คัมภีร์วิถีเซียน 1526-1530
ตอนที่ 1526 บรรลุระดับหลอมสุญตา
“หากคนผู้นี้บรรลุระดับผู้บัญชาการวิญญาณจริงๆ ก็จะมีกำลังช่วยพวกเราคลายผนึกได้มิใช่หรือ!” งูหลามยักษ์สามหัวเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ
“ตามหลักการแล้วก็เป็นเช่นนี้ แต่เหตุใดอีกฝ่ายจะต้องช่วยพวกเราล่ะ?” อสูรน้อยหัววัวแววตาเปล่งประกายรอคอย แต่ก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว และเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นว่า
“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่อยู่ในหมอกอเวจีทมิฬผู้นั้น เขาถึงได้ทิ้งพวกเราไป พวกเราติดต่อเขาไม่ได้มาร้อยกว่าปีแล้ว หากยังไม่ลองดูอีกล่ะก็ วันข้างหน้าพวกเราก็มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว” ”วานรสีทองที่ไม่ได้เอ่ยอะไรตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ด้านข้าง เบะปากเอ่ยขึ้น
“อืม ความหมายของสหายทั้งสองคือ…” อสูรน้อยหัววัวมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนใบหน้า
“หากคนผู้นี้บรรลุระดับขั้นสำเร็จ พวกเราก็ลองมอบสมบัติชิ้นนั้นให้คนผู้นี้ ให้เขาช่วยพวกเราคลายผนึก จากนั้นก็หนีไปให้ไกลเป็นอย่างไร?” วานรยักษ์เอ่ยด้วยเสียงทุ้ม
“ของชิ้นนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาระดับของพวกเราในภายภาคหน้า จะเอาไปให้คนนอกหรือ? หากเขาเก็บไปแล้วเปลี่ยนใจไม่คลายผนึกให้พวกเรา จะไม่แย่ไปใหญ่หรือ” อสูรน้อยหัววัวลังเลเล็กน้อย
“หากแม้แต่ชีวิตก็ยังไม่มี ต่อให้ของจะดีขนาดไหน พวกเราจะเก็บเอาไว้ทำประโยชน์อะไร ส่วนอย่างหลังนั้น คนผู้นี้ไม่ใช่คนเผ่าเดียวกันกับพวกเรา แต่จากการแลกเปลี่ยนสองสามครั้งก่อน ก็นับว่ายุติธรรมอยู่ คงไม่ไม่รักษาสัญญาหรอก ต่อให้เสี่ยงไปหน่อย จากสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้หากไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ ก็อาจจะเสียใจในภายหลังได้ คนผู้นี้คือผู้ที่มาจากภายนอก ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่” งูเหลือมยักษ์สามหัวร้อนรนเล็กน้อย และใช้หางยักษ์สะบัดไปบนพื้นดินด้วยความหงุดหงิดใจ จนกลายเป็นหลุมลึกสองสามฉื่อ
วานรสีทองฟังอยู่ด้านข้าง ก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
“ในเมื่อสหายทั้งสองคิดเช่นนี้ ข้าเองก็จะไม่โต้แย้ง แต่ตอนนี้ดูว่าคนผู้นั้นจะบรรลุระดับได้หรือเปล่าแล้วค่อยว่ากันเถิด หากล้มเหลวล่ะก็ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์” อสูรน้อยหัววัวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ยอมรับเรื่องนี้โดยดุษณี
แน่นอนว่าอสูรที่เหลืออีกสองตัวย่อมเห็นด้วย ทันใดนั้นก็ไม่ได้เอ่ยซักไซ้อะไรอีก ล้วนมองไปยังปรากฎการณ์ที่อยู่ไกลออกไปด้วยความกังวลใจ
ครานี้เมฆวงแหวนสีขาวบนยอดเขาห้าสีพลันขยายออกไปรอบด้านทีละนิดๆ ดูเหมือนค่อยๆ ขยายออกไป แต่ทุกวินาทีล้วนมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้นสองสามลี้
แค่ชั่วครู่เมฆวงแหวนก็ใหญ่จนสามารถปกคลุมภูเขายักษ์ทั้งลูกเอาไว้ได้แล้ว
เมื่อเมฆวงแหวนเปลี่ยนแปลงไป พายุหมุนด้านในก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ไม่อาจต้านทานได้
ม่านลำแสงห้าสีด้านล่างเริ่มถูกพายุหมุนดูดเข้าไปด้วยความเร็วที่น่าพรั่นพรึง ม่านลำแสงที่ปกคลุมภูเขายักษ์ค่อยๆ บางตาลง
และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า หมอกลำแสงห้าสีที่รวมตัวกันไปหาภูเขายักษ์จากรอบด้านก็เริ่มบางตาลง ในที่สุดไอวิญญาณฟ้าดินที่กลายเป็นลำแสงวิญญาณเหล่านี้ก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว และถูกพายุหมุนม้วนกวาดไป ทยอยกันจมหายเข้าไปในวงแหวนเมฆา
วงแหวนยักษ์ตรงตีนเขาดูคล้ายกับชามยักษ์ที่มีแสงห้าสีปรากฎขึ้นที่ก้นชาม
เมื่อม่านลำแสงชั้นสุดท้ายของภูเขายักษ์หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว พายุหมุนพลันหยุดชะงัก กลางวงแหวนเมฆาเงียบสงัด มีเพียงลำแสงห้าสีกระพริบวาบๆ อยู่บางจุดในวงแหวน ราวกับความเงียบสงบก่อนคลื่นลมพายุจะโหมกระหน่ำอย่างไรอย่างนั้น
ฉับพลันนั้นเสียงร้องแหลมสูงราวกับเสียงมังกรคำรามพลันดังออกจากส่วนลึกของภูเขายักษ์ ยอดเขายักษ์มีลำแสงสีทองสว่างวาบ พระพุทธรูปยักษ์สามเศียรหกหัตถ์ปรากฎขึ้น
ร่างของพระพุทธรูปสูงถึงพันจั้ง เรือนร่างเปล่งแสงสีทองเรืองรอง ราวกับของจริงอย่างไรอย่างนั้น เศียรทั้งสามเงยขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้าที่เลือนรางแต่เดิมมีลำแสงสีทองเจิดจ้าสองดวงปรากฎขึ้น พากันเบิกตาสีทองแดงที่ไร้ซึ่งความรู้สึกออกมาคู่หนึ่ง พลางจ้องเขม็งไปยังในวงแหวนเมฆาพร้อมกัน
ฉับพลันนั้นเศียรทั้งสามพลันสั่นเทาพร้อมกัน เสียงกรีดร้องแหลมสูงราวกับผลึกทองคำสามเสียงดังออกมาจากปากอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับทั่วท้องฟ้ามีอสนีฟ้าฟาดอย่างไรอย่างนั้น
เหล่าอสูรธรรมดาที่อยู่ไกลออกไปยังพอว่า เมื่อได้ยินเสียงนี้นอกจากจะตกใจจนขวัญกระเจิงแล้ว ก็ไม่มีท่าทีผิดแผกไป ส่วนอสูรปีศาจระดับกลางและต่ำที่มีพลังปีศาจอยู่ในร่างแล้ว ก็รู้สึกเพียงว่าสองหูอื้ออึง ราวกับอยู่ท่ามกลางคลื่นพายุ จิตสัมผัสว่างเปล่าไปชั่วขณะ ไม่อาจไตร่ตรองสิ่งอื่นใดได้
เสียงกรีดร้องยาวๆ ของพระพุทธรูปยักษ์ดังต่อเนื่องไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชาแล้วถึงได้หยุดลง จากนั้นพระหัตถ์ทั้งหกพลันร่ายอาคม
หลังจากเสียงอึกทึกดัง “ครืนๆ” ดังขึ้น ลำแสงหลากสีรอบด้านพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ภาพลวงตาที่มีขนาดแค่ครึ่งของพระพุทธรูปสี่ภาพพลันปรากฎขึ้น
วิหคยักษ์สีเขียวตัวหนึ่ง นกยูงห้าสีตัวหนึ่ง มังกรวารีสีทองห้ากรงเล็บตัวหนึ่ง รวมทั้งหงส์หลากสียักษ์ตัวหนึ่ง
เมื่อภาพลวงตาวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสี่ปรากฎขึ้น ทุกตนล้วนเปล่งเสียงร้องราวกับเสียงเพรียกของหงส์และมังกรคำรามออกมา จากนั้นบ้างก็สยายปีกออก บ้างก็สะบัดหัวสะบัดหาง บินฉวัดเฉวียนล้อมรอบพระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์เอาไว้
ใบหน้าที่หน้าตาลางเลือนไม่ชัดเจนสองหน้าของพระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์พลันมีสายฟ้าสว่างพร่าง ชั่วครู่ก็ชัดเจนขึ้น คาดไม่ถึงว่าหน้าตาธรรมดาๆ ของหานลี่จะปรากฎขึ้นพร้อมกัน
ดวงตาบนใบหน้าทั้งสองเปล่งลำแสงสีทองสว่างวาบ สีหน้าเคร่งขรึมมาก ไม่รู้เพราะเหตุใดมีเพียงเศียรสุดท้ายที่ยังมีใบหน้าเลืองราง ไม่อาจมองให้กระจ่างได้เลยสักนิด
ใบหน้าหนึ่งเปล่งเสียงตะโกนออกมา เงาลวงตาของวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสี่ที่อยู่รอบด้านพลันหยุดชะงัก จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางตรงไปหาร่างอันใหญ่ยักษ์ของพระพุทธรูป
ผลคือลำแสงสว่างวาบ เงาลวงตาทั้งสี่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ร่างของพระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์สั่นคลอน ทันใดนั้นหัตถ์ทั้งหกพลันโบกสะบัด เรือนร่างที่มีลำแสงสีทองไหลเวียนอยู่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
เดิมทีร่างสูงพันจั้ง ชั่วครู่ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนสูงกว่าภูเขายักษ์ด้านล่างหนึ่งช่วงศีรษะ
ครานี้เงาสีทองบาทเหยียบอยู่บนพื้นดิน เศียรทะลุเมฆ สองหัตถ์ยกขึ้น ราวกับว่าสามารถยื่นแขนเข้าไปในม่านลำแสงในวงแหวนเมฆาได้
และในตอนนั้นเองเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตอันไพเราะก็ดังออกมาจากเศียรเศียรหนึ่งที่เผยเครื่องหน้าออกมา จากนั้นเศียรทั้งหกก็ชี้ไปยังที่ว่างในวงแหวนทรงกลมพร้อมกัน
ชั่วขณะนั้นวงแหวนเมฆาที่เดิมเงียบสงัด ก็มีการเคลื่อนไหว
หมอกลำแสงสว่างวาบ วงแหวนเมฆายักษ์ลดระดับลงมาอย่างเงียบเชียบ ปกคลุมพระพุทธรูปยักษ์ทั้งหมดเอาไว้ และลดระดับจนมาถึงช่วงเอวของพระพุทธรูป แล้วหยุดชะงักลง
แต่เมื่อสิ่งนี้ล้อมรอบพระพุทธรูปอยู่ ก็หมุนโคจรไปมาไม่หยุด
ฉากที่น่าอัศจรรย์พลันปรากฎขึ้น!
ม่านลำแสงทั้งห้าในวงแหวนทรงกลมทะลักเข้าไปในร่างของพระพุทธรูป ทำให้ครานั้นร่างของพระพุทธรูปเปลี่ยนจากสีทองกลายเป็นสีสันงดงามราวกับสีเคลือบเงา
ท่ามกลางกระบวนการนั้น ร่างของพระพุทธรูปก็สั่นคลอนไปมาไม่หยุด ใบหน้าสองหน้าเผยสีหน้าแห่งความเจ็บปวดรวดร้าวออกมา ราวกับว่าทุกครั้งที่หมอกลำแสงห้าสีทะลวงเข้าไปในร่างส่วนหนึ่ง ก็จะทำให้เจ็บปวดยิ่งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
และระดับในการทะลวงเข้าไปของหมอกลำแสงก็น่าตกตะลึงยิ่งนัก!
