ข้ามกาลบันดาลรัก 153.1-154.1
ตอนที่ 153.1
ความในใจของเมิ่งเหริน
เช้าวันถัดมาหลังจากกินอาหารเสร็จแต่เช้าตรู่ เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนมายังบ้านใหญ่สกุลเมิ่ง
ครอบครัวเมิ่งจงจวี่ก็เพิ่งจะกินอาหารเช้าเสร็จ ภรรยาเมิ่งต้าจินกำลังเก็บล้างถ้วยชามอยู่ในลานบ้าน เห็นพวกเขาเข้ามาก็ดีใจ ร้องทักทายอย่างรักใคร่ “โยวเอ๋อร์ อี้เซวียน พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้าไปในบ้าน”
ทั้งสองเข้ามาในบ้าน ส่งเสียงทักทายทุกคน เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ วันนี้ช่วงเช้าข้ากับพี่ใหญ่จะตามอี้เซวียนไปที่อำเภอ ที่มานี่เพื่อแจ้งให้ท่านทราบ และอยากขอให้ท่านบอกอี้เซวียนอย่างละเอียดว่าเวลาสอบถงเซิง เขาควรจะระวังเรื่องไหนบ้าง”
เมิ่งจงจวี่ยินดีเป็นอย่างมาก บอกเรื่องที่เขาควรจะระวังให้เขาฟังอย่างละเอียด ทั้งกำชับเขาเป็นพิเศษ “การสอบระดับอำเภอส่วนใหญ่เป็นความรู้ที่ปกติปู่สอนสั่งเจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าไม่ต้องหวาดกลัว ตั้งใจตอบคำถามให้ดีก็พอ”
อี้เซวียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งต้าจินก็บอกเล่าประสบการณ์ที่ตนเองเคยสอบถงเซิงแก่เขา เมิ่งอี้เซวียนจดจำไว้เป็นข้อๆ
เมิ่งจงจวี่นำจดหมายแนะนำจำนวนหนึ่งวางใส่มือเมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “นี่เป็นจดหมายแนะนำของปู่และหัวหน้าสกุลทั้งสี่ เจ้าต้องเก็บไว้ให้ดี ยามเข้าสนามสอบ ท่านนายอำเภอจะสั่งให้คนมาเก็บไป ไม่มีจดหมายแนะนำจะเข้าร่วมการสอบถงเซิงระดับอำเภอไม่ได้”
เมิ่งอี้เซวียนรีบรับมา เก็บใส่อกอย่างดี พร้อมหันไปพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ขอบคุณท่านปู่”
เมิ่งจงจวี่ลูบเครา ส่งยิ้มพยักหน้า
หญิงชราเมิ่งที่อยู่อีกด้านก็ดีใจเป็นอย่างมาก กำชับเมิ่งเชี่ยนโยวพอเข้าไปในอำเภอจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง อี้เซวียนสอบเสร็จแล้วจะต้องรีบกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเชื่อฟัง
กลับมาจากบ้านใหญ่ เมิ่งเสียนตระเตรียมรถม้าพร้อมแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนแยกย้ายกลับห้องไปเก็บของ เมิ่งชื่อยังหวาดกลัวเรื่องที่เข้าอำเภอครั้งก่อนแล้วเมิ่งเจี๋ยหายตัวไป เดินตามติดเมิ่งเชี่ยนโยวคอยกำชับให้นางจะต้องดูแลเมิ่งอี้เซวียนให้ดี หากไม่มีเรื่องอันใดก็ให้อยู่แต่ในโรงเตี๊ยม ที่ไหนก็ไม่ต้องไป เมื่อสอบเสร็จแล้วก็ให้รีบกลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย วางไว้อีกด้าน กอดแขนเมิ่งชื่อ แย้มยิ้มพูดกับนาง “ท่านแม่ เรื่องเจี๋ยเอ๋อร์ครั้งก่อนเป็นเพียงอุบัติเหตุ ท่านอย่าเอาแต่คิดถึงแต่เรื่องนั้น อีกอย่าง พี่ใหญ่และอี้เซวียนก็เรียนวรยุทธ์กับข้ามานานขนาดนี้แล้ว หากเกิดเรื่องอันใดเขาจะต้องรับมือได้ ท่านอย่าได้เป็นกังวลเกินไปเลย”
เมิ่งชื่อพูดอย่างกลัดกลุ้มใจ “แม่รู้ว่าเจ้าพูดถูกต้อง แต่แม่ก็ยังวางใจลงไม่ได้ หากไม่เพราะในบ้านมีเรื่องยุ่ง จะให้พ่อเจ้าตามไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบประโลมนาง “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ? ข้ารับประกันกับท่าน พออี้เซวียนออกจากสนามสอบพวกเราจะกลับบ้านทันที สักนาทีเดียวก็ไม่ให้เสียเวลา”
เมิ่งอี้เซวียนก็เก็บของของตนเองเสร็จแล้ว เมิ่งชื่อมาส่งพวกเขาขึ้นรถม้าอย่างอาวรณ์ มองดูรถม้าจากไปไกลแล้ว ถึงถอนหายใจยาว หันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
อากาศอบอุ่นขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถออก พูดคุยกับเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนด้วยความเบิกบานใจ รถม้าก็มาถึงตัวอำเภออย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เข้ามาถึงตัวเมือง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พี่ใหญ่ พวกเราไปโรงเตี๊ยมครั้งก่อนเถอะ บรรยากาศดี ผู้คนที่ไปมาก็ไม่พลุกพล่านมาก อี้เซวียนจะได้พักผ่อนได้เต็มที่”
เมิ่งเสียนพยักหน้า หวนคิดถึงเส้นทางกลับมายังโรงเตี๊ยมเดิม
เสี่ยวเอ้อเห็นรถม้าเข้ามารีบออกมาต้อนรับ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็จำได้ ร้องทักทายนางอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง ท่านจะมาเข้าพักใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอห้องพักอย่างดีสองห้อง”
เสี่ยวเอ้อรับคำอย่างยินดี สั่งเสี่ยวเอ้ออีกคนให้จูงรถม้าไปหลังโรงเตี๊ยม กำชับเขาให้ดูแลเป็นอย่างดี ถึงพาคนทั้งหมดมาที่โต๊ะรับรองแขกชั้นหนึ่ง พูดกับหลงจู๊ “หลงจู๊ แม่นางท่านนี้ต้องการห้องพักสองห้อง”
หลงจู๊เงยหน้าขึ้น และจำเมิ่งเชี่ยนโยวได้ พูดด้วยมิตรไมตรีเช่นกัน “แม่นาง เจ้ามาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า “น้องชายข้ามาเข้าร่วมการสอบถงเซิงระดับอำเภอ ข้าเห็นว่าโรงเตี๊ยมของพวกท่านค่อนข้างสงบเงียบ เขาจะได้พักผ่อนเต็มที่ จึงมาที่นี่ ไม่ทราบว่าพวกท่านยังมีห้องพักชั้นดีเหลือหรือไม่”
พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพาน้องชายมาสองถงเซิงระดับอำเภอ หลงจู๊พูดยกยอพลัน “น้องชายท่านอายุเพียงเท่านี้ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมการสองถงเซิงระดับอำเภอ อนาคตข้างหน้าจะต้องไม่อาจคาดเดาได้ ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านไว้ก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “หลงจู๊อย่างเพิ่งพูดไปก่อน น้องชายข้าอายุยังน้อยวันนี้เพียงแค่พาเขามาทดสอบดู จะสอบผ่านหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ยินดีกับพวกเราตอนนี้ดูเร็วเกินไปสักหน่อย”
หลงจู๊ยิ้มพูด “น้องชายท่านจะต้องสอบผ่านระดับอำเภอแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบกลับ “เช่นนั้นก็ขอบคุณคำมงคลของหลงจู๊แล้ว”
หลงจู๊เลือกห้องพักชั้นดีสองห้องให้พวกเขา หยิบกุญแจพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ห้องพักทั้งสองห้องนี้อยู่ด้านในสุดของทางเดิน ค่อนข้างเงียบสงบ การตกแต่งภายในห้องก็ดี เหมาะไว้ให้น้องชายแม่นางทบทวนตำรา พวกเจ้าพักสองห้องนี้ก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูด “ขอบคุณหลงจู๊ที่คิดแทนพวกเราอย่างรอบคอบ ทั้งหมดเป็นเงินเท่าไหร่?”
