คัมภีร์วิถีเซียน 1533-1536

ตอนที่ 1533 กระบี่วิญญาณถือกำเนิด

 

 


 


ต่อให้เขาไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านนอกม่านหมอกได้ ก็รู้ว่าตัวเองจะต้องถูกดูดเข้าไปหลุมดำ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้น


 


 


ภายใต้ความร้อนใจ หานลี่ใช้มือหนึ่งตบไปที่หว่างคิ้ว


 


 


ขณะนั้นตรงจุดนั้นพลันมีลำแสงสีดำพลันสว่างวาบ ดวงตาสีดำสนิทข้างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น


 


 


นั่นก็คือเนตรทำลายล้างที่หานลี่ฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี


 


 


ในเมื่อการโจมตีธรรมดาๆ ไม่มีผลต่อม่านหมอก ก็มีเพียงต้องลองใช้อิทธิฤทธิ์การทลายอาคมเช่นนี้ดูสักครั้ง


 


 


หานลี่คิดวิธีนี้ออกมาท่านกลางความร้อนรน เห็นได้ชัดว่าทำถูกแล้ว


 


 


เห็นเพียงเสาลำแสงสีดำขนาดเท่านิ้วมือสายหนึ่งพุ่งออกมาจากเนตรทำลายล้าง หมอกสีโลหิตที่ดูแข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้ เพียงกะพริบวาบ แล้วถูกทะลวงผ่าน


 


 


จากนั้นเสาลำแสงสายบางก็ตวัดผ่าน กรีดออกเป็นรูขนาดสองสามจั้งรูหนึ่ง


 


 


ทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย หานลี่ที่โอบกอดความคิดนี้เอาไว้พลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็รู้สึกยินดีขึ้นมา


 


 


เขากระพือปีกที่แผ่นหลังอย่างไม่ต้องคิด คนก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินออกมาจากม่านหมอก


 


 


เมื่อแสงวิญญาณหม่นลง ร่างของหานลี่ก็ออกมาจากกลางหลุมดำ ปีกทั้งสองกระพือไปมาไม่หยุด


 


 


นี่ไม่ใช่การอาศัยเคล็ดวิชาหลีกหนีอะไร ล้วนอาศัยพลังเหาะเหินของปีกวายุอัสนี ถึงได้ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศได้


 


 


มิเช่นนั้นเกรงว่าเขาที่อยู่นอกหลุมดำคงจะตกลงไปด้านล่างในทันที


 


 


รอบด้านกลับมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาระลอกหนึ่ง เงาลวงตาสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาพร้อมกัน


 


 


หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม สองมือถูกันไปมา


 


 


เสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนดีดตัวพุ่งออกมาจากมือ


 


 


ประจุไฟฟ้าเหล่านี้มีความหนามากเป็นพิเศษ เหนือกว่าอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของหานลี่ก่อนหน้านี้


 


 


นี่คือประโยชน์ที่บังเอิญได้มาจากการที่เขาใช้เคล็ดวิชาบ่มเพาะกระบี่ กระบี่บินที่หลอมขึ้นใหม่ไม่เพียงจะดูดซับพลังวิญญาณของไผ่อัสนีทองไปจนเกลี้ยง ยังนำอัสนีเทวาเป่าปัดภยันตรายที่ผสมอยู่เข้าไปใช้อีกด้วย


 


 


ผลของการทำเช่นนี้ นอกจากจะทำให้หลอมกระบี่บินจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่ว่าจำนวนหรืออานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่ผสมอยู่ ล้วนเพิ่มขึ้นขั้นหนึ่ง


 


 


ครานี้หลังจากที่ถูกหานลี่ควบคุมออกมาแล้ว แน่นอนว่าย่อมเผยความไม่อาจต้านทานได้ออกมา!


 


 


หลังจากเสียงระเบิด ครืนครัน ดังขึ้น ภายใต้แสงอัสนีสีทองที่สว่างวาบ เงาลวงตาสีโลหิตที่กระโจนเข้ามาจากรอบด้านพลันทยอยกันดีดตัวออกไป แต่จำนวนของเงาโลหิตมันมากเกินไป ราวกับว่ามีมากมายจนนับไม่ถ้วน ทุกตนล้วนกรูกันเข้ามาหาหานลี่ราวกับไม่กลัวความตาย บางตัวที่ร่างหนาแน่นหน่อย ก็อ้าปากออกพ่นเส้นไหมโลหิตที่มีกลิ่นค้าวคละคลุ้งออกมา ทะลวงผ่านตาข่ายที่สร้างขึ้นจากอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย เข้ามาใกล้หานลี่


 


 


ทว่าภายใต้สองมือประกบร่ายอาคมของหานลี่ เส้นไหมโลหิตเหล่านี้พลันถูกกระบี่ลำแสงมายาที่ปล่อยออกมาอย่างฉับพลันต้านทานเอาไว้


 


 


แสงสีเขียวกะพริบเรืองๆ เส้นไหมสีโลหิตขาดออกเป็นสาย ถูกทำลายจนแหลกละเอียด


 


 


และในครานั้น เขตอาคมลำแสงสีโลหิตพลันเปล่งเสียงร้องออกมาดังเข้าไปในโสตประสาทของหานลี่ ในหลุมดำมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


 


หานลี่กวาดสายตาไปรอบทิศ รู้แล้วว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่รู้จัก


 


 


ภายใต้ใบหน้าที่กำลังเปลี่ยนสีของเขา ปีกที่แผ่นหลังก็กระพือคราหนึ่ง พลันกะพริบวาบสองสามครามาอยู่ตรงริมขอบของหลุมดำ หมายจะบินออกไป


 


 


ปัง เสียงดังขึ้นอย่างเวทนา


 


 


ร่างของหานลี่ซวนเซ ราวกับว่าปะทะเข้ากับแพงไร้รูปร่าง ถูกเขตอาคมโปร่งแสงชั้นหนึ่งดีดกลับมา


 


 


หลังจากที่ปีกบนแผ่นหลังกระพืออย่างบ้าคลั่งสองสามครั้ง ร่างของหานลี่ถึงได้กลับมามั่นคง แน่นอนว่าย่อมเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว


 


 


ในตอนที่เขาคิดจะพลิ้วกาย แล้วสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาทลายเขตอาคมออกมาอีกครั้ง ส่วนลึกของหลุมดำกลับมีแรงดูดมหาศาลกลุ่มหนึ่งส่งออกมา!


 


 


พลังมหาศาลนี้แทบจะทำให้หานลี่ไม่อาจต้านทานได้ ถูกดึงกลับเข้าไปยังจุดเดิมในพริบตาและต่อเนื่องไม่หยุด


 


 


หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ในใจรู้สึกตื่นตะลึงมากแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว!


 


 


เขตอาคมลำแสงสีโลหิตสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผิวของเขตอาคมลำแสงเริ่มรางเลือน แล้วค่อยๆ โปร่งแสงขึ้น ราวกับว่าจะหายวับไปได้ตลอดเวลา


 


 


ทุกอย่างนี้พูดไปก็ยาว แต่กลับเกิดขึ้นแค่ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้น


 


 


หานลี่ถูกพลังดูดมหาศาลในหลุมดำกักเอาไว้ ภายใต้ความร้อนใจ ก็ไม่สนใจสิ่งใดอีก พลันสำแดงความสามารถทั้งหมดออกมา ขอเพียงให้หลุดพ้นจากพันธนาการนี้ไปได้เท่านั้น


 


 


ชั่วพริบตานั้นเห็นเพียงรอบด้านของหานลี่ระเบิดรัศมีสีทอง หมอกสีเทา เปลวเพลิงห้าสี ประจุไฟฟ้าอัสนีสีทอง รวมทั้งกระบี่ลำแสงสีเขียวเป็นสายๆ ออกพร้อมกัน


 


 


สำแดงอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ออกมาในเวลาเดียวกัน อานุภาพจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนแค่คิดก็รู้แล้ว!


 


 


เห็นเพียงแสงเปลวเพลิงหลากสีสันลอยขึ้นลงไปมา ปกคลุมร่างของหานลี่เอาไว้จนมิด


 


 


แม้ว่าแรงดึงดูดขุมนั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหน เพียงพริบตาก็อ่อนกำลังลง


 


 


หานลี่พลันดีใจ หมายจะบินออกจากหลุมดำในทันใด เงาโลหิตรอบด้านกลับเปล่งเสียงกรีดร้องขึ้น จากนั้นเสียง กึกๆ พลันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดไม่ถึงว่าภายใต้พลังประหลาดนี้ มันจะระเบิดออกแล้วสลายตัวพร้อมกัน กลายเป็นม่านลำแสงสีโลหิตเป็นกลุ่มๆ


 


 


ทันใดนั้นม่านลำแสงเหล่านั้นพลันหายวับไปกับตา จมหายเข้าไปในส่วนลึกของหลุมดำอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หานลี่สัมผัสได้ถึงทิวทัศน์รอบด้านอย่างรางเลือน ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างประหลาดกลุ่มหนึ่งทะลักเข้ามาในจิตใจ นี่คือเหตุการณ์ใกล้จะส่งตัวอยู่รอมร่อที่เขามีประสบการณ์มาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว


 


 


“แย่แล้ว”


 


 


แม้ว่าหานลี่จะไม่รู้ว่าจะถูกส่งตัวไปที่ใด แต่คิดดูก็รู้แล้วว่า ต้องไม่ใช่สถานที่ที่ดีอย่างแน่นอน


 


 


ทันใดนั้นเนตรทำลายล้างตรงหว่างคิ้วพลันมีลำแสงสีดำสว่างจ้า พ่นเสาลำแสงสีดำสายหนึ่งออกมา


 


 


ลำแสงสีดำกะพริบวาบ เสาลำแสงจมหายไปรอบๆ ด้าน ชั่วขณะนั้นทิวทัศน์ที่รางเลือนพลันแจ่มชัดขึ้น แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม


 


 


หานลี่มีสีหน้าเขียวคล้ำ หว่างคิ้วมีลำแสงสีดำแสบตา ลำแสงสีดำเป็นสายๆ พุ่งออกไปด้านล่างทั้งสี่ด้านอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกันเหนือศีรษะก็มีเทวรูปสามเศียรหกกรกำลังร่ายรำกรทั้งหกไปมาปรากฏขึ้น ลำแสงสีทองเป็นสายๆ ปรากฏขึ้น หมายจะตัดการส่งตัวครั้งนี้


 


 


แต่กลางหลุมดำพลันมีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น การโจมตีทั้งหมดล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น


 


 


เห็นได้ชัดว่าการส่งตัวนี้และสิ่งที่เขาเคยพบมาก่อนหน้านั้นไม่เหมือนกันนัก คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีเหล่านี้เลยสักนิด


 


 


หานลี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกไร้พละกำลัง ในเวลาเดียวกันในใจพลันรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา


 


 


จากประสบการณ์ก่อนหน้าเมื่อทัศนียภาพรอบๆ เริ่มรางเลือน เขาก็น่าจะถูกส่งตัวไปในครู่ต่อมาถึงจะถูก แต่เหตุใดขั้นตอนตรงหน้าถึงได้ยาวนานเช่นนี้!


