เทพปีศาจหวนคืน 1528-1533

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1528 อาภรณ์ภูตผี


แปลโดย iPAT  


 


ฟางตี้เฉิงตะลึง!


 


ฟางหยวนอยู่ในอัตลักษณ์ของซวนปู้จิน เขาป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แล้วเขาจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?


 


แต่ฟางตี้เฉิงยังตอบด้วยรอยยิ้มสดใส “หากสหายต้องการสิ่งใดตอบแทน โปรดกล่าว”


 


เขาเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งปัญญา ไม่ว่าฟางหยวนจะมีแผนการใด เขาก็ต้องทดลอง และคำกล่าวของฟางหยวนก็ชัดเจนว่าเขาต้องการค่าตอบแทน


 


ฟางหยวนยิ้ม “นี่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน เราไม่ควรเสียเวลาพูดคุย แต่วังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์เป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปด หากข้าช่วยให้พวกเจ้าได้รับมัน ค่าตอบแทนย่อมต้องเหมาะสมกับผลงานของข้า”


 


ฟางตี้เฉิงไม่ลังเล เขาป้องหมัดคำนับและกล่าวอย่างจริงจัง “สหาย ข้าขอรับประกันด้วยชื่อเสียงของข้าว่าตระกูลฟางจะตอบแทนเจ้าอย่างเหมาะสม!”


 


“เอาล่ะ เราจะทำข้อตกลงกัน” ฟางหยวนกล่าวและทำข้อตกลงกับตระกูลฟางอย่างรวดเร็ว


 


“โปรดเปิดทางออกอู่เรือพิพากษา ข้าจะออกไป” ฟางหยวนกล่าวอีกครั้ง


 


ฟางตี้เฉิงรู้สึกประหลาดใจ เขาคิดว่าฟางหยวนพบจุดอ่อนบางอย่างเพราะเขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา แต่ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะลงมือด้วยตนเอง


 


การออกไปนอกคฤหาสน์วิญญาณอมตะหมายถึงอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ ผู้อมตะระดับแปดสามคนกำลังต่อสู้กันอยู่ มีความเสี่ยงสูงมากหากผู้อมตะระดับเจ็ดเข้าไปพัวพัน


 


ฟางตี้เฉิงลังเล “ข้างนอกไม่ปลอดภัย เหตุใดไม่ใช้นักรบบุปผาวายุเพื่อใช้วิธีการของเจ้า?”


 


ฟางหยวนหัวเราะ “ข้าต้องทำมันด้วยตัวเอง อย่ากังวล ข้าจะไม่ทำลายผลประโยชน์ของตระกูลฟาง”


 


ฟางตี้เฉิงไม่ได้กังวลเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงพันธมิตรก่อนหน้านี้หรือข้อตกลงใหม่ มีกฎที่กล่าวถึงมันอย่างชัดเจน


 


เมื่อฟางหยวนทำบางสิ่งที่ขัดแย้งต่อผลประโยชน์ของตระกูลฟาง มันจะเป็นการฝ่าฝืนกฎข้อบังคับ


 


แต่เนื่องจากฟางหยวนกล่าวเช่นนี้ ฟางตี้เฉิงก็ไม่สามารถหยุดเขาได้


 


ฟางหยวนบินเข้าสู่เขาวงกตดอกท้อ


 


ฟางตี้เฉิงเฝ้ามองฟางหยวน เขาอยากรู้ว่าฟางหยวนจะใช้วิธีใดเพื่อช่วยตระกูลฟาง


 


ในเวลาต่อมาดวงตาของฟางตี้เฉิงก็เบิกกว้างขึ้น


 


ฟางหยวนพุ่งเข้าไปในวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์


 


“เขาต้องการตายงั้นหรือ?” ผู้อมตะตระกูลฟางคิดได้เพียงเท่านี้


 


แต่ฟางหยวนเตรียมตัวมาแล้ว


 


ท่าไม้ตายอมตะอาภรณ์ภูตผี!


 


เขากระตุ้นใช้อาภรณ์วิญญาณและผนึกภูตผีพร้อมกัน นั่นทำให้กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนแปลงไป


 


‘คนผู้นี้มาทำสิ่งใดที่นี่?’ ดวงตาของเฉินอี้ส่องประกายเย็นเยียบ


 


‘ผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้ทางแห่งปัญญา?’ ฟางกงจำฟางหยวนได้แต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงมาที่นี่


 


ทั้งสองฝ่ายระวังตัวแต่ยังไม่ได้โจมตี


 


ฟางกงได้รับรายงานจากฟางตี้เฉิงขณะที่เฉินอี้ตัดสินใจสังเกตการณ์ หากเขาโจมตีฟางหยวน ฟางกงอาจฉวยโอกาสโจมตีเขา


 


ฟางหยวนเข้าสู่วังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์แต่ตัวตนระดับแปดทั้งสามยังให้สนใจการต่อสู้ของพวกเขามากกว่า


 


เฉินอี้ไม่ได้โจมตี นั่นทำให้ฟางหยวนสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเพิ่มความเร็วและบินไปทางชิงโจว


 


“หือ?” เมื่อเห็นการกระทำของฟางหยวน การเคลื่อนไหวของเฉินอี้และฟางกงก็เริ่มช้าลง


 


“เขาพยายามทำสิ่งใด?” ผู้อมตะตระกูลฟางจ้องมองฟางหยวน


 


“ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญากำลังเข้าไปหากอสูรวิญญาณแรกกำเนิดในตำนาน นี่…” เมื่อเห็นการกระทำของฟางหยวน ผู้อมตะตระกูลฟางรู้สึกพูดไม่ออก


 


ชิงโจวคำราม


 


มันกระโจนเข้าหาฟางกง


 


มันคำรามอีกครั้ง


 


มันกระโจนเข้าหาเฉินอี้


 


ฟางหยวนบินเข้าไปหามันโดยตรงแต่มันกลับเพิกเฉยต่อเขาอย่างสมบูรณ์ราวกับมันไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของเขา


 


นี่เป็นผลกระทบจากท่าไม้ตายอมตะผนึกภูตผี


 


ตลอดเวลาที่ผ่านมาฟางหยวนไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะผนึกภูตผีเพราะเขาไม่มีท่าไม้ตายที่สามารถจับคู่กับมัน ก่อนหน้านี้ชิงโจวสามารถตรวจจับฟางหยวนเพราะเขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายในการต่อสู้และเปิดเผยตัวตนของตนเองออกมา


 


แต่ตอนนี้แตกต่างออกไป


 


หลังจากกลายเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งการโจรกรรม เขาสามารถทำความเข้าใจผนึกภูตผีและสามารถใช้ประโยชน์จากมัน


 


อาภรณ์ภูตผีเป็นผลลัพธ์จากการอนุมานของเขา


 


ตอนนี้เขารวมท่าไม้ตายอาภรณ์วิญญาณเข้ากับผนึกภูตผี ทั้งสองไม่แยกจากกันและไม่ขัดแย้งกันอีกต่อไป นี่ทำให้ชิงโจวไม่สามารถตรวจจับการคงอยู่ของเขา


 


เมื่อเห็นฟางหยวนยืนอยู่บนกระดองเต่าของชิงโจว ไม่ว่าจะเป็นผู้อมตะตระกูลฟางหรือสองผู้อมตะระดับแปด ทุกคนต่างตกตะลึง


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?”


 


“เขาเข้าประชิดตัวชิงโจวได้อย่างไร?”


 


“ชิงโจวเป็นอสูรวิญญาณแรกกำเนิดในตำนาน มันมีสติปัญญาและสามารถบ่มเพาะ!”


 


ผู้อมตะตระกูลฟางรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


 


แต่สิ่งที่ฟางหยวนทำต่อไปแทบจะทำให้ดวงตาของพวกเขาหลุดออกมาจากเบ้า


 


ท่าไม้ตายอมตะมือปีศาจปล้นวิญญาณ!


 


ฟางหยวนยืนอยู่บนแผ่นหลังของชิงโจวและคว้ามันด้วยแขนขวา


 


เขาเป็นเพียงผู้อมตะระดับเจ็ดแต่เขากลับกล้ายั่วยุตัวตนระดับแปด ผู้อมตะตระกูลฟางหลายคนมีสองความคิด


 


ความคิดแรกคือคนผู้นี้พยายามฆ่าตัวตายงั้นหรือ?


 


ความคิดที่สองคือแม้เขาจะหุนหันพลันแล่นแต่ความกล้าหาญของเขาก็น่ายกย่อง!


 


ชิงโจวคำราม


 


มันกระโจนเข้าหาฟางกง


 


ฟางกง “อีกแล้วงั้นหรือ?”


 


ชิงโจวคำราม


 


มันโจมตีเฉินอี้


 


เฉินอี้ “เจ้าโง่ มีคนอยู่ข้างหลังเจ้า!”


 


เฉินอี้รู้สึกผิดปกติ ตั้งแต่ฟางหยวนปรากฏตัว ทุกอย่างก็ดูแปลกประหลาด ดังนั้นเขาจึงตะโกนเตือนชิงโจว


 


ชิงโจวต้องการหันหลังกลับแต่มือปีศาจปล้นวิญญาณของฟางหยวนได้ทะลวงเข้าไปในร่างของมันแล้ว


 


อย่างไรก็ตามแม้ชิงโจวจะหันหลังกลับ มันก็ยังไม่พบการคงอยู่ของฟางหยวน


 


ในไม่ช้ามันก็คำรามและพุ่งเข้าโจมตีเฉินอี้ด้วยความโกรธที่ถูกหลอก


 


เฉินอี้ตะโกนด้วยความโกรธเช่นกัน “เจ้าโง่ หยุด!”


 


ฟางกงคิด ‘ซวนปู้จินผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก เขาอยู่ที่นั่นแต่ชิงโจวกลับไม่พบเขา เขาใช้วิธีใด? ตอนนี้เขาอยู่บนแผ่นหลังของชิงโจว เป้าหมายของเขาย่อมไม่ง่าย เขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่?’


