ลำนำบุปผาพิษ 1530-1533

 บทที่ 1530 สู่ขอเป็นภรรยาหนีตามมาเป็นอนุ


มู่เฟิงก็เป็นคนละเอียดอ่อนผู้หนึ่ง ย่อมมองออกว่ากู้ซีจิ่วดื่มสุรามา แถมยังดื่มไปไม่น้อยด้วย


เขาเกรงว่าเธอจะเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น จึงเกลี้ยกล่อมให้เธอค้างที่นี่ ซ้ำยังจัดแจงให้คนไปตุ๋นน้ำแกงสร่างเมามา


ในใจกู้ซีจิ่วมีไฟโทสะอยู่ จึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ข้ายังต้องกลับไปจวนแม่ทัพ” พลางหมุนกายเคลื่อนย้ายจากไปเสีย


เธอค่อนข้างกลุ้มใจ ฤทธิ์สุราทำให้สมองเธอไม่ใคร่แจ่มใสนัก หลังจากใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปปรากฏตัวผิดที่อีกครั้ง เธอก็นั่งลงบนตำแหน่งหนึ่งแล้วดึงสติเสียเลย ใช้พลังวิญญาณรีดเร้นสุราไปที่ปลายนิ้ว กลั่นออกมาเป็นกลั่นไหลลงไปทีละหยดๆ…


นี่เป็นวิธีขจัดสุราที่เธอเคยเห็นมาจากเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า หลังจากเรียนรู้จนใช้พลังวิญญาณเป็น เธอก็เริ่มศึกษาค้นคว้าเคล็ดนี้ก่อนเป็นลำดับแรก


เมื่อเข้าใจวิธีขจัดสุรานี้แล้ว ไม่ว่าเธอจะดื่มสุรามากแค่ไหนล้วนสามารถขับมันออกมาจากปลายนิ้วได้ทุกเวลา ไม่ตกค้างอยู่เลยสักนิด ขอเพียงไม่ต้องการเมามาย ไม่ว่าจะดื่มเท่าใดก็ไม่มีทางเมา…


หลังจากขับสุราออกไปแล้ว เธอรู้สึกว่าสมองของตนแจ่มใสขึ้นไม่น้อยเลย นั่งรับลมเย็นๆ อยู่บนโขดหินพักหนึ่ง ถึงได้กลับไปที่จวนแม่ทัพ


เมื่อกลับไปที่ห้องนอนของตนไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบว่ากู้เซี่ยเทียนอยู่ที่นี่ เธอผงะไปครู่หนึ่ง กู้เซี่ยเทียนกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก “จิ่วเอ๋อร์ เจ้าไปไหนมา? ทำเอาพ่อตกใจหมด”


การหายตัวไปเมื่อแปดปีก่อนของกู้ซีจิ่วกลายเป็นเงามืดในใจของเขาแล้ว ค่อนข้างทุกข์ร้อนลนลานอยู่เสมอ


กู้ซีจิ่วทราบถึงความเป็นห่วงของเขา ถึงแม้บิดาราคาถูกคนนี้จะไม่ใช่บิดาบังเกิดเกล้าของเธอจริงๆ แต่ก็ดีต่อคนที่ทะลุมิติมาอย่างเธอยิ่งนัก ทำให้คนที่ใจแข็งปานศิลาอย่างกู้ซีจิ่วค่อนข้างซาบซึ้งอยู่บ้างเช่นกัน จึงพูดคุยกับเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนอย่างที่พบเห็นได้ยากนักอยู่พักหนึ่ง


คงเป็นเพราะยากนักที่ลูกสาวคนนี้จะสนทนากับเขาอย่างอ่อนโยน กู้เซี่ยเทียนจึงตื่นเต้นและเกร็งๆ อยู่บ้าง ถูฝ่ามืออยู่บ่อยครั้ง “ซีจิ่ว เมื่อกี้เจ้าไปหาทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาใช่ไหม? สรุปแล้วเจ้ากับเขา…”


เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าความสัมพันธ์ของบุตรสาวกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายดูแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน…


กู้ซีจิ่วชะงักไปแวบหนึ่ง กล่าวทีเล่นทีจริง “ท่านพ่อ ถ้าหากข้าบอกว่าข้ากับเขาแต่งงานกันแล้ว ท่านคิดว่ายังไง…”