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ม่านลำแสงทั้งหมดในวงแหวนเมฆาก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้กระทั่งเมฆาวิญญาณสีขาวนวลตรงขอบ เมื่อพระพุทธรูปเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา ก็กลายเป็นลูกบอลลำแสงสีขาวนวลสองสามร้อยลูกและลอยคลอเคลียไปมาอยู่รอบๆ
ครานี้เศียรทั้งสามอ้าปากออกพร้อมกัน พ่นหมอกลำแสงสีทองออกมา คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันสูบลูกบอลลำแสงสีขาวเหล่านี้เข้าไปในท้อง และไม่แยกออกจากกันอีก
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น สีหน้าเจ็บปวดบนใบหน้าของพระพุทธรูปก็ลดลงไปไม่น้อย แต่ก็หดตัวเล็กลงอย่างฉับพลันท่ามกลางสีเคลือบมันวาวที่ไหลโคจรไปมาอยู่บนผิว
ชั่วพริบตาพระพุทธรูปที่ดูเหมือนภูเขายักษ์ก็กลายเป็นเงาร่างคนธรรมดาที่ถูกม่านลำแสงห้าสีห่อหุ้มเอาไว้เป็นชั้นๆ
เงาร่างคนนี้นั่งสมาธิอยู่เหนือภูเขา สองมือร่ายอาคม ลอยอยู่กลางอากาศนิ่งไม่ปริปากใดๆ
พลังแรงกดและปรากฎการณ์บนท้องฟ้าหายวับไปอย่างไม่เหลือร่องรอย ราวกับทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างไรอย่างนั้น
เหล่าอสูรและปีศาจระดับกลางและต่ำที่อยู่ไกลออกไปถึงได้ทยอยกันหายจากความตระหนกตกใจ
เหล่าอสูรธรรมดาปีนขึ้นมาจากบนพื้นดิน หลังจากร้องคร่ำครวญสองสามครั้ง ก็ทยอยกันวิ่งกรูกันเข้าไปที่รังของตนเองอย่างหวาดผวา ไม่กล้ามองไปทางภูเขายักษ์อีกเลยแม้แต่แวบเดียว
อสูรปีศาจระดับต่ำที่เพิ่งพัฒนาระดับขั้นต่างๆ ราวกับได้รับพระราชทานอภัยโทษอย่างไรอย่างนั้น ล้วนขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีหลีกลี้หนีไปไกล
“เป็นอย่างไรบ้าง คนผู้นี้บรรลุระดับสำเร็จหรือไม่?” สถานการณ์ของอสูรน้อยหัววัวและเหล่าอสูรปีศาจระดับกลางสองสามตนยังดีหน่อย แต่วานรสีทองตนนั้นที่เมื่อครู่ทำได้เพียงฝืนยืนให้ตรงเอาไว้ในครานี้กลับเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ไม่รู้สิ การบรรลุระดับผู้บัญชาการวิญญาณของคนผู้นั้นน่าจะยังไม่เสร็จสิ้น ปรากฎการณ์น่าตกใจบนท้องฟ้าเมื่อครู่ เป็นแค่สิ่งที่คนผู้นี้ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆ ไปใช้เท่านั้น อย่ามองว่าครานี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นี่ถึงจะก็ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการทะลวงระดับ” อสูรน้อยหัววัวดูเหมือนจะรู้อะไรมาเล็กน้อย มองไปยังเงาลำแสงห้าสีสายนั้นที่อยู่เหนือภูเขายักษ์ด้วยแววตาแปลกประหลาด ปากก็เอ่ยพึมพำออกมาอย่างเชื่องช้า
งูเหลือมยักษ์สามหัวและวานรปีศาจได้ยินคำนี้ต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และอดไม่ไหวมองไปทางภูเขายักษ์อีกแวบหนึ่ง
“พวกเราไปกันเถิด! การทะลวงจุดคอขวดของคนผู้นี้ไม่มีทางเสร็จสิ้นได้ในเวลาอันสั้น เดาว่าอย่างน้อยก็สองสามวัน มากหน่อยก็สองสามเดือน หากพวกเราอยู่ที่นี่นานนัก อาจจะไปละเมิดข้อห้ามของคนผู้นี้โดยง่าย กลับจะกลายเป็นความโง่เขลา!” อสูรน้อยหัววัวดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา
อสูรที่เหลืออีกสองตนได้ยิน พลันใจหายวาบ และเอ่ยสนับสนุนเช่นกัน
ทันใดนั้นปีศาจทั้งสามก็ม้วนตัวขึ้นไปพร้อมกับพายุปีศาจ แล้วพุ่งตรงไปยังทิศทางตรงข้ามทันที
หลังจากผ่านไปชั่วครู่พายุปีศาจก็หายวับไปจากขอบฟ้า ไม่เห็นร่องรอยใดๆ อีก
เงาร่างคนที่อยู่กลางม่านลำแสงห้าสีเหนือภูเขายักษ์ แค่หลับตาทั้งสองข้างลง ท่าทางเหมือนไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ราวกับไร้ความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น
หนึ่งวัน สองวัน ห้าวัน สิบวัน…
เวลาผ่านไปสองเดือนเต็ม เงาร่างของคนผู้นี้ยังคงลอยอยู่เหนือภูเขา ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
มีเพียงม่านลำแสงห้าสีที่ปกคลุมเงาร่างคนอยู่นั้น ที่เปล่งแสงเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ปีศาจระดับกลางที่แอบมาวนเวียนสองสามครั้งเห็นแล้วอดที่จะร้องชมว่าสุดยอดไม่ได้ ในเวลาเดียวกันพวกมันก็รู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
ทว่าช่วงเวลานี้บางครั้งเหล่าอสูรที่ลืมปรากฎการณ์บนท้องฟ้าก่อนหน้าไปแล้วก็บุกทะลวงเข้ามาในอาณาเขตร้อยลี้ของภูเขายักษ์ แต่กลับมีหมอกสีขาวปรากฎขึ้นแล้วทยอยกันหายวับไป
รอบๆ ภูเขายักษ์ถูกคนวางเขตอาคมขนาดใหญ่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเข้าใจใกล้ใจกลางมากเท่าไหร่ อานุภาพของเขตอาคมก็จะยิ่งลึกลับมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือน ร่างของเงาร่างคนในม่านลำแสงก็สั่นเทา หมอกลำแสงห้าสีที่ผิวหมุนโคจรเป็นระลอกๆ ในที่สุดก็ลืมตาขึ้น
จากนั้นเสียงกรีดร้องยาวๆ ก็หลุดออกมาจากปากของเงาร่างคน!
เสียงกรีดร้องครั้งนี้ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์อะไรแฝงอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงกรีดร้องแห่งความยินดี
เมื่อเสียงกรีดร้องหยุดลงไปชั่วครู่ เงาร่างคนก็หยัดกายลุกขึ้น โบกแขนทั้งสอง ม่านลำแสงห้าสีรอบๆ กลายเป็นดวงลำแสงวิญญาณสลายหายไป
จากนั้นสองมือของเงาร่างคนพลันร่ายอาคม แผ่นหลังมีปีกขนนกคู่หนึ่งปรากฎขึ้น หลังจากเสียงฟ้าฟาดดังขึ้น คนก็หายวับไปจากกลางอากาศ
ตอนที่ 1527 บวงสรวง
ตรงส่วนลึกของภูเขายักษ์ ภายในห้องลับของถ้ำพำนัก ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างของหานลี่ปรากฎตัวออกมา
ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดี
ภายใต้ความช่วยเหลือของของเหลววิญญาณคางคกเที่ยงแท้ เมื่อฝึกฝนอย่างหนักมาร้อยกว่าปี เขาก็ฝึกฝนจนมาอยู่ในระดับยอดสุดของระดับเทพแปลงขั้นปลายแล้ว ในที่สุดพลังเทวาบริสุทธิ์ของพระสารีริกธาตุของวิหคสวรรค์เองก็ถูกหลอมจนเกลี้ยง และได้คาถาลับในการหลอมโลหิตวิญญาณเที่ยแท้ทั้งสองชนิดมาจากมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์
เช่นนั้นแน่นอนว่าเขาจึงหลอมโลหิตวิญญาณทั้งสองชนิดเข้าไปในร่างอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด ในเวลาเดียวกันก็เรียนรู้เคล็ดวิชาตื่นจากจำศีลแปลงกายของมังกรเที่ยงแท้และหงส์สวรรค์ทั้งสองชนิดไปด้วย
หานลี่ในครานี้ไม่ว่ากายเนื้อหรือพลังลมปราณต่างก็อยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ อยู่ในระดับยอดสุดที่จะมีได้ในระดับเทพแปลงแล้ว
และในเวลาเดียวกันแกนผลตาข่ายสีเขียวเม็ดนั้นก็ถูกบ่มเพาะจนกลายเป็นต้นผลตาข่ายสีเขียวสองสามต้น
เขาใช้ผลชนิดนี้เป็นวัตถุดิบหลัก หลังจากล้มเหลวไปสองสามครั้ง ก็หลอมยาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์สำเร็จเตาหนึ่งได้มาสิบกว่าเม็ด
ภายใต้สถานการณ์ที่เตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว ในที่สุดหานลี่จึงเริ่มทะลวงระดับหลอมสูญโดยมียาลูกกลอนเพลิงทมิฬสามเม็ดและยาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์สามเม็ดคอยช่วยเหลือ
จะว่าไปแล้วก็นับว่าหานลี่นั้นดวงดีไม่เลว
ในบรรดายาลูกกลอนตาข่ายสวรรค์สามเม็ดนั้นได้ผลไปสองเม็ด ทำให้ประสิทธิภาพของยาลูกกลอนเพลิงทมิฬสองเม็ดเพิ่มขึ้นสองสามส่วน
ภายใต้เงื่อนไขที่ครบครันเช่นนี้ หานลี่ใช้เวลาไปสองสามเดือน ในที่สุดก็รวบรวมพลังปราณฟ้าดินในรัศมีหมื่นลี้มาไว้ในร่างกายได้ และพัฒนาขึ้นมาสู่ระดับหลอมสูญได้สำเร็จอย่างราบรื่น
ไม่ว่าพลังยุทธ์หรือจิตสัมผัสล้วนเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า
แต่ครานี้หานลี่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศในห้องลับ หลับตาทั้งสองลงพลางสัมผัสทุกสรรพสิ่งรอบๆ
เดิมรู้สึกได้ถึงพลังปราณฟ้าดินที่ลางเลือน ครานี้กลับเป็นชัดเจนแล้ว ราวกับว่ายกมือก็สามารถรวบรวมพลังปราณเหล่านี้มาอยู่ในมือได้ และจับมาจากกลางอากาศได้อย่างไรอย่างนั้น
คาดไม่ถึงว่าเปลือกตาของเขาจะขยับ ยกมือขึ้นตะปบไปกลางอากาศในบริเวณนั้นจริงๆ
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น ผลึกลำแสงห้าสายที่ดูเหมือนมีรูปร่างพุ่งออกมาจากหว่างนิ้ว ทันใดนั้นจุดลำแสงวิญญาณที่อยู่ในบริเวณนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ จุดลำแสงห้าสีขนาดเท่าเม็ดข้าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในผลึกลำแสง
ทันใดนั้นผลึกลำแสงพลันขยายใหญ่ขึ้น มือยักษ์ห้าสีเปล่งแสงแวววาวข้างหนึ่ง ปรากฎขึ้นจากกลางอากาศ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! หลังจากบรรลุระดับหลอมสูญแล้ว ระดับการควบคุมพลังปราณฟ้าดินก็แตกต่างจากระดับเทพแปลงราวกับฟ้ากับเหวแล้ว” หานลี่เอ่ยพึมพำ
ระดับเทพแปลงของเขาทำได้แค่สัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินและนำมาใช้ได้เพียงผิวเผินเท่านั้น ครานี้จึงจะนับว่าสามารถควบคุมพลังปราณฟ้าดินได้อย่างแท้จริง แค่ยกมือขึ้นสำแดงเคล็ดวิชาใดๆ ออกมา กอปรกับพลังปราณฟ้าดินล้วนทรงพลังกว่าเดิมไม่น้อย หากเป็นอิทธิฤทธิ์ที่อาศัยพลังปราณฟ้าดินโดยเฉพาะ คิดดูแล้วอานุภาพก็คงจะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง อาจจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นสองสามเท่าก็เป็นได้
หานลี่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา โบกสะบัดมือ มือยักษ์แวววาวเบื้องหน้าพลันสลายหายไป
ร่างของหานลี่ลดระดับลงบนพื้นดินอย่างเชื่องช้า
กวาดสายตาไปตกยังสิ่งที่อยู่มุมหนึ่งของห้องโถง นั่นก็คือภูเขาเทวะดูดปราณที่วางอยู่ตรงนั้นมาร้อยปีแล้ว
ร้อยกว่าปีที่ผ่านมาหานลี่ได้นำก้อนหินที่เหลืออยู่สองก้อนใส่เข้าไปหลอมในภูเขาลูกนี้
ลองคำนวณเวลาดูก็ดูเหมือนว่าน่าจะถึงเวลาอันสมควรแล้ว
เมื่อครุ่นคิดเช่นนี้ หานลี่ก็ใช้มือหนึ่งกวักเรียกไปยังจุดที่ไกลออกไปอย่างไม่ลังเลอีก
เสียง “ตึง” ดังขึ้น ห้องลับทั้งห้องสั่นสะเทือน ภูเขาน้อยสีดำหมุนวนบินขึ้นไปข้างบน ตรงมาทางนี้
นิ้วทั้งห้าแยกออกจากกัน ชั่วขณะนั้นภูเขาน้อยสีดำพลันหยุดอยู่ใกล้กับที่นี่แค่คืบท่ามกลางเสียงร้องคำราม
ครั้งนี้หานลี่พลันพินิจอย่างละเอียด
เทียบกับก่อนหน้าแล้วภูเขาเทวะดูดปราณดูไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ยังคงเป็นสีดำสนิท
ทว่าถูกเขาเรียกมาอย่างง่ายดายไม่เปลืองแรงเลยสักนิดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าก้อนหินในภูเขาถูกหลอมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับภูเขาลูกนี้แล้ว
มิเช่นนั้นแม้ว่าพลังปราณของของจะเพิ่มขึ้น ก็ไม่อาจควบคุมได้อย่างสบายๆ เช่นนี้
เขาพยักหน้า อาคมสายหนึ่งโจมตีไปยังภูเขาลูกเล็ก
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เมื่ออาคมสัมผัสกับตัวภูเขาก็จมหายไปอย่างไม่เห็นเงาทันที
ส่วนผิวของภูเขาลูกเล็กพลันเปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า เปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงิน
นั่นก็คือวิหคเพลิงกลืนวิญญาณ!
เห็นได้ชัดว่าขนาดของวิหคเพลิงตัวนี้เล็กกว่าแต่เดิมเท่าหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นท่าทางยังซูบผอมไปเล็กน้อย!