หลงจู๊ตอบกลับ “ห้องพักชั้นดีสองห้องนี้ปกติห้องละห้าสิบตำลึง ครั้งก่อนแม่นางช่วยพวกเราไว้มาก จ่ายห้องละสามสิบตำลึงก็พอ ทั้งหมดหกสิบตำลึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจ ให้เงินหลงจู๊ไปหนึ่งร้อยตำลึง พูดว่า “พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะพักกี่คืน วางมัดจำกับพวกท่านไว้ก่อนหนึ่งร้อยตำลึง หากพรุ่งนี้พวกเรายังไม่ไป ถึงตอนนั้นค่อยจ่ายส่วนที่เหลือเพิ่มให้”
หลงจู๊รับคำด้วยความยินดี จดบันทึกอย่างดีลงในสมุดบัญชี สั่งเสี่ยวเอ้อให้พาคนทั้งสามไปที่ห้องพัก
เสี่ยวเอ้อพาคนทั้งสามมายังปลายสุดทางเดินของชั้นสองอย่างกระตือรือร้น เปิดประตูห้องพักที่ติดกันทั้งสองบานออก พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความนบนอบ “แม่นางเมิ่ง นี่เป็นห้องพักของพวกท่าน ท่านดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”
ทั้งสามเดินเข้ามาในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินการตกแต่งภายในห้อง พยักหน้าพึงพอใจ
เสี่ยวเอ้อถามขึ้น “ไม่ทราบว่าแม่นางยังต้องการสิ่งใดหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว เมื่อข้าต้องการสิ่งใดค่อยเรียกหาเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เสี่ยวเอ้อพยักหน้า แล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างซาบซึ้งใจ “ครั้งก่อนโชคดีได้แม่นางพูดขอร้อง หลงจู๊ถึงไม่ไล่ข้าออก ครอบครัวข้าทั้งผู้เฒ่าและเด็กต่างก็ซาบซึ้งใจแม่นาง ภายหน้าหากแม่นางมีสิ่งใดที่ข้าช่วยเหลือได้ขอให้บอกข้าได้ทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า เสี่ยวเอ้อถอยออกไปอย่างพินอบพิเทา
ทั้งสามเข้ามาในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียน “พวกท่านพักผ่อนกันตามอัธยาศัยก่อนเถอะ เมื่อกินข้าวเที่ยงเสร็จ พวกเราจะออกไปดูข้างนอก ครั้งก่อนฉุกละหุกเกินไป ไม่ทันได้เดินเที่ยวเล่นในตัวอำเภอเลย อุตส่าห์มีโอกาสพักผ่อนหย่อนใจ พวกเราไปเดินเที่ยวให้ทั่ว จะได้ซื้อเครื่องเขียนชั้นดีให้อี้เซวียนด้วย”
ทั้งสองพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่ห้องพักข้างๆ วางสัมภาระของตัวเองลง ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้ามาก จึงเปิดหน้าต่างมองออกไปด้านนอก ตัวอำเภอมีความวุ่นวายพลุกพล่าน คนที่เดินไปมาตามท้องถนนก็ค่อนข้างมาก มองได้ครู่หนึ่ง ก็เริ่มง่วง จึงปิดหน้าต่าง กลับมานอนบนเตียง หลับตาพริ้มไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนินทา
หลังจากตื่นขึ้นมา มองดูท้องฟ้า เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ล้างหน้าล้างตา ออกไปเคาะห้องข้างๆ “พี่ใหญ่ อี้เซวียน พวกท่านตื่นหรือยัง?”
เมิ่งเสียนเปิดประตู แย้มยิ้มพูด “พวกเราหลับไปครู่หนึ่งก็ตื่น เห็นห้องเจ้าไม่มีความเคลื่อนไหว จึงไม่ได้ไปเรียกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแก้เก้อ “คงเพราะเมื่อคืนวานดีใจมากเกินไป ไม่ได้นอนเต็มอิ่ม เมื่อครู่เอนตัวนอนเล่นบนเตียง กลับหลับสนิทไปได้”
เมิ่งเสียนพูด “ช่วงเวลานี้เหน็ดเหนื่อยมาก อย่างไรวันนี้พวกเราก็ไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร เจ้าเลยได้พักผ่อนไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “อือ ข้าพักผ่อนพอแล้ว ตอนนี้พวกเราไปกินข้าวเถอะ”
เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ปิดประตูห้อง เดินลงไปชั้นล่างพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
เสี่ยวเอ้อเห็นพวกเขาลงมา พูดอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง พวกท่านจะออกไปข้างนอกหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามขึ้น “เสี่ยวเอ้อ แถวโรงเตี๊ยมของพวกท่าน มีภัตตาคารหรูบ้างหรือไม่ พวกเราจะไปหาอะไรกินสักหน่อย”
“มี ออกไปเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปไม่ไกลจะมีภัตตาคารหนึ่ง อาหารรสชาติใช้ได้ ลูกค้าไม่น้อยของที่นี่ต่างไปกินข้าวที่นั่น” เสี่ยวเอ้อตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ “ขอบใจเสี่ยวเอ้อ”
เสี่ยวเอ้อโบกมือพูดว่าไม่ต้อง
ทั้งสามก้าวออกจากประตู เดินมาถึงหน้าภัตตาคารตามทางที่เสี่ยวเอ้อบอก เสี่ยวเอ้อต้อนรับลูกค้าเห็นพวกเขา กล่าวทักทายด้วยมิตรไมตรี “เชิญพวกท่านด้านใน เป็นห้องโถงใหญ่หรือห้องรับรองขอรับ?”
“ห้องรับรอง” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เสี่ยวเอ้อเพียงเอ่ยถามด้วยความเคยชิน ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะต้องการห้องรับรอง นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ มองทั้งสามคนอย่างถี่ถ้วน เห็นพวกเขาแต่งกายไม่เหมือนเป็นลูกเศรษฐีมีเงิน พูดเตือนด้วยความหวังดี “ภัตตาคารของเรามีกฎระเบียบ ลูกค้าที่ใช้ห้องรับรองจะต้องใช้จ่ายไม่น้อยกว่าสิบตำลึง”
“รู้แล้ว หาห้องรับรองที่ดีที่สุดให้พวกเราด้วย ขอที่สงบเงียบหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เสี่ยวเอ้อลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็พาพวกเขาไปยังห้องรับรอง รินน้ำชาให้พวกเขาคนละถ้วย ถามพวกเขาว่าจะสั่งอาหารอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ขออาหารแนะนำของร้านพวกเจ้ามาสองอย่าง แล้วขอเป็นอาหารรสจืดอีกสองอย่าง กับข้าวสวยสามถ้วย”
ทุกครั้งนางจะเป็นคนตัดสินใจ เสี่ยวเอ้อเห็นแบบนั้นมองนางด้วยความประหลาดใจ ออกไปร้องสั่งอาหารอย่างนอบน้อม
แม้จะเป็นตอนเที่ยงที่ลูกค้ามากันมาก อาหารกลับขึ้นโต๊ะไว รอไม่นาน เสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารเข้ามา วางเรียงทีละจานจนเต็มโต๊ะ พูดกับพวกเขาว่า “อาหารมาครบแล้ว เชิญพวกท่านตามสบาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เสี่ยวเอ้อออกไปอย่างนบนอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตะเกียบขึ้น คีบอาหารเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้ง พยักหน้าพึงพอใจ “พี่ใหญ่ อี้เซวียน อาหารภัตตาคารนี้ไม่เลวเลย กินเถอะ”
เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนก็หิวเช่นกัน หยิบตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วย พุ้ยใส่ปากคำใหญ่
ทั้งสามเอาแต่กินข้าว ไม่มีใครพูดกับใคร ในห้องรับรองมีเพียงเสียงตะเกียบกระทบกับถ้วยข้าว
กินไปได้ครู่หนึ่ง เริ่มรู้สึกไม่หิวมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเอ่ยปากพูด ด้านนอกกลับมีเสียงอึกทึกหนึ่งดังลอยมา รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น เสียงเข้มดังของชายคนหนึ่งดังลอยเข้ามา “ไม่ดูสารรูปตัวเองเสียบ้าง กล้าเพ้อฝันอาจเอื้อมน้องสาวข้า จะบอกให้นะ ครั้งหน้าถ้าข้าเห็นว่าเจ้าแอบตามพวกเรามาอีก ข้าจะให้คนหักขาของเจ้าทิ้ง”
เสียงดูแคลนของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้น “พี่ใหญ่ พวกเราไปเถอะ ด้วยสภาพยากจนแร้นแค้นอย่างเขา ให้มาถือรองเท้าข้ายังรังเกียจว่าเขาสกปรกเลย”
ชายผู้นั้นแค่นเสียงหึ พูดว่า “ได้ยินหรือยัง เจ้ารีบตัดใจแต่เนิ่นๆ ซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
เสียงคุ้นหูของชายคนหนึ่งแว่วดังเข้าหูทั้งสามคน “พี่ตู้ ก่อนปีใหม่พวกท่านหาได้พูดเช่นนี้ไม่ ท่านรับปากข้า รอให้ข้าสอบซิ่วไฉได้จะให้ข้าไปสู่ขอบ้านพวกท่าน”
ได้ยินเสียงนี้ เมิ่งเสียนไม่ทันได้วางถ้วยตะเกียบในมือ ผุดลุกขึ้นพรวด พูดตะกุกตะกัก “น้องสาว นี่ๆๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ฟังออกว่าเป็นเสียงเมิ่งเหริน ขมวดคิ้วยู่ย่น
เมิ่งเสียนวางถ้วยตะเกียบในมือ พูดว่า “ข้าจะออกไปดู”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้เรื่องราว ท่านอย่าเพิ่งใจร้อน พวกเราฟังอีกหน่อยค่อยว่ากัน”
เมิ่งเสียนนั่งกลับไปบนเก้าอี้
เสียงผู้ชายด้านนอกยังดังลอยเข้ามา “คำพูดเจ้าช่างน่าขันนัก เจ้าให้ทุกคนดู ด้วยสารรูปบ้านนอกคอกนาอย่างเจ้า มีตรงไหนคู่ควรกับน้องสาวข้า เจ้าคงฟั่นเฟือนไปแล้วถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา”
เสียงเมิ่งเหรินเริ่มร้อนรน “พี่ตู้ ตอนนั้นท่านพูดเช่นนี้จริงๆ ท่านคิดจะกลับคำพูดหรือ?”