‘ตุ้บ!’ ถ้วยชาในมือของกู้เซี่ยเทียนหล่นลงพื้น “อะไรนะ? เจ้ากับเขาแต่งกันแล้ว? ที่ไหน? ใครเป็นพยาน? เป็นไปไม่ได้น่า หากว่าเจ้าออกเรือนแล้วดังว่า ในบันทึกสาแหรกตระกูลของพวกเราที่นี่ว่าตามเหตุผลแล้วน่าจะมีชื่อของพวกเจ้าสิ”


กู้ซีจิ่วกลับค่อนข้างประหลาดใจ “บันทึกสาแหรกตระกูล? คือสิ่งใด?”


กู้เซี่ยเทียนเอ่ยตอบ “เป็นหนังสือสมรสของชายหญิงที่ออกโดยทางการ ขอเพียงชายหญิงแต่งงานกัน ล้วนจะปรากฏขึ้นบนบันทึกสาแหรกตระกูลของแต่ละครัวเรือนด้วยตัวเอง”


กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย ค่อนข้างเหม่อลอยไปชั่วขณะ


“ท่านพ่อ ท่านบอกว่าบันทึกสาแหรกตระกูลนั้นจะปรากฏขึ้นด้วยตัวเองสินะ? มิใช่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนอันใดบันทึกลงไปหรอกหรือ?”


กู้เซี่ยเทียนส่ายหน้า “ไม่จำเป็น กรมครัวเรือนของพวกเรามีผนังผังสาแหรกตระกูลเชื่อมต่อกัน เดิมเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้น เมื่อราษฎรทั้งหมดในแผ่นดินเข้าวิวาห์ ข้อมูลการสมรสของชายหญิงก็จะปรากฏขึ้นบนผัง จากนั้นก็จะปรากฏเป็นบันทึกเล็กๆ แผ่นหนึ่งด้วยตัวเอง คนของกรมครัวเรือนเพียงต้องรวบรวมบันทึกมาเย็บเป็นเล่มแล้วเก็บให้ดีเท่านั้น”


กู้ซีจิ่วยังไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นเป็นไปได้ไหมว่าปรากฏขึ้นบนผังนั้นแล้ว และปรากฏบันทึกแล้ว ผลคือคนของกรมครัวเรือนเผลอเรอไปชั่วขณะ จนทำให้สูญหายไป?”


กู้เซี่ยเทียนส่ายหน้า “ไม่มีทาง เจ้าเป็นที่รู้จักกันดีในอาณาจักรเฟยซิง แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังใส่ใจเรื่องการสมรสของเจ้า ต่อให้คนของกรมครัวเรือนอาจจะเลินเล่อไปบ้าง ก็ไม่ผิดพลาดในเรื่องของเจ้าหรอก อีกอย่างด้วยฐานะของเจ้า ต่อให้ไม่แต่งงาน กรมครัวเรือนก็มีบันทึกแยกต่างหากอยู่แล้ว บันทึกของเจ้าแสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่ายังมิได้แต่งงาน…”


กู้ซีจิ่วตกตะลึง


กู้เซี่ยเทียนค่อนข้างกังวล “ซีจิ่ว คงมิใช่ว่าเจ้ากับเขาอยู่กินกันโดยที่มิได้แต่งงานกระมัง?!”


————————————————————————————-


บทที่ 1531 ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ที่ไหน?


กู้เซี่ยเทียนค่อนข้างกังวล “ซีจิ่ว คงมิใช่ว่าเจ้ากับเขาอยู่กินกันโดยที่มิได้แต่งงานกระมัง?! จ้าต้องรู้เอาไว้นะ ในทวีปนี้ สู่ขอถึงจะเป็นภรรยาหนีตามมาเป็นเพียงอนุ ถึงแม้ฐานะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของเขาจะสูงส่ง แต่ฐานะของพวกเราก็ไม่ต่ำต้อยเช่นกัน จะไปเป็นอนุภรรยาของเขาไม่ได้ อา ไม่ถูดสิ ต่อให้เจ้าเป็นอนุ บนบันทึกก็จะแสดงให้เห็นเหมือนกัน แสดงคำว่า ‘อนุ’ ขึ้นมา…”


เธอกับตี้ฝูอีแต่งงานกันในเขตหวงห้ามแล้วจริงๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยอมรับสินะ?