 


ในเวลาต่อมาคำถามของฟางกงก็ได้รับคำตอบ


 


การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไปเมื่อเขาดึงมือปีศาจปล้นวิญญาณออกมาจากร่างของชิงโจว


 


มือปีศาจปล้นวิญญาณราวกับจับบางสิ่งเอาไว้


 


‘ข้าทำได้แล้ว!’ ฟางหยวนมีความสุขมาก เขาเก็บมือปีศาจปล้นวิญญาณเข้าไปในมิติช่องว่างของตนเองอย่างรวดเร็ว


 


ร่างของชิงโจวสั่นสะท้านขึ้น กระดองเต่าของมันเริ่มแตกออก


 


ชิงโจวเป็นอสูรวิญญาณ มันไม่สามารถพ่นเลือดออกมา แต่ฉากนี้แสดงให้เห็นว่ามันได้รับบาดเจ็บสาหัส!


 


โกรธ! โกรธมาก!


 


ชิงโจวยกศีรษะขึ้นคำราม


 


เสียงคำรามของมันทำให้วังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์เริ่มสั่นสะเทือน


 


‘เกิดสิ่งใดขึ้น? ซวนปู้จินทำสิ่งใด?’


 


‘เจ้านั่นดูเหมือนจะนำบางอย่างไปจากมัน!’


 


ฟางกงและเฉินอี้เต็มไปด้วยความสงสัย


 


เฉินอี้ต้องการโจมตีฟางหยวนแต่ถูกปิดกั้นโดยฟางกง


 


“บึม!”


 


ในเวลาต่อมาชิงโจวก็ล้มลง


 


ฟางกงและเฉินอี้หลบออกไปอย่างรวดเร็ว


 


ชิงโจวคำราม “ผู้ใด? หนึ่งในพวกเจ้าสองคนขโมยวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณของข้าไป!”


 


“อันใด!?” เมื่อได้ยินคำกล่าวของชิงโจว ผู้อมตะทั้งหมดต่างประหลาดใจ


 


‘แท้จริงแล้วเขามีวิธีขโมยวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณระดับแปด! ไม่แปลกใจเลยที่เขาเลือกวิญญาณอมตะจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่ก่อนหน้านี้ เขามีวิธีนี้อยู่จริงๆ!’ ดวงตาของฟางตี้เฉิงเบิกกว้างด้วยความตกใจ


 


‘คนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาซ่อนตัวเองอย่างมิดชิด เขาสามารถขโมยวิญญาณอมตะไปจากชิงโจวโดยตรงและมันยังเป็นวิญญาณอมตะระดับแปด!’ เรื่องนี้ทำให้เฉินอี้นึกถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์เทพปีศาจปล้นสวรรค์


 


‘คนผู้นี้ได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจปล้นสวรรค์งั้นหรือ?’ เฉินอี้คิดก่อนตะโกน “เจ้าโง่ ชิงโจว ข้าเตือนเจ้าแล้วว่ามีบางคนอยู่ข้างหลังเจ้า เราไม่ได้ขโมยมัน คนผู้นั้นอยู่ที่ประตู!”


 


ชิงโจวหันไปมองฟางหยวนที่กำลังบินออกจากวังแต่มันก็ไม่เห็นผู้ใด


 


ชิงโจวใช้ท่าไม้ตายอมตะสายตรวจสอบ แต่มันก็ยังไม่พบฟางหยวน


 


ชิงโจวโกรธมากและคำรามไปที่เฉินอี้ “เจ้าคนขลาด ข้ามั่นใจว่าเจ้าคือหัวขโมยผู้นั้น!”


 


“เจ้าโง่!” เฉินอี้โกรธมากและเริ่มโจมตี


 


ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดมากขึ้น ก่อนหน้านี้สามฝ่ายติดอยู่ในสภาวะชะงักงัน แต่หลังจากชิงโจวสูญเสียวิญญาณอมตะระดับแปด มันกลายเป็นบ้าและไม่สามารถระงับความโกรธ


 


ฟางกงรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจไม่เป็นผลดีต่อวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ เขาเริ่มเกลี้ยกล่อมทั้งสองแต่มันไร้ประโยชน์ เฉินอี้ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความโกรธของชิงโจวเพียงลำพัง ดังนั้นเขาจึงบินเข้าไปหาฟางกงและเริ่มการต่อสู้สามทาง


 


สุดท้ายทั้งสามก็ต่อสู้กันอย่างไม่ยั้งมือ ท่าไม้ตายอมตะถูกกระตุ้นใช้งานอย่างต่อเนื่อง


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1529 ปรับแต่งวิญญาณอมตะระดับแปด


แปลโดย iPAT  


 


ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


มือปีศาจบินอยู่บนท้องฟ้า


 


นิ้วทั้งห้าของมันกำแน่น วิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณระดับแปดที่อยู่ภายในพยายามดิ้นรนหลบหนี


 


อย่างไรก็ตามกระทั่งมันจะหลุดรอดจากมือปีศาจ แต่ตอนนี้มันอยู่ในมิติช่องว่างของฟางหยวน ไม่มีสถานที่ให้มันหลบหนี


 


ฟางหยวนคิด ‘ท่าไม้ตายอมตะมือปีศาจปล้นวิญญาณของข้าใช้ท่าไม้ตายอมตะผนึกภูตผีระดับเก้าและวิญญาณอมตะจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่เป็นแกนกลาง แม้วิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณจะเป็นวิญญาณอมตะระดับแปด มันก็ไม่สามารถหลบหนี อย่างไรก็ตามท่าไม้ตายนี้อยู่ได้ไม่นาน มันไม่มีคุณสมบัติในการปิดผนึก ข้าต้องรีบปรับแต่งวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ!’


 


ขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ มือปีศาจก็อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ


 


อย่างไรก็ตามเป้าหมายของฟางหยวนประสบความสำเร็จแล้ว


 


ภูเขาผนึกสวรรค์!


 


เดิมทีภูเขาลูกนี้ถูกใช้ผนึกเจตจำนงสวรรค์ในร่างผีดิบอมตะของเขา


 


แต่ตอนนี้เจตจำนงสวรรค์ถูกแยกออกจากร่างผีดิบอมตะของเขาแล้ว ดังนั้นภูเขาผนึกสวรรค์จึงกลายเป็นว่างเปล่า


 


‘ไป!’ ภายใต้การควบคุมของฟางหยวน มือปีศาจบินเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณบนภูเขาผนึกสวรรค์


 


ฟางหยวนกระตุ้นใช้งานค่ายกลวิญญาณ วิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณยังดิ้นรนอยู่แต่น้อยกว่าก่อนหน้า


 


‘ข้าไม่สามารถปล่อยให้มันดำเนินต่อไปเช่นนี้ สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือหาสถานที่ปรับแต่งมัน!’


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนก็บินออกจากเขาวงกตดอกท้อผ่านรูช่องโหว่ทันที


 


“เขาไปแล้ว!?” การกระทำของฟางหยวนทำให้ผู้อมตะทุกคนรู้สึกประหลาดใจ


 


เฉินอี้กัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง เขาไม่สามารถทำสิ่งใดนอกจากเผชิญหน้ากับชิงโจวและฟางกง


 


‘ช่างรอบคอบนัก’ ฟางตี้เฉิงลอบยกย่องอยู่ในใจขณะเฝ้ามองร่างของฟางหยวนจากไป


 


ฟางหยวนเผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณจำนวนมากแต่เขาไม่ได้ฆ่าพวกมันเพื่อเก็บเกี่ยวแก่นแท้อสูรวิญญาณ


 


เขาจำเป็นต้องปรับแต่งวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณอย่างเร่งด่วน


 


สำหรับตัวตนระดับแปดทั้งสาม พวกเขายังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ฟางหยวนเข้าใจความสามารถของตนเองอย่างชัดเจน แม้เขาจะมีเกราะหวนคืน แต่เขาก็สามารถเพียงอดทนต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปดเท่านั้น


 


หากเขาเข้าแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างตัวตนระดับแปดทั้งสามเพื่อให้ได้รับวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ มันมีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง


 


นอกจากนั้นเมื่อเขาใช้เกราะหวนคืน ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผย ตระกูลฟางอาจหันมาโจมตีเขา


 


มันไม่คุ้มสำหรับฟางหยวนเพราะเขายังต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลฟางและใช้ทะเลทรายผีเขียวเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณ


 


ข้อตกลงพันธมิตรเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง มันไม่ง่ายที่จะกำจัดสิ่งนี้ เขาต้องใช้เวลาเตรียมตัว


 


แม้ฟางหยวนจะนำวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณระดับแปดออกมา แต่ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของทะเลทรายผีเขียวยังกัดกร่อนเขาวงกตดอกท้อต่อไป นอกจากนั้นยังมีกองทัพอสูรวิญญาณจำนวนมากอยู่ในสนามรบ


 


แต่ฟางหยวนกลับจากไปอย่างง่ายดาย


 


เขาบินออกจากทะเลทรายผีเขียวโดยไม่หันหลังกลับ เมื่อยืนยันความปลอดภัย ฟางหยวนก็บินลงบนพื้นทราย


 


เขาลงไปใต้ดินและสร้างค่ายกลวิญญาณเพื่อลบร่องรอยทั้งหมดของตนเอง


 


หลังจากนั้นเขาก็เริ่มปรับแต่งวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณระดับแปด


 


วิญญาณอมตะดวงนี้มีเจตจำนงของชิงโจวอยู่ภายใน มันเป็นเรื่องยากที่ฟางหยวนจะเข้าแทนที่


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนวางแผนมาแล้ว


 


วิญญาณอมตะรักตัวเองและวิญญาณอมตะความใคร่!


