ลำนำบุปผาพิษ 1534-1539
บทที่ 1534 ปลดปล่อยวิญญาณ 2
ตี้ฝูอีไม่วางใจ เขาให้นางทวนซ้ำอีกรอบหนึ่งหลังจากเขาพูดจบ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอันใดผิดพลาดจึงได้วางใจ “ซีจิ่ว ไปเตรียมตัวเถิด ข้ารอฟังข่าวดีจากเจ้า”
กู้ซีจิ่วพยายามอดทน ทว่ากลับอดทนไม่ไหว “ท่านบอกว่าวันนี้จะมาหาข้าไม่ใช่หรือ? ไม่มาแล้วหรือ?”
“เด็กดี วันนี้ข้าไม่มีเวลาจริงๆ พรุ่งนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกเราค่อยเจอกัน” น้ำเสียงของตี้ฝูอีอ่อนโยนทว่าทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้
“ท่านมีเรื่องอันใดกันแน่? ท่านอยู่ที่ไหน?” กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเขามีอะไรปิดบังตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ตี้ฝูอีไม่พูดจาอันใด กู้ซีจิ่วรอตั้งนานจนไม่รอให้เขาตอบกลับแล้ว ขบเม้มริมฝีปาก “คงมิใช่ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพรายได้อะไรอีกหรอกนะ?”
“ปราดเปรื่อง!” ตี้ฝูอีกล่าวชมนางหนึ่งคำ “เอาล่ะ สายมากแล้ว รีบไปเตรียมตัวเถิด อย่าผิดเวลานะ” เมื่อพูดประโยคนี้จบ ตี้ฝูอีก็ตัดสายยันต์ถ่ายทอดเสียงทันที
กู้ซีจิ่วหลุบตาลงมองยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือ รู้สึกเดือดดาลในใจอย่างมิอาจอธิบายได้
ลิขิตสวรรค์! ลิขิตสวรรค์! เธอเกลียดคำคำนี้!
สิ่งใดที่เขาไม่อยากพูดล้วนเป็นลิขิตสวรรค์!
เธอรู้สึกเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ นึกไม่ถึงว่าฝ่ามือเธอกลับมีไฟลุกขึ้น…
เมื่อเธอรู้สึกตัว ยันต์ถ่ายทอดเสียงนั้นก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นผุยผงแล้ว
เธอนิ่งอึ้ง
เอาเถิด ดูเหมือนพระเจ้าก็ไม่อยากให้เธอกับเขาติดต่อใกล้ชิดสนิทสนมกันมากจนเกินไป จึงทำลายตัวเชื่อมการติดต่อเพียงหนึ่งเดียวในยามนี้เสีย
ถึงแม้เธอเป็นคนสร้างยันต์ถ่ายทอดเสียงชนิดนี้ขึ้นมาเอง ทว่าการสร้างของสิ่งนี้ต้องใช้เวลา อย่างน้อยสามวันถึงจะสร้างอันใหม่ออกมาได้ ตี้ฝูอีคงทนไม่ไหวที่จะไม่ได้ติดต่อเธอสามวันกระมัง? หากเขาติดต่อไม่ได้ก็ย่อมมาหาเธอ…
เธอลุกพรวดขึ้นมา เริ่มอาบน้ำแต่งตัว
…
การส่งวิญญาณอาฆาตต้องไม่อยู่ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า เช่นนั้นก็ไม่ใช่การส่งวิญญาณแล้ว จะทำให้วิญญาณอาฆาตเหล่านี้ถูกแสงแดดแผดเผาจนวิญญาณแตกสลาย
แต่ก็ไม่อาจไร้ซึ่งดวงอาทิตย์ หากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ไอหยินหนาแน่นมากขึ้น พลังของวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นจะเพิ่มพูน ถึงเวลานั้นเธอไม่เพียงแต่ส่งวิญญาณพวกมันไม่ได้เท่านั้น บางทีอาจถูกพวกมันส่งวิญญาณแทน
เนื่องด้วยเหตุผลทั้งสองที่กล่าวมา สิ่งที่กู้ซีจิ่วต้องทำในพิธีส่งวิญญาณนี้ก็คือเลือกช่วงเวลายามอาทิตย์อัสดง ตะวันลับขอบฟ้าไปกึ่งหนึ่ง
ตะวันยอแสงอำพัน หมอกวสันต์สีชาดอบอวล
แท่นสูงแท่นหนึ่งถูกสร้างขึ้น ณ ทางเหนือของคฤหาสน์ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม
แท่นสูงสูงประมาณสามจั้ง ด้านบนติดตั้งเสาหลักเก้าต้นตามหลักยันต์แปดทิศ ภายใต้เสาหลักทุกต้นล้วนมีสาวกแปดคน ทุกคนล้วนสวมชุดพิธี ยืนล้อมวงอย่างมั่นคง
สานุศิษย์สวรรค์สี่ท่านยืนอยู่ทั้งสี่มุมของแท่นสูง หลงซือเย่ ฮวาอู๋เหยียน เชียนเยวี่ยหร่าน เทียนจี้เยวี่ย
พวกเขาก็สวมใส่ชุดพิธีของตนมาเช่นกัน โบกสะบัดพลิ้วไหวยามลมพัด ราวกับจะโบยบินขึ้นไปตามสายลม
กู้ซีจิ่วยืนอยู่จุดศูนย์กลางของแท่นสูง สวมชุดพิธีขาวดุจหิมะ เส้นผมปล่อยยาว มือถือกระบี่ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างทรงพลัง
เบื้องล่างของแท่นสูง นักรบองอาจสง่างามแปดกลุ่มยืนตามจุดต่างๆ แต่ละคนกล้าหาญชาญชัย เปี่ยมด้วยพลังหยาง
ในหนึ่งกลุ่มมีหนึ่งร้อยคน แต่ละกลุ่มสวมเสื้อเกราะสีสันแตกต่างกัน คนแปดกลุ่ม เสื้อเกราะแปดสี โอบล้อมแท่นสูงไว้ตรงกลาง
เนื่องจากต้องใช้กำลังคนจำนวนมากในพิธีส่งวิญญาณครั้งนี้ จึงเกือบทำให้ชาวบ้านในเมืองหลวงตื่นตระหนก ทุกคนต่างทยอยหลั่งไหลกันเข้ามา
แน่นอนว่าโดยรอบของแท่นสูงมีกองกำลังทหารดูแลความสงบเรียบร้อย พวกชาวบ้านยืนอยู่วงนอกมองดูบนแท่นสูงจากที่ห่างไกล
ถึงแม้ระยะทางค่อนข้างไกล ทว่าทุกคนยังคงมองเห็นผู้อำนวยการของพิธีส่งวิญญาณนี้อย่างชัดเจน
กู้ซีจิ่วในชุดพิธีขาวดุจหิมะ ดูโดดเด่นเหนือธรรมดา เกศาดำอาภรณ์ขาว ใบหน้าสง่างามเยือกเย็น มีกลิ่นอายบางอย่างเมื่อยืนอยู่ด้านบนนั้น
เธอผู้นี้ไม่ใช่หญิงสาวที่โดนกลั่นแกล้งในตอนนั้นอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าท่าทางของเธอสงบเยือกเย็นยิ่งนัก ทว่ากลับให้ความรู้สึกประหนึ่งมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากหมอบกราบ…
————————————————————————————-
บทที่ 1535 สายตานับหมื่น (1)
กู้เซี่ยเทียนย่อมมาด้วยเช่นกัน เขาอยู่ภายในกองกำลังทหารรักษาความสงบ ห่างจากแท่นสูงนับว่าไม่ไกลเท่าใดนัก เขามองลูกสาวบนแท่นสูงเป็นครั้งคราว ดวงตาฉายแววความภาคภูมิใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
นี่คือลูกสาวของเขา! แข็งแกร่งยิ่งกว่าลูกชายคนไหนทั้งนั้น!
