พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1526-1534

บทที่ 1526 ราชันสวรรค์เดือดดาล

 

“ข่าวน่าจะไม่ผิดขอรับ!” โกวเยว่ตอบ


“ประมุขชิงคิดจะทำอะไรกันแน่?” ก่วงลิ่งกงเดือดดาลทันที


โกวเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงจะไม่รู้เรื่องนี้ ข้าน้อยสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ?”


“หนิวโหย่วเต๋อ?” ก่วงลิ่งกงถามอย่างโมโห “ทำไมเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว?”


โกวเยว่ตอบว่า “ข้าก็เพิ่งสงสัยตอนที่ถามรายละเอียดจากเบื้องล่าง ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับกำลังพลทั้งหมดของฉู่จื่อซาน พวกเขาต้องการจะไปบังคับแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้หญิงที่มีข่าวชู้สาวกับหนิวโหย่วเต๋อตอนรับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน นางชื่อว่าอวิ๋นจือชิว”


ไม่ว่าใครก็ไม่ใช่เทพที่สมบูรณ์แบบไร้จุดบกพร่อง ยิ่งเป็นคนตำแหน่งสูงอำนาจมาก ก็ยิ่งทำความผิดพลาดใหญ่หลวงได้ง่าย ข้างกายยิ่งจำเป็นต้องมีคนคอยเกลี้ยกล่อมให้คนนั้นระงับโทสะ


หลังจากก่วงลิ่งกงใจเย็นลงแล้ว ก็ถามอย่างสงสัยว่า “ผู้หญิงที่มีข่าวชู้สาวกับหนิวโหย่วเต๋อ ฉู่จื่อซานดึงดันจะบังคับผู้หญิงคนนี้มาแต่งงานด้วยให้ได้ ฉู่จื่อซานโดนกองทัพองครักษ์ล้อมโจมตี หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของกองทัพองครักษ์…” หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็ถามอีกว่า “ฉู่จื่อซานคนนี้เป็นหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงเหรอ?”


โกวเยว่รู้ว่าในใจเขามีข้อมูลอยู่แล้ว ตอบว่า “ถูกต้องขอรับ เป็นคนที่หน่วยองครักษ์ขวายัดเข้ามาใสน่านฟ้าระกาติง”


“หึหึ!” ก่วงลิ่งกงพลันแสยะยิ้มออกมา “น่าสนใจนะ ไม่ง่ายเลยกว่าประมุขชิงจะหาข้ออ้างยัดคนเข้ามาได้ ข้ากำลังรู้สึกว่าแนวโน้มสถานการณ์ยังไม่ผ่านไป ไม่สะดวกจะทำสงครามอีก อดทนไว้ชั่วคราว แต่ดูเจ้าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้สิ ช่วยข้าแก้ไขปัญหาก่อนแล้วหนึ่งเรื่อง สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะถูกลิขิตให้มาเป็นลูกเขยข้าจริงๆ”


“หลังจากประมุขชิงรู้แล้วจะต้องเดือดดาลแน่นอน เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีสถานการณ์ที่น่ากังวลแล้ว” โกวเยว่กล่าว


ก่วงลิ่งกงตาแววตาวูบไหว ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อ แต่ถามกลับว่า  “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตอนนี้รู้ที่อยู่ของหนิวโหย่วเต๋อแล้วเหรอ?”


โกวเยว่อึ้งไปชั่วขระ หันกลับไปมองสองแม่ลูกที่ยืนอยู่ตรงตำหนักไกลๆ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “นายท่านหมายความว่า จะสร้างสถานการณ์ให้คุณหนูกับหนิวโหย่วเต๋อพบกันเหรอ?”


ก่วงลิ่งกงตอบว่า “คดีเกิดในอาณาเขตของข้า ถ้าประมุขชิงจะลงโทษ ก็ไม่มีทางเลี่ยงได้หากข้าจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซง รีบกำหนดเรื่องของพวกเขาให้เสร็จสิ้นไว้ๆ เถอะ”


โกวเยว่เข้าใจแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่หนิวโหย่วเต๋อตกทุกข์ได้ยาก อำนาจชี้เป็นชี้ตายส่วนหนึ่งของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในมือท่านอ๋อง เป็นโอกาสดีในการกำจัดคู่แข่งคนอื่นเช่นกัน จึงพยักหน้าทันที “บ่าวจะไปจัดดการเดี๋ยวนี้!”


ก่วงลิ่งกงหันกลับไปมองสองแม่ลูก แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ก้าวเดินออกไปอย่างมั่นคง


หลังจากโค้งตัวส่งเขาเดินออกไปแล้ว โกวเยว่ก็ยืนครุ่นคิดอยู่กับที่เงียบๆ เสร็จแล้วถึงได้หันตัวเดินเข้าไปในประตูตำหนักใหญ่


เม่ยเหนียงกำลังเคลือบแคลงที่นายบ่าวคู่นั้นผลัดกันมองมาที่ตน ตอนนี้พอเห็นโกวเยว่กลับมาแล้ว นางก็ก้าวออกจากธรณีประตู แล้วถามพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเองว่า “พ่อบ้านมีเรื่องอะไรเหรอ?”


โกวเยว่คำนับอย่างเคารพ แล้วบอกว่า “หวังเฟย ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวสักหน่อยขอรับ”


เม่ยเหนียงยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้น แล้วนำโกวเยว่กลับเข้ามาในล้านบ้าน ส่วนโกวเยว่ที่เดินตามมาก็เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง


เม่ยเหนียงฟังจบแล้วตกใจ “สังหารกำลังพลเกือบหนึ่งหมื่นของท่านอ๋องเหรอ? พ่อบ้าน เจ้าแน่ใจนะว่าหนิวโหย่วเต๋อทำ?”


“เป็นไปได้เก้าในสิบขอรับ” โกวเยว่พยักหน้า


“เจ้าเวรนี่ทำไมใจกล้าคับฟ้าขนาดนี้?” เม่ยเหนียงถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก


โกวเยว่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เขาไม่ได้ทำเรื่องพรรค์นี้เป็นครั้งแรกเสียหน่อย ล้างเลือดร้านค้าตลาดสวรรค์ก็ทำมาแล้วสองครั้ง ขนาดหลานสาวอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังจับมัดไว้บนเสาธงตั้งหลายวัน บวกกับการตายของอิ๋งเหย้าหลานชายอ๋องสวรรค์อิ๋งและคำพูดบ้าระห่ำที่อุทยานหลวง ก็ถือว่าตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งไปแล้วสามรอบ นี่คือจอมก่อเรื่องที่กล้าสร้างความวุ่นวายในพิธีรับสนมของฝ่าบาท การที่เขาทำเรื่องแบบนี้ได้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไรขอรับ”


พอพูดสรุปมาแบบนี้ เม่ยเหนียงก็สูดหายใจอย่างตกตะลึง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกันว่า “พ่อบ้าน ทำไมความเจ้าอารมณ์ของหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ ขนาดข้าได้ยินแล้วยังนึกกลัวตามเลยล่ะ ไม่ไว้หน้าอ๋องสวรรค์อิ๋ง ไม่ไว้หน้าฝ่าบาท มีหรือที่จะไว้หน้าท่านอ๋อง เดี๋ยวต่อไปถ้าให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับเขา จะไม่โดนตบตีวันเว้นวันหรอกเหรอ? แล้วถึงตอนนั้นหน้าของแม่ยายอย่างข้าจะมีประโยชน์เหรอ?”


โกวเยว่พูดไม่ออก นี่คิดเชื่อมโยงไปถึงไหนแล้ว เขาเองก็เริ่มพูดอะไรดีๆ เกี่ยวกับเหมียวอี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเช่นกัน “หวังเฟยคิดมากไปแล้ว เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ที่ดื้อรั้นเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก่อเรื่องไว้ตั้งเยอะแล้วทำไมยังรอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้ แยกแยะหนักเบาให้ชัดเจนดีกว่า ที่จริงมีหลายเรื่องที่เขาโดนกดดันให้โต้ตอบเท่านั้นเอง สองครั้งที่ล้างเลือดตลาดสวรรค์ มีครั้งไหนบ้างที่ไม่โดนพ่อค้าอาศัยภูมิหลังมารังแกกดดันจนเขาต้องลงดาบ? ตอนหลานชายอ๋องสวรรค์อิ๋งตาย ก็เป็นตอนที่เขาต้องทำตามคำสั่งเจ้านาย ตอนที่จับหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งแขวนบนเสาธง ก็เป็นเพราะตอนนั้นจ้านหรูอี้ตามหาเรื่องเขา ส่วนตอนที่ก่อเรื่องในพิธีรับสนม ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเขาเป็นคนให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร ถ้าเป็นแค่คนต่ำต้อยที่รักตัวกลัวตาย  เขาจะกล่าวคำพูดพวกนั้นออกมาได้ยังไง? หวังเฟย พวกเรายังไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีอสุราอัคนีหนุนหลัง แค่พูดถึงตัวเขาเองก็ถือว่าใช้คำว่า  ‘ทั้งหล้าหาญและมีแผนการ’ ได้แล้ว


คาดว่าท่านคงเคยได้ยินเรื่อง ‘ร้านขายของชำซื่อตรง’หวังเฟย นั่นก็คือสิ่งที่เขาปลุกปั้นมาเองกับมือตั้งแต่ตอนยังไม่เข้าตำหนักสวรรค์ ตอนนี้นับว่าเป็นธุรกิจแห่งใต้หล้าได้แล้ว ตอนอยู่ตลาดสวรรค์ก็งัดข้อกับพ่อค้าที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่มากมาย จัดการพ่อค้าพวกนั้นจนยอมซูฮก มีผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่ไหนในใต้หล้าที่ทำได้แบบเขาบ้าง? ความกล้าหาญของเขาก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทำศึกเลือดกับกลุ่มวีรบุรุษตอนทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต ได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ให้เป็นอันดับหนึ่ง ตอนทดสอบที่แดนอเวจีก็บุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ราวกับไปอยู่ในจุดที่ไร้คน เยาะเย้ยทัพใหญ่หนึ่งล้านว่าเป็นหนูต่ำต้อย เพราะแบบนี้ชื่อเสียงจึงสะท้านใต้หล้า!


เรื่องที่ตลาดผีกับแดนดึกดำบรรพ์อะไรนั่นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนแรกที่ไม่มีใครรู้ถึงภูมิหลังของเขา เขาก็อาศัยผลงานการรบของตัวเองไต่เต้าขึ้นมาถึงทำแหน่งแม่ทัพภาคได้ภายใต้เวลาสั้นๆ ไม่กี่พันปี ความเร็วแบบนี้ ลูกหลานขุนนางส่วนใหญ่ทำได้หรอก ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนี วรยุทธ์ก้าวหน้าเร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไป ตอนนี้เขาอยู่ในระดับแม่ทัพภาคแล้ว อาศัยความก้าวหน้าด้านวรยุทธ์ของเขาบวกกับความกล้าหาญและสติปัญญา ห่างแค่อีกไม่กี่ก้าวก็จะได้เป็นท่านโหวที่เข้าประชุมในราชสำนักได้แล้ว วันหลังหากได้รับความช่วยเหลือจากท่านอ๋อง การได้เป็นท่านโหวที่กุมอำนาจทางทหารมหาศาลก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว มีคุณธรรมน้ำมิตรขนาดนี้ มีทั้งความกล้าหาญและสติปัญญาขนาดนี้ จะมาระบายความโกรธกับเมียในบ้านได้ยังไง การที่ท่านอ๋องชอบเขาและจะมอบลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนให้แต่งงานกับเขา ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดพลาดอยู่แล้ว!”


วิจารณ์ไปยาวมาก เม่ยเหนียงฟังจนรู้สึกฮึกเหิม สายตาเป็นประกาย กัดริมฝีปากเบาๆ สงสัยนิดหน่อยว่าว่าที่ลูกเขยคนนี้จะสมบูรณ์แบบเกินไปรึเปล่า ใจจริงรู้สึกว่าพลาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อไปจะหาลูกเขยดีๆ แบบนี้ได้จากที่ไหน แต่พอลองคิดอีกมุม ตรงหว่างคิ้วก็ฉายแววกลัดกลุ้ม “เขามีคุณธรรมน้ำมิตรใช้ได้เลย แต่อวิ๋นจือชิวนั่นยังไงกันแน่? ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยอมก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เพื่อแม่หม้ายคนเดียว คุณธรรมน้ำมิตรนี้ถ้าเอาไปใช้กับแม่หม้ายนั่นหมด เขายังจะชอบเม่ยเอ๋อร์ได้อีกเหรอ?”


โกวเยว่พบว่าทำไมสื่อสารกับผู้หญิงคนนี้ยากจัง บนโลกนี้จะมีเรื่องที่สมบูรณ์แบบเต็มร้อยให้ลูกสาวเจ้าได้ไปคนเดียวเหรอ? ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องได้อย่างเสียอย่างทั้งนั้น มีเรื่องมากมายที่แม้แต่ท่านอ๋องก็ยังต้องสละชีวิตเลย ขนาดประมุขชิงที่สูงส่งเป็นราชันสวรรค์ก็ยังต้องประนีประนอมบ่อยๆ นี่เจ้า…


คำพูดบางอย่างก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ โกวเยว่ยังยิ้มบางๆ พร้อมโน้มน้าวว่า “สาเหตุที่ท่านอ๋องให้บ่าวรีบจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ก็เพราะตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก จุดอ่อนของเขาถูกบีบอยู่ในมือท่านอ๋องไม่ใช่หรือ? ขนาดหวังเฟยยังบอกเลยว่านั่นเป็นเพียงแม่หม้าย แม่หม้ายสำคัญกว่าหรือว่าลูกสาวท่านอ๋องสำคัญกว่าล่ะ เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่มิใช่หรือ? แล้วอีกอย่าง อาศัยความงามของคุณหนู ทั้งยังมีการอบรมสั่งสอนจากหวังเฟย ยังกลัวว่าจะผูกมัดหัวใจหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้อีกเหรอ?”


คำพูดนี้ทำให้ในดวงตาเม่ยเหนียงฉายแววเชื่อมั่นขึ้นมาบ้าง นางมีความรู้ว่าจะรับมือกับผู้ชายอย่างไร ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้กลายเป็นหวังเฟยหรอก เมื่อมีตนคอยสั่งสอนอบรมอยู่เบื้องหลัง อนาคตของลูกสาวก็ไม่มีอะไรน่ากังวลเลยจริงๆ


หลังจากนางพยักหน้า จู่ๆ ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ข้าก็ได้ยินชื่อมานานแล้วเหมือนกัน เอาอย่างนี้ดีกว่า ครั้งนี้ข้าจะไปดูตัวเป็นเพื่อเม่ยเอ๋อร์” เวลาแม่ยายใจร้อนอยากจะเจอลูกเขยก็มีท่าทีเหมือนกันหมด


“…” โกวเยว่อึ้งทันที แล้วห้ามอย่างสุภาพว่า “หวังเฟย เกรงว่าทำแบบนี้จะไม่เหมาะสมขอรับ สถานที่ที่จะไปครั้งนี้วุ่นวายมาก ท่านมีฐานะสูงส่ง ไปที่นั่นเกรงว่าจะทำให้เบื้องล่างตระหนกลนลาน หากท่านอ๋องรู้เข้าก็เกรงว่าจะไม่พอใจ”


เม่ยเหนียงมองเขาพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ข้าว่าพ่อบ้านต้องมีวิธีโน้มน้าวท่านอ๋องแน่นอน ใช่มั้ยล่ะ?”


“เอ่อ…” พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว โกวเยว่ที่อยู่ในฐานะลูกน้องจะยังเถียงอะไรได้อีก? เขาจะดันทุรังปฏิเสธตรงๆ ได้เหรอ?


ก็ช่วยไม่ได้ โกวเยว่ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อก่วงลิ่งกงต่อหน้านาง หลังจากคุยกันสักพักก็เก็บระฆังดารา ก่อนจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านอ๋องบอกแล้ว ว่าท่านจะไปก็ไปได้ แต่ห้ามเปิดเผยตัวตนขอรับ”


เม่ยเหนียงใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที “การเดินทางครั้งนี้ให้พ่อบ้านตัดสินใจทุกอย่างิหวังเฟยแค่ทำตามก็พอแล้ว”


โกวเยว่กล่าวเสียงเบาว่า “หวังเฟยได้โปรดบอกคุณหนูสักหน่อย หลังจากเจอหนิวโหย่วเต๋อแล้วก็พยายามอย่ายั่วให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี”


เม่ยเหนียงเข้าใจความหมายที่เขาสื่อแล้ว ก็แค่เก็บทรงคุณหนูเจ้าอารมณ์แล้วแสร้งทำตัวเป็นผู้หญิงแสนดีเอาใจผู้ชายเอง เรื่องนี้จัดการง่ายมาก…


วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร


“พวกเศษสวะ! เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าใครทำ แบบนี้ข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำประโยชน์อะไร?”


ในตำหนัก ประมุขชิงเดินออกมาจากหลังโต๊ะยาวอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ชี้อู๋ฉวี่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวา ซ่างกวนชิงผู้การใหญ่วังสวรรค์ ทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียน ทูตตรวจการขวาเกาก้วน แต่ละคนโดนด่ายับเยิน


เรื่องเกิดในสถานที่ลับตาคน ไม่มีหูตาของตำหนักสวรรค์พบเห็น ตอนนี้ได้รับรายงานขึ้นมาทีละขั้นจนถึงที่นี่ ประมุขชิงกลับกลายเป็นคนที่รู้เรื่องค่อนข้างช้าท่ามกลางบุคคลระดับสูง พอได้ยินว่ามีกองทัพองครักษ์หลายหมื่นล้อมโจมตีกำลังพลท้องถิ่น เขาก็แปลกใจมาก กองทัพองครักษ์เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ผ่านความเห็นชอบจากตน แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันล่ะ? หลังจากเรียกคนมาถามอย่างต่อเนื่องกัน ไม่น่าเชื่อว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้วจะไม่มีใครรู้เลยสักคน นี่ต่างหากที่ร้ายแรงถึงตายมากที่สุด ประมุขชิงโมโหเดือดดาลมาก!


หลังจากโดนด่าเสร็จ อู๋ฉวี่ที่รีบถือระฆังดาราติดต่อเบื้องล่างเพื่อยืนยันเรื่องราวก็กุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ฝ่าบาท ทางหน่วยองครักษ์ขวาตรวจสอบความจริงหมดแล้ว กำลังพลทุกคนล้วนอยู่ในการควบคุม ไม่มีใครอยู่ที่น่านฟ้าระกาติงขอรับ” สีหน้าเขาก็ย่ำแย่เช่นกัน เพราะคนของน่านฟ้าระกาติงเป็นคนที่ส่งออกไปจากหน่วยองครักษ์ขวา ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนของกองทัพองครักษ์กำจัดแล้ว ล้อเล่นอะไรกัน?


บรรดาคนที่โดนด่าต่างก็ถือระฆังดาราติดต่อลูกน้องเพื่อยืนยันสถานการณ์


“ถ้าไม่ใช่หน่วยองครักษ์ขวาทำก็เป็นหน่วยองครักษ์ซ้ายทำ โพ่จวินล่ะ?” หลังจากได้ยินแบบนั้น ประมุขชิงก็กวาดสายตามองคนที่เหลือแล้วถามอย่างโมโหว่า “โพ่จวินทำไมยังไม่มา?”


“ผู้บัญชาการโพ่จวินหน่วยองครักษ์ซ้ายขอเข้าพบขอรับ!” จู่ๆ ด้านนอกก็มีทหารยามตะโกนรายงานเสียงดัง


ประมุขชิงหันขวับ แล้วตะคอกว่า “ไสหัวเข้ามา!”


ผ่านไปไม่นาน โพ่จวินที่สีหน้าเคร่งขรึมก็เดินเข้ามาทำความเคารพ ประมุขชิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามแสกหน้าเลยว่า “คนของเจ้าทำรึเปล่า?”


โพ่จวินตอบว่า “เมื่อได้รับแจ้งจากฝ่าบาท ข้าน้อยก็รีบถ่ายทอดคำสั่งไปข้างล่างทันที ให้พวกลูกน้องรีบตรวจสอบความจริง เชื่อว่าไม่นานก็จะได้ข่าวขอรับ” ภาระหน้าที่ไม่เหมือนกัน กองทัพองครักษ์ถูกประมุขชิงควบคุม มีพลังรบแข็งแกร่งที่สุด แต่กลับมีช่องทางข่าวสารอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาหน่วยงานทั้งหมดของตำหนักสวรรค์ หรือพูดได้อีกอย่างว่า โพ่จวินเป็นบุคคลระดับสูงคนสุดท้ายของตำหนักสวรรค์ที่รู้ข่าวนี้ ถ้าไม่ใช่ประมุขชิงเอ่ยถาม ก็เกรงว่าเขาคงจะยังไม่รู้ ส่วนสาเหตุที่อู๋ฉวี่รู้ก่อน ก็เพราะเกิดเรื่องนี้กับลูกน้องของเขา



 

 

 


บทที่ 1527 ได้เป้าหมายแล้ว

 

ฝั่งอู๋ฉวี่ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่ลูกน้องตัวเองทำ ฝั่งโพ่จวินช้าไปหน่อยจึงยังต้องรอคำตอบ


ประมุขชิงทำได้เพียงเฝ้ารอด้วยสีหน้าเย็นเยียบ เขายังไม่ถึงขั้นบังคับยัดข้อหานี้ให้โพ่จวินทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความจริง ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยองครักษ์ซ้ายของโพ่จวินขึ้นมา จะไม่ทำให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะหรอกหรือ


เขาเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักใหญ่ ในใจค่อนข้างรำคาญใจ กองทัพองครักษ์ลงมือกับอำนาจท้องถิ่นก็ไม่เป็นหรอก ถ้าสามารถทำให้อำนาจท้องถิ่นอยู่ในระเบียบได้ เขาก็อยากจะให้กองทัพองครักษ์ทำแบบนี้ใจจะขาด แต่ประเด็นสำคัญคือเนื้อไม่ได้กินทั้งยังมีคาวเลือดติดตัวอีก กำลังจะประชุมราชสำนักอยู่แล้ว เขาจินตนาการถึงสีหน้าท่าทางของพวกอ๋องสวรรค์ยามพูดวินิจฉัยความผิดความถูกแล้ว เส้นบางอย่างทุกคนก็ขีดเอาไว้ชัดเจนแล้ว ทางนั้นไม่ถือวิสาสะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงฝั่งกองทัพองครักษ์ ฝั่งกองทัพองครักษ์ก็ไม่ถือวิสาสะเข้ามายุ่งกับงานของฝั่งนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีทางลงมือล้อมโจมตีโดยตรง ถ้าเป็นฝ่ายกองทัพองครักษ์โจมตีจริงๆ แล้วต่อไปจะแก้ตัวกับขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักอย่างไร? เมื่อถูกจับแล้วก็จะต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เอากองทัพองครักษ์กับอำนาจท้องถิ่นมารวมกันแน่นอน!


โพ่จวินหันกลับไปมองอู๋ฉวี่แวบหนึ่ง แล้วแอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “ไม่ใช่คนฝั่งเจ้าทำเหรอ?”