 


ด้วยการใช้งานวิญญาณอมตะรักตัวเองกับวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ เจตจำนงที่อยู่ภายในจะรักตัวเองและไม่ระเบิดทำลายตัวมันเอง


 


ถัดมาฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะความใคร่ส่งเจตจำนงเข้าไปในวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ


 


เจตจำนงทั้งสองต่อสู้กัน


 


เจตจำนงแห่งความใคร่ถูกทำลายแต่มันไม่ได้หายไปทั้งหมด เศษชิ้นส่วนของมันกระจัดกระจายอยู่ในวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ


 


นี่เป็นเอกลักษณ์พิเศษของเจตจำนงแห่งความใคร่


 


ฟางหยวนยังกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะความใคร่อย่างต่อเนื่องแต่เจตจำนงแห่งความใคร่ก็ถูกเจตจำนงที่ดื้อรั้นของชิงโจวทำลายลงเสมอ


 


หลังจากผ่านไปหลายนาทีฟางหยวนก็หยุด


 


มีเศษชิ้นส่วนของเจตจำนงแห่งความใคร่จำนวนมากปะปนอยู่ในวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณและมันมาถึงขีดจำกัดแล้ว


 


เมื่อมาถึงจุดนี้ฟางหยวนก็ส่งเจตจำนงของตนเองเข้าไปในวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ


 


เจตจำนงของชิงโจวโกรธจัดและพุ่งเข้าโจมตีเจตจำนงของฟางหยวนอย่างบ้าคลั่ง


 


แต่ฟางหยวนยังเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ เขายังส่งเจตจำนงของตนเองเข้าไปอย่างต่อเนื่อง


 


ข้อได้เปรียบของเขาคือเขามีพลังงานอมตะมากพอ เขาสามารถเติมเจตจำนงของตนเองแต่ชิงโจวไม่สามารถเติมเต็มเจตจำนงของมัน


 


สิบห้านาที สามสิบนาที สี่สิบห้านาที…เมื่อเวลาผ่านไปความได้เปรียบของฟางหยวนก็เพิ่มขึ้น ในที่สุดเขาก็สามารถยึดครองส่วนหนึ่งของวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ


 


เจตจำนงของชิงโจวรู้ว่ามันไม่สามารถแข่งขันกับเจตจำนงของฟางหยวน มันต้องการระเบิดตัวเอง แต่ในเวลานี้เจตจำนงแห่งความใคร่ที่กระจายอยู่รอบๆก็พุ่งเข้าแทรกแซงการตัดสินใจของชิงโจว


 


สุดท้ายฟางหยวนก็ส่งกองทัพเจตจำนงของตนเองเข้าไปทำลายเจตจำนงของชิงโจวทั้งหมด


 


‘ในที่สุดข้าก็ประสบความสำเร็จในการปรับแต่งวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ!’ ฟางหยวนสูดหายใจขณะที่หน้าผากของเขาปกคลุมไปด้วยเหงื่อ


 


การต่อสู้ครั้งนี้เหมือนการทำสงครามครั้งใหญ่ เขาเหนื่อยมาก


 


เมื่อพิจารณาถึงเวลา สามวันสามคืนของโลกภายนอกได้ผ่านพ้นไปแล้ว


 


‘โชคดีที่ข้ามีวิธีบนเส้นทางแห่งปัญญาและวิญญาณอมตะที่เข้ากันได้ มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถปรับแต่งวิญญาณดวงนี้’


 


‘เห้อ…แม้ข้าจะมีมือปีศาจปล้นวิญญาณและผนึกภูตผี ข้าก็ทำได้เพียงเลียนแบบความสามารถของเทพปีศาจปล้นสวรรค์เท่านั้น ข้าใช้ประโยชน์จากความสำเร็จของเขา ตำนานกล่าวว่าเทพปีศาจปล้นสวรรค์สามารถขโมยเจตจำนงและปรับแต่งวิญญาณอมตะได้ทันที มันช่างน่าอัศจรรย์นัก!’


 


ฟางหยวนถอนหายใจ เขาเก็บวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณและรีบกลับไปที่ทะเลทรายผีเขียว


 


‘ข้ามีวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณและท่าไม้ตายอมตะทาสแปดสิบต่อร้อย ข้าสามารถกดขี่ชิงโจวให้เป็นทาส!’


 


‘ด้วยความช่วยเหลือจากชิงโจว มีความเป็นไปได้ที่ข้าจะได้รับวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์’


 


‘แม้ข้าจะเผชิญหน้ากับฟันเฟือนของข้อตกลงพันธมิตร แต่ข้ายังสามารถปกป้องชีวิต หากข้าได้รับวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะได้รับกำไรมหาศาล!’


 


ฟางหยวนวิเคราะห์อยู่ในใจ


 


หลังจากได้รับวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ เขาก็เริ่มคิดที่จะยึดครองคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์


 


แต่เมื่อเขาบินไปที่ทะเลทรายผีเขียว เขากลับถูกปิดกั้นโดยผู้อมตะบางคน


 


“โปรดรอก่อน” ผู้อมตะหญิงระดับเจ็ดผู้หนึ่งเผยรอยยิ้มที่สุภาพให้เขา


 


ฟางหยวนชะลอความเร็วลง


 


ผู้อมตะหญิงยิ้ม “ข้า เหอกู่ ข้าเห็นท่านบินมาอย่างรวดเร็ว ท่านต้องมีจุดหมายอยู่ในใจ ด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของทะเลทรายผีเขียว ข้าได้ยินว่ามีสมบัติล้ำค่าปรากฏขึ้น ข้าสงสัยว่าท่านมีข้อมูลหรือไม่? ข้ายินดีซื้อมัน”


 


การแสดงออกของฟางหยวนไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่เขารู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ


 


เดิมทีตระกูลฟางสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่เพื่อยึดครองวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ อสูรวิญญาณทั้งหมดในทะเลทรายผีเขียวปรากฏตัวขึ้น เรื่องนี้ไม่สามารถเก็บซ่อนจากผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตก


 


ฟางหยวนใช้เวลาสามวันในการปรับแต่งวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญญาณขณะที่ผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตกมาถึงแล้ว


 


‘ข้าเกรงว่าการต่อสู้จะจบลงแล้ว!’


 


‘หากทั้งสามฝ่ายยังต่อสู้กันอยู่ พลังอำนาจระดับแปดย่อมไม่สามารถปกปิด มันจะสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ แล้วผู้อมตะเหล่านี้จะไม่รับรู้ได้อย่างไร?’


 


‘การต่อสู้จบลงอย่างไร? ฝ่ายใดได้รับวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์?’


 


ฟางหยวนเต็มไปด้วยความสงสัย


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1530 วางแผนต่อต้านชิงโจว


แปลโดย iPAT  


 


‘เป็นเช่นนั้น’ ฟางหยวนติดต่อผู้อมตะตระกูลฟางและตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


 


การต่อสู้เพื่อแย่งชิงวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์จบลงแล้ว ตระกูลฟางได้รับมัน!


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายบัวสวรรค์เฉินอี้กล่าวบางคำก่อนจากไป เขาต้องการให้ตระกูลฟางดูแลวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดีขณะที่เขาจะกลับมารับคืนในครั้งต่อไป


 


สำหรับชิงโจว มันยังสามารถหลบหนี มันมีรากฐานที่ลึกซึ้งและมีวิญญาณอมตะระดับแปดดวงอื่นนอกจากวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ


 


แม้ตระกูลฟางจะได้รับวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์แต่คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหลังของพวกเขาก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งฟางกงได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่วังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายไปเกือบครึ่ง


 


อย่างไรก็ตามหลังจากฟางหยวนติดต่อพวกเขา ตระกูลฟางก็สัญญาว่าจะตอบแทนฟางหยวนตามความเหมาะสม แต่ตระกูลฟางต้องการให้ฟางหยวนรอไปก่อนเพราะความโกลาหลที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินไป ข่าวที่ว่าตระกูลฟางได้รับวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์จะถูกเผยแพร่ออกไปในไม่ช้า เมื่อเวลานั้นมาถึง ทะเลทรายตะวันตกจะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ หลังจากทั้งหมดกองกำลังใหญ่ของทะเลทรายตะวันตกไม่ต้องการเห็นตระกูลฟางได้รับวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของทะเลทรายตะวันตก


 


เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลฟางจะเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากทุกทิศทาง พวกเขาจำเป็นต้องรักษาความแข็งแกร่งโดยเฉพาะการซ่อมแซมคฤหาสน์วิญญาณอมตะที่เป็นเรื่องเร่งด่วน


 


ดังนั้นตระกูลฟางจึงต้องการเวลา


 


ฟางหยวนคิดและตกลงรับข้อเสนอ


 


ประการแรก ข้อตกลงพันธมิตรไม่ได้เข้มงวดในเรื่องของเวลาในการตอบแทน ประการที่สอง ฟางหยวนต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาเอาไว้


 


สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป


 


ตระกูลฟางยั่วยุนิกายบัวสวรรค์ของภาคกลาง มันเหมือนกับการยั่วยุวังสวรรค์ ฟงหยวนในฐานะซวนปู้จินเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ จากมุมมองของตระกูลฟาง ซวนปู้จินถือเป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติของพวกเขา


 


พวกเขาต้องการพลังการต่อสู้ของฟางหยวน ในฐานะผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่มีวิธีกดขี่กองทัพอสูรวิญญาณและยังแสดงความสามารถในการขโมยวิญญาณอมตะระดับแปดจากชิงโจว นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไป


 


ดังนั้นตระกูลฟางจึงไม่ต้องการยั่วยุซวนปู้จินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับอันตราย พวกเขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับฟางหยวนแต่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา


 


ฟางหยวนเข้าใจความตั้งใจของตระกูลฟางอย่างชัดเจน


 


‘อันดับแรกตระกูลถังและตอนนี้ตระกูลฟางก็กลายเป็นตัวหมากที่ดีในการต่อต้านวังสวรรค์’ ฟางหยวนต้องมองไปถึงอนาคต


 


‘ทะเลทรายตะวันตกจะต้องเกิดความโกลาหลขึ้นอย่างแน่นอน สิ่งสำคัญคือพลังการต่อสู้ของวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะปลดปล่อยมันออกมาได้มากน้อยเพียงใด?’


