งแรกก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


ทั้งสองฝ่ายกำลังมองประเมินกัน ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนของเหมียวอี้ดังมาแล้ว จากนั้นก็พบว่าตลาดสวรรค์วุ่นวายโกลาหล ร้านค้าปิดประตูไล่แขก บนถนนทุกสายมีคนวิ่งพล่าน ราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เห็นผี


โดยเฉพาะตรงประตูเมืองตะวันออกที่พวกเขาอยู่ ผู้จัดการร้านของร้านค้าเกือบทุกร้านกำลังพาคนงานวิ่งอยู่บนถนนด้วยกัน เป็นเพราะอยู่ใกล้ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ มากที่สุด กลัวว่าจะประสบเคราะห์ก่อน จึงอยากหลบให้ไกลสักหน่อย ไม่นานก็ทำให้ข้างกายพวกเขาว่างเปล่า กลับดูสะอาดสะอ้านด้วยซ้ำ


ฉากนี้อลังการงานสร้างเกินไปจริงๆ ทำให้คนของสี่อ๋องสวรรค์คาดเดาไม่ออก โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ถังเฮ่อเหนียน ต้วนหงมองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก


“ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกลจริงๆ!” จั่วเอ๋อร์พูดกึ่งแสยะยิ้ม


นางไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้สักเท่าไร จึงไม่ได้พูดจาเกรงใจอะไรขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็คงไม่มาประสมโรงกับเรื่องนี้หรอก


ส่วนอิ๋งเยว่ที่สวมหมวกมุ้งอยู่ข้างกายนาง ก็เคยเห็นเหมียวอี้มาแล้วครั้งหนึ่งในงานพิธีรับจ้านหรูอี้เข้าวังที่อุทยานหลวง นางไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้ เป็นเพราะตระกูลอิ๋งมีความแค้นกับเหมียวอี้ฝังลึกเกินไป การตายของอิ๋งเหย้าที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางเกี่ยวข้องกับเขา อีกทั้งเขายังเคยกวาดล้างร้านค้าของนางที่ตลาดสวรรค์ด้วย กอปรกับเเคยทำให้ตระกูลอิ๋งเสียหน้าในงานแต่งงานของจ้านหรูอี้ จะให้รู้สึกดีด้วยได้ก็แปลกแล้ว ในกลุ่มสหายของนางก็ไม่ได้พูดถึง ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ดีสักเท่าไรนัก


ก็เพราะด้วยเหตุนี้ ตระกูลอิ๋งจึงอธิบายเหตุผลให้อิ๋งเยว่ฟังล่วงหน้าจนเข้าใจแล้ว นางไม่มีสิทธิ์ไม่ยอมรับ นี่คือสิ่งที่นางต้องเสียสละ นับว่าดำเนินรอยตามจ้านหรูอี้ก็แล้วกัน ดังนั้นจั่วเอ๋อร์จึงไม่ถือสาที่จะพูดถึงเหมียวอี้ไม่ดีต่อหน้านาง


“ครั้งนี้จะมารู้จักหน้าค่าตาสักหน่อย แต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า ก็ได้รับรู้ชื่อเสียงบารมีของเขาที่ทำให้ ‘เด็กน้อยกลัวจนหยุดร้องไห้’ ซะแล้ว ภาพเหตุการณ์แบบนี้หาพบได้ยากมาก นับว่ามาไม่เสียเที่ยว” ถังเฮ่อเหนียนมองดูปรากฏการณ์วุ่นวายบนถนนพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ ในน้ำเสียงแฝงอารมณ์หยอกล้อหลายส่วน เป้าหมายของเขาแตกต่างออกไป โค่วเหวินลวี่ที่มาพาเป็นเพียงการตบตาเท่านั้น ดังนั้นจึงพูดจาอย่างไม่กังวลสักเท่าไรนัก


โค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าทางซ้ายทีทางขวาที แล้วพึมพำว่า “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ต่อให้ปลอมใบหน้าแล้วแต่ก็ยังแก้นิสัยเก่าไม่หาย เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อลูกน้องเก่าของตัวเองจะมีอิทธิพลมากขนาดนี้ที่ตลาดสวรรค์ ตัวเองเหมือนจะเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาก่อนเหมือนกัน ทำไมถึงสัมผัสความรู้สึกนี้ไม่ได้นะ?