แสดงให้เห็นว่าการหลอมก้อนหินไม่หยุดร้อยกว่าปี ทำให้เพลิงชนิดนี้สูญเสียพลังพื้นฐานไปไม่น้อย
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ปากพลันสบถต่ำๆ ออกมา ยกมือขึ้นชี้ไปทางวิหคเพลิง
ชั่วขณะนั้นวิหคเพลิงตัวนี้พลันพุ่งมาหาหานลี่ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ทะลวงเข้ามาในร่าง
เกรงว่าหานลี่คงจะต้องบ่มเพาะในร่างกายสักรอบหนึ่ง ถึงจะสามารถทำให้เพลิงชนิดนี้ฟื้นฟูปราณแท้กลับมาได้
หานลี่เผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา ร่ายอาคมสายหนึ่งโจมตีไปยังภูเขาน้อยสีดำ
ภูเขาลูกนี้หมุนคว้าง เปล่งแสงสีเทาสว่างวาบแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาหานลี่พลันพลิกฝ่ามือสีดำสนิทข้างหนึ่งขึ้น
ท่ามกลางลำแสงสีดำที่เปล่งแสงสว่างวาบ กลางฝ่ามือพลันมีภูเขาขนาดจิ๋วสูงสามชุ่นปรากฎขึ้น จากนั้นก็ร่อนลงมาด้านล่างอย่างไม่เกรงใจ
เปล่งแสงสว่างวาบแล้ว ภูเขาขนาดจิ๋วหายวับไป
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น หลังมือกลับมีลายรูปภูเขาสีเงินปรากฎขึ้น
ชั่วพริบตานั้นหานลี่ก็ผนึกภูเขาเทวะดูดปราณเข้าไปในฝ่ามืออีกครั้ง
แต่ฉับพลันนั้นหานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี แขนที่เดิมทีชูขึ้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันร่างกายก็ถูกพาให้เซถลาไปเบื้องหน้า
“แย่แล้ว!”
หานลี่ร้องอุทานในใจ งอเข่าทั้งสองอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันแขนอีกข้างหนึ่งก็ลางเลือนไปเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นพลันประคองฝ่ามือที่ตกลงสู่เบื้องล่างเอาไว้
จากนั้นร่างกายก็พลิ้วไหวอย่างต่อเนื่องสองสามครั้ง สุดท้ายก็ยืนได้อย่างมั่นคง
ชั่วพริบตาที่ผนึกภูเขาเทวะดูดปราณไปบนในฝ่ามือนั้น แขนทั้งแขนจึงเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งทันที แม้ว่าเขาจะมีพลังเทวะที่น่าตกตะลึง ก็เกือบจะถูกกดจนล้มลงกับพื้น
ครานี้แค่ฝืนรักษากิริยาเอาไว้เท่านั้น
แน่นอนว่าหานลี่ทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว แต่ชั่วพริบตาที่จิตสัมผัสเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็วนั้น ก็เข้าใจขึ้นมาในที่สุด
แม้ว่าก่อนหน้าจะใช้คาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติและฝ่ามือหลอมภูเขาเทวะดูดปราณจนเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างแล้ว แต่เมื่อใส่วัตถุดิบอย่างก้อนหินเหล่านี้ลงไป กลับยังไม่เคยผ่านการบวงสรวงด้วยคาถานี้ ดังนั้นเมื่อเก็บเข้ามาในร่างถึงได้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น
ดูแล้วหากอยากควบคุมภูเขาลูกนี้ได้อย่างสมประสงค์เมื่อในอดีต คงต้องใช้คาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติบวงสรวงใหม่อีกครั้งถึงจะใช้ได้
เมื่อขบคิดอย่างละเอียดเช่นนี้รอบหนึ่ง หานลี่ก็ไม่ลังเลอีก พลันนั่งขัดสมาธิลงในทันใด มือหนึ่งถือแขนข้างหนึ่งเอาไว้ เหนือศีรษะมีลำแสงสีทองสว่างวาบ ตรงหน้าผากมีทารกวิญญาณสีทองอมเขียวสูงครึ่งฉื่อปรากฎออกมา
ทารกวิญญาณผู้นี้มีสีหน้าเคร่งขรึม หมอกลำแสงสีทองอมเขียวสองสีเปล่งออกมาจากร่างระยิบระยับ!
แต่ทันใดนั้นทารกวิญญาณผู้นี้ก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม อ้าปากเล็กๆ ออก ชั่วขณะนั้นพลันพ่นเปลวเพลิงสีเขียวดวงหนึ่งออกมา โจมตีไปยังภูเขาน้อยที่ผนึกอยู่บนฝ่ามือข้างนั้น
มือนี้เป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ชั่วพริบตาพลันถูกเพลิงทารกสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้
กายเนื้อของหานลี่หลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันที่แผ่นหลังพลันมีลำแสงสีทองสว่างวาบ พระพุทธรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง และนั่งสมาธิร่ายอาคมอยู่เช่นกัน แต่แค่เห็นได้ชัดว่าพระพุทธรูปในครานี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับความหนาหรือลำแสงสีทองที่แผ่ออกมา ก็เหนือชั้นกว่าคราที่หานลี่อยู่ในระดับเทพแปลงเป็นอย่างมาก
มองจากไกลๆ พระพุทธรูปสามเศียรหกหัตถ์ดูราวกับรูปปั้นทองคำสมจริงอย่างไรอย่างนั้น
ครั้งนี้หานลี่ใช้คาถาร้อยชีพจรบวงสรวงสมบัติหลอมภูเขาเทวะดูดปราณอีกครั้งไปครึ่งปีเต็มๆ โชคดีที่ภูเขาลูกนี้ถูกบวงสรวงไปแล้วครั้งหนึ่ง ครานี้แค่ละลายก้อนหินที่อยู่ในภูเขาเหล่านั้นแล้วบวงสรวงอีกเล็กน้อย มิเช่นนั้นคงไม่ได้เสียเวลาไปเพียงเท่านี้แน่นอน
วันนี้ทารกวิญญาณหยุดเพลิงทารกวิญญาณที่พ่นออกมาจากปากลง จากนั้นลำแสงบนร่างพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนหานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี มือที่ร่ายอาคมพลันผ่อนลง จบการบวงสรวงในครั้งนี้
แม้ว่าระยะเวลาสั้นเช่นนี้จะไม่อาจบวงสรวงทั้งหมดได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ทำให้ฝ่ามือหนักอึ้ง ระดับความลึกซึ้งที่เหลือ แน่นอนว่ารอให้ภูเขาลูกนี้ถูกผนึกไว้ในฝ่ามือเสร็จแล้ว ค่อยๆ ถูกเขาหลอมเข้ากับฝ่ามือจนเป้นหนึ่งเดียวกันทีละนิดๆ อีกครั้ง
ช่วงเวลานี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
แขนขยับ หานลี่ขยับฝ่ามือที่มีภูเขาน้อยผนึกอยู่เล็กน้อย เมื่อไม่รู้สึกผิดปกติแล้ว ใบหน้าก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
ในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นหานลี่พลันขมวดคิ้ว แล้วลุกขึ้นยืน สาวเท้ายาวๆ ออกไปจากประตู
เสียง “ครืด” ดังขึ้น ประตูหินอันหนักอึ้งเปิดออกโดยอัตโนมัติ
ร่างกายของหานลี่พลิ้วไหว คนมาปรากฎตัวด้านนอกห้องลับ
ด้านนอกห้องลับ มนุษย์น้อยเรือนกายสีดำสนิทลอยอยู่กลางอากาศ มองมาทางหานลี่พร้อมกับอมยิ้ม
นั่นก็คือทารกวิญญาณที่สอง!
หานลี่เองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ทารกวิญญาณที่สองร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งจมหายเข้าในหน้าผากของหานลี่
หานลี่หลับตาลงขบคิดเล็กน้อย และทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกือบขึ้นในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาอย่างละเอียด
“มิคาดว่าอสูรปีศาจเหล่านั้นจะมาหาถึงที่ และยังอยากพบข้า?” หานลี่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แววตาฉายแววประหลาดใจ
ทว่าเขากลับไม่ได้ลังเลอะไร สาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังห้องโถงทันที
หลังจากหักเลี้ยวไปสองสามครั้ง หานลี่ก็มาปรากฎตัวตรงประตุของห้องโถง ด้านในมีเสียงพูดคุยดังแว่วออกมา
หานลี่มุ่นหัวคิ้ว เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจทันที
เสียงพูดคุยของผู้ที่อยู่ด้านในหยุดชะงักลงทันที ทุกสายตาล้วนพุ่งปราดเข้ามา ผลคือทุกตนล้วนตกตะลึงจนตาค้าง!
หานลี่กวาดสายตไปเห็นทั้งสองฝั่งของห้องโถงมีอสูรปีศาจยืนอยู่สี่ตน นั่นก็คืออสูรน้อยหัววัว วานรสีทอง งูหลามสามหัวรวมทั้งปีศาจหมูยักษ์ทั้งสี่ตนที่เคยเจรจาแลกเปลี่ยนดอกกระดิ่งพฤกษากับเขาตอนนั้น
ตรงตำแหน่งหลักมีผู้ที่ฉีกยิ้มจนตาหยีสวมชุดคลุมสีเขียวนั่งอยู่ ที่น่าแปลกคือนั่นคือ ‘หานลี่’ อีกคนหนึ่ง!
‘หานลี่’ ที่นั่งอยู่เห็นหานลี่เข้ามา ก็หุบยิ้ม ชั่วขณะนั้นพลันหยัดกายลุกขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากคารวะหานลี่อย่างนอบน้อมแล้ว ก็เอ่ยขึ้น
“คารวะนายท่าน ขอแสดงความยินดีที่นายท่านบรรลุระดับขั้นสำเร็จขอรับ!”
“อืม ที่ผ่านมาต้องลำบากเจ้าแล้ว!”
เป็นเพราะหานลี่รู้ทุกอย่างผ่านทารกวิญญาณที่สองแล้ว จึงไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แค่พยักหน้าแล้วโบกมือให้เขา
“เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่วิญญาณครวญควรทำ แต่แค่เรื่องนี้ออกจะใหญ่ไปสักหน่อย จำต้องให้นายท่านจัดการด้วยตนเอง!” ‘หานลี่’ ตอนกลับอย่างนอบน้อม ทันใดนั้นพลันเหล่ตาไปด้านข้าง ไปตกอยู่บนร่างของปีศาจที่ตกตะลึงจนตาค้างเหล่านั้น ชั่วขณะนั้นพลันแบะปากแสยะยิ้มออกมา
จากนั้นร่างของเขาพลันพลิ้วไหว ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นวานรน้อยขนาดครึ่งฉื่อท่ามกลางลำแสงสีดำ หลังจากนั้นก็ตีลังกาบินมาทางหานลี่
หานลี่สะบัดแขนเสื้อ ม่านลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ วานรน้อยจมหายเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย
“เอาล่ะ ครานี้พวกเจ้ากล่าวจุดประสงค์ที่มาถึงที่นี่อีกครั้งได้แล้ว!” หานลี่สาวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว นั่งลงบนตำแหน่งหลักที่อสูรวิญญาณครวญนั่งอยู่เมื่อครู่ แววตาเปล่ปงระกาย เอ่ยถามอสูรทั้งสี่ที่อยู่ด้านล่างด้วยท่าทีทระนงองอาจ
ตอนที่ 1528 ซากเก้าอเวจี
ตัวประหลาดโยนขวดหยกในมือขึ้นไปกลางอากาศ อัญเชิญมันออกไป
ชั่วพริบตานั้นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพลันปรากฎขึ้นกลางอากาศ เสียงอึกทึกดังขึ้น เงาลวงตาที่เหมือนกับขวดหยกอย่างไม่มีผิดเพี้ยนสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้น หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็ขยายใหญ่ออกจนมีขนาดสิบจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นในขวดยังมีเสียงเพรียกของวิหคดังออกมา ปากขวดเคลื่อนไหวไปมา หันทางไปทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น คลื่นสีฟ้าอีกด้านพลันเกิดความเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ขึ้น
เห็นเพียงตรงใจกลางของคลื่นสีฟ้ามีเสาลำแสงเจิดจ้าสายหนึ่งพ่นออกมา ผิวน้ำทั้งหมดกลิ้งไปรอบด้านราวกับน้ำตก ส่วนใจกลางของคลื่นน้ำพลันมีน้ำเต้าสีฟ้าขนาดเท่าเงาขวดปรากฎขึ้น หมุนคว้างไปมา ปากน้ำเต้าตรงกับทะเลหมอกอเวจีทมิฬอย่างพอดิบพอดี
เผ่าประหลาดสองคนพลันร่ายอาคมกระตุ้นสมบัติ ชั่วขณะนั้นเสียง “ฟู่ๆ” พลันดังขึ้น อันหนึ่งพ่นเสาลำแสงสีเขียวหนาๆ สายหนึ่งออกมาจากเงาขวด อันหนึ่งพ่นม่านลำแสงสีฟ้าออกมาจากปากน้ำเต้า
หลังจากที่ทั้งสองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในทะเลหมอกนั้น ชั่วขณะนั้นหมอกสีดำรอบๆ พลันหมุนวน เสาลำแสงและหมอกสีฟ้าพลันทะลักออกมา
จากนั้นหมอกสีดำพลันหมุนติ้วๆ แยกออกจากกันกลายเป็นเสาหมอกสองสายบินออกมา จมเข้าไปในภาชนะทั้งสองชิ้น
ความเร็วที่สมบัติทั้งสองชิ้นดูดซับม่านหมอกเข้าไปนั้นช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก
ทุกแห่งที่ลำแสงและหมอกสีฟ้ากวาดผ่านไป เพียงพริบตาก็ชำระทุกอย่างให้ว่างเปล่า แต่ทันใดนั้นหมอกสีดำรอบด้านก็หมุนวนเข้ามากลบเอาไว้อีกครั้งทันที
เหมือนว่าความจุของยุทธภัณฑ์สองชนิดนี้จะะไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าหมอกสีดำจะทะลักเข้ามาขนาดไหน กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ในครานั้นเองบนน้ำเต้าสีฟ้าพลันมีเงาลวงตาเปล่งแสงสว่างวาบ เผ่าประหลาดตาปลาผู้นั้นปรากฎขึ้นด้านบน จับตามองด้านล่างอย่างเย็นชา โดยไม่ปริปากใดๆ
ชายหนุ่มเขาเดี่ยวที่อยู่อีกด้านสร้างภาพลวงตาตัวประหลาดยักษ์ขึ้น แต่ในครานี้กลับนั่งสมาธิอยู่ด้านล่างเงาขวด หลับตาทั้งสองข้างสนิท
แม้ว่าสมบัติทั้งสองชิ้นจะดูดซับหมอกสีดำเข้าไปในจำนวนที่น่าตกตะลึง แต่ความกว้างของหมอกอเวจีทมิฬก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เผ่าประหลาดทั้งสองคนนี้รออยู่แถวๆ นี้มาสองวันสองคืน ก็เพิ่งจะดูดซับหมอกทมิฬในทะเลหมอกได้ไปแค่หนึ่งในยี่สิบสามสิบส่วนเท่านั้น ดูแล้วหากต้องการดูดทะเลหมอกอเวจีทมิฬทั้งหมด ไม่ใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนคงอย่าคิดฝันเลย
ทว่าเผ่าประหลาดทั้งสองคนก็ไม่ได้รีบร้อน แค่กระตุ้นสมบัติทั้งสองชิ้นไม่หยุดเท่านั้น เหมือนว่าเสียเวลาแค่นี้ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับพวกเขา!