 


หากตระกูลฟางสามารถอดทนต่อแรงกดดันทั้งหมด ฟางหยวนจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาเอาไว้ หากตระกูลฟางไม่สามารถปกป้องตนเอง ฟางหยวนก็จะไม่ช่วยพวกเขา ในความเป็นจริงเขากระทั่งจะวางแผนฉกชิงวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์มาเป็นของตนเองอีกด้วย


 


หลังเหตุการณ์ครั้งนี้เขาได้รับผลประโยชน์มากมาย ประการแรก เขาได้รับวิญญาณอมตะจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่ระดับเจ็ดและสามารถใช้งานผนึกภูตผี มันเป็นความก้าวหน้าเชิงคุณภาพ ประการที่สอง เขาได้รับวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณระดับแปด ประการที่สาม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลฟางดีขึ้นอย่างมาก พวกเขายังมีหนี้ที่ต้องชำระอีกมากมาย


 


กล่าวไปแล้วหากฟางหยวนได้รับวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์ เขาต้องลงทุนซ่อมแซมมันและยังต้องแบกรับภาระเรื่องอาหารของวิญญาณ


 


ผลลัพธ์นี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับฟางหยวน


 


‘แต่ตอนนี้มีผู้อมตะจำนวนมากอยู่ในทะเลทรายผีเขียว ข้าไม่สามารถเริ่มแผนการของข้าได้’


 


เดิมทีฟางหยวนต้องการให้อิงอู๋เซี่ยอยู่ที่นี่เพื่อสะสมแก่นแท้อสูรวิญญาณ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้


 


ตอนนี้มีผู้คนอยู่มากเกินไปและเขาไม่สามารถทำสิ่งใด


 


นอกจากนั้นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือชิงโจวที่หลบหนีไป


 


อสูรวิญญาณแรกกำเนิดในตำนานตัวนี้มีพลังการต่อสู้ระดับแปด แม้ฟางหยวนจะไม่ได้ต่อสู้กับมันด้วยตนเองแต่เขายังตระหนักถึงความแข็งแกร่งของมัน แม้จะมีเกราะหวนคืน แต่เขาก็ต่อสู้ได้อย่างเท่าเทียมเท่านั้น


 


ตอนนี้ชิงโจวหายตัวไป มันอาจซ่อนตัวอยู่ในทะเลทรายผีเขียว ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าฟางหยวนจะส่งอิงอู๋เซี่ยออกไปล่าแก่นแท้อสูรวิญญาณหรืออยู่ที่นี่ด้วยตนเอง มันก็ยังอันตราย หากพวกเขาต้องต่อสู้กัน เพียงแค่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผย มันก็สามารถทำลายแผนการมากมายของเขาแล้ว


 


‘ข้าควรจากไป’ ฟางหยวนตัดสินใจอย่างชาญฉลาด เขาต้องออกจากทะเลทรายผีเขียวหรือกระทั่งออกจากทะเลทรายตะวันตก


 


“สหาย?” ผู้อมตะหญิงเหอกู่เห็นฟางหยวนเงียบ ดังนั้นนางจึงถามเขาอีกครั้ง


 


ฟางหยวนหัวเราะ หญิงผู้นี้ค่อนข้างฉลาด นางสามารถอนุมานหลายสิ่งจากการเคลื่อนไหวของเขา


 


ฟางหยวนกล่าว “ข้ามีข้อมูลล้ำค่าบางอย่าง หากเจ้าต้องการซื้อ เจ้าต้องสามารถจ่าย”


 


เหอกู่ยิ้ม “อย่ากังวล แม้ข้าจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่ข้าก็มีทรัพย์สินอยู่บ้าง ตราบเท่าที่ข้อมูลของเจ้าถูกต้อง ข้ายินดีจ่ายตามความเหมาะสม”


 


ฟางหยวนสร้างข้อตกลงง่ายๆกับเหอกู่ก่อนจะเล่าบางเรื่องเกี่ยวกับชิงโจวให้นางรับรู้ แน่นอนว่าพวกมันล้วนเป็นเรื่องจริง


 


ดวงตาของเหอกู่ส่องประกายขึ้น “โอ้ อสูรวิญญาณแรกกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชิง? มรดกของตระกูลชิงดูเหมือนจะอยู่กับมันงั้นหรือ?”


 


“ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง” ฟางหยวนส่ายศีรษะและไม่กล่าวต่อ


 


เหอกู่พอใจกับข้อมูลดังกล่าว นางตอบแทนด้วยทรัพยากรอมตะของทะเลทรายตะวันตก


 


ฟางหยวนค่อนข้างประหลาดใจ หนึ่งทรัพยากรอมตะเหล่านั้นคือไม้ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล มันเป็นทรัพยากรอมตะระดับหกแต่มันหายากกระทั่งในสวรรค์สีเหลือง มันถูกขายในราคาเทียบเท่ากับทรัพยากรอมตะระดับเจ็ด


 


นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเล็กน้อย ฟางหยวนได้รับกำไรบางส่วนจากการเปิดเผยข้อมูลของชิงโจว


 


ด้านหนึ่งเขากำลังช่วยตระกูลฟางเบี่ยงเบนความสนใจของผู้อมตะทะเลทรายตะวันตกไปยังชิงโจว อีกด้านหนึ่งตราบเท่าที่ชิงโจวยังมีชีวิตและซ่อนตัวอยู่ แผนการของฟางหยวนในทะเลทรายผีเขียวก็ไม่สามารถดำเนินการได้ เขาต้องการใช้ประโยชน์จากผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตกเพื่อค้นหาที่อยู่ของชิงโจว หากพวกเขาพบอสูรวิญญาณแรกกำเนิดในตำนานตัวนี้จริง ฟางหยวนก็ขออวยพรให้พวกเขาโชคดี


 


‘ข้อมูลของข้าเป็นเรื่องจริง ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาสามารถอนุมานเพื่อพิสูจน์ความน่าเชื่อถือ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับมรดกของตระกูลชิง กระทั่งผู้อมตะระดับแปดก็อาจถูกล่อลวง เรื่องนี้จะสร้างปัญหาให้กับชิงโจว’


 


ในฐานะปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา ฟางหยวนใช้โอกาสนี้วางแผนต่อต้านชิงโจว


 


แต่เหอกู่ยังไม่พอใจ นางจึงขอไปสำรวจทะเลทรายผีเขียวพร้อมกับฟางหยวน


 


ผู้บ่มเพาะสันโดษมักทำงานร่วมกัน นี่เป็นเรื่องปกติ


 


แน่นอนว่าฟางหยวนปฏิเสธนาง


 


ฟางหยวนกล่าวลาเหอกู่และจากไป


 


เหอกู่ต้องการติดตามเขาแต่ฟางหยวนกลับใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยปลอมตัวเป็นคนอื่นเพื่อสลัดหญิงผู้นี้ทิ้งไป


 


ฟางหยวนไม่ได้เข้าไปในทะเลทรายผีเขียว ตรงข้าม เขาออกจากที่นั่น


 


เขาบินไปเป็นเวลาหลายวันก่อนจะถึงกำแพงภูมิภาคและข้ามไปยังภาคใต้


 


ทะเลทรายตะวันตกแห้งแล้งแต่ภาคใต้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา


 


ภูเขาและพืชพรรณสร้างเป็นฉากที่อุดมสมบูรณ์


 


‘ภาคใต้…’ ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายสดใส ท่ามกลางภูมิภาคทั้งห้า เขามีความประทับใจต่อภาคใต้มากที่สุด


 


ท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชค!


 


เขาใช้ท่าไม้ตายสายตรวจสอบทันที


 


ก่อนหน้านี้เขาเชื่อมโยงโชคกับอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดไว้แล้ว ตอนนี้เขาสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชคเพื่อค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของมัน


 


เป้าหมายหลักในการเดินทางมายังภาคใต้ของฟางหยวนในครั้งนี้ก็คือการนำอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดกลับคืน


 


สัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้มีประโยชน์มากสำหรับเขา ด้วยสิ่งนี้ฟางหยวนจะสามารถกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมืองจิ๋วทั้งหมด รากฐานของเขาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วรวมถึงร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า


 


‘ทิศตะวันออกเฉียงใต้…’ ฟางหยวนหยุดใช้ท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชคและบินไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1531 ทุ่งหยกร้อน


แปลโดย iPAT  


 


ภาคใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้


 


แม่น้ำมังกรเหลืองอยู่ทางเหนือขณะที่ภูเขาไป่โชวอยู่ทางใต้


 


เดิมทีมันเป็นเทือกเขาที่ทอดตัวยาวออกไปแต่ตอนนี้มันแยกออกจากกันและถูกแทนที่ด้วยร่องลึกใต้พิภพ


 


ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง ห้าภูมิภาคจะกลายเป็นหนึ่ง ก้าวแรกคือความปั่นป่วนของปราณพิภพและการเชื่อมต่อของเส้นโลหิตปฐพี ภาคใต้มีเส้นโลหิตปฐพีอยู่มากที่สุด ดังนั้นแผ่นดินไหวจึงเกิดขึ้นบ่อยที่สุด


 


แผ่นดินไหวแต่ละครั้งถือเป็นหายนะของมนุษย์ แต่สำหรับผู้อมตะ พวกเขาได้รับผลประโยชน์


 


ทรัพยากรอมตะทุกประเภทรวมถึงวิญญาณอมตะป่าปรากฏขึ้นจากเส้นโลหิตปฐพี


 


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโลกของผู้อมตะภาคใต้เกิดความโกลาหลเป็นอย่างมาก


 


อันดับแรกคือการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน ตามมาด้วยการต่อสู้ที่อาณาจักรแห่งความฝัน ไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ ปีศาจอมตะ หรือสมาชิกฝ่ายธรรมะ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลวู พวกเขาสูญเสียผู้อมตะไปถึงเจ็ดคน!