 


 


ในขณะที่หานลี่กำลังตะลึงตะลาน ในหัวมีความคิดผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ฉับพลันนั้นก็รู้สึกเพียงว่ามือที่กำผลสวรรค์ทมิฬไว้เจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่ม ราวกับถูกของแหลมคมปักลงที่กลางฝ่ามือ


 


 


เขาพลันตกตะลึง รีบร้อนก้มหน้าลงไปมอง


 


 


ถึงได้พบว่าเป็นเพราะตนเองโคจรเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พรามหณ์ศักดิ์สิทธิ์จนถึงขีดสุด ดังนั้นฝ่ามือจึงมีลำแสงสีทองระยิบระยับ ถูกแทงจนเป็นรูเล็กๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ หยาดโลหิตสดๆ ไหลออกมา และตรงตำแหน่งเดิมที่กำผลสวรรค์ทมิฬเอาไว้ ก็มีกิ่งไม้แหลมๆ งอกออกมา ด้านบนมีคราบโลหิตอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นต้นเหตุ


 


 


ต้องเข้าใจว่ากายเนื้อของหานลี่แข็งแกร่งกว่าสมบัติอาคมธรรมดาๆ หลายเท่า ประกอบกับที่โคจรเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ ฝ่ามือในยามนี้จึงแข็งแกร่งกว่ายามปกติหลายส่วน


 


 


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังถูกกิ่งไม้เล็กๆ ทิ่มเป็นรูได้อย่างง่ายดาย หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นด้วยตาของตนเอง ก็คงไม่อยากจะเชื่อ


 


 


ขณะมองความเปลี่ยนแปลงของผลสวรรค์ทมิฬ หานลี่พลันมีสีหน้าฉงน ยังไม่ทันได้ห้ามโลหิต ผลสวรรค์ทมิฬก็เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ โลหิตบริสุทธิ์ถูกดูดเข้าไปในเปลือกของมัน จากนั้นเสียงไพเราะก็ดังออกมาจากเจ้าผลนั้น ดังจนไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า


 


 


ครู่ต่อมาหานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่ พลันสะบัดข้อมือหมายจะโยนผลสวรรค์ทมิฬออกไปราวกับถูกอสรพิษกัด แต่สิ่งนี้กลับเกาะติดอยู่บนฝ่ามือของเขาราวกับกาวติดแน่น ไม่ขยับเลยสักนิด


 


 


ชั่วพริบตานั้นหานลี่พลันหน้าซีดเผือด


 


 


เขารู้สึกเพียงว่าโลหิตบริสุทธิ์ในร่างไหลทะลักไปตามรูเล็กๆ บนฝ่ามือเข้าไปหาผลสวรรค์ทมิฬ เขายังคงร่ายอาคมกระตุ้นอย่างสุดชีวิต แต่ก็ไม่อาจยับยั้งได้


 


 


ชั่วพริบตาโลหิตบริสุทธิ์ภายในร่างพลันหายไปสองในสามส่วนแล้วถึงได้หยุดลง


 


 


เมื่อโลหิตบริสุทธิ์จำนวนมากเหือดหายไป และเป็นเพราะกายเนื้อของหานลี่แข็งแกร่งจนถึงขีดสุด หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ เกรงว่าคงจะซูบลงในทันที แต่จะว่าไปแล้ว หากเปลี่ยนเป็นโลหิตบริสุทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่ง เกรงว่าแม้ผลสวรรค์ทมิฬจะดูดเอาไปจนตัวแห้งกรอบ ก็ไม่อาจเติมเต็มความต้องการของมันได้


 


 


ผลสวรรค์ทมิฬในนครานี้เดิมทีเปลือกเป็นสีเหลืองอ่อน ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสด จากนั้นลวดลายสีเขียวมรกตบนเปลือกก็เลื้อยไปมา กลายเป็นลวดลายลึกลับนิรนามลายหนึ่ง ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร เรียงรายอย่างแน่นขนัด


 


 


และในเวลาเดียวกัน ร่างกายของหานลี่พลันมีลำแสงห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แล้วกระโจนเข้าไปในผลสวรรค์ทมิฬราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ


 


 


เสียง พรึ่บ ดังขึ้น ผลสวรรค์ทมิฬเปล่งแสงสีมรกตสว่างวาบ ฉับพลันนั้นใบมีดกระบี่เปล่งแสงสายหนึ่งความยาวสองสามฉื่อพลันพุ่งออกมา


 


 


ใบมีดกระบี่นี้เป็นสีเขียวมรกต ผิวเป็นมันวาวราวกับกระจก แต่ตรงใจกลางของใบมีดกระบี่ กลับดูเหมือนว่าจะสลักลวดลายสีเขียวมรกตที่แปลกประหลาดเอาไว้แถวหนึ่ง มีทั้งหมดห้าอัน เรียงจนเป็นเส้นตรงสายหนึ่ง


 


 


ส่วนผลสวรรค์ทมิฬนั้น เวลานี้กลับกลายเป็นด้ามกระบี่ของกระบี่เล่มนั้น มือหนึ่งของหานลี่กุมมันเอาไว้อย่างพอดิบพอดี


 


 


ทุกอย่างนี้ทำให้หานลี่ตกตะลึงจนตาค้าง


 


 


ทว่าในเวลาเดียวกันกับที่กระบี่เล่มนี้ปรากฏตัว เขตอาคมลำแสงโลหิตด้านนอกกลับดูเหมือนว่าจะถูกอะไรทิ่มแทง หลังจากสั่นเทาอย่างแรงแล้ว เขตอาคมทั้งเขตแม้แต่หลุมดำตรงกลางพลันสั่นเทา แล้วหายวับไปในทันที


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่ที่อยู่ในหลุมดำพลันรู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพรอบด้านรางเลือน ในครรลองสายตาเป็นสีแดงโลหิต ทันใดนั้นก็หมุนคว้างอย่างไม่อาจเป็นตัวเองได้


 


 


ภายใต้ความตะลึงงันของหานลี่ แทบจะสะบัดด้ามกระบี่ในมือไปตามความรู้สึก ตวัดฟันออกไปอย่างไร้ทิศทาง…


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่หมื่นลี้ กลิ่นอายคละคลุ้งแผ่เต็มท้องฟ้า แท่นบวงสรวงยักษ์ถูกหมอกสีแดงโลหิตห่อหุ้มเอาไว้ มีเงาร่างคนสิบกว่าคนปรากฏอยู่บนนั้นรางๆ ด้านล่างเท้าของคนเหล่านี้มีเขตอาคมขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น พลางเปล่งแสงสีโลหิตจางๆ


 


 


หากพิจารณาให้ละเอียดจะพบว่า


 


 


รูปร่างของเขตอาคมนี้ เหมือนกับเขตอาคมลำแสงโลหิตที่ปรากฏเหนือศีรษะของหานลี่ก่อนหน้านี้ทุกกระเบียดนิ้ว


 


 


และด้านล่างแท่นบวงสรวงมีทะเลสาบยักษ์ที่ถูกของเหลวสีแดงโลหิตปกคลุมอยู่ มองจากไกลๆ แล้ว ผิวทะเลสาบนั้นกว้างใหญ่ตั้งไม่รู้กี่ส่วน มองปราดเดียวไม่เห็นปลายทาง


 


 


ในทะเลสาบยังมีโครงกระดูกสีขาวลอยอยู่ มีหลายเผ่าพันธุ์ และหลายขนาด เรียงรายกันอยู่เต็มผิวน้ำ ให้ความรู้สึกน่าขนลุก


 


 


“เป็นไปไม่ได้ สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬล่ะ! ข้าสัมผัสได้ถึงมัน และยิ่งไปกว่านั้นยังเรียกกลับมาอยู่เห็นๆ” เสียงตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวพลันดังออกมาจากปากผู้ที่อยู่บนแท่นบวงสรวง ท่าทางไม่อยากจะเชื่อ 

 

 


ตอนที่ 1534 วิกฤตยากจะหลบหนี

 

“สหายเจี่ยนเข้าใจผิดหรือเปล่า สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬที่หลอมขึ้นใหม่นั้นไม่ได้อยู่ในอาณาเขตเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเรา หากเป็นเช่นนั้น ไม่อาจใช้เคล็ดวิชาบวงสรวงโลหิตเรียกสมบัติชิ้นนี้ได้ก็เป็นเรื่องปกติ” น้ำเสียงราบเรียบของสตรีผู้หนึ่งดังออกมาจากแท่นบวงสรวง


 


 