หรือว่าในเขตหวงห้ามจะมีวงจรเป็นของตัวเอง ไม่เพียงแต่ตัดขาดการสื่อสารทุกอย่างท่านั้น แม้แต่การแต่งงานในนั้นก็จะไม่ได้รับการยอมรับด้วย?


ตี้ฝูอีจะรู้เรื่องนี้ไหมนะ?


ในเมื่อผนังผังสาแหระตระกูลนี้เป็นเขาที่สร้างขึ้น เขาก็น่าจะรู้สิว่าถ้าชายหญิงแต่งงานจะมีสัญลักษณ์บ่งบอก บางทีเขาอาจจะคิดว่าแต่งกันในนั้น ก็ยังปรากฏสัญลักษณ์บนผังสาแหรกตระกูลอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจ?


คำถามนับไม่ถ้วนพุ่งพล่านอยู่ในใจของกู้ซีจิ่ว


ช่างเถอะ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม เธอล้วนจำเป็นต้องคุยเรื่องนี้กับตี้ฝูอีให้ชัดเจน และยังต้องจัดงานแต่งชดเชยด้วย เลี่ยงไม่ให้คนอื่นคิดว่าตนประเคนตัวให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้


“ท่านพ่อ ท่านวางใจเถอะ ต่อให้ข้ากับเขาอยู่กินกันแล้ว ก็ต้องจัดพิธีสมรสอยู่ดี ลูกสาวของท่านเลิศล้ำปานนี้ จะไปเป็นอนุของผู้อื่นได้อย่างไร? ท่านว่าใช่หรือไม่?”


กู้เซี่ยเทียนถึงได้วางใจ ตบไหล่กู้ซีจิ่วเบาๆ “ลูกจิ่ว เจ้าพูดแบบนี้พ่อก็วางใจ อันที่จริงพ่อเกรงว่าการที่เจ้าหนีการแต่งงานกับเขาไปเมื่อแปดปีก่อน ทำให้คนที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นอย่างเขาต้องขายหน้า เขาจึงเอาคืนเจ้า หลอกลวงเจ้าที่เยาว์วัยไม่รู้เรื่องบันทึกสาแหรกตระกูลนั้น อยู่กินกับเจ้าอย่างไม่มีศักดิ์ฐานะ ทำให้เจ้าเสียเปรียบครั้งใหญ่ ซีจิ่ว คนตระกูลกู้ของพวกเราไม่มีสิ่งอื่นใด แต่ยังคงมีความทระนงในเกียรติอยู่เสมอ ถึงแม้แปดปีก่อนเจ้าจะผิดต่อเขา แต่ครั้งนี้เจ้าก็ช่วยเหลือเขาเอาไว้มาก บัญชีระหว่างเจ้ากับเขานับว่าเสมอกันแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองได้รับความอยุติธรรมนะ”


“อื้ม ทราบแล้วเจ้าค่ะ วางใจเถอะ ข้ามีความคิดของตนแล้ว”


กู้เซี่ยเทียนพึงพอใจ “ลูกจิ่ว เจ้าเป็นความภูมิใจของพ่อ หากเจ้าจะวิวาห์จริงๆ พ่อก็จะทุ่มเทจัดการให้เจ้า ให้เจ้าได้ออกเรือนอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ”


กู้ซีจิ่วตอบรับคราหนึ่ง ในที่สุดก็ไปส่งเขากลับ


เธอมองนาฬิกาบอกกะ เป็นยามกะสามแล้ว ดึกปานนี้แล้วเธอย่อมไม่อยากติดต่อหาตี้ฝูอีอีก อีกทั้งเขาได้บอกเอาไว้ชัดเจนว่าจะมาหาเธอพรุ่งนี้ พอถึงเวลาเธอค่อยคุยเรื่องนี้กับเขาดีๆ เธอไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้เกิดความเหินห่างอันใดขึ้นระหว่างเธอกับเขา