 


ผู้อมตะของภาคใต้เริ่มตื่นตัวเนื่องจากอันตราย พวกเขาพยายามอย่างหนักที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง


 


แผ่นดินไหวที่เกิดจากเส้นโลหิตปฐพีได้สร้างรอยแยกใต้พิภพมากมาย ผู้อมตะภาคใต้จำนวนนับไม่ถ้วนพยายามค้นหาทรัพยากรและชดเชยความสูญเสียไปพร้อมกับเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขา


 


รอยแยกใต้พิภพที่เกิดใหม่แห่งหนึ่ง กลุ่มผู้ใช้วิญญาณกำลังสร้างค่ายกลวิญญาณระดับมนุษย์ขึ้นที่นี่


 


ผู้นำกลุ่มเป็นผู้ใช้วิญญาณหญิงระดับห้า


 


คิ้วของนางเรียวบาง ดวงตากระจ่างใสราวกับดวงจันทร์ ผิวของนางขาวราวหิมะ ขณะที่ริมฝีปากเป็นสีชมพูที่ดูอ่อนโยน เส้นผมสีดำของนางส่องประกายดุจแพรไหมที่ช่วยขับเน้นความงามของนาง


 


ตอนนี้นางอยู่ในชุดสีขาวที่เรียบง่าย นางดูสง่างามราวกับดอกกล้วยไม้ อ่อนโยนเหมือนน้ำ และปลดปล่อยกลิ่นอายของคนสูงศักดิ์ออกมา


 


นางไม่ใช่ผู้ใดนอกจากผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลเฉิง เฉิงซินซื่อ


 


ดวงตาที่งดงามของเฉิงซินซื่อปรากฏความงุนงงขณะที่นางมองไปยังพื้นที่ที่อยู่ตรงหน้า


 


สถานที่แห่งนี้อยู่ลึกลงไปใต้พิภพ มันเป็นพื้นดินสีดำที่แข็งเหมือนเหล็กและมีควันหลากสีสันลอยขึ้นมา


 


ผู้ใช้วิญญาณทุกคนรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ห่อหุ้มร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ นั่นทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก


 


“พลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติช่างน่าอัศจรรย์นัก” เฉิงซินซื่อถอนหายใจด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง


 


ชายหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านข้างนางมีรูปลักษณ์ที่องอาจ ดวงตาและคิ้วแหลมคมราวกับดาบ นกอินทรีย์ตัวเล็กเกาะอยู่บนไหล่ของเขา นั่นคือเย่ฟาน


 


เย่ฟานกล่าว “สถานที่แห่งนี้ไม่ธรรมดา หากข้าจำไม่ผิด ที่นี่คือทุ่งหยกร้อน มันสามารถผลิตหยกร้อนที่เป็นทรัพยากรอมตะ มันมีมูลค่าสูงมาก!”


 


เย่ฟานยังคงรักเฉิงซินซื่อ ก่อนหน้านี้เขาช่วยนางจัดการเรื่องต่างๆของตระกูลเฉิง หลังจากเผชิญหน้ากับไป่หนิงปิงและเกือบถูกสังหาร เย่ฟานสามารถรักษาชีวิตและเติบโตขึ้นโดยการได้พบกับลั่วเว่ยหยินและกลายเป็นศิษย์ของเขา


 


เขาฝึกฝนอยู่ในสวรรค์สีดำและได้รับความรู้มากมายจากลั่วเว่ยหยิน


 


“ที่นี่เรียกว่าทุ่งหยกร้อนงั้นหรือ? ขอบคุณนายน้อยเย่สำหรับคำอธิบาย ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดบรรพชนอมตะของตระกูลเฉิงจึงต้องการให้ข้ามาปกป้องสถานที่แห่งนี้” เฉิงซินซื่อแสดงความขอบคุณ


 


เดิมทีนางมีพรสวรรค์และระดับการบ่มเพาะที่ค่อนข้างต่ำ แต่เพื่อทุ่งหยกร้อนแห่งนี้ ผู้อมตะตระกูลเฉิงจึงใช้วิธีการพิเศษเพื่อทำให้เฉิงซินซื่อก้าวเข้าสู่ระดับห้าโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่าย


 


ความกังวลปรากฏขึ้นในดวงตาของเย่ฟาน


 


ศัตรูของเฉิงซินซื่อคือตระกูลฮั่วและตระกูลไท่


 


ทั้งสองตระกูลส่งผู้นำตระกูลที่มีการบ่มเพาะระดับห้ามาที่นี่ พวกเขาต้องการทุ่งหยกร้อนเช่นกัน


 


สำหรับเย่ฟาน ความเข้าใจของเขาเหนือกว่าขอบเขตมนุษย์ไปแล้ว เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจน


 


‘ทุ่งหยกร้อนเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ตระกูลที่สามารถยึดครองสถานที่แห่งนี้จะได้รับหยกร้อนจำนวนมากในแต่ละปี ตระกูลเฉิง ตระกูลฮั่ว และตระกูลไท่ ทั้งสามเป็นกองกำลังใหญ่ แต่กระทั่งผู้นำตระกูลของทั้งสามกองกำลังก็ยังเป็นตัวหมากเบี้ยของผู้อมตะที่อยู่เบื้องหลังการแข่งขันครั้งนี้เท่านั้น’


 


‘เห้อ…ตำแหน่งผู้นำตระกูลอาจดูสูงส่งและทรงอำนาจ แต่มันก็ยังเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองสำหรับผู้อมตะ พวกเขาไม่มีอิสระในการตัดสินใจและตกอยู่ในอันตรายเนื่องจากผู้บ่มสันโดษและปีศาจอมตะก็อาจมาที่นี่ได้เช่นกัน ระหว่างการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน ผู้นำตระกูลเฉิงรุ่นก่อนเฉิงเยี่ยนเฟยบิดารของคุณหนูซินซื่อก็เสียชีวิตที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำตระกูลวูและกองกำลังอื่นก็เผชิญหน้ากับชะตากรรมเดียวกัน หากไม่ใช่ผู้อมตะ ไม่ว่าพวกเขาจะอัศจรรย์เพียงใด พวกเขาก็ยังเป็นเพียงมนุษย์’


 


คิดถึงเรื่องนี้ ช่วยไม่ได้ที่เย่ฟานจะปรารถนาที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ


 


“รายงาน! ตระกูลฮั่วและตระกูลไท่ส่งกองกำลังจำนวนมากในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเราโดยตรง!” เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้ใช้วิญญาณสายตรวจสอบเข้ามารายงาน


 


ผู้ใช้วิญญาณหญิงที่อยู่ด้านข้างเฉิงซินซื่อกล่าว “ท่านผู้นำกล่าวถูกต้อง พวกเราจัดตั้งค่ายกลวิญญาณเอาไว้แล้ว เราจะวางกับดักพวกเขา”


 


หญิงผู้นี้ก็คือเว่ยตี้ซินภรรยาของผู้นำตระกูลเว่ย นางเคยถูกฟางหยวนซื้อตัวมาเป็นทาสและมอบให้เฉิงซินซื่อ ตอนนี้นางเป็นผู้พิทักษ์ส่วนตัวของเฉินซินซื่อ นางมีความภักดีและต้องการตอบแทนความเมตตาของเฉินซินซื่อ


 


เฉินซินซื่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ค่ายกลวิญญาณถูกจัดตั้งไว้นานแล้ว เราเพียงต้องล่อลวงให้ทั้งสองตระกูลบุกเข้ามาและจัดการพวกเขาในครั้งเดียว”


 


ตระกูลเฉิง ตระกูลฮั่ว และตระกูลไท่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน พวกเขาต่างได้รับชัยชนะและพบกับความสูญเสียอย่างเท่าเทียม ดังน้นเฉิงซินซื่อจึงได้วางแผนที่จะจัดตั้งค่ายกลวิญญาณที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกนางเพื่อเอาชนะในการแข่งขันครั้งนี้ ผู้นำตระกูลอีกสองคนมีประสบการณ์และจะไม่สร้างความโกลาหลแม้พวกเขาจะจากไปเป็นครั้งคราว แต่เฉินซินซื่อยังเด็กและไร้ประสบการณ์ หากนางจากไปนานเกินไป มันจะสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ภายในกองกำลังของนาง นี่คือเหตุผลที่เฉินซินซื่อต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ที่นี่


 


แน่นอนว่านางไม่ได้เสี่ยงโดยไม่มีแผนการรองรับ เฉินซินซื่อวางแผนหลังจากค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูของนางมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตอนนี้นางมั่นใจกับชัยชนะของตระกูลเฉิงเป็นอย่างมาก


 


‘หากข้าสามารถเอาชนะสองผู้นำอาวุโสของตระดูลฮั่วและตระกูลไท่ที่นี่ ชื่อเสียงของข้าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อข้ากลับไปที่ตระกูล สิ่งต่างๆจะเปลี่ยนแปลงไป’ เมื่อนางคิดถึงเรื่องนี้ ริมฝีปากของนางก็ยกตัวขึ้นขณะที่นางกล่าวเสียงดัง “ข้าหวังว่าทุกคนจะทุ่มเทความพยายามและนำชัยชนะมาสู่ตระกูลเฉิง”


 


ทุกคนตอบรับอย่างแข็งขัน


 


เฉินซินซื่อมีเว่ยตี้ซินเป็นผู้พิทักษ์ของนาง ซ่งถู ซ่งเฮา และซ่งเฟิงเป็นผู้ช่วย นางยังมีเซียวเยี่ยนจากสนามประลองของตระกูลเฉิงซึ่งเป็นผู้ใช้วิญญาณคนนอกที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็นนายพลคนสำคัญ สำหรับเจาฉวน เขาทำหน้าที่แทนเฉิงซินซื่ออยู่ที่ฐานทัพใหญ่ของตระกูลเฉิง


 


เย่ฟานเป็นเหมือนผู้อาวุโสนอกที่ได้รับเชิญ เขาไม่ถือเป็นลูกน้องของเฉิงซินซื่อ


 


‘ตำแหน่งผู้นำทั้งเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก แต่คุณหนูซินซื่อได้เรียนรู้มากมาย ตอนนี้นางไม่อ่อนแอแล้ว นางกล้าหาญมาก’ เย่ฟานตกตะลึงกับท่าทางอันแน่วแน่และความสง่างามของเฉิงซินซื่อ


 


“ผู้นำตระกูลเฉิง นี่หมายความว่าอย่างไร?” ครู่ต่อมาผู้นำตระกูลไท่ก็มาถึง


 


จากนั้นผู้นำตระกูลฮั่วก็มาพร้อมกับคนของเขา เขาถามเฉิงซินซื่อ “สาวน้อย เจ้าพยายามยึดครองสถานที่แห่งนี้งั้นหรือ?”