เมื่อได้ยินเสียงคนตะโกนอย่างตกใจว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว’ พร้อมวิ่งหนี บวกกับคำพูดของจั่วเอ๋อร์และถังเฮ่อเหนียน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่สวมหมวกมุ้งก็อดไม่ได้ที่จะถามเสียงสั่น “หนิวโหย่วเต๋อนั่นน่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ?”


นางเองก็มาเที่ยวเล่นที่ตลาดสวรรค์บ่อยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้มาที่ตลาดสวรรค์ของดาวนี้ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นตลาดสวรรค์ปั่นป่วนขนาดนี้มาก่อน ต่อให้จะตามท่านพ่อมาที่ตลาดสวรรค์ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครกลัวขนาดนี้เลย! ไม่น่าเชื่อว่าท่านแม่จะให้นางแต่งงานกับคนที่น่ากลัวขนาดนี้…


“ใช่เม่ยเอ๋อร์รึเปล่า?” เมื่อได้ยินเสียงของเม่ยเอ๋อร์ ผู้หญิงสวมหมวกมุ้งที่อยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนก็ถามหยั่งเชิง นางก็คือโค่วเหวินลวี่ พี่สาวของโค่วเหวินหลานที่ติดตามมาด้วยนั่นเอง


“พี่หญิงลวี่!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ดีใจทันที ใช้สองมือเปิดม่านของหมวกมุ้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


โค่วเหวินลวี่ก็เปิดม่านมุ้งเช่นกัน เผยใบหน้าที่สวยละเอียดอ่อนออกมา นางยิ้มบางๆ อย่างสง่างามมาก


“พี่หญิงลวี่ ท่านมาได้ยังไงคะ?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้าวเข้าไปจับมือนางอย่างตื่นเต้นทันที


ใครจะคิดว่าผู้หญิงสวมหมวกมุ้งข้างกายต้วนหงจะเปิดม่านมุ้งออกมาเช่นกัน เผยใบหน้าที่ขาวนวลดุจแสงจันทร์ ดวงตาสวยดุจบ่อน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากแดงโค้งยิ้มเล็กน้อย “พี่หญิงลวี่ น้องเม่ยเอ๋อร์”


ผู้หญิงสองคนหันมามองแวบหนึ่ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์อุทานอย่างตื่นเต้นประหลาดใจอีกว่า “พี่หญิงเยี่ยนจื่อ!”


พอผู้หญิงทั้งสามคนมาเจอหน้ากัน จิตใต้สำนึกก็สั่งให้มองไปที่อิ๋งเยว่ เดิมทีอิ๋งเยว่ไม่อยากเปิดเผยใบหน้า แต่สุดท้ายก็ยังเปิดม่านมุ้งออกมาช้าๆ โดยไม่รู้ตัว เผยใบหน้าสวยอ่อนโยนดุจบุปผาวสันต์จันทร์สารท เผยฟันเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ว่า “พี่หญิงลวี่ พี่หญิงเยี่ยนจื่อ น้องเม่ยเอ๋อร์” นางพอจะเดาออกถึงเจตนาของอีกสามคนแล้ว


พวกนางมีฐานะใกล้เคียงกัน มักจะเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ การต่อสู้แข่งขันระหว่างตระกูลไม่ได้มีผลกระทบอะไร ถ้าตระกูลไหนโดนโจมตีจนล้ม ก็ย่อมตัดขาดการไปมาหาสู่กัน


แต่ไม่นานทั้งสี่ก็มองไปยังเม่ยเหนียงที่สวมหมวกมุ้งอีก ก่วงเม่ยเอ๋อร์แอบแลบลิ้นออกมา ฮ่าวชิงเยี่ยนจึงถามเม่ยเหนียงอย่างไม่แน่ใจว่า “ท่านคือ?”