ชายหนุ่มถมถุยใส่เขา “อะไรคือกลับคำพูด ข้าไม่เคยกล่าวคำพวกนั้นเลยต่างหาก เจ้ามันคางคกคิดอยากจะกินเนื้อห่านฟ้าจนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว”
เสียงไม่พอใจของหญิงสาวก็ดังแว่วตามมา “เจ้าช่างไม่มีความละอายเสียบ้าง พวกเราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน เหตุใดต้องมาทำลายชื่อเสียงข้าเช่นนี้ จะบอกให้นะ ครอบครัวข้าเพิ่งจะเจรจาเรื่องหมั้นหมายให้ข้า หากต้องถูกเจ้าทำให้แยกจากกัน ข้าจะขอสู้ตายกับเจ้า”
น้ำเสียงเมิ่งเหรินทวีความร้อนรน “พวกเราจะไม่เคยเจอหน้ากันได้อย่างไร ก่อนปีใหม่ข้ายังซื้อปิ่นปักผมอันหนึ่งให้เจ้าอยู่เลย”
หญิงสาวถมถุย “เจ้าให้ทุกคนดูเถิด การแต่งเนื้อแต่งตัวของเจ้าแม้แต่คนรับใช้บ้านพวกเรายังสู้ไม่ได้ จะมีเงินมาซื้อปิ่นให้ข้าได้อย่างไร เสียแรงที่เกิดเป็นคน คนห้อมล้อมมากเช่นนี้ยังกล้าพูดโกหกได้อย่างหน้าไม่อาย ไม่กลัวจะขายหน้าตัวเองบ้าง”
น้ำเสียงกระวนกระวายของเมิ่งเหรินดังขึ้นอีกครั้ง “ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับ ปิ่นนั่นข้าต้องใช้เงินค่าแรงครึ่งปีของน้องเล็กถึงเอามาซื้อให้เจ้าได้”
คนในภัตตาคารส่งเสียงอื้ออึง
เมิ่งเสียนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นยืนพูดว่า “ข้าจะออกไปดู”
พูดจบเปิดประตูห้องรับรองเดินออกไป
ตอนที่ 153.2
ความในใจของเมิ่งเหริน
เสี่ยวเอ้อเห็นเมิ่งเสียนออกมา นึกว่าพวกเขากินเสร็จแล้ว เข้ามาพูดว่า “พวกท่านกินเสร็จแล้วหรือ? ทั้งหมดสิบสี่ตำลึงขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พวกเรายังกินไม่อิ่ม ได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก พี่ใหญ่ข้าเลยออกมาดู”
เสี่ยวเอ้อพูดแก้เก้อ “เช่นนั้นพวกท่านค่อยๆ กิน กินอิ่มแล้วค่อยเรียกข้า” พูดจบหันหลังเตรียมจะถอยออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเขาไว้ “ช้าก่อน”
เสี่ยวเอ้อหยุดฝีเท้า หันหลังกลับมามองนางอย่างสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
เดิมเสี่ยวเอ้อรู้สึกไม่ดีที่รีบเข้ามาเก็บเงิน ขณะที่พวกเขายังกินข้าวยังไม่เสร็จ ตอนนี้พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเช่นนี้ รีบพูดด้วยอย่างกระตือรือร้น “ท่านหมายถึงเสียงโต้เถียงด้านนอกนั่นใช่หรือไม่ ข้าจะบอกอะไรให้ นี่เป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นเสมอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว
เสี่ยวเอ้อนึกว่านางไม่เชื่อ ยิ่งพูดอย่างออกรสออกชาติ “พี่น้องสองคนด้านนอกนั้นแซ่ตู้ ได้ยินว่าเป็นคุณชายและคุณหนูตระกูลเศรษฐีตำบลข้างๆ พี่ชายเข้ามาเรียนหนังสือในอำเภอ น้องสาวมักจะเข้ามาเยี่ยมหาเป็นประจำ บ่อยครั้งที่นางจะยั่วยวนหลอกล่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนของพี่ชาย ให้นักเรียนเหล่านั้นมอบของกำนัลให้นาง เหมือนว่าพวกเขาสองพี่น้องยังให้คำสัญญา หากใครสอบได้เป็นซิ่วไฉ จะมอบน้องสาวให้แต่งกับคนนั้น ด้วยเหตุนี้ มีนักเรียนไม่น้อยทุ่มเทบากบั่นเพื่อสองพี่น้องนี้ โดยเฉพาะนักเรียนยากจน วันๆ มัธยัสถ์อดออม ใช้เงินที่เก็บหอมรอบริบมาซื้อของใช้สำหรับผู้หญิงให้นาง แต่ข้าได้ยินพวกเสี่ยวเอ้อพูดกันว่า สองพี่น้องคู่นี้พอลับหลังก็นำสิ่งของเหล่านั้นไปเปลี่ยนเป็นเงิน นำเงินไปกินดื่มในภัตตาคารละแวกนี้ไม่เว้นวัน ดังนั้นเรื่องเช่นนี้ในภัตตาคารละแวกนี้มักมีให้เห็นจนชินตา พวกเราไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกแล้ว แต่วันนี้คุณชายด้านนอกท่านนั้นเสียเปรียบไม่น้อยเลยจริงๆ ได้ยินว่าใช้เงินค่าแรงครึ่งปีของน้องชายมาซื้อเครื่องประดับให้คุณหนูตู้ แต่ตอนนี้อย่างไรคุณหนูตู้ก็ไม่ยอมรับ ตอนนี้กำลังทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้จนตกลงกันไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “เมื่อพวกเขาหลอกต้มตุ๋นคนมากมาย เหล่านักเรียนไม่สังเกตเห็นบ้างหรือ? เหตุใดถึงยังหลงเชื่อ?”
เสี่ยวเอ้อตอบกลับ “นักเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนบ้านนอก มีจิตใจมุ่งมั่น ไหนเลยจะรู้ว่ามีคนหลอกใช้วิธีนี้มาต้มตุ๋นเงินพวกเขา อีกอย่าง สองพี่น้องนั่นก็มีแผนการที่แยบยลมาก ทุกครั้งจะหลอกล่อนักเรียนหนึ่งคน ให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ารอให้นักเรียนผู้นั้นสอบซิ่วไฉได้ ก็จะให้เขาไปสู่ขอบ้านตัวเอง ตระกูลของตัวเองร่ำรวยมาก ไม่ขัดสนเรื่องกินใช้ รอให้หมั้นหมายกันแล้วต่อไปค่าใช้จ่ายของนักเรียนเหล่านั้นพวกเขาจะรับผิดชอบเอง บรรดานักเรียนย่อมยินดีปรีดา ทุ่มเทเอาใจพวกเขาสองคนสุดชีวิต โดยเฉพาะนักเรียนยากจนพวกนั้น แทบอยากจะนำเงินที่ทางบ้านกระเหม็ดกระแหม่ให้มาไปซื้อของที่คุณหนูตู้ชอบ กระทั่งสองพี่น้องพบว่านักเรียนเหล่านั้นไม่มีเงินให้แล้ว ก็จะหาเหตุผลร้อยพันมาปฏิเสธ บางครั้งยังไม่ยอมรับผิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เช่นนั้นไม่มีนักเรียนคนไหนเอาไปพูดบ้างหรือ?”