ผู้พูดกลับเป็นหญิงงามวัยกลางคนสวมชุดคลุมศีรษะสีขาว ปีกขนนกห้าสีที่แผ่นหลังเปล่งแสงสว่างวาบ คำพูดเมื่อครู่เห็นได้ชัดว่ารู้สึกดีใจบนความทุกข์ของคนอื่น


 


 


“ฮูหยินปู้! เขตอาคมอัญเชิญเมื่อครู่ข้าและพี่เจี่ยนเป็นผู้ควบคุม จากพลังการบวงสรวงโลหิตมันทำให้สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของกระบี่ตัดวิญญาณสวรรค์ทมิฬ แต่ตอนที่ส่งกลับมาดูเหมือนว่าจะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่าง คาดไม่ถึงว่าจะหายไประหว่างทาง หรือว่ากระบี่เล่มนี้เบิกเนตรแล้วสามารถตัดห้วงมิติได้ด้วยตนเอง” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น


 


 


บนศีรษะของคนผู้นี้มีเขาสีขาวเปล่งแสงระยิบระยับเขาหนึ่ง นั่นก็คือชายหนุ่มเขาเดี่ยวจากเผ่าหนอนมีเขาที่หานลี่เคยพบบนเกาะยักษ์เมื่อครึ่งปีก่อน


 


 


ส่วนผู้ที่เอ่ยคนแรก แน่นอนว่าย่อมเป็นมนุษย์ตาปลาของเผ่าราชันย์มหาสมุทรผู้นั้น


 


 


แต่แค่ในครานี้ใบหน้าของมนุษย์ตาปลามีสีหน้าโกรธจนเสียสติอยู่หลายส่วน


 


 


“เป็นสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬจริงหรือไม่ แน่นอนว่ามีเพียงสหายทั้งสองที่ควบคุมเขตอาคมเท่านั้นที่รู้ พวกเราแค่ได้รับคำสั่งให้ร่วมมือกับสหายทั้งสอง” ชายชราสวมชุดคลุมสีดำ แต่แผ่นหลังมีปีกสีเทาสองคู่เอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


เขาใช้มือหนึ่งค้ำไม้เท้าหัวมังกรอันหนึ่งเอาไว้ ไม่ปกปิดเจตนาเยาะเย้ยในคำพูดเลยสักนิด


 


 


ส่วนเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่มีปีกบนแผ่นหลังเช่นกันที่เหลือ แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่สายตาที่มองมายังชายหนุ่มเขาเดี่ยวและมนุษย์ตาปลาก็เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร


 


 


ชายหนุ่มเขาเดี่ยวกลับไม่ได้ตอบกลับอะไรอีก และมองสบตากับมนุษย์ตาปลาแวบหนึ่ง ริมฝีปากของทั้งสองขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดเสียงคุยกันอย่างลับๆ


 


 


เมื่อเห็นท่าทีกำเริบเสิบสานไม่กลัวเกรงเช่นนี้ของทั้งสอง เผ่าวิญญาณเหาะเหินในที่นั้น ต่างก็มีสีหน้าดูไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม


 


 


“ในเมื่อล้มเหลวเป็นครั้งที่สองแล้ว พวกเราก็รีบบวงสรวงโลหิตอีกครั้งในทันทีเถิด ตอนนี้ไอโลหิตยังไม่จางหายไป น่าจะทำได้อีกรอบ ขอแค่สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬยังอยู่ในอาณาเขตของเผ่าวิญญาณเหาะเหินพวกเรา ก็น่าจะตอบสนองการเรียกหา” ดูเหมือนว่าชนต่างเผ่าทั้งสองตนจะปรึกษากันเสร็จแล้ว ชายหนุ่มเขาเดี่ยวจึงหันหน้าไปเอ่ยกับชายหนุ่ม ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย


 


 


“ลองอีกครั้ง สหายทั้งสองคิดว่าลมปราณของพวกเราฝึกฝนมาอย่างเปล่าประโยชน์หรือ การบวงสรวงโลหิตเมื่อครู่นั้นทำให้ลมปราณของพวกเราหายไปเกือบครึ่งแล้ว หากลองอีกครั้ง ปราณแท้ของพวกเราจะเสียหายแล้ว” ชายหนุ่มชุดดำแตะไปที่ไม้เท้า เสียง ปัง ดังขึ้น ทำให้แท่นบรวงสรวงทั้งหมดสั่นคลอนถึงสองครา แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม


 


 


“แน่นอนว่าผู้แซ่หมิ่นย่อมรู้ว่าการกระทำนี้ทำให้ลำบากใจ แต่ต่อให้ลำบากใจแค่ไหนก็ดีกว่าที่สองเผ่าของเราจะถูกทำลายลงในครึ่งปี และสังหารอสูรยักษ์ป่าเถื่อนนับร้อยนับพันตัวกระมัง หากพลาดโอกาสที่จะได้รับสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬไปด้วยเหตุนี้ เสียเวลาเพราะเรื่องนี้ไปจริงๆ เหล่าสหายรับผิดชอบไม่ไหวหรอกกระมัง” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวหรี่ตาทั้งสองข้างลง แต่กลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด


 


 


เมื่อได้ยินคำนี้ ใบหน้าของชายชราชุดดำพลันมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้นรางๆ ร่างกายพลิ้วไหวก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ดูเหมือนว่าหมายจะตำหนิอะไรสักอย่าง


 


 


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงกระแอมไอเบาๆ ก็ดังออกมาจากด้านข้างของฝูงชน ทันใดนั้นเสียงแหบพร่าก็ดังขึ้น


 


 


“น้องเหยา รอดูท่าทีก่อนเถิด สหายหมิ่นเป็นตัวแทนของเผ่าหนอนมีเขา จะไม่สนใจได้อย่างไร” ผู้พูดคือเงาร่างคนหลังค่อม ถูกม่านหมอกสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ จนมองไม่เห็นใบหน้าเลยสักนิด


 


 


“พี่ซยงพูดถูก ผู้แซ่เหยาใจร้อนเกินไป” ชายชราชุดดำได้ยินคำนี้ พลันหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะถอยกลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิม แล้วตอบกลับอย่างนอบน้อม


 


 


“พี่ซยงมีอะไรจะกล่าวเช่นกันหรือ” เมื่อชายหนุ่มเขาเดี่ยวเห็นคนผู้นี้ชัดเจน ก็มีสีหน้าฉงนขึ้นเช่นกัน แต่ทันใดนั้นก็ฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น


 


 


“มีเรื่องจะกล่าวนิดหน่อยจริงๆ สหายให้พวกเราสูญเสียพลังปราณไปแล้วยังจะให้ช่วยเจ้ากระตุ้นการบวงสรวงโลหิตอีกครั้งนั้นไม่ยาก แต่หากครั้งนี้ไม่สำเร็จจะทำอย่างไร” เงาร่างชายหลังค่อมหัวเราะหึๆ ออกมา ใช้น้ำเสียงเย็นชาขณะเอ่ยถาม


 


 


“หากสองครั้งแล้วยังไม่อาจเรียกสำเร็จได้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตแห่งนี้แล้ว เราสองคนจะกลับในทันที เงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า ก็จะไม่เสียใจเลย” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด


 


 


ในเวลาเดียวกันกับที่ชนต่างเผ่าเอ่ยนั้น มนุษย์ตาปลาที่อยู่ด้านข้างก็เงียบกริบไม่ปริปาก ดูเหมือนว่าจะยอมรับคำกล่าวนี้โดยดุษณี


 


 


“เยี่ยม! มีคำรับปากของสหายก็พอแล้ว พวกเราจะช่วยอีกครั้งหนึ่ง พวกเจ้าอย่าใช้อารมณ์เลย จะต้องลงมือกันอีกครั้ง” เงาร่างชายหลังค่อมใช้น้ำเสียงออกคำสั่งอยู่ครึ่งหนึ่ง ขณะเอ่ยกับคนอื่นๆ


 


 


จะว่าไปแล้วก็แปลก! เผ่าระดับสูงของเผ่าวิญญาณเหาะเหินอื่นๆ ได้ยินคำพูดนี้ ต่างก็ไม่มีท่าทีไม่พอใจเลยสักนิด ทยอยกันพยักหน้าอย่างเงียบเชียบ


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ผิวของทะเลสาบโลหิตก็เริ่มมีระลอกคลื่นเกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันไอสีดำเป็นกลุ่มๆ ก็ทยอยกันก่อตัวขึ้นที่ผิวของทะเลสาบ ในเวลาเดียวกันทะเลหมอกสีโลหิตก็เริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ส่วนแท่นบรวงสรวงตรงใจกลางของทะเลสาบโลหิตนั้น พลันถูกหมอกโลหิตปกคลุมเอาไว้ ด้านในมีเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้น


 


 


……


 


 


หลังจากความเจ็บปวดราวกับจะฉีกศีรษะออกเป็นสองส่วนส่งมา ในที่สุดหานลี่ก็ได้สติฟื้นขึ้นมาอย่างเงียบๆ


 


 


เขารู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามืดดำ ทันใดนั้นก็พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น กลับรู้สึกว่าหนังตาหนักอึ้งดุจภูเขาไท่ซาน ไม่อาจเบิกตาขึ้นได้เลยสักนิด


 


 


ครานี้หานลี่ตกตะลึงไปไม่น้อย แล้วรู้สึกว่าตัวเองดูเหมือนว่าจะนอนแผ่หราอยู่ ครานี้จึงหมายจะลุกขึ้นนั่งให้ตรง แต่ไม่อาจกระดิกนิ้วได้เลยแม้สักกระผีก


 


 


หานลี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ฝืนระงับความเจ็บปวดเอาไว้ นึกถึงความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ จึงรีบร้อนตรวจสอบจุดต่างๆ ในร่างกายของตนเอง


 


 


ผลคือทำให้เขาอดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมาไม่ได้


 


 


ครานี้เขาไม่เพียงจะสูญเสียโลหิตบริสุทธิ์ไปกว่าครึ่ง ลมปราณในร่างยังว่างเปล่า สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ สาเหตุที่ปวดหัวมากก็เพราะจิตสัมผัสได้รับบาดเจ็บ จนเหลือเพียงสองในสิบส่วนเท่านั้น


 


 


และสาเหตุที่ทุกอย่างเกิดขึ้นนี้ กลับเป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่นานเขาโบกสะบัดกระบี่ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


 


เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ตนเองโบกสะบัดสมบัติกระบี่ที่สร้างขึ้นจากผลสวรรค์ทมิฬแล้ว หัวใจของหานลี่ก็สั่นคลอนไปมา ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าโชคดีจังอยู่ในใจ!