เธอเลิกผ้าห่มแล้วนอนลงไปเนื่องจากมีเรื่องราวอยู่ในใจ เธอจึงนึกว่าตนคงจะนอนพลิกไปพลิกมาอยู่สักพัก กลับคาดไม่ถึงว่านอนได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ผล็อยหลับไปแล้ว


ณ สะพานสายรุ้งเส้นหนึ่ง เมฆาขาวมากมายลอยพลิ้ว


อาคารบ้านเรือนนับไม่ถ้วนโผล่วับๆ แวมๆ อยู่กลางหมู่เมฆา แสงทองส่องอร่าม ริ้วแสงมงคลสาดส่อง


กลางเมฆามีมวลบุปผาดาราผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว เบ่งบานและเหี่ยวเฉาไปในชั่วพริบตา กลีบบุปผามากมายล่องลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า


กระเรียนเซียนบินฉวัดเฉวียน พญาหงส์หลากสีร้องเสียงใส


กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนสะพานสายรุ้งเส้นนั้นเหลียวมองรอบข้างอย่างมึนงง ที่นี่ที่ไหน?


ค่อนข้างคล้ายแดนสวรรค์ในภาพวาด เธอขึ้นสวรรค์แล้วหรือ? กลายเป็นเซียนแล้วหรือไง?


ระหว่างอาคารเหล่านั้นมีคนเดินเหินกันอยู่รางๆ ท่ามกลางเมฆาที่ล่องลอยอยู่ก็มีท่วงท่าดั่งเทพเซียนเหาะเหินผ่าน กู้ซีจิ่วรู้สึกคุ้นตากับการแต่งกายของคนเหล่านั้นอยู่บ้าง ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็นึกออก การแต่งกายของเซียนหญิงลี่หวางนางนั้นก็คล้ายว่าจะมีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน…


โดยเฉพาะบรรดาพี่สาวเหล่านางเซียนที่เหาะเหินผ่านไปเป็นครั้งคราวเหล่านั้น ดูคล้ายคลึงกับเซียนหญิงลี่หวางยิ่งนัก


เธอขมวดคิ้ว นี่คือดินแดนเบื้องบนหรือ? เธอคงไม่เหาะขึ้นมาจนถึงถิ่นของเซียนหญิงลี่หวางกระมัง?!


ความคิดเธอเพิ่งจะแล่นมาถึงตรงนี้ จู่ๆ สะพานสายรุ้งใต้เท้าก็พังทลาย เธอไม่ทันตั้งตัวทั้งร่างจึงร่วงหล่นสู่ลานจัตุรัสขนาดมโหฬารแห่งหนึ่ง


บทที่ 1532 เอาตัวเป็นที่ตั้งกันถึงเพียงนี้!


บนลานนั้นมีเสามังกรขนดสูงเสียดฟ้าอยู่สี่ต้น บนเสามังกรขนดมีโซ่สีทองอยู่ เบื้องหน้ากู้ซีจิ่วพลันพร่าเลือนแวบหนึ่ง ตัวคนก็ถูกมัดไว้บนเสามังกรขนดต้นนั้นแล้ว


เธอตกตะลึง รีบโคจรพลังวิญญาณดิ้นรนทันที


ยามนี้พลังวิญญาณของเธอสูงส่งยิ่งนักแล้ว ต่อให้เป็นตรวนเหล็กไหลก็สามารถดิ้นให้ขาดในครั้งเดียวได้


แต่ไม่ทราบเช่นกันว่าตรวนสีทองนี้ทำมาจากวัสดุชนิดใด เธอดิ้นรนอยู่พักใหญ่ก็ดิ้นให้ขาดไม่ได้ กลับทำให้ตรวนเส้นนั้นรัดร่างแน่นขึ้นเรื่อยๆ รัดจนเธอหายใจแทยไม่ออก


เธอไม่หลับหูหลับตาดิ้นแล้ว รีบใช้เคล็ดหดกระดูกทันที ผลคือตรวนเส้นนั้นสามารถยืดหดได้ตามขนาดตัวเธอ โซ่ตรวนสีทองเส้นนั้นยังคงรัดพันตัวเธออย่างแน่นหนาอยู่เช่นเดิม