เสี่ยวตอบ “กระทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ เหล่านักเรียนกลัวจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ ไหนเลยจะกล้าพูดออกมา นักเรียนด้านนอกในวันนี้คงจะจ่ายเงินไปมาก ในใจไม่ยินยอม ถึงมาเอาความกับพวกเขาอย่างไม่สนใจสถานที่เช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอบใจ”
เสี่ยวเอ้อโบกมือ “ไม่ต้อง ท่านยังมีอะไรอยากรู้อีก ขอให้ถามข้า ข้าจะบอกทุกอย่างที่รู้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง “ขอบใจมาก ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
เสี่ยวเอ้อพยักหน้า ออกไปจากห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ไม่เคลื่อนไหว
เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างร้อนใจ “พวกเราก็ออกไปดูบ้างเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า รีบกินข้าว กินอิ่มแล้วพวกเราจะได้ออกไปเดินเล่น ซื้อเครื่องเขียนชั้นดีให้เจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนหยิบตะเกียบและถ้วยข้าวขึ้นอย่างเชื่อฟัง กินข้าวในถ้วยตัวเองต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตะเกียบขึ้น คีบอาหารใส่ถ้วยของเขา
เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้ามองนางอย่างประหลาดใจแกมยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกว่าพฤติกรรมนี้ของตนเองดูจะไม่เหมาะสม รีบดุว่ากลบเกลื่อน “มองอะไร ยังไม่รีบกินอีก”
เมิ่งอี้เซวียนก้มหน้ากินคำใหญ่อย่างมีความสุข
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คีบอาหารเล็กน้อยมาใส่ถ้วยข้าวตัวเอง กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เมิ่งเสียนเดินออกไปด้านนอก มองประตูห้องรับรองที่อยู่ไม่ไกลจากห้องรับรองของตนเอง เมิ่งเหรินและสองพี่น้องที่เพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่กำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เมิ่งเสียนเดินขึ้นหน้า ร้องตะโกนเสียงดังลั่น “พี่เมิ่งเหริน”
เมิ่งเหรินไม่คิดว่าจะเจอเมิ่งเสียนในสถานที่เช่นนี้ พลันตะลึงงัน
คุณชายตู้ได้ยินตะเบ็งเสียงพูด “เจ้ารู้จักเขา? ดีเลย รีบมาลากเขาไป ห้องรับรองข้ายังมีแขกคนอื่น เขาตามตอแยไม่เลิก เสียเวลาข้าทำธุระ ข้าอยากจะหักเขาทิ้งนัก”
เมิ่งเสียนเดินขึ้นหน้า พูดกับเมิ่งเหริน “พี่เมิ่งเหริน ข้าและโยวเอ๋อร์ อี้เซวียนกินข้าวอยู่ในห้องรับรองด้านหน้า ท่านไปกับข้าเถอะ”
เมิ่งเหรินได้สติกลับมา กะพริบตาปริบๆ อย่างร้อนตัว พูดว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้าเพียงแค่มีธุระกับพวกเขา ตอนบ่ายข้ายังมีเรียนที่โรงเรียน ข้าขอตัวก่อน”
พูดจบ หันกลับหลังเดินลงไปชั้นล่าง
คุณชายตู้ได้ฟังคำพูดของเมิ่งเสียน ดวงตากลิ้งกลอก คว้าตัวเมิ่งเหรินไว้ แสร้งพูดด้วยโทสะ “เจ้าสร้างความยุ่งยากให้พวกเรามากเช่นนี้ บอกจะไปก็ไป เจ้าฝันไปเถอะ”
เมิ่งเหรินไม่ทันได้ตั้งตัว ตะลึงงัน
คุณหนูตู้ก็ช่วยพูดเสริม “ใช่ เรื่องวันนี้จะให้จบแบบนี้ไม่ได้ เจ้าทำลายชื่อเสียงข้าต่อหน้าผู้คนมากมาย เจ้าต้องชดใช้ค่าเสียหายให้พวกเรา”
วันนี้ที่โรงเรียนมีวิชาเรียนน้อย เมิ่งเหรินคิดจะออกมาซื้อเครื่องเขียน บังเอิญเจอคุณหนูตู้ผู้อ่อนโยนเอื้ออารี มีการศึกษาที่ตนเองเฝ้ารำพึงรำพันหา กลับเดินเข้าภัตตาคารไปกับผู้ชายที่ดูแล้วจะเป็นคุณชายมั่งคั่งคนหนึ่ง จึงได้แอบสะกดรอยตามมา เพื่อให้รู้แจ้งกระจ่าง ไม่คิดว่าจะถูกพวกเขาตลบหลังกลับจนอับอายขายหน้า ภายใต้ความโมโหและขุ่นข้องใจ จึงถามหาเอาความกับพวกเขา คิดจะทวงคือปิ่นปักผมที่ตนเองใช้เงินค่าแรงครึ่งปีของเมิ่งอี้มาซื้อให้นาง ไม่คิดว่าพวกเมิ่งเสียนก็จะมากินข้าวที่ภัตตาคารแห่งนี้ เกิดความละอายรับไม่ได้ คิดจะรีบหนีหน้าไป ไม่คิดว่าสองพี่น้องนี้จะไร้ยางอายคิดจะปัดความรับผิดชอบมาที่เขา พลันโมโหตัวสั่น ชี้หน้าคุณหนูตู้ร้องก่นด่า “เจ้าช่างไร้ยางอายนัก ด้านหนึ่งหลอกข้าบอกรอให้ข้าสอบซิ่วไฉได้จะให้ข้าไปสู่ขอเจ้า อีกด้านก็ยั่วยวนหลอกล่อคุณชายเศรษฐี ตอนนี้ยังคิดจะโบ้ยความผิด กล่าวหาว่าข้าทำลายชื่อเสียงเจ้า เชื่อไหมว่าข้าจะเอาเรื่องอื้อฉาวที่เจ้าทำบอกกับทุกคน ให้ทุกคนได้รู้ว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร”
คุณหนูตู้รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นหญิงอ่อนแอน่าสงสาร หยิบผ้าเช็ดหน้าในมือแสร้งเช็ดหางตาที่ไร้ซึ่งน้ำตา พูดอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “คุณชายเมิ่ง ข้ารู้ว่าท่านหมายปองข้ามานาน แต่พวกเราไม่คู่ควรกันจริงๆ พี่ชายข้าพูดเตือนท่านหลายครั้งแล้ว แต่ท่านก็ยังจะดื้อรั้น ตอแยข้าไม่เลิก หากไม่เพราะเห็นแก่ที่ท่านเป็นเพื่อนร่วมห้องพี่ชายข้า ข้าให้บิดามารดาข้าเข้าฟ้องร้องที่โรงเรียนท่านนานแล้ว ตอนนี้ท่านไม่เพียงไม่รับความหวังดีข้า ยังจะข่มขู่ข้าต่อหน้าผู้คนมากมาย ท่านให้ทุกคนตัดสินเถอะว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนผิด”
เมิ่งเหรินได้ฟังคำพูดนาง ได้แต่ชี้หน้าคุณหนูตู้พูดอะไรไม่ออก
คุณชายตู้ปัดมือเขาทิ้ง พูดอย่างเคืองแค้น “เอามือสกปรกของเจ้าออกไป หากกล้าชี้หน้าน้องสาวข้าอีก ข้าจะเลาะแขนเจ้าออกมา”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เมิ่งเสียนไม่ยินดีแล้ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “วาจาโอหังนัก ลองเลาะให้ข้าดูสักหน่อย”
คุณชายตู้สะอึกกึก พูดขึ้นทันควัน “เจ้าเป็นใครมาจากไหน กล้ามาขึ้นเสียงกับข้า”
“ข้าเป็นน้องชายเขา เรื่องของเขาวันนี้ข้ามีสิทธิ์ขาด” เมิ่งเสียนตอบ
คุณชายตู้มองประเมินเขาขึ้นลง พูดอย่างดูถูกดูแคลน “เมื่อเจ้าเป็นน้องชายเขา ก็ดีเลย เรื่องที่เขาทำลายชื่อเสียงน้องสาวข้าพวกเรามาตกลงกันหน่อย”
เมิ่งเสียนยิ้มอ่อน ถามกลับอย่างไม่แยแส “จะตกลงอย่างไร?”
คุณชายตู้พูดอย่างคนใจกว้าง “พวกเราไม่เรียกร้องมาก พวกเจ้าจ่ายค่าเสียหายมาห้าสิบตำลึงก็พอ ไม่เช่นนั้น พวกเราจะไปฟ้องร้องเมิ่งเหรินที่โรงเรียน ให้ปีนี้เขาเข้าสอบเคอจวี่ไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนกินอิ่มแล้ว รออย่างไงเมิ่งเสียนก็ไม่กลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเมิ่งอี้เซวียนให้อยู่แต่ในห้องรับรอง ตัวเองเดินออกมาดู เพิ่งจะพ้นประตูออกมา ก็ได้ยินคำพูดของคุณชายตู้ แย้มยิ้มพร้อมส่งเสียงพูดว่า “ห้าสิบตำลึงน้อยเกินไป ให้พวกเจ้าหนึ่งร้อยตำลึงเป็นอย่างไร?”
ฝูงคนที่มุงดูเรื่องสนุกหันหลังกลับ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินอมยิ้มเข้ามา หยุดยืนตรงหน้าคุณชายตู้
คุณชายตู้มองประเมินเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง เบะปากพูดอย่างดูแคลน “อย่าคิดว่ามากินข้าวที่ภัตตาคารนี้ได้ ตัวเองก็จะเป็นเศรษฐีแล้ว คนบ้านนอกคอกนาอย่างพวกเจ้า มีเงินถึงหนึ่งร้อยตำลึง เป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ของคนโง่เขลาชัดๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “คุณชายตู้พูดถูกต้องแล้ว พวกเรามีเงินไม่ถึงหนึ่งร้อยตำลึงจริงๆ”
คุณชายตู้ได้ยินเช่นนั้นนึกว่าตนเองถูกหลอก พูดเกรี้ยวกราด “เช่นนั้นจะมาอวดโอ้ว่ามีเงินทำไม ครั่นเนื้อครั่นตัวนักใช่ไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงตั๋วแลกเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วพูดว่า “พวกเรามีเงินเพียงไม่กี่พันตำลึงเท่านั้น”
คนที่มุงดูเรื่องสนุกส่งเสียงร้องเซ็งแซ่
คุณชายตู้ถึงกับตะลึงค้าง จากนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย มองตั๋วแลกเงินในมือเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างละโมบ
คุณหนูตู้กลอกกลิ้งนัยน์ตา หันไปพูดกับเมิ่งเหริน “คุณชายเมิ่ง เมื่อครู่ข้าเพียงล้อท่านเล่น อยากลองใจว่าท่านมีใจจริงหรือไม่ ไม่คิดว่าจะทำท่านเข้าใจผิดไป ต้องขอโทษจริงๆ”
พูดจบเดินขึ้นหน้าไปหยุดตรงหน้าเมิ่งเหริน ยื่นมือออก แสร้งพูดอย่างเจ็บปวดใจ “ท่านคงจะโมโหแย่แล้ว ข้าจะปลอบใจท่านเอง”
เมิ่งเหรินงงงัน ยอมให้มือของคุณหนูตู้ประคองแผ่นหลังตนเองอย่างซึมกระทือ
นัยน์ตาเมิ่งเชี่ยนโยวสะท้อนแววสะอิดสะเอียน
เมิ่งเสียนดึงเมิ่งเหรินกลับมา เมิ่งเหรินถึงได้สติ ผลักคุณหนูตู้ออกเบาๆ
ดวงตาคุณหนูตู้เต็มตื้นไปด้วยน้ำตาพลัน พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “คุณชายเมิ่ง ท่านไม่ยอมอภัยให้ข้าใช่หรือไม่?”