 


 


พอโบกกระบี่เล่มนั้นออกไป ก็แทบจะทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ไม่เพียงจะตัดการส่งตัวออก ทำได้กระทั่งกรีดผ่ามิติ แต่มูลค่าของการออกกระบี่เล่มนี้มันล้ำค่าเกินไป ไม่เพียงลมปราณจะถูกสูบไปจนเกลี้ยง แม้แต่พลังจิตสัมผัสก็ถูกกระบี่เล่มนี้สูบเข้าไปเช่นกัน นี่จึงทำให้เขาช่องว่างมิติที่ฉีกขาดดูดเข้ามาในเวลาเดียวกัน จึงสลบไสลไม่ได้สติ


 


 


ทว่าตอนนี้ย้อนนึกไปแล้ว การตวัดกระบี่จากผลสวรรค์ทมิฬออกไปนั้น กระตุ้นพลังอานุภาพได้เพียงผิวเผิน อานุภาพของกระบี่เล่มนี้ก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับพลังปราณ จิตสัมผัสที่ถูกสูบเข้าไป เกี่ยวข้องแม้กระทั่งกับโลหิตบริสุทธิ์ที่ไหลออกไปก่อนหน้านี้


 


 


หานลี่ขบคิดคาดคะเนอยู่ในใจ


 


 


แต่เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ร่างกายของตนเองกำลังแย่ ความร้อนรนในใจของหานลี่ก็น้อยลงไปเป็นอย่างมาก ไม่ว่าโลหิตบริสุทธิ์หรือว่าลมปราณและจิตสัมผัส ล้วนไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่ถึงแก่ชีวิต ขอแค่กินยาลูกกลอนเข้าไป รักษาอาการบาดเจ็บสักสองสามปี ก็ฟื้นฟูได้ดังเก่าแล้ว


 


 


ส่วนรอบข้างดูเหมือนจะเงียบสงัด อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะกล่าวได้ว่ารอดพ้นจากอันตรายแล้ว


 


 


แม้ว่าสองตาของเขาจะไม่อาจเปิดขึ้นได้ จิตสัมผัสก็ไม่อาจแผ่ออกไปนอกร่างได้ แต่จากความชื้นในอากาศและกลิ่นเค็มจางๆ ที่พัดมาตามสายลมแล้ว ก็ยังคงทำให้ตัดสินได้ว่าตนเองอยู่ในชายหาดใดสักแห่ง ส่วนความอ่อนนุ่มใต้ร่างนั้น กลับดูเหมือนว่าจะเป็นทุ่งหญ้า


 


 


หรือว่าไม่ได้ถูกส่งตัวมาไกลนัก!


 


 


ในใจพลันรู้สึกฉงน ภายใต้ความคิดที่เคลื่อนคล้อยไปมาของหานลี่ พลันมีความรู้สึกกังวลใจผุดขึ้นมา แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ของร่างกายหรือว่าลมปราณก็ทำให้เขาไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้เลยสักนิด จึงทำได้เพียงนอนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น


 


 


เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ เปลือกตาของหานลี่ขยับ ฝืนปรือตาขึ้นเป็นเส้นบางๆ สายหนึ่ง


 


 


ชั่วขณะนั้นท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนผืนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นสู่สายตา


 


 


ไม่เห็นเมฆโลหิตประหลาดนั่น หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็วางใจได้แล้ว


 


 


หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หานลี่จึงสามารถขยับคอได้ และสามารถหันมองซ้ายขวาได้ว่าตนเองอยู่ที่ใด


 


 


ราวกับอยู่ในหุบเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง สามด้านเป็นเนินเขาเตี้ยๆ ด้านหนึ่งเป็นทางออกแคบๆ ทั้งหุบเขามีพื้นที่ไม่ถึงพันจั้งเศษเท่านั้น ส่วนที่เขาตกลงมาน่าจะเป็นตรงใจกลางของหุบเขา


 


 


หานลี่เผยรอยยิ้มออกมาในแววตา มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย แต่ครานี้กลับทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องกัดฟันแน่น เวลานี้เขาถึงได้พบว่ากล้ามเนื้อทั่วสรรพางค์กายเริ่มปวดเมื่อยเป็นอย่างมาก


 


 


นี่คือความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหลังจากที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์


 


 


ดูแล้วการกระตุ้นผลสวรรค์ทมิฬ สิ่งที่ถูกสูบไปนอกจากลมปราณและจิตสัมผัสแล้ว ดูเหมือนว่าอะไรสักอย่างในร่างกายจะถูกดูดไปจนเกลี้ยงเช่นกัน มิเช่นนั้นจากความแข็งแกร่งในกายเนื้อของเขา คงไม่เหมือนกับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้


 


 


เมื่อขบคิดในใจแล้ว หานลี่ก็ยังคงนอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า


 


 


หลังจากผ่านไปอีกครึ่งวัน หานลี่สามารถขยับนิ้วบางนิ้วบนแขนข้างหนึ่งได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะฟื้นกำลังวังชากลับมานิดหน่อยแล้ว


 


 


ชั่วขณะนั้นใบหน้าของหานลี่พลันเผยสีหน้ายินดีออกมา แต่ยังไม่ทันให้รอยยิ้มของเขาเผยออกมาก็แข็งค้างไป


 


 


เพราะในเวลานี้นอกหุบเขามีเสียง ตึงๆ จากสิ่งของหนักอึ้งตกลงกระทบพื้นดังขึ้น ร่างกายรู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์กำลังเดินมุ่งเข้ามาที่หุบเขาขนาดย่อมนี้


 


 


หานลี่เหลือบตามองด้านข้าง ชั่วขณะนั้นพลันจ้องไปยังทางเข้าหุบเขาเขม็ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเป็นพิเศษ


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์สูงสิบจั้งเศษตนหนึ่งพลันบุกเข้ามาในหุบเขา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นปูยักษ์ที่รอบกายเต็มไปด้วยหนามแหลมๆ


 


 


ดวงตาของปูตัวนี้เปล่งแสงสีเขียววิบวับ เปลือกแข็งหุ้มกายแผ่ลำแสงสีเขียวเข้มออกมา ราวกับว่าสวมเกราะสงครามสีเขียวชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน ส่วนหนามแหลมๆ บนเกาะสงครามนั้น แน่นอนว่าย่อมทำให้ทุกคนสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง อดที่จะสั่นสะท้านเพราะความหวาดผวาไม่ได้


 


 


ในคราแรกเห็นได้ชัดว่าปูยักษ์ไม่ได้สนใจการมีอยู่ของหานลี่ เอียงคอไปด้านข้างแล้ววิ่งไปทางเนินเขาอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ก็ไปถึงจุดหนึ่งของกำแพงภูเขา จากนั้นก้ามยักษ์ทั้งสองก็คีบก้นอหินสีเขียวเทาที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาหนึ่งก้อน โยนเข้าไปในปากอันใหญ่โตของมัน


 


 


ปากเปล่งเสียงเคี้ยว กร้วมๆ ออกมา ทำให้ผู้คนพากันขนลุกซู่


 


 


เห็นปูยักษ์ไม่ได้ทำอะไรตน หานลี่พลันผ่อนคลายลง สีหน้าเคร่งเครียดคลายลงไปหลายส่วน


 


 


หลังจากที่ปูยักษ์กลืนก้อนหินสิบกว่าก้อนลงไปแล้ว ฉับพลันนั้นดวงตาพลันเปล่งแสงสีเขียว หันกายมาในฉับพลัน คาดไม่ถึงว่าจะเผชิญหน้ากับหานลี่


 


 


รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง ประสานสายตาเข้ากับปูยักษ์


 


 


คาดไม่ถึงว่าปากของปูยักษ์จะเปล่งเสียงร้องประหลาดๆ ดัง ซือๆ ออกมา จากนั้นพลันโบกสะบัดก้ามยักษ์ทั้งสอง พุ่งตรงเข้ามาหาหานลี่อย่างดุดัน


 


 


หานลี่มีสีหน้าเคร่งเครียดไร้ที่เปรียบ แววตาฉายแววเย็นชาสว่างวาบ จ้องเขม็งไปยังปูยักษ์ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก คาดไม่ถึงว่าจะไม่เผยท่าทีหวาดกลัวลนลานออกมาเท่าใดนัก! 