 


เฉิงซินซื่อเผยรอยยิ้มบาง “ท่านผู้นำทั้งสอง เราเสียเวลามานานแล้ว ไม่ใช่ว่าเราควรจะตัดสินผู้ชนะกันที่นี่ตอนนี้งั้นหรือ?”


 


รูม่านตาของผู้นำตระกูลฮั่วหดเล็กลง


 


ผู้นำตระกูลไท่หัวเราะและชูนิ้วโป้งให้เฉิงซินซื่อ “ดี เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาที่ยอดเยี่ยม ความจริงก็คือข้าค่อนข้างหงุดหงิดกับการอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน วันนี้เราจะมาต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะ!”


 


ทั้งสามฝ่ายส่งทหารเข้าสู่สนามรบ


 


เฉิงซินซื่อ เย่ฟาน และตัวตนระดับสูงคนอื่นๆยืนมองการต่อสู้อยู่ที่เดิม


 


“เปิดใช้ค่ายกล” เฉิงซินซื่อออกคำสั่ง


 


ผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่อยู่ด้านข้างนางลังเล “ยังเร็วเกินไปหรือไม่ที่จะเปิดใช้งานค่ายกลวิญญาณตอนนี้? พวกเขาจะมีเวลามากพอที่จะตอบสนอง”


 


เฉิงซินซื่อส่ายศีรษะ “ทำมันทันที”


 


ค่ายกลวิญญาณถูกกระตุ้นใช้งานและทำให้ผู้นำตระกูลฮั่วและตระกูลไท่ตื่นตระหนก


 


เฉินซินซื่อกล่าวเสียงดัง “ค่ายกลนี้สามารถปกป้องชีวิตของผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ใช้วิญญาณจากตระกูลฮั่วและตระกูลไท่เชิญออกมาต่อสู้”


 


หลังกล่าวจบคำ การแสดงออกของผู้นำตระกูลฮั่วและตระกูลไท่ก็เปลี่ยนแปลงไป


 


ผู้นำตระกูลไท่หัวเราะเสียงดัง “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับความใจดีของผู้นำตระกูลเฉิงมานานแล้ว ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องจริง ตกลง เรามาต่อสู้จนถึงที่สุด”


 


ผู้นำตระกูลฮั่วก่นเสียงเย็นและคิดว่า ‘สาวน้อยผู้นี้ช่างน่าเกรงขามนัก นางกล่าวถึงความสามารถอันน่าเหลือเชื่อของค่ายกลวิญญาณออกมาเพื่อแก้ปัญหาความวุ่นวาย นอกจากนั้นหลังจากได้ยินถ้อยคำของนาง พวกเรายังจะสามารถทำลายค่ายกลวิญญาณนี้ได้อีกงั้นหรือ? ข้าประเมินนางต่ำเกินไปจริงๆ!’


 


‘เปรียบเทียบกับผู้นำตระกูลคนอื่นๆ คุณหนูซินซื่อใจดีที่สุด นางสามารถสร้างค่ายกลวิญญาณรูปแบบโจมตี แต่นางกลับเลือกที่จะสร้างสิ่งนี้และลดความได้เปรียบของนางเอง ข้าต้องให้นางยืมมือในภายหลัง’ เย่ฟานคิด


 


เขาไม่ได้บอกเกี่ยวกับการเผชิญหน้าโดยบังเอิญของเขากับเฉิงซินซื่อและคนอื่นๆ


 


แต่หลังจากฝึกฝนในสวรรค์สีดำ เย่ฟานก็มั่นใจว่าผู้ใช้วิญญาณระดับห้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป


 


ค่ายกลวิญญาณช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับผู้ใช้วิญญาณและทำให้พวกเขาปลอดภัย


 


ในเวลาเดียวกันมันก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้วิญญาณของตระกูลเฉิง


 


ผู้ใช้วิญญาณของตระกูลไท่และตระกูลฮั่วพยายามตรวจสอบค่ายกลวิญญาณนี้แต่ก่อนที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จผู้ใช้วิญญาณของตระกูลเฉิงก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบไปแล้ว


 


“ฆ่า!” เมื่อซ่งถู ซ่งเฮา และซ่งเฟิงเข้าสู่สนามรบ ผู้อาวุโสของตระกูลอื่นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา


 


ในไม่ช้าผู้อาวุโสสามคนของตระกูลฮั่วก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกส่งออกจากสนามรบ


 


“บัดซบ!” ผู้นำตระกูลฮั่วกำหมัดแน่น “ข้าหว่านล้อมให้ตัวตนระดับสูงของตระกูลเฉิงล้มล้างเฉิงซินซื่อแล้ว แต่ผู้ใดจะคิดว่านางจะต้องการต่อสู้ในเวลานี้ ผู้นำตระกูลไท่ก็ใจร้อนเกินไป เขารับคำท้าและตกลงสู่แผนการของนาง หือ?”


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้ใช้วิญญาณหญิงผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนตระกูลไท่ นางดูน่ากลัวมาก


 


นางต่อสู้อย่างกล้าหาญและอาละวาดในสนามรบอย่างไม่หยุดยั้ง


 


สามพี่น้องแซ่ซ่งต้องการหยุดนางแต่พวกเขากลับถูกส่งออกจากสนามรบโดยไม่สามารถทำสิ่งใด


 


ดวงตาของผู้นำตระกูลฮั่วเบิกกว้างขึ้น ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า “ตระกูลไท่มีบุคคลที่น่าทึ่งเช่นนี้อยู่ด้วย แม้ข้าจะออกไปต่อสู้ด้วยตนเองแต่ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”


 


ในช่วงเวลาาคับขัน เย่ฟานเข้าสู่สนามรบและยืนประจันหน้าผู้ใช้วิญญาณหญิงผู้นั้น “ท่านหญิง ขอทราบนามของท่านได้หรือไม่?”


 


ดวงตาของผู้ใช้วิญญาณหญิงส่องประกายราวกับสายฟ้าขณะที่นางประเมินเย่ฟาน การแสดงออกของนางเต็มไปด้วยความเข้มงวด นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ไท่รั่วหนาน!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1532 เย่ฟานปะทะไท่รั่วหนาน


แปลโดย iPAT  


 


“บึม บึม บึม”


 


เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่าไม้ตายถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่รู้จบสิ้น สองร่างปะทะกันอย่างรุนแรง


 


หนึ่งคือเย่ฟานที่มีโชค เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและเส้นทางแห่งแสง เขาได้รับคำแนะนำจากผู้อมตะตระกูลเฉิงและเป็นศิษย์ของผู้อมตะลั่วเว่ยหยินผู้ลึกลับ สิ่งสำคัญที่สุดของเขาก็คือการเผชิญหน้าโดยบังเอิญบนเส้นทางการบ่มเพาะของเขา


 


สำหรับไท่รั่วหนาน แม้นางจะเกิดในตระกูลไท่ แต่นางโชคไม่ดี นางเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็กขณะที่บิดาของนางตายเมื่อนางยังเป็นวัยรุ่น นางกลายเป็นหนึ่งในแปดนายน้อยของตระกูลไท่ นางทำงานอย่างหนักและพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะหลังจากได้รับคำแนะนำจากผู้อมตะตระกูลไท่ ไท่เมี่ยนเฉิน สุดท้ายนางกลายเป็นผู้สืบทอดมรดกที่แท้จริงหน้ากากเหล็ก


 


อัจฉิรยะทั้งสองต่อสู้กันและทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ผู้ใช้วิญญาณคนอื่นๆไม่สามารถเข้าไปในระยะการโจมตีของพวกเขาและทำได้เพียงหลบเลี่ยงออกไปเท่านั้น


 


ผู้ใช้วิญญาณของทั้งสามกองกำลังตกตะลึงเมื่อเห็นการต่อสู้ของพวกเขา


 


“คุณหนู นายน้อยเย่แข็งแกร่งมาก เหตุใดพวกเราถึงไม่รู้เรื่องนี้?” สาวใช้เสี่ยวตี้ถามเฉิงซินซื่อ


 


เฉิงซินซื่อไตร่ตรอง “นายน้อยเย่ต้องได้พบกับการเผชิญหน้าโดยบังเอิญบางอย่าง ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาก นี่เป็นสิ่งที่ดี แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็ไม่ธรรมดา นายน้อยเย่ต้องระวังให้มากกว่านี้”


 


เสี่ยวตี้หัวเราะเบาๆ “นายน้อยเย่มีความสามารถและหล่อเหล่า ทุกคนรู้ว่าเขาชอบคุณหนู คุณหนู หากเขารู้ว่าคุณหนูห่วงใยเขา เขาคงมีความสุขมาก”


 


เฉิงซินซื่อส่ายศีรษะ นางต้องการกล่าวบางสิ่งแต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา


 


เซี่ยวตี้เฝ้าสังเกตเฉินซินซื่ออยู่เสมอ นางเป็นคนรับใช้และเป็นคนสนิทของเฉินซินซื่อมานาน ดังนั้นแม้คนอื่นๆจะเรียกเฉินซินซื่อว่าผู้นำแต่เสี่ยวตี้ยังเรียกนางว่าคุณหนูเสมอ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของหญิงสาวทั้งสอง


 