เช่นนั้นผู้ที่ใช้ไข่มุกมังกรตรงจุดอื่นมองเห็นสถานการณ์นี้อยู่ไกลๆ อีกครั้งอย่างหานลี่จึงรู้สึกหมดคำพูดและรู้สึกไม่สบายใจ
หากทั้งสองต้องการจะอยู่ที่นี่เป็นเวลานานขนาดนั้น จะให้เขาฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างสบายใจได้อย่างไร สุดท้ายพวกเขาเก็บทะเลหมอกแล้วจากไปย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่หากมีเจตนาอื่นนั่นก็แย่แล้ว
ทว่าหากเขาออกจากความเสี่ยงในครานี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากรออยู่ที่นี่ดท่าใดนัก ดังนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
แต่เช่นนั้นครึ่งวันที่ผ่านมาหานลี่จึงเก็บข้าวของในถ้ำพำนักไปรอบหนึ่ง นอกจากไผ่อัสนีทองที่ผนึกลงไปในกระบี่บินเจ็ดสิบสองเล่มแล้ว ของสำคัญอื่นๆ ก็ถูกเก็บเข้าไปในย่ามเก็บของ เตรียมตัวหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ ก็จะได้เตรียมตัวหนีได้ทันท่วงที
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เผ่าประหลาดทั้งสองคนก็สำแดงอิทธิฤทธิ์พร้อมกัน ทำให้สมบัติภาชนะทั้งสองขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ความเร็วในการดูดซับม่านหมอกก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
และยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าเผ่าประหลาดสำแดงเคล็ดวิชาลับอะไรในการประคองสมบัติทั้งสองชิ้นเอาไว้ เสาหมอกสีดำที่ลอยออกมาจากทะเลหมอกพลันเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีสองต้นเป็นสิบกว่าต้น
เสาหมอกทุกต้นหมุนวนไปมา หมอกสีดำในรัศมีวงกลมสองสามลี้ถูกหมุนวนมาอยู่กลางอากาศ แล้วลอยไปที่สมบัติทั้งสองชิ้น
เช่นนั้นความเร็วในการหดตัวของทะเลหมอกพลันเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ความเข้มข้นของทะเลหมอกก็เปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดโดยแทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ปากของเผ่าประหลาดตาปลาพลันหัวเราะหึๆ ออกมา หันหน้าไปเอ่ยกับชายหนุ่มเขาเดี่ยวที่กำลังคืนร่างเดิมอีกครั้งหลังจากสำแดงอิทธิฤทธิ์
“พี่หมิ่น จากความเร็วของ ‘เคล็ดวิชาบรรจุปราณ’ ที่พวกเราสำแดงออกมา เกรงว่าแค่สิบกว่าวันก็สามารถบรรจุไอทมิฬเที่ยงแท้ที่นี่ไปได้หมด ดังนั้นการใหญ่จึงสำเร็จลุล่วงแล้ว!”
ชายหนุ่มเขาเดี่ยวได้ยินเสียงหัวเราะนี้ คราที่กำลังจะเอ่ยปากตอบอะไรนั้น แต่ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นในส่วนลึกที่ไม่รู้ว่าห่างออกไปเท่าไหร่ของทะเลหมอกพลันมีเสียงกู่ร้องยาวๆ ด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น
เมื่อเสียงกู่ร้องนี้ดังขึ้น น้ำเตาและเงาขวดที่เพิ่มกำลังหมุนไปทางเสาหมอกสีดำพลันหยุดชะงัก จากนั้นราวกับได้รับการโจมตีด้วยพลังที่ไร้รูปร่างอะไรสักอย่าง เสียง “ปังๆ” ของการสลายตัวทยอยกันออกดังออกมา
ไม่ว่าเสาลำแสงสีเขียวและหมอกสีฟ้าด้านล่างจะกวาดไปทางใดของทะเลหมอก หมอกสีดำก็นิ่งสนิท แม้แต่คลื่นลูกใหญ่สักนิดก็ยังไม่ปรากฎขึ้น ราวกับว่ากลายเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ชายหนุ่มเขาเดี่ยวและมนุษย์ตาปลาก็อดที่จะมองสบตากันวูบหนึ่งไม่ได้ ล้วนเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ครานี้เสียงร้องประหลาดที่อยู่ไกลออกไปพลันดังขึ้นสองสามส่วน ราวกับว่ามีอะไรสักอย่างกำลังพุ่งจากส่วนลึกมาที่ขอบของทะเลหมอกอย่างรวดเร็ว
“คือสิ่งนั้นหรือ?” มนุษย์ตาปาเอ่ยถามอย่างงุนงง
“น่าจะใช่กระมัง!” แต่ชายหนุ่มเขาเดี่ยวกลับดูเหมือนว่าจะรู้อะไรบางอย่าง พลันตอบกลับพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่น
“ข้าว่าแล้วว่าเหตุใดเผ่าวิหคสวรรค์เหล่านั้นถึงได้ไม่ใช้ไอทมิฬวิญญาณเที่ยงแท้ ดูแล้วคงมีสิ่งที่น่ากลัวนี้อยู่ แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาก็ให้ความเคารพวิญญาณเที่ยงแท้ต่างๆ ของวิหคราวกับเทพเจ้า สิ่งที่อยู่ในนี้คงจะเป็นสิ่งที่วิญญาณเที่ยงแท้วิหคสวรรค์ทิ้งเอาไว้” มนุษย์ตาปลาหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“คงจะเป็นเช่นนั้น! ไม่รู้ว่ามันพัฒนาจนถึงระดับใดแล้ว หากอยู่ในระดับสุดท้ายล่ะก็ พวกเราถือโอกาสนี้รีบหนีไปกันเถิด” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวเองก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! ข้าไม่อยากเพลี้ยงพล้ำตกอยู่ในปากของเจ้าสิ่งนี้ แม้แต่จิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้” มนุษย์จาปลาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง
ครั้งนี้ชายหนุ่มเขาเดี่ยวไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ใช้สองมือร่ายอาคม ชี้ไปที่ปากเงาขวดยักษ์
หลังจากที่เสียงอึกทึกดังขึ้น เงาขวดก็ปริแตกออกราวกับฟองสบู่ ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็ร่อนลงในมือของชายหนุ่ม
นั่นก็คือขวดหยกสีเขียวขวดนั้น มันเปล่งแสงสว่างวาบในมือของชายหนุ่ม แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
มนุษย์ตาปลาเองก็ใช้มือหนึ่งตะปบออกไปด้วยความเคร่งขรึม คลื่นรอบๆ ด้านพลันสลายหายไป น้ำเต้ายักษ์ลูกนั้นพลันหดเล็กลงหลายเท่าในพริบตา แล้วร่อนลงในมือของเขา
ทันใดนั้นมนุษย์เผ่าประหลาดทั้งสองคนพลันยืนเคียงไหล่กัน จากนั้นพลันจ้องเขม็งไปยังจุดที่มีเสียงพรียกของวิหคประหลาดๆ ดังขึ้น ล้วนเงียบกริบไม่ปริปากใดๆ
ทั้งๆ ที่ได้ยินเสียงร้องประหลาดดังขึ้นไม่ไกลนัก แต่ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไปถึงจะมีเสียงพายุบ้าคลั่งดังขึ้น จากนั้นเงาสีขาวโพลนพลันสว่างวาบ ร่างหมอกยักษ์ขนาดสองสามร้อยจั้งพลันพุ่งออกมาจากทะเลหมอก หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็พากลิ่นอายคละคลุ้งมาด้วย เมื่อมาอยู่ตรงขอบของทะเลหมอก ก็ใช้สายตาเย็นชาจ้องเขม็งไปยังปีศาจทั้งสองตน
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นวิหคประหลาดโครงกระดูกสีขาวเก้าหัวโดยที่มีหัวแตกต่างกันตัวหนึ่ง! ดวงตาของทุกหัวเป็นสีเขียวเข้มเปล่งแสงภูตระยิบระยับ ส่วนร่างโครงกระดูกที่ใหญ่โตนั้นมีไอทมิฬสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกพันล้อมรอบอยู่ กระพริบระยิบระยับไม่แน่นอน
ทำให้วิหคเหล่านี้ดูดุดันน่าเกรงขามมากขึ้น!
“วิหคเก้าหัว คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีซากของวิหคที่โหดเ**้ยมซ่อนอยู่” มนุษย์ตาปลามองเห็นรูปร่างของโครงกระดูกวิหคสีขาวอย่างชัดเจน พลันหน้าเปลี่ยนสีพลางร้องอุทานออกมาด้วยเสียงหลง
“แต่ยังดีที่มันหยุดกลายพันธ์ุอยู่ในระดับขั้นที่สอง ยังไม่พัฒนาเป็นซากเก้าอเวจีขั้นสุดท้าย! เป็นแค่สิ่งที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเราเท่านั้น! สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาก็คือ จิตสังหารอันโหดเ**้ยมของวิหคเก้าหัว ไม่รู้ว่ายังหลงเหลืออยู่เท่าใด อย่ามากเลย หากยังเหลือมากกว่าครึ่ง เกรงว่าพวกเราคงต้องหนีแล้ว” แววตาชายหนุ่มเขาเดี่ยวฉายแววหวาดกลัว แต่น้ำเสียงกลับเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
“ทดสอบดูก็รู้แล้ว หรือว่าพี่หมิ่นจะยอมทิ้งไอทมิฬวิญญาณเที่ยงแท้ไปเช่นนี้จริงๆ!” มนุษย์ตาปลามีสีหน้าดำคล้ำสลับกับสดใสสลับกันไปมาชั่วครู่ ฉับพลันนั้นพลันกัดฟันเอ่ยว่า
“แน่นอนว่าเสียดาย เคล็ดวิชาของข้าต่อจากนี้จำต้องใช้สิ่งนี้เพิ่มอานุภาพของมัน พวกเราลองทดสอบดูก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวหางตากระตุก เอ่ยอย่างตัดสินใจ
เมื่อชายหนุ่มเอ่ยคำนี้ออกมา ไม่รอให้มนุษย์ตาปลาตรงข้ามตอบกลับอะไร วิหคยักษ์เก้าหัวที่อยู่ตรงข้ามพลันชูหัวที่อยู่ตรงกลางสุดขึ้น เปล่งเสียงร้องแหลมสูงยาวๆ ออกมา จากนั้นหัวที่เหลือทั้งแปดก็อ้าปากออกพร้อมกัน
เสียงอึกทึกดังขึ้น เห็นเพียงการโจมตีจากธาตุต่างๆ ที่ไม่เหมือนกันอย่างลูกบอลเพลิง ใบมีดพายุ กรวยน้ำแข็ง ไฟฟ้าอัสนีถูกพ่นออกมาจากหัวทั้งแปดพร้อมกัน ออเบียดเสียดกันจนแทบจะกินพื้นที่ครึ่งท้องฟ้า
การโจมตีที่รุนแรงนี้ นับได้ว่าน่าประหวั่นนัก
ชายหนุ่มเขาเดี่ยวและมนุษย์ตาปลาเห็นการโจมตีเหล่านี้ กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
มนุษย์ตาปลาเอ่ยขึ้น “ข้าจะลงมือก่อน!” จากนั้นพลันเห็นสองมือของเผ่าประหลาดนี้ร่ายอาคม ร่างกายระเบิดม่านลำแสงสีฟ้าเข้มออกมา จากนั้นมือข้างหนึ่งพลันชี้ไปทางการโจมตีอันมืดฟ้ามัวดินที่อยู่ตรงข้ามอย่างดูส่งเดช
เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว คราแรกเป็นเส้นบางๆ แต่หลังจากออกจากฝ่ามือ ก็กลายเป็นม่านลำแสงสีฟ้าห่อหุ้มเขาและชายหนุ่มเขาเดี่ยวที่อยู่ด้านหลังเอาไว้ทันที
จากนั้นมนุษย์ตาปลาก็ร่ายอาคมกระตุ้น ม่านลำแสงกระพริบวาบๆ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกำแพงน้ำแข็งสีฟ้า เปล่งแสงแวววาวต้านทานเอาไว้ตรงนั้น
ชั่วพริบตานั้นการโจมตีทั้งหมดพลันเปล่งเสียงกรีดร้อง ล้วนโจมตีไปที่ม่านลำแสงสีฟ้าราวกับฝนตกกระทบรั้วอย่างไรอย่างนั้น
เสียงระเบิด เสียงกรีดร้อง เสียงปังๆ ดังขึ้นบนผิวของกำแพงน้ำแข็ง
การโจมตีต่างๆ พากันเปล่งแสงระยิบระยับ ลำแสงเจิดจ้าห้าสีสันห่อหุ้มแม้กระทั่งกำแพงน้ำแข็งทั้งผืนเอาไว้ข้างใน
วิหคโครงกระดูกเก้าหัวเห็นเช่นนั้น หัวตรงกลางก็อดที่จะเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความพึงพอใจคราหนึ่งไม่ได้! ส่วนหัวที่เหลือที่กำลังพ่นการโจมตีออกมากลับไม่หยุดเลยสักนิด แม้กระทั่งเป็นเพราะการโจมตีหนาแน่นเกินไป จึงรุนแรงกว่าตอนแรกถึงสามส่วน
ดูเหมือนว่าวิหคตัวนี้คิดจะสังหารศัตรูทั้งสองทิ้ง
แต่ในครานั้นเองเสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชาก็ดังออกมาจากม่านลำแสงหลากสีสัน ทันใดนั้นได้ยินเสียงเสียง “ครืน” ดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าเข้มทะลักออกมาจากม่านลำแสงต่างๆ ลำแสงนี้กระพริบวาบสองสามครั้ง ก็ใช้ความเร็วที่น่าตกตะลึงทอดตัวยาวออกไปในรัศมีร้อยกว่าจั้ง
ทุกแห่งที่ลำแสงสีฟ้ากวาดผ่านไป อากาศทั้งหมดจะบิดเบี้ยว ไม่ว่าการโจมตีใดๆ เข้ามาในอาณาเขต ล้วนหายวับไปอย่างเงียบเชียบ
เสียงบริกรรมคาถาของมนุษย์ตาปลาที่อยู่ในลำแสงสีฟ้าพลันถี่กระชั้น
ลำแสงนี้หมุนติ้วๆ ฉับพลันนั้นพลันระเบิดลำแสงออกมา ลำแสงสีฟ้าผืนใหญ่พุ่งม้วนกลับไปหาวิหคโครงกระดูกยักษ์
ความเร็วของมันแค่ชั่วลมหายใจ ลำแสงประหลาดก็มาอยู่ใกล้กับวิหคโครงกระดูกแค่คืบ
ตอนที่ 1528 บ๊วยโลหิตและตราทาส
“สองสามวันก่อนพวกเราได้เห็นปรากฎการณ์การพัฒนาระดับขั้นของท่านอาวุโสแล้ว จึงได้ตั้งใจมาแสดงความยินดีกับท่านอาวุโสที่พัฒนาระดับขั้นสำเร็จ!” ในที่สุดอสูรน้อยหัววัวก็ได้สติจากอารมตกใจที่ ‘หานลี่’ มีสองคน รีบร้อนทำความเคารพ ใบหน้าล้วนเปี่ยมไปด้วยความนอบน้อม
แน่นอนว่าครานี้มันมันย่อมรู้ว่า ‘หานลี่’ ที่อยู่เบื้องหน้าถึงจะเป็นตัวจริง!