อู๋ฉวี่แอบตอบว่า “พอข้าได้รับรายงานจากข้างล่าง ก็ดำเนินการตรวจสอบทันที กำลังพลหน่วยองครักษ์ขวาทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุม ไม่มีใครไปที่น่านฟ้าระกาติง มิหนำซ้ำเดิมทีหัวหน้าภาคของน่านฟ้าระกาติงก็เป็นคนที่ข้ายัดเข้าไปอยู่แล้ว”


โพ่จวินเงียบงันพูดไม่ออก ในใจเริ่มสับสนวุ่นวาย อย่าบอกนะว่าฝั่งตัวเองเป็นคนทำ? ลูกน้องตนจะมีคนใจกล้าขนาดนี้ได้อย่างไร! นอกเสียจะเป็นคนโง่ที่โดนน้ำเข้าสมองเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นใครมันจะกล้าก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้?


ทูตขวาเกาก้วนกวาดมองสถานการณ์ในตำหนักด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พอเก็บระฆังดาราในมือ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาท! ข้าน้อยคิดว่าตัวเองรู้แล้วว่าใครทำ”


ทุกคนหันมองมาพร้อมกัน ประมุขชิงพลันหันตัวมา จ้องเขาพร้อมถามอย่างดุร้าย “ใคร?”


“หนิวโหย่วเต๋อ!” เกาก้วนเอ่ยชื่อออกมาอย่างไม่ยินดียินร้าย


“…” ในตำหนักเงียบทันที


อย่าว่าแต่คนอื่นที่งงเป็นไก่ตาแตก แม้แต่ประมุขชิงเอง เมื่อได้ยินชื่อนิ่งก็อึ้งไปเหมือนกัน ความโกรธบนสีหน้าหาบไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าประลาดใจแทน “หนิวโหย่วเต๋อ? ทำไมคิดอย่างนั้น?”


เกาก้วนใจเย็นสุขุมเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา “เพิ่งจะติดต่อกับสายลับหน่วยตรวจการขวาที่อยู่ทางน่านฟ้าระกาติง ดาวจิ่วหวน ให้เขาไปรีบสืบมา พอจะทราบเบาะแสบางเรื่องคร่าวๆ แล้ว ฉู่จื่อซานหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงชอบเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าที่อยู่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ต้องการจะบังคับให้นางแต่งงานด้วย อีกนิดเดียวก็จะถึงช่วงเวลาไปรับตัวเจ้าสาวแล้วขอรับ”


พอได้ยินแบบนี้ โพ่จวินก็รู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย พูดขัดอย่างเย็นเยียบว่า “อาศัยแค่จุดนี้ก็ตัดสินแล้วเหรอว่าหนิวโหย่วเต๋อทำ? อย่าบอกนะว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้อ่อนแอ? ก็ใช่อยู่ ตอนที่แต่งงานรับสนมสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อเคยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้อ่อนแอมาก่อน แต่นี่เขาบังเอิญเจอพอดี คงไม่ถึงขั้นยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วหรอกมั้ง” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยองครักษ์ซ้ายของเขา แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย เขาจะปล่อยให้คนยัดความผิดมาที่หน่วยองครักษ์ซ้ายส่งเดชได้อย่างไร


ประมุขชิงได้ยินแล้วหนังตากระตุก ทำไมโยงมาถึงเรื่องที่ตนแต่งงานรับสนมสวรรค์อีกแล้วล่ะ ตาแก่นี่ช่างขยันพูดถึงเรื่องที่ไม่ควรพูดจริงๆ จึงตะคอกทันทีว่า “หุบปากของเขาเดี๋ยวนี้ เกาก้วนไม่ยิงธนูโดยไร้เป้าหรอก ฟังเขาพูดให้จบ”


เกาก้วนไม่เหมือนคนที่จะโมโหได้ กล่าวอย่างใจเย็นต่อไปว่า “สาเหตุที่นายท่านโพ่จวินไม่เชื่อก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่าอวิ๋นจือชิว ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เขาเคยมีข่าวลือชู้สาวกับผู้หญิงคนนี้ มีคนไม่น้อยบอกว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว จะจริงหรือเท็จก็ไม่อาจทราบได้ แต่ตอนนี้ฉู่จื่อซานกำลังบังคับให้ผู้หญิงคนนี้แต่งงานด้วยพอดี แล้วคนของกองทัพองครักษ์ก็ลงมือสังหารฉู่จื่อซาน เรื่องราวไม่ได้บังเอิญขนาดนั้น”


สายตาของทุกคนค่อยๆ ย้ายไปบนใบหน้าประมุขชิงและโพ่จวิน อันที่จริงแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงก็สืบเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนที่โพ่จวินถือหางปกป้อง ถ้ายังไม่ได้หลักฐาน ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์เหมือนสุนัขอย่างโพ่จวิน ก็ไม่มีใครอยากไปยั่วโมโห


กล้ามเนื้อบนใบหน้าประมุขชิงกระตุกเล็กน้อย


โพ่จวินหัวใจเต้นตึกตัก พอจับคู่กันสอดคล้องแบบนี้ เขาเองก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วเช่นกัน คนอื่นอาจไม่กล้า แต่หนิวโหย่วเต๋อเจ้าเด็กนั่นอาจจะกล้าทำจริงๆ กล้าก่อความวุ่นวายในงานรับสนมของฝ่าบาทไปแล้ว ยังต้องกลัวที่จะลงมือกับหัวหน้าภาคอีกเหรอ?


แต่เขาก็ย่อมต้องเถียงกลับในจุดที่น่าสงสัย “เกาก้วน ข้ายอมรับว่าที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผล แต่เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ว่ากำลังพลที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อยังผลัดกันประจำการที่อุทยานหลวงกับสวนบรรณาการ จะเอากำลังพลหลายหมื่นจากไหนมาล้อมโจมตีฉู่จื่อซานอะไรนั่น?”


จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เกาก้วนหุบปากแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็พูดไปแล้ว


ประมุขชิงกลับข่มไฟโกรธไม่ไหวแล้ว ด่าโพ่จวินอย่างเดือดดาลว่า “ตาแก่นี่ ยังไม่รีบไปถามอีก อยู่ตรงนี้จะเดาความจริงได้เหรอ?”


โพ่จวินไม่มีความมั่นใจ จึงไม่ได้โต้เถียงอะไร รีบหยิบระฆังดาราออกมาสอบถามเป้าหมาย


หารู้ไม่ว่า ตอนนี้หัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่อยากจะฆ่าเหมียวอี้แล้ว ที่จริงตอนที่เขาเพิ่งโดนหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่สืบถาม เขาก็ชาวาบหนังหัวแล้ว เรียกได้ว่าปวดเศียรเวียนเกล้า พอจะเดาออกแล้วว่าเป็นฝีมือใคร


กำลังพลหลายหมื่นของกองมังกรดำเคลื่อนไหว ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ ถ้าเขาไม่อนุญาตก็ระดมพลไม่ได้ ตอนที่เหมียวอี้ย้ายกำลังพลห้าหมื่นของสวนบรรณาการก่อนหน้านี้ ก็ได้รายงานบอกเขาแล้ว เหตุผลก็คือต้องการจะผลัดเวรกับกำลังพลที่เฝ้าสวนบรรณาการ นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของกองมังกรดำ เป็นการกระทำที่ปกติเช่นกัน พอรายงานมาที่หัวหน้าภาคอวี่แล้ว ขอเพียงหัวหน้าภาคอวี่ไม่คัดค้านก็สามารถทำเนินการได้เลย


กำลังพลห้าหมื่นนี้ไปอยู่ตรงตำแหน่งไหน เขาเองก็รู้แจ่มแจ้งเช่นกัน ตอนนี้กำลังพักปรับปรุงกำลังที่น่านฟ้าระกาติง แต่ที่เกิดเหตุดันอยู่ที่น่านฟ้าระกาติงพอดี เบื้องบนแจ้งมาว่ากำลังพลกองทัพองครักษ์หลายหมื่นล้อมโจมตีกำลังพลท้องถิ่น มารดาเจ้าเถอะ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครทำเรื่องนี้ หัวหน้าภาคอวี่อยากจะเอาหัวโขกพื้นให้ตาย


แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ในกำลังพลห้าหมื่นนั้นน่าจะมีสายลับของเขาอยู่ด้วยสิ ทัพกลางของทัพเป่ยโต้วควรจะวางแผนเรื่องนี้สิ แต่ทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครรายงานขึ้นมาสักคน อย่าบอกนะว่าทัพกลางมีคนปิดบังไม่รายงาน?


เขาจะไปรู้เหรอว่าเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น คนของกองมังกรดำไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องนี้ จู่ๆ ก็เป็นฝ่ายถูกกระทำให้ลงมือแบบนั้น ตอนนี้ยังหาเวลาว่างหลบคนมารายงานลับต่อเบื้องบนไม่ได้เลย


ขณะกำลังจะติดต่อเหมียวอี้เพื่อถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รองหัวหน้าภาคที่อยู่ข้างนอกก็เดินก้าวยาวเข้ามา ตะโกนมาตั้งแต่ไกลๆ ว่า “นายท่าน เกิดเรื่องแล้ว!”


อวี่จ้งเจินที่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หลังโต๊ะยาวตอบว่า “ข้ารู้แล้ว กำลังจะสืบเรื่องนี้”


เหลียนเวยพยักหน้าซ้ำๆ เหมือนยังไม่หายโมโห “ต้องสืบสาวให้ดีขอรับ อย่าปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะคิดว่ากองทัพองครักษ์ของเราถูกรังแกได้ง่าย หัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงนั่นทำเกินไปจริงๆ!”


“…” อวี่จ้งเจินตะลึงงัน เจ้าหมอนี่พูดอะไรออกมา? ไม่ตำหนิหนิวโหย่วเต๋อแต่กลับตำหนิหน้าภาคฉู่จื่อซานว่าทำเกินไป? ไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย? จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เหลียนเวย เจ้าบอกว่าใครทำเกินไปนะ?”


“ก็ต้องเป็นหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงนั่นอยู่แล้ว!” เหลียนเวยกล่าวเหมือนตัวเองมีเหตุผลเต็มที่ว่า “ข้าเพิ่งได้รับรายงานหลังจากหนิวโหย่วเต๋อรบเสร็จ หนิวโหย่วเต๋อกำกำลังพลห้าหมื่นของกองมังกรดำไปพักปรับปรุงกำลังที่น่านฟ้าระกาติง บังเอิญเจอโจรราคะเจียงอีอีพอดี ก็เลยส่งกำลังพลหนึ่งพันไปรับมือ จะถือโอกาสจัดการโจร ใครจะคิดว่ากำลังพลของฉู่จื่อซานที่ตามมาทีหลังเห็นว่าพวกเราใส่ชุดลำลอง ทั้งยังมีแค่หนึ่งพันคน อีกฝ่ายอาศัยที่ตัวเองมีกำลังพลหนึ่งหมื่น ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเราเผยอาวุธของตำหนักสวรรค์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยอมฆ่าปิดปากเพื่อจะแย่งผลงาน รวมตัวกันใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รุกโจมตี ยิงพี่น้องทัพเป่ยโต้วของพวกเราล้มตายไปหลายสิบคน หนิวโหย่วเต๋อย่อมไม่นั่งรอความตาย เรียกรวมกำลังพลห้าหมื่นมาโจมตีกลับทันที กำจัดกำลังพลของฉู่จื่อซานในรวดเดียว ฉู่จื่อซานจึงโดนโทษประหารชีวิตแล้ว!”


ที่จริงในใจเขาก็รู้ว่าเรื่องนี้ถูกทำให้ลุกลามใหญ่โตเกินไป แต่ในเมื่อฝั่งนี้มีเหตุผลที่ฟังขึ้น เขาก็ต้องพยายามปกป้องเหมียวอี้ เพราะไม่มีทางเลือก หนิวโหย่วเต๋อถูกจัดมาให้เขาดูแล ถ้าปล่อยให้ข้อหาใหญ่ขนาดนี้ตกมาที่เหมียวอี้จริงๆ เขาเองก็จะโดนร่างแหให้รับผิดชอบไปด้วยเหมือนกัน ที่จริงตอนที่เขามา เขาก็ด่าเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่งมาตลอดทางเช่นกัน ไอ้เวรนี่ เจ้าแค่โจมตีนิดหน่อยก็พอแล้ว หลังจากจบเรื่องจะได้ผลักความรับผิดชอบไปให้ฉู่จื่อซานได้ แต่เจ้าฆ่าหัวหน้าภาคของอาณาเขตดาวรวมทั้งกำลังพลหนึ่งหมื่นทิ้ง แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? เป็นบ้าไปแล้วจริงๆ!


เขาเองก็จนใจเหมือนกัน ตั้งแต่ใต้บังคับบัญชามีหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกน้อง เขาก็ต้องวิตกกังวลไปด้วยเสมอ ตอนอยู่อุทยานหลวงก็ก่อเรื่องไปถึงหัวราชันสวรรค์ นี่เพิ่งจะถูกปล่อยตัวจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เจ้าก็ก่อเรื่องให้ข้าอีกแล้ว จะให้ข้าอยู่อย่างสงบหน่อยไม่ได้รึไง?


อวี่จ้งเจินฟังจนเบิกตากว้างอ้าปากค้างแล้ว เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ถลึงตาถามว่า “เจ้าหมายความว่า ฉู่จื่อซานพาคนมาโจมตีคนของเราก่อนเหรอ คนของพวกเรากำจัดพวกเขาเพื่อจะปกป้องตัวเองใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ก็เป็นลูกน้องของเขาเช่นกัน ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเบื้องบนอย่างไร จู่ๆ ก็มีฟางช่วยชีวิตยื่นเข้ามา มีโอกาสช่วยให้ทัพเป่ยโต้วของตนพ้นผิดแล้ว มีหรือที่เขาจะพลาด


“ไม่ใช่ว่านายท่านรู้แล้วหรอกเหรอ?” เหลียนเวยแปลกใจ


อวี่จ้งเจินกำลังจะอธิบาย ใครจะคิดว่าผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่จะส่งข่าวมาอีกแล้ว สั่งให้เขาสืบสวนหนิวโหย่วเต๋อ


อวี่จ้งเจินรีบหยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้โดยตรงเพทื่อถามถึงสถานการณ์ สถานการณ์ที่ได้รับรู้มาก็ย่อมเป็นเหมือนที่เหลียนเวยรายงาน


เขายังไม่วางใจกับสิ่งนี้ รีบเรียกคนของทัพกลางที่รับผิดชอบเป็นสายลับในแต่ละกองมาอีก ให้พวกเขารีบติดต่อตรวจสอบความจริง


ผลลัพธ์ก็ไม่เลวเลย ไม่ใช่แค่หนึ่งคนที่สามารถเป็นพยานได้ แต่เป็นเพราะโดนฉู่จื่อซานโจมตีก่อนอย่างไร้เหตุผลจนต้องลงมือโต้ตอบ แน่นอน ยังมีอีกจุดหนึ่งที่เหมียวอี้ไม่ได้บอก นั่นก็คือหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงโดนเหมียวอี้สั่งประหารแบบ ‘สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น’ แล้ว!


สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น? อวี่จ้งเจินแทบจะด่าแม่ เจ้ามีข้ออ้างให้ฆ่าแล้วก็ฆ่าไปสิ ยังกลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตอีกเหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะสับหัวหน้าภาคเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นแล้ว? อีกฝ่ายเป็นเจ้าอาณาเขตของหนึ่งอาณาเขตดาวนะ เบื้องบนไม่มีตำแหน่งรองท่านโหว แต่อีกก้าวเดียวเจ้าตัวก็จะได้เข้าประชุมในราชสำนักแล้ว แต่เจ้าดันสับเขาเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นงั้นเหรอ? ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ต่อให้มีเหตุผลแต่เหตุผลก็จะลดลงสามส่วน ไอ้เวรตะไลนี่! จะให้ข้าเสแสร้งรายงานขึ้นไปอย่างมีเหตุผลรองรับได้ยังไง?


เอาล่ะ! ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อไม่รายงานเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็จะแกล้งไม่รู้ไปก่อนก็แล้วกัน บอกเรื่องที่ทัพเป่ยโต้วจะได้เปรียบไปก่อน ถึงแม้จะรู้ว่าในไม่ช้าก็เร็วตัวเองจะโดนเบื้องบนสอบสวน แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังแกล้งโง่ได้ รีบร้อนสืบเรื่องราวเกินไป จะมีตกหล่นบ้างก็เป็นเรื่องปกติมาก รอให้เบื้องบนได้บทสรุปใหญ่ๆ มาก่อน เรื่องที่สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นจะได้มีผลกระทบเบาลงหน่อย


จากนั้นเขาก็รายงานสถานการณ์ที่ฝั่งนี้สืบได้ไปยังผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่



 

 

 


บทที่ 1528 ตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนา

 

อุทยานหลวง ก่อนที่จะเข้าประชุมในราชสำนัก โดยทั่วไปขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค็จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่เรือนพักของตัวเอง นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ตำหนักสวรรค์แบ่งเรือนพักที่อุทยานหลวงเอาไว้ให้ขุนนางใหญ่ทุกคน


ที่เรือนพักของจวนท่านโหวเซวียนหยวน บนตึกเจดีย์ ท่านโหวเซวียนหยวนจัวกำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงระเบียงพร้อมทอดสายตามองภูเขาที่อยู่ไกลๆ สวมชุดคลุมยาวน้ำเงินเข้มทั้งตัว ดูสง่างามมีการศึกษา


เพียงแต่อารมณ์บนใบหน้าดูตึงเครียด สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก บนท้องฟ้ามีฟ้าร้องฟ้าผ่าเป็นระยะ นอกตึกมีฝนตกจั้กๆ


เดิมทีเข้าเป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่งของหน่วยองครักษ์ขวา แต่ถูกเบื้องบนแต่งตั้งให้รับตำแหน่งสำคัญ ย้ายจากหน่วยองครักษ์ขวามาเข้าราชสำนักโดยตรง ถูกเลื่อนขั้นให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เขาย่อมเป็นผู้ได้ประโยชน์หลังจากเกิดคดีตลาดผีเช่นกัน และฉู่จื่อซานก็คือลูกน้องคนสนิทที่เขาพามาจากหน่วยองครักษ์ขวาด้วย นี่ก็คือสาเหตุที่เขากำลังทำสีหน้าย่ำแย่อยู่ตอนนี้


ข้างหลังเขามีแม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งที่ชื่อว่าอวี่เลี่ย ถูกเขาย้ายมาจากหน่วยองครักษ์ขวาเช่นเดียวกัน ตอนนี้กำลังใช้ระฆังดาราติดต่อกับที่ไหนสักแห่ง หลังจากนั้นก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ท่านโหว ติดต่อไม่ได้ขอรับ เกรงว่าจะเอาฉู่จื่อซานคืนมาไม่ได้แล้ว”


“แน่ใจรึยังว่าใครทำ?” เซวียนหยวนจัวถาม


อวี่เลี่ยตอบว่า “ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ขอรับ แต่เรื่องที่เบื้องล่างรายงานขึ้นมาก็น่าคิดเช่นกัน เรื่องในวันนี้เกิดขึ้นตอนที่ฉู่จื่อซานกำลังจะไปแต่งงานกับเถ้าแก่เนี้ยร้านค้าร้านหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนพอดี ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่หม้าย ชื่อว่าอวิ๋นจือชิว ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับหนิวโหย่วเต๋อ มีข่าวลือว่าทั้งสองได้กันแล้ว หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย ในมือกุมอำนาจทัพใหญ่หนึ่งล้านของกองทัพองครักษ์ ได้ยินว่าถูกปล่อยตัวออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว แล้วเรื่องที่ลูกน้องรายงานขึ้นมาก็กันบอกว่าคนที่ล้อมโจมตีคือคนของกองทัพองครักษ์ ข้าน้อยสงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ คนที่มีความกล้าที่จะทำแบบนี้ ก็สอดคล้องกับข่าวลือของหนิวโหย่วเต๋อพอดี”


“หนิวโหย่วเต๋อ!” เซวียนหยวนจัวเอ่ยชื่อนี้ออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด ปั้ง! จู่ๆ ก็ใช้ฝ่ามือตบบนราวระเบียง “ถ้าเป็นหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ฉู่จื่อซานนั่นก็ตายอย่างชดใช้ความผิดดไม่หมดอยู่ดี! ขนาดพวกลูกน้องยังรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมีเรื่องชู้สาวกับหนิวโหย่วเต๋อ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฉู่จื่อซานจะไม่รู้ คนสารเลวที่หน้ามืดตามัวเพราะกามตัณหา ทำตัวกำเริบเสิบสานขนาดนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียว เสียแรงที่ข้าให้เกียรติเขา ให้เขาไปรับตำแหน่งสำคัญขนาดนี้ นี่คือสิ่งที่เขาตอบแทนข้าเหรอ?”


อวี่เลี่ยถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ตอนที่อยู่กองทัพองครักษ์ กฎทหารเข้มงวด พวกพี่น้องล้วนเคยใช้ชีวิตลำบากจืดชืด จู่ๆ ก็กลายเป็นเจ้าอาณาเขตแบบนี้ ตัวอยู่ในโลกแห่งดอกไม้ ในมือกุมอำนาจชี้เป็นชี้ตายของสรรพสิ่งมากมาย กอปรกับตอนอยู่กองทัพองครักษ์ไม่เคยได้เสพสุขจากการถูกยอยอปอปั้น ข้างกายมีคนขี้ประจบคอยพูดเอาใจต่างๆ นาๆ… ขออภัยที่ข้าน้อยพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด คนที่ลืมตัวและลำพองใจไม่ได้มีแค่ฉู่จื่อซานคนเดียว มีเยอะมากขอรับ!”


เซวียนหยวนจัวหันขวับ แล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “แล้วพวกเขาเคยคิดบ้างรึเปล่า ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้วท่านโหวอย่างข้าจะอธิบายกับผู้บัญชาการองครักษ์ยังไง? นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ต้องโดนวิจารณ์ตำหนิมากมาย ลำบากพูดแนะนำต่อหน้าฝ่าบาทกว่าจะผลักดันข้าขึ้นตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ได้ แบบนี้ต้องอาศัยความเชื่อใจระดับไหนกัน นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไร ลูกน้องก็ก่อเรื่องใหญ่ระดับนี้แล้ว จะให้ข้าเอาหน้าที่ไหนไปพบนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์อีก? หรือจะให้ข้าบอกนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ว่าหัวหน้าภาคใต้สังกัดข้าโดนสังหารเพราะแม่หม้ายคนเดียว?”


อวี่เลี่ยบอกว่า “ทางฝั่งนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ยังคุยง่ายหน่อย แต่ปัญหาใหญ่สุดในตอนนี้คือเบื้องบน เบื้องบนแค่ถามเรื่องนี้เล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับไม่แสดงท่าทีอะไร กำลังจะมีประชุมราชสำนักแล้ว เกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสนี้กลั่นแกล้งท่านโหวขอรับ!”