เมิ่งเหรินเผยอปาก ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ตอนที่ 153.3
ความในใจของเมิ่งเหริน
ในห้องรับรองมีคุณชายเศรษฐีกิริยากระด้าง ก้าวเท้าพลิ้วไหวเดินออกมา เห็นสภาพของคุณหนูตู้ พูดด้วยความโมโห “ใครกันที่บังอาจ กล้ารังแกคนงามของข้า เด็กๆ ตีมันออกไปจากภัตตาคาร”
หลงจู๊ของภัตตาคารรีบเข้ามาห้ามปราบ “คุณชายจาง มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน ท่านอย่าได้ลงมือลงไม้ในภัตตาคารเด็ดขาด”
คุณชายจางยกมือยกไม้ พูดอย่างไม่แยแส “กลัวอะไร อะไรเสียหายให้มาคิดบัญชีกับข้า” พูดจบด่าว่าผู้ติดตามสองสามคนด้านหลัง “พวกเจ้าทั้งหมดยังไม่รีบจัดการ?”
ผู้ติดตามทั้งหมดเดินขึ้นหน้า กำลังจะลงมือกับเมิ่งเหริน ผู้คนที่มุงดูตกใจแยกย้ายถอยหนี
เมิ่งเชี่ยนโยวแผดเสียงร้องพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ช้าก่อน!”
ผู้ติดตามทั้งหมดหยุดชะงัก
คุณชายจางได้ฟังหันมองกลับมา ตอนที่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวดวงตาก็เปล่งประกาย โบกสะบัดมือให้ผู้ติดตาม ผู้ติดตามล่าถอยออกไป คุณชายจางเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว พูดจากะลิ้มกะเหลี่ยกับเมิ่งเชี่ยนโยว “สาวน้อยคนงามนางนี้ ว่าอย่างไร ไปกับข้าเถอะ ข้าจะให้เจ้าได้กินอิ่มหลับสบาย”
พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวถีบลอยโด่งออกไป
คนมุงดูร้องอุทานขึ้นพร้อมกัน
ร่างตุ้ยนุ้ยของคุณชายจางร่วงสู่พื้นดัง “ตุ๊บ” เกิดเสียงร้องโหยหวนดังสนั่น
เหล่าผู้ติดตามตกใจตัวลอย รีบเดินขึ้นหน้า เข้าไปประคองคุณชายจางอย่างหวาดผวา ร้องถามเสียงหลง “คุณชาย ไม่เป็นอะไรนะ”
คุณชายจางเจ็บจนพูดไม่ออก รอพักใหญ่ก็ยังไม่ดีขึ้น เหล่าผู้ติดตามยิ่งทวีความหวาดผวา เขย่าตัวเขาเอาแต่ถามไม่หยุด
หลงจู๊ก็ตกใจมาก หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางน้อย ครั้งนี้เจ้าก่อเรื่องใหญ่แล้ว คุณชายจางเป็นหลานชายคนเดียวของจางหยวนว่าย หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา พวกเจ้าได้เข้าซังเตเป็นแน่”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้เมิ่งเสียนตกใจหนัก รีบร้อนพูด “น้องสาว พวกเรารีบไปเถอะ”
หลงจู๊ได้ยินเช่นนั้นเข้าไปยืนขวางพวกเขาที่หน้าบันได “พวกท่านจะไปไม่ได้ ถ้าพวกท่านไป ประเดี๋ยวพอคุณชายจางฟื้นขึ้นมา ได้พังราบภัตตาคารของข้าเป็นแน่”
เมิ่งเหรินไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ ตาค้างทำอะไรไม่ถูก
สองพี่น้องตู้หันหน้าสบตากัน ต่างก็วิ่งไปข้างกายคุณชายจาง ลนลานร้องถาม “คุณชายจาง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ครู่ใหญ่ ในที่สุดคุณชายจางก็อาการดีขึ้น ผลักสองพี่น้องตู้ออก พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเคืองแค้น “นังตัวดี กล้าลงมือกับข้า วันนี้ข้าจะให้คนอัดเจ้าให้ตายทั้งเป็น”
พูดจบ หันไปคำรามใส่ผู้ติดตาม “ยังจะยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบเข้าไปรุมอัดนังตัวดีที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนั่นอีก”
ผู้ติดตามได้ยินปล่อยมือจากคุณชายจาง ตรงเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว
คุณชายจางไม่คิดว่าผู้ติดตามที่ผยุงหลังจะปล่อยมือ ล้มไปกองกับพื้นอีกครั้ง เจ็บปวดร้องโอดโอยเสียงลั่น
สองพี่น้องตู้รีบรวมพลังประคองเขา ถามอย่างเป็นห่วง “คุณชายจาง ท่านไม่เป็นอะไรนะ”
คุณชายจางพูดด้วยน้ำโห “เจ้าตาบอดหรือไง? ข้าล้มไปถึงสองครั้ง จะไม่เป็นไรได้อย่างไร?”
สองพี่น้องตู้เห็นเขาหันมาแผดเผาไฟโทสะใส่ตนเอง ตกใจจนไม่กล้าส่งเสียง
เห็นพวกผู้ติดตามพุ่งเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวถอยหลังสองสามก้าว เมิ่งเสียนก้าวเท้าขวางเบื้องหน้านาง รับมือพวกผู้ติดตามที่เข้ามา
เมิ่งเสียนฝึกวรยุทธ์กับเมิ่งเชี่ยนโยวมาได้ครึ่งปีแล้ว รับมือกับพวกผู้ติดตามนี้ได้สบาย เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็จัดการพวกเขาลงไปนอนร้องครวญครางโหยหวน เมิ่งเชี่ยนโยวยืนเอ้อระเหยอยู่หลังเมิ่งเสียน กระทืบซ้ำพวกผู้ติดตามที่ล้มไปกับพื้นบ้างสองสามครั้ง
ผู้คนที่มุงดูถลึงตาโตอ้าปากค้างมองดูฉากระทึกขวัญนี้
พอเห็นว่าพวกผู้ติดตามไม่ทันได้เข้าใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว ก็ถูกเมิ่งเสียนอัดล้มไปกองกับพื้น คุณชายจางโมโหจนจมูกเบี้ยวแล้ว คำรามร้องด่า “เลี้ยงเสียข้าวสุก แม้แต่เด็กหน้าอ่อนไม่ทันหย่านมยังจัดการไม่ได้ ข้าเลี้ยงพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร?”
พวกผู้ติดตามได้ยินเสียงก่นด่าของเขา ฝืนผยุงร่างลุกขึ้น ตรงเข้าสู้กับเมิ่งเสียนอีกครั้ง
ครั้งนี้เมิ่งเสียนจัดการพวกเขาจนมอบเหมือนเล่นสนุก
คุณชายจางโมโหตวาดใส่ผู้ติดตามคนหนึ่ง “ยังไม่รีบไสหัวไปตามคนมาอีก!”
ผู้ติดตามตะเกียกตะกายวิ่งไปตามคนมา
หลงจู๊ตกใจหนัก ประสานมือขอร้องคุณชายจางอีกครั้ง “คุณชายจาง ขอร้องท่านล่ะ อย่าได้ลงไม้ลงมือในภัตตาคารอีกเลย หากการค้าพังเสียหาย ข้าจะไปบอกนายท่านอย่างไร”
คุณชายจางโมโหถึงขีดสุดแล้ว ไหนเลยจะฟังคำพูดเขาเข้าหู ร้องตวาด “ไสหัวไป ถ้ายังกล้าพูดมากอีก ข้าจะให้คนพังภัตตาคารของเจ้าเดี๋ยวนี้”
หลงจู๊รู้ว่าคุณชายจางเป็นคนอย่างไร ได้ยินแบบนั้นไม่กล้าปริปากแล้ว จำต้องหันมาพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยว “ทั้งสองท่าน ขอร้องพวกท่านพูดดีๆ กับคุณชายจางเถิด อย่าได้วิวาทกันอีกเลย ภัตตาคารของพวกเราทนรับการกระทำของพวกเจ้าไม่ไหว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างรู้สึกผิด “หลงจู๊ ไม่ใช่พวกเราอยากวิวาท แต่พวกเราไม่สู้ไม่ได้ ท่านดูสถานการณ์ตอนนี้ หากพวกเราไม่ลงมือ พวกเราจะมีทางรอดไหม?”