“อืม พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะบรรลุระดับขั้นสำเร็จ ไม่แน่อาจจะเพลี้ยงพล้ำก็เป็นได้!” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา เอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว ผู้อื่นอาจจะล้มเหลว แต่จากความสามารถที่ยิ่งใหญ่ของท่านอาวุโส จะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้อย่างไร” หัวตรงกลางของงูเหลือมยักษ์สามหัวสะบัดไปมา แล้วตอบกลับอย่างประจบประแจง
หานลี่ได้ฟังคำนี้ ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา หลังจากที่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของเหล่าปีศาจแล้ว ฉับพลันนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
“เอาล่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อมแล้ว สาเหตุที่พวกเจ้ามาที่นี่ ข้าก็พอทราบอยู่บ้างแล้ว มาถวายสมบัติงั้นหรือ? มีจุดประสงค์อะไรก็แจงมาตรงๆ เถิด ข้าไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานนัก”
จากพลังยุทธ์ของหานลี่ในครานี้นั้น เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญขั้นต้นธรรมดาๆ เท่าหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้จงใจสำแดงพลังใดๆ ออกมา แต่หลังจากเปล่งเสียงเย็นชาออกมาแล้ว พลังปราณฟ้าดินในห้องโถงก็ยังถูกผลกระทบ ฉับพลันนั้นพลันเกิดระลอกคลื่นหมุนวนระลอกหนึ่ง
ปีศาจทั้งสี่รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบๆ ตึงเครียด ชั่วขณะนั้นราวกับมีแรงกดพันจวินกดอยู่บนร่าง ร่ายกายสั่นเทา จนเกือบจะซวนเซล้มลงไปกับพื้น
“ท่านอาวุโสโปรดระงับโทสะด้วย! พวกเรามาถวายสมบัติจริงๆ ขอรับ ไม่มีเจตนาร้ายอื่น!” อสูรน้อยหัววัวหน้าเหยเก ทางหนึ่งก็ควบคุมลมปราณในร่างต้านทานพลังแรงกดไปพลาง ทางหนึ่งก็ร้องเอ่ยเสียงหลงกับหานลี่อย่างร้อนรนไปพลาง
“พวกเจ้ามาถวายสมบัติอย่างไม่มีเหตุมีผล! ช่างเถิด ดูสมบัติของพวกเจ้าก่อนก็แล้วกัน หากต้องใจ ค่อยฟังคำพูดของพวกเจ้าต่อก็แล้วกัน หากไม่มีประโยชน์เลยสักนิด พวกเจ้าก็รีบไสหัวไปซะ” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อหานลี่เปล่งคำพูดออกมา พลังแรงกดประหลาดในห้องโถงก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ปีศาจทั้งสี่ที่อยู่ด้านล่างรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วยืนตัวตรงขึ้นอีกครั้ง
ส่วนอสูรน้อยหัววัวนั้นก็ไม่กล้าอ้อมค้อมอะไรอีก ส่งสายตาให้กับวานรสีทองที่อยู่ด้านข้างอย่างร้อนรน!
วานรตัวนั้นลังเลเล็กน้อย ควานมือไปบนเรือนร่าง ควักกล่องไม้สีดำสนิทออกมากล่องหนึ่ง จากนั้นก็สาวเท้ามาข้างหน้าสองสามก้าว ส่งให้ด้วยมือทั้งสองมือ
หานลี่เองก็ไม่ได้ปริปาก ใช้มือหนึ่งตวัดออกไป
กล่องไม้เปล่งเสียง “สวบ” ถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือทันที
สะบัดแขนเสื้อไปบนฝากล่อง ชั่วขณะนั้นฝากล่องไม้พลันมีหมอกสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วเปิดออกโดยอัตโนมัติ เผยของที่วางอยู่ด้านในออกมา
ผลสีแดงสดขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่ง ผิวมีตาข่ายสีเงินทอตัวอยู่ พลางเปล่งแสงระยิบระยับ
หานลี่ตะลึงงันไปเล็กน้อย ไม่ต้องให้ปีศาจทั้งสี่อธิบายอะไร ครานั้นพลันยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ชี้ไปที่ผลเม็ดนั้นเบาๆ สอดแทรกจิตสัมผัสเข้าไป
แค่ชั่วครู่หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง เริ่มจากตกตะลึง กลายเป็นประหลาดใจ สุดท้ายพลันขมวดคิ้วมุ่น ท่าทีตกตะลึงระคนสงสัยไม่แน่นอน
ปีศาจทั้งสี่เห็นหานลี่มีสีหน้าเช่นนี้ ก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ แต่ผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาง่ายๆ
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา หานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เลื่อนนิ้วออกจากกล่อง
“นี่คือบ๊วยโลหิต! ลำบากพวกเจ้าแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะหาเจอแม้กระทั่งสิ่งนี้” หานลี่ดูราวกับปิดฝากล่องไม้ลงอีกครั้งอย่างส่งเดช เผยท่าทีอมยิ้มให้กับปีศาจทั้งสี่ตน
“ดวงตาของท่านอาวุโสช่างเฉียบแหลมนัก มองปราดเดียวก็รู้ความเป็นมาของเจ้าสิ่งนี้ พวกเราพบเจ้าสิ่งนี้ในซากปรักหักพังของภูเขาเร้นทมิฬ ครานี้จึงตั้งใจนำมาถวายให้แก่ท่านอาวุโส!” อสูรน้อยหัววัวเห็นหานลี่รู้จักที่มาของไข่มุกกลมเม็ดนี้จริงๆ พลันรู้สึกตกตะลึง แต่ปากก็ ตอบกลับอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“อืม หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าสิ่งนี้ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนโลหิต เป็นสมุนไพรส่วนเสริมที่ใช้พัฒนาระดับขั้นที่หายากของอสูรปีศาจอย่างพวกเจ้า นับว่าเป็นของหายากที่พันปีจะเจอสักครั้ง ในเมื่อพวกเจ้ายอมแม้กระทั่งเอาเจ้านี่ออกมา ดูแล้วเรื่องที่จะมาขอร้องคงไม่ธรรมดาสินะ เจ้านี่มีประโยชน์กับข้าอยู่เล็กน้อย พวกเจ้าต้องการอะไรไหนลองพูดมาเถิด” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง พลางเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
เมื่อเห็นหานลี่มีสีหน้าเช่นนี้ หลังจากปีศาจทั้งสี่มองสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็ยังเป็นอสูรน้อยหัววัวที่กระแอมไอเบาๆ แล้วเอ่ยปากว่า
“ในเมื่อท่านอาวุโสมองความคิดของชนรุ่นหลังอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ชนรุ่นหลังก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว ที่พวกเราสี่คนมาในครั้งนี้นั้นเกี่ยวข้องกับชีวิต จึงต้องทำเช่นนี้!” อสูรน้อยมีสีหน้าหม่นหมอง แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกวิงวอน
หานลี่กลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แค่มองอสูรตัวนี้อย่างราบเรียบไม่พูดไม่จา
อสูรน้อยเห็นเช่นนั้น ก็ทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมา แล้วเอ่ยต่ออย่างระมัดระวังว่า
“เรื่องที่พวกเราจำต้องส่งของเซ่นไหว้ให้กับเผ่าวิหคสวรรค์นั้น น่าจะปิดบังเหล่าอาวุโสมิได้แล้ว แต่สมุนไพรวิญญาณในเทือกเขานี้นับวันยิ่งมีน้อยลงไปเรื่อยๆ เกรงว่าอีกพันปีเศษก็คงจะหมดไปแล้ว ดังนั้นการที่พวกมาครั้งนี้ ก็เพราะอยากให้ท่านอาวุโสลงมือช่วยพวกเรากำจัด ‘ตราทาส’ ออกจากร่าง ให้พวกเราได้รับอิสรภาพ ไม่ถูกกักอยู่ในเกาะแห่งนี้อีก ขอแค่ท่านอาวุโสยอมตอบรับเรื่องนี้ ชนรุ่นหลังและพวกไม่เพียงจะยอมมอบบ๊วยโลหิตเม็ดนี้ให้ และยังยินดีมอบของล้ำค่าที่พวกเราค้นมาหลายปีทั้งหมดให้ท่านอาวุโส แม้ว่าพลังยุทธ์และความสามารถของพวกเราจะไม่นับว่ามีค่าอะไรในสายตาของท่านอาวุโส แต่ก็มีพรสวรรค์ในการตามหาสมบัติอยู่เล็กน้อย น่าจะไม่ทำให้ท่านอาวุโสผิดหวัง”
“ตราทาส? ข้าก็ว่าพวกเจ้าถึงได้เชื่อฟังไม่ยอมออกไปไหนไกล ที่แท้ก็ถูกเผ่าวิหคสวรรคืลงอาคมเอาไว้ ลองดูก่อนก็แล้วกัน” หานลี่ชักสีหน้า ฉับพลันนั้นพลันยกมือขึ้นตะปบออกไปกลางอากาศ
ผลึกลำแสงสีทองผืนหนึ่งบินม้วนออกมาจากหว่างนิ้ว
อสูรน้อยยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็รู้สึกเพียงว่าร่างกายแข็งแกร่ง จากนั้นพลังดูดกลุ่มหนึ่งก็ตกลงมาจากสวรรค์ ชั่วครู่ร่างกายก็สูญเสียการควบคุมบินเข้ามาหาหานลี่
อสูรตนนี้ร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง ร่างกายที่แต่เดิมเล็กจิ๋วถูกดูดเข้าไป พริบตาก็มีขนาดสองสามฉื่ออยู่ตรงหน้าหานลี่ ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศไม่อาจขยับเขยื้อนได้
อสูรที่เหลือทั้งสามตนพลันตกใจจนสะดุ้งโหยง ทยอยกันถอยกรูดออกไปสองสามก้าวแล้วเผยสีหน้าระวังภัยออกมา
แต่หานลี่กลับไม่ได้เปิดเปลือกตาขึ้น แค่จัดการเรื่องของตนเองเท่านั้น ดวงตาเปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ ชั่วพริบตาจิตสัมผัสก็ทะลวงผ่านร่างของอสูรตนนี้ เริ่มตรวจสอบร่างกายของอีกฝ่ายรวมทั้งความผิดปกติในจิตวิญญาณด้วย
งูเหลือมยักษ์ วานรสีทองและพวกปีศาจทั้งสามเห็นเช่นนี้ ถึงได้เข้าใจเจตนาของหานลี่ พลันรู้สึกผ่อนคลายลง ทยอยกันกลั้นหายใจอย่างมีความสุข แล้วมองการเคลื่อนไหวของหานลี่อย่างเงียบๆ
ฉับพลันนั้นหานลี่ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา จากนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน
นิ้วทั้งสิบร่ายไปมาอย่างต่อเนื่อง เสียง “ฟิ้วๆ” ดังแหวกอากาศมา เส้นไหมสีเขียวแวววาวเป็นสายๆ พุ่งออกมาจากหว่างนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของอสูรน้อย
จากนั้นหานลี่พลันบริกรรมคาถา เส้นไหมสีเขียวในมือขาดออก ร่ายอาคมออกไปสองสามสาย
ฉับพลันนั้นร่างกายของอสูรน้อยหัววัวพลันสั่นเทา ทันใดนั้นร่างกายพลันแข็งทื่อ ขณะที่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เงาแมลงสีแดงสดตัวหนึ่งซึ่งถูกเส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ ก็ถูกดึงออกมาจากหว่างคิ้วของอสูรน้อยอย่างช้าๆ
เงาแมลงตัวนั้นยาวสองสามชุ่น เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่เงาลวงตาจางๆ สายหนึ่งเท่านั้น
แต่เมื่อเงาแมลงออกห่างจากใบหน้าของอสูรน้อย ฉับพลันนั้นร่างกายก็บิดเบี้ยวไม่ขยับเขยื้อน
มีเพียงตาข่ายสีเขียวเหล่านั้นที่เปล่งแสงระยิบระยับ แต่กลับไม่อาจดึงเงาแมลงได้อีก
ในเวลาเดียวกันใบหน้าของอสูรน้อยก็เปลี่ยนเป็นเจ็บปวดเหลือคณา ปากเผยอออกเล็กน้อย แต่กลับไร้ซึ่งเสียงใดๆ สุดท้ายก็คอพับหมดสติไป
หานลี่เห็นเช่นนั้น พลันมีสีหน้าขบคิดไปเล็กน้อย
แต่ทันใดนั้นพลันมุ่นหัวคิ้ว แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ปากก็ร้องอุทานต่ำๆ ออกมา
แผ่นหลังมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ภาพมายาวิหคยักษ์สีเขียวตัวหนึ่งปรากฎขึ้น
เมื่อวิหคยักษ์ตัวนี้ปรากำตัว ก็ชูคอขึ้นเปล่งเสียสงกรีดร้องทะลวงผ่านศิลาทองไป
สามปีศาจที่แต่เดิมมองด้วยความงุนงงได้ยินเสียงเพรียกครั้งนี้ ก็รู้สึกเพียงว่าร่างกายเป็นเหน็บชา ทยอยกันขาอ่อนล้มพับลงไปกับพื้น
มิน่าล่ะสามปีศาจถึงได้มีสีหน้ารับไม่ไหวเช่นนี้!