เซวียนหยวนจัวโกรธจนหน้าเขียว มีหรือที่จะไม่รู้ถึงจุดนี้ ถึงแม้ตอนนี้อำนาจท้องถิ่นจะยังยอมรับการมีอยู่ของพวกเขา แต่ในภายหลังจะต้องมีการเล่นแง่กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ สาเหตุที่ยังไม่เคลื่อนไหว ก็เพราะคลื่นลูกใหญ่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะสงบลง ทุกคนล้วนกำลังเลียบาดแผล ไม่สะดวกจะเคลื่อนไหวใหญ่โตอีก แต่ดูฝั่งเขาทำสิ เป็นฝ่ายโยนจุดอ่อนออกไปก่อน เรื่องที่ฉวยโอกาสได้แบบนี้ มีหรือที่คนพวกนั้นจะพลาดโอกาสโจมตีจุดอ่อนของเขา


เซวียนหยวนจัวหันตัวช้าๆ มองไปทางท้องฟ้าที่มืดสลัวอึมครึมนอกระเบียง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าบอกว่าฉู่จื่อซานออกคำสั่งปิดประตูดวงดาวน่านฟ้าระกาติงแล้วไม่ใช่เหรอ รีบสั่งให้ส่งกำลังเสริมไปรึยัง? ออกคำสั่งไป หาตัวหนิวโหย่วเต๋อให้พบ กำจัดเขาซะ แล้วก็กำลังพลกลุ่มนั้นด้วย อย่าให้เหลือไว้สักคน!”


อวี่เลี่ยตกใจมาก “ท่านโหวไตร่ตรองอีกอีก นั่นคือทัพใหญ่หลายหมื่นของกองทัพองครักษ์นะ!”


เซวียนหยวนจัวพลันหันตัวมาจ้องเขา แล้วกล่าวอย่างเดือดดาล “งั้นจะให้ข้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ? ต้องทำให้สงบทั้งข้างบนข้างล่างสิ การโจมตีในราชสำนักเลี่ยงได้ยาก ถ้าไม่ทำให้เบื้องล่างเห็นว่าข้าทำอะไรบ้าง เบื้องล่างจะคิดยังไงล่ะ? เดิมทีก็มีคนคอยพูดยุยงก่อเรื่องอยู่แล้ว บอกว่าท่านโหวคนนี้มาจากกองทัพองครักษ์ เลยไม่เห็นว่าความเป็นความตายของคนฝั่งนี้สำคัญ ถ้าครั้งนี้ไม่ตอบสนองอะไรเลย เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมารึเปล่า? เดิมทีเบื้องบนก็มีคนจ้องจะกลั้นแกล้งข้าอยู่แล้ว ถ้ายังคุมข้างล่างไม่ไหวอีก แล้วโดนโจมตีขนาบทั้งข้างล่างข้างบน ข้ายังจะเป็นท่านโหวต่อไปได้อีกเหรอ? จุดประสงค์ที่นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ส่งข้ามาคืออะไร? ให้ข้ามานั่งเล่นในตำแหน่งนี้แค่ไม่กี่วันแล้วโดนคนไล่ตะเพิดลงจากตำแหน่งเหรอ? เรื่องนี้ข้าจะต้องให้คำอธิบายกับเบื้องล่าง!”


“แล้วต่อไปจะอธิบายกับกองทัพองครักษ์ยังไงขอรับ?” อวี่เลี่ยถามอย่างร้อนใจ


“แล้วหนิวโหย่วเต๋อเคยพิจารณาเรื่องนี้มั้ยล่ะ?” เซวียนหยวนจัวโมโหมาก แต่น้ำเสียงก็แผ่วลงในทันที กล่าวเสียงเรียบว่า “ฝั่งพวกเราไม่ต้องออกหน้าหรอก แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปก็พอ อาศัยกำลังพลน่านฟ้าระกาติง จะกำจัดคนแค่ไม่กี่หมื่นไม่ได้เชียวเหรอ? ตอนออกคำสั่งก็ระวังๆ หน่อย หาคนที่เชือ่ถือได้ที่พวกเราพามาจากหน่วยองครักษ์ขวา อย่าให้ใครรู้ว่าเกี่ยวข้องกับพวกเรา”


อวี่เลี่ยมองเขา ทำสีหน้าลังเลคิดไม่ตก


ส่วนเซวียนหยวนจัวก็มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่


“รับทราบ!” สุดท้ายอวี่เลี่ยก็กุมหมัดคารวะ ถอนหายใจ “เห้อ” หนักๆ แล้วหันตัวจากไป


แต่ไหนแต่ไรมา คนที่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือนั้นควบคุมยากที่สุด อันตรายที่นำมาด้วยก็ตรงไปตรงมาที่สุดเช่นกัน แค่ออกคำสั่งคำเดียวก็ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ เมื่อมีเหตุผลเพียงพอ ก็จะไม่รับคำสั่งจากเจ้านายที่อยู่ข้างนอกแล้ว! เหมียวอี้ถือวิสาสะใช้กำลังพลทำงานโดยปิดบังเบื้องบน ท่านโหวเซวียนหยวนก็ทำเรื่องนี้โดยปิดบังเบื้องบนได้เช่นกัน ขนาดอวี่จ้งเจินยังไม่รายงานเรื่อง ‘สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น’ ขึ้นไปเลย ทำแต่เรื่องที่มีประโยชน์ต่อฝ่ายตัวเองเท่านั้น


แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ง่ายเหมือนที่อวี่จ้งเจินคิด ตอนที่เขาเพิ่งจะรายงานสถานการณ์ขึ้นไปได้ไม่นาน เหมียวอี้ก็มีข่าวใหม่รายงานมาอย่างรวดเร็ว


ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ฝั่งพวกเหมียวอี้เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว


นักพรตบงกชรุ้งที่สวมเกราะม่วงหนึ่งพันคนกำลังเร่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง พอมาถึงบนฟ้าแล้วมองดูสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ พวกเขาก็เปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อยอย่างรวดเร็ว ช่วยพริบตาเดียวกลายเป็นทัพใหญ่หนึ่งล้านตำหนักสวรรค์หนาแน่นอยู่เต็มท้องฟ้าแล้ว


หลังจากเห็นศพที่เกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น แล้วจำได้ว่าเป็นกำลังพลของน่านฟ้าระกาติงจริงๆ แม่ทัพเกราะม่วงหลายคนที่อยู่บนท้องฟ้าก็มีสีหน้าโกรธจัดทันที หลังจากถ่ายทอดเสียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว ก็โบกมือหนึ่งที ทัพใหญ่หนึ่งล้านล้อมกำลังพลห้าหมื่นของเหมียวอี้เอาไว้ทันที


ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ กำลังพลหนึ่งล้านนี้ก็เผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าหมื่นคันเช่นกัน เล็งไปยังกำลังพลกองทัพองครักษ์ห้าหมื่นที่โดนล้อมไว้จากสี่ด้านแปดทิศ สามารถมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ได้ เห็นได้ชัดว่ากลุ่มที่ตามมาติดๆ คือทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง!


เหมียวอี้ทำหน้าเครียด นึกไม่ถึงว่ากำลังพลน่านฟ้าระกาติงจะตามมาเร็วขนาดนี้


ชั่งพริบตาเดียวก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะนึกเสียใจทีหลังที่ไม่ฟังคำแนะนำของหยางชิ่ง


หยางชิ่งแนะนำว่าถ้าทำสำเร็จตามแผนแล้วก็ให้ถอนกำลังทันทีเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด และเน้นย้ำว่าออกไปทางประตูดวงดาวก็อาจจะไม่อันตรายเสียทั้งหมด วิธีการที่มั่นคงปลอดภัยที่สุดก็คือหลบอยู่ที่อาณาเขตดาวไร้นามแถวๆ นั้น อย่าให้ใครหาเจอ รอให้เบื้องบนมีคำสั่งออกมาจัดการจนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งแล้วค่อยออกมา


เหมียวอี้รู้ว่าหยางชิ่งทำอะไรอย่างระมัดระวังตลอด ไม่ให้ตกอยู่ในอันตรายง่ายๆ แต่ลึกๆ แล้วเหมียวอี้ค่อนข้างดูถูกหยางชิ่งในจุดนี้ ดังนั้นเหมียวอี้จึงเปลี่ยนแปลงแผนการของหยางชิ่งไปเยอะมาก เพราะเขายังมีเรื่องต้องจัดการที่ดาวจิ่วหวน ในจุดนี้เขาปิดบังหยางชิ่งเอาไว้


ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขายังชักช้าอยู่ที่นี่ บอกว่าจะรวบรวมกำลังพลกลับอุทยานหลวง แต่ที่จริงเขารู้ว่าพอเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว เบื้องบนคงไม่ให้เขากลับอุทยานหลวงโดยตรงอีก จะต้องส่งคนมาสืบสวนแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่รีบออกไป แต่เตรียมจะรอคำสั่งจากเบื้องบนแล้วอ้อมกลับไปรอที่ดาวจิ่วหวนทันที


แต่ใครจะคิดล่ะ ไม่น่าเชื่อว่าน่านฟ้าระกาติงรวมทัพใหญ่หนึ่งล้านมาที่นี่เร็วขนาดนี้


มีบางอย่างที่เขาไม่รู้ นั่นก็คือ พอ ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมโดนจับตัวไป ฉู่จื่อซานก็สั่งให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติงออกเดินทางมาที่นี่ทันที เตรียมตัวไล่ล้อมดักไว้เรียบร้อยแล้ว และก่อนที่ฉู่จื่อซานจะโดนจับตัวไป ก็ออกคำสั่งให้กำลังหนุนทั้งหมดเร่งมาทางนี้ด้วยความรวดเร็ว ในที่สุดคนก็มาถึงแล้ว นี่ยังเป็นแค่กำลังพลส่วนเดียวที่รีบมาถึงก่อน ยังมีทัพใหญ่หนึ่งล้านที่กำลังมาทางนี้อีก


ทัพใหญ่ห้าหมื่นของกองมังกรดำที่อยู่ในเหตุการณ์เริ่มมีบรรยากาศตึงเครียดแล้ว มู่อวี่เหลียนตะโกนเสียงดังว่า “เตรียมรบ! เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”


ทัพใหญ่ห้าหมื่นรีบจัดกระบวนทัพ แต่ละคนหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา เตรียมตัวโจมตีกลับกำลังพลที่ล้อมเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ


กองทัพองครักษ์?


ไม่ใช่ทุกคนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึก พอเห็นกระบวนทัพที่แต่ละคนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่บนฟ้าก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เดาออกทันทีว่ากำลังพลหลายหมื่นที่อยู่ข้างล่างคงจะเป็นคนของกองทัพองครักษ์ เมื่อเผชิญหน้ากับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ ถ้าต่อสู้กันขึ้นมา ต่อให้ฝ่ายตัวเองจะชนะได้ แต่เกรงว่าจะสูญเสียยับเยินเช่นกัน


ฝั่งเหมียวอี้ก็ย่อมรู้เช่นกัน ว่าถ้าสู้กันขึ้นมาฝ่ายตัวเองก็จะไม่ได้รับผลดีแน่นอน ตกอยู่ในวงล้อมของกำลังทหารที่ได้เปรียบโดยสมบูรณ์แบบนี้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าหมื่นคันถึงแม้จะดูเยอะ แต่ถ้ายิงแบบกระจายกัน อานุภาพการโจมตีจะต้องถูกกระจายไปแน่นอน ต่อให้สังหารอีกฝ่ายทิ้งได้ส่วนหนึ่ง กำลังพลฝ่ายตรงข้ามก็สามารถพุ่งสังหารเข้ามาในกระบวนทัพของเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ถึงตอนนั้นก็จะเป็นการตะลุมบอนกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็จะหมดบทบาทแล้ว ยามเผชิญหน้ากับกำลังทหารที่มากกว่าฝ่ายตัวเองยี่สิบเท่า ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทัพใหญ่อันแข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดจบของการประจัญหน้าจะเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำในมืออีกฝ่ายก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายหมื่นคันเช่นกัน แค่การโจมตีระลอกเดียวก็สามารถทำให้ฝ่ายนี้สูญเสียสมาชิกจำนวนมากได้แล้ว


ทุกคนของกองมังกรดำต่างก็รู้เช่นกัน ตกอยู่ในวงล้อมแบบนี้แล้ว ศึกนี้ไม่มีทางสู้ได้เลย!


สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้กังวลยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าโดนกำลังทหารที่เหนือกว่าล้อมไว้อย่างเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่ดันมาอยู่ในอาณาเขตของฉู่จื่อซาน ตัวเองเพิ่งจะกำจัดกำลังพลนับหมื่นของฉู่จื่อซานไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นล้อมไว้ เขาก็ยังเจรจาได้ง่ายหน่อย แค่รอเบื้องบนตัดสินเสร็จก็พอ แต่คนที่เขาเผชิญหน้าตอนนี้ล้วนเป็นลูกน้องเก่าของฉู่จื่อซานทั้งหมด จะมีไมตรีกับเพื่อนร่วมทัพหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ในสถานการณ์แบบนี้ใครจะกล้าเดิมพันว่าคนพวกนี้จะเป็นเศษสวะไร้ความสามารถเสียทั้งหมด


มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาสามารถแน่ใจได้ การที่สามารถนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ออกมาได้ ก็เป็นไปได้สูงว่าทั้งหมดจะเป็นกำลังพลที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง ในเมื่อเป็นกำลังพลที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฉู่จื่อซานจะไม่ควบคุมให้คนพวกนี้มาเป็นลูกน้องคนสนิทของตัวเอง ฝ่ายเหมียวอี้สังหารแม่ทัพของอีกฝ่ายไปแล้ว จะไม่ให้อีกฝ่ายเดือดดาลสักนิดเลยเหรอ แบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?



 

 

 


บทที่ 1529 ใครกล้าก่อกบฏ!

 

มาจนป่านนี้แล้ว นอกเสียจากเบื้องบนจะตะโกนสั่งให้หยุดเท่านั้น แต่นี่ก็คือจุดที่ทำให้เหมียวอี้แอบร้องออย่างขื่นขม เขาจงใจปิดบังเบื้องบน หลอกลวงเบื้องล่าง ทางนี้เพิ่งจะรายงานไปที่อวี่จ้งเจินเช่นกัน บอกว่าไม่แน่ว่าเบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงอาจจะยังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดสภาพอย่างนี้ เผชิญหน้ากับลูกน้องเก่าของฉู่จื่อซาน จะถ่วงเวลาได้นานขนาดนั้นเหรอ?


หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ต่อให้เบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงจะรู้แล้ว คาดว่าคงจะเดือดดาลมากเช่นกัน เป็นเพราะฝั่งเหมียวอี้เล่นนอกกติกาเกินไป ใครจะไปรู้ว่าเบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงจะเอาคืนด้วยวิธีการเดียวกันหรือเปล่า แสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่อให้ลูกน้องกู้หน้ากลับมาสักหน่อย


เหมียวอี้เข้าใจดี ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้ามีเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาก็อาจจะทำให้ฝ่ายตัวเองพ่ายแพ้ยับเยินได้เลย


บนฟ้ามีคนตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “น่านฟ้าระกาติงของข้าไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพองครักษ์เหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง มิหนำซ้ำท่านหัวหน้าภาคก็มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์ ทำไมต้องลงมือสังหารกำลังพลน่านฟ้าระกาติงของพวกเรา?”


เหมียวอี้โบกทวนชี้ไป แล้วตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฉู่จื่อซานจงใจวางแผนก่อกบฏ กองทัพองครักษ์ได้รับคำสั่งให้ปราบ หรือพวกเจ้าก็คิดจะวางแผนก่อกบฏเช่นกัน?”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทัพใหญ่หนึ่งล้านแต่ละคนที่ล้อมไว้ก็สีหน้าเปลี่ยนทันที วางแผนก่อกบฏเหรอ? แต่ละคนพึมพำในใจว่า มิน่าล่ะคนของกองทัพองครักษ์ถึงลงมือ


ทุกคนของกองมังกรดำแอบร้องว่าดีมาก มู่อวี่เหลียนหันกลับไปมองเหมียวอี้ ในใจนางแอบชื่นชมเช่นกัน ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของท่านแม่ทัพภาคไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าล่ะก่อเรื่องมากมายแต่อยู่รอดมาถึงวันนี้ได้ อาศัยคำว่า ‘วางแผนก่อกบฏ’ เกรงว่าคู่ดคำนี้ก็จะทำให้ทุกคนรอดพ้นหายนะได้แล้ว!


ทว่าเหมียวอี้กลับไม่กล้าเอาชีวิตฝากไว้กับความใจอ่อนของคนอื่นเสียทั้งหมด พูดจาร้ายแรงแบบนั้นไปก็เพื่อจะถ่วงเวลาเท่านั้น แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกลูกน้องว่า “สั่งให้ทุกคนแบ่งงานกันกำหนดเป้าหมายที่แน่นอน เล็งลูกธนูดาวตกไปที่มือธนูของฝ่ายตรงข้าม ถ้ามีการลงมือขึ้นมา ก็กำจัดมือธนูนับหมื่นของอีกฝ่ายทิ้งทันที! ยิงมือธนูก่อนแล้วค่อยยิงแม่ทัพเกราะม่วงของอีกฝ่าย ตัดภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดออกไปก่อน! ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอฟังคำสั่งข้า!”


มู่อวี่เหลียนแอบกล่าวชมในใจ ขอเพียงกำจัดมือธนูพวกนั้นกับแม่ทัพเกราะม่วงฝ่ายตรงข้ามได้ ก็จพลดภัยคุกคามให้ทุกคนได้เยอะแล้ว นางรีบปฏิบัติตามทันที


แม่ทัพหลายคนที่อยู่บนฟ้าหันไปมองปฏิกิริยาลูกน้องตัวเอง เห็นได้ชัดว่าจิตใจทหารสั่นคลอนแล้ว สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากพวกเขาส่งสายตาให้กัน หนึ่งในนั้นก็ตะโกนอีกว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล หัวหน้าภาคฉู่เป็นคนที่มาจากกองทัพองครักษ์เหมือนกัน จะวางแผนก่อกบฏได้ยังไง? เจ้าเป็นใคร รีบรายงานชื่อแซ่มาก!”


ตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีทางที่จะเปิดเผยตัวตนกับคนของฉู่จื่อซาน ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้โดนล้างแค้นในทันที เพราะเรื่องบางเรื่องมัวรอคิดทบทวนไม่ไหว เขาแสยะยิ้มบอกทันทีว่า “เป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก ส่วนฉู่จื่อซานจะวางแผนก่อกบฏหรือไม่อีกไม่นานก็จะได้รู้เอง ถ้าพวกเจ้ามีอะไรสงสัยก็ติดต่อไปถามผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าตอนนี้ได้เลย”


เขาอยากจะกดดันให้อีกฝ่ายติดต่อกับท่านโหวของตัวเอง ขอเพียงลูกน้องรายงานสถานการณ์ขึ้นไปต่อหน้าฝูงชน ต่อให้ท่านโหวคนนั้นจะแกล้งโง่ไม่รู้เรื่อง แต่ก็จะแกล้งโง่ต่อไปไม่ได้แล้ว เมื่อรู้สถานการณ์แล้วก็จะต้องจัดการแก้ไขปัญหา วิธีแก้ไขปัญหาจะต้องไม่ใช่การยุยงให้หน่วยงานในตำหนักสวรรค์ฆ่ากันเองแน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา ท่านโหวคนนั้นก็จะรอดพ้นความผิดได้ยาก


เขาพอจะสงสัยรางๆ แล้วว่าท่านโหวเตรียมตัวปิดตาข้างเดียว เพราะเขาเห็นเองกับตาว่าลูกน้องส่วนหนึ่งของฉู่จื่อซานหนีรอดไปได้ ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะรายงานขึ้นไปเบื้องบน หรือพูดได้อีกอย่างว่าท่านโหวคนนั้นรู้สถานการณ์เบื้องลึกแล้ว แต่ดูจากท่าทางของคนพวกนี้แล้ว ก็เหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย


คนคนนั้นไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเลย ตะโกนอีกครั้งว่า “ไม่จำเป็นต้องรายงานเบื้องบนหรอก ในเมื่อเจ้าบอกว่าหัวหน้าภาคของพวกเราวางแผนก่อกบฏ แล้วทำไมไม่ปล่อยตัวหัวหน้าภาคของพวกเราออกมาสืบสวนต่อหน้าล่ะ?”


ปล่อยฉู่จื่อซานออกมาเหรอ? พอได้ยินคำนี้ เหมียวอี้ก็พลันเบิกตากว้าง ตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ระหว่างทางอีกฝ่ายจะไม่ติดต่อกับฉู่จื่อซาน จะต้องรู้แน่นอนว่าฉู่จื่อซานจบเห่ไปแล้ว แต่กลับแกล้งโง่ให้เขาปล่อยตัวฉู่จื่อซาน


มู่อวี่เหลียนเองก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน หันกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ในแววตาซ่อนความกระวานกระวายเอาไว้อย่างปิดบังได้ยาก


ฝั่งเหมียวอี้ยังไม่ทันตอบคำถาม แม่ทัพหลายคนของฝ่ายตรงข้ามก็ตะโกนเสียงดังติดต่อกันแล้วว่า “หัวหน้าภาคฉู่อยู่ที่ไหน…รีบปล่อยตัวหัวหน้าภาคออกมาตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อหน้า…”


“ปล่อยตัว!” มีคนโบกดาบตะโกนเสียงดังนำ


“ปล่อยตัว!”


“ปล่อยตัว!”


“ปล่อยตัว!”


เมื่อมีหนึ่งคนนำ ลูกน้องที่อยู่ในตำแหน่งหลักก็ตะโกนเสียงดังตามทันที ตามติดด้วยทัพใหญ่หนึ่งล้านที่โบกอาวุธในมือตาม มีเสียงตะโกนให้ปล่อยตัวดังต่อเนื่องเป็นระลอก ลักษณะพลังอำนาจราวกับคลื่นยักษ์โหมซักสาดเข้ามา ราวกับประสบเหตุทหารก่อกบฎ ทำให้กำลังพลห้าหมื่นของกองมังกรดำรู้สึกกดดันทางจิตใจอย่างใหญ่หลวง


ทันใดนั้น ก็มีบางคนสายตาไปหยุดอยู่ตรงจุดไกลๆ ที่กำลังพลกลุ่มหนึ่รวมตัวกันอยู่ ตรงนั้นมีสิบกว่าศพโดนตัดหัว จึงอุทานเสียงดังว่า “นั่นคือพวกแม่ทัพภาคเว่ยนี่ นั่นใช่นายท่านหัวหน้าภาครึเปล่า?”


ท่ามกลางเสียงตะโกนที่ดังต่อเนื่องไม่หยุด กำลังพลบนฟ้าทยอยกันใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทางนั้น บรรดาศีรษะที่คุ้นเคยนั่นย่อมไม่ผิดแน่ ทั้งยังมีร่างที่โดนเฉือนจนแทบจะเหลือแต่โครงกระดูกด้วย เนื้อหนังบนตัวไม่มีแล้ว แต่ศีรษะกลับยังสมบูรณ์ กำลังเอนล้มอยู่บนพื้น หน้าตายังมีเค้าให้เห็นอยู่บ้าง เป็นฉู่จื่อซานที่โดนลงโทษสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น


ขุนพลที่อยู่บนฟ้าคำรามอย่างเกรี้ยวกราดทันที โบกทวนชี้เหมียวอี้ “เจ้าฆ่าท่านหัวหน้าภาคของพวกเราเหรอ?”


เหมียวอี้ตะโกนตอบเสียงดังว่า “ฉู่จื่อซานวางแผนก่อกบฏ ขัดขืนการจับกุมอย่างโจ่งแจ้ง จึงโดนประหารคาที่!”