หลงจู๊เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “เช่นนี้จะทำอย่างไรดี? อีกประเดี๋ยวพอคนบ้านจางมา ภัตตาคารข้าไม่เหลือแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองคุณชายจางแวบหนึ่ง พูดกระซิบกับหลงจู๊ด้วยเจตนาดี “ท่านรีบให้เสี่ยวเอ้อไปแจ้งความที่ศาลาว่าการ บอกว่ามีคนวิวาทกันในภัตตาคารของท่าน ให้พวกเขาส่งเจ้าหน้าที่มาห้ามปราบก็ได้แล้ว”
หลงจู๊ได้ยินเช่นนั้นมองคุณชายจางอย่างหวาดกลัวแวบหนึ่ง หันหลังลงไปชั้นล่าง บอกเสี่ยวเอ้อให้ไปแจ้งความ
เมิ่งอี้เซวียนนั่งรอให้ห้องรับรองได้ครู่ใหญ่ เห็นพวกเขาไม่กลับมาสักที อดไม่ได้เดินออกมาดู เห็นสถานการณ์ด้านนอก ถามขึ้นอย่างฉงน “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? เหตุใดพี่ใหญ่ถึงยังไม่กลับเข้าไปกินข้าว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเหรินแวบหนึ่ง
เมิ่งเหรินอับอายก้มหน้าก้มตา
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน เจ้าพาพี่ใหญ่ไปนั่งในห้องรับรอง ถ้าข้าไม่อนุญาต พวกเจ้าสองคนใครก็ห้ามออกมา”
เมิ่งอี้เซวียนตระหนักรู้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หันไปพูดกับเมิ่งเหริน “พี่เมิ่งเหริน พวกเราไปห้องรับรองเถอะ”
เมิ่งเหรินไม่ขยับ
เมิ่งเสียนเร่งเร้าเขา “พี่เมิ่งเหริน รีบเข้าไปกับอี้เซวียนเถอะ อีกประเดี๋ยวต่อสู้ขึ้นมาพวกเราต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังอีก”
เมิ่งเหรินมองคุณหนูตู้แวบหนึ่ง ลังเลตัดสินใจไม่ได้
เสียงเย็นเยียบของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น “ถ้าท่านอยากให้ท่านปู่ไล่ออกจากสกุลเมิ่ง ก็จงรีบไปหานาง พวกเราจะไม่ห้ามท่าน”
สิ้นเสียงนาง เมิ่งเหรินตกใจตัวสั่นเทิ้ม เดินไปห้องรับรองกับเมิ่งอี้เซวียนอย่างไม่ลังเลอีก
ไม่นานผู้ติดตามคุณชายจางก็ตามคนรับใช้กลุ่มหนึ่งพร้อมกระบองในมือ ร้องเอะอะมะเทิ่ง ท่าทีดุดันโหดเ**้ยมมาถึงภัตตาคาร ลูกค้าในห้องโถงชั้นหนึ่งเห็นกลุ่มคนดุร้ายอำมหิตวิ่งเข้ามา ต่างวางอาหารในมือลง วิ่งหนีออกไปจ้าละหวั่น
หลงจู๊ร้องเรียกเสียงหลง “พวกท่านยังไม่ได้คิดบัญชี?”
ได้ยินเสียงตะโกนของเขา กลุ่มคนกลับวิ่งเร็วขึ้น
หลงจู๊มองดูห้องโถงที่พริบตาเดียวเหลือเพียงความว่างเปล่า เกือบจะร้องไห้ออกมา
คนรับใช้บ้านจางวิ่งเฮโลขึ้นมาชั้นสอง ร้องเรียกคุณชายจางโดยพร้อมเพรียง “คุณชาย พวกเรามาแล้ว”
คุณชายจางที่พอเห็นคนรับใช้มากกันมากเช่นนี้ ก็เริ่มมีความมั่นใจ ผลักสองพี่น้องตู้ที่ประคองตัวเองออก ลุกขึ้นยืน พูดอย่างเหิมเกริม “จัดการพวกมันทั้งสองคนให้หนัก อัดจนตายได้จะมีรางวัลให้”
คนรับใช้ควงกระบองเฮโลกันเข้ามา
ผู้คนที่มามุงดูเรื่องสนุกหนีหายไปไกลนานแล้ว เห็นสถานการณ์ตอนนี้ ต่างตกใจร้องอุทานอื้ออึง
เมิ่งเชี่ยนโยวมายืนด้านข้างเมิ่งเสียน รับมือคนรับใช้ที่ดาหน้าเข้ามา ชั้นบนเกิดการต่อสู้เป็นพัลวัน
หลงจู๊อยู่ชั้นล่างร้อนรุ่มกระวนกระวาย เฝ้ารอให้เจ้าหน้าที่รีบมาถึงโดยไว
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนแม้จะมีวรยุทธ์ แต่พื้นที่ชั้นบนแคบไม่อาจออกท่วงท่าได้เต็มที่ บวกกับอีกฝ่ายคนมาก เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ทันระวัง ถูกกระบองของคนรับใช้คนหนึ่งพาดเข้าอย่างจัง เซไปเล็กน้อย คุณชายจางดีอกดีใจ ร้องพูด “ใช่เลย ต้องแบบนี้ จัดการพวกมันให้ตายคามือ!”
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถูกตี เมิ่งเสียนรีบซักถาม “น้องสาว เจ้าไม่เป็นไรนะ?” พอวอกแวก ก็ถูกกระบองของคนรับใช้ฟาดเข้าให้
คุณชายจางตะโกนร้องชม “ดี กลับไปมีรางวัลให้!”
พวกคนรับใช้ยิ่งดาหน้าสู้สุดกำลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวเตะคนรับใช้ที่พุ่งเข้ามา หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านไปอยู่ข้างหลังข้า ข้าจะรับมือพวกเขาเอง”
เมิ่งเสียนไม่ยินยอม ด้านหนึ่งต้านทานคนรับใช้อีกด้านพูดว่า “เจ้าอยู่ข้างหลังข้าเถอะ พี่ใหญ่รับไหว”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนพูด “พี่ใหญ่ วรยุทธ์ท่านไม่สูง เป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราจะเสียเปรียบ เชื่อข้า รีบไปยืนข้างหลังข้า”
เมิ่งเสียนเข้าใจความหมายแฝงของนาง ต้านคนรับใช้คนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาให้ถอยร่นไป แล้วรีบถอยไปอยู่ข้างหลังเมิ่งเชี่ยนโยว
คนรับใช้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนมาอยู่ข้างหน้า ถือกระบองตรงเข้ามา ปากพูดว่า “นังตัวดี ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว วันนี้ของปีหน้าก็คือวันเซ่นไหว้ของเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลบไม่หลีก เล็งเป้าหมาย แล้วถีบคนรับใช้ลอยโด่งออกไป
คนรับใช้ร้องโหยหวนตกจากชั้นบนลงมา กระแทกลงบนโต๊ะในห้องโถงใหญ่ โต๊ะแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี อาหารบนโต๊ะกระเด็นใส่เต็มตัวคนรับใช้
หลงจู๊ตกใจร้องเสียงหลง
เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งพ้นประตูเข้ามาก็ตกใจสะดุ้งร้อง ชักมีดใหญ่ข้างเอวออกมา ถามเป็นพัลวัน “เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น? มีคนตายแล้วหรือ?”
หลงจู๊เห็นพวกเขาราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต ลนลานพูด “ท่านเจ้าหน้าที่ พวกท่านมาเสียที หากยังไม่มาภัตตาคารข้าได้จบเห่แน่”
เจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงการต่อสู้บนชั้นสอง ไม่ทันได้สนใจคนรับใช้ที่นอนร้องครวญครางบนพื้น กวัดแกว่งมีดใหญ่ในมือวิ่งขึ้นไป ปากร้องตะโกน “หยุดเดี๋ยวนี้ กลางวันแสกๆ กล้าจับกลุ่มทะเลาะวิวาท พวกเจ้าเบื่อจะมีชีวิตแล้วใช่ไหม”
พวกคนรับใช้เห็นเจ้าหน้าที่เข้ามา ต่างก็รามือ ถอยกลับไปยืนข้างคุณชายจาง
สกุลของคุณชายจางในตัวอำเภอนี้ถือว่าเป็นบุคคลมีหน้ามีตา เจ้าหน้าที่ย่อมจำเขาได้ สำหรับพฤติกรรมอันธพาลเกเรของเขาก็หลับตาข้างหนึ่งมาตลอด ปล่อยผ่านได้ก็ปล่อยผ่านไป ตอนนี้พอเห็นว่าเป็นเขาที่ก่อเรื่อง หัวหน้าเจ้าหน้าที่เก็บคืนท่าทีแข็งกร้าว ถามด้วยเสียงโอนอ่อน “คุณชายจาง ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ท่านถึงกับต้องแห่พาคนมากมายมาอาละวาดที่ภัตตาคาร?”