เฮ้อ น่าเสียดายที่มารดาและพี่ชายของนางจากโลกนี้ไปเร็วนัก มิเช่นนั้น ไม่รู้ว่านางจะดีใจขนาดไหนเมื่อเห็นภาพฉากเช่นนี้! ล้วนต้องโทษตัวเอง…
ว่าแต่หลัวจั่นอวี่คนนั้นใช่เทียนนั่วหรือไม่กันแน่? ด้านรูปลักษณ์มีความคล้ายคลึงเจ็ดถึงแปดส่วน ระยะเวลาที่ถูกขังอยู่ในเขตหวงห้ามก็ไล่เลี่ยกันกับระยะเวลาที่ลูกชายพลัดหลงเข้าไปในป่าทมิฬตอนนั้น…หากไม่มีอันใดผิดคาด เขาก็คือเทียนนั่ว!
ความจริง เมื่อวานกู้เซี่ยเทียนไปเยี่ยมเยียนหลัวจั่นอวี่มา แน่นอนว่าเขาไปเยี่ยมในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทของลูกสาว ทว่าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหลบหนีเขาหรืออย่างไร เขาจึงคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง…
ยามนี้พวกหลัวจั่นอวี่ล้วนประจำตำแหน่งที่นั่งผู้มีเกียรติด้านล่างแท่น เขากำลังพูดคุยกับเหล่าสหายของเขา ไม่ได้มองมาทางกู้เซี่ยเทียนเลยสักแวบหนึ่ง…
ขั้นเก้าแล้ว! เด็กคนนี้อายุยังน้อยกลับฝึกฝนจนมีพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้ว!
เขาจำได้ตอนกู้เทียนนั่วเป็นเด็กก็เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก…
สูงส่งยิ่งกว่าลูกชายคนรองกู้เทียนเฉาของเขาไม่น้อย ความจริง ตอนนั้นเขารักเด็กคนนี้ด้วยใจจริง เพียงแต่เพราะโกรธแค้นมารดาของเขาถึงได้…
ตอนนั้นตัวเขาเองเลอะเลือนเหนือธรรมดาจริง!
ถึงแม้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมจะโดนสำเร็จโทษไปแล้ว ทว่าพวกลิ่วล้อเหล่านั้นมีไม่น้อย ถึงแม้หลายวันมานี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้อสนีบาตสำเร็จโทษคนเหล่านั้นไปแล้ว ทว่ายากที่จะยืนยันได้ว่าไม่มีผู้ใดเล็ดรอดไปได้ อีกทั้งยังต้องเตรียมการป้องกันผู้ที่จะมาก่อความวุ่นวายให้พวกเขาในวันนี้ด้วย
ดังนั้นวันนี้กองกำลังทหารเกือบทุกคนล้วนออกโรง อยู่ที่นี่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
กู้เซี่ยเทียนเป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัยในวันนี้ เขาไม่เพียงแต่รวบรวมกองกำลังทหารเพื่อรักษาสงบเรียบร้อยในบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งเขายังส่งสายลับไปปะปนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านไม่น้อย หากพบบุคคลต้องสงสัยก็ให้จับตาดูไว้…
ทหารคนหนึ่งวิ่งมารายงานเขาว่าพบบุคคลต้องสงสัยบนหลังคาอาคารด้านหลังซ้าย เชิญเขาไปดูเสียหน่อย
“ท่านแม่ทัพ สตรีชุดแดงคนนั้นน่าสงสัยยิ่งนัก นางยืนอยู่ในเงามืดบนหลังคานั้นมาตลอด จดจ้องบนแท่น แต่ก็ซ่อนเร้นเรือนกายมาตลอด ราวกับกลัวว่าจะถูกใครเห็นเข้า”
ทหารคนนั้นรายงานต่อกู้เซี่ยเทียน
กู้เซี่ยเทียนมองตามทิศทางที่นิ้วมือของทหารคนนั้นชี้ไป เสียงตูมดังขึ้นในสมองเขาอย่างฉับพลัน!
ยามนี้สตรีอาภรณ์แดงนางนั้นยืนอยู่ในเงามืดจริงๆ อีกทั้งยังใช้วิชาเร้นกายบางอย่าง หากไม่มองโดยละเอียดก็จะมองไม่เห็นนาง!
เนื่องจากนางเร้นกายกึ่งหนึ่ง กู้เซี่ยเทียนจึงมองไม่เห็นใบหน้านาง ทว่าเขามองแวบเดียวก็จำได้แล้ว นั่นคือหลัวซิงหลาน! รูปร่างนั้น บุคลิกนั้น ท่าทางนั้น…ช่างเหมือนหลัวซิงหลานเหลือเกิน!
หัวใจของเขาแทบจะหลุดออกมา ก้าวไปด้านหน้าอย่างฉับพลัน เขาอยากมองเห็นให้ชัดเจนขึ้นอีกสักหน่อย
ทว่าสตรีนางนั้นเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงมองมาทางเขา ทั้งสองสบตากันกลางอากาศ ลมหายใจของกู้เซี่ยเทียนแทบจะหยุดชะงักลง สตรีนางนั้นเหลือบมองเขาแค่แวบหนึ่ง ร่างกายพลันพุ่งทะยาน แปลงเป็นเงาเลือนรางจางหายไป…
“อาหลาน!” กู้เซี่ยเทียนเรียกโพล่งออกมา ร่างกายพุ่งทะยานไปทิศทางที่เงาเลือนรางจางหาย
กู้เซี่ยเทียนไล่ตามสตรีนางนั้นไม่ทัน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของสตรีนางนั้นรวดเร็วเกิน! หายไปอย่างไร้เงาไร้ร่องรอยในพริบตา เขาจะไล่ตามไปก็ไม่รู้ว่าควรไล่ตามไปทางไหนดี…
กู้เซี่ยเทียนยืนอยู่ตรงนั้น นี่คือตำแหน่งสตรีนางนั้นยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้ ที่นี่ยังมีกลิ่นอายบนตัวนางจางๆ ดุจกล้วยไม้กลางหุบเขาว่างเปล่า เสียงดังตึงตังในหัวของเขา กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์บนตัวนาง…
ใช่นางหรือไม่? น่าจะใช่กระมัง? คล้ายกันขนาดนี้! คล้ายกันขนาดนี้!