เซี่ยวตี้เต็มไปด้วยความกังวล นางคิด ‘ดูเหมือนคุณหนูจะยังไม่สามารถลืมผู้ใช้วิญญาณปีศาจฟางหยวน เห้อ…ฟางหยวนพาพวกเรามาที่เมืองตระกูลเฉิง เขาเป็นคนที่คุณหนูให้ความสนใจ ข้าสงสัยนักว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด ข้าเกรงว่าเขาจะตายไปแล้ว เห้อ…หากเขาตายจริงๆ ข้าหวังว่าพวกเราจะได้เห็นศพของเขา ด้วยวิธี้นี้คุณหนูจะสามารถลืมเลือนเขาไปได้’


 


เสี่ยวตี้มีพรสวรรค์นภาที่สอง ตอนนี้นางกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณไปแล้ว นางไม่เคยติดต่อผู้อมตะ ดังนั้นนางจึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฟางหยวน นางยังคิดว่าฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณปีศาจ แม้เฉินซินซื่อจะได้เรียนรู้สถานการณ์ของฟางหยวนผ่านผู้อมตะของตระกูลเฉิง เฉิงชิงชิง แต่นางก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวตี้


 


“คนใหม่มาแทนคนเก่า ตอนนี้ข้าแก่แล้วจริงๆ” ผู้นำตระกูลฮั่วรู้สึกขมขื่นเมื่อเห็นการต่อสู้ระหว่างไท่รั่วหนานกับเย่ฟาน


 


ผู้นำตระกูลไท่ยิ่งตกใจกว่า เขาคิด ‘ข้าคิดว่าไท่รั่วหนานจะสามารถกวาดล้างอุปสรรคทั้งหมดและคว้าชัยชนะมาได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนผลลัพธ์ยังไม่สามารถตัดสิน ผู้ใดจะคิดว่าตระกูลเฉิงจะมีผู้เชี่ยวชาญซุกซ่อนไว้เช่นนี้!’


 


ในเวลาเดียวกันบนท้องฟ้าเหนือสนามรบ ผู้อมตะของภาคใต้สามคนกำลังเฝ้ามองการต่อสู้ของไท่รั่วหนานและเย่ฟานอยู่เช่นกัน


 


พวกเขามาจากตระกูลเฉิง ตระกูลฮั่ว ตระกูลไท่ ทั้งสามนั่งอยู่บนเมฆสีขาวและมีโต๊ะกลมอยู่ตรงหน้าพร้อมกับถ้วยชา


 


ผู้อมตะดื่มชาขณะที่ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ของตระกูลกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดโดยมีทุ่งหยกร้อนเป็นสิ่งเดิมพัน


 


ทุ่งหยกร้อนเป็นแหล่งทรัพยากรระดับสูงที่กองกำลังใหญ่ยังต้องให้ความสำคัญ หากพวกเขาได้รับมัน ตระกูลจะได้รับกำไรมหาศาล


 


แต่การเดิมพันโดยใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือไม่ใช่เรื่องง่าย


 


ลืมผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะไปได้เลย สำหรับกองกำลังฝ่ายธรรมะ พวกเขาต้องมองผลลัพธ์ในระยะยาว พวกเขามุ่งเน้นที่การเลี้ยงดูทายาท ดังเช่นตระกูลเฉิงที่สนับสนุนการต่อสู้ระหว่างทายาทรุ่นเยาว์เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด พวกเขายังนำผู้ใช้วิญญาณภายนอกมาต่อสู้และคัดเลือกผู้มีความสามารถเข้าสู่ตระกูลอีกด้วย สำหรับตระกูลไท่ พวกเขามีนายน้อยแปดคนที่มีผู้สนับสนุนของตนเอง มันคือการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์อมตะจากลูกหลานที่เป็นมนุษย์


 


พวกเขาจะปล่อยให้ทายาทต่อสู้กับกองกำลังอื่น จากนั้นพวกเขาจะกลายเป็นตัวแทนความสำเร็จในอนาคตของตระกูลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดที่พวกเขาคาดหวัง หากพวกเขาสูญเสียเมล็ดพันธุ์ดังกล่าว มันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออนาคตของตระกูล


 


แต่เรื่องนี้มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย


 


ประการแรก ตราบเท่าที่ยังมีผู้อมตะอยู่ในตระกูล รากฐานของพวกเขาจะไม่สั่นไหว ตระกูลจะไม่สั่นคลอน ตราบเท่าที่ผู้อมตะไม่ต่อสู้ด้วยตนเอง ทุกสิ่งสามารถเจรจาต่อรอง


 


ประการที่สอง มันเป็นการทดสอบของผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ ในการต่อสู้ คนที่เหลือรอดจะมีประสบการณ์มากขึ้น อัจฉริยะที่ตายไปแล้วไม่ถือเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง ฝ่ายธรรมะหล่อเลี้ยงบุตรหลานของพวกเขามาอย่างยาวนาน แม้พวกเขาจะสูญเสียเมล็ดพันธุ์อมตะไปบ้าง มันก็ไม่ถือเป็นสิ่งใด


 


ในการต่อสู้ของสามฝ่ายจะต้องมีการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกและเชิงลบ สิ่งเหล่านี้จะเชื่อมต่อกองกำลังของพวกเขาเข้าด้วยกัน เมื่อเมล็ดพันธุ์เติบโตขึ้นเป็นผู้อมตะในอนาคต พวกเขาอาจมีศัตรูหรือมิตรจากกองกำลังอื่นที่สามารถพึ่งพาช่วยเหลือ


 


นี่ไม่ใช่เรื่องผิวเผิน มันเป็นแผนการของผู้อมตะที่ใช้ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์เป็นตัวหมากเบี้ย


 


ตอนนี้ผู้อมตะทั้งสามกำลังให้ความสนใจการต่อสู้ของไท่รั่วหนานและเย่ฟาน ทั้งสามคนรู้ดีว่าผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้คือกุญแจสำคัญในการตัดสินว่าฝ่ายใดจะเป็นเจ้าของทุ่งหยกร้อนแห่งนี้


 


เฉิงชิงชิงนั่งอยู่ด้านซ้ายด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับท่านไท่เมี่ยนเฉิน ท่านพบผู้สืบทอดที่เหมาะสมกับมรดกที่แท้จริงหน้ากากเหล็กของท่านแล้ว”


 


ตระกูลไท่มีมรดกที่แท้จริงหน้ากากเหล็ก ผู้อมตะทั้งหมดของภาคใต้รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี มรดกที่แท้จริงนี้มีข้อกำหนดที่เข้มงวด เป็นเรื่องยากที่จะหาผู้รับสืบทอดที่เหมาะสม


 


ไท่เมี่ยนเฉินนั่งอยู่ตรงกลาง


 


เขาสวมชุดเกราะและหน้ากากเหล็ก ผู้ที่ฝึกฝนมรดกที่แท้จริงนี้ต้องมีหัวใจแห่งความยุติธรรม พวกเขามักเป็นคนที่มีทักษะในด้านการตรวจสอบที่ยอดเยี่ยมที่สุดของภาคใต้เสมอ


 


เดิมทีพวกเขาเลือกบิดาของไท่รั่วหนานเป็นผู้สืบทอด แต่เขาเสียชีวิตบนภูเขาชิงเหมา ต่อมาพวกเขาก็พบว่าไท่รั่วหนานมีคุณสมบัติเช่นกัน ดังนั้นนางจึงกลายเป็นผู้สืบทอดคนใหม่


 


ครั้งนี้ตระกูลไท่ส่งไท่เมี่ยนเฉินมาที่นี่ขณะที่เขานำไท่รั่วหนานมาด้วยเพื่อใช้โอกาสนี้ในการฝึกฝนนาง


 


ท่ามกลางผู้อมตะทั้งสาม ผู้อมตะตระกูลฮั่วและตระกูลเฉิงต่างเป็นผู้อมตะระดับหก มีไท่เมี่ยนเฉินเพียงผู้เดียวที่เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด


 


ไท่เมี่ยนเฉินพยักหน้าเล็กน้อย “เทพธิดาตระกูลเฉิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว นี่คือผู้สืบทอดมรดกที่แท้จริงของข้า แต่นางยังเด็ก นางยังต้องฝึกฝนอีกมาก”


 


ผู้อมตะฮั่วเหยายังนิ่งเงียบ ตอนนี้เขากำลังเฝ้ามองสนามรบ แม้ตระกูลของเขาจะอ่อนแอที่สุดในเวลานี้ แต่เขายังไม่ยินดียอมรับความพ่ายแพ้ ตราบเท่าที่ตระกูลไท่และตระกูลเฉิงประสบความสูญเสียพร้อมกัน ผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังไม่สามารถตัดสิน


 


ฝุ่นควันลอยคละคลุ้งขึ้นสู่อากาศ เย่ฟานถอยหลังกลับและสูดหายใจลึก


 


ไท่รั่วหนานกระโจนเข้าไปด้านข้างเย่ฟานและส่งกรงเล็บอินทรีย์ออกไป


 


เย่ฟานพลิกตัวและพ่นลูกศรสีแดงสดไปที่ใบหน้าของไท่รั่วหนาน


 


ไท่รั่วหนานไม่ได้ตื่นตระหนก ดวงตาของนางส่องประกายขึ้นขณะที่นางเอนศีรษะไปด้านหลังเพื่อหลบเลี่ยงลูกศรสีแดง


 


แต่เย่ฟานยังฉวยโอกาสผลักฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยความเร็วสูง


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1533 ทะเลสาบหัวใจน้ำแข็ง


แปลโดย iPAT  


 


ไท่รั่วหนานก่นเสียงเย็นขณะที่นางยกกำปั้นขึ้นรับการโจมตี


 


“ปัง!”