คุณชายจางชี้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ก็เพราะนังตัวดีนี่ นางเตะข้าลอยไปไกลต่อหน้าคนมากมาย วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนนางให้รู้สำนึก”
เจ้าหน้าที่ได้ฟังตะลึงลาน หันหลังร้องตวาด “ใครที่มันไม่มีตากล้าเตะ” กลับเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มมองเขา
หัวหน้าเจ้าหน้าที่สั่นสะท้านไปทั้งตัว ถามอย่างสะพรึงกลัว “แม่นาง เหตุใดถึงเป็นเจ้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ข้าและพี่ใหญ่ น้องเล็กแวะมากินข้าว เจอเรื่องบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ พูดจาไม่ลงรอยกับคุณชายจางก็เลยลงไม้ลงมือกัน หากไม่เพราะพวกท่านมาได้เร็ว วันนี้พวกเราพี่น้องเกรงจะต้องถูกตีตายอยู่ที่นี่แล้ว”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่คิดถึงความโหดเ**้ยมที่นางกระทำต่อซุนหมิ่น ตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง แอบพูดค่อนขอดในใจ ด้วยวรยุทธ์อย่างท่าน ใครจะถูกตีตายก่อนก็ยังไม่แน่ ทว่า ใบหน้ากลับไม่แสดงออก กลับพูดอย่างขึงขังแทน “แม่นางพูดล้อเล่นแล้ว ความปลอดภัยในอำเภอนี้ดีมาก ไม่มีใครกล้าลงมือกับท่านกลางวันแสกๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองคนรับใช้มากมายด้านหลังเขา ถามเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “งั้นหรือ?”
เจ้าหน้าที่สะอึกกึก
คุณชายจางถูกคนยกยอจนเคยตัวแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดเขาจะต้องมาก่อน ตอนนี้มาเห็นเจ้าหน้าที่ประจบสอพลอเมิ่งเชี่ยนโยว เริ่มไม่พอใจ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว ไม่ได้ยินข้าพูดหรือไง? นังตัวแสบนี่ต่างหากที่ลงมือกับข้าก่อน ตอนนี้เจ้าไม่เพียงไม่นำตัวนางไปศาลาว่าการ ให้ท่านนายอำเภอลงโทษให้เข็ดหลาบ กลับแสดงท่าทีพินอบพิเทาเช่นนี้ได้เยี่ยงไร”
ตอนที่ 154.1
ความจริง
ถูกเขาตั้งคำถาม เจ้าหน้าที่บังเกิดโทสะ พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดี “คุณชายจางพาคนรับใช้จำนวนมากมาอย่างโจ่งแจ้งกลางวันแสกๆ เพื่อทำร้ายแม่นางน้อยเพียงคนเดียว ก่อกวนความสงบสุขของเมืองอย่างร้ายแรง ข้ายังไม่ได้ชำระความ เหตุใดท่านยังกำเริบเหิมเกริมเช่นนี้?”
คุณชายจางไม่เคยถูกใครตวาดถามเช่นนี้มาก่อน พลันตะลึงค้าง
เจ้าหน้าที่ปากไวหลังจากตวาดถามออกไปก็ให้เสียใจฉับพลัน ด้านหนึ่งเป็นคุณชายมีเงินมีอำนาจ อีกด้านเป็นแม่นางน้อยที่มีความสัมพันธ์กับนายน้อย เขาไม่กล้าล่วงเกินทั้งสองฝั่ง หลังจากทบทวนถี่ถ้วนแล้ว พูดกับเจ้าหน้าที่ที่เหลือว่า “เรื่องในวันนี้ส่งผลกระทบรุนแรง พวกเราตัดสินใจไม่ได้ นำตัวพวกเขากลับไปให้ใต้เท้าตัดสินที่ศาลเถอะ”
เจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็คิดว่าเรื่องนี้จัดการได้ยาก ได้ฟังคำพูดเขา ต่างทยอยพยักหน้าเห็นพ้อง
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ประสานมือให้คุณชายจางและเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างนอบน้อม “คุณชายจาง แม่นางเมิ่ง เชิญพาคนของพวกท่านไปกับพวกเราหน่อยเถอะ”
คุณชายจางมีปฏิกิริยาตอบสนองก่อน พูดอย่างคึกคะนอง “ไปก็ไปสิ วันนี้ข้าจะให้ท่านนายอำเภอลงโทษนังตัวดีนี่ให้เข็ดหลาบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พูดกับเจ้าหน้าที่อย่างมีมารยาท “น้องชายข้ายังอยู่ในห้องรับรอง อนุญาตให้ข้าพาเขาไปส่งโรงเตี๊ยมก่อนค่อยตามท่านไปศาลาว่าการได้หรือไม่”
เจ้าหน้าที่มีหรือจะไม่กล้ารับปาก พูดอย่างเกรงใจ “ได้ พวกเราจะพาคนไปศาลาว่าการก่อน แม่นางเมิ่งค่อยตามภายหลัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ หันหลังเดินไปห้องรับรอง
คุณชายจางเห็นเช่นนั้นไม่พอใจแล้ว ซักถามหัวหน้าเจ้าหน้าที่ “นางบอกจะไปส่งน้องชายเจ้าก็ให้นางไป หากนางหนีไปเล่า? ข้าจะไปคิดบัญชีกับใคร?”
เจ้าหน้าที่ถูกซักถามอีกครั้ง เริ่มทนรับไม่ได้ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณชายจางวางใจ ข้าเอาหัวตัวเองเป็นประกัน แม่นางเมิ่งไม่มีทางหนีเด็ดขาด”
ในที่สุดคุณชายจางก็รู้สึกว่าท่าทีของเจ้าหน้าที่ผิดปกติ ถามอย่างสงสัย “พวกเจ้ารู้จักนาง?”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตอบอย่างรวบรัด “ก่อนหน้านี้เคยได้รู้จักกัน”
พูดจบร้องตวาดคนรับใช้บ้านจางและสองพี่น้องตู้ให้เดินไปด้านนอก
สองพี่น้องตู้หันหน้ามองกัน พูดกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่ “ท่านผู้ตรวจ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเราเพียงแค่มากินอาหารมื้อเที่ยงกับคุณชายจางเท่านั้น”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่มองพวกเขาแวบหนึ่ง พูดอย่างแหนงหน่าย “เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวไปพูดในศาล ตอนนี้ตามพวกเรากลับไปทั้งหมด”
สองพี่น้องตู้คิดจะพูดอะไรต่อ เจ้าหน้าที่แกว่งมีดใหญ่ในมือ เร่งเร้าพวกเขา “โอ้เอ้อะไรอีก? ยังไม่รีบไป!”
ทั้งสองไม่มีทางเลือก จำต้องตามกลุ่มคนรับใช้ลงไปชั้นล่าง
หลงจู๊เห็นคุณชายจางถูกเจ้าหน้าที่พาตัวลงมา ร้อนรนชี้ห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่าซักไซ้เขา “คุณชายจาง ลูกค้าในห้องโถงใหญ่ยังไม่ได้จ่ายค่าอาหาร ก็ตกใจวิ่งหนีไป ท่านคิดว่าค่าเสียหายนี้?”
เดิมทีคุณชายจางคิดจะถือว่าตัวเองคนมากสั่งสอนเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนให้หายแค้น ไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่จะบุกเข้ามาทำเสียเรื่อง เดิมก็งุ่นง่านใจพอแล้ว ตอนนี้ได้ยินหลงจู๊พูดเช่นนี้อีก ไม่เพียงไม่ชดใช้ค่าเสียหาย ทั้งพูดกับหลงจู๊อย่างเคืองแค้น “ใครที่ให้ความกล้ากับเจ้า ให้เจ้ากล้าไปฟ้องทางการ ทำข้าเสียเรื่อง รอข้ากลับมาจากศาลาว่าการ ดูว่าข้าจะให้คนมาพังภัตตาคารของพวกเจ้าอย่างไร”
หลงจู๊ตกใจยืนจังงังอยู่ตรงนั้น
คุณชายจางแค่นเสียงหึ ก้าวเท้าเดินนำออกไปจากภัตตาคาร
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งเข้าไปฉุดกระชากคนรับใช้ที่ยังร้องโหยหวนไม่หยุด เดินตามออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้องรับรอง เมิ่งเหรินกำลังเดินไปมาอย่างงุ่นง่านใจ พอเห็นนางเข้ามา ร้อนรนถาม “น้องโยวเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากถามอย่างเสียดสี “ท่านถามถึงคุณหนูตู้หรือพี่ใหญ่เล่า?”
เมิ่งเหรินสะท้อนแววตา ตอบอย่างร้อนตัว “ข้า ข้าย่อมต้องถามถึงน้องเสียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้มุมปาก พูด “ไม่ว่าท่านถามถึงใคร พวกเขาล้วนถูกคุมตัวไปศาลาว่าการแล้ว อีกประเดี๋ยวท่านไปกับข้าด้วยเถอะ”
ได้ยินว่าต้องไปศาลาว่าการ เมิ่งเหรินตกใจผวา พูดอย่างไม่เป็นสุข “ข้าตัวคนเดียว จะไปศาลาว่าการได้อย่างไร หากเรื่องแพร่ออกไป จะกระทบการสอบขุนนางของข้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยัน “ตอนนี้พี่ใหญ่รู้จักกลัวแล้ว? ตอนที่เกี้ยวพาราสีคุณหนูตู้เหตุใดไม่คิดบ้างว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร? วันนี้หากไม่เพราะพวกเรามากินข้าวที่นี่พอดี ช่วยกู้สถานการณ์ให้ท่าน เกรงว่าวันนี้ท่านได้กลายเป็นตัวตลกของทุกคนไปนานแล้ว ตอนนี้กลับเพิ่งมากลัวไม่สายไปหน่อยหรือ?”