เธอใช้วิธีสะเดาะตรวนหลากหลายวิธีติดต่อกันอยู่หลายครั้ง ผลคือไม่มีประโยชน์เลย หน้าผากเธอมีเหงื่อผุดขึ้นมาบ้างแล้ว ขณะที่ไตร่ตรองอยู่ว่าลองดูอีกสักวิธีดีไหม จู่ๆ ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ เงยหน้าขึ้นในทันใด สายตาจดจ้อง ณ ตำแหน่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล


ตำแหน่งมีเงาร่างสีทองสายหนึ่งยืนอยู่ เงานั้นคล้ายว่ามิใช่คนจริงๆ แต่เหมือนภาพฉายห้ามิติ ให้ความรู้สึกว่ามีอยู่แต่จับต้องไม่ได้ กู้ซีจิ่วถึงขั้นที่มองไม่เห็นว่าโฉมหน้าของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร และแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นชายหรือหญิง


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเงาร่างที่ไม่มีตัวตนสายหนึ่ง แต่กู้ซีจิ่วยังคงสัมผัสถึงสายตาที่ราวกับจะแผดเผาตัวคนของอีกฝ่ายได้ โซ่ตรวนรัดแน่นอยู่บนร่างของเธอ ให้ความรู้สึกคล้ายว่ากำลังจะถูกตัดสินโทษอยู่บ้าง


กู้ซีจิ่วไม่ดิ้นรนแล้ว เชิดหน้าสบตากับเงานั้น “เจ้าเป็นใคร?”


เงานั้นจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย “กู้ซีจิ่วสินะ? เจ้าช่างขวัญกล้านัก! เจ้าทราบความผิดหรือไม่?” เสียงนั้นแผ่วหวิวเลือนราง ทำให้คนแยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี


กู้ซีจิ่วช้อนตามองเขา (หรืออาจจะนาง) “ความผิดอะไร?”


“สังหารเซียน!”


กู้ซีจิ่วคล้ายจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว “เจ้าพูดถึงเซียนหญิงลี่หวางนายบ่าวคู่นั้นหรือ?”


“มิผิด! ดูท่าเจ้าเองก็ทราบฐานะของพวกเขาแล้ว เจ้ายังกล้าสังหารพวกเขาอีก!”


กู้ซีจิ่วยกมุมปากขึ้น “พวกเขาก่อความวุ่นวายในดินแดนเบื้องล่าง ช่วยเหลือมารร้ายนอกรีตเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เซียนเช่นนี้มีอันใดแตกต่างกับมารร้ายนอกรีตเล่า? ข้าสังหารพวกเขาเป็นการลงทัณฑ์แทนสวรรค์!”


น้ำเสียงของเงานั้นเยียบเย็นลง “ไม่ว่าพวกเขาจะกระทำความชั่วใด ก็ต้องลงโทษตามกฎของเซียน เจ้านับว่าเป็นตัวอันใด? เป็นเพียงเซียนดินต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น อาศัยคุณสมบัติใดมาลงทัณฑ์แทนสวรรค์กัน?! กู้ซีจิ่ว เซียนลี่หวางนายบ่าวไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนของดินแดนเบื้องบน สูงศักดิ์กว่าคนจากดินแดนเบื้องล่างอย่างพวกเจ้า ต่อให้นางสังหารคนดินแดนเบื้องล่างขอเจ้าจนสิ้น พวกเจ้าก็ไม่อาจแตะต้องนางได้แม้แต่ปลายนิ้ว!”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว


ที่แท้คนของดินแดนเบื้องบนก็เอาตัวเป็นที่ตั้งกันถึงเพียงนี้!


มิน่าล่ะเซียนหญิงลี่หวางผู้นั้นถึงได้วางท่าสูงส่งเหนือปวงชน ที่แท้ก็ถูกที่นี่ล้างสมองนี่เอง!


กู้ซีจิ่วเลิกกคิ้ว “เจ้าเป็นจักรพรรดิของดินแดนเบื้องบนหรือ?”


เงานั้นหัวเราะหยัน “ลงโทษเซียนดินตัวเล็กๆ อย่างเจ้า ไหนเลยต้องให้ฝ่าบาทออกโรงเอง? ข้าคือเซียนผู้ลงทัณฑ์ของดินแดนเบื้องบน!”