เดิมทีวิหคมัจฉาทะยานฟ้าก็ขึ้นชื่อเรื่องชอบกินปีศาจตนอื่นอยู่แล้ว วานรสีทอง งูเหลือมยักษ์ทั้งสามตนก็เป็นแค่ปีศาจระดับกลาง จึงไม่อาจรับแรงกดดันของวิหคสีเขียวในระยะใกล้เช่นนี้ได้
ในตอนนั้นเองภายใต้การร่ายคาถากระตุ้นของหานลี่ วิหคสีเขียวก็พุ่งเข้าไปจิกอสูรน้อยอย่างรวดเร็ว!
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น
เงาแมลงสีแดงสดที่แต่เดิมนิ่งงัน ไม่อาจดึงออกมาได้ คาดไม่ถึงว่าจะถูกจงอยปากของวิหคยักษ์จิกออกมา จากนั้ันก็ชูคอขึ้นกลืนลงไปในท้อง
หลังจากเสียงร้องแหลมสูงดังขึ้นอีกครั้ง เงาลวงตาของวิหคยักษ์ก็หายวับไป
งูเหลือมยักษ์และพวกปีศาจทั้งสามตนถึงได้ปีนขึ้นมาจากพื้นด้วยตัวสั่นเทาอีกครั้ง แต่ทุกตนล้วนมีสีหน้าหวาดผวา สายตาที่มองมาทางหานลี่ล้วนเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่งพรึง
หานลี่กลับไม่สนใจปีศาจทั้งสามตน แค่พิจารณาอสูรน้อยหัววัวที่อยู่เบื้องหน้า พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ทันใดนนั้นมือหนึ่งก็ตะปบออกไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นเส้นไหมสีเขียวพลันเปล่งเสียงแหวกอากาศพุ่งกลับไปในร่างของอสูรน้อย ถูกเขาเก็บกลับไปอีกครั้ง
ชั่วพริบตาที่เส้นไหมสีเขียวออกห่างร่าง เปลือกตาของอสูรน้อยก็ขยับ แต่ยังคงไม่ได้สติในทันที
หานลี่ขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ลำแสงวิญญาณสีเขียวกลุ่มหนึ่งบินออกมา จมหายเข้าไปในร่างของอสูรน้อยอย่างไร้ร่องรอย
อสูรน้อยที่แต่เดิมสลบไสลไม่ได้สติขนกระดิก ในที่สุดก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นได้สติขึ้นมา
“เป็นอย่างไร ครานี้เจ้าสัมผัสได้ถึงตราทาสในร่างหรือไม่?” หานลี่พิงพนักอิงเก้าอี้ แล้วเอ่ยกับอสูรน้อยหัววัวอย่างสบายๆ
อสูรน้อยเพิ่งจะได้สติฟื้นคืนมา เมื่อได้ยินคำนี้พลันตะลึงงัน แน่นอนว่าย่อมทำตามคำพูดไปตามจิตสำนึก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ชั่วขณะนั้นใบหน้าของอสูรตนนี้ก็มีสีหน้าปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งออกมา
“ตราทาสหายไปแล้ว หายไปแล้วจริงๆ ขอบพระคุณความเมตตาของท่านอาวุโส!” อสูรน้อยคารวะหานลี่อย่างร้อนรน
หลังจากที่ถูกตราทาสผนึกไว้ ก็ทำให้อสูรน้อยรู้สึกเหมือนมีแมลงวันเกาะอยู่ที่กระดูกมาโดยตลอด ครานี้ถูกกำจัดออก แน่นอนว่าย่อมทำให้มันรู้สึกยินดีอย่างหาที่เปรียบมิได้
อสูรที่เหลืออีกสามตนเห็นเช่นนั้น ล้วนดีใจอย่างเกินคาด รู้สึกยินดีกับอสูรน้อยเป็นอย่างมาก จากนนั้นก็ทยอยกันใช้สายตารอคอยมองมาทางหานลี่
“ไม่ต้องรีบร้อน มาทีล่ะคนๆ” หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ ชี้หนี้ไปที่วานรสีทองอย่างส่งเดช
ชั่วขณะนั้นปีศาจตนนั้นพลันกระโดดเข้ามาด้วยความเบิกบานใจ…
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร ตราทาสในร่างของอสูรน้อยและปีศาจทั้งสี่ ต่างก็ถูกหานลี่กำจัดไปจนเกลี้ยง
ปีศาจทั้งสี่รู้สึกซาบซึ้งใจต่อหานลี่เป็นอย่างมาก จึงคำนับอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
“พวกเจ้าไปได้แล้ว ข้าแค่แลกเปลี่ยนกับพวกเจ้าเท่านั้น ใช่แล้ว การเซ่นไหว้เผ่าวิหคสวรรค์ครั้งต่อไปของพวกเจ้าจะเกิดขึ้นเมื่อใด?” ฉับพลันนั้นหานลี่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พลางเอ่ยถามปีศาจหนึ่งประโยค
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ ครั้งที่แล้วพวกเราเพิ่งจะเซ่นไหว้ไปได้ไม่นาน ภายในเวลาสองสามร้อยปี เผ่าวิหคสวรรค์ไม่มีทางมาที่เกาะนี้อีกแน่” อสูรน้อยหัววัวเดาความคิดของหานลี่ออกสองสามส่วน จึงรีบร้อนตอบกลับไป
“อืม เช่นนั้นก็ไม่เป็นอันใดแล้ว พวกเจ้าไปได้แล้ว” หานลี่ได้ยินคำนี้ ความหวาดกลัวสุดท้ายในใจก็มลายลง พลางโบกมือให้อสูรทั้งสาม
สองสามร้อยปีต่อมาเขาคงไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ต่อให้มีปัญหาขึ้นมาแล้วจะหาเขาเจอได้อย่างไร
ตอนที่ 1529 จากไปตามประสงค์
วิหคกระดูกพลันตะลึงงัน แต่กลับไม่ลนลาน กรงเล็บยักษ์ขนาดเท่าบ้านคู่หนึ่ง ตบปะไปที่หมอกสีฟ้าที่กำลังกระโจนเข้ามาอย่างรุนแรง
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น กรงเล็บลำแสงสีดำสนิทยี่สิบสามสิบสายปรากฎขึ้นกลางอากาศ ราวกับกระบี่ลำแสงยี่สิบสามสิบสายสับลงมาพร้อมกัน
หลังจากกระพริบวาบ ก็สับลงมาที่ม่านลำแสงสีฟ้าอย่างพอดิบพอดี
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น!
เมื่อม่านลำแสงสีฟ้าและลำแสงสีดำสัมผัสกัน ก็ถูกสับออกเป็นรอยแยกยี่สิบกว่าสายพร้อมกันราวกับผ้าขาด
แต่หลังจากลำแสงกระพริบวาบ ลำแสงสีฟ้าก็ประสานกันดังเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กรงเล็บลำแสงสีดำยี่สิบสามสิบสากลับถูกหมอกลำแสงสีฟ้ากักเอาไว้ข้างใน และยิ่งไปกว่านั้นภายใต้ลำแสงสีฟ้าที่เปล่งแสงสว่างวาบ พลันถูกแช่แข็งจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งสีฟ้าก้อนหนึ่ง
ม่านลำแสงม้วนออกมาอีกครั้ง มาถึงเหนือหัวของวิหคกระดูกยักษ์ ทอดตัวลงมาอย่างน่าเกรงขาม
หัวที่อยู่ตรงกลางสุดของวิหคกระดูกเปล่งเสียงร้องแหลมสูงด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมา ปีกกระดูกยักษ์สองข้างพลันสยายออกกลางอากาศพร้อมกัน
ไอสีเทาสองกลุ่มลอยออกมาจากปีกกระดูก โจมตีไปยังม่านลำแสงสีฟ้าที่กำลังลดระดับลงมาอย่างพอดิบพอดี
เมื่อทั้งสองปะทะกัน ลำแสงสีฟ้าและไอสีดำพลันตัดสลับพัวพันกัน เปล่งเสียงกึกก้องราวกับฟ้าผ่า ทันใดนั้นลำแสงสีฟ้าพลันเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น หลังจากหมุนวนสองสามรอบ ก็กลืนไอสีเทาเข้าไปข้างใน และกายเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน ปรากฎขึ้นกลางอากาศ
แต่เมื่อม่านลำแสงสีฟ้าไม่อาจลดระดับลงมาได้ด้วยเหตุนี้ ครานี้พลันถูกไอสีเทาต้านทานเอาไว้กลางอากาศไม่หยุด
แต่สถานการณ์ที่น่าตกตะลึงพลันปรากฎขึ้นนทันใด!
ท่ามกลางเสียงร้องอันเ**้ยมเกรียมของวิหคกระดูกเก้าหัว ก้อนน้ำแข็งทั้งหมดพลันเปล่งแสงประหลาด ผิวเรียบลื่นมีรูเล็กๆ ปรากฎขึ้นเต็มไปหมด ไอสีเทาทะลักออกมาจากรูเหล่านั้น ชั่วพริบตาก็กลืนก้อนน้ำแข็งเข้าไปข้างใน และทำให้พวกมันหายไป
คิดไม่ถึงว่าไอสีเทานี้จะมีการกัดกร่อนที่รุนแรงผิดปกติ แค่ไม่กี่อึดใจ ก็กลืนก้อนน้ำแข็งและกำปั้นลำแสงสีฟ้าไปจนเกลี้ยง
“ยังมีจิตสังหารของวิหคเก้าหัวตอนที่มีชีวิตอยู่ดังคาด ข้าอยากดูว่าจะยังหลงเหลือเอาไว้กี่ส่วน” มนุษย์ตาปลาที่อยู่ในลำแสงสีฟ้าซึ่งอยู่ไกลออกไปเปล่งเสียงอย่างเย็นชาออกมา
ทันใดนั้นพลันเห็นลำแสงสีฟ้าตรงนั้นสั่นเทาอย่างรุนแรง ขณะที่ลำแสงสาดส่องลงมาก็มีเสียงแหวกผ่านอากาศดังขึ้น ลูกบอลลำแสงสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากด้านใน
ลูกบอลลำแสงเหล่านี้มีขนาดเท่ากำปั้น ใสแวววาวราวกับของจริง หลังจากที่ถูกพ่นออกมา ก็เปล่งเสียงร้องประหลาดๆ แล้วตรงเข้าไปหาวิหคกระดูก
ก่อนหน้านี้วิหคกระดูกยักษ์ตัวนั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของม่านลำแสงสีฟ้าแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ดูแคลนการโจมตีต่อจากนี้ของศัตรูที่อยู่ตรงข้ามอีก ทันใดนั้นหัวตรงกลางพลันอ้าปากออก พ่นไอสีเทาที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วออกมา
ปีกกระดูกทั้งสองข้างเปล่งแสงสว่างวาบ ไอสีเทาสามกลุ่มผนึกเข้าด้วยกัน หมุนวนติ้วๆ เมื่อสัมผัสกับการโจมตีของอีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม ลูกบอลลำแสงสีฟ้าก็เปล่งแสงสว่างวาบขณะที่ถูกกลืนกิน ทันใดนั้นเสียงระเบิดพลันดังขึ้น
ด้านในลูกบอลลำแสงทั้งหมดพลันกลายเป็นลำแสงวิญญาณราวกับดอกบัวน้ำแข็ง แต่ทันใดนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วถูกไอสีเทาเหล่านี้กลืนกินไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่อาจสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรได้เท่าไหร่นัก!