เมิ่งเหรินเป็นใบ้พูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขาอีก หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่โรงเตี๊ยมก่อน ค่อยไปที่ศาลาว่าการ”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกเสี่ยวเอ้อเก็บเงิน
เสี่ยวเอ้อรับคำเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินสิบห้าตำลึงออกมาวางบนโต๊ะ “นี่คือเงินสิบห้าตำลึง ส่วนที่เหลือไม่ต้องทอน”
อยู่ๆ ก็ได้เงินตบรางวัลหนึ่งตำลึง เสี่ยวเอ้อดีใจยกใหญ่ กล่าวขอบคุณไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ เดินออกไปจากห้องรับรอง เมิ่งอี้เซวียนเดินตามหลัง เมิ่งเหรินลังเลเล็กน้อย แล้วตามลงมา
ทั้งสามเดินลงมาชั้นล่าง
หลงจู๊กำลังสั่งเสี่ยวเอ้อเก็บกวาดห้องโถงใหญ่ เห็นทั้งสามลงมา ไม่พูดอะไร เพียงถอนหายใจยาว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “หลงจู๊ ท่านคำนวณมูลค่าความเสียหายเถอะ อีกประเดี๋ยวไม่แน่ว่าคุณชายจางจะให้คนนำมาให้ท่าน”
หลงจู๊ส่ายหน้า “คุณชายจางเป็นคนอย่างไรพวกเราต่างรู้ดี ขอเพียงหมดเรื่องวันนี้เขาไม่ส่งคนมาพังภัตตาคารของพวกเรา ข้าก็ไหว้ดินไหว้ฟ้าแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “มันก็ไม่แน่ ท่านนายอำเภอของพวกเรา เป็นนายอำเภอที่คิดถึงประชาชนเป็นสำคัญ เรื่องนี้ไม่มีทางเลือกปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนตน ข้าว่าท่านคำนวณความเสียหายหน่อยเถอะ”
หลงจู๊ฟังนางพูดจบ ใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นประสานมือพูดอย่างยินดี “แม่นางพูดถูกต้อง ไม่แน่ว่าท่านนายอำเภอจะทำให้คุณชายจางยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ข้าก็ได้ ข้าจะคำนวณคร่าวๆ ขอบคุณแม่นางที่เตือนสติ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้มอ่อน พาเมิ่งอี้เซวียนมาถึงโรงเตี๊ยม
เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมเห็นว่ามีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนกลับมา แม้จะรู้สึกคลางแคลงใจ กลับไม่ได้ถามอะไร เข้าทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเป็นกันเอง “แม่นางเมิ่ง ท่านกลับมาแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พาเมิ่งอี้เซวียนมายังห้องพักชั้นบน
เมิ่งเหรินก็ตามขึ้นมาด้วย เห็นพวกเขาพักห้องพักชั้นดี กะพริบตาปริบ หลุบศีรษะลง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกำชับเมิ่งอี้เซวียนอีกครั้ง “อี้เซวียน เจ้าจงอยู่แต่ในห้องให้ดี ประเดี๋ยวข้ากับพี่ใหญ่ก็กลับมา ถ้าเจ้ารู้สึกเบื่อ ให้เปิดหน้าต่างมองออกไปด้านนอกได้ แต่ห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด เมื่อพวกเราไปแล้ว ให้เจ้าลงสลักประตูจากด้านใน ไม่ใช่ข้ากับพี่ใหญ่มาร้องเรียก ห้ามเปิดเด็ดขาด”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเหริน “ไปเถอะ”
เมิ่งเหรินเดินตามนางออกไปจากห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันศีรษะมา เห็นเมิ่งอี้เซวียนลงสลักประตูห้องอย่างเชื่อฟัง ถึงเดินลงไปชั้นล่างพร้อมเมิ่งเหริน พูดกับเสี่ยวเอ้อ “พวกเรามีธุระออกไปข้างนอก มีเพียงน้องชายข้าอยู่ในห้อง ท่านช่วยสอดส่องให้ข้าด้วย”
เสี่ยวเอ้อพยักหน้า “วางใจเถอะ แม่นาง ข้าจะคอยขึ้นไปดูเป็นระยะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง พาเมิ่งเหรินออกไปจากโรงเตี๊ยม กำหนดทิศทาง มุ่งหน้าไปศาลาว่าการ
เมิ่งเหรินเดินเคียงข้าง หลายครั้งที่คิดจะพูดบางอย่างกลับไม่ได้พูดออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ก้าวอาดๆ มาถึงศาลาว่าการ
เจ้าหน้าที่พาทุกคนมาถึงศาลาว่าการแล้ว
เปาชิงเหอเห็นคนที่ถูกคุมตัวมาเป็นคุณชายจางและกลุ่มคนรับใช้ รู้ทันทีว่าคุณชายจางก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว อยู่ๆ ก็ปวดหัวตึ๊บ ถามหัวหน้าเจ้าหน้าที่ “พวกเขาก่อเรื่องเกเรอันใดอีก?”
เจ้าหน้าที่มองคุณชายจางแวบหนึ่ง เดินมาตรงหน้าแล้วก้มกระซิบที่ข้างหูเขา
เปาชิงเหอถามด้วยอารามตกใจ “เจ้าบอกว่าคนที่วิวาทกับเขาคือแม่นางเมิ่ง?”
เจ้าหน้าที่พยักหน้าพูดว่า “แม่นางเมิ่งไปส่งน้องชายกลับโรงเตี๊ยม อีกประเดี๋ยวจะตามมา”
เปาชิงเหอขมวดคิ้วมุ่น ถามเขาเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาวิวาทกันด้วยเรื่องใด?”
เจ้าหน้าที่ส่ายหน้า “ตอนที่ข้าไปถึง พวกเขากำลังชุลมุนต่อสู้กัน ตอนที่แยกพวกเขาออกจากกันได้ เห็นชัดเจนว่าเป็นพวกเขา ก็รีบร้อนคุมตัวพวกเขามาศาลาว่าการ ไม่ทันได้สอบสวน”
เปาชิงเหอพยักหน้า เปล่งน้ำเสียงพูด “พวกเจ้าพูดสิ เหตุใดต้องวิวาทกัน?”
คุณชายจางประสานมือคำนับลวกๆ ตอบว่า “เรียนใต้เท้า ข้าไปกินข้าวที่ภัตตาคารพร้อมพวกเขาสองพี่น้อง ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาตอแยคุณหนูตู้ พวกเขาสองคนออกไปรับมือ ข้ารอเป็นนานพวกเขาก็ไม่กลับมา จึงออกไปดู ไม่คิดว่าจะถูกนังตัวดีนั่นถีบลอยโด่งออกไป ข้าทนความแค้นนี้ไม่ได้ ถึงไปตามคนรับใช้มาจัดการพวกเขา”
เปาชิงเหอได้ฟังแล้วก็มุ่นหัวคิ้ว ในใจคิด เจ้าก็พูดง่ายเกินไป หากเจ้าไม่ไปแหย่แม่นางเมิ่งก่อน นางจะลงมือกับเจ้าอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้? แต่คำพูดนี้เขาไม่ได้พูดออกมา กลับถามเมิ่งเสียน “ที่เขาพูดเป็นความจริง?”
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเสียนได้พบท่านนายอำเภอในศาล อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ กลืนน้ำลาย ตอบกลับเสียงเบา “เรียนใต้เท้า เขาโกหก เป็นเขาที่หมิ่นเกียรติน้องสาวข้าก่อน น้องสาวข้าถึงทนไม่ไหวลงมือกับเขาไป”
เปาชิงเหอพยักหน้ารู้แจ้ง
คุณชายจางพูดอย่างไม่แยแส “ข้าหมิ่นเกียรตินางอย่างไร ข้าก็แค่เห็นนางหน้าตาหมดจด อยากพานางกลับจวนด้วยก็เท่านั้น จะบอกให้นะ คนบ้านนอกอย่างพวกเจ้า ข้าพึงใจนางนับว่าเป็นวาสนาเปี่ยมล้นของนางแล้ว แต่นางกลับไม่รู้จักดีกล้าลงมือกับข้า วันนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รู้ว่า คุณชายอย่างข้าไม่ใช่คนบ้านนอกอย่างพวกเจ้าจะมาหาเรื่องได้”
เปาชิงเหอแอบเบ้ปาก ในใจคิด ยังไม่รู้ว่าใครที่หาเรื่องใครไม่ได้
เมิ่งเสียนโมโหแล้ว “เจ้ามีความคิดอกุศลกับน้องสาวข้า ต่อให้นางหักขาเจ้าก็ไม่นับว่าเกินไป”
คุณชายจางได้ฟังบันดาลโทสะ ลืมไปว่าที่นี่เป็นศาล แผดเสียงตะคอกคนรับใช้ “พวกเจ้าลุย สั่งสอนไอ้บ้านนอกที่อยู่ดีไม่ว่าดีให้สาสม”
เห็นเขาที่อยู่ในศาลยังกำเริบเสิบสานเช่นนี้ เปาชิงเหอชักสีหน้าเข้ม
คนรับใช้ไหวพริบไวคนหนึ่งเห็นเปาชิงเหอชักสีหน้าเข้มแล้ว หันไปพูดกับคุณชายจาง “คุณชาย ที่นี่คือศาล ท่านอย่าได้วู่วามเด็ดขาด”
คุณชายจางถึงได้สติกลับมา ชำเลืองมองเปาชิงเหอ เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเขา ตระหนักได้ว่าตนเองทำผิดกฎข้อห้ามของเขา ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเหรินมาถึงศาล แสดงความเคารพเปาชิงเหออย่างนอบน้อม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น