 

 


ตอนที่ 1535 มนุษย์อสรพิษ

 

แม้ว่าปูยักษ์ตัวนั้นจะมีขนาดใหญ่ แต่ความเร็วในการเดินกลับไม่มากนัก ชั่วครู่ก็มาอยู่ห่างจากหานลี่ไปแค่เจ็ดแปดจั้ง หลังจากที่แทบจะถลาเข้ามาอีกครั้ง ก้ามยักษ์ทั้งสองก็สามารถโจมตีหานลี่ได้ 


 


 


แววตาของหานลี่ฉายแววโหดเ**้ยม ท้องน้อยนูนขึ้นเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันริมฝีปากพลันขยับ ดูเหมือนหมายจะพ่นอะไรสักอย่างออกมา 


 


 


แต่ในตอนนั้นเอง ฉับพลันนั้นเสียงแหลมสูงแหวกอากาศพลันดังขึ้น ต่อมาลำแสงสีเงินสายหนึ่งพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ของสิ่งหนึ่งพุ่งออกมาจากจุดที่ไกลออกไป ชั่วครู่ก็ทะลวงร่างอันใหญ่โตของปูยักษ์ 


 


 


เกราะแหลมสีเขียวอ่อนที่ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งจนไม่อาจทำลายได้บนร่างของปูตัวนั้น ในเวลาเดียวกันที่ลำแสงสีเงินมาประชิดตัว พลันมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะทะลวงผ่านเกราะแหลมทะลุเข้าไปในเกราะ 


 


 


โลหิตสดๆ สีเขียวไหลออกมา 


 


 


ส่วนลำแสงสีเงินสายนั้นที่โผล่มากะทันหันนคือสามง่ามสีเงินความยาวสองสามจั้ง แต่กว่าครึ่งของมันปักอยู่บนหลังของปูยักษ์ เผยแค่ครึ่งหนึ่งที่กำลังสั่นระริกออกมาอยู่ด้านนอก 


 


 


ภายใต้ความเจ็บปวดของปูยักษ์ เสียงร้องสะเทือนเลื่อนลั่นพลันดังขึ้น ร่างกายที่โถมเข้ามาหยุดชะงัก เปลี่ยนทิศทางตรงไปทางเข้าหุบเขาทันที 


 


 


การโจมตีเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้เจ้าสิ่งมีชีวิตยักษ์ตัวนี้ได้รับบาดเจ็บมากนัก กลับไปกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของมันเสียมากกว่า 


 


 


เมื่อเห็นฉากนี้ปรากฏขึ้น หานลี่พลันตะลึงงัน รีบร้อนหันหน้าไปมองทางเข้าหุบเขา 


 


 


เห็นเพียงตรงทางเข้าหุบเขา มีเงาร่างคนสูงใหญ่ไม่เท่ากันสิบกว่าสายยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้ 


 


 


เงาร่างคนเหล่านั้นท่อนบนดูแล้วมีทั้งบุรุษและสตรี ในมือของทุกคนล้วนถืออาวุธขว้างจำพวกหลาว สามง่ามบินสีเงินเปล่งประกาย บุรุษนั้นเปลือยไหล่กำยำทั้งสองข้างออกมา ส่วนสตรีนั้นสวมชุดหนังสั้นแนบตัว ล้วนเผยกลิ่นอายความอาจหาญออกมา  


 


 


หลังจากที่สายตาของหานลี่กวาดไปยังกายท่อนล่างของเงาร่างคนเหล่านั้น ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา 


 


 


คาดไม่ถึงว่าตั้งแต่ช่วงเอวลงไปของคนเหล่านั้นจะไม่ใช่ขาคู่หนึ่ง แต่เป็นหางอสรพิษตัวเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน สีสันแตกต่างกันไป และยังมีเกล็ดบางๆ ที่มองเห็นได้รางๆ 


 


 


นี่คือชนต่างเผ่า ดูเหมือนว่าจะเป็นต่างเผ่าที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน! 


 


 


หานลี่วินิจฉัยในใจทันที! 


 


 


ไม่รอให้เขาได้ขบคิดอย่างละเอียด ปูยักษ์ตัวนั้นก็ไปอยู่ห่างไม่ไกลจากบุรุษและสตรีต่างเผ่าเหล่านั้น 


 


 


แต่ภายใต้เสียงคำรามต่ำๆ ของชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำกลุ่มแล้ว เงาร่างคนก็พลิ้วไหวอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าจะยืนเรียงเป็นสองแถวทันที บุรุษหกคนอยู่เบื้องหน้า สตรีเจ็ดคนอยู่ด้านหลัง 


 


 


ชายร่างใหญ่ร้องตะโกนออกมา ชั่วขณะนั้นคนแถวหน้าก็ออกแรงขว้างหลาวสีเงินในมือออกมาพร้อมกัน 


 


 


ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินหกสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันโจมตีมายังร่างอันใหญ่ยักษ์ของปูยักษ์ แต่ในเวลาเดียวกันก็แค่จมหายเข้าไปในร่างของปูครึ่งหนึ่ง ไม่อาจทำให้มันบาดเจ็บหนักได้ แต่ว่าเมื่อโลหิตสีเขียวไหลออกมา กลับทำให้ปูยักษ์เสียสติ อ้าปากออกพ่นฟองสีขาวที่มีกลิ่นคาวคละคลุ้งออกมา 


 


 


ชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำเห็นฟองสีขาว พลันหน้าเปลี่ยนสี ปากก็เอ่ยพึมพำกับตนเองสองประโยคอย่างรวดเร็ว แฝงเอาไว้ด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่มือหนึ่งกลับควานไปที่แผ่นหลัง ควักแผ่นหินกลมๆ สีเทาขาวออกมา ด้านบนมีลำแสงระยิบระยับ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ของธรรมดา 


 


 


แต่ชายร่างใหญ่กลับโยนของในมือออกไปหาฟองสีขาวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด 


 


 


ชั่วพริบตาที่แผ่นหินหลุดออกจากมือ พลันกลายเป็นลำแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งบินออกมา และหลังจากปะทะเข้ากับฟองสีขาว ก็เปล่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นเขย่าปฐพีขึ้น 


 


 


ฟองสีขาวถูกเปลวเพลิงร้อนแรงกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ ครู่ต่อมาทั้งสองก็หายวับไปพร้อมกัน 


 


 


ปูยักษ์กลับถือโอกาสนี้พุ่งเข้าไปหาชนต่างเผ่าเหล่านั้นที่อยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ แต่ในครานั้นเอง ทั้งหกคนที่อยู่แถวแรกก็พลิ้วไหวกายแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม พุ่งมาจากทั้งสองด้าน จากนั้นพลันสะบัดข้อมือพร้อมกัน ร่างกายโน้มไปด้านหลัง ร่างปูยักษ์ที่เดิมทีกำลังโถมเข้ามาด้วยความดุดันพลันหยุดชะงัก คาดไม่ถึงว่าจะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม 


 


 


ดวงตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ! ครานี้ถึงได้มองออกว่าระหว่างข้อมือข้างหนึ่งของคนเหล่านี้และปูยักษ์มีนิ้วหกนิ้วกึ่งโปร่งแสงอยู่ และต่างเผ่าทั้งหกก็ใช้มือข้างหนึ่งออกแรงบีบแน่นขึ้นพร้อมกัน 


 


 


เห็นได้ชัดว่าบุรุษต่างเผ่าทั้งหกคนมีพลังแขนเหนือมนุษย์ ทว่าสิ่งที่ทำให้หานลี่ยิ่งรู้สึกสนใจก็คือ เครื่องป้องกันสีเหลืองที่พวกเขาสวมอยู่บนข้อมือ ผิวของมันเปล่งแสงระยิบระยับ ดูเหมือนว่าจะเป็นยุทธภัณฑ์ระดับต่ำชิ้นหนึ่ง ทั้งหกคนใช้พลังมหาศาลของตนประกอบกับความช่วยเหลือจากเครื่องป้องกันที่ข้อมือ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ปูยักษ์ที่พุ่งเข้ามาด้วยท่าทีดุดันหยุดลงได้ 


 


 


ทว่าการชะงักนี้หยุดลงเพียงชั่วครู่เท่านั้น ก้ามยักษ์ทั้งสองของปูยักษ์ตัวนั้นยื่นออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า 


 


 


ชั่วขณะนั้นเสียง ปังๆ พลันดังสนั่นขึ้น เล็บบางๆ ทั้งหกพลันถูกตัดออกมากกว่าสองเล็บ บาดแผลเรียบสนิทดุจใช้มีดตัด ทำให้บุรุษต่างเผ่าที่แต่เดิมพยายามออกแรงกระเด็นออกไปในพริบตา 


 


 


หลังจากที่เห็นก้ามยักษ์ของปูตัวนั้นโบกสะบัดอีกครั้ง ก็สามารถหลุดจากพันธนาการได้ 


 


 


แต่ในครานั้นสตรีแถวที่สองของชนต่างเผ่าพลันขว้างสามง่ามสีเงินในมือออกมาอย่างพอดิบพอดี 


 


 


หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ปูยักษ์พลันเปล่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาออกมา บนข้อต่อกระดูกขาทั้งเจ็ดมีวัตถุสีเงินวิบวับปักลงไปพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นพลันงอลงพร้อมกัน เหลือไว้เพียงขาหลังสุดท้ายที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บ 


 


 


แต่ไม่อาจรักษาสมดุลของร่างกายได้ 


 


 


เสียง ปัง ดังสนั่นขึ้น ร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของปูยักษ์ล้มลงกับพื้น ทำให้พื้นหญ้าในบริเวณโดยรอบเว้าลงไปกลายเป็นหลุมลึกสองสามฉื่อ  


 


 


ครานี้ชนต่างเผ่าที่เดิมมีสีหน้าตึงเครียด พลันร้องไชโยด้วยความยินดีออกมาทันที ดูเหมือนว่าจะกุมชัยชนะเอาไว้ได้แล้ว 


 


 


ส่วนปูยักษ์ที่สูญเสียกำลังการเคลื่อนไหวนั้น ก็ไม่มีทางสู้กลับอย่างแน่นอน 


 


 


ชนต่างเผ่าเหล่านั้นกรูกันเข้ามาอย่างไม่แยกชายหญิง เมื่อห่างจากปูยักษ์ไปสองสามจั้งก็ชักอาวุธที่เตรียมพร้อมเอาไว้ที่แผ่นหลังออกมา แล้วพากันขว้างไปยังจุดสำคัญตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย 


 


 


ระยะใกล้แค่นี้ประกอบกับที่ปูยักษ์ไม่อาจหยัดกายลุกขึ้นได้ การโจมตีของคนเหล่านี้จึงไม่สูญเปล่าแม้แต่คนเดียว 


 


 


ชั่วครู่ปูยักษ์พลันถูกหลาวสีเงินและสามง่ามบินหลายสิบอันปักทะลุร่าง สิ้นลมอยู่ตรงนั้น  


 