ต้วนหงพูดตัดบทว่า “คุณหนู อย่าเอะอะก่อกวนสิ” ในน้ำเสียงเจือการตำหนิ


ฐานะของคนบางคน แค่รู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ถ้าเปิดเผยออกมา ทุกคนก็จะต้องก้มหัวทำความเคารพกันหมด ไม่เป็นประโยชน์ต่องานที่ตัวเองกำลังจะทำ


โกวเยว่เองก็ไม่อยากให้เม่ยเหนียงเปิดเผยตัวในโอกาสและสถานที่แบบนี้เช่นกัน จึงหันตัวกระโดดขึ้นไปบนกำแพงก่อน แล้วคนที่เหลือก็ทยอยกันตามไป ทหารยามไม่ได้ขัดขวางพวกเขา กลับพาพวกเขาขึ้นไปบนตึกกำแพงเมืองด้วยซ้ำ เพราะมีคนบอกข่าวให้รู้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นรองผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างฟางลี่เหิงก็คงไม่มีทางขึ้นมาเฝ้าบนกำแพงเมืองนี้เองหรอก


เพียงแต่ฟางลี่เหิงในตอนนี้กำลังตกตะลึงอ้าปากค้าง ใช้สองมือประคองบนกำแพง เบิกตากว้างจ้องมองกำลังพลนอกเมืองอย่างหวาดกลัว หนิวโหย่วเต๋อเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้าเวรที่น่ากลัวเหมือนผีนี่เอง! จะนำกำลังพลมาที่นี่พร้อมกลิ่นอายสังหารทำไม? เขาพอจะเดาออะไรออกแล้ว พอนึกขึ้นได้ว่าอวิ๋นจือชิวยังอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง เขาใจสั่นเล็กน้อย แผ่นหลังมีเหงื่อกาฬซึมแล้ว ขนาดฉู่จื่อซานหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงยังโดนกำจัดทิ้งไปแล้วเลย! ยังจะมีอะไรที่เจ้าบ้านี่ยังไม่กล้าทำอีกล่ะ?



 

 

 


บทที่ 1542 ข้าจะล้างเลือดทั้งเมืองแน่!

 

ไม่ใช่แค่เขาที่หวาดกลัว ทหารยามแต่ละคนที่อยู่บนกำแพงต่างก็รู้สึกหนาวในใจแล้ว


ในเมืองเละเหมือนโจ๊กในหม้อ ทหารยามบนกำแพงฝั่งประตูเมืองตะวันออกหันไปมองทุกคน ทั้งยังจ้องกำลังพลนอกเมืองกลุ่มนั้นอย่างไม่ละสายตา แต่ละคนเริ่มตึงเครียดถึงขีดสุด


ทำไมกองทัพที่เฝ้าตลาดสวรรค์ถึงค่อนข้างอ่อนแอล่ะ? พอมีศัตรูข้างนอกบุกรุกเข้ามา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน พ่อค้าแม่ค้าในเมืองล้วนมีความรับผิดชอบในการต่อต้านศัตรูร่วมกัน นี่ต้องใช้พลังมากขนาดไหน? ทว่ายามเผชิญกับการโจมตีของกำลังพลตำหนักสวรรค์ พวกพ่อค้าแม่ค้าในเมืองจะมีใครกล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้วล่ะ? ไม่มีใครช่วยกองทัพคุ้มกันตลาดสวรรค์ จะอาศัยแค่พวกเขาต้านทานกำลังพลข้างนอกเนี่ยนะ?


เมื่อขึ้นมาบนตึกบนกำแพง โกวเยว่เดินนำมาตรงหน้าริมต่างบานหนึ่งและมองไปด้านนอกประตูเมืองที่ปิดสนิทด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจ ทว่าชั่วพริบตาที่สายตากวาดมองไปด้านล่าง รูม่านตาก็พลันหดล็กลง ร่างกายยื่นเงียบอยู่ริมหน้าต่าง หรี่ตาจ้องกำลังพลด้านนอกอย่างไม่ละสายตา


เม่ยเหนียงที่ปิดบังตัวตนและเดินไปตรงริมหน้าต่างข้างโกวเยว่หยุดชะงักทันที ดวงตางามที่อยู่หลังม่านมุ้งไม่อาจย้ายออกจากตรงนั้นได้


ถังเฮ่อเหนียนนำโค่วเหวินหลานไปยืนริมหน้าต่าง สายตาชำเลืองไปด้านนอก ทั้งคู่นิ่งเงียบ ถังเฮ่อเหนียนออกแรงเม้มริมฝีปากแน่น โค่วเหวินหลานเบิกตากว้างแล้ว


ต้วนหงเดินไปที่ริมหน้าต่างอีกบ้าน พอสายตามองไปข้างนอก นางก็หรี่ตาทันที


จั่วเอ๋อร์เดินมาตรงริมหน้า เดิมทีก็เอียงตัวและเอียงหน้ามองไปด้านนอกอยู่แล้ว ผลปรากฏว่าสายตาหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน แล้วก็ค่อยๆ หันตัวตรงไปนอกเมืองโดยจิตใต้สำนึก