บทที่ 1535 สายตานับหมื่น (2)
นางยังไม่ตาย? นางยังไม่ตายจริงๆ?!
เป็นไปได้หรือไม่? กระโดดลงมาจากที่สูงขนาดนั้น อีกทั้งตอนนั้นนางถูกเขาผนึกพลังวิญญาณไว้…
อีกอย่างล่วงเลยมานานหลายปีแล้ว เหตุใดนางถึงยังมีลักษณะเหมือนกับตอนนั้นได้เล่า? ถึงขนาดว่างดงามกว่าเสียอีก!
ดูเหมือนอายุไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ…
งดงามชดช้อย ช่วงเวลาที่สวยงามพอดิบพอดี เหมือนนางในช่วงเวลาที่งดงามที่สุดตอนนั้น
เขาอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองตัวเอง เส้นผมและหนวดเคราหงอกขาวเป็นตาแก่คนหนึ่งแล้ว!
บางทีอาจไม่ใช่นาง เพียงแค่ใบหน้าคลับคล้าย? มิเช่นนั้นด้วยพลังวิญญาณของนางในตอนนั้นที่ยังไม่ถึงขั้นห้า ไม่มีทางที่จะรักษาใบหน้าเพริศพริ้งในช่วงวัยที่งดงามที่สุดนั้นได้!
รูปลักษณ์นางในตอนนี้ถึงขั้นที่อ่อนเยาว์กว่าตอนที่นางจากเขาไปเสียอีก!
น้องสาวของนาง?
ทว่านางเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูล ไม่มีพี่น้องเลยสักคน…
ในใจกู้เซี่ยเทียนดังคลื่นลมทะเลซัดสาด ยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นชั่วขณะหนึ่ง
เสียงโห่ร้องระลอกหนึ่งดังฟ้าคะนอง ทำให้เขาตกใจได้สติกลับมา เขาแหงนหน้า มองเห็นกู้ซีจิ่วบนแท่นสูงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!
การเคลื่อนไหวของนางสง่างาม เคล็ดมากมายนับไม่ถ้วนออกจากฝ่ามือนาง ลำแสงเคล็ดมากมายปกคลุมทับซ้อนเป็นชั้นๆ ลำแสงมงคลทอแสงเป็นประกาย สีสันหลากหลาย…
เดิมทีพวกเทียนจี้เยวี่ยเคยทำพิธีประเภทนี้ร่วมกับตี้ฝูอี ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับขั้นตอนดำเนินการ ยามนี้เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วใช้เคล็ดเหล่านี้ได้เหมือนกันกับตี้ฝูอี แทบจะไม่มีความแตกต่าง แต่ละคนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
โดยเฉพาะฮวาอู๋เหยียน เดิมทีนางไม่เคยเห็นกู้ซีจิ่วอยู่ในสายตามาก่อน รู้สึกมาตลอดว่าแม่นางน้อยอย่างกู้ซีจิ่วต่อให้มีความสามารถมากมายขนาดไหนก็ไม่มีทางก่อคลื่นลมพายุได้ยิ่งใหญ่เสียเท่าใด และไม่มีทางแซงหน้าความสามารถของเหล่าสานุศิษย์สวรรค์หลายท่านได้
นึกไม่ถึงว่าไม่ได้พบเจอกันเพียงแค่แปดปี นางกลับฝึกฝนจนบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบแล้ว!
ทว่าระยะเวลาแปดปีตัวเองกลับฝึกฝนถึงแค่ขั้นเก้าตอนกลางเท่านั้น เดิมทียังคิดว่านี่ก็นับว่ารวดเร็วยิ่งนักแล้ว ยังคิดจะเห่อเหิมต่อหน้าตี้ฝูอีสักหน่อย นึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วแซงหน้านางไปไกลมากแล้ว…
สายตาที่ฮวาอู๋เหยียนมองกู้ซีจิ่วค่อนข้างลึกลับซับซ้อน เดิมทีนางยังรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ตี้ฝูอีให้ความสำคัญกู้ซีจิ่วเป็นพิเศษ บัดนี้นางกลับพูดจาอันใดไม่ออกแล้ว…
เมื่อเคล็ดสำเร็จ ทั่วทั้งแท่นสูงก่อตัวเป็นรูปแบบพายุหมุน ประหนึ่งพายุคลั่ง โบยบินไปทางคฤหาสน์ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม…
ผ่านไปครู่หนึ่ง ระลอกเสียงโหยหวนรุนแรงกับเสียงตัวกำแพงพังทลายส่งผ่านมาจากทิศทางนั้น
และผ่านไปอีกครู่หนึ่ง พายุหมุนลูกนั้นหอบหมอกครึ้มนับไม่ถ้วนหมุนวนมา มีระลอกลมเย็น เงาวิญญาณเคลื่อนไหวท่ามกลางหมอกครึ้ม
ราวกับมีคนมากมายนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องร่ำคร่ำครวญอย่างน่าสะพรึงกลัวอยู่ภายใน
อุณหภูมิของทั้งจัตุรัสลดลงตามการหมุนเวียนของพายุหมุนลูกนี้ ชาวบ้านต่างล่าถอยหลบอยู่ด้านหลังโดยสัญชาตญาณ…
ทว่ายังดี ถึงแม้เงาร่างท่ามกลางหมอกครึ้มจะพุ่งชนจากซ้ายไปขวาอยู่ภายใน ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้พุ่งชนจนทำลายม่านกำบังพายุหมุนด้านนอกที่เปล่งลำแสงสีขาว ถึงแม้เงาร่างเหล่านั้นจะดุร้ายแค่ไหนก็ไม่อาจข่มขู่ชาวบ้านด้านนอกได้
พายุหมุนหมอกครึ้มพัดผ่านไปบนแท่นสูงทันใด สานุศิษย์สวรรค์ทั้งสี่ร่วมกันออกแรง กู้ซีจิ่วที่อยู่กลางแท่นสูงค่อยๆ โบยบินขึ้นไป ประคองด้วยฝ่ามือที่งดงาม พายุหมุนหมอกครึ้มลูกมหึมาดังขุนเขารวมตัวกันเป็นลูกกลมใหญ่ยักษ์อย่างมิอาจเปรียบเทียบได้ ลอยล่องกลางอากาศบนศีรษะเธอ…
เมฆหมอกมืดมิดดังขุนเขาเหนือแท่นสูง กลับไม่อาจบดบังอาภรณ์ขาวนั้นของกู้ซีจิ่วได้ นางยืนอย่างงามสง่าดุจหลักกลางกระแสชล หนักแน่นดั่งภูผา ทำให้ผู้คนมีความมั่นใจ!
เดิมทีพวกชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้างเมื่อมองเห็นวิญญาณอาฆาตมากมายเพียงนี้ เกรงว่ากู้ซีจิ่วอายุยังน้อยจะควบคุมไว้ไม่ได้ ทำให้วิญญาณอาฆาตเหล่านี้หลุดมาสร้างความหายนะแก่ผู้คน
ทว่าเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็ค่อยวางใจลงได้
ที่แท้ต่อให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่อยู่ แม่นางกู้ท่านนี้ก็ทำถึงขั้นนี้ได้เช่นกัน! และทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี!
เกรงว่าความสามารถของนางจะเทียบชั้นกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้แล้วกระมัง?
ไม่แน่อาจทำได้ดียิ่งกว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเสียอีก!
สองปีมานี้ เนื่องจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมทำแต่สิ่งชั่วร้ายให้ตี้ฝูอีเป็นแพะรับบาป ทำให้ชาวบ้านเกลียดชังทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจนเข้ากระดูกดำ
ถึงแม้ไม่กี่วันมานี้พวกชาวบ้านได้รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นคนที่เกลียดชังมาเป็นเวลาสองปี ชาวบ้านยังคงรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่บ้าง…
ไม่ได้บูชาตี้ฝูอีอย่างบ้าคลั่งเหมือนเมื่อแปดปีก่อนหน้านี้
ความจริงจิตใต้สำนึกของชาวบ้านก็คาดหวังอย่างยิ่งว่าจะมีใครสักคนที่น่าเชื่อถือเข้ามาแทนที่ตำแหน่งทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้…
และกู้ซีจิ่วก็เป็นไปตามความคาดหวังของชาวบ้านพอดี! ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือนางเป็นคนของอาณาจักรเฟยซิงที่แท้จริง เป็นคนกันเองของพวกเขา!
ดังนั้น เมื่อกู้ซีจิ่วใช้วิชาส่งวิญญาณอาฆาตท่ามกลางหมอกครึ้มเหล่านั้นทีละดวงๆ พวกชาวบ้านกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ส่งเสียงชมเชยและโห่ร้องระลอกแล้วระลอกเล่า…
ซุ่มเสียงนั้นดังกึกก้องยิ่งกว่าตอนที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทำพิธีด้วยซ้ำ!
เมื่อส่งวิญญาณดวงสุดท้ายสำเร็จลุล่วงและกระจัดกระจายไปกลางอากาศ ทั่วทั้งจัตุรัสส่งเสียงปรบมือดังก้องประหนึ่งฟ้าร้อง โห่ร้องชื่อกู้ซีจิ่วต่อเนื่องกันเป็นระลอก
กู้ซีจิ่วสามคำนี้ราวกับมีพลังวิเศษ ทำให้คนมากมายนับไม่ถ้วนบ้าคลั่ง…
กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนแท่น หลุบตาลงมองด้านล่าง
ศีรษะของผู้คนเนืองแน่น สามารถใช้คำว่ามืดฟ้ามัวดินมาอธิบายได้เลย
เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ รู้ตัวว่ายามนี้ตัวเองเป็นที่จับจ้องของสายตานับหมื่น
ทำให้เธอคิดถึงเนื้อเพลงประโยคหนึ่งขึ้นมา ‘ท่ามกลางผู้คนนับหมื่น ดื่มด่ำเกียรติยศกว้างไกลนั้น…’
เธอจำได้ตอนเธอเพิ่งทะลุมิติมา ถูกตี้ฝูอีจับตัวและบีบบังคับให้ทำการทดสอบ เขาได้รับการสนับสนุนจากผู้คนนับหมื่น ทุกที่ที่เขาไปล้วนมีแต่คนคุกเข่าคารวะ แต่เธอกลับเหมือนหนูข้างถนนที่ทุกคนดูถูกเหยียดหยาม…
ตอนนั้นเธออิจฉาเขา ถึงขั้นสาบานในใจ แม้ต้องยื้อแย่งก็ต้องมีเกียรติยศอย่างเขาให้ได้ ต้องเท่าเทียมกับเขาให้ได้! ตอนนั้นเธอกับเขาแตกต่างกับราวฟ้ากับดิน ห่างไกลกันลิบลับ ทว่าตอนนี้ในที่สุดเธอก็เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้แล้ว!
ในที่สุดก็ถึงจุดมุ่งหมายที่เธอวาดหวังไว้ ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอย่างที่จินตนาการไว้ขนาดนั้น…
อำนวยการส่งวิญญาณครั้งนี้ทำให้เธอเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก สิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากมาย ในช่วงหลังเธอเกือบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่…
ทว่าร้ายดีอย่างไรเธอก็กัดฟันยืนหยัดต่อมา นับได้ว่าทำหน้าที่สำเร็จลุล่วงได้อย่างราบรื่น
เธอยิ่งได้รับความรักและความเคารพจากชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เหตุใดตี้ฝูอีไม่มา?
ถึงแม้ว่างานนี้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก ทว่าก็เป็นช่วงเวลาที่จะได้ใจผู้คนกลับคืนมา ชื่อเสียงของเขาถูกเจ้าตัวปลอมทำลายเสียจนหมดสิ้น เขายิ่งควรไขว่คว้าโอกาสนี้เพื่อเอาชนะใจชาวบ้านกลับมาไม่ใช่หรือ?
เขามีเรื่องคับขันเร่งด่วนอันใดต้องไปจัดการกันแน่?
หรือว่าร่างกายของเขาเกิดอาการผิดปกติขึ้นมา?
คำถามเริ่มผุดขึ้นในใจเธออีกครั้ง…
แทบอยากจะรีบไปหาเขาเพื่อดูสักหน่อย
พิธีส่งวิญญาณประสบความสำเร็จด้วยดี ชาวบ้านยังคงพูดคุยโห่ร้องกันอยู่ด้านล่าง ไม่ยอมแยกย้ายกันไปไหนอยู่นาน
ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะลงจากแท่น ฮวาอู๋เหยียนเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าอันงดงาม “แม่นางกู้ ยินดีด้วย! ยินดีด้วย! ด้วยแนวโน้มเช่นนี้ วันที่แม่นางกู้จะแซงหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคงอยู่ใกล้แค่เอื้อม! แม่นางกู้มิใช่สานุศิษย์สวรรค์ทว่ายอดเยี่ยมเหนือกว่าสานุศิษย์สวรรค์ เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ”
กู้ซีจิ่วเหลือบมองนางแวบหนึ่ง เธอเข้าใจว่านางเป็นเดือดเป็นร้อนแทนตี้ฝูอี ดังนั้น ภายในคำพูดของนางจึงแฝงไปด้วยความเย้ยหยันเหน็บแนม…
เห็นแก่ความชอบที่เมื่อสักครู่นางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กู้ซีจิ่วจึงไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย เพียงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
เธอไม่ทันได้ระวังตัว ฮวาอู๋เหยียนก็จับมือเธอไว้แน่น “แม่นางกู้ มา ให้พวกเราได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งขึ้น”
ความตั้งใจเดิมของนางเพียงแค่คิดจะใช้พลังฝ่ามือบีบนิ้วมือของกู้ซีจิ่วให้เจ็บปวด นึกไม่ถึงว่านางเพิ่งจับมือของกู้ซีจิ่วไว้ ก็ถูกอีกฝ่ายดูดพลังวิญญาณในร่างกายไปอย่างรวดเร็ว!