 


กำปั้นปะทะฝ่ามือและปลดปล่อยแสงสีขาวออกมา


 


พื้นดินแตกร้าวจากแรงกระแทก


 


ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงก่อนจะถอยหลังกลับ หลังจากล่าถอยออกไปสิบก้าว พวกเขาก็หยุดและมองหน้ากับขณะที่หอบหายใจอย่างหนักหน่วง


 


ในเวลานี้ทั้งสองแสดงออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง พวกเขาไม่กล้าประมาท


 


“น่าทึ่ง สองคนนี้มีพลังการต่อสู้ที่เหนือกว่าระดับของพวกเขา ทั้งสองเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอด!” เฉิงซินซื่อถอนหายใจ ในปัจจุบัน นางรู้บางสิ่งเกี่ยวกับโลกของผู้อมตะจากเฉิงชิงชิง


 


เย่ฟานมองไปรอบๆก่อนกล่าว “ไท่รั่วหนาน หากเจ้าสามารถรับมือกระบวนท่าต่อไปของข้า ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้!”


 


ไท่รั่วหนานพยักหน้า “ตกลง”


 


ผู้ใช้วิญญาณมีพลังวิญญาณที่จำกัด พวกเขาไม่สามารถต่อสู้เป็นเวลานาน แต่ในการต่อสู้ที่รุนแรงก่อนหน้านี้มันทำให้พวกเขาสูญเสียพลังวิญญาณไปมากแล้ว


 


ดังนั้นไท่รั่วหนานจึงเห็นด้วยกับความคิดของเย่ฟานและเริ่มการตัดสินครั้งสุดท้าย


 


เย่ฟานสูดหายใจลึกและเริ่มกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายของเขา


 


ท่าไม้ตายวิหคแสง!


 


“จิ๊บ จิ๊บ”


 


เสียงนกร้องดังขึ้น


 


แสงสีรุ้งควบรวมอยู่ที่ฝ่ามือของเขา


 


มันส่งเสียงนกร้องออกมาก่อนที่จะกลายเป็นวิหคแสงตัวเล็กๆ


 


กลิ่นอายที่ทรงพลังของวิหคแสงทำให้ไท่รั่วหนานแสดงออกอย่างเคร่งขรึม นางปลดปล่อยควันสีดำออกมาและควบรวมเป็นหน้ากากเหล็กสีดำอยู่บนใบหน้าของนาง


 


ท่าไม้ตายหน้ากากเหล็ก!


 


มันเป็นท่าไม้ตายจากมรดกที่แท้จริงหน้ากากเหล็ก หากใช้วิญญาณอมตะเป็นแกนกลาง มันจะกลายเป็นท่าไม้ตายอมตะ


 


“ไป” เย่ฟานตะโกนและปล่อยวิหคแสงบินขึ้นสู่อากาศ


 


วิหคแสงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง


 


“เข้ามา!” ไท่รั่วหนานกรีดร้องและพุ่งเข้าเผชิญหน้าโดยตรง


 


ในเวลาต่อมานางก็ชนกับวิหคแสง


 


ผู้ใช้วิญญาณของตระกูลไท่อ้าปากค้างเมื่อเห็นไท่รั่วหนานใช้ร่างกายรับการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเย่ฟาน


 


บนก้อนเมฆ ไท่เมี่ยนเฉินยังสงบนิ่ง เขารู้จักพลังอำนาจของท่าไม้ตายหน้ากากเหล็กเป็นอย่างดีและมั่นใจในพลังป้องกันของมัน


 


“จิ๊บ จิ๊บ”


 


วิหคแสงพุ่งชนไท่รั่วหนานและกลายเป็นชั้นแสงห่อหุ้มร่างของไท่รั่วหนานเอาไว้ขณะเดียวกันควันสีดำจากร่างกายของนางก็พยายามกัดกร่อนชั้นแสงดังกล่าว


 


ทั้งสองตกอยู่ในสภาวะชะงักงันและไม่สามารถตัดสินผู้ชนะ


 


“เมล็ดพันธุ์อมตะของตระกูลเฉิงค่อนข้างดีเช่นกัน” ไท่เมี่ยนเฉินยกย่อง


 


เฉิงชิงชิงยิ้ม “น่าเสียดาย เขาเป็นเมล็ดพันธุ์ภายนอก”


 


ไท่เมี่ยนเฉินพยักหน้า “ท่าไม้ตายของเขาไม่ธรรมดา เขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและทำให้มันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้”


 


ฮั่วเหยาถอนหายใจด้วยความอิจฉา “เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ล้วนเป็นเสาหลักของตระกูลในอนาคต”


 


เฉิงชิงชิงรู้สึกสงสัยมาก นางเคยให้คำแนะนำแก่เย่ฟานมาก่อน แต่เขาไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านั้นออกมาในตอนนี้


 


‘ตระกูลเฉิงของข้ามีระบบสนามประลอง ดังนั้นไท่เมี่ยนเฉินและฮั่วเหยาจึงคิดว่าเขาเป็นเมล็ดพันธุ์ภายนอกที่เราคัดเลือกมา แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่กรณีนั้น’


 


‘เย่ฟานสามารถแสดงความสามารถเช่นนี้ต้องเป็นเพราะการเผชิญหน้าโดยบังเอิญ แน่นอนว่าเขาสามารถสร้างท่าไม้ตายเป็นของตนเอง พรสวรรค์ดังกล่าวไม่สามารถประเมินต่ำ เขามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิงจริงๆ’


 


‘หากเราสามารถตรวจสอบต้นกำเนิดของเขาและพบว่ามันไม่มีปัญหา เราจะจ้างเขา ถูกต้อง ดูเหมือนเขาจะชอบเฉิงซินซื่อ เราสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เช่นกัน หากเขาสามารถกลายเป็นผู้อมตะ บางทีเราอาจให้เขาแต่งงานกับเฉินซินซื่อ นี่เป็นเรื่องในอนาคต’


 


เฉิงชิงชิงคิดและวางแผนการของนาง ในขณะเดียวกันผู้อมตะลึกลับอีกสองคนกำลังวางแผนอยู่ที่ทะเลสาบที่อยู่ใกล้ๆ


 


ผู้อมตะทั้งสองปกปิดร่องรอยของพวกเขาเอาไว้ พวกเขาเตรียมตัวมานานแล้ว


 


หนึ่งในสองเป็นชายวัยเยาว์นามว่าอี้อวี๋ เขาแสดงออกด้วยความกังวล “การเคลื่อนไหวของพวกเราจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อมตะทั้งสามงั้นหรือ?”


 


“ไม่” อี้หนานเหมินตอบด้วยความมั่นใจ “หากไม่ใช่เพราะท่าไม้ตายสายตรวจสอบเฉพาะตัวของข้า ข้าจะไม่พบสัตว์อสูรบรรพกาลที่อยู่ใต้ทุ่งหยกร้อนแห่งนี้! ผู้อมตะของตระกูอี้มีทักษะบนเส้นทางแห่งวารี มันยากที่ผู้อมตะทั้งสามจะค้นพบ”


 


“และตอนนี้เราก็ไม่ได้ลงมือโดยตรง เราเพียงหลอกล่อสัตว์อสูรบรรพกาลที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นและอาละวาดเท่านั้น”


 


อี้หนานเหมินหยุดก่อนกล่าวต่อ “แน่นอนว่าผู้อมตะมีวิธีการมากมาย ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ แต่กระทั่งพวกเขาจะค้นพบและเปิดเผยพวกเรา พวกเราก็สามารถอธิบายตัวเอง ตระกูลอี้เป็นกองกำลังใหญ่เช่นกัน พวกเขาอาจสงสัย แต่พวกเขาไม่สามารถต่อสู้เป็นตายกับพวกเรา”


 


“หากพวกเขาไม่พบสิ่งใดเลย ฮ่าฮ่า เมื่อสัตว์อสูรบรรพกาลออกอาละวาด พวกเขาจะออกมาปราบปรามมันอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าสามารถลงมือและฆ่าหนึ่งในนั้นเพื่อทำให้ทั้งสามตระกูลสงสัยกันเองและเริ่มต่อสู้!”


 


อี้หนานเหมินเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดขณะที่อี้อวี๋เป็นผู้อมตะระดับหก ตามแผนการของพวกเขา อี้อวี๋จะเป็นผู้ลงมือลอบสังหาร นั่นหมายความว่าเขามีวิธีการพิเศษบางอย่าง


 


แต่อี้อวี๋ยังกังวล “ข้ายังไม่คุ้นเคยกับท่าไม้ตายนี้ หากมันล้มเหลวจะเกิดสิ่งใดขึ้น? หากพวกเขารู้ตัวขณะที่ข้ากำลังใช้งานมัน?”


 


อี้หนานเหมินแสดงออกอย่างเคร่งขรึม “นั่นเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากพวกเขาค้นพบ ข้าจะใช้ชีวิตของข้าเพื่อขัดขวางพวกเขาและปล่อยให้เจ้าหลบหนีไป ข้าจะไม่ยอมรับว่าข้าเป็นผู้อมตะจากตระกูลอี้แม้ข้าจะต้องตาย เจ้าก็ต้องทำเช่นเดียวกัน!”


 


“รับทราบ!” อี้อวี๋ไม่กังวลอีกต่อไป ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น


 


อี้หนานเหมินสูดหายใจลึก “ข้าจะเริ่มแล้ว”


 


เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะโดยปกปิดกลิ่นอายเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ นี่ทำให้อี้อวี๋มั่นใจมากขึ้น


 


ในเวลาต่อมาระลอกคลื่นน้ำก็ปรากฏขึ้นที่ทะเลสาบใต้พิภพ สัตว์อสูรที่หลับใหลอยู่ตื่นขึ้นทันที


 


เย่ฟานและไท่รั่วหนานยังอยู่ในการต่อสู้ตัดสินขณะที่พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือน


 


“ครืน ครืน…”


 


น้ำพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินและเริ่มทำลายค่ายกลวิญญาณของตระกูลเฉิง


 


เสาน้ำขนาดใหญ่หลายสิบต้นสูงหลายสิบเมตรปรากฎขึ้นในทุ่งหยกร้อนโดยไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)