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ ฮ่าวชิงเยี่ยน โค่วเหวินลวี่ อิ๋งเยว่ สี่สาวรวมตัวกันแล้วพูดคุยหัวเราะเสียงจ้อกแจ้กจอแจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรดาคนที่อยู่ริมหน้าต่างเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ราวกับไม่เห็นสาวๆ ที่พูดคุยกันเสียงดังอยู่ในสายตา


แน่นอน อิ๋งเยว่ดูค่อนข้างสงบนิ่งกว่าคนอื่น เพียงเดินตามอยู่ข้างหลังสาวๆ ทั้งสามคน ดูเงียบขรึมพูดน้อยอย่างเห็นได้ชัด เพราะนางรู้ชัดว่าตัวเองมาเพราะมีจุดประสงค์อะไร แต่ผู้หญิงสามคนที่อยู่ข้างหน้าไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกเลยสักนิด พวกนางดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อบังเอิญพบกันในสถานที่แปลกใหม่ บางทีก็พูดคุยเสียงจ้อกแจ้ก บางทีก็กระซิบกระซาบกัน บางทีก็หัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มที่ ปรึกษาหารือกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี


ทว่าเมื่อทั้งสามเดินมาตรงริมหน้าต่างบานหนึ่งแล้วมองไปข้างนอก เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงเงียบลงทันที แต่ละคนเผยอปากเล็กน้อย ดวงตางามนิ่งทื่อ สีหน้าตะลึงงัน


อิ๋งเยว่ที่เดินมาถึงข้างกายทั้งสามเป็นคนสุดท้ายก้มหน้าเล็กน้อย นางไม่ได้มองไปด้านนอกหน้าต่าง แต่ไม่นานก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล ทำไมจู่ๆ ในห้องถึงเงียบแบบนี้ล่ะ?


นางเงยหน้ามองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้อง จากนั้นก็ก้มหน้าช้าๆ มองใต้กำแพงเมือง หัวใจพลันหดยวบ รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น มองดูกำลังพลที่มีกลิ่นอายสังหารพลุ่งพล่านด้วยสายตาตะลึงงัน


คนของสี่ตระกูลเดินมาถึงริมหน้าต่างแล้วถูกทำให้หยุดนิ่งอยู่ในท่าเดิมคนแล้วคนเล่า วินาทีที่สายตามองไปเห็นกำลังพลที่อยู่ด้านนอก แต่ละคนก็ราวกับโดนฟ้าผ่า ยืนค้างอยู่ที่ริมหน้าต่างแล้ว


กำลังพลกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ยืนจัดกระบวนทัพอย่างเป็นระเบียบ รวมตัวกันอยู่นอกเมืองดูระเกะระกะอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นดูสะบักสะบอมด้วย สะบักสะบอมไปทั้งตัว


แต่กำลังพลตำหนักสวรรค์ที่แต่งตัวไม่เป็นระเบียบแบบนี้ กลับสร้างผลกระทบให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดที่สุด


ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ธงอินทรีแต่ละสี ธงหมาป่าสีต่างๆ กำลังปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม แผ่นธงที่เป็นสีดำเข้มหลังจากเปื้อนเลือดกำลังปลิวสะบัดอย่างรุนแรง ถึงขั้นปลิวจนขาดรุ่ยด้วยซ้ำ


คนที่อยู่ใต้ธงรบแต่ละสียังไม่ถอดเกราะรบ เลือดที่แห้งกรังเปรอะเปื้อนบนเกราะรบไปทั่วทั้งร่างกาย มีบางคนแขนขาดข้างหนึ่ง มีบางคนขาขาดข้างหนึ่ง บางคนตาบอดไปข้างหนึ่ง แทบจะหาคนที่มีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ไม่เจอเลย บนตัวแทบทุกคนมีบาดแผล แต่กลับดื้อรั้นยืนอยู่อย่างนั้น