ใบหน้านางถอดสี “เจ้า…เจ้าใช้วิชามารอันใด?!”
บทที่ 1536 ปล่อยมือ เจ้าปล่อยมือ!
ฮวาอู๋เหยียนดิ้นรนขัดขืนตามสัญชาตญาณ ทว่ายิ่งดิ้นรน พลังวิญญาณก็ยิ่งรั่วไหลเร็วขึ้น! นางตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที!
กู้ซีจิ่วก็งุนงงอยู่ครู่หนึ่งเช่นกัน เธอเข้าใจว่าฮวาอู๋เหยียนต้องการบีบมือให้เธอเจ็บปวด ดังนั้นจึงโคจรพลังวิญญาณเพื่อต่อต้านเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะดูดพลังวิญญาณคนได้!
พลังวิญญาณของฮวาอู๋เหยียนยิ่งมาก การดิ้นรนขัดขืนก็ยิ่งรุนแรง พลังวิญญาณที่กู้ซีจิ่วดูดมาก็ยิ่งเยอะ! พลังวิญญาณของอีกฝ่ายไหลเข้าสู่ฝ่ามือของเธอดังสายน้ำไหล จากนั้น…ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
กู้ซีจิ่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ฮวาอู๋เหยียนถูกดูดพลังวิญญาณออกไปจนใบหน้าซีดเผือด ขาทั้งสองข้างอ่อนปวกเปียก…
“ปล่อยมือ เจ้าปล่อยมือ!” เดิมทีฮวาอู๋เหยียนต้องการร้องตะโกนเสียงดัง ทว่าสายตานางมืดมัวเป็นพักๆ ตะโกนออกมาไม่ได้เลย พูดออกมาได้ไม่กี่คำก็เปรียบเสมือนเสียงแมวร้อง
เมื่อรอให้กู้ซีจิ่วมีปฏิกิริยาตอบสนองและปล่อยมือนาง นางก็ยืนไม่อยู่แล้ว ล้มฟุบลงไปดังตุบต่อหน้ากู้ซีจิ่ว
คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทุกคนเพียงแต่เห็นว่าฮวาอู๋เหยียนคุกเข่าคารวะหลังจากที่จับมือกับกู้ซีจิ่วอย่างสนิทสนม ต่างตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง
หลังจากความเงียบสงัดก็มีคนในฝูงชนตะโกนขึ้นมา “ดี! แม่นางกู้ปราดเปรื่องทั้งบุ๋นบู๊ แม้แต่สานุศิษย์สวรรค์เจ้าสำนักฮวาแห่งสำนักหยินหยางก็เลื่อมใสนางจนหมอบราบกราบกราน! แม่นางกู้แข็งแกร่งที่สุด!”
คนผู้นี้ตะโกนนำมา ย่อมกระตุ้นอารมณ์ของคนอื่นๆ ด้วย ต่างทยอยส่งเสียงโห่ร้องกันขึ้นมาอีก
ใบหน้างดงามของฮวาอู๋เหยียนดำคล้ำ กู้ซีจิ่วก็ขบเม้มริมฝีปากบางๆ เล็กน้อย ยากที่จะเอื้อนเอ่ย
พวกหลงซือเย่เดินเข้ามา มองดูทั้งสองคนที่ยืนคนหนึ่ง คุกเข่าคนหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเชียนเยวี่ยหร่านเอ่ยถามด้วยความงุนงง “เป็นอะไรไป?”
เทียนจี้เยวี่ยเหมือนจะดูบางอย่างออก “เจ้าสำนักฮวา เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“นางดูดพลังวิญญาณข้า!” ในที่สุดฮวาอู๋เหยียนก็เอ่ยปากพูดได้แล้ว ถึงแม้เสียงไม่ดัง ทว่าก็ทำให้หลายคนตกตะลึง!
ในหมู่ผู้ฝึกฝน การดูดพลังวิญญาณคนอื่นเป็นวิชามารอย่างหนึ่ง และเป็นวิชามารที่ผู้ฝึกฝนเกลียดชังมากที่สุด!
ใบหน้าเชียนเยวี่ยหร่านเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้กระมัง?! เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าวรยุทธ์ที่แม่นางกู้ฝึกฝนเป็นวรยุทธ์ดั้งเดิม…”
สีหน้าเทียนจี้เยวี่ยเคร่งขรึม “เจ้าสำนักฮวาไม่อาจพูดจาเหลวไหลได้! แม่นางกู้เป็นศิษย์สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ และเป็นคนที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้ความไว้วางใจมากที่สุด นางไม่มีทางฝึกฝนวิชามารเช่นนั้นหรอก!”
หลงซือเย่กล่าวด้วยสีหน้าดุดันเช่นกัน “ข้าสนิทสนมกับซีจิ่วมาเนิ่นนาน ไม่เคยได้ยินว่านางดูดพลังวิญญาณคนได้มาก่อน เจ้าสำนักฮวา เข้าใจผิดแล้วกระมัง?”
“จะเข้าใจผิดได้อย่างไรกัน! พลังวิญญาณของข้าแทบจะถูกนางดูดไปกว่าครึ่ง! มิน่า ไม่กี่ปีมานี้ พลังวิญญาณของนางถึงได้เพิ่มขึ้นรวดเร็วปานนี้! ที่แท้ก็อาศัยการดูดพลังวิญญาณคนอื่นมาเป็นของตัวเอง!” ฮวาอู๋เหยียนที่พลังวิญญาณลดฮวบทั้งโกรธเกรี้ยวและขุ่นเคือง แทบจะเป็นบ้าจนควบคุมตัวเองไม่ได้
น่าเสียดายที่ซุ่มเสียงของนางแผ่วเบาดังเสียงแมวร้อง มิเช่นนั้น ผู้คนในจัตุรัสคงได้ยินเสียงนางกันหมดแล้ว!
ทว่าสานุศิษย์สวรรค์ทั้งหลายล้วนยังคงได้ยิน สายตาหลายคู่จ้องมองไปทางกู้ซีจิ่วพร้อมกัน
ตัวกู้ซีจิ่วเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทว่าเธอไม่เข้าใจการดูดพลังวิญญาณคน แต่ก็ไม่มีหนทางจะปฏิเสธ เธอสูดลมหายใจเบาๆ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ ก็มีลมอ่อนโชยมาจากกลางอากาศ คนผู้หนึ่งร่อนกายลงอย่างสง่างาม “มีเรื่องอันใดกัน?”
หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหว ตี้ฝูอี ในที่สุดเขาก็ตามมาทัน!