กู้ซีจิ่วมองตรวนทองบนร่างตน “ท่านผู้สูงศักดิ์คิดจะลงโทษข้าอย่างไรเล่า?”


เงานั้นกล่าวว่า “เห็นแก่ที่เจ้าไม่ใช่ตัวการหลัก เป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด จะลงโทษให้เจ้ารับอัสนีทองสายหนึ่ง! เพื่อตักเตือนมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง!”


ช่วงที่พูดอยู่ แสงสีทองได้ผุดวาบขึ้นในมือของเงานั้น กลายเป็นลูกแสงขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง ลูกแสงนั้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ คล้ายว่าจะก่อเป็นฟ้าผ่า!


กู้ซีจิ่วใจหายวาบ นี่ก็คือทัณฑ์อัสนีสวรรค์ใช่หรือไม่?


ตนจะถูกสายฟ้าเส้นนี้ผ่าจนกลายเป็นจุณหรือเปล่า?


เวลานี้เธอไม่มีที่ให้หลบหลีก และไม่อาจหลีกหนีได้ ทำได้เพียงโคจรพลังวิญญาณคุ้มกายอย่างรวดเร็ว…


ลูกแสงสีทองในมือของเงานั้นเจิดจ้าแยงตา สาดแสงดั่งตะวันดวงน้อย ลอยขึ้นสู่ฟ้า


หมุนวนอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็พุ่งลงมาในทันใด พุ่งใส่กลางกระหม่อมของกู้ซีจิ่ว!


————————————————————————————-


บทที่ 1533 ส่งวิญญาณ 1


ลมโหมกรรโชก แสบร้อนปะทะใบหน้า ความรู้สึกนั้นเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ตกลงมากลางกระหม่อม ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถูกเผาจนไหม้เกรียมแล้ว…


เธอหลับตาลง เตรียมกัดฟันเพื่อรับการโจมตีนี้!


“กู้ซีจิ่ว!” จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนที่คุ้นเคยส่งผ่านมาในหูของเธอ เธอตกใจพลัน ในขณะเดียวกัน ลำแสงสีทองนั้นก็พุ่งเข้าชน ร่างกายเธอทั้งแสบร้อนและเจ็บปวดอย่างเฉียบพลัน แต่แล้วเธอจมลงสู่เบื้องล่าง…


ทุกอย่างตรงหน้ากระจัดกระจายหายไปราวกับเมฆาลอยล่อง เธอลืมตาขึ้นในทันใด พบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องนอน มีดินแดนเบื้องบนกับเซียนลงทัณฑ์อะไรที่ไหนกัน?


เธอยังคงหวาดกลัวอยู่ เมื่อสักครู่คือความฝัน? หรือว่าวิญญาณตัวเองออกจากร่างแล้วถูกพาขึ้นไปดินแดนเบื้องบนอะไรนั้นจริงๆ?


เธอหลับตารับรู้ถึงร่างกายสักหน่อย ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอันใด


หากตัวเองถูกอัสนีทองอะไรนั่นพุ่งเข้าชนแล้วจริงๆ ก็ควรจะมีความรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักกระมัง?


หรือว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝันจริงๆ?


บางทีเสียงตะโกนประหนึ่งสาปแช่งของคนยักษ์เกราะทองก่อนตายหลงเหลือเป็นเงามืดในใจเธอ ทำให้เธอฝันประหลาดเช่นนี้


เธอยังไม่วางใจ นั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง โคจรพลังวิญญาณภายในร่างกายรอบหนึ่ง ยังคงไม่พบเจออะไรผิดปกติ ถึงคลายกังวลได้อย่างแท้จริง


เป็นแค่ความฝันว่างเปล่าไม่มีอะไรจริงๆ นี่ เมื่อสักครู่ตอนลำแสงสีทองพุ่งเข้ามา เธอกลับยังได้ยินเสียงตี้ฝูอีเรียกเธอครั้งหนึ่ง เสียงนั้นราวกับเสียงพระพุทธเจ้าดังกึกก้อง ทำให้ทั้งร่างกายเธอสั่นสะท้าน ตกใจจนถูกปลุกให้ตื่นในทันใด…


เธอมองดูรอบๆ ภายในห้องมีแต่ตัวเธอเอง ไม่มีแม้แต่เงาของตี้ฝูอี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มาเลย