ร่างกายลายพร้อยไปด้วยเลือดและฝุ่นดิน ราวกับปีนออกมาจากภูขาศพทะเลเลือด


บนใบหน้าของคนพวกนั้นเต็มไปด้วยรอยเลือด บนใบหน้าของคนส่วนใหญ่ยังมีคราบน้ำตา เห็นได้ชัดว่าร้องไห้มาก่อน รอยน้ำตาที่ชะล้างเลือดแห้งกรังอยู่บนใบหน้านั่น ทำให้ทุกคนที่อยู่ริมหน้าต่างบนตึกรู้สึกสั่นสะท้านวิญญาณอย่างบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก


เรื่องอะไรกันที่ทำให้นักพรตมากมายขนาดนี้ร้องไห้ได้ เรื่องอะไรกันที่ทำให้กลุ่มคนที่ไม่กลัวตายร้องไห้ได้ คนพวกนี้เคยผ่านความสิ้นหวังอย่างไรมาบ้าง?


สุดท้ายกลุ่มคนที่อยู่บนตึกก็รู้ว่าผลการรบที่ทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านนั่นได้มาอย่างไร ก็ได้มาตามที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ไง สุดท้ายก็รู้แล้วว่าทำไมกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าถึงทำให้คนตกตะลึงพรึงเพริด เพราะตรงหน้ามีกลุ่มคนอย่างนี้ยืนอยู่ไงล่ะ กลุ่มคนที่ปีนออกมาจากภูเขากระดูกทะเลเลือด


แต่สิ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้ทำความเข้าใจได้ยากก็คือ ทำไมในสายตาของกลุ่มนี้ถึงเต็มไปด้วยไฟโกรธล่ะ แต่ละคนมองขึ้นมาบนกำแพงเมืองด้วยสีหน้าคับแค้นใจ ไฟโกรธที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาแต่ละคู่นั้นราวกับจะทำให้ทั้งเมืองนี้พังทลายได้


เป็นคนกลุ่มนี้เองเหรอที่สร้างความหวาดกลัวมหาศาลให้คนในเมืองนี้? ทุกคนเข้าใจในทันทีว่าสมเหตุสมผลแล้ว


ธงรบแต่ละสียังปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม ภายใต้ธงรบ เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบสีแดงอยู่หน้ากระบวนทัพหนึ่งหมื่นหลับตาสองข้าง กำลังข่มไฟโกรธในใจเอาไว้ กำลังรออย่าเงียบงัน รอคำตอบจากคนที่อยู่บนกำแพง รอให้อีกฝ่ายเปิดประตู


“ทหารห้าวขุนพลหาญ!” จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ริมหน้าต่างจ้องคนที่อยู่นอกเมืองพลางกล่าวออกมาช้าๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่นชมหรือประชด


เสียงนี้ทำให้เม่ยเหนียงได้สติกลับมา นางเองก็นับว่ารู้จักกำลังพลของอ๋องสวรรค์ก่วงมาไม่น้อยเช่นกัน กำลังพลที่มากกว่านั้นก็เคยรู้จักมาแล้ว แต่กำลังพลที่นางเห็นเองกับตาวันนี้ทำให้นางรู้สึกสั่นสะท้านจิตวิญญาณอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะแววตาโกรธแค้นของคนกลุ่มนั้นที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวนิดหน่อย


มีบางสิ่งที่นางไม่เข้าใจ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เป็นการชุบหลอมแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการชำระล้างด้วยความเป็นความตายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนี้ได้สลักลึกลงในกระดูกของคนพวกนี้แล้ว ทำให้คนพวกนี้แผ่ซ่านพลังอำนาจบางอย่างที่ต่างออกไป


สายตาของเม่ยเหนียงที่อยู่หลังม่านมุ้งค่อยๆ ย้ายจากตัวกำลังพลกลุ่มนั้นไปยังเหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าสุด นางกัดริมฝีปากเงียบๆ แม้แต่นางยังเข้าใจเลยว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงนำทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนแตกพ่ายได้ ทำไมบุคคลระดับสูงจึงพากันมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อจะดึงหนิวโหย่วเต๋อเป็นพกว ถ้าสามารถนำคนแบบนี้มาเป็นลูกเขยได้จริงๆ ก็จะไม่มีใครสั่นคลอนตำแหน่งของนางในจวนอ๋องสวรรค์ได้แล้ว ลูกสาวก็ย่อมเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำไปด้วย


ตอนนี้นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องแย่งมาเป็นลูกเขยให้ได้ ต่อให้ลูกสาวจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ต้องแต่ง!