แต่ลูกบอลลำแสงสีฟ้ากลับเรียงรายอยู่เต็มไปหมดราวกับไม่มีวันหมดสิ้นอย่างไรอย่างนั้น เมื่อลูกบอลลำแสงจำนวนมากขนาดนี้ระเบิดออก ทำให้ไอสีเทาที่กำลังม้วนวนเข้ามาหยุดชะงัก ถูกต้านทานเอาไว้ที่เดิม
“มีจิตสังหารไม่น้อยดังคาด ข้าจะลองดูอีกครั้ง!” เสียงของชายหนุ่มเขาเดี่ยวดังออกมาจากลำแสงสีฟ้า ทันใดนั้นลำแสงวิญญาณด้านในพลันพลิ้วไหว เงาร่างคนสายหนึ่งปรากฎขึ้น
นั่นก็คือชายหนุ่มเขาเดี่ยวผู้สง่างามผู้นั้น
เขาในครานี้สองมือกำลังร่ายอาคม เขาสั้นสีขาวบนหัวยาวขึ้นสองสามเท่าในชั่วพริบตา ในเวลาเดียวกันเงาลวงตาที่แผ่นหลังพลันพลิ้วไหว ตัวประหลาดยักษ์แปลงกายเหมือนก่อนหน้าพลันปรากฎขึ้น
เสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น!
ประจุไฟฟ้าสีเขียวสายหนึ่งปรากฎขึ้นบนหัว
ชายหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ ประจุไฟฟ้าสีเขียวดีดตัวพุ่งออกมาจากเขาเดี่ยว และเปลี่ยนเป็นหนาเท่าปากชาม ความยาวสิบจั้งเศษ
เขาสะบัดศีรษะไปมาอีกครั้ง ประจุไฟฟ้ายักษ์ลางเลือน ชั่วพริบตาก็แบ่งตัวจากหนึ่งส่วนเป็นสองส่วน สองส่วนเป็นสี่ส่วน สี่ส่วนเป็นแปดส่วน
ชั่วพวริบตากว่าครึ่งของท้องฟ้าก็มีประจุไฟฟ้าสีเขียวทอตัวอยู่เต็มไปหมด เสียงกรีดร้องแหบพร่าแสบแก้วหูพลันดังขึ้น ล้วนโจมตีไปยังวิหคกระดูกอย่างบ้าคลั่ง
วิหคกระดูกยักษ์เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันตะลึงงัน แต่หัวที่อยู่ตรงกลางพลันเปลี่ยนทิศทางในการพ่นไอสีเทาอย่างไม่ต้องขบคิด หันไปทางประจุไฟฟ้าอันน่าตกตะลึงที่พุ่งเข้ามา
ชั่วพริบตาที่ทั้งสองกระทบกันอย่างดุเดือด ประจุไฟฟ้าส่วนใหญ่พลันเปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันกลายเป็นตาข่ายไฟฟ้าสีเขียว
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น
ลำแสงสีเขียวและไอสีเทาตัดสลับกันไปมากลางอากาศ ด้านหนึ่งคือไอสีเทาเข้ม พายุทมิฬพลันเข้ามาเป็นระลอกๆ ด้านหนึ่งคือประจุไฟฟ้า เปล่งเสียงฟ้าฟาดออกไม่ไม่หยุดหย่อน
อิทธิฤทธิ์ทั้งสองต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ชายหนุ่มที่อยู่ไกลออกไปพลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา มือหนึ่งพลันร่ายคาถา เขาเดี่ยวบนหัวพลันมีประจุไฟฟ้าสายหนึ่งดีดออกมา
ฉากที่เหมือนกันพลันปรากฎขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวสองสามร้อยสายโจมตีออกไปพร้อมกันในชั่วพริบตา
ชั่วพริบตาความสมดุลที่เปราะบางพลันถูกทำลายลง
ลำแสงไฟฟ้าสีเขียวพลันสั่นเทา ชั่วขณะนั้นพลันบีบจนไอสีเทาต้องล่าถอยไป ขณะที่ประจุไฟฟ้าสีเขียวพลันเปล่งเสียงครืนๆ ออกมา ก็เริ่มกลายเป็นมังกรวารีและงูเหลือมอัสนีไฟฟ้า กระโจนหมุนวนไปมาอยู่กลางไอสีเทาไม่หยุด
วิหคกระดูกยักษ์เห็นเช่นนี้ หัวทั้งเก้าก็ชูขึ้นเปล่งเสียงร้องพร้อมกัน จากนั้นพลันอ้าปากออกพร้อมกัน คาดไม่ถึงว่าจะพ่นเสาลำแสงสีดำเป็นสายๆ ออกมา
ความเร็วช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก!
ประจุไฟฟ้าสีเขียวห้าสายแล่นไปมากลางอากาศ อีกสี่สายพุ่งไปหาลำแสงสีฟ้าด้านล่าง
กลางอากาศที่เสาลำแสงกวาดผ่านไปรอบๆ พลันมีไอร้อนฉ่าระอุขึ้น ไม่ว่าประจุไฟฟ้าหรือลำแสงสีฟ้าก็ทยอยกันสลายหายไปหลังจากถูกเสาลำแสงกวาดผ่าน ราวกับไม่อาจรับมือไหวอย่างไรอย่างนั้น
แค่เปล่งแสงสว่างวาบ เสาลำแสงเก้าสายก็พากันปรากฎตัวหน้าชายหนุ่มเขาเดี่ยวและมนุษย์ตาปลาที่ซ่อนอยู่ในลำแสงสีฟ้า แล้วทะลุผ่านไปในเวลาเดียวกัน
แต่ชั่วพริบตาที่ร่างของเผ่าประหลาดทั้งสองถูกเสาำแสงโจมตีผ่าน กลับแตกออกแล้วสลายหายไปราวกับฟองสบู่
คาดไม่ถึงว่าทั้งสองจะเป็นเงาลวงตาสองสายเท่านั้น
ครู่ต่อมาห่างออกไปอีกร้อยจั้งเศษ ระลอกคลื่นปรากฎขึ้น เงาร่างคนจางๆ สองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฎขึ้น
นั่นก็คือร่างเดิมของเผ่าประหลาดทั้งสอง
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคิดว่าจิตสังหารบนร่างของมันยังเหลืออยู่กี่ส่วน?” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา แล้วเอ่ยถามสหายร่วมทาง
“น่าจะไม่ถึงครึ่ง มีแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น!” มนุษย์ตาปลาหรี่ตาทั้งสองข้างลง เอ่ยถามอย่างไม่ต้องขบคิด
“อืม ไม่ต่างอะไรจากที่ข้าคิดมากนัก หากมีจิตสังหารเต็มเปี่ยมขณะที่ประมือกันคงไม่ถึงกับต้องพ่นลำแสงเทวะทลายวิญญาณออกมาไวเช่นนี้” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ดูท่าทางแล้ว พี่หมิ่นคงไม่ยอมทิ้งไอทมิฬวิญญาณเที่ยงแท้ และเตรียมรับมือการต่อสู้ครั้งนี้แล้วสินะ” มนุษย์ตาปลาเปล่งเสียงหัวเราะต่ำๆ ออกมา
“ในเมื่อซากอเวจีวิหคเก้าหัวตัวนี้มีจิตสังหารไม่เพียงพอ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่มีทางทิ้งไอทมิฬเที่ยงแท้ไปแน่ ทว่าแปลกไปหน่อย ดูจากซากอเวจีตัวนี้แล้ว เหมือนว่าจะไม่ได้มีศักยภาพกระตุ้นไอทมิฬวิญญาณเที่ยงแท้บริสุทธิ์ในจำนวนมากเช่นนี้ได้” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวมองทะเลหมอกสีดำที่ยังคงกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แล้วพลันขมวดคิ้วขณะเอ่ย
“ใช่น่าฉงนนัก แต่ขอแค่ไม่มีซากอเวจีตนที่สองในไอทมิฬวิญญาณเที่ยงแท้ แล้วจะเกี่ยวอะไรกับพวกเรา? หากน้อยไปหน่อยล่ะก็ เจ้ากับข้าก็แบ่งกันยากหน่อย” มนุษย์ตาปลากลับหัวเราะหึๆ ออกมา
“สหายพูดถูก ข้าจะทำเต็มที่ก็แล้วกัน พยายามสังหารเจ้าเดรัจฉานนี้ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น!” หลังจากที่ชายหนุ่มเขาเดี่ยวขบคิดแล้ว ก็พยักหน้าสนับสนุน
“ข้าน้อยก็คิดเช่นนี้เช่นกัน” ใบหน้าของมนุษย์ตาปลามีความโหดเ**้ยมฉายแวบผ่าน
ครานี้วิหคกระดูกเก้าหัวที่อยู่ไกลออกไปเห็นการโจมตีของตนเองล้มเหลว ก็โกรธจนเนื้อเต้น สองปีกเปล่งแสงสว่างวาบไปด้านล่าง ร่างยักษ์พุ่งเข้าไปในทะเลหมอก ทันใดนั้นหลังจากเสียงร้องยาวๆ ดังขึ้น เงายักษ์สีดำก็บินออกมาจากด้านล่าง
ในรัศมีสองสามลี้ของม่านหมอก ล้วนถูกวิหคกระดูกหอบไป กายเป็นขนสีดำสนิทบนร่าง พุ่งกระโจนเข้าไปชายหนุ่มเขาเดี่ยวทั้งสองคนอย่างดุดัน
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ เผ่าประหลาดทั้งสองคนที่มั่นใจมากว่าตนเป็นฝ่ายชนะ ก็อดที่จะใจหายวาบไม่ได้
ชายหนุ่มเขาเดี่ยวตบไปที่หน้าผากตนเองโดยไม่ปริปากใดๆ ชั่วครู่ก็กลายเป็นตัวประหลาดเกราะทองแดงสูงร้อยจั้ง ประจุไฟฟ้าสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นบนร่าง กระโจนเข้ามาอย่างไม่หวาดกลัวเลยสักนิด
ส่วนมนุษย์ตาปลากลับใช้มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นในมือพลันมีสามง่ามสีทองเรืองรองปรากฎขึ้น
แค่ชูมือหนึ่งขึ้นสามง่ามพลันพลิ้วไหว
ชั่วขณะนั้นตรงปลายแหลมของสามง่ามพลันมีลำแสงวิญญาณสีฟ้า ขาวเหลืองสามสีที่ไม่เหมือนกันปรากฎขึ้น
ผิวของมนุษย์ตาปลาเองก็เปล่งแสงสีฟ้าออกมา กลายเป็นตัวประหลาดยักษ์หัวเป็นคนตัวเป็นมนุษย์ตนหนึ่ง จากนั้นร่างกายและสามง่ามในมือก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า กลายเป็นครึ่งมนุษย์ยักษ์
ตัวประหลาดยักษ์ตนนี้แค่สะบัดสามง่ามในมือ ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสามสีที่อยู่กลางอากาศก็เปล่งเสียงร้องพร้อมปรากฎขึ้น จากนั้นพลันกลายเป็นระลอกคลื่นสีฟ้า พายุที่บ้าคลั่งสีขาวและประจุไฟฟ้าสีเขียวเปล่งประกายสามชนิด
มันเคลื่อนย้ายกาย สามง่ามที่ถืออยู่เองก็กระโจนไปยังการต่อสู้เบื้องหน้า
ชั่วขณะนั้นเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นพลันดังขึ้น เสียงอัสนีระเบิดออกพลันดังขึ้น ท้องฟ้าและพื้นดินล้วนถูกสั่นคลอน เสียงการต่อสู้ดังออกไปไกลถึงหมื่นลี้…
การเคลื่อนไหวที่รุนแรงเช่นนี้ นอกเสียจากหานลี่จะหูหนวกก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึก
แทบจะไม่ต้องขบคิด หานลี่กระตุ้นเขตอาคมต้องห้ามของไข่มุกหมื่นมังกรอยู่ในถ้ำพำนักอีกครั้ง มองดูสถานการณ์การต่อสู้ที่ห่างออกไปร้อยกว่าลี้คร่าวๆ จากไกลๆ
เมื่อเห็นกระดูกเก้าหัวในทะเลหมอกสีดำตนนั้นปรากฎกายอันใหญ่โตออกมา หานลี่ก็สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปเฮือกหนึ่ง
นึกไม่ถึงเลยว่าในหมอกอเวจีทมิฬจะมีสิ่งที่น่ากลัวขนาดซ่อนตัวอยู่ ครั้งที่แล้วที่เขาออกมาจากหมอกแห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ไปรบกวนเจ้าสิ่งนี้ นับว่าโชคดีโดยแท้
มิเช่นนั้นจากอิทธิฤทธิ์ในการต่อกรกับระดับหลอมร่างสองตนของวิหคกระดูกตัวนี้ หากลงมือกับเขาแล้ว เขาคงมีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น
มองดูระลอกคลื่นยักษ์ที่ขยายใหญ่ขึ้นและทะเลหมอกด้านล่างที่หมุนวนไม่หยุดจากผลกระทบของการต่อสู้ของระดับหลอมร่างสามตน
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง จ้องเขม็งไปยังยักษ์สาตนที่อยู่ท่ามกลางการต่อสู้ สีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสไม่แน่นอน
จากพลังของดวงตาเขาแน่นอนว่าย่อมมองออกได้ไม่ยาก เผ่าประหลาดทั้งสองตนดูเหมือนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ และยิ่งไปกว่านั้นการต่อสู้ก็ดูเหมือนว่าจะกำลังเคลื่อนมายังจุดที่ถ้ำพำนักของตนเองตั้งอยู่
“แย่แล้ว ไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้แล้ว ไม่ว่าการต่อสู้ของพวกมันจะกระทบกับถ้ำพำนักข้าหรือไม่ ครานี้เป็นโอกาสงามในการจากไป มิเช่นนั้นรอจนพวกมันตัดสินว่าผู้ใดเป็นฝ่ายแพ้ชนะ แล้วค่อยไปก็สายไปเสียแล้ว” หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ตัดสินใจ
ทันใดนั้นก็ไม่ลังเลอีก ร่างกายพลิ้วไหว ชั่วพริบตาก็กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็สลายหายไปจากในห้องด๔ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ลำแสงสีเขียวพลันหม่นแสงลง หานลี่มาปรากฎตัวในสวนสมุนไพร
เบื้องหน้าของเขามีไผ่อัสนีทองหมื่นปีปลูกเรียงกันอยู่สองสามต้น ทุกต้นล้วนเป็นสีเขียวขจี
หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สองแขนออกแรงสะบัดไปทางต้นไผ่เหล่านั้น