คนอื่นย่อมคารวะตี้ฝูอี สายตาฮวาอู๋เหยียนพลันวาบไหว “ฝูอี ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว! แม่นางกู้ท่านนี้ นางดูดพลังวิญญาณของข้า เจ้าต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้า…”
ตี้ฝูอีไม่มองกู้ซีจิ่วแม้แต่น้อย แต่กลับเอ่ยถามฮวาอู๋เหยียน “นางดูดพลังวิญญาณเจ้า? มีหลักฐานหรือไม่?”
ฮวาอู๋เหยียนหยุดชะงัก “ข้า เมื่อสักครู่ข้าจับมือนาง ถูกดูดพลังวิญญาณไปในช่วงเวลานั้นหายไปกว่าครึ่ง! เป็นช่วงเวลานั้น!”
ในที่สุดสายตาของตี้ฝูอีก็ร่อนลงบนร่างของกู้ซีจิ่ว
————————————————————————————-
บทที่ 1537 จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อ!
สายตาของเขาไม่มีความอบอุ่นสักเท่าไหร่ หัวใจกู้ซีจิ่วพลันหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เดิมทีเธอคิดจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ถูกเขากวาดตามองแวบหนึ่ง วาจาที่อยากพูดก็พูดไม่ออกแล้ว
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร ตรงเข้ามากุมมือของกู้ซีจิ่วไว้…
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าแต่งงานกับเขามาแปดปีแล้ว เคยแนบชิดสนิทในกับเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยามนี้เมื่อเขากุมมือเธอไว้ หัวใจเธอกลับเต้นกระหน่ำขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
“ข้าไม่ได้…” กู้ซีจิ่วต้องการกล่าวว่า ‘ข้าไม่ได้ตั้งใจ’ พลังวิญญาณของตี้ฝูอีก็ไหลเข้ามาแล้ว ทำให้เธอไม่อาจพูดออกมาได้
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ปล่อยมือเธอ สายตาร่อนลงบนร่างฮวาอู๋เหยียนอีกครั้ง “บนร่างไม่มีพลังวิญญาณของเจ้าเลยสักนิด!”
ฮวาอู๋เหยียนตะลึง วิชามารทั้งหมดที่ดูดพลังวิญญาณคนล้วนจะดูดพลังวิญญาณมาไว้ในร่างตน และไม่ว่าจะมีวรยุทธ์แข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่อาจย่อยสลายพลังวิญญาณที่ดูดมาจากผู้อื่นได้ทันที อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในร่างกายเกือบครึ่งวัน
ส่วนฮวาอู๋เหยียนกับกู้ซีจิ่วจับมือกับยังไม่ถึงครึ่งเค่อด้วยซ้ำ หากว่านางดูดพลังวิญญาณของฮวาอู๋เหยียนไปจริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่ในร่างจะไม่มีพลังวิญญาณของอีกฝ่ายอยู่…
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเป็นผู้ล้วนเชี่ยวชาญวรยุทธ์ ย่อมทราบถึงเหตุผลข้อนี้เช่นกัน
ฮวาอู๋เหยียนทึ่มทื่อไปชั่วขณะ “เป็นไปไม่ได้! นางเพิ่งดูดของข้าไปชัดๆ…“
ตี้ฝูอีกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้ามั่นใจหรือว่าพลังวิญญาณของเจ้าลดน้อยลงมิใช่เพราะเมื่อครู่เพิ่งออกแรงในพิธีส่งวิญญาณมา? พิธีกรรมเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไม่น้อยกันทั้งนั้น”
พวกหลงซือเย่ก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาก็สิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากมายยิ่งนักจริงๆ ต่อให้ไม่ถึงครึ่งก็เป็นหนึ่งในสาม
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อ!” ฮวาอู๋เหยียนส่ายหน้า
แววตาตี้ฝูอีเยียบเย็นนิดๆ “ทำไม? แม้แต่ข้าก็ไม่เชื่อแล้วรึ?”
“ข้า…ข้าเปล่า…ข้าเพียงแค่…”
ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ “เชียนเยวี่ยหร่าน เจ้าเข้ามาทดสอบนางดู ทำให้เจ้าสำนักฮวาคลายข้อสงสัย!”
เชียนเยวี่ยหร่านก้าวเข้ามาจริงๆ ยื่นมือไปตรวจสอบชีพจรของกู้ซีจิ่ว ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ส่ายหน้าให้ฮวาอู๋เหยียน“ในร่างนางไม่มีพลังวิญญาณของเจ้าจริงๆ อู๋เหยียน เจ้าคงจะเหนื่อยเกินไป จึงประสาทหลอนไปเอง”
ฮวาอู๋เหยียนพูดไม่ออกแล้ว นางอ้าปากค้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเชียนเยวี่ยหร่านดียิ่งนัก เขาไม่มีทางหลอกนางเด็ดขาด
แววตาตี้ฝูอีคมปลาบ “เจ้าสำนักฮวา เห็นแก่ที่เจ้าสร้างความชอบในพิธีส่งวิญญาณครั้งนี้ ข้าจะไม่สืบสาวเอาความเจ้าโทษฐานปรักปรำนาง ถ้าครั้งหน้ามีอีก จะไม่ผ่อนผันให้เด็ดขาด!”
ตัวฮวาอู๋เหยียนเองก็ทึ่มทื่อไปแล้วเช่นกัน ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เพียงเบิกตามองตี้ฝูอีลากกู้ซีจิ่วจากไปทันที
แน่นอนว่ายามที่ตี้ฝูอีจากไปก็ได้โยนขวดโอสถออกมาสี่ขวด สานุศิษย์สวรรค์ทุกคนได้กันคนละขวดล้วนเป็นโอสถระดับแปดที่มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูพลังวิญญาณยิ่งนัก ได้ยินว่าเป็นรางวัลที่ท่าเทพศักดิ์สิทธิ์ปูนบำเหน็จให้พวกเขาในพิธีส่งวิญญาณครั้งนี้…
….
ณ ริมคูเมือง กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนโขดหินก้อนหนึ่ง ตี้ฝูอีก็ยืนอยู่ข้างกายเธอ มองดูสายน้ำไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
กู้ซีจิ่วก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะลากตนมาที่นี่ “มาที่นี่ทำไม?”
ตี้ฝูอีมองเธอแวบหนึ่ง “เมื่อวานเจ้าอยากเจอข้าที่นี่มิใช่หรือ?”
เขาพูดจาคล้ายทีเล่นทีจริง “เมื่อคืนได้กระโดดน้ำหรือไม่? ไม่นึกว่าเจ้าจะเรียนรู้กลยุทธ์เช่นนี้เป็นด้วย หนึ่งร้องไห้สองโวยวายสามกระโดดน้ำ…”
กู้ซีจิ่วอยากเตะเขานักเชียว “ท่านคิดจะด่าว่าข้าเป็นหญิงปากร้ายงั้นรึ?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ข้ารู้สึกว่า ตอนนี้เจ้าใจเย็นลงไม่น้อยแล้ว เอาล่ะ ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น?”