เธอมองดูท้องฟ้าด้านนอก ยังคงมืดสนิทยิ่งนัก แล้วหันมามองนาฬิกาทรายอีกครั้ง เป็นเวลายามกะห้า เวลายังเช้าอยู่ แต่เธอกลับไม่อยากนอนต่อแล้ว จึงนั่งสมาธิอยู่อีกนานสองนาน


การนั่งสมาธิครั้งนี้ยาวนานเป็นพิเศษ เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา ท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว ดวงอาทิตย์ทอแสงขึ้นสูง


ยันต์ถ่ายทอดเสียงข้างกายส่องแสงไม่หยุดหย่อน หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหว นี่เป็นยันต์ถ่ายทอดเสียงที่ใช้ระหว่างเธอกับตี้ฝูอีโดยเฉพาะ ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเริ่มติดต่อมาก่อนแล้ว?


เดิมทีกู้ซีจิ่วอยากจะหมางเมินเขาสักครา ไม่รับสายสักสองสามครั้ง ทว่าก็กลัวว่าเขาจะมีเรื่องอันใดเร่งด่วนจริงๆ ดังนั้นจึงรับสายแล้ว


“ซีจิ่ว วันนี้ไปเจ้าไปอำนวยการส่งวิญญาณอาฆาตในกำแพงวิญญาณอาฆาตเถิด หากไม่ส่งวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นในวันนี้ก็จะสายไปเสียแล้ว พวกมันจะไม่มีโอกาสไปเกิดใหม่ได้อีก ทำได้เพียงรอให้สวรรค์ลงทัณฑ์จนวิญญาณพวกมันแตกสลาย” เมื่อตี้ฝูอีเอ่ยปากก็สั่งการออกมาเป็นชุด ไม่มีคำทักทายใดๆ ทั้งสิ้น


กู้ซีจิ่วชะงักงัน “ท่านเล่า?” เรื่องการส่งวิญญาณอาฆาตไม่ควรเป็นเขาทำเองหรอกหรือ?


“ข้ายังมีธุระอื่นต้องทำ ปลีกตัวไปไม่ได้ชั่วขณะ เด็กดี เจ้าไปอำนวยการพิธีส่งวิญญาณนี้ ข้าให้สานุศิษย์สวรรค์ทั้งสี่ท่านช่วยเหลือเจ้า สิ่งต่างๆ ล้วนเตรียมไว้พร้อมสรรพ เจ้าเพียงทำตามขั้นตอนที่ข้าบอก”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว ตี้ฝูอีสอนวิธีการส่งวิญญาณให้เธอจริงๆ หากแค่เพียงส่งวิญญาณแปดดวงหรือสิบดวง เธอย่อมไม่มีปัญหาอันใด ทว่าภายในกำแพงวิญญาณอาฆาตมีวิญญาณอาฆาตหนึ่งแสนดวงที่ถูกปิดผนึกไว้! หากคิดจะส่งพวกมัน จำเป็นต้องปล่อยพวกมันออกมาก่อน…


ด้วยพลังวิญญาณของเธอ ส่งวิญญาณพวกมันเกรงว่าจะแค่กล้อมแกล้มไปได้บ้าง


เธอพูดความกังวลของเธอออกมา ตี้ฝูอีอมยิ้ม “วางใจเถิด ข้าจะสอนค่ายกลส่งวิญญาณให้เจ้า เจ้าเริ่มใช้ค่ายกลใหญ่ส่งวิญญาณก็ได้ ถึงแม้จะสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีทางเป็นอันตราย…”


เขาไม่รอให้กู้ซีจิ่วพูดจาอันใดก็บอกจุดสำคัญของการจัดวางค่ายกลใหญ่นั้นผ่านยันต์ถ่ายทอดเสียงอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง


อย่างไรเสีย กู้ซีจิ่วกับเขาก็เป็นสามีภรรยากันมาแปดปีแล้ว ศัพท์เฉพาะมากมายของเขา แค่ฟังเธอก็เข้าใจแล้ว อีกทั้งเธอก็เฉลียวฉลาด ฟังเพียงรอบเดียวก็ทำเป็นแล้ว


————————————————————————————

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)