คนคนนั้นตะโกนว่า “เหลวไหล! เห็นได้หลังว่าหัวหน้าภาคฉู่ตกอยู่ในมือพวกเจ้าตอนยังมีชีวิตอยู่ ตอนหลังถึงโดนโทษประหาร เลือดที่เกลื่อนเต็มพื้นก็เป็นหลักฐานแล้ว! หัวหน้าภาคฉู่เป็นหัวหน้าภาคที่เฝ้าอาณาเขตให้ตำหนักสวรรค์ ในเมื่อตกอยู่ในมือพวกเจ้าทั้งเป็นๆ แล้ว ต่อให้ทำผิดมหันต์แต่ก็ต้องสืบสวนหาความผิดก่อนแล้วค่อยสังหาร เจ้ามีอำนาจอะไรมาถือวิสาสะประหาร?”


หนึ่งในนั้นที่อยู่ข้างๆ ตะโกนว่า “เหล่าพี่น้อง กองทัพองครักษ์จะทำเรื่องแบบบนี้ได้ยังไง เป็นไปได้สูงว่าคนพวกนี้จะปลอมตัวมา”


มีอีกหนึ่งคนตะโกนว่า “พวกเราไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเป็นคนของกองทัพองครักษ์หรือไม่ คนในตำหนักสวรรค์ต่อให้จะมีตำแหน่งสูงขนาดไหนแต่ก็ต้องมีเหตุผล ไม่มีใครที่มีอำนาจฆ่าคนได้ตามอำเภอใจ ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามใจชอบ ไม่อย่างนั้นจะมีกฏสวรรค์ไว้ทำไม! เรื่องนี้เกิดขึ้นวันนี้ต่อให้ราชันสวรรค์จะสั่งมา แต่ก็ต้องให้คำอธิบายที่ฟังขึ้นกับทุกคน! ถ้าพวกเจ้าเป็นกองทัพองครักษ์จริงๆ ก็วางอาวุธแล้วยอมแพ้เดี๋ยวนี้ ถ้าสืบจนรู้ชัดแล้วว่าหัวหน้าภาควางแผนก่อกบฏหรือไม่ ก็จะไม่แตะต้องพวกเจ้าแม้แต่ปลายผม! แต่ถ้ากล้าขัดขืน ก็แสดงว่าในใจมีเจตนาไม่ดี พวกเจ้าจะต้องตายแบบไม่มีหลุมฝังศพ!”


“วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ!” มีบางคนตะโกนนำ


“วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ!”


“วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ!”


ทัพใหญ่หนึ่งล้านต่อโกนเสียงดังเป็นระลอกอีกครั้ง พลังเสียงที่ดังดุจคลื่นโหมซัดสาดประชิดเข้ามาอีกครั้ง ทำให้กำลังพลหลายหมื่นของเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนไปมาก


เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาตระหนักได้แล้วว่าสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากล สาเหตุที่อีกฝ่ายให้พวกเขาวางอาวุธ ก็เพราะหวาดกลัวธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าหมื่นคันในมือของพวกเขาเท่านั้นเอง กังวลว่าหลังจากลงมือแล้วฝ่ายนั้นจะเสียหายหนัก และถ้าฝ่ายเหมียวอี้วางอาวุธยอมแพ้เมื่อไร ก็จะตกอยู่ในมือของอีกฝ่ายทันที แบบนั้นความเป็นความตายก็จะขึ้นอยู่กับปากของอีกฝ่ายแล้ว หาข้ออ้างอะไรสักอย่างก็สามารถประหารพวกเขาจนเละเป็นเนื้อบดได้เลย


เห็นได้ชัดว่าฝั่งนั้นกำลังยั่วเย้าอารมณ์โกรธของฝูงชน กำลังกระตุ้นทหารก่อนทำศึก ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การลงมือกับศัตรู ถ้าให้ลูกน้องบุ่มบ่ามลงมือกับกองทัพองครักษ์ ไม่ว่าใครก็ต้องเคลือบแคลงในใจทั้งนั้น ดังนั้นแล้ว สถานการณ์ล่อแหลมมา ราวกับฟืนแห้งที่โดนสะเก็ดไฟนิดเดียวก็ลุกโชนได้ หางตาของเหมียวอี้จึงเหลือบมองปฏิกิริยาของมู่อวี่เหลียนอละคนอื่นๆ อยู่ตลอด


ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน สุดท้ายมู่อวี่เหลียนก็หันหน้ามองมา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน เตรียมตัวเสร็จแล้ว…จะลงมือแล้วจริงๆ เหรอ?”


ท่ามกลางคลื่นเสียงที่โหมเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์โหมสาดซัด เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตวาดว่า “เจ้าคิดว่าหัวหน้าพวกนั้นไม่รู้เหรอว่าฉู่จื่อซานตายแล้ว? เป็นไปไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่ติดต่อกัน เห็นได้ชัดว่าจงใจยุยงก่อเรื่อง เจ้าคิดว่าพวกเรายังมีทางรอดชีวิตอีกมั้ย? ถ้าสู้ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่สู้ จุดจบของฉู่จื่อซานก็จะกลายเป็นจุดจบของพวกเจ้า!”


พอนึกภาพว่าผู้หญิงอย่างตัวเองโดนถอดเสื้อผ้าแล้วสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น มู่อวี่เหลียนก็ตัวสั่นหวาดกลัว


นางเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าถ้าฝ่ายนี้ยอมแพ้เมื่อไร ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะทำซี้ซั้วขึ้นมาจริงๆ ต่อให้จะปล่อยคนอื่นรอดไปได้ แต่ไม่มีทางปล่อยผู้นำอย่างนางกับเหมียวอี้ไปแน่นอน จากสภาพของอีกฝ่ายที่เหมือนทหารก่อกบฏ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้จบลงด้วยดี


เหมียวอี้บอกอีกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งของพ่อลงไป ว่าพวกเราเป็นกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ ไม่มีเหตุผลที่จะยอมแพ้! ถ้ายอมแพ้แล้ว กองทัพองครักษ์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ราชันสวรรค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ต่อให้ยอมทุกอย่างเพื่อแลกกับชีวิตตอนนี้ แต่กองทัพองครักษ์จะมีที่เหลือให้พวกเราเหรอ ฝ่าบาทจะปล่อยพวกเราไปเหรอ!” เขาเองก็ปลุกปั่นทหารก่อนออกรบเช่นกัน ห้าหมื่นคนสู้กับหนึ่งล้านคน ถ้าจะบอกว่าทุกคนไม่ขี้ขลาดสักนิดเลยก็แสดงว่าพูดจาเหลวไหลแล้ว เขาต้องการจะตัดทางถอยของทุกคน ทุบหม้อข้าว จมเรือเพื่อกดดันให้ทุกคนทุ่มชีวิตทำศึกนี้!


มู่อวี่เหลียนกัดฟัน แล้วหันกลับไป รีบถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้ลงไปทีละระดับ จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อน คำสั่งนี้ไปถึงหูทุกคนอย่างรวดเร็ว คนในทัพใหญ่ห้าหมื่นเริ่มทำสายตามีหวังแล้ว


เสียงดังดั่งคลื่น มีพลังน่าตกใจ เมื่อเห็นว่าส่งเสียงได้พอสมควรแล้ว ขุนพลหัวหน้าที่อยู่บนฟ้าก็ยกมือขึ้น เสียงของฝูงชนเงียบลง แล้วเขาก็จ้องเหมียวอี้พร้อมตะโกนว่า “จะยอมหรือไม่ยอม?”


เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “กองทัพองครักษ์เคยยอมตั้งแต่เมื่อไรกัน!”


ขุนพลที่เป็นหัวหน้าสีหน้าดุร้ายทันที ตะโกนไปทางซ้ายและขวาว่า “พี่น้อง ถ้าคนพวกนี้ไม่ได้มีความคิดไม่ซื่อในใจ ก็แสดงว่าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย คิดว่าพวกเราเป็นเนื้อปลาที่ยอมให้คนอื่นสับได้! ถ้าเรื่องในวันนี้ไม่ได้รับคำอธิบาย ถ้าแม้แต่แม่ทัพตายแล้วยังไม่สะทกสะท้าย ต่อไปทั้งน่านฟ้าระกาติงจะไม่ถูกทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะหรอกเหรอ!”


ข้างๆ มีคนตะโกนว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะไม่ให้คำอธิบายได้เหรอ?”


มีคนขานรับเสียงดังทันทีว่า “ไม่ได้!”


“ไม่ได้!”


“ไม่ได้!”


ทัพใหญ่หนึ่งล้านกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน มีพลังอำนาจน่าตกใจ


“ใครกล้าก่อกบฏ!” เหมียวอี้พลันเปล่งเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระเบิดพลังเสียงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า “ใครกล้าก่อกบฏ! ใครกล้าก่อกบฏ!ใครกล้าก่อกบฏ!”


เขาโบกทวนชี้ไปรอบวง พร้อมตะโกนสี่ครั้งติดต่อกัน


มู่อวี่เหลียนโบกทวนตะโกนตามอย่างเกรี้ยวกราด ส่งเสียงแหลมเล็กของผู้หญิง”ใครกล้าก่อกบฏ!”


“ใครกล้าก่อกบฏ!”


“ใครกล้าก่อกบฏ!”


“ใครกล้าก่อกบฏ!”


กำลังพลห้าหมื่นตะโกนตามทันที


พลังเสียงโต้ตอบ พอยัดข้อหาใหญ่อย่าง ‘ใครกล้าก่อกบฏ’ ออกมา ก็ทำให้พลังเสียงฝั่งทัพใหญ่หนึ่งล้านอ่อนแอลง มีคนไม่น้อยที่หุบปากแล้ว เอาแต่มองหน้ากันเลิกลั่กอยู่อย่างนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเสียงของทัพใหญ่หนึ่งล้านจะโดนเสียงของทัพห้าหมื่นข่มแล้ว


แม่ทัพเกราะม่วงหลายคนสีหน้าเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ในดวงตาของคนที่เป็นหัวหน้าใหญ่เริ่มฉายแววดุร้าย


เหมียวอี้จ้องคนออกคำสั่งของอีกฝ่ายอยู่ตลอด พอเห็นสถานการณ์ดังนี้ จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง “กองมังกรดำทุกคนฟังคำสั่ง!”


เสียงของฝั่งกองมังกรดำทยอยเงียบลง เสียงของทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ล้อมไว้ก็เงียบลงพอสมควรแล้วเช่นกัน ต่างก็อยากฟังว่าเขาจะพูดอะไร


ใครจะคิดว่าตอนที่อีกฝ่ายกำลังใจลอย เหมียวอี้ก็พลันตะโกนเสียงดังว่า “ยิงธนู!”



 

 

 


บทที่ 1530 หน่วยกล้าตาย

 

พอคำว่า ‘ยิงธนู’ ถูกเอ่ยออกมา อย่าว่าแต่ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ตกตะลึง แม้แต่ทัพใหญ่ห้าหมื่นของกองมังกรดำเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ได้รับคำสั่งลับให้เตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว จึงปล่อยลูกธนูในมือออกไปในชั่วพริบตาเดียว


ปั้งๆๆๆ…


มีเสียงระเบิดที่สายธนู ลูกธนูคู่ที่วางอยู่บนสายธนูกลายเป็นลำแสงเกือบหนึ่งแสนสายยิงออกไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว ระเบิดออกไปราวกับลำแสงหมื่นจั้ง เพื่อกำจัดมือธนูเกือบห้าหมื่นคนของฝ่ายตรงข้ามทิ้ง ฝ่ายนี้ไม่เสียดายที่จะยิงธนูออกไปพร้อมกัน


ทัพใหญ่หนึ่งล้านตกใจทันที พวกแม่ทัพเกราะม่วงที่เป็นหัวหน้าตกใจมาก ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่ากำลังพลห้าหมื่นที่ถูกทัพใหญ่หนึ่งล้านล้อมไว้จะกล้าลงมือก่อน


ตามหลักการแล้ว เมื่อภายใต้วงล้อมที่หนาแน่นแบบนี้ คนพวกนี้ต้องคิดว่าจะเอาชีวิตรอดอย่างไรสิถึงจะถูก ลงมือแบบนี้เท่ากับรนหาที่ตาย อีกฝ่ายดันลงมือก่อนเสียอย่างนั้น


“ยิงธนู” หัวหน้าขุนพลคำรามอย่างเกรี้ยวกราด


ต่อให้ฝ่ายนี้จะยอมแลกเยอะกว่า แต่ก็ต้องลดกำลังของฝ่ายตรงข้ามให้เยอะๆ ให้ได้ กำลังพลแค่ไม่กี่หมื่น ต้านทานการรุกโจมตีของฝั่งนี้ไม่ไหวหรอก


ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่คุมเชิงกันอยู่อย่างนี้ กอปรกับระยะห่างที่ใกล้กัน ชั่วพริบตาเดียวลำแสงนับไม่ถ้วนก็มาถึงแล้ว ช้าไปก้าวเดียวก็อันตรายถึงชีวิต


ถึงแม้เขาจะออกคำสั่งไปแล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของทุกคนก็แทบจะยกโล่ออกมาต้านทานทั้งหมด โดยเฉพาะมือธนูที่เห็นว่าลำแสงกำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเองโดยตรง แม้แต่ขุนพลที่ออกคำสั่งก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ขณะที่ตะโกนสั่งก็หยิบโล่กำบังออกมาเช่นกัน


ทัพใหญ่หนึ่งล้านวุ่นวายไร้ระเบียบในชั่วพริบตาเดียว


ทว่าระยะห่างใกล้กันเกินไป ช่วงที่ฉุกละหุกก็ตอบสนองไม่ทันเลย หยิบโล่ออกมาแต่บังร่างตัวเองไม่ทัน มีคนไม่น้อยที่ร่างสะเทือน โดนยิงคว่ำคาที่ ร่วงระนาวลงมาราวกับสายฝน


“อา…อา…” เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย สิ่งนี้ยิ่งทำให้กระบวนทัพวุ่นวายหนักกว่าเดิม


หัวหน้าขุนพลที่อยู่ข้างหลังโล่ตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “ยิงธนู!”


แต่กลับไม่ได้ยินเสียงยิงธนูของฝั่งนี้ยิงธนู ทำให้แอบด่าในใจทันทีว่าคุณสมบัติในการออกรบของกำลังพลท่องถิ่นกับของกองทัพองครักษ์ต่างกันไม่ใช่น้อย พอเจียดเวลาไปมองดูสถานการณ์ก็ทำให้ท้อใจลงแล้วครึ่งหนึ่ง มือธนูนับหมื่นที่เผยตัวอยู่ข่างหน้าร่วงลงมาเป็นแถบๆ แทบจะฉิบหายวายวอดหมดแล้ว


ฉากนี้ทำให้เขาโมโหจนแทบกระอักเลือด ถ้ายังไม่เข้าใจว่าการที่อีกฝ่ายถ่วงเวลาก่อนหน้านี้ก็เพื่อจะวางแผน เช่นนั้นก็เสียแรงแล้วที่ใช้ชีวิตมาหลายปี เพียงแต่การโจมตีระลอกแลกก็ทำให้มือธนูฝ่ายตัวเองแทบจะตายหมดแล้ว ก่อนโจมตีไม่มีทางที่จะเล็งจุดที่จะกำจัดได้แม่นยำขนาดนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการแบ่งเป้าหมายโจมตี สิ่งนี้อธิบายได้ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะประนีประนอมมาตั้งแต่แรก เตรียมตัวจะรุกโจมตีมาตลอด แล้วตัวเองก็ดันมั่นใจในชัยชนะราวกับคนโง่


ไอ้บ้า! ในหัวเขามีคำสองคำผุดขึ้นมา อยากจะรู้จริงๆ ว่าหัวหน้าที่บัญชาการรบของฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ไม่น่าเชื่อว่ากล้ารุกโจมตีก่อนเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้


จู่ๆ ก็เห็นลำแสงนับไม่ถ้วนยิงเข้ามา เดิมทีก็นึกว่าตัวเองจะกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีเช่นกัน ตอนนี้ถึงได้พบว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคือมือธนู ตอนนี้เขาโผล่หัวจากหลังโล่ออกมาตะโกนทันทีว่า “ฆ่า!”


ขณะที่กระบวนทัพหนึ่งล้านที่ถือมีโล่ราวกับป่ารีบพุ่งโจมตี เขาก็พบว่ายังมีมือธนูรอดชีวิตอยู่ จึงตะโกรเสริมอีกครั้งว่ “กำจัดมือทิ้งก่อน!”


“ยิงธนู!” เหมียวอี้โบกทวนตะโกน


เฟี้ยวๆๆ! ลูกธนูดาวตกดอกที่สามบนสายธนูกลายเป็นลำแสงนับหมื่นยิงออกไปทั่วสารทิศอีกครั้ง เป้าหมายของฝ่ายนี้ก็คือกำจัดผู้นำของฝ่ายตรงข้าม ลูกธนูเกือบห้าสิบดอกเปลี่ยนไปโจมตีแม่ทัพเกราะม่วงของฝ่ายตรงข้าม


เมื่อฝนธนูของใงนี้ถูกปล่อยออกไป ฝั่งนั้นก็รีบยกโล่ขึ้นมาบัง


ขณะเดียวกัน ในแนวรบของฝ่ายตรงข้ามก็มีลำแสงนับร้อยยิงรวมมายังตำแหน่งเหมียวอี้กับมู่อวี่เหลียน กำลังพลทัพกลางที่ล้อมพิทักษ์รอบมู่อวี่เหลียนล่วงหน้าแล้วถือโอกาสยกโล่ขึ้นมากำบัง เดิมทีหน้าที่ของทัพกลางก็คือปกป้องผู้บัญชาการรบ


ทว่าภายใต้การโจมตีของลูกธนูดาวตกนับร้อยที่ยิงรวมมาที่จุดเดียว ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว โล่ของทัพกลางก็ฉีกขาดเป็นรูหนึ่งรู ทะลุแนวป้องกันสามชั้นต่อเนื่องกัน เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องสิบกว่าครั้ง กำลังพลกองมังกรดำสิบกว่าคนโดนยิงสังหารตายคาที่ ผู้ได้รับบาดเจ็บก็มีสิบกว่าคนเช่นกัน นี่ยังดีที่ฝ่ายนี้เตรียมตัวได้ยอดเยี่ยมมาก โล่ล้วนทำมาจากผลึกแดงทั้งหมด


ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น โล่ผลึกม่วงและผลึกทองที่ปกป้องพวกแม่ทัพเกราะม่วงโดนลูกธนูดาวตกยิงทะลุโดยตรง ทำให้คนข้างหลังโล่โดนยิงสังหาร องครักษ์ข้างกายแม่ทัพเกราะม่วงพวกนั้นล้วนมีโล่ผลึกแดง ต้านทานการโจมตีไว้ได้


แต่ก็มีแม่ทัพเกราะม่วงเกือบร้อยคนที่ป้องกันไม่ดีเพราะฉุกละหุก บ้างก็โดนยิงตายคาที่ บ้างก็โดนอานุภาพของลูกธนูดาวตกทำให้สะเทือนบาดเจ็บ


ส่วนทหารคุ้มกันที่โดนยิงตายก็มีจำนวนมากถึงหนึ่งหมื่นคนแล้ว


เมื่อเห็นพี่น้องข้างกายตัวเองโดนยิงตาย มู่อวี่เหลียนก็รีบออกคำสั่ง “ธงอินทรีฟ้า กำจัดมือธนูของฝ่ายตรงข้าม!”


“ธงหมาป่าฟ้า! กำจัดมือธนูของฝ่ายตรงข้าม!” ผู้บัญชาการธงอินทรีฟ้ารีบตะโกนสั่ง


ลูกธนูดาวตกเกือบหมื่นดอกลอยกลับมา กำลังพลในแนวรบของกองมังกรดำรีบโบกมือคว้ากลับคืนมา ดอกหนึ่งคาบไว้ที่ปาก อีกดอกง้างบนสายแล้วยิงออกไปอย่างฉับพลัน ยิงฝนธนูรวมไปยังแม่ทัพเกราะม่วงพวกนั้นต่อไป


ส่วนผู้ช่วยผู้บัญชาการธงหมาป่าฟ้าใต้สังกัดธงอินทรีฟ้าที่ได้รับคำสั่งจากมู่อวี่เหลียนก็รีบวางกำลังโจมตีใหม่อีกครั้ง บัญชาการลูกน้องห้าร้อยกว่าคนให้โจมตีรวมไปยังมือธนูของฝ่ายตรงข้าม พวกมือธนูฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีการคุ้มกันที่แน่นหนาเหมือนพวกแม่ทัพ ภายใต้การยิงโจมตีรวมไปที่จุดเดียว ฝนธนูเพียงหนึ่งระลอกก็กำจัดมือธนูฝ่ายตรงข้ามได้หมดแล้ว


พวกแม่ทัพเกราะม่วงของน่านฟ้าระกาติงก็ตระหนักได้เช่นกันว่าตัวเองกลายเป็นเป้าหมายในการสังหารอันดับแรก พวกเขาเพิ่มเกราะป้องกันเข้ามาไม่หยุด ภายใต้เสียงกรีดร้องที่ดังต่อเนื่อง แม่ทัพเกราะม่วงพวกนี้โดนโจมตีจนไม่กล้าโผล่หัวออกมา


ภายใต้การโจมตีหลายระลอก ทางฝั่งกองมังกรดำ นอกจากกำลังพลทัพกลางของมู่อวี่เหลียนที่ตายไปเกือบร้อยคน ที่เหลือก็ไม่มีอะไรเสียหายเลย กลับเป็นทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เสียหายยับเยินเพราะลืมสังเกตไปชั่วขณะจนเสียเปรียบ ท่ามกลางการโจมตีด้วยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งของกองมังกรดำ ฝนธนูหลายระลอกทำให้ความเสียหายของฝ่ายตรงข้ามสูงถึงสองแสนกว่าคน


ศพที่ร่วงอยู่บนพื้นเรียกได้ว่าเกลื่อนกลาด ในจำนวนนั้นยังมีไม่น้อยที่ร้องครางด้วยความเจ็บปวด


จะมัวทนโดนโจมตีแบบนี้ต่อไปได้ยังไง! หัวหน้าขุนพลน่านฟ้าระกาติงที่หลบอยู่หลังโล่หลายชั้นตะคอกอย่างโมโหว่า “พวกเรามีกันเป็นล้าน จะกลัวธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แค่ไม่กี่หมื่นทำไม ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของพวกเขายิงได้ไม่กี่ดอกก็สิ้นเปลืองพลังงานแล้ว! ทุกคนฟังคำสั่ง ใช้โล่ล้อมไว้แล้วดันเข้าไป คนที่บุกเข้าไปในแนวรบฝ่ายศัตรูก่อน ข้าจะตบรางวัลอย่างงาม! ใครหนีทัพฆ่าไม่ละเว้น! เถี่ยอู๋ซิน เจ้านำทัพไปเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของคนฝ่ายเรา พอได้มาแล้วก็ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีทันที ข้าจะคอยดูว่าพวกเขาจะหนีไปไหนได้! ที่เหลือฟังคำสั่งข้า บุกพร้อมกัน ฆ่า!”