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ยังคงเล่าออกมาตามความจริง พูดเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกมาตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งรอบ ยังกล่าวอีกว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย”
บทที่ 1538 เนื้อปลาที่ยอมให้คนเชือด
ตี้ฝูอีฟังเธอเล่าจนจบอยู่เงียบๆ จู่ๆ ก็จับมือข้างหนึ่งของเธอไว้ ออกแรงบีบทันที!
กู้ซีจิ่วเจ็บปวดจึงโคจรวรยุทธ์ต่อต้านตามสัญชาตญาณ จากนั้นพลังวิญญาณของตี้ฝูอีก็พุ่งเข้าสู่ฝ่ามือเธอ! เหมือนตอนที่จับมือฮวาอู๋เหยียนไว้ พลังวิญญาณที่ถูกดูดเข้ามาไหลมายังไม่ทันถึงศอกเธอ ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว!
แรงดูดนั้นทรงพลังเหลือเกิน แม้กระทั่งตี้ฝูอีที่เตรียมใจไว้แล้ว ยามที่สัมผัสถึงแรงดูดที่ผิดปกติได้เพียงน้อยก็ผละมือออก พลังวิญญาณนั้นก็ยังถูกดูดเข้าไปไม่น้อยเลยเสมือนสายน้ำที่ไหลลงสู่ทะเล
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ บนร่างกู้ซีจิ่วไม่มีพลังวิญญาณที่ดูดมาจากอีกฝ่ายเลยสักนิด
นี่เป็นวรยุทธ์ชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นและไม่เป็นประโยชน์ต่อตนโดยแท้
กู้ซีจิ่วเม้มปากแน่น ตี้ฝูอีก็ขมวดคิ้วนิดๆ เช่นกัน ถามว่าระยะนี้เธอผิดปกติตรงไหนบ้างหรือไม่
กู้ซีจิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็นึกถึงความฝันนั้น ด้วยเหตุนี้จึงเล่าเนื้อหาในความฝันนั้น สุดท้ายเธอจึงคาดเดา “เป็นเพราะความฝันนั้นหรือเปล่า? นี่เป็นการลงโทษที่ข้าสังหารเซียนหรือ?”
ตี้ฝูอีกลับคล้ายว่าจะไม่เห็นด้วย “เป็นความฝันหนึ่งเท่านั้น มิใช่เรื่องจริง หากว่าสังหารเซียนแล้วต้องถูกลงทัณฑ์ เช่นนั้นข้าสิถึงจะเป็นผู้ต้องหาหลัก คนที่พวกเขาสมควรลงโทษที่สุดคือข้า มิใช่เจ้า”
กู้ซีจิ่วเพ่งพิศเขาขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครา จู่ๆ ก็ดึงตัวเขา ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็กดเขาลงบนศิลาเขียวทันที!
ตี้ฝูอีหรี่ตานิดๆ มองดูเธอ ทว่าไม่ดิ้นรนขัดขืน มุมปากคล้ายยิ้มมิเชิงยิ้ม “นี่เจ้าจะทำอะไร?”
กู้ซีจิ่วเม้มปากแน่น ยื่นมือไปแกะเสื้อผ้าเขา…
ลมแม่น้ำเยือกเย็น ศิลาเขียวเย็นเฉียบ
แกะเสื้อผ้าออกจนตี้ฝูอีแทบจะเปลือยครึ่งท่อนแล้ว ในที่สุดเขาก็ยื่นมากุมข้อมือบอบบางของเธอไว้ “เด็กน้อย เจ้าคิดจะครอบครองข้าที่นี่หรือ?”
กู้ซีจิ่วกลับไม่หน้าแดงเลย ตวัดมือกุมมือเขาไว้ น้ำเสียงดุร้าย “ใช่แล้ว เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะย่ำยีเจ้าที่นี่ก่อนแล้วค่อยสังหารทิ้ง?”
ตี้ฝูอีจึงนอนกางแขนเสียเลย “ได้ มาเลย!” พริ้มตาลงเล็กน้อย ท่าทางเหมือนเนื้อปลาที่ยอมให้คนเชือด
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลยจริงๆ
เธอย่อมไม่ได้คิดจะประกอบกิจกับเขาที่นี่จริงๆ เธอปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “ฝันไปเถอะ!”
จากนั้นก็เริ่มพิศสำรวจบนร่างเขาอย่างละเอียด
บนร่างไม่มีบาดแผลใดๆ เลย ไม่บาดเจ็บภายนอก ตัดทิ้ง!
ชีพจรสงบมั่นคง ภายในก็ไม่บาดเจ็บเช่นกัน ตัดทิ้ง!
ผิวใสดั่งหยก สีเสน่ห์ดึงดูด แวววาวสุขภาพดี ความเป็นไปได้ว่าจะถูกพิษก็ตัดทิ้งไปได้เช่นกัน!
กู้ซีจิ่วตรวจสอบเขาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง พบว่าบนร่างเขาไม่มีความผิดปกติใดเลย ในที่สุดก็วางใจแล้ว ยื่นมือไปผูกสาบเสื้อเขา มองเขาอย่างจริงจัง “สรุปแล้วพักนี้ท่านมีอะไรปิดบังขาอยู่หรือเปล่า? ฝูอี พวกเราเป็นสามีภรรยากันมาแปดปีแล้ว ข้าหวังว่านอกจากเรื่องที่เป็นลิขิตสวรรค์จริงๆ แล้ว พวกเราจะซื่อสัตย์ต่อกัน ข้าไม่อยากถูกปิดหูปิดตา…”
แววตาตี้ฝูอีวูบไหวเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยเช่นนี้?”
กู้ซีจิ่วก็ตอบอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก “พักนี้ท่านเย็นชากับข้ามาก! ยังมีอีก เรื่องงานแต่งของพวกเราท่านก็ทำตัวคลุมเครือขอไปที ท่านรู้ไหมว่าการแต่งงานของพวกเราไม่มีปรากฏอยู่ในบันทึกการสมรสของอาณาจักรเฟยซิง ข้ายังเป็นโสดอยู่…”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ซีจิ่ว เจ้าคิดมากไปแล้ว! ปัญหาวุ่นวายที่ไอ้ตัวปลอมผู้นั้นทิ้งไว้ไม่อาจสะสางจัดการให้ดีได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ พักนี้ข้ายุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้นแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราก็แต่งกันแล้ว ยามนี้ขาดแค่พิธีการเท่านั้น เหตุเจ้าต้องร้อนรนอีกเล่า? ข้าไม่อยากจัดพิธีแบบลวกๆ ขอไปที จะจัดทั้งทีก็ต้องจัดอย่างสง่างามสมเกียรติ แต่ตอนนั้นไม่มีเวลาจริงๆ…”
กู้ซีจิ่วอึกอัก “แต่ว่า…แต่ว่า…” เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่าบอกไม่ได้เช่นกันว่าไม่ถูกต้องตรงไหน
ตี้ฝูอีลูบไหล่เธอ “เอาล่ะ อย่าได้คิดเหลวไหลเลย เจ้าก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน กลับไปพักก่อนเถิด เรื่องวิวาห์รอพวกเราว่างทั้งคู่แล้วค่อยว่ากัน”
————————————————————————————-
บทที่ 1539 มีผลลัพธ์ยังไง?”
เขาเพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ ป้ายหยกตรงบั้นเอวก็สว่างวาบขึ้นมา เขามองแวบหนึ่ง เอ่ยถามกู้ซีจิ่ว “ข้ายังมีธุระต่อ ข้าไปส่งเจ้ากลับจวนดีไหม?”
กู้ซีจิ่วดึงแขนเสื้อเขาไว้ “มีเรื่องใดหรือ? ต้องการให้ข้าช่วยไหม?”
“ไม่ต้องหรอก วันนี้เจ้าเหนื่อยมากพอแล้ว หน้าที่หลักก็คือพักผ่อน! เอาล่ะ ไปกันเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้ากลับจวน”
พลางดึงมือเธอให้ออกเดิน
เท้าของกู้ซีจิ่วนิ่งอยู่ที่เดิม “ท่านมีธุระก็ไปจัดการเถอะ ข้าอยากรับลมอยู่ตรงนี้ต่อ”
ตี้ฝูอีก็ไม่บังคับเธอ “เช่นนั้นก็ได้ อย่ารับลมนานเกินไป กลับไปพักให้เร็วหน่อย”
พลันหมุนกาย หายลับไปทันที
ริมแม่น้ำกลับสู่ความอ้างว้างดั่งที่เคยเป็น กู้ซีจิ่วยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ รู้สึกเพียงว่าในใจว่างเปล่าอย่างน่าประหลาด
ด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าตี้ฝูอีเฉยชาต่อเธอ เป็นเธออ่อนไหวเกินไปหรือ? หรือว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ?
หรือว่านี่ก็คืออาถรรพ์เจ็ดปีในตำนาน?
กู้ซีจิ่วโยนหินก้อนหนึ่งลงน้ำ หินก้อนน้อยเด้งไปบนผิวน้ำต่อเนื่องกันหลายก้าว ถึงร่วงหล่นสู่สายน้ำ แต่ก่อระลอกคลื่นกระเพื่อมเป็นวงบนผิวน้ำ คงอยู่เป็นเวลานาน เสมือนระลอกคลื่นในใจเธอ…
เธอยืนรับลมอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างปลดปลง ระยะนี้ตนเป็นเดือดเป็นร้อนในผลประโยชน์ส่วนตนเหลือเกิน ไม่เหมือนตัวเองเลย!
ยามนี้เรื่องที่ต้องจัดการยังมีอยู่มากมายนัก เหตุใดเธอต้องมายุ่งเหยิงพัวพันความรักหนุ่มสาวพวกนี้ด้วยล่ะ?
เธอบิดขี้เกียจอยู่ริมแม่น้ำ เอาล่ะ กลับบ้านไปนอนดีกว่า!
กู้ซีจิ่วหันหลังไป จู่ๆ ก็นิ่งไปอีกครั้ง หลงซือเย่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป กำลังมองเธออยู่
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม เดินเข้าไปหาทันที “ครูฝึกหลง คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่? มาเงียบๆ แบบนี้ ทำฉันตกใจหมด!”
หลงซือเย่ก้าวเข้ามา “ซีจิ่ว เธอรู้สึกผิดปกติตรงไหนบ้างไหม?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่มีอะไรผิดปกตินี่”
พูดยังไม่จบดี หลงซือเย่ก็ฉวยมือเธอทันที! ออกแรงเล็กน้อย พลังวิญญาณหลั่งไหลออกมาในทันใด!
กู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง ยามนี้ดีร้ายอย่างไรเธอก็มีประสบการณ์แล้ว รีบสลัดเขาออกทันที “คุณทำอะไร?”
“ที่ฮวาอู๋เหยียนพูดเป็นความจริง! ถูกไหม?” หลงซือเย่ถามเข้าประเด็น
กู้ซีจิ่วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เลิกคิ้ว “คุณจะมาไต่สวนทวงความเป็นธรรมแทนนางเหรอ?”
หลงซือเย่ส่ายหน้า “ซีจิ่ว ฉันไม่ได้เป็นห่วงนาง ฉันแค่เป็นห่วงเธอ! สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เธอฝึกฝนวิชามารอะไรจริงๆ น่ะเหรอ? แต่วิชามารนี้ของเธอก็ส่งร้ายต่อผู้อื่นและไม่เป็นผลดีต่อตัวเองใช่ไหม? ไม่มีผลดีกับเธอเลย แถมยังชักนำหายนะมาได้ง่ายๆ ด้วย ทำให้คนอื่นมองว่าเธอเป็นมารนอกรีตต้องกำจัด”
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว เล่าเรื่องราวคร่าวๆ ออกมาอีกรอบหนึ่ง
หลงซือเย่สนใจความฝันของเธอมาก ซักถามถึงความฝันของเธออย่างละเอียดมากมาย
หลังถามจบเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยข้อสรุป “ซีจิ่ว เคล็ดดูดพลังวิญญาณนี้ของเธอไม่ใช่พร แต่เป็นบทลงโทษอย่างหนึ่ง! บทลงโทษที่สังหารเซียน!”
กู้ซีจิ่วมองเขา รอเขาพูดต่อ “ในอดีตนานมาแล้วฉันเคยได้ยินนิทานประเภทนี้ บอกว่ากระต่ายตัวหนึ่งของดินแดนเบื้องบนก่อเกิดจิตนึกรู้ แล่นลงมาก่อความวุ่นวายในดินแดนเบื้องล่างของพวกเรา ถูกผู้บำเพ็ญคนหนึ่งสังหาร ผลคือผู้บำเพ็ญคนนี้ก็ฝันเช่นกัน ความฝันของเขาคล้ายคลึงกับเธอมาก ถูกอัสนีทองผ่า หลังจากเขาตื่นมาก็พบว่าตัวเองสามารถดูดพลังยุทธ์ของผู้อื่นได้…เธอรู้ไหมว่าสุดท้ายเขามีผลลัพธ์ยังไง?”
“มีผลลัพธ์ยังไง?”
“เริ่มแรกยามที่เขาจับมือกับผู้คนเท่านั้นถึงจะดูดพลังวิญญาณของคนอื่นได้ แต่ต่อมาได้พัฒนาถึงขั้นที่แค่แตะถูกตัวคนอื่นก็สามารถดูดพลังวิญญาณได้! เขาไม่อาจกอดภรรยา ไม่อาจกอดบุตรได้ ถูกคนฝ่ายธรรมะทั้งหมดมองว่าเป็นมารร้ายจึงมาไล่ล่าสังหาร! สุดท้ายภรรยาของเขาก็ตัดสัมพันธ์กับเขา ลูกชายของเขาถึงขั้นที่พาคนมาไล่ล่าสังหารบิดาตน! เขารับแรงกดดันเช่นนี้ไม่ไหว สุดท้ายจึงฆ่าตัวตาย…”
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น