 


หานลี่นอนมองทุกอย่างอยู่บนพื้น สีหน้าราบเรียบ แต่ในใจกลับมีความคิดแล่นผ่านไปมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


วิธีการโจมตีปูยักษ์ของชนต่างเผ่าเหล่านี้และอาวุธยุทธภัณฑ์ระดับต่ำที่ใช้ดูเหมือนว่ามีประวัติความเป็นมา ทว่าหากเป็นเพียงความสามารถในยามนี้ ต่อให้เขาในตอนนี้ไม่อาจหยัดกายลุกขึ้นได้ ก็ไม่อาจทำอันตรายใดๆ เขาได้ 


 


 


แต่ถึงแม้ว่าชนต่างเผ่าเหล่านี้จะเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว แต่บนร่างกลับไม่มีกลิ่นอายวิญญาณแผ่ออกมาเลยสักนิด ดูแล้วคงไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเซียน กลับเป็นเหมือนผู้ฝึกตนในเผ่ามนุษย์อย่างไรอย่างนั้น  


 


 


ขณะที่หานลี่กำลังขบคิดนั้น เงาร่างชนต่างเผ่าเหล่านี้พลันฉีกร่างของปูยักษ์ตัวนั้นออกในพริบตา นำเนื้อปูและไข่ปูที่กินได้ออกมาเรียงไว้บนพื้นด้วยท่าทีชำนิชำนาญ เห็นได้ชัดว่าการโจมตีสังหารสัตว์ประหลาดประเภทนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นครั้งแรก  


 


 


เวลานี้ชนต่างเผ่ารูปโฉมงดงาม ส่วนเอวเห็นได้ชัดว่าค่อนข้างอ่อนช้อยพลันบิดตัวเลื้อยขึ้นมาอยู่ด้านข้างชายร่างใหญ่ผู้ซึ่งเป็นผู้นำ จากนั้นก็ใช้นิ้วมือชี้ไปยังหานลี่ซึ่งนอนอยู่บนพื้นไม่ไกลนัก ปากพลันเอ่ยเสียงไพเราะเสนาะหูออกมา ดูคล้ายกับภาษามนุษย์ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังฟังดูคลุมเครืออยู่สามส่วน  


 


 


ชายร่างใหญ่ผู้นั้นมีผิวหนังสีน้ำตาลแก่ ไม่เพียงร่างกายจะใหญ่โตที่สุดในบรรดาชนต่างเผ่า ยังเป็นคนเดียวที่ร่างอสรพิษท่อนล่างเป็นสีดำเข้มราวกับน้ำหมึก  


 


 


ท่อนล่างของคนที่เหลือหากไม่ใช่สีเขียวอ่อนก็เป็นสีขาวอ่อน ไม่เหมือนกับชายร่างใหญ่เลยสักนิด  


 


 


ชายร่างใหญ่ได้ยินคำพูดของสตรี สายตาเปล่งประกายคู่หนึ่งก็มองมาทางหานลี่ในพริบตา ประสานสายตาเข้ากับสายตาจืดจางของหานลี่อย่างพอดิบพอดี 


 


 


เมื่อเห็นว่าสายตาของหานลี่ราบเรียบดุจสายธาร ชายร่างใหญ่พลันใจหายวาบ หลังจากที่มองไปยังสองเท้าตรงครึ่งท่อนล่างของหานลี่ พลันหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่ หลังจากเอ่ยกับสตรีสองประโยคอย่างร้อนรนแล้วก็รีบเลื้อยมาทางนี้  


 


 


อย่ามองว่ากายท่อนล่างของชายร่างใหญ่เป็นอสรพิษ แต่การเคลื่อนไหวกลับรวดเร็วเป็นพิเศษ แค่เลื้อยสองครั้งก็อยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ แค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ ชายร่างใหญ่ก็มาอยู่ตรงหน้าหานลี่ 


 


 


หานลี่มองชนต่างเผ่าตรงหน้านิ่ง ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมา แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าท้องน้อยที่นูนขึ้นมาของเขายังไม่กลับมาอยู่ในท่าทีปกติ ยังคงนูนขึ้นเล็กน้อย 


 


 


แน่นอนว่าชายร่างใหญ่เพิ่งเห็นหานลี่เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าย่อมไม่เห็นความแตกต่าง 


 


 


ทว่าชายร่างใหญ่กลับหยุดชะงักอยู่เบื้องหน้าของหานลี่ ฉับพลันนั้นพลันค้อมกายลง แขนข้างหนึ่งวางลงบนทรวงอก คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีทำความเคารพ ในเวลาเดียวกันปากก็เอ่ยสิ่งที่หานลี่ไม่อาจฟังออกออกมา  


 


 


หานลี่เบ้ปาก เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา  


 


 


แม้ว่าคราที่เขาอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์จะเรียนรู้ภาษาต่างเผ่าที่เผ่ามนุษย์รู้จักทั้งหมดไปเกือบหมดแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าภาษาของชายร่างใหญ่เบื้องหน้าไม่ใช่หนึ่งในภาษาใดที่เขารู้จัก  


 


 


หลังจากลังเลไปเล็กน้อย หานลี่พลันใช้ภาษาที่มักจะใช้กันอย่างแพร่หลายในแดนเฟิงหยวนพูดออกไปสองประโยค แต่เมื่อเห็นท่าทางงงงวยของชายร่างใหญ่ เห็นได้ชัดว่าฟังไม่ออก  


 


 


พลันขมวดคิ้วแน่น เขาพลันเปลี่ยนเป็นภาษาต่างเผ่าอีกสองสามภาษา แต่ชายร่างใหญ่แค่ใช้แขนข้างหนึ่งเกาศีรษะเบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจเข้าใจได้เช่นกัน  


 


 


หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรอีก  


 


 


แต่ในครานี้ชายร่างใหญ่พลันพิจารณารูปร่างของหานลี่ในตอนนี้ ดูเหมือนจะมองออกว่าหานลี่ไม่อาจขยับตัวได้ ฉับพลันนั้นพลันหันไปร้องเรียกชนต่างเผ่าคนอื่นๆ  


 


 


ชั่วขณะนั้นสตรีสี่คนของชนต่างเผ่าพลันผละจากเรื่องที่ทำอยู่ แล้วเลื้อยเข้ามาอย่างรวดเร็ว 


 


 


ชายร่างใหญ่ออกคำสั่งอะไรสักอย่างกับสตรีต่างเผ่าสองสามคนสองสามประโยคด้วยสีหน้าเคร่งครัด สตรีสองสามคนนั้นเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาขณะมองไปยังหานลี่สองสามปราด ทันใดนั้นก็เผยสีหน้าเคารพนับถือออกมา 


 


 


หลังจากที่สตรีเหล่านี้ทำความเคารพหานลี่ครั้งหนึ่ง ก็ทยอยกันเดินไปทางต้นไม้ใหญ่ที่มีเพียงสิบกว่าต้นบนหุบเขา 


 


 


เห็นเพียงลำแสงสีเงินสว่างวาบ พวกนางปล่อยมีดสีเงินประหลาดชนิดหนึ่งออกจากมือมุ่งไปทางต้นไม้ที่ค่อนข้างเล็กสองสามต้น 


 


 


มีดสีเงินในมือของสตรีต่างเผ่าเหล่านั้นเริงระบำระลอกหนึ่ง ชั่วครู่พลันใช้ต้นไม้เหล่านี้และหนังอสูรที่พกติดตัวมา สร้างเป็นสิ่งที่คล้ายกับเปลหามอันหนึ่ง 


 


 


จากนั้นสตรีต่างเผ่าเหล่านี้ก็ใช้สองแขนยกขึ้น เลื้อยมาทางนี้อย่างรวดเร็ว 


 


 


เวลานี้หานลี่จึงมองออกว่า ‘มนุษย์อสรพิษ’ เหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับตนเอง ชั่วขณะนั้นท้องน้อยที่นูนขึ้นมาจึงคืนกลับมาสู่สภาพเดิม  


 


 


จากนั้นอสรพิษหญิงทั้งสี่ก็วาง ‘เปลหาม’ ลงตรงหน้า สตรีสองคนเลื้อยออกมา เอ่ยอะไรบางอย่างด้วยความเคารพนบน้อม และซักถามอะไรสักอย่าง 


 


 


ต่อให้มีปัญหาเรื่องภาษา หานลี่ในครานี้ก็รู้เจตนาของพวกนาง หลังจากขบคิดเล็กน้อยก็พยักหน้าเบาๆ  


 


 


ชั่วขณะนั้นมนุษย์อสรพิษสองสามคนเบื้องหน้าพลันเผยสีหน้ายินดีออกมา 


 


 


หลังจากที่อสรพิษหญิงสองคนนั้นทำความเคารพด้วยความนอบน้อมอีกครั้ง ถึงได้ยกสองเท้าและกายท่อนบนของหานลี่ขึ้น วางเขาลงบน ‘เปลหาม’ อย่างแผ่วเบา 


 


 


สตรีทั้งสองช่วยจัดท่าทางของหานลี่ให้อย่างเอาใจใส่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าจะไม่ทำให้หานลี่รู้สึกไม่สบายตัว  

 

 


ตอนที่ 1536 เผ่าเพลิงอาทิตย์

 

เวลานี้อสรพิษหนุ่มคนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปก็ชำแหละปูยักษ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว และทยอยกันใช้หนังอสูรอ่อนนุ่มห่อวัตถุดิบและของที่กินเอาไว้แล้วแบกเอาไว้บนหลัง


 


 


ของที่ถูกห่อหุ้มอยู่ล้วนมีความสูงมากกว่าสองจั้ง แทบจะมีขนาดมากกว่าร่างของมนุษย์อสรพิษเท่าหนึ่ง


 


 


แต่แผ่นหลังของมนุษย์อสรพิษเหล่านี้กลับดูผ่อนคลายไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดว่ากำลังวังชาของพวกเขาช่างน่าประหลาดใจยิ่ง