พอได้ยินอีกฝ่ายออกคำสั่งแบบนั้น ฝั่งกองมังกรดำก็มีคนไม่น้อยที่สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คืนมา จำนวนการยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝั่งนี้ถึงแม้ก่อนหน้าจะปรับปรุงเสริมกำลังไว้เต็มที่แล้ว แต่ตอนนี้ลูกธนูสิบห้าดอกก็ยิงออกไปห้าครั้งแล้ว จะต้านทานการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร


เหมียวอี้ที่สีหน้าดุร้ายหันขวับไปมองมู่อวี่เหลียน “มู่อวี่เหลียน เจ้ามีหน้าที่บัญชาการ นักพรตบงกชรุ้งธงพยัคฆ์น้ำเงินมารวมตัวที่ข้า!”


ในทัพใหญ่หลายหมื่นมีนักพรตบงกชรุ้งนึ่งร้อยสามคนโผล่ออกอย่างรวดเร็ว เหาะไปอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้


เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนอาวุธและเกราะรบผลึกแดงหลายร้อยชุดให้ร้อยกว่าคนที่ติดตามมา นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรเซียนซิงหัวอีกหนึ่งกอง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาค่อยๆ นับแบ่งกัน ทำแบบนั้นไม่ทันแล้ว ขณะที่โยนของออกมา ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ทัพใหญ่หนึ่งล้านไม่โหดพอให้กลัวหรอก! ในปีนั้นหนิวบุกเดี่ยวฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบ ราวกับเข้าสู่ดินแดนที่ไร้คน แถมตอนนี้ยังมีนักรบห้าวหาญร้อยกว่าคนคอยช่วยเหลือ! ทุกคนกล้าเป็นพี่น้องร่วมสู้รบร่วมเป็นร่วมตายกับหนิวรึเปล่า อยากจะมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าไปกับหนิวรึเปล่า!”


ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าทัพใหญ่หนึ่งล้านในปีนั้นที่เหมียวอี้เอ่ยถึงจะเป็นพวกฝีมืออ่อนด้อย ไม่สามารถเทียบกับทหารประจำการที่ปรับปรุงกองทหารใหม่ตรงหน้าได้ แต่ก็ถูกคำพูดของเขากระตุ้นให้ฮึกเหิมอยู่ดี พวกเขาก็รู้เช่นกัน เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าแพ้ขึ้นมาก็รอดยาก มีแต่ต้องสู้ตายสักตั้ง!


“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!” ร้อยคนส่งเสียงพร้อมกัน


เหมียวอี้พลันหันขวับไปมองสี่ด้าน ทัพใหญ่ที่ล้อมไว้จัดกระบวนทัพแบบโล่กำบังต้านฝนธนูประชิดเข้ามาแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นกองทัพองครักษ์รุกโจมตีเข้ามา เกรงว่าฝั่งนี้คงจะโดนโจมตีพังไปแล้ว เพราะกำลังพลท้องถิ่นมีพวกอ่อนด้อยเยอะเกินไป ไม่มีใครอยากพุ่งมาเสี่ยงตายอยู่ข้างหน้า ต่างก็อยากจะให้คนอื่นพุ่งเข้าไปรับลูกธนูดาวตกของฝ่ายศัตรูแทน


มู่อวี่เหลียนดึงกำลังพลอีกหนึ่งหมื่นไปรับมือกับคนที่เก็บคันธนูและสายธนูโดยเฉพาะ โจมตีคนที่เก็บธนูจนถอยไปสามระลอกแล้ว


ยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤติ เวลานี้จะเห็นความแตกต่างระหว่างกองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นได้มากที่สุด ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายขนาดนี้ แนวรบฝั่งนี้ไม่เสียระเบียบเลยสักนิด


สถานการณ์อันตรายอยู่ตรงหน้า เหมียวอี้รีบบอกมู่อวี่เหลียนว่า “รอจนข้าสังหารฝ่าออกไปแล้ว สั่งให้ทัพใหญ่ขับเข้าไปแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายศัตรูที่อยู่บนพื้น ต้องทำสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว!” จากนั้นก็หันไปตะโกนบอกร้อยกว่าคนที่ถือทวนว่า  “วันนี้มีเพียงสู้ตายเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่มีหนทางอื่น! หนิวยินดีเป็น ‘หน่วยกล้าตาย’ โจมตีนำไปก่อน ทุกคนจะมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าก็วันนี้แหละ ตามข้าไปสังหาร!” พูดจบก็กำสมุนไพรเซียนซิงหัวยัดปากแล้วเคี้ยวอย่างตะกละมูมมาม แล้วพุ่งนำออกไป


“นายท่าน!” มู่อวี่เหลียนอุทานตกใจ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเอาตัวพุ่งไปอยู่หน้าสุด


คนหนึ่งร้อยสามคนนั่นก็คว้าสมุนไพรเซียนซิงหัวยัดเข้าปากเช่นกัน จากนั้นก็ดึงอาวุธผลึกแดงและเกราะรบที่เหมาะมือตามเหมียวอี้พุ่งออกไป ไม่สนใจแล้วว่าเกราะรบจะพอดีตัวหรือไม่ ตอนนี้ใช่เวลามาพิถีพิถันเรื่องนี้เสียที่ไหนกัน ขณะที่เหาะก็สวมใส่อย่างรวดเร็ว


กองกำลังหนึ่งร้อยมีเหมียวอี้เป็นผู้นำ พุ่งสังหารไปทางกระบวนทัพฝ่ายศัตรู เป้าหมายก็คือหัวหน้าฝ่ายศัตรูที่หลบอยู่ในการคุ้มกันหลายชั้น


ภาพนี้ฉากนี้ทำให้ทุกคนของกองมังกรดำตกตะลึงในใจ ขวัญกำลังใจทหารเพิ่มขึ้นในชั่วพริบตาเดียว


“ดันเข้าไป!” มู่อวี่เหลียนโบกทวนตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด


กำลังพลหลายหมื่นใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงเบิกทางไปตรงจุดที่เหมียวอี้พุ่งสังหารเข้าไป ดันทุรังพุ่งใส่ทัพใหญ่ที่กดดันเข้ามาตรงหน้า


เมื่อเห็นขุนพลหลักของฝ่ายศัตรูแบ่งกลุ่มเล็กๆ พุ่งเข้ามา ลูกธนูดาวตกก็ไม่โจมตีมาทางนี้อีก กอปรกับเห็นตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้มีเพียงวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง หัวหน้าขุนพลน่านฟ้าระกาติงฮึกเหิมทันที เพราะเขามีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นห้า จึงโบกดาบตะโกนทันที “พี่น้องหน่วยองครักษ์ขวา ตามข้าไปสังหารโจร!”


เขาบุกนำไปคนแรก ซ้ายขวาตามด้วยแม่ทัพอีกหลายคน ข้างหลังมีกำลังพลหนึ่งหมื่นสังหารตามมาด้วย


“หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว! ใครขวางข้า ตาย!” ชั่วพริบตาที่ทั้งสองฝ่ายประจัญบานกัน เหมียวอี้ก็ตะโกนบอกสิ่งที่น่าตกใจอย่างเกรี้ยวกราด สุดท้ายก็ประกาศชื่อของตัวเองแล้ว


หนิวโหย่วเต๋อ! เมื่อประกาศชื่อนี้ออกมา ทุกคนของน่านฟ้าระกาติงก็พากันตระหนกตกใจ เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่เคยบุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบที่แดนอเวจีเหรอ


ถ้าคนคนนี้คือหนิวโหย่วเต๋อจริง อย่าบอกนะว่าจะแสดงฉากลุยเดี่ยวบุกสังหารฝ่าเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้านอีกแล้ว



 

 

 


บทที่ 1531 บุกสังหาร

 

เรียกว่าทัพใหญ่หนึ่งล้านไม่ได้แล้ว ลองนับดูคร่าวๆ ความเสียเปรียบที่เกิดขึ้นเพราะประมาทไปชั่วขณะทำให้ฝ่ายนี้จ่ายค่าเสียหายไปเป็นกำลังพลเกือบสามแสนคน


หนิวโหย่วเต๋อ? แม่ทัพที่พุ่งสังหารนำเข้ามา พอได้ยินชื่อนี้ก็ตกใจมาก ชื่อที่มีแซ่แบบนี้ บวกกับเป็นผู้นำกำลังพลของกองทัพองครักษ์ น่าจะไม่มีคนอื่นแล้ว ชั่วพริบตานั้น ก่อนหน้านี้เขาอยากรู้มาตลอดว่าไอ้บ้าคนไหนมันมาบัญชาการกองทัพ ในที่สุดตอนนี้ก็ได้รู้คำตอบแล้ว ที่แท้ก็เป็นไอ้บ้าที่ชื่อเสียงโด่งดังนี่เอง มิน่าล่ะ!


ชั่วพริบตาที่ทั้งสองประจัญบานใส่กัน มัวแต่คิดเรื่องอื่นก็ไม่มีประโยชน์แล้ว แม่ทัพที่นำหน้ามาตะโกนอย่างโมโหว่า “รอให้เหยียนชุนจัดการเจ้าเถอะ!”


ที่แท้หารคนนี้ก็ชื่อเหยียนชุนนี่เอง


ทั้งสองโจมตีสังหารมาถึงกันในชั่วอึดใจเดียว เหยียนชุนไม่กล้าหยุดอยู่ที่เดิม ถึงอย่างไรชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ เขาไม่กล้าประมาทเลินเล่อ พอลงมือก็ออกแรงเต็มที่ โบกดาบฟันไปที่เหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง


“รับความตายซะเถอะ!” เหมียวอี้ยังตะโกนไม่ทันสิ้นเสียง เสียงมังกรคำรามก็ดังเข้ามา รวดเร็วเหมือนเงาผี จุดสีดำขนาดเม็ดไข่มุกที่หมุนวนอยู่บนหัวทวนพลันแทงออกมา ใหญ่ขึ้นกว่าเม็ดถั่วเหลืองในปีนั้นแล้วไม่น้อย พอลงมือก็ใช้ฝีมือที่เป็นสมบัติประจำบ้านอย่าง ‘หนึ่งทวนสิบสังหาร’ เลย


ก็ช่วยไม่ได้ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองมังกรดำอย่างเขาสู้ศึกแรก ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้ ก็ต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น ห้ามแพ้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจทหารอย่างร้ายแรง แล้วก็ต้องชนะอย่างราบรื่นฉับไวเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจทหารด้วย ดังนั้นเขาจึงให้กำลังทั้งหมดในการลงมือครั้งนี้


ในตอนนี้มีคนไม่น้อยกำลังจับตาดูการต่อสู้ทางฝั่งนี้ บ้างก็หันหน้ามองมา บ้างก็ใช้หางตาสังเกต ถ้าจะดูที่วรยุทธ์เหยียนชุนก็ชนะไปไกล แต่หนิวโหย่วเต๋อที่โด่งดังสะท้านใต้หล้าก็ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงเช่นกัน!


แกร๊ง! มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น!


ในชั่วพริบตานี้มีคนไม่น้อยที่สูดหายใจอย่างตกตะลึง


ดาบใหญ่ที่หยียนชุนฟันออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนหนิวโหย่วเต๋อใช้ทวนปัดจนกระเด็นออกไปแล้ว มีเสียง “อั้ก” พร้อมกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังออกไป


เหมียวอี้ไม่ผ่อนความเร็วในการโจมตี ออกทวนทางซ้ายและขวา มีเสียง “อา!” ดังต่อเนื่องสองครั้ง น้ำเลือดสองสายพุ่งออกจากคอลูกน้องที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเหยียนชุน สองคนนี้รวมทั้งเหยียนชุนล้วนสวมเกราะรบผลึกแดง เหมียวอี้กลับไม่ได้ออกทวนไปเปล่าๆ พอออกทวนสองครั้งก็เขี่ยคอได้สองคน


ยังไม่จบแค่นั้น เหมียวอี้ที่เฉียดผ่านตัวทั้งสองคนไปสะบัดทวนในมือหนึ่งที โดนคอของเหยียนชุนอีกที หัวทวนเขี่ยไปด้านหลัง ร่างของเหยียนชุนกระเด็นไปข้างหลังเขา


เหยียนชุนกระเด็นออกไปขณะที่ใช้สองมือจับคอและเบิกตากว้าง ที่ปากจมูกและใต้คอมีเลือดสดไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกัน อีกฝ่ายจะไม่เคยเผยชื่อเสียงเลย ไม่น่าเชื่อว่าตอนเปิดเผยชื่อจะเป็นเวลาตายของตัวเอง!


ในหัวเขาร้องครวญครางอย่างเศร้าโศก หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงจริงๆ ด้วย มานึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว!


จากนั้นสองคนนั้นที่มาด้วยก็โดนทวนของเหมียวอี้เขี่ย โดนทหารห้าวร้อยคนที่พุ่งตามหลังเหมียวอี้มาเหยียบจม ศีรษะสามใบกระเด็นออกไปตามๆ กัน


ท่านแม่ทัพภาคช่างทรงพลัง! ทหารกล้าร้อยคนที่ตามหลังเหมียวอี้รู้สึกฮึกเหิมมาก ตอนนี้ไม่รู้สึกสิ้นหวังอีกแล้ว ราวกับได้เห็นความหวังในการมีชีวิตรอด พวกเขาสู้สุดชีวิตทันทีเพื่อโอกาสมีชีวิตรอด โจมตีต่อสู้กับนักพรตบงกชรุ้งคนอื่นๆ ที่พุ่งตามเหยียนชุนเป็นกระบวนทัพรูปลิ่ม


นักพรตบงกชม่วงร้อยกว่าคนโจมตีไม่กี่คน แค่คิดก็รู้ถึงสถานการณ์แล้ว บดอัดเข้าไปด้วยความมั่นใจในชัยชนะ


กำลังพลกองมังกรดำที่บุกอยู่ข้างล่างมีความฮึกเหิมเต็มเปี่ยม พบว่าชื่อเสียงของท่านแม่ทัพภาคที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบไม่ใช่เปลือกครอบเอาไว้เฉยๆ ทำให้ในใจทุกคนมีความหวังในการมีชีวิตรอดทันที ขวัญกำลังใจทหารเพิ่มขึ้นหลายเท่าในชั่วพริบตาเดียว


ส่วนฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีเสียงดังฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ตกตะลึงในความเฉียบแหลมของหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าในชั่วพริบตาเดียวจะสังหารนักพรตบงกชรุ้งทิ้งได้สามคน รองหัวหน้าภาคเหยียนชุนที่มีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นห้า ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านทานหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้แม้แต่ทวนเดียว แค่ชั่วพบหน้ากันก็ตายอยู่ภายใต้ทวนของหนิวโหย่วเต๋อทันที!


ตอนนี้กำลังพลทุกคนของน่านฟ้าระกาติงนึกถึงชื่อเสียงที่หนิวโหย่วเต๋อสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบอีกครั้ง ทำให้รู้สึกหวาดกลัวตัวสั่นเล็กน้อย จะต้านทานเจ้าหนุ่มนี่ไหวเหรอ?


เมื่อเห็นฝั่งนี้รวบรวมนักพรตบงกชรุ้งหนึ่งร้อยบุกโจมตี ฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีนักพรตบงกชรุ้งเกือบห้าร้อยคนถูกเหยียนเรียกไปสนับสนุนทันที แต่ใครจะคิดว่าขนาดเหยียนชุนยังต้านทานการโจมตีครั้งเดียวของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เลย และได้เห็นกับตาด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อสังหารนักพรตบงกชรุ้งต่อเนื่องกันสามคนในชั่วพริบตาเดียว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตัวสั่น เหี้ยมหาญขนาดนี้ ตรงนี้จะมีใครต้านทานได้บ้าง!


นักพรตบงกชรุ้งเกือบห้าร้อยคนที่พุ่งเข้ามารีบหยุดอย่างกะทันหัน ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้แล้ว ได้แต่มองดูหนิวโหย่วเต๋อถือทวนสังหารเข้าไปในทหารคุ้มกันทางซ้ายและขวาที่พุ่งตามเหยียนชุนมารับศึกราวกับผ่าคลื่น ขนาดนักพรตบงกชรุ้งยังต้านทานไม่ไหว มิหนำซ้ำพวกเขายังเป็นนักพรตบงกชทอง หนิวโหย่วเต๋อนั่นราวกับเสือโหดที่วิ่งเข้าฝูงแกะ ออกทวนราวกับมังกร กลุ่มคนที่ถูกพุ่งโจมตีร่วงลงมาเป็นแถบๆ เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดหู


ชั่วพริบตาเดียว กำลังพลหนึ่งหมื่นที่ออกโจมตีก็พังทลายจนไม่ใช่กองทัพแล้ว รีบเลี้ยวหนีอย่างรวดเร็ว


มีคนมากมายขนาดนั้นหนีเอาตัวรอดตอนใกล้จะต่อสู้ ทำให้ขวัญกำลังใจของคนน่านฟ้าระกาติงถูกทำลายจนเกินทน


เหมียวอี้ที่หันกลับไปมองแวบหนึ่งเห็นทหารกล้าร้อยคนข้างหลังจัดการนักพรตบงกชรุ้งคนอื่นๆ ที่พุ่งตามเหยียนชุนเข้ามา ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันทีว่า “อย่าพัวพันกับพวกเขา รักษากระบวนทัพแล้วตามหลังข้าไปสังหาร!” ตอนที่ยังพุ่งเข้าไปทำลายกระบวนทัพฝ่ายศัตรูไม่ได้ การพัวพันสู้เป็นการรนหาที่ตายจริงๆ


ทหารกล้าหนึ่งร้อยคนไม่มีใครพูดอะไรมาก ตามเขาไปทันที ปฏิบัติงานตามคำสั่ง


มีเหมียวอี้เป็นกองหน้า คนกลุ่มหนึ่งพุ่งไปยังกระบวนทัพของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง


“ประหาร!” แม่ทัพคนหนึ่งฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์เช่นกัน เขาเห็นคนที่พุ่งเข้าไปเสียผู้บัญชาการหลัก ไม่น่าเชื่อว่ายังกล้าหนีทัพก่อนรบจนขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วน มีหรือที่จะปล่อยให้คนพวกนั้นมาทำลายรูปทัพของฝ่ายตัวเอง เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันที


ด้านซ้ายและขวามีกลุ่มสารวัตรทหารพุ่งออกไปทันที โบกอาวุธทั้งดาบและทวนฟันแทงคนที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สังหารจนคนที่หนีกลับมาร้องโหยหวนเหมือนหมาป่า เสียงกรีดร้องดังเป็นแถบๆ


แต่เหมียวอี้ก็ดันนำคนพุ่งสังหารเข้ามาอีก กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่เข้ามารับศึกวุ่นวายไร้ระเบียบทันที พวกเหมียวอี้พุ่งสังหารเข้ามาแล้ว สังหารจนเกิดเสียงกรีดร้องตลอดทาง ประชิดเข้าไปหานายพลโดยตรง


“เตรียมเชือกมัดเซียน!” นายพลที่ถือทวนแทงทหารหนีศึกตายไปคนหนึ่งตะโกนอย่างหัวร้อน


ทว่ากลับได้รับผลกระทบจากหทารหนีศึกจนทำให้ฝั่งนี้วุ่นวายไร้ระเบียบ ชั่วขณะที่ไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์สู้ อีกทั้งเหมียวอี้ยังพุ่งเข้ามาตรงหน้าเขาในชั่วพริบตาเดียว นายพลคนนั้นแค้นมาก แค้นที่เหยียนชุนประเมินศัตรูต่ำไป แค่ช่องโหว่นิดเดียวก็สร้างปัญหาใหญ่ให้ฝั่งนี้แล้ว เวลาทัพใหญ่ออกรบ เมื่อไรที่วุ่นวายไร้ระเบียบก็จะเกิดปัญหาใหญ่ คนยิ่งมากก็ยิ่งวุ่นวาย ถ้าอยากจะเรียกกลับมาจัดใหม่ก็ยากแล้ว ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย


เขารู้ตัวเองว่าสู้ไม่ไหว พุ่งเข้าไปก็มีแต่จะรนหาที่ตาย ไม่ได้แสดงบทบาทได้เลยสักนิดเดียว มีแต่ต้องรีบเลี้ยวกลับเข้าไปในกลุ่มคน ขณะเดียวกันก็ตะโกนว่า “ปล่อย!”


พอเขาถอยหนี เมื่อเห็นแม่ทัพหนีไปแล้ว ฝั่งนี้ก็วุ่นวายยิ่งกว่าเดิมทันที


แต่กลับมีเชือกมัดเซียนไม่น้อยที่โยนออกมามั่วๆ มีข้อจำกัดด้านขนาด ต้านทานการพุ่งโจมตีของเหมียวอี้ไม่ไหว เหมียวอี้มีประสบการณ์ในการรับมือกับสิ่งนี้ตั้งนานแล้ว เกราะรบบนตัวตั้งขึ้นราวกับหนามแหลม หมุนพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาถูกฟันจนระเบิดเป็นผงทองทันที


ทหารกล้าหนึ่งร้อยที่ตามหลังมาอาศัยความแหลมคมของอาวุธที่เหมียวอี้ให้ ใช้ดาบและทวนฟันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาขาดอย่างรวดเร็วเช่นกัน มีบางคนโดนเชือกมัดเซียนมัดไว้ สมาชิกกลุ่มที่อยู่ข้างกันก็รีบใช้อาวุธช่วยฟันเชือกมัดเซียนให้ ตามติดอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ตลอดทาง ปกป้องอยู่ข้างหลังเหมียวอี้รวมทั้งเป็นปีกพุ่งสังหาร


เหมียวอี้ก็เองก็ไม่พุ่งเขาไปตรงๆ โดยไร้ความหวาดกลัวเช่นกัน เขารู้ถึงอานุภาพยามใช้เชือกมัดเซียนรวมกัน ถึงแม้เขาจะไม่กลัว แต่ถ้าเมื่อไรที่คนตามหลังโดนมัด ยามเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีก็มีแต่จะตายสถานเดียว จึงสนใจแค่นำคนสังหารไปยังจุดที่มีคนเยอะและไร้ระเบียบ กดความเร็วในการเหาะเอาไว้ ตามติดกลุ่มคนที่วุ่นวายไม่ยอมปล่อย ใช้วิธีการไล่บุกเข้าไปตลอดทาง


จุดไหนที่นักพรตบงกชรุ้งของฝั่งนี้ไปถึง ก็จะมีเสียงร้องโหยหวนเหมือนผีสาง มีเสียงกรีดร้องดังไม่ขาดหู สิ่งนี้ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติง


นี่เป็นเวลาที่ต้องให้แม่ทัพต้านทานศัตรูเพื่อรักษารูปทัพเอาไว้ และศึกแรกของเหมียวอี้ก็ดันสร้างบารมีแล้ว ทำให้นายพลพวกนั้นตกตะลึงพรึงเพริด ไม่มีใครกล้าเข้ามารับมือเพื่อยับยั้งพลังอันฮึกเหิมของกำลังพลกลุ่มเล็กๆ นี้


“ถอนกำลังไป! ถอนกำลังไปให้หมด!”