เม่ยเหนียงเอียงหน้าช้าๆ มองไปทางโกวเยว่ที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงถามยืนยันว่า “คนที่อยู่หน้าสุดคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”


โกวเยว่กลับไม่ตอบ แต่บอกอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ช่างเป็นทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์จริงๆ!” จากนั้นก็รู้ตัวแล้ว หันไปพยักหน้าเบาๆ ให้เม่ยเหนียงพร้อมถ่ายทอดเสียง “บ่าวก็ไม่เคยเจอเช่นกัน คงจะเป็นเขาคนนี้ หวังเฟยรู้สึกว่าเขยคนนี้เป็นยังไงบ้าง ยังถูกใจหรือเปล่า?”


เม่ยเหนียงตอบว่า “ห้าวหาญชาญชัย สง่างามดุจขุนเขา เป็นวีรบุรุษจริงๆ เรื่องนี้ข้าสามารถตัดสินใจแทนเม่ยเอ๋อร์ได้เลย พ่อบ้านได้โปรดพยายามช่วยให้การจับคู่ครั้งนี้สำเร็จ!”


“ถ้าหวังเฟยพอใจ บ่าวก็จะพยายามสุดความสามารถ!” โกวเยว่ตอบ


ผ่านไปพักใหญ่ กว่าโค่วเหวินหลานจะหายเหม่อลอย แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความผิดหวังหลายส่วน


ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่องอะไร ที่จริงในใจเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองแย่กว่าเหมียวอี้เลย ในใจยังรู้สึกเหนือกว่าเพราะครอบครัวสอนมาดี แต่ในวันนี้ หลังจากได้เห็นเหมียวอี้นำกำลังพลกลุ่มนี้แล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกับเหมียวอี้นั้นต่างกัน ตัวเองบัญชาการกำลังพลแบบนี้ไม่ได้


“คนที่ยืนอยู่หน้าสุดก็คือหนิวโหย่วเต๋อ” โค่วเหวินหลานหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกถังเฮ่อเหนียน


ถังเฮ่อเหนียนที่ยืนเอามือไขว้หลังพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าเขาทราบแล้ว แววตาที่จ้องเหมียวอี้กำลังฉายประกายเล็กน้อย


“คนที่อยู่หน้าสุดคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” สายตาของก่วงเม่ยเอ๋อร์ย้ายออกจากใบหน้าเหมียวอี้ แล้วถามบรรดาพี่สาวที่อยู่ข้างกาย


ในใจนางบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ในเมื่อท่านแม่บอกแล้วว่าจะให้นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่พอได้เห็นกำลังพลที่ค่อนข้างน่ากลัวตรงหน้านี้ นางก็พบว่าไม่เคยเห็นกำลังพลแบบนี้ข้างกายท่านพ่อมาก่อน เอาเป็นว่าทำให้คนรู้สึกว่าเจ๋งมาก


อิ๋งเยว่รู้จัก แต่กลับไม่ตอบคำถาม นางมองไปข้างล่างด้วยแววตาที่สื่ออารมณ์ซับซ้อน นี่ใช้กำลังพลที่ต่อต้านตระกูลอิ๋งที่อุทยานหลวงในปีนั้นหรือเปล่า?


ฮ่าวชิงเยี่ยนส่ายหน้าบอกใบว่าไม่รู้ โค่วเหวินลวี่รู้ว่าโค่วเหวินหลานรู้จัก หลังจากถ่ายทอดเสียงถามจนได้คำตอบแล้ว นางจึงพยักหน้าบอกว่า “เป็นเขาเอง”


ส่วนเหมียวอี้ที่หลับตาอยู่ข้างล่างพักใหญ่ จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นแล้วคว้าทวนเกล็ดย้อนไว้ในมือ แล้วพลันชี้ฝ่าลมไปบนกำแพงเมือง “กรรร” เสียงมังกรคำรามดังก้องพร้อมเสียงของเขา “ข้าจะพูดอีกครั้ง รีบเปิดประตู!”


กองทัพคุ้มกันที่อยู่บนกำแพงเมืองตะลึงงัน พากันก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก


“หา…” ฟางลี่เหิงที่ตะลึงงันไปครู่หนึ่งเกิดความคิดบางอย่าง แล้วถามด้วยสีหน้าวิงวอนเหมือนจะร้องไห้ว่า “นายท่านหนิว ท่านยังไม่ตอบข้าเลย ว่าท่านจะเข้าเมืองไปทำอะไร?”


เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำว่า “กำลังพลกลุ่มนี้ปราบกบฏผ่านมา มีลูกน้องบาดเจ็บสาหัส ได้รับคำสั่งให้เข้ามาปรับปรุงกำลังในตลาดสวรรค์ ทำไมต้องขัดขวาง หรือว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าตลาดสวรรค์?”


ปราบกบฏ? ปราบกบฏผีอะไรล่ะ! เจ้าแย่งผู้หญิงกับฉู่จื่อซานชัดๆ!


ฟางลี่เหิงด่ากลับในใจ แต่ภายนอกก็ยังกุมหมัดคารวะอย่างสุภาพเกรงใจ “นายท่านหนิว ในเมื่อมีการก่อความวุ่นวายนิดหน่อย เกรงว่าคงจะไม่สะดวกให้กำลังพลของนายท่านพักผ่อนปรับปรุงกำลัง ท่านตั้งค่ายอยู่นอกเมืองดีกว่ามั้ย ถ้าต้องการอะไรเดี๋ยวให้กำลังพลที่เฝ้าเมืองไปซื้อแทน แบบนี้ดีมั้ย?”


“ก่อความวุ่นวาย? “เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ใครมันบังอาจขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์! ในเมื่อกำลังพลของข้ามาบังเอิญเจอแล้ว มีหรือที่จะนั่งดูอยู่เฉยๆ เปิดประตูเมือง ให้กำลังพลของข้าเข้าไปปราบจลาจล!”


ฟางลี่เหิงกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ไม่รบกวนหรอก กำลังพลที่เฝ้าเมืองย่อมคุมไหว นายท่านพาพวกพี่น้องไปตั้งค่ายพักผ่อนดีกว่า”


เหมียวอี้ชี้ทวนไปตรงประตูเมืองที่ปิดสนิท ขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว “อยากจะให้ข้าช่วยเจ้าเปิดด้วยมือตัวเองมั้ย? รีบเปิดประตู! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าออกคำสั่งโจมตีเมือง!”


ทุกคนในเมืองหน้าถอดสี ทำแบบนี้กำเริบเสิบสานเกินไปรึเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะออกคำสั่งโจมตีเมืองต่อหน้าฝูงชน เจ้ายังเป็นกำลังพลตำหนักสวรรค์อยู่รึเปล่า?


คนที่อยู่ในตึกบนกำแพงเมืองก็มองหน้ากันเลิกลั่กเช่นกัน


แต่ก็ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของเหมียวอี้เลย ขนาดหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงเจ้าบ้านั่นก็ฆ่าไปแล้ว มังหารทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงไปแล้วหลายแสน แม้แต่งานรับสนมของราชันสวรรค์ก็กล้าก่อเรื่อง แล้วการโจมตีเมืองจะนับเป็นเรื่องใหญ่อะไรล่ะ?


ฟางลี่เหิงกล่าวอย่างวิตกกังวลว่า “นายท่านหนิวโปรระงับโทสะ ข้าได้รับคำสั่งมาให้ปิดเมือง เรื่องเปิดประตูเมืองข้าตัดสินใจเองไม่ได้ ให้เวลาข้าไปรายงานผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อยดีมั้ย?”


ฉึก! ทวนในมือเหมียวอี้ปักลงพื้น แล้วตวาดว่า “ข้าให้เวลาเจ้าเท่าธูปครึ่งดอก หลังจากธูปไหม้ไปครึ่งดอกแล้ว ถ้าประตูเมืองยังไม่เปิด ข้าจะล้างเลือดเมืองนี้แน่นอน!” พูดจบก็เอียงหน้าบอกใบ้


มู่อวี่เหลียนที่อยู่ข้างหลังเขาหยิบธูปออกมาทันที จากนั้นก็หักธูปต่อหน้าฝูงชน แล้วจุดธูปโยนไปปักบนพื้น ไฟธูปเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดอยู่ท่ามกลางสายลม เมื่อมีลมช่วยพัด การเผาไหม้ก็เร็วขึ้นนิดหน่อย


ล้างเลือดทั้งเมือง!


นี่มันหมายความว่าอะไรล่ะ หมายความว่าอยากจะฆ่าให้หมดทั้งเมือง ไม่เหลือไว้ไม่แต่ไก่หรือสุนัขเหรอ?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)