 


 


เมื่ออสรพิษหญิงทั้งสี่คนแบกหานลี่เดินไปแล้ว ทันใดนั้นชายร่างใหญ่พลันร้องตะโกนเรียก อสรพิษชายเหล่านั้นจึงแบกของเข้ามารวมกลุ่ม


 


 


คนกลุ่มนั้นจึงเดินออกไปนอกหุบเขา


 


 


เมื่อเดินมาถึงทางเข้าหุบเขา เบื้องหน้าของหานลี่พลันทอประกาย แล้วถึงได้พบว่าห่างจากทางเข้าหุบเขาไปแค่สองสามลี้ มีคลื่นน้ำสีเขียวมรกต


 


 


คาดไม่ถึงว่าหุบเขาแห่งนี้จะอยู่ห่างจากชายฝั่งไปแค่คืบ มิน่าเล่าถึงได้มีสัตว์ประหลาดอย่างปูยักษ์เข้ามาในหุบเขา


 


 


ทว่าเวลานี้ผิวน้ำนั้นเงียบสงบ นอกจากความชื้นและกลิ่นอายความเค็มจากลมทะเลแล้ว ก็ไม่มีคลื่นลูกใหญ่อะไรนัก และด้วยเหตุนี้ยามที่หานลี่อยู่ในหุบเขาจึงไม่ได้ยินเสียงน้ำทะเลกระทบกัน


 


 


มนุษย์อสรพิษเหล่านั้นแบกหานลี่เดินไปตามชายฝั่ง หลังจากเดินไปชั่วครู่ เส้นทางพลันคดเคี้ยวเป็นอย่างมาก


 


 


หานลี่พิจารณาไปรอบๆ ด้าน ในใจพลันรู้สึกถึงบางอ้อ


 


 


ที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินใหญ่ติดทะเลอะไร แต่เป็นเกาะกลางทะเลที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่ง และเกาะแห่งนี้ก็ไม่ได้กว้างใหญ่นัก


 


 


เดินไปอีกสิบกว่าลี้ กลุ่มมนุษย์อสรพิษก็มาถึงหน้ากองหินโสโครกแห่งหนึ่ง


 


 


ท่ามกลางกองหินโสโครกเหล่านี้มีเรือกระดูกพิสดารบางยาวจอดอยู่เจ็ดแปดลำ นอกจากลำหนึ่งที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่นั่งได้สี่ห้าคนแล้ว ที่เหลือมากสุดก็นั่งได้เพียงสองคนเท่านั้น


 


 


ทั้งสองด้านของเรือกระดูกล้วนเล็กบาง ด้านหนึ่งมีรูปปั้นหัวสัตว์ประหลาดรูปร่างต่างๆ ตั้งตระหง่านอยู่ ล้วนถูกแกะสลักขึ้นจากไม้


 


 


หานลี่และสตรีอสรพิษสองคนขึ้นไปบนเรือกระดูกลำที่ใหญ่ที่สุด ส่วนคนที่เหลือต่างนั่งอยู่บนเรือลำเล็กๆ ลำอื่น ไม้พายกระดูกที่ติดอยู่บนตัวเรือทยอยกันพาตัวเรือพุ่งตรงไปยังกลางทะเล


 


 


มนุษย์อสรพิษเหล่านี้ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนมีกำลังเหนือมนุษย์ทั่วไป ออกแรงพายเรือไปแทบไม่หยุดพักเลยสักนิด


 


 


นี่จึงทำให้เรือกระดูกพุ่งผ่านระลอกคลื่นไปราวกับลูกศร


 


 


ผิวทะเลเงียบสงบเป็นพิเศษ ไม่เห็นจะมีอสูรทะเลอะไรออกมาโจมตีเรือลำเล็ก


 


 


ผลคือหลังจากผ่านไปแค่หนึ่งชั่วยาม เบื้องหน้าพลันมีจุดสีดำปรากฏขึ้น เกาะกลางมหาสมุทรอีกเกาะปรากฏขึ้น


 


 


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย รูม่านตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งประกายอยู่รางๆ มองเห็นสถานการณ์บนเกาะกลางมหาสมุทรนั้นอย่างชัดเจน


 


 


เกาะแห่งนี้เป็นเกาะขนาดกลางแห่งหนึ่ง น่าจะมีขนาดประมาณสองสามร้อยลี้ ด้านบนมีภูเขาสีเขียวขจีหลายลูกเชื่อมติดกัน ดูเหมือนว่าจะมียอดเขาและต้นไม้อยู่ไม่น้อย ช่างเหมาะกับการอยู่อาศัยเสียจริง


 


 


ทว่าบนเขายักษ์ที่สูงที่สุดลูกหนึ่ง ยอดเขาเป็นสีแดงระเรื่อ ด้านล่างเป็นสีเทาขาว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นภูเขาไฟแห่งหนึ่ง


 


 


ส่วนสิ่งอื่นๆ ที่อยู่บนเกาะนั้น เป็นเพราะพลังปราณของหานลี่ยังไม่ฟื้นฟูกลับมา จึงไม่อาจใช้อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณเพิ่มประสิทธิภาพได้ แน่นอนว่าจึงไม่อาจมองเห็นรายละเอียดอะไรได้


 


 


เรือกระดูกเข้าประชิดเกาะตามความแรงของลมทะเลและระลอกคลื่น


 


 


หลังจากผ่านหนึ่งมื้ออาหารก็อยู่ห่างจากเกาะแห่งนี้ไปไม่ถึงสิบลี้เศษแล้ว


 


 


และในครานั้นเองท้องฟ้าที่เดิมทีสดใสก็เปลี่ยนไป เมฆทะมึนจำนวนนับไม่ถ้วนแทบจะปรากฏขึ้นในพริบตา จากนั้นพายุเกลียวคลื่นก็ก่อตัวขึ้น ฝนห่าใหญ่โปรยลงมาจากเมฆที่ปกคลุมเหนือศีรษะ


 


 


บรรยากาศบนผิวน้ำเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ช่างทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อเสียจริง!


 


 


แต่ของเหล่านี้ล้วนไม่อาจสร้างปัญหาอันใดให้กับเรือกระดูกได้ เพราะว่ามนุษย์อสรพิษบนเรือทยอยกันกดจุดต่างๆ ที่นูนขึ้นมาบนเรือกระดูก ชั่วขณะนั้นเขตอาคมขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้นที่ท้องเรือกระดูก


 


 


ม่านลำแสงสีขาวโพลนปรากฏขึ้นมา ปกคลุมเรือกระดูกเหล่านี้เอาไว้ข้างใน


 


 


แต่สีหน้าของมนุษย์อสรพิษเหล่านี้กลับไม่ได้ผ่อนคลายลงด้วยเหตุนี้


 


 


เป็นเพราะบรรยากาศของผิวน้ำได้เปลี่ยนไปเช่นกัน คลื่นยักษ์สูงใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าก่อตัวขึ้นพร้อมกัน โจมตีมายังเรือลำเล็กอย่างมืดฟ้ามัวดิน


 


 


เรือลำเล็กเหล่านี้มีความยาวแค่สองสามจั้ง เมื่ออยู่ต่อหน้าคลื่นยักษ์เหล่านี้ก็เป็นเพียงสิ่งกระจิริดเท่านั้น แน่นอนว่าย่อมไม่อาจต้านทานอะไรได้ แต่เป็นเพราะมีลำแสงสีขาวปกป้องอยู่ จึงไม่ได้เกิดเหตุการณ์เรือล่มคร่าชีวิตผู้คนไปในทันที แต่พวกมันที่อยู่ท่ามกลางคลื่นลมทะเลนี้ก็เห็นได้ชัดว่าอันตรายมาก จึงทำได้เพียงยอมไหลไปตามระลอกคลื่น ไม่อาจตรงไปข้างหน้าได้เลยสักนิด


 


 


หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันตะลึงงัน หลังจากที่สายตากวาดไปยังใบหน้าของสตรีอสรพิษทั้งสองบนเรือแล้วพบว่าแม้ว่าพวกนางจะมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ไม่ได้เผยสีหน้าประหวั่นพรั่งพรึงออกมา ดูแล้วมนุษย์อสรพิษเหล่านี้คงจะมีแผนการรับมืออะไรสักอย่าง


 


 


เป็นดั่งที่หานลี่คาดการณ์เอาไว้ดังคาด ในยามที่เรือกระดูกเหล่านี้ตกอยู่ในอันตราย ฉับพลันนั้นเกาะกลางทะเลที่อยู่ไม่ไกลนักพลันมีเสาลำแสงสีขาวนวลสายหนึ่งพุ่งออกมา เสาลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเมฆสีดำบริเวณโดยรอบ


 


 


ชั่วขณะนั้นกลางเมฆสีดำพลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ดวงแสงลูกยักษ์ระเบิดออก ไอคลื่นสีขาวหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะกวาดก้อนเมฆบนท้องฟ้าออกจนกลายเป็นรูยักษ์รัศมีร้อยจั้ง


 


 


แน่นอนว่าหานลี่ย่อมตกตะลึง อดที่จะมองไปบนเกาะสองสามปราดไม่ได้


 


 


แต่ความเร็วของเสาลำแสงเมื่อครู่นั้นรวดเร็วเกินไป และยิ่งไปกว่านั้นเพียงกะพริบวาบ เขาก็มองไม่เห็นแล้วว่าสิ่งที่พุ่งออกจากเกาะนั้นมาจากจุดใด


 


 


หลังจากทะลวงผ่านรูเมฆดำทะมึนนั้นไป ลมพายุขนาดยักษ์บนผิวน้ำก็อ่อนกำลังลง แม้ไม่อาจสงบนิ่งดุจก่อนหน้า แต่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์อสรพิษเหล่านี้ เรือกระดูกกลับแล่นไปยังเกาะกลางมหาสมุทรอีกครั้ง


 


 