นายพลคนหนึ่งวางค่ายกลเชือกมัดเซียนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอให้พวกเหมียวอี้มาติดกับดักเอง ใครจะคิดล่ะว่ากลุ่มทหารที่ไร้ระเบียบฝ่ายตัวเองจะพุ่งเข้ามา ทำให้เขาโมโหจนทุบอกคำราม แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมันทำให้รูปทัพฝั่งเขาชนกันมั่วทันที ทำให้พวกเหมียวอี้ฉวยโอกาสสังหารเข้ามา โจมตีให้ตรงนี้วุ่นวายอีกครั้ง


“อา!” นายพลคนนั้นทุบอกคำรามอย่างเดือดดาล ความรู้สึกไม่ยอมอยู่ในเสียงร้องอันเศร้าโศก คนมากมายขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านทานคนแค่หนึ่งร้อยคนไม่ได้ ช่างเหลวไหลลวงโลกจริงๆ เขาเองก็จำเป็นต้องหลบคมอาวุธของพวกเหมียวอี้เช่นกัน รีบหนีเข้าไปกลางทัพที่วุ่นวายแล้ว


“ทุกคนนำกำลังพลของตัวเองถอยออกไป อย่ารวมตัวกัน เดี๋ยวค่อยกลับมารวมตัวกันใหม่อีกรอบ! เหลาจั่ว รีบนำทัพตามข้าไปแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” นายพลคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง


ในตอนนี้พอเหยียนชุนฝั่งน่านฟ้าระกาติงตายไป แม้แต่รองนายพลที่อยู่ข้างกายเหยียนชุนก็รบตายไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นมังกรไร้หัว เมื่อไม่มีคนคอยบัญชาการแล้ว แม่ทัพของแต่ละทัพก็ทำได้เพียงต่างคนต่างบัญชาการกำลังพลของตัวเอง


ทว่าเสียงนี้กลับทำให้ทัพใหญ่ที่วุ่นวายจัดระเบียบได้อย่างรวดเร็ว แม่ทัพแต่ละทัพตะโกนเสียงดัง “พวกพี่น้องมาทางนี้!”


ทัพใหญ่ที่วุ่นวายแบ่งกลุ่มกันถอยไปสี่ทิศทันที เหมียวอี้ร้อนใจมาก ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายจัดระเบียบกระบวนทัพใหม่ จุดประสงค์ของฝั่งนี้ก็จะสูญเปล่า ถึงตอนนั้นเชือกมัดเซียนที่รวมกันก็จะฝังพวกเขาได้เลย


พอเป็นแบบนี้ก็จะทำให้กองมังกรดำถูกทัพใหญ่หลายหมื่นล้อมไว้ แต่แล้วสถานการณ์วิกฤติอีกอย่างก็ปรากฏขึ้น มีกำลังพลสองกลุ่มต้านฝนธนูพุ่งไปแย่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ร่วงอยู่บนพื้น


ความวุ่นวายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว การจัดระเบียบทัพใหม่ก็เป็นเรื่องที่เร็วเพียงชั่วพริบตาเดียวเช่นกัน ระยะต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายใกล้กันมาก ตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้นำคนพุ่งออกไปกวนให้ทัพของอีกฝ่ายวุ่นวายจนถึงตอนนี้ ก็เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยใช้เวลาหายใจแค่ไม่กี่เฮือกเท่านั้น สาเหตุสำคัญเป็นเพราะพวกลูกน้องที่ฉู่จื่อซานพามาจากกองทัพองครักษ์ก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ความสามารถในการบัญชาการไม่อ่อนด้อย


“กองมังกรดำ สังหารเข้าไป!” เหมียวอี้คำรามอย่างเดือดดาล


มู่อวี่เหลียนก็ร้อนใจเช่นกัน ตะโกนเสียงดังว่า “แยกแยะฝ่ายศัตรูกับฝ่ายเรา ตั้งธง ตามข้าไปสังหาร!”


กำลังพลหลายหมื่นของกองมังกรดำรีบนำผ้าแดงมาผูกคอ มีความต่างในความเหมือนกับพันธมิตรผ้าแดงที่เหมียวอี้สร้างขึ้นที่ทะเลดาวนักษัตรในปีนั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อแบ่งแยกฝ่ายศัตรูกับฝ่ายตัวเอง กองทัพองครักษ์มักจะเตรียมสิ่งนี้ไว้สมอ ยามปกติที่รับมือกับข้าศึกทั่วไปก็ไม่ต้องใช้ แค่เกราะรบบนตัวก็แบ่งแยกได้แล้ว แต่ผ้าแดงแบบนี้เอาไว้ใช้ยามปราบทัพกบฎ


ธงใหญ่ของธงพยัคฆ์น้ำเงินถูกตั้งโดยทัพกลาง ธงอินทรีและธงหมาป่าใต้สังกัดรีบตั้งธงเช่นกัน ประโยชน์ของผืนธงก็เพื่อแบ่งแยกฝ่ายศัตรูและฝ่ายตัวเอง จะได้สะดวกให้แม่ทัพควบคุมสถานการณ์ได้ทุกกลุ่ม


ลูกธนูดาวตกที่ยังมีอานุภาพอีกสองสามดอกก็ไม่เก็บเอาไว้เช่นกัน ยิงไปยังทัพใหญ่ที่อยู่บนพื้นอย่างบ้าระห่ำ ทำให้คนกลุ่มใหญ่ล้มตาย


“ฆ่า!” มู่อวี่เหลียนนำทหารของทัพกลางสังหารออกมาก่อน มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าตัวเองไม่บุกนำไปก่อนคงไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามแย่งอาวุธที่แข็งแกร่งไป ความยากลำบากทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า นางก็จะเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน มีแต่จะพินาศย่อยยับกันหมด ถ้าไม่สู้ตายตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน


ผืนธงสีต่างๆ ของกองทัพองครักษ์ปลิวสะบัดตามแรงลมอยู่ข้างหลังนาง “ฆ่า!” กำลังพลหลายหมื่นตะโกนเสียงดัง ตามนางพุ่งสังหารใส่ทัพใหญ่ประมาณหนึ่งแสนกว่าราวกับกระแสน้ำไหลหลาก ชั่วขณะนั้นเสียงตะโกนฆ่าดังสะเทือนฟ้า เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดหู เลือดเนื้อปลิวกระจาย น่าสังเวชใจที่สุด



 

 

 


บทที่ 1532 ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะเก็...

 

การตะลุมบอนใส่กันจำนวนมากแบบนี้ ระดับบงกชทองขั้นหนึ่งสองสามสี่อะไรนั่นล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม บงกชทองขั้นหนึ่งอาจจะต้านทานการโจมตีจากนักพรตบงกชทองขั้นเก้าไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าแม้แต่พลังอิทธิฤทธิ์ที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาสู่ภายนอกก็ต้านไม่ไหวด้วย ทั้งสองฝ่ายมีคุณสมบัติพื้นฐานในการตะลุมบอนกัน ถ้านักพรตบงกชทองขั้นเก้าโดนดาบใหญ่ของนักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งฟันก็ตายอยู่ดี ในกระบวนทัพสู้รบที่ใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ ทุกที่มีแต่ศัตรู เมื่อตกอยู่ท่ามกลางทะเลฝูงชนแล้ว ทุกที่ล้วนมีดาบมีทวนฟันแทงเข้ามา สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อฟันคนที่พุ่งเข้ามาสังหาร พลังสูงกว่าหนึ่งระดับหรือหลายขั้นอะไรนั่นยามสู้กันตัวต่อตัว เมื่ออยู่ที่นี่ก็ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งนั้น การมีทักษะต้านทานดาบทวนที่สังหารเข้ามาไม่หยุด หรือการฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ตายได้ก่อนต่างหากถึงจะเป็นของจริง


นักพรตบงกชรุ้งที่สูงกว่าหนึ่งระดับ เมื่ออยู่ท่ามกลางการตะลุมบอนขนาดใหญ่แบบนี้ก็ย่อมมีบทบาทสำคัญอยู่แล้ว คนที่โจมตีเข้ามายากจะต้านทานการโจมตีของเขาได้ ส่วนการโจมตีของเขา ฝ่ายตรงข้ามก็ทนรับไม่ไหวเช่นกัน เป็นอาวุธที่ได้เปรียบในการสังหารกันในทัพใหญ่จริงๆ


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ยามที่นักพรตบงกชรุ้งตกอยู่ในกระบวนทัพสู้รบขนาดใหญ่ ศักยภาพก็ลดลงเยอะเช่นกัน ยามปกติถ้ามีพลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งก็สามารถเอาชนะนักพรตบงกชทองได้ง่าย แต่ที่นี่พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากนักพรตบงกชทองจำนวนนับไม่ถ้วนทำให้พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ในกระบวนทัพสู้รบรวมตัวกันเหมือนคลื่นยักษ์ พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยจากนักพรตบงกชรุ้งก็จะแตกสลายได้ง่ายมาก ตอนอยู่ใกล้ยังแสดงศักยภาพได้ไม่น้อย แต่เมื่อใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไกลๆ ก็ไม่แสดงอานุภาพอะไรเลย จะโดนพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ทั่วทุกที่กลืนไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังอิทธิฤทธิ์บนสนามรบอันกว้างใหญ่


ก็เหมือนน้ำหมึกหนึ่งถ้วยที่ย้อมน้ำใสหนึ่งอ่างได้ แต่ถ้าเอาน้ำหมึกหนึ่งถ้วยเทลงทะเลก็ไม่ได้ผลอะไรทั้งนั้น


ในการต่อสู้แบบตะลุมบอนที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ พลังของทุกคนแทบจะโดนดึงให้อยู่ระดับเดียวกัน การสู้รบของนักพรตภายใต้มาตรฐานนี้ ที่จริงก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาหรอก แต่แน่นอนว่ามนุษย์ธรรมดาเทียบกับระดับนี้ไม่ติด นักพรตบงกชขาว บงกชเขียว บงกชแดงที่บุกเข้ามาในกระบวนทัพสู้รบนี้ บางทีอาจจะโดนพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดฉีกร่างแหลกก็ได้ ต่อให้เป็นนักพรตบงกชม่วงบุกเข้ามาก็อาจจะรับไม่ไหว


นักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดคนหนึ่งใช้ดาบฟันคนคนหนึ่งจนตาย แต่จู่ๆ ข้างกายก็มีทวนยาวนับไม่ถ้วนแทงเข้ามา กักแขนที่ถือดาบของเขาเอาไว้ กักเอาไว้แน่นหนาแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของเขาสูงกว่าคนที่ล้อมโจมตีไม่ใช่น้อยๆ พอสะบัดแขนข้างที่โดนกัก ก็ทำให้ทวนยาวที่กักแขนตัวเองไว้สะเทือนจนกระเด็นออกไปหมดในทันที หลายคนที่ล้อมโจมตีสะเทือนจนโซเซถอยหลังออกไปพร้อมกัน แต่ใครจะคิดว่านักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งคนหนึ่งจะฉวยโอกาสตอนที่เขาสะบัดแขนแทงทวนเข้ามา แทงเข้ามาในลำคอของเขาอย่างแรง นักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดเลือดออกปากออกจมูก ถลึงตาสองข้าง นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะตายด้วยมือนักพรตบงกชทองขั้นหนึ่ง มือของเขาพยายามคว้าด้ามทวนที่กำลังแทงลำคอ แต่ด้านข้างก็มีแสงสะท้อนคมดาบแวบผ่าน มีนักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งอีกคนโผเข้ามา ใช้ดาบตัดหัวเขาปลิวจนเลือดร้อนๆ สาดกระจาย


“ฆ่า!”


“ไปตายซะ!”


เสียงตะโกนฆ่าดังไม่หยุด เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังต่อเนื่อง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังไม่ขาดหู เลือดเนื้อปลิวกระจาย แขนขาขาดปลิวว่อน ศีรษะคนกลิ้งเกลื่อน


เมื่อลงสนามรบแล้วไม่มีแบ่งแยกชายหญิง มีแค่คนเป็นกับคนตายเท่านั้น มีเพียงการสังหารที่ไม่หยุดหย่อน!


คนที่บอกว่ากลัวตายหรือไม่กลัวตาย พอเข้ามาอยู่ในการตะลุมบอนขนาดใหญ่แบบนี้ ก็สามารถฆ่าคนจนตาแดงได้ทันที การสู้รบของสองฝ่ายตกสู่สภาวะเดือดในชั่วพริบตาเดียว


“ธงหมาป่าดิน อ้อมกลับมาทางขวาข้างหลัง มาต่อหาง!” คนที่รับหน้าที่บัญชาการธงอินทรีขาวชั่วคราวยืนโบกทวนบัญชาการอยู่ภายใต้ธงอินทรีขาว


“ฆ่า!” ใต้ธงหมาป่าดินมีคนเลี้ยวโจมตีไปทางขวาพร้อมเสียงตะโกนฆ่าดังเป็นแถบ ทุกที่มีแต่คนเต็มไปหมด กำลังพลธงหมาป่าดินสังหารจนแยกแยะทิศทางไม่ออก ได้แต่ตามติดไปยังทิศทางที่ผืนธงหมาป่าดินปลิวสะบัดแล้วพุ่งสังหาร เวลานี้หัวสมองไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ทหารเลวที่อยู่ระดับล่างคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ตามติดผืนธงรบแล้วพุ่งสังหารอย่างสุดชีวิตก็ถือว่าทำถูกแล้ว แบบนี้ถึงจะเป็นวิธีปกป้องชีวิตตัวเองที่ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าตกขบวนขึ้นมาก็ตายสถานเดียว เพราะไม่มีใครรอเจ้า ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดรอเจ้าคนเดียว


ในตอนนี้พลังรบอันแข็งแกร่งของกองทัพองครักษ์ที่เหนือกว่าทัพใหญ่ท้องถิ่นได้แสดงออกมาทันที อยู่ในสนามรบมาเนิ่นนาน ประกอบกับฝึกฝนจนชำนาญ สามารถเสริมจุดที่บกพร่องได้ในทันที รุกถอยอย่างมีแบบแผน ตรงจุดที่ธงรบชี้ไป ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายแล้ว!


ทั้งระดับบนระดับล่างของกองมังกรดำ อิงผืนธงพยัคฆ์น้ำเงินเป็นหลักในการบอกทิศทางรุกโจมตี ธงอินทรีที่อยู่ใต้ธงพยัคฆ์เป็นกำลังหลักในการรุกโจมตี ธงหมาป่าที่อยู่ใต้ธงอินทรีกำลังเข่นฆ่าอยู่ภายใต้การบัญชาการ กองกำลังประมาณห้าร้อยคนจัดกระบวนทัพเข่นฆ่าอยู่ภายใต้ธงหมาป่า


ปกติในใต้หล้าสงบสุขเกินไป กำลังพลที่เฝ้าประจำท้องถิ่นขาดประสบการณ์ในการสู้รบขนาดใหญ่ ไม่อาจเทียบกับกองทัพองครักษ์ได้ การจัดรูปทัพฝึกฝนแบบที่ทำกันยามปกติยากที่จะก่อให้เกิดพลังรบที่มีประสิทธิภาพได้ เมื่อเจอกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินพุ่งใส่ก็จะวุ่นวายไร้ระเบียบได้ง่าย พอวุ่นวายขึ้นมาก็โดนกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินรวมตัวกันพุ่งสังหาร


ที่น่านฟ้าระกาติงมีคนไม่น้อยรับรู้ถึงพลังรบอันแข็งแกร่งของกองทัพองครักษ์อย่างแท้จริงแล้ว ตัวเลขคนบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ แต่กำลังพลน่านฟ้าระกาติงก็เยอะเกินไปจริงๆ จำนวนคนบาดเจ็บล้มตายของกองทัพองครักษ์ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน


ฝ่ายน่านฟ้าระกาติงมีกำลังพลไม่น้อยที่มาจากกองทัพองครักษ์ พอได้เห็นเหตุการณ์การปะทะกันซึ่งๆ หน้า ก็เข้าใจแล้วว่าความร้ายกาจอยู่ตรงไหน พวกเขาจะต้องโจมตีให้การบัญชาการอันทรงประสิทธิภาพของธงพยัคฆ์น้ำเงินปั่นป่วน ถึงจะลดความเสียหายฝั่งตัวเองได้ ถึงจะอาศัยความได้เปรียบด้านจำนวนคนกำจัดธงพยัคฆ์น้ำเงินได้


นายพลหนึ่งในนั้นโบกทวนตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวทันที “รวบรวมกำลัง ประหารนายพลแล้วแย่งธง!”


ขณะเดียวกันก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกกำลังพลที่แบ่งกลุ่มกระจายตัวอยู่รอบๆ “ทัพฝ่ายศัตรูอยู่ในวงล้อมหนาแน่น หนีรอดได้ยาก เป็นโอกาสดีในการกวาดล้าง ยังไม่รีบเข้ามาช่วยอีก!” พอพูดจบ ก็นำกำลังพลของตัวเองโจมตีไปทางมู่อวี่เหลียนที่อยู่ใต้ผืนธงพยัคฆ์น้ำเงินก่อน


กำลังพลที่จับกลุ่มกระจายตัวอยู่รอบด้านดีใจทันที ก่อนหน้านี้กลัวว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของธงพยัคฆ์น้ำเงินจะโจมตี นึกไม่ถึงว่าธงพยัคฆ์น้ำเงินจะละทิ้งความได้เปรียบของธนูแล้วดันทุรังพุ่งเข้ามาอยู่ในสถานการณ์การรบที่พวกเขาเฝ้าหวัง แค่นี้ก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว!


“ฆ่า!” นายพลคนหนึ่งที่รวบรวมกำลังพลได้ตะโกน แล้วนำกำลังพลหลายหมื่นบุกสังหารเข้ามา


“ฆ่า!” แม่ทัพที่รวบรวมกำลังพลที่อยู่กระจัดกระจายทยอยกันออกคำสั่งให้พุ่งเข้ามา


ทัพใหญ่หลายหมื่นของกองมังกรดำกำลังตกอยู่ในอันตราย!


เหมียวอี้ที่ไล่สังหารอยู่บนฟ้าสองตาแทบจะถลน ข้างล่างมีมู่อวี่เหลียนคนเดียวที่เป็นนักพรตบงกชรุ้ง จะต้านทานการรุกโจมตีจากนักพรตบงกชรุ้งมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร พอธงรบล้มลง กำลังพลกองมังกรดำที่ปั่นป่วนจะรวมตัวกันรุกโจมตีให้ได้ผลได้อย่างไร ยามเผชิญกำลังทหารล้อมปราบหนาแน่นขนาดนี้ จะต้องถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แน่


“ฆ่า!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างดุดัน รีบหยุดไล่สังหารทันที แล้วนำทหารกล้าประมาณร้อยคนสังหารกลับไปยังกระบวนทัพสู้รบขนาดใหญ่


มู่อวี่เหลียนที่ดันทุรังสู้กับนักพรตบงกชรุ้งสามคนแทบจะประคับประคองไม่ไหวแล้ว หางตาเหลือบไปเห็นพวกเหมียวอี้สังหารกลับมา ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก ตื้นตันใจแทบแย่


นางรู้ว่าตอนนี้ธงพยัคฆ์น้ำเงินล่อกำลังหลักของกองทัพฝ่ายศัตรูเอาไว้หมดแล้ว ข้างล่างมีศพนับแสน ไม่สามารถหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ได้รวดเร็วราบรื่นขนาดนั้น พวกเหมียวอี้กำลังหาโอกาสเอาตัวรอดออกไปได้ แต่ใครจะคิดว่าพวกเหมียวอี้จะยังไม่ไป ดันพุ่งกลับมาหานาง


ถ้าไม่หนีไปตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน กำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินมีจำนวนจำกัด พัวพันกับศัตรูและการรบแบบตะลุมบอนมากเกินไปไม่ไหว การที่พวกเหมียวอี้สังหารกลับมาก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไม่ได้อยู่ดี ถ้าให้ศัตรูที่เหลือเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กลับไป ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้นแล้ว


มู่อวี่เหลียนตะโกนเสียงดังอย่างเศร้าโศกทันที “พวกเราจะล่อศัตรูไว้ นายท่านรีบหนีไป เก็บร่างกายที่มีประโยชน์เอาไว้ล้างแค้นให้พี่น้องธงพยัคฆ์น้ำเงินเถอะ!”


ธงพยัคฆ์น้ำเงินทางฝั่งนี้มีคนมากมายรู้ว่าตัวเองจะไม่รอด มีคนไม่น้อยตะโกนเสียงดังด้วยน้ำตาคลอเบ้า “พวกเราจะล่อศัตรูไว้ นายท่านรีบหนีไป เก็บร่างกายที่มีประโยชน์ไว้ล้างแค้นให้พี่น้องธงพยัคฆ์น้ำเงิน!”


คนมากมายที่กำลังตะโกนประโยคนี้สร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเองสู้ตาย บางคนยังตะโกนไม่ทันจบประโยคก็โดนฟันหัวขาดแล้ว


เหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาไม่ได้พาคนหนีไป ในขณะที่แววตาวูบไหวอย่างร้อนใจ จู่ๆ ก็ยกมือหยุดลูกน้องร้อยคนที่อยู่ข้างหลัง แล้วหันกลับมาตะโกนสั่งว่า “ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กำจัดนายพลของฝ่ายตรงข้าม!”


เขาเองก็คว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมาก่อน วางลูกธนูดอกหนึ่งบนสาย แล้วยิงออกไปพร้อมเสียงระเบิดดังปั้ง ลำแสงสายหนึ่งยิงพุ่งออกไป


แกร๊ง! นักพรตบงกชรุ้งสามคนกำลังร่วมมือกันโจมตีมู่อวี่เหลียนจนนางแทบจะไม่เหลือแรงต้าน หนึ่งในนั้นเพิ่งหันหน้ามาแต่ก็ล้มลงพื้นแล้ว จากนั้นก็มีคนใช้ลูกธนูดาวตกลอบโจมตี โชคดีที่เกราะรบผลึกแดงบนตัวยังต้านทานไหว แต่กลับสะเทือนจนกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้


อีกสองคนหันกลับมาอย่างตกตะลึงพรึงเพริด แต่กลับเห็นลำแสงหลายสายยิงรวมกันเข้ามา ตอนนี้อยากจะหนีก็หนีไม่ทันแล้ว สะเทือนจนกระอักเลือดเหมือนกับคนก่อนหน้านี้ แล้วชั่วพริบตาเดียวก็ถูกทัพกลางที่อยู่ข้างกายมู่อวี่เหลียนกลบมิด สิ้นชีพอยู่ภายใต้ดาบและทวนที่โจมตีปนกันมั่ว


พวกเหมียวอี้อยู่บนฟ้าที่สูงกว่านั้น ยิงธนูลงไปทั้งสี่ทิศอย่างต่อเนื่องกัน สังหารนักพรตบงกชรุ้งที่กำลังสู้กับกำลังพลฝ่ายตัวเองโดยเฉพาะ ต่อให้ฆ่าไม่ตายแต่ทำให้บาดเจ็บสาหัสก็ยังดี เดี๋ยวก็มีคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินพุ่งเข้าไปใช้ดาบใช้ทวนฟันแทงให้ตายเอง


เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน บรรดานายพลน่านฟ้าระกาติงที่กำลังเข่นฆ่าอย่างดุเดือดถูกสังหารจนทำอะไรไม่ถูก ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็โดนฆ่าตายไปสี่ร้อยกว่าคนแล้ว


ตอนหลังถ้าอยากให้เกิดการจู่โจมที่ได้ผลดีอีกก็ยากแล้ว เพราะนายพลน่านฟ้าระกาติงหลายร้อยที่เหลืออยู่มีการเตรียมตัว ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างกายทยอยกันยกโล่ขึ้นมาปกป้อง ลูกธนูดาวตกที่ยิงกระจายมีอานุภาพไม่พอ ไม่สามารถก่อให้เกิดผลในการสังหารได้


แต่ผลของการยิงสังหารรอบนี้ยังลดแรงกดดันของธงพยัคฆ์น้ำเงินได้เยอะมาก อย่างน้อยก็ข่มนายพลพวกนั้นให้ไม่กล้าโผล่หัวมาลงมืออีก ธงอินทรีกับธงหมาป่าที่ล้มอยู่ใต้ธงพยัคฆ์น้ำเงินมีคนโจมตีออกมาอีกครั้ง


“ฝั่งนี้มีคนพอแล้ว แบ่งกำลังพลส่วนหนึ่งตามข้าไปเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” นายพลคนหนึ่งของน่านฟ้าระกาติงตะเบ็งเสียงสั่ง แล้วนำคนพุ่งไปที่พื้นดิน


เมื่อเห็นว่าการลอบโจมตีไม่มีผลแล้ว และเห็นว่ากำลังพลอีกส่วนมุ่งไปบนพื้น เหมียวอี้ก็หันกลับมาตะโกนสั่งว่า “สิบคนตามข้ามา ที่เหลือรีบกลับไปปกป้องแต่ละธง!”


สิบคนที่เขาเลือกพุ่งไปที่พื้นดิน ส่วนอีกเก้าสิบกว่าคนที่เหลือทยอยกันไปช่วยกำลังพลธงของตัวเองรบต่อสู้


“หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว ใครกล้าขวางข้า!” เหมียวอี้ที่นำคนสิบคนพุ่งเฉียงลงมาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด


กลุ่มคนที่พุ่งสังหารอยู่ข้างล่างเห็นแล้วตกใจมาก กำลังตะลุมบอนกันอุตลุต จะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เหมียวอี้นำคนสังหารจนเกิดเป็นช่องโหว่แล้วทะลุผ่านออกไปโดยตรง


พอสังหารฝ่าออกมาจากทัพใหญ่ แล้วเห็นกำลังพลน่านฟ้าระกาติงกลุ่มนั้นพุ่งไปที่พื้น แววตาเหมียวอี้ก็วูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรได้ ทันใดนั้นก็แหกปากตะโกนว่า “เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” ขณะที่พูดแบบนั้น ตัวเองก็ชูธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง


“นายท่าน ไม่มีประโยชน์ ต้านไม่ไหวแล้ว!” คนที่อยู่ข้างๆ ตะโกนบอก


“ใครบอกว่าต้านไม่ไหวแล้ว!” เหมียวอี้ตะคอก


ปั้ง! ธนูถูกยิงออกไปแล้ว ไม่เห็นว่ายิงใคร แต่กลับเห็นลำแสงยิงตรงไปที่พื้นดิน


โครม! ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก ฝุ่นดินตลบอบอวล พวกศพที่เกลื่อนพื้นโดนดินพลิกกลบฝังในชั่วพริบตาเดียว


ลูกน้องสิบคนตาเป็นประกายทันที เข้าใจเจตนาของเหมียวอี้แล้ว พวกเขาพากันง้างสายธนู แล้วยิงลงไปยังศพที่กระจายอยู่ข้างล่างอย่างบ้าระห่ำ


โครม! เสียงโครมครามดังไม่หยุด


ทหารฝั่งศัตรูที่นำคนพุ่งลงไปเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์บนพื้นมองดูแผ่นดินข้างล่างพลิกถล่ม มองดูฝุ่นดินที่พวยพุ่งขึ้นท้องฟ้า พวกเขางงเป็นไก่ตาแตกทันที ฝังกลบหมดแล้ว ยังจะเก็บอะไรได้อีก! ถ้ารอให้พวกเราหาจนเจอ ศึกนี้ก็คงสู้กันเสร็จไปแล้ว


ทหารฝั่งศัตรูหันมองขึ้นไปบนฟ้า เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ก่อนหน้านี้กำลังพลฝ่ายตรงข้ามยังยอมทุ่มเทกำลังคนที่น้อยกว่าพุ่งเข้ามาตรงนี้อยู่เลย เป็นเพราะอยากจะยึดเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ตรงนี้เอาไว้สู้กับพวกเขา และสาเหตุที่พวกเขาโจมตียึดตรงนี้ก็เป็นเพราะเป้าหมายนี้เช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะโหดเกินไป ใช้วิธีการปล่อยให้จบเห่ไปด้วยกัน ถ้าข้าเก็บไม่ได้ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะเก็บเลย!


ต่อให้นอนฝันเขาก็คิดไม่ถึง ว่าเหมียวอี้จะฝังกลบโอกาสสุดท้ายในการรบชนะของเขาเองกับมือ!


เป้าหมายที่ทั้งสองฝ่ายแย่งกันหายไปในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่เหลืออานุภาพลูกธนูไว้ดอกหนึ่งยิงไปที่เขา แต่กลับถูกคนที่อยู่ทางซ้ายและขวายกโล่ขึ้นมาบัง


เหมียวอี้เก็บธนู แล้วโบกทวนชี้ไปที่เขา พร้อมตะโกนอย่างดุดันว่า “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว เอาชีวิตมาซะ!” พูดจบก็นำคนพุ่งเข้าไปฆ่าอย่างเหี้ยมหาญดุร้าย



 

 

 


บทที่ 1533 ทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพัง...

 

ด้านบนมีคนไม่น้อยที่งงเป็นไก่ตาแตก มีคนตายไปเยอะมากเพื่อที่จะแย่งชิงพื้นที่นี้ เรียกได้ว่าเอาชีวิตคนทิ้งไปเป็นกอง ผลปรากฏว่าตายเปล่า ตอนนี้ไม่ว่าฝ่ายไหน ถ้าคิดจะขุดหลุมหาธนูฝ่าที่อยู่ใต้ดินอย่างสงบใจก็เป็นไปไม่ได้แล้ว นอกเสียจากจะกำจัดอีกฝ่ายทิ้งก่อน ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่มีทางค้นหาอย่างสงบใจได้เลย


แต่ฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็ยังฮึกเหิมมีพลัง เมื่อไม่มีภัยคุกคามอย่างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ต่อให้ต้องใช้คนเป็นกองแต่ก็ต้องทำให้คนของหนิวโหย่วเต๋อตายเป็นกองให้ได้ ผลลัพธ์นี้ก็ไม่ได้แย่สำหรับกองมังกรดำเช่นกัน ต่อให้สู้ไม่ชนะแต่ก็ยังยืนหยัดอดทนได้อีกหน่อย ต่อให้ต้องตายแต่ก็ขอดึงให้ฝ่ายตรงข้ามมาตายด้วยกันเยอะๆ ด้วยแล้วกัน


ทหารฝ่ายศัตรูที่อยู่ข้างล่างเห็นเหมียวอี้นำคนเข้ามาสังหาร รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ จึงรีบโบกทวนตะโกนสั่งว่า “พี่น้องทั้งหลาย ร่วมแรงกันกำจัดกำลังหลักของอีกฝ่ายก่อน แล้วคอยดูว่าโจรกระจอกมันจะหนีไปไหนได้!” พูดจบก็นำคนกลุ่มหนึ่งหลบหลีกเหมียวอี้ ไม่เก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้วเช่นกัน รีบพุ่งตัวขึ้นฟ้า กลับเข้ามาสังหารในทัพใหญ่ที่กำลังตะลุมบอน


ในการต่อสู้ที่อุตลุตวุ่นวาย นักพรตบงกชรุ้งคนหนึ่งของธงพยัคฆ์น้ำเงินใช้ทวนแทงนักพรตบงกชทองคนหนึ่ง แต่จู่ๆ ก็มีง้าวยาวด้ามหนึ่งยื่นเข้ามา “แกร๊ง” เกี่ยวหัวทวนที่แทงทะลุคนคนนั้นออกมา นักพรตบงกชรุ้งคนหนึ่งของน่านฟ้าระกาติงประลองกับเขาแล้ว ชะงักค้างอยู่ด้วยกันอย่างนั้น


ฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงินมีลูกน้องสิบกว่าคนออกมาสังหารทันที ดาบและทวนฟันไปยังศัตรูที่อยู่ตรงข้ามพร้อมกัน บนใบหน้าศัตรูฉายแววดุร้าย นักพรตบงกชรุ้งธงพยัคฆ์น้ำเงินหันขวับไปเห็นศัตรูสามคนเหาะลงมาจากฟ้า ร่วมมือกันโผเข้ามาสังหารเขา แต่ทวนยาวในมือเขาโดนคนเกี่ยวไว้ เขาจึงรีบปล่อยมือทิ้งอาวุธ แต่ก็สายไปเสียแล้ว จะหลบก็หลบไม่ทัน โดนดาบด้ามหนึ่งฟันลงมาบนแขนอย่างบ้าระห่ำ


โชคดีที่สวมเกราะรบผลึกแดงที่เหมียวอี้ให้ไว้ แกร๊ง! โดนโจมตีไปหนึ่งที แต่ก็กลับฟันไม่เข้า ทว่าทั้งร่างกายโงนเงนโซเซ จู่ๆ ข้างกายก็มีแสงสะท้อนคมอาวุธวับวาบ มีคนฉวยโอกาสปาดคอเขาแล้ว น้ำเลือดสีแดงสดสายหนึ่งพุ่งออกมา


ในเมื่อไม่มีใครได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไป ฝั่งน่านฟ้าระกาติงกลับก็วางใจหายห่วง เริ่มโจมตีโต้ตอบแบบรอบด้าน นายพลบงกชรุ้งหลายร้อยกระจายกันโผเข้ามา ล้อมนายพลฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงินเอาไว้ ล้อมแบบสามสี่คนต่อหนึ่งคน


พอคนถือธงของทัพกลางธงพยัคฆ์น้ำเงินโดนฟันตาย ธงรบกำลังเอนล้มลง ก็มีคนพุ่งเข้ามารับธงเอาไว้ ส่วนมู่อวี่เหลียนที่อยู่ใต้ธงรบก็ยิ่งขื่นขมจนเกินทน นักพรตบงกชรุ้งเกือบห้าสิบคนล้อมโจมตีนางและนักพรตบงกชรุ้งของทัพกลางอีกสิบกว่าคน ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ฆ่านายพลของนางไปหกคนแล้ว คนที่เหลือกำลังพยายามล้อมปกป้องนางสุดชีวิต


“ฆ่า!” ข้างล่างมีเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เหมียวอี้นำขุนศึกสิบคนพุ่งขึ้นมาจากข้างล่าง โจมตีนักพรตบงกชรุ้งหลายสิบคนที่ล้อมโจมตีมู่อวี่เหลียนจนหนีหัวซุกหัวซุน เหลือไว้เพียงศพสามศพ


“นายท่าน! ท่านถอยออกไปก่อน!” มู่อวี่เหลียนที่เลือดท่วมตัวกล่าวอย่างตื้นตันใจ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เหมียวอี้ช่วยชีวิตนางไว้ ก่อนหน้านี้ก็ใช้ลูกธนูดาวตกแก้ไขวิกฤติ และทั้งตัวนางก็เปื้อนปนไปด้วยเลือดเหมือนคลานขึ้นมาจากกองเลือดสด สภาพไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนแล้ว


ที่จริงทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินก็มีสภาพเป็นแบบนี้ แต่ละคนราวกับแช่น้ำเลือดมา แทบจะไม่ได้พักหอบหายใจ ฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง รู้จักแต่ฆ่าฆ่าฆ่า ศัตรูที่ล้อมอยู่รอบข้างก็เหมือนจะฆ่าเท่าไรก็ไม่หมดเสียที ฆ่าคนจนชินชาแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ก็เสียไปเยอะมาก สังหารจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่พอฆ่าหมดกลุ่มหนึ่งก็มีอีกกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอีก พวกเขากำลังยืนหยัดเพราะอาศัยปณิธาน ข้างกายมีเพื่อนทหารตายไม่หยุด


เมื่อได้เห็นสภาพแบบนี้กับตาตัวเอง เหมียวอี้ก็รู้ว่าอีกไม่นานคงจะตายกันหมด แต่เขาไม่ยอมแพ้ หันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ แล้วจู่ๆ ก็พลิกมือหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา แล้วสีหน้าก็ฉายแววดีใจ ตะโกนเสียงดังว่า “พี่น้องยืนหยัดเข้าไว้ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของธงพยัคฆ์ดำที่ไปผลัดเวรป้องกันที่สวนบรรณาการมาถึงแล้ว อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะมาถึงแล้ว!”


นี่เป็นข่าวดีมากจริงๆ! มู่อวี่เหลียนรีบโบกทวนตะโกนอย่างดีใจ “พี่น้องทั้งหลาย พี่น้องธงพยัคฆ์ดำตามมาแล้ว อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะมาถึง ฆ่า!”


ทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินได้ยินแล้วดีใจมาก กลุ่มคนที่ฆ่าคนจนตัวชารู้สึกฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง กวัดแกว่งดาบทวนในมือถี่เร็วขึ้นแล้วไม่น้อย


ฝั่งน่านฟ้าระกาติงได้ยินแล้วตกใจจนหน้าถอดสี แค่จัดการกับคนหลายหมื่นยังลำบากขนาดนี้ ถ้ามีทัพใหญ่หนึ่งแสนมาอีกจะต้านทานได้อย่างไร มิหนำซ้ำในมืออีกฝ่ายยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากอีกด้วย


ตอนนี้ฝั่งน่านฟ้าระกาติงเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนพวกนี้ถึงสู้ตายไม่ยอมถอย เข้าใจแล้วว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อมีโอกาสแล้วถึงไม่หนีไป ที่แท้กำลังเสริมก็มาแล้วนี่เอง


ฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็ตะโกนอย่างเดือดดาลเช่นกันว่า “พี่น้องทั้งหลาย ออกแรงปราบพวกเขาให้เต็มที่ กำลังเสริมหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงใกล้จะมาถึงแล้ว”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีคนไม่น้อยแอบด่าในใจว่าเหลวไหล ยังมีทัพใหญ่หนึ่งล้านตามมาที่นี่ แต่นักพรตบงกชรุ้งของน่านฟ้าระกาติงแทบจะมาถึงที่นี่หมดตั้งแต่รอบแรกเพื่อช่วยฉู่จื่อซานแล้ว เลิกคิดไปได้เลยว่ากำลังหนุนหนึ่งล้านนั่นจะมาถึงภายในหนึ่งชั่วยามนี้ ถ้ารอกำลังหนุนมาถึง เกรงว่าคงโดนกำลังหนุนของอีกฝ่ายกำจัดทิ้งหมดแล้ว ยังจะมาช่วยบ้าอะไรได้อีก


ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือของแต่ละหน่วย เร่งมาเป็นกองหน้าที่นี่ก่อนเพื่อช่วยเหลือให้ทันเวลา กำลังหนุนที่จะตามมาตอนหลังมีสภาพเป็นอย่างไร ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นจึงรู้ว่านี่เป็นเพียงคำพูดเลื่อนลอยเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจทหาร หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ คำพูดเพิ่มขวัญกำลังใจนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับพวกเขาเลยสักนิด เพราะพวกเขารู้ความจริงอยู่แล้ว


“สังหารแม่ทัพฝ่ายศัตรู!” เสียงของเหมียวอี้ดังก้องอยู่ในสนาม นำลูกน้องสิบคนพุ่งออกไปอีกครั้ง โผตรงไปยังนักพรตบงกชรุ้งหลายคนที่อยู่ใกล้ที่สุด


นายพลหลายคนที่ได้ยินคำเตือนนี้หันไปเห็นเหมียวอี้โผเข้ามา พวกเขาเลี้ยวหนีทันที ไม่ปะทะซึ่งๆ หน้า เป็นเพราะกลัวความองอาจห้าวหาญของเหมียวอี้ วิชาทวนที่ลึกลับซับซ้อนเหมือนผีเข้าผีออกนั่นก็ยิ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนตัวสั่น ขนาดเหยียนชุนยังต้านทานการโจมตีครั้งเดียวไม่ไหว!


หนีไปได้แล้วก็ช่างเถอะ ยังเหลือคนอื่นอีก เหมียวอี้พาลูกน้องสี่คนโจมตีก่อกวนไปทั่ว โจมตีนายพลของฝ่ายศัตรูโดยเฉพาะ ทั้งยังตะโกนอย่างดุดันเป็นระยะด้วยว่า “พัวพันพวกเขาไว้ อย่าให้พวกเขาหนีไป!” พูดราวกับฝ่ายตัวเองมีความมั่นใจในชัยชนะ


เสียงเพิ่มกำลังใจที่ดังครั้งแล้วครั้งเล่านี้ ทำให้ขวัญกำลังใจของทุกคนในธงพยัคฆ์น้ำเงินเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่กลับทำให้ใจคนฝั่งน่านฟ้าระกาติงหวาดหวั่น ถ้าเสียเวลาแบบนี้ต่อไป กำลังหนุนหนึ่งแสนของฝ่ายศัตรูก็จะมาถึงแล้วนะ!


ไม่มีกำลังใจจะสู้ต่อบวกกับหวาดกลัว ในที่สุดคนฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็เริ่มหนีแล้ว สาเหตุหลักเป็นเพราะตัวหลักฝั่งกองทัพองครักษ์กระดูกแข็งเกินไป


สิ่งที่เป็นข้อห้ามที่สุดบนสนามรบก็คือ ทารหนีทัพก่อนต่อสู้ เพราะมันแพร่กระจายเหมือนโรคระบาด พอเกิดขึ้นแล้วก็จัดการไม่ได้!


“สงบไว้! สงบไว้!” นายพลฝั่งน่านฟ้าระกาติงคำรามอย่างกระหืดกระหอบ


ทว่าสิ่งที่นายพลพวกนี้กังวลที่สุดก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี พวกเขาบอกให้คนอื่นสงบ แต่ตอนที่เหมียวอี้นำคนโจมตีมาที่พวกเขา พวกเขากลับหลบแล้วส่งลูกน้องไปตายแทน จะควบคุมขวัญกำลังใจทหารให้สงบได้อย่างไร


ขอเพียงนายพลที่เป็นแกนหลักหนีไปแล้ว พวกลูกน้องก็หนีทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ได้รับผลกระทบแบบนี้ มีคนนำให้ทำแบบนี้แล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนหลังก็จะแก้ไขไม่ได้!


ผ่านไปไม่นาน สถานการณ์ในสนามก็วุ่นวายปั่นป่วน กำลังพลรวมกลุ่มกันหนีออกจากสนามรบ พวกนายพลน่านฟ้าระกาติงโมโหจนกำหมัดแน่น แต่จะให้โบกดาบฆ่าลูกน้องก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายก็สัมผัสได้ถึงรสชาติ ‘ทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย’


“พัวพันพวกเขาเอาไว้ อย่าให้พวกเขาหนี ฆ่า!” เหมียวอี้โบกทวนตะโกนอย่างดุดัน กำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินที่โดนล้อมโจมตีก่อนหน้านี้โจมตีกลับทันที ไล่ตามแล้วใช้ดาบใช้ทวนฟันแทงอุตลุต คนจำนวนน้อยนิดไล่ตามคนกลุ่มใหญ่จนหนีหัวซุกหัวซุน


กระแสคนหลั่งไหลหลบหนี พวกนายพลที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังหลบหนีเงยหน้าขึ้นฟ้าพลางทอดถอนใจ นายพลบางคนที่มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์ก็ยิ่งยกดาบขึ้นปาดคออย่างละอายใจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำศึกที่ไม่เอาไหนขนาดนี้มาก่อนเลย ยังมีกำลังพลอีกหลายแสน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนจำนวนเล็กน้อยขับไล่จนหนีอย่างหวาดกลัว แถมฝ่ายตรงข้ามก็อยู่ในสถานการณ์อ่อนแอแท้ๆ จะให้ทนความรู้สึกได้อย่างไร!


“ทหารไร้ความสามารถคนเดียว ถ่วงให้ตายกันทั้งกองทัพ! เหยียนชุน! เจ้าคือคนบาปของน่านฟ้าระกาติง!” มีคนที่ไม่ยอมแพ้ตะโกนอย่างเดือดดาล


“หนี!”


“ถอนกำลัง!”


ทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย ในเวลานี้ไม่มีใครจัดการกับขวัญกำลังใจทหารได้ กู้สถานการณ์คืนไม่ได้แล้ว พวกนายพลที่ยังมีชีวิตอยู่จำเป็นต้องออกคำสั่งถอนกำลัง ตัวเองก็รีบถอยหนีออกไปจากตรงนี้เช่นกัน พวกทหารที่กำลังถอยหนี พอได้ยินคำสั่งนี้ก็หนีเร็วยิ่งกว่าเดิม กลัวว่ากำลังหนุนฝ่ายศัตรูจะมาดักไว้


“ไล่ตามไป อย่าให้พวกเขาหนี!” เหมียวอี้นำทัพใหญ่ตะโกนเสียงดังต่อไป พอไล่ตามทหารที่หลบหนีได้ก็ฆ่าทิ้งโดยไม่ปรานีแม้แต่น้อย ไม่ต้องยอมจำนน คนที่ยอมจำนนโดนทวนแทงตายทันที ทุกคนล้วนทำแบบนี้ ทำให้คนที่หนีอยู่ข้างหน้าตกใจจนหนีเร็วกว่าเดิม


มู่อวี่เหลียนที่ตามติดอยู่ข้างกายเหมียวอี้เตือนว่า “นายท่าน อย่าไล่ตามคนที่อับจน! ทัพฝ่ายศัตรูผลัดกันต่อสู้อย่างดุเดือด พี่น้องธงพยัคฆ์น้ำเงินของข้ายืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้ สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะแล้ว อ่อนล้าจนจะทนไม่ไหวแล้ว ไม่สู้หยุดพักหน่อยดีกว่า รอกำลังหนุนมารวมตัวเงียบๆ จะได้ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดอีก!”


เหมียวอี้หันขวับ แล้วกัดฟันบอกว่า “เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ไม่มีกำลังหนุน! ถ้าถอยตอนนี้จะทำให้พวกเขาสงสัยได้ง่าย ถ้าไม่สังหารพวกเขาให้ทัพพัง ถ้าให้โอกาสพวกเขาจัดทัพขึ้นมาใหม่ พวกเราก็มีแต่จะตายสถานเดียว!”


ไม่มีกำลังหนุนเหรอ? มู่อวี่เหลียนเบิกตากว้างอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง พอจินตนาการว่าทัพศัตรูจะปรับปรุงกำลังใหม่และโจมตีกลับ นางก็ใจสั่นด้วยความกลัวทันที รีบโบกทวนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ไล่ตามไป อย่าให้พวกเขาหนี ไม่เอาทหารที่ยอมจำนน ฆ่าให้หมดไม่ต้องละเว้น!”


ฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงินไล่ตามสุดชีวิตทันที ทหารที่หนีอยู่ข้างหน้าหนีเร็วกว่าเดิม


เหมียวอี้นำนักพรตบงกชรุ้งกลุ่มหนึ่งพุ่งไปอยู่ข้างหน้าสุด พุ่งเข้าไปในกลุ่มคนแล้วเปิดฉากสังหารอย่างบ้าระห่ำ เสียงกรีดร้องดังอย่างต่อเนื่อง คนข้างหน้าตกใจจนรีบหนีอย่างบ้าคลั่ง


คนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังก็ไม่ยอมเลิก ไล่ฆ่าอย่างบ้าระห่ำตลอดทาง นักพรตบงกชทองจะเร็วกว่านักพรตบงกชรุ้งที่ไล่ตามได้อย่างไร สุดท้ายก็กระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง หนีกระจัดกระจายไปทั่วสารทิศ ตอนนี้ทัพใหญ่หลายแสนที่อยู่ข้างหน้าแทบจะทัพแตกหมดแล้ว หนีกระจายไปยังจุดต่างๆ ของดาราจักร


พวกเหมียวอี้ที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังเหมือนจะไม่รู้ว่าควรจะไล่ตามไปทางไหน ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้โบกทวนสั่งว่า “หยุด!”


“พวกเราชนะแล้ว!”


“ฮะ…”


กำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินที่เหลืออยู่เงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครตะโกนก่อน แล้วกลุ่มคนก็พลันส่งเสียงร้องดีใจดังต่อเนื่องเป็นระลอก เป็นเสียงดีใจที่มาจากใจจริง มีคนไม่น้อยถึงขั้นร้องไห้ออกมา หลายคนกอดเข่าร้องไห้ ศึกนี้รุนแรงดุเดือดเกินไปแล้ว!


นึกไม่ถึงเลย ทุกคนต่างก็นึกไม่ถึง เดิมทีคิดว่าตัวเองต้องตายแน่นอน แต่ใครจะคิดว่าตัวเองไม่ใช่แค่รอดชีวิตต่อไปได้ ทั้งยังโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแตกด้วย!


ไม่น่าเชื่อว่าธงพยัคฆ์น้ำเงินจะโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติงแล้ว ไม่ใช่ทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงิน แต่เป็นกำลังพลครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์ที่ตีทัพใหญ่ของน่านฟ้าระกาติงจนพ่ายแพ้! มู่อวี่เหลียนมองดูทหารที่หนีตายไปในจุดลึกของดาราจักร ขนาดตัวเองยังทำใจเชื่อได้ยากเลย เมื่อครู่นี้ตัวเองยังคิดอยู่เลยว่าตายแน่ๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวทำให้นางแทบจะไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง


ทว่าเรื่องจริงก็แสดงให้เห็นตรงหน้าแล้ว! ในใจเข้าใจแจ่มแจ้ง ถึงขั้นตื้นตันใจเล็กน้อยด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่ให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินด้ามที่อยู่ในมือตัวเองมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าก็คงยากแล้ว และผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินอย่างนางก็คงจะโด่งดังเช่นกัน!



 

 

 


บทที่ 1534 น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ!

 

นางยิ่งรู้ชัดกว่านั้น ว่าพอกองทัพองครักษ์มีประวัติที่แข็งแรงส่วนนี้อยู่ในมือ ในภายหลังไม่ว่าจะมีการเลื่อนตำแหน่งเมื่อไร ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองข้ามมู่อวี่เหลียนคนนี้ ขอเพียงนึกถึงผลงานในการรรบส่วนนี้ของมู่อวี่เหลียน คาดว่าไม่ว่าคู่ต่อสู้คนไหนก็ไร้ความมั่นใจทั้งนั้น!


แต่นางก็เข้าใจเช่นกัน ว่าสาเหตุที่ได้ผลการงานรบนี้มาเป็นของใคร!


มู่อวี่เหลียนหันหน้าช้าๆ ไปมองที่เหมียวอี้ ในแววตาสื่ออารมณ์หลากหลาย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนี้ใช้เล่ห์เหลี่ยมทำศึกในยาวหน้าสิ่วหน้าขวานครั้งสุดท้าย เกรงว่ากำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งหนึ่งนี้คงจะตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะตายหมดอย่างเลี่ยงไม่ได้ แค่ความลึกซึ้งลุ่มลึกเพียงประเดี๋ยวเดียวนั่น ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พลิกจากแพ้เป็นชนะได้อย่างอัศจรรย์แล้ว ชนะจนทุกคนยังทำใจเชื่อได้ยาก


พอลองคิดดูให้ละเอียด ที่จริงการบัญชาการรบที่สุขุมใจเย็นของท่านแม่ทัพภาคคนนี้ก็ได้ช่วยชีวิตทุกคนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว


ในช่วงเวลาสำคัญของสถานการณ์วิกฤติ เขาอาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอันเหลือเชื่อออกคำสั่งให้ลงมือก่อน กำจัดมือธนูส่วนใหญ่ของกองทัพฝ่ายศัตรูทิ้ง นี่คือกุญแจสำคัญของกุญแจสำคัญทั้งหมดในตอนหลัง ถ้าไม่มีกลยุทธ์ในตอนแรก ก็ไม่มีชัยชนะในตอนนี้


จากนั้นเมื่อเผชิญสถานการณ์อันตรายอีกครั้ง ท่านแม่ทัพภาคคนนี้ก็สร้าง ‘หน่วยกล้าตาย’ อีกครั้งอย่างไม่ลังเล เอาตัวเองเป็นกองหน้านำทหารกล้าร้อยคนรุกโจมตี กำจัดผู้บัญชาการทัพฝ่ายศัตรูในรวดเดียว ทำให้อีกฝ่ายเป็นมังกรไร้หัว ไม่มีขีดจำกัดในการบัญชาการ แล้วก็เจาะเปลือกหาจุดอ่อนสร้างความปั่นป่วนให้ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู


ยามเผชิญหน้ากับวิกฤติ ก็เป็นท่านแม่ทัพภาคคนนี้ที่ออกคำสั่งให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินเลิกตั้งรับอย่างไม่ลังเล แล้วยอมทุ่มสุดตัว อาศัยกำลังคนที่น้อยกว่ารุกโจมตี วางแผนถ่วงเวลาไม่ให้ฝ่ายศัตรูแย่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไป


วิกฤติเกิดขึ้นไม่หยุด แต่ก็ยังเป็นท่านแม่ทัพภาคคนนี้ที่ลงมืออย่างเด็ดขาด ละทิ้งโอกาสคว้าชัยชนะครั้งสุดท้ายของฝ่ายตัวเอง ฝังธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุนั้นลงหลุมไปด้วยกัน และตัดความหวังของฝ่ายศัตรูในการแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โดยสิ้นเชิง


จากนั้นภายใต้สถานการณ์ที่รบแพ้แน่นอน แต่ยังพลิกวิกฤติได้ ทำศึกไม่หน่ายกลยุทธ์พลิกจากแพ้เป็นชนะ!


พอย้อนนึกทีละเรื่องทีละเรื่อง มู่อวี่เหลียนก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าศึกนี้ถ้าไม่ใช่ท่านแม่ทัพภาคคุมศึกด้วยตัวเอง ลงสนามคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง ธงพยัคฆ์น้ำเงินต้องแพ้ศึกนี้แน่นอน!


ตอนนี้มู่อวี่เหลียนกำลังมองเหมียวอี้ ในใจเรียกได้ว่าปลงอนิจจังไร้ที่สิ้นสุด ในฐานะที่เป็นนายพลหลัก แต่ความสามารถในการบัญชาการยามหน้าสิ่วหน้าขวาน นางก็ยังทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ นึกย้อนไปตอนปีแรกที่มาธงพยัคฆ์ดำแล้วเจอหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังครั้งแรก ตัวเองยังรู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย สุดท้ายก็โดนอีกฝ่ายบีบจุดอ่อนให้ยอมจำนนก้มหัว


พอมานึกดูตอนนี้ ก็พบว่าเก่งกาจสมชื่อจริงๆ การที่ตัวเองพ่ายแพ้นิดหน่อยก็ไม่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยสักนิด


ในตอนนี้นางเรียกได้ว่ายอมจำนนต่อท่านแม่ทัพภาคคนนี้จากใจจริง


กลุ่มนักพรตบงกชรุ้งมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาเคารพนับถือถึงขีดสุด


ขณะมองตามเงาคนที่หนาแน่นหนีกระจัดกระจายไปในดาราจักร ในที่สุดเหมียวอี้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาลองนับดูแบบหยาบๆ คาดว่าทัพใหญ่หนึ่งล้านของฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีคนหนีไปเกือบครึ่งหนึ่ง หรือพูดได้อีกอย่างว่าศึกนี้ฝ่ายเขาสังหารทัพใหญ่ห้าแสนของฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว!


ข้างหลังมีเสียงดีใจโห่ร้องดังต่อเนื่องเป็นระลอก เหมียวอี้ได้สติกลับมา หันตัวมามองคนพวกนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆ เป็นชัยชนะที่ได้รอดชีวิตจากวิกฤติ ความยินดีปรีดานี้ก็พอจะเข้าใจได้ ควรค่าให้พวกเขาโห่ร้องอย่างดีใจเช่นกัน ถึงอย่างไรก็รอดชีวิตมาได้แล้ว!


แต่เขากลับดีใจไม่ออกเลยสักนิด เดิมทีมีห้าหมื่นกว่าคน แต่ดูสิว่าตรงหน้านี้มีคนที่สะบักสะบอมเหมือนปีนขึ้นจากบ่อเลือดเหลืออยู่เท่าไร? เดาว่าเหลืออยู่ประมาณหมื่นกว่าคนแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในศึกนี้อัตราการสูญเสียกำลังพลสูงถึงแปดส่วน!


สำหรับทัพใหญ่กลุ่มนี้ การตายแปดส่วนมีความหมายแฝงว่าอะไรล่ะ? หมายความว่ารากฐานของทัพใหญ่ถูกโจมตีจนพิการแล้ว แต่นี่ก็คือชัยชนะของทัพพิการที่ยืนหยัดมาได้จนถึงตอนสุดท้าย แม้จะเผชิญหน้ากับทัพใหญ่หลายแสน!


สุดท้ายเขาก็ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องคนพวกนี้เอาไว้ได้ แต่เรื่องที่มีคนรบตายไปสี่หมื่นกว่าคนก็ไม่มีทางกู้สถานการณ์กลับมาได้แล้ว!


สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลที่ตามมาจากความรู้สึกส่วนตัวของเหมียวอี้ เพื่อที่จะเติมเต็มความพึงพอใจส่วนตัวของเขา กำลังพลสี่หมื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ กลับต้องเอาชีวิตมาทิ้ง ทั้งยังมีศพกำลังพลหลายแสนของน่านฟ้าระกาติงทีเกลื่อนกลาดเต็มสนามรบอีก


ความรู้สึกส่วนตัวครั้งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เต็มไปด้วยบาปกรรม และทำให้เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน จะให้เขาดีใจออกได้อย่างไร


เขาไม่ดีใจเลยสักนิด เรื่องบางเรื่องสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจเอากระดาษมาคลุมดับไฟได้ สุดท้ายจะให้คนพวกนี้มองตัวเองอย่างไร?


ว่ากันตามจริง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นกับกำลังพลตำหนักสวรรค์หรือกับกองมังกรดำใตบังคับบัญชา เขาไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันสักเท่าไร เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นแขกคนหนึ่งที่ผ่านมาเท่านั้น ไม่คิดจะเดินไปพร้อมกับคนพวกนี้จนถึงตอนสุดท้าย เขาเตรียมตัวจะหนีอยู่ตลอดเวลา แต่ละก้าวที่เขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้ ผ่านการเข่นฆ่าทั้งเล็กทั้งใหญ่มาเยอะขนาดไหน ขนาดตัวเขาเองยังนับไม่ถ้วนเลย นับไม่ถูกเช่นกันว่าข้างกายตัวเองมีคนตายไปเท่าไร เขาคุ้นชินกับสิ่งนี้นานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เก็บเรื่องการสละชีวิตเล็กน้อยมาใส่ใจ


แต่ในครั้งนี้ เมื่อเห็นการเข่นฆ่าอันดุเดือดยืนหยัดมาจนถึงตอนสุดท้าย ระหว่างนั้นถึงขั้นมีหลายครั้งที่เอาตัวเองล่อศัตรูแล้วตะโกนให้เขาหนีไปก่อน บรรดาคนอาบเลือดผู้รอดชีวิตที่ปีนออกมาจากกองคนตาย มโนธรรมของเขารู้สึกผิดจริงๆ รู้สึกว่าทำผิดต่อคนพวกนี้!


“ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่นายท่านมาคุมการรบด้วยตัวเอง คุมสถานการณ์การรบด้วยตัวเอง ก็คงจะไม่มีชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้!” มู่อวี่เหลียนกุมหมัดคารวะด้วยความเคารพนับถือ เป็นการขอบคุณแทนทุกคนเช่นกัน


เหมียวอี้รู้สึกผิดในใจ ไม่อยากรับความดีความชอบนี้ จึงได้แต่ยิ้มเรียบๆ พร้อมบอกว่า “ข้าก็ไม่ได้ฆ่าศัตรูไปเยอะเท่าไรหรอก เป็นพวกพี่น้องที่สละชีวิตทำศึก ยืนหยัดมาจนถึงตอนสุดท้าย ถึงได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด ความดีความชอบไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนเอาชีวิตแลกมา”


มู่อวี่เหลียนไม่เข้าใจความรู้สึกเขา จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “ความถูกผิดและความยุติธรรมล้วนอยู่ในใจคน ทุกคนได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว นายท่านถ่อมตัวเกินไป”


“ถ่อมตัวเกินไปเหรอ? ขอเพียงในภายหลังทุกคนไม่เกลียดข้าก็พอแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ เมื่อเห็นมู่อวี่เหลียนก็ยังต้องเกรงใจ ยกมือขึ้นตัดบทแล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “อย่ามัวชักช้าอยู่ที่นี่เลย กลับกันเถอะ ตามหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ฝังอยู่ใต้ดินออกมาให้หมด อย่าให้เหลือตกหล่น”


มู่อวี่เหลียนเข้าใจแล้ว ต่อให้ตำหนักสวรรค์จะทิ้งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไว้คันเดียวก็ต้องตามหาให้พบ มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบหนึ่งแสน ถ้าทำหายไปก็ไม่มีใครรับผิดชอบไหว ความรับผิดชอบนี้ แม้แต่น่านฟ้าระกาติงที่รบแพ้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่พวกเขาที่รบชนะแล้วไม่ยอมเก็บกวาดให้เรียบร้อย ปล่อยให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หายไปจะต้องรับผิดชอบแน่นอน พอนึกถึงตอนที่ตำหนักสวรรค์เคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายในตลาดผีเพื่อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นที่หายไป เขาก็รู้ถึงความร้ายแรงของมันแล้ว ดังนั้นต่อให้รู้ว่าอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้น แต่ก็จะต้องหากลับมาให้ได้ อย่าให้ขาดไปแม้แต่คันเดียว แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นมาไว้ในมือได้ ก็พอจะมีหลักประกันอยู่บ้าง


“รับทราบ!” นางเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดทัพทันที


จากนั้นทุกคนก็รีบกลับไปยังดาวเคราะห์ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว


ระหว่างทาง มีคนไม่น้อยรีบกินยาฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ ขณะเดียวกันก็เติมพลังงานให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง ส่วนมู่อวี่เหลียนก็รีบนับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรบ


ทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินมีกำลังพลประมาณสามแสนสามพัน ครั้งนี้มู่อวี่เหลียนได้รับคำสั่งให้นำกำลังพลมาห้าหมื่น ที่รอดชีวิตอยู่มีเพียงหนึ่งหมื่นกับเศษร้อยเท่านั้น มีคนรบตายไปเกือบสี่หมื่นคน ในจำนวนนั้นนักพรตบงกชรุ้งก็โดนล้อมโจมตีในตอนสุดท้ายจนตายไปครึ่งหนึ่งเช่นกัน เหมียวอี้นำคนไปด้วยหนึ่งร้อยสามคน ตอนนี้เหลืออยู่ห้าสิบคนพอดี ที่เหลือรบตายหมดแล้ว ความเสียหายในการรบสูงถึงแปดส่วนจริงๆ เสียหายอย่างหนัก!


หลังจากได้ยินมู่อวี่เหลียนรายงานแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาด้วยใบหน้าตึงเครียด ติดต่อหัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้ว พอเอ่ยปากก็บอกไปเพียงว่า : น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ!


อวี่จ้งเจินถูกเขาทำให้ตกใจแทบแย่ ล้อเล่นอะไรกัน เจ้าเวรนี่มันกำลังเล่นบ้าอะไร หยุดพักก่อนได้มั้ย? น่านฟ้าระกาติงจะก่อกบฏได้อย่างไร! ยังไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์โดยรวมตอนนี้ ทุกวันนี้น่านฟ้าระกาติงถูกควบคุมโดยกำลังพลที่ดึงตัวไปจากกองทัพองครักษ์ ถ้ามีคนกบฏจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เบื้องบนจะไม่รู้ข่าวเลยสักนิด!


อวี่จ้งเจินถามอย่างร้อนใจว่า : มันเรื่องอะไรกันแน่!


เหมียวอี้รายงานสถานการณ์รบทันที : น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ! ระดมทัพใหญ่หนึ่งล้านมาล้อมโจมตีกำลังพลห้าหมื่นของข้า กำลังพลที่ติดตามกองมังกรดำเข่นฆ่าอย่างดุเดือด โจมตีทัพกบฏหนึ่งล้านจนแตกพ่าย ประหารคนในทัพกบฏไปประมาณห้าแสน ฝ่ายเรารบตายไปเกือบสี่หมื่น มีเหลือรอดอยู่ประมาณหนึ่งหมื่นกว่าคน จอให้หัวหน้าภาครายงานตำหนักสวรรค์ให้ส่งกำลังพลมากวาดล้างน่านฟ้าระกาติงทันที!


อวี่จ้งเจินฟังจนอกสั่นขวัญแขวน เดิมทีนึกว่าเหมียวอี้กำลังพูดจาเหลวไหล ทัพใหญ่หนึ่งล้านล้อมโจมตีกำลังพลห้าหมื่นของเจ้า แถมเจ้ายังโจมตีอีกฝ่ายแพ้ด้วยเหรอ? ทั้งยังฆ่าได้ห้าหมื่นกว่าคน? อาศัยแค่กำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งเดียวของเจ้าเนี่ยนะ ขี้โม้เกินไปแล้วรึเปล่า!


แต่ถ้าจะบอกว่าเหมียวอี้เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นกับผู้บังคับบัญชาอย่างเขา ไม่เหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ควรจะเล่นกับผู้บังคับบัญชาสิ นี่มันเรื่องใหญ่นะ การล้อเล่นแบบนี้ในกองทัพไม่ถือว่าเป็นการล้อเล่นแล้ว เป็นการหาเรื่องใส่ตัวมากกว่า


คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกใช่มั้ย? อวี่จ้งเจินยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ไม่สนใจที่จะด่าเหมียวอี้แล้ว รีบเรียกคนของทัพกลาง ให้เขารีบติดต่อสายลับที่วางกำลังไว้ข้างล่างเพื่อถามสถานการณ์ให้ละเอียด


เขาติดต่อคนหลายคนที่รับหน้าที่เป็นสายลับไม่ได้ ขาดการติดต่อแล้วโดยสิ้นเชิง สุดท้ายก็ติดต่อได้แค่สายลับสองคนที่อยู่ในธงพยัคฆ์ ตอนยังไม่ถามก็ยังไม่รู้ แต่พอถามแล้วก็ตกใจทันที


เมื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่สายลับรายงานกับที่เหมียวอี้รายงานก็ยิ่งรู้ชัด ว่าเป็นความจริงไม่ผิดพลาดแน่นอน มันคือศึกนองเลือด! เป็นศึกเลือดที่กำลังพลห้าหมื่นสู้กับกำลังพลหนึ่งล้าน!


ในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมติดต่อสายลับของเขาไม่ได้เลย เพราะรบตายไปหมดแล้ว!


อวี่จ้งเจินที่ยืนอยู่หลังโต๊ะยาวตะลึงค้างอย่างถึงที่สุด เขาหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “บ้าไปแล้ว! ทุกคนบ้าไปแล้ว!”


คนที่รับหน้าที่วางกำลังสายลับก็ยืนเหม่อเช่นกัน…


หลังจากได้สติกลับมาแล้ว อวี่จ้งเจินก็ขมวดคิ้ว จากที่สายลับเพิ่งรายงานรายละเอียดมาเมื่อครู่นี้ก็รู้แล้ว จะบอกว่าน่านฟ้าระกาติงก่อกบฏก็เหมือนจะพูดเกินไป ดูแล้วเหมือนจะล้างแค้นให้ฉู่จื่อซานมากกว่า! แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะรวบรวมกำลังพลหนึ่งล้านมาโจมตีอย่างบ้าคลั่งเพื่อการล้างแค้นนี้ นี่ต้องใช้ความแน่วแน่สักแค่ไหนกัน ถ้าจะบอกว่าเบื้องหลังไม่มีใครบงการ เขาก็ไม่เชื่อหรอก!


เขาพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รายงานสถานการณ์ให้ฟังโดยละเอียด แต่กลับไม่ยอมบอกว่าน่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ มันคาบเส้นระหว่างล้างแค้นกับก่อกบฏ ให้เบื้องบนไปตัดสินใจเอาเอง


เขาไม่มีทางทำตัวเป็นคนบ้าเหมือนเหมียวอี้ ที่พอเอ่ยปากก็เล่นงานน่านฟ้าระกาติงให้ถึงตาย ถ้ายืนยันซ้ำๆ ว่าอีกฝ่ายก่อกบฏ เจ้ารู้มัย้ว่าก่อกบฏหมาความว่าอะไร? ผลลัพธ์นั้นต้องทำให้หัวคนร่วงลงพื้นเท่าไรถึงจะทำให้สงบได้? เกรงว่าท่านโหวที่อยู่เบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงก็หลุดพ้นข้อหาได้ยากเช่นกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของกองทัพองครักษ์ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องเขาไม่อาจพูดตัดสินซี้ซั้วได้!


เพียงแต่หลังจากรายงานขึ้นไปแล้ว เขาก็ยังชาวาบหนังศีรษะเหมือนเดิม เขาเอนกายบนเก้าอี้ มองเพดานโค้งพลางพึมพำกับตัวเองว่า “กำลังพลห้าหมื่นตีทัพที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่าย น่านฟ้าระกาติงมันรบยังไงของมัน…”


กำลังพลกลับมาที่สนามรบอันดุเดือด เหยียบลงในพื้นที่ดินที่พลิกม้วนจนเป็นร่องแอ่ง มองดูฉากที่มีศพเกลื่อนกลาด พอพลิกผิวดินขึ้นมาก็ยังมีศพอีกไม่น้อยที่โดนฝังอยู่ครึ่งเดียว บ้างก็มีแขนโผล่ออกมาข้างหนึ่ง บ้างก็มีต้นขาโผล่ออกมาข้างหนึ่ง บ้างก็มีตัวโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง เป็นฉากที่น่าสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง


กลุ่มคนที่ระหว่างทางยังปลาบปลื้มยินดีเพราะรบชนะเงียบกริบทันที มีคนไม่น้อยที่น้ำตาไหลโดยไร้เสียงสะอื้น


พอนึกถึงการเข่นฆ่าอันดุเดือด เสียงตะโกนฆ่าที่ดังฮึกเหิมราวกับยังดังก้องอยู่ข้างหูตัวเองไม่หยุด ภาพลูกน้องที่ส่งเสียงกรีดร้องและร่วงตกพื้นราวกับห่าฝนยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ มู่อวี่เหลียนที่ถือทวนค้ำพื้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าศพลูกน้องคนสนิทของตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)