ครู่ต่อมาเรือกระดูกทั้งหมดพลันมาถึงท่าเรือตามธรรมชาติขนาดเล็กบนเกาะกลางมหาสมุทร จากนั้นทุกคนพลันทยอยกันลงจากเรือ


 


 


หานลี่เองก็ถูกสตรีอสรพิษทั้งสี่ใช้ ‘เปลหาม’ ยกขึ้นฝั่งอีกครั้ง


 


 


เวลานี้หานลี่ทนไม่ไหวหันหน้าไปมองท้องฟ้าในบริเวณรอบแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้าไม่อาจอยู่ได้นานนัก ผ่านไปชั่วครู่รูยักษ์กลางอากาศก็ถูกเมฆดำทะมึนปกคลุมไว้อีกครั้ง ผิวน้ำเกิดระลอกคลื่นขึ้นอีกครั้ง


 


 


แต่สำหรับมนุษย์อสรพิษที่มาถึงฝั่งอย่างปลอดภัยแล้ว กลับเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์


 


 


หานลี่เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา กลับรู้สึกสนใจสิ่งที่ปล่อยเสาลำแสงสีขาวออกมาจากบนเกาะ


 


 


แม้ว่าจิตสัมผัสของเขาจะแห้งเหือด แต่ก็ยังคงสัมผัสได้รางๆ ว่าเสาลำแสงนี้มีพลังวิญญาณผสมอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ลงมือแน่ ดูเหมือนกับเขตอาคมหรือยุทธภัณฑ์อะไรสักอย่างที่อาศัยพลังของศิลาวิญญาณปล่อยออกมา


 


 


แม้ว่าอานุภาพของขั้นตอนเหล่านี้จะไม่อยู่ในความสนใจของหานลี่ แต่มาปรากฏบนเกาะของชนต่างเผ่าที่ไม่ใหญ่โตนักเช่นนี้ กลับทำให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


 


ทว่าความคิดเหล่านี้แค่แวบผ่านในจิตใจของหานลี่ไปเท่านั้น สายตาย้อนกลับไปยังทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า


 


 


ท่าเรือขนาดเล็กแห่งนี้มิใช่ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ไม่เพียงชายหาดจะมีบ้านหินขนาดสูงเตี้ยไม่เท่ากันสร้างอยู่สองสามหลัง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสาหินสูงใหญ่ประมาณร้อยจั้งตั้งตระหง่านอยู่


 


 


ยอดเสาแห่งนี้มีบ้านไม้เล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ด้านบนมีมนุษย์อสรพิษตนอื่นๆ อาศัยอยู่รางๆ


 


 


ในเวลานั้นเองในบ้านหินตรงชายฝั่งพลันมีมนุษย์อสรพิษเจ็ดแปดคนเลื้อยออกมา กว่าครึ่งล้วนเป็นสตรี มีส่วนน้อยที่เป็นบุรุษ ผู้นำคือสตรีอสรพิษโฉมงามสะคราญ ร่างกายอรชนอ้อนแอ้น อายุยี่สิบปีเศษตนหนึ่ง


 


 


สตรีตนนี้กวาดสายตาไปยังเรือนของเหล่าชายร่างใหญ่ เมื่อเห็นสิ่งที่ห่อกลับมาตุงๆ ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มจางๆ น่าหลงใหลออกมา แต่เมื่อสายตากวาดไปยังหานลี่ที่อยู่ด้านหลังฝูงชน กลับอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้


 


 


เวลานี้ชายร่างใหญ่กลับเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากทำความเคารพแล้ว พลันเอ่ยอะไรกับสตรีตนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


หลังจากที่สตรีอสรพิษฟังจบแล้ว ดวงตาคู่งามพลันกวาดไปยังเท้าที่อยู่บนกายท่อนล่างของหานลี่วูบหนึ่ง เผยสีหน้าระวังภัยออกมา


 


 


ฉับพลันนั้นร่างกายของสตรีผู้นี้พลันบิดไปมา หลังจากพลิ้วไหวสองสามครั้งก็เลื้อยอย่างอ้อยอิ่งมาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ เมื่ออ้าปากออกก็เอ่ยภาษาประหลาดๆ ออกมา


 


 


หานลี่พลันขมวดคิ้ว แล้วสั่นศีรษะะ


 


 


แต่สตรีอสรพิษผู้นี้กลับไม่ยอมแพ้ เปลี่ยนภาษาไปเจ็ดแปดภาษา เมื่อมาถึงภาษาสุดท้าย หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะฟังออก เป็นภาษาของชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหิน!


 


 


ทว่าสตรีผู้นี้พูดติดๆ ขัดๆ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยนัก


 


 


“เจ้ารู้จักภาษาวิญญาณเหาะเหิน!” หานลี่เผยสีหน้าประหลาดใจออกกมา ขณะเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า


 


 


“ใต้เท้าชนชั้นสูงเองก็เข้าใจภาษาวิญญาณเหาะเหิน ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าคือผู้ช่วยปุโรหิตเผ่าเพลิงอาทิตย์เหยียนอู่! ไม่ทราบว่าใต้เท้าชนชั้นสูงมีนามเรียกขานว่าอันใด” สตรีอสรพิษได้ยินหานลี่เข้าใจภาษาวิญญาณเหาะเหิน ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจ ทำความเคารพตอบกลับ


 


 


“เรียกข้าว่าท่านหานก็พอ เผ่าเพลิงอาทิตย์? ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ข้าบังเอิญตกมาที่นี่ น่านน้ำแห่งนี้คือที่ใดหรือ” หานลี่พลันขมวดคิ้ว เอ่ยถามอย่างแช่มช้า


 


 


“เผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเราเป็นแค่ชนกลุ่มเล็กๆ ของเผ่าตระกูลวา ท่านหานไม่รู้จักเผ่าของเราก็ไม่แปลก ใต้เท้ามีฐานะยิ่งใหญ่บังเอิญตกลงมาในเผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเรา นับว่าเป็นเรื่องมงคลของเผ่าเรายิ่ง ทว่าข้าเป็นแค่ผู้ช่วยปุโรหิต ไม่รู้เรื่องราวของชนเผ่าในน่านน้ำนี้มากนักและไม่มีคุณสมบัติพอจะดูแลท่านหาน ข้าจะพาใต้เท้าไปพบท่านปุโรหิตของเผ่าเรา หากใต้เท้ามีข้อสงสัย ท่านมหาปุโรหิตจะต้องตอบได้อย่างละเอียดแน่” สตรีอสรพิษผู้นี้ตอบกลับอย่างรู้จักวางตัว


 


 


“ท่านมหาปุโรหิต!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย สตรีอสรพิษที่อยู่เบื้องหน้าม้วนตัวไปมาสองรอบ สัมผัสได้ว่าบนร่างของนางมีไอวิญญาณจางๆ แผ่ออกมา


 


 


แม้ว่าสตรีอสรพิษผู้นี้จะมีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับฝึกปราณ แต่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรของจริง ทว่าสตรีผู้นี้มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยเช่นนี้ ท่านมหาปุโรหิตผู้นั้นจะสูงกว่าไปสักเท่าใดนัก คงไม่มีอะไรน่ากลัว ชั่วพริบตาหานลี่พลันคิดคำนวณในใจเสร็จแล้ว แล้วถึงได้พยักหน้าอย่างราบเรียบ


 


 


สตรีโฉมงามเห็นหานลี่ตอบรับ ก็ลอบผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในสายตาของนางชนชั้นสูงตรงหน้ามีกลิ่นอายที่แปลกประหลาดไปหน่อย


 


 


จะว่าแข็งแกร่งก็แข็งแกร่ง แต่พลังแรงกดที่อยู่บนร่างกลับเลือนราง ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่านางเท่าใดนัก แต่จะว่าอ่อนแอ ยามนางกวาดจิตสัมผัสของตัวเองไปแล้ว กลับไม่อาจคาดเดาระดับพลังของอีกฝ่ายได้


 


 


ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องให้ท่านมหาปุโรหิตเป็นผู้จัดการจะเหมาะสมที่สุด


 


 


หลังจากที่สตรีอสรพิษออกคำสั่งกับเหล่าชายร่างใหญ่สองสามประโยค มือหนึ่งก็ควานไปที่เอว ควักถุงหนังออกมาใบหนึ่ง มือหนึ่งควักของด้านในออกมา คาดไม่ถึงว่าจะควักวิหควิญญาณสีขาวหิมะตัวหนึ่งออกมา


 


 


วิหคตัวนี้มีขนาดเท่ากำปั้น รูปร่างคล้ายนกแก้ว แต่ดวงตาทั้งสองกลับเป็นสีแดงเพลิง คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนมีเปลวเพลิงสองกลุ่มฝังอยู่อย่างไรอย่างนั้น


 


 


หลังจากที่สตรีอสรพิษใช้มือลูบไปที่วิหคตัวนั้นสองสามครั้ง ปากก็เปล่งเสียงประหลาดๆ อย่าง “กรู้ๆ” ออกมา จากนั้นพลันปล่อยมือ ชั่วขณะนั้นวิหคตัวนั้นพลันกลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งบินออกไปยังส่วนลึกของเกาะกลางมหาสมุทร แค่กะพริบวาบก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


“ข้ารายงานท่านมหาปุโรหิตแล้ว จากนี้ข้าจะคุ้มครองท่านหานไปยังเมืองเพลิงอาทิตย์เอง” สตรีผู้นี้เอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


หานลี่พลันเลิกคิ้ว และไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืน กลับหลับตาทั้งสองข้างลง


 


 


เมื่อเห็นว่าหานลี่มีท่าทียอมรับโดยดุษณีแล้ว สตรีผู้นี้ก็ไม่ลังเล ทันใดนั้นก็เป็นผู้พาสตรีอสรพิษทั้งสี่คนที่หามหานลี่มา เดินไปตามทางเดินสายเล็กๆ สายหนึ่ง ที่ตรงไปยังใจกลางของเกาะกลางมหาสมุทรเช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)