ตอนที่ 1529 ยาลูกกลอนมังกรทะยาน
หลังจากที่ปีศาจทั้งสี่กล่าวลาด้วยความซาบซึ้งใจแล้ว หานลี่นั่งอยู่ในห้องโถงพลางหยิบกล่องไม้ที่บรรจุบ๊วยโลหิตออกมาอีกครั้ง และใช้สองนิ้วคีบสมบัติชิ้นนี้ขึ้นมาพิจารณาอยู่ในระดับสายตาไปมาไม่หยุด
“ช่างเป็นการได้มาโดยไม่ต้องเสียเวลาจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้วัตถุดิบในการหลอมพระพุทธรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้มาอีกหนึ่งชิ้น และสมุนไพรที่ได้มาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ ครานี้ขอแค่หาแก่นทองคำในตำนานมาผสมกับแมลงผลึกกรวยกระดูกสีทองก็สามารถหลอมร่างจริงของพระพุทธรูปได้แล้ว!” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตนเองสองสามประโยค ใบหน้าเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมา
เก็บบ๊วยโลหิตกลับลงไปในกล่องไม้อีกครั้ง ในมือมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไป
หานลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยแววตาที่เปล่งประกายครุ่นคิด หยัดกายลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาก็มาปรากฎตัวที่มุมหนึ่งของสวนสมุนไพรภายในถ้ำพำนัก
เบื้องหน้าของเขามีต้นไผ่สีเขียวมรกตเจ็ดสิบสองลำ สูงสองสามจั้ง ถูกม่านลำแสงสีทองอ่อนชั้นหนึ่งห่อหุ้มอยู่
หานลี่ยืนอยู่เบื้องหน้ากระบี่บินเหล่านั้น เพ่งมองชั่วขณะ ฉับพลันนั้นพลันยื่นมือออกไปหยิบไผ่สีเขียวมรกตที่อยู่ใกล้ที่สุด
แต่เมื่อนิ้วสัมผัสกับไม้ไผ่ เสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองสายหนึ่งปรากกฎขึ้นบนลำไม้ไผ่ โจมตีไปยังฝ่ามืออย่างไม่เกรงใจ
เสียง “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น พริบตานั้นฝ่ามือพลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ประจุไฟฟ้าสีทองจมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย คาดไม่ถึงว่าจะถูกดูดเข้าไป
หานลี่ทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ แค่หลับตาทั้งสองข้างลง ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอะไรได้จากใบไผ่ที่ปลายนิ้ว
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ถึงได้เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น คลายใบไผ่สีเขียวมรกตออก แต่กลับขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
“แม้จะได้ผล แต่ขั้นตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเชื่องช้าไปหน่อย ดูแล้วตอนที่ผนึกอีกครั้ง คงดีกว่านี้ ไปจัดการเรื่องอื่นก่อนเถิด!” หานลี่ลูบใต้คางไปมาแล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
จากนั้นลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนร่างของเขา กลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งไปด้านนอกสวนสมุนไพร เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นสองสามครั้งแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยย
ไม่นานนักหานลี่ก็มาปรากฎในห้องหินสี่เหลี่ยมอีกห้องหนึ่ง
ห้องแห่งนี้มีเตาน้อยใหญ่ตั้งอยู่เจ็ดแปดเตา ถูกวางเรียงกันเป็นวงกลม ตรงกลางกลับมีแท่นหินสูงใหญ่แท่นหนึ่ง ด้านนอกเป็นรูทรงกลม ถูกหยกขาวปกคลุมด้านบนเอาไว้อย่างมิดชิด
ฝาหยกเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา ดูมืดครึ้มและเย็นยะเยือก คาดไม่ถึงว่าจะสร้างขึ้นจากน้ำแข็งทมิฬก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง
บนชั้นไม้รอบๆ ห้องหินมีขวดน้อยใหญ่กองอยู่ แผ่กลิ่นหอมเข้มข้นออกมา
นั่นก็คือห้องปรุงยาที่หานลี่สร้างขึ้น!
ในขวดเหล่านั้นล้วนเป็นยาช่วยเสริมแบบสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นยาธรรมดาๆ แต่ล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้
หานลี่ขี้เกียจจะนำพวกมันใส่ลงไปในกำไลเก็บของ แน่นอนว่าจึงวางมันไว้ที่นี่แทน
หลังจากที่กวาดสายตาไปบนเตาเหล่านั้นแล้ว สุดท้ายก็ตกลงบนเตาสีเขียวใบหนึ่ง
หานลี่ยกมือขึ้นตะปบไปทางฝาของแท่นหิน ชั่วขณะนั้นสิ่งหนึ่งพลันบินพุ่งขึ้นมา ร่อนลงบนพื้นด้านข้างอย่างมั่นคง เกิดเป็นเสียงอึกทึกดังขึ้น
คาดไม่ถึงว่าจะหนักอึ้งเป็นอย่างมาก!
และในเวลาเดียวกันที่ฝาบินออกมา เพลิงลำแสงสีแดงสดกลุ่มหนึ่งก็บินทะลุออกมาจากรูยักษ์
ในห้องลับเปลี่ยนเป็นร้อนฉ่าจนยากที่จะรับไหวทันที
หานลี่ชี้ไปที่เตาสีเขียวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เจ้าสิ่งนั้นสั่นไหวเบาๆ ชั่วขณะนั้นพลันหายวับไปจากที่เดิม
พักใหญ่ๆ เตาใบนั้นกลับมีเปลวเพลิงลำแสงสีแดงสดปรากฎขึ้นกลางอากาศ ท่ามกลางเพลิงลำแสงที่สาดส่องลงมา มันพลันหมุนติ้วๆ ไปมา
หานลี่พลันบริกรรคมคาถา สองมือร่ายอาคม ปล่อยอาคมสายหนึ่งไปหาเตาสีเขียว
หลังจากที่หม้อสีเขียวเดี๋ยวหดเล็กลดเดี๋ยวขยายใหญ่ขึ้นรอบหนึ่ง เสียง “ตึง” ก็ดังขึ้น พลางร่อนลงมาด้านล่าง ขวางรูเพลิงเอาไว้ยอ่างพอดิบพอดี บดบังเปลวเพลิงสีแดงเหล่านั้นเอาอย่างมิดชิด
หานลี่เห็นสถานการณ์นี้ก็พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็ปัดไปที่กำไลเก็บของบนข้อมือ ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เผยกล่องหยกใบหนึ่งออกมา
เปิดฝากล่องออกอย่างระมัดระวัง เผยผลเจียงกั่ว[1]สีม่วงออกมาสองสามผล
ทุกผลมีขนาดเท่าหัวแม่มือ กลมดิก ราวกับเต็มไปด้วยน้ำกะทิโปร่งใส แผ่กลิ่นหอมเย้ายวนใจออกมา ด้านในผลเจียงกั่วมีแกนรูปมังกรเล็กๆ ที่ดูเสมือนจริงอยู่ มันโปร่งใสแวววาวและแนบเนียนสมจริง
นี่คือผลแก่นมังกรที่หานลี่ได้มาระหว่างทางจากภารกิจของเผ่าพฤกษาวิญญาณ
หากใช้ผลวิญญาณที่ล้ำค่านี้หลอม ‘ยาลูกกลอนทะยานมังกร’ มันจะมีผลต่อการพัฒนาพลังยุทธ์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญขั้นต้นเป็นอย่างมาก
ครานี้หานลี่อยู่ในระดับหลอมสูญขั้นต้น แน่นอนว่าย่อมเตรียมตัวหลอมยาลูกกลอนชนิดนี้แล้ว
ทว่ายาวิธีการหลอมยาลูกกลอนชนิดนี้ค่อนข้างซับซ้อน และเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากสำหรับหานลี่ แค่วัตถุดิบเสริมในการปรุงยาชนิดนี้ ก็ต้องหลอมเพียงลำพังรอบหนึ่งแล้ว ต้องเสียเวลาไปกว่าครึ่งเดือน
แต่โชคดีที่ระยะเวลาในการโตเต็มวัยของผลแก่นมังกรยาวนานมาก ใช้เวลาสามหมื่นปีเต็มถึงจะโตเต็มวัยครั้งหนึ่ง และก่อนหน้าก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการเร่งการเจริญเติบโตของไผ่อัสนีทองและผลตาข่ายสีเขียว จึงยังไม่ทันได้พิจารณาการเร่งการเจริญเติบโต ดังนั้นคงต้องรออีกสักสองสามปี
เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่ก็เก็บผลแก่นมังกรลงไป ใช้มือหนึ่งตะปบไปทางชั้นวางไม้ที่อยู่ด้านข้าง
ขวดยาสิบกว่าขวดบินถลาเข้ามาในทันที….
หานลี่อยู่ในห้องปรุงยานานเกือบครึ่งเดือน หลังจากที่ออกมาอีกครั้ง ก็เข้าไปในห้องลับ เริ่มปรับสมดุลของพลังยุทธ์ที่เพิ่งทะลวงจุดคอขวดออกมา
แน่นอนว่าแทบจะในเวลาเดียวกัน เขาก็เริ่มเรียนรู้เขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ชุดนั้น!
ช่วงเวลานี้อสูรน้อยและปีศาจทั้งสี่ก็นำวัตถุดิบที่ล้ำค่าจำนวนมากมาส่งให้ แม้ว่าของเหล่านี้จะมีมูลค่าไม่ธรรมดา แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อหานลี่ในครานี้นัก แน่นอนว่าจึงให้วิญญาณครวญแปลงกายเป็น ‘หานลี่’ ไปรับไว้อย่างสบายๆ
ปีศาจทั้งสี่ไม่อาจแยกแยะได้ว่า ‘หานลี่’ ที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวจริงหรือปลอม แต่ก็ยังคงเอ่ยขอบคุณ ไม่กล้าเผยท่าทีไม่นับถือออกมาแม้แต่น้อย
ภายใต้การแนะนำของทารกวิญญาณที่สอง วิญญาณครวญเก็บของไปด้วยท่าทีทระยงองอาจ แล้วไล่ปีศาจเหล่านั้นไป
ส่วนเรื่องที่หลังจากนั้นไม่นาน พวกมันก็ออกจากเกาะยักษ์ไปทางอากาศของมหาสมุทร เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แล้ว
วันเวลาต่อจากนั้น ทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างราบเรียบ
สองสามปีผ่านไปในที่สุดผลแก่นมังกรก็โตเต็มววัย หานลี่ออกมาจากการกักตน เริ่มหลอมยาทะยานมังกรจำนวนมาก
ผลคือยาลูกกลอนชนิดนี้ไม่เพียงมีขั้นตอนการหลอมที่ยุ่งยาก อัตราการหลอมสำเร็จก็ต่ำจนน่าอนาถใจ จากความรู้ด้านกาปรุงยาของเขาในครานี้ หลอมสิบครั้งคาดไม่ถึงว่าจะล้มเหลวไปเจ็ดแปดครั้งแล้ว
หานลี่รู้ว่าการหลอมยาลูกกลอนชนิดนี้ไม่ง่ายมาตั้งแต่แรก แต่ก็ยังตกใจกับอัตราการหลอมสำเร็จที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้
นี่ถึงได้รู้จักความยากของการปรุงยาพัฒนาพลังยุทธ์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญว่าเหนือกว่าที่เล่าลือกัน มิน่าล่ะร้านประมูลของเมืองเทวะสวรรค์ถึงไม่เคยนำยาลูกกลอนกระดับนี้ออกมาประมูล เกรงว่าต่อให้มีปรมาจารย์ด้านการปรุงยาที่มีฝีมือหน่อย ก็ไม่พอให้ตนเองดื่มจนทะลวงจุดคอขวด ไหนเลยจะนำออกมาง่ายๆ
ส่วนผู้ที่นำยาระดับนี้มาใช้ฝึกฝนราวกับเป็นเรื่องปกติ ก็ไม่อาจกล่าวว่าไม่มีได้ แต่ก็มีอยู่เพียงนิดหน่อยไม่กี่คนเท่านั้น
แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกกลัดกลุ้ม ทว่ามีขวดเล็กลึกลับอยู่ในมือ วัตถุดิบเสริมอื่นๆ ก็ไม่ใช่ของหายากอะไร แค่ใช้เวลามากหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหาหนักหนาอะไร
เช่นนั้นเวลาที่หานลี่กักตนปรุงยาครั้งแรกครั้งเล่าจึงค่อยๆ ไหลผ่านไป
สี่สิบปีต่อมาภายในห้องลับของถ้ำพำนัก หานลี่นั่งสมาธิอยู่บนพื้น สองมือร่ายอาคม ลำแสงสีทองบนร่างไหลเวียนโคจรไปมา กำลังจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนฃ
แต่ฉับพลันนั้นความรู้สึกขนลุกซู่ก็มาประชิดจิตใจ ทำให้เขาเก็บวรยุทธ์ด้วยอารามตกใจ พลางหยัดกายลุกขึ้น
“เหมือนจะมีผู้บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งใหญ่ใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านที่นี่! หรือว่า…” หานลี่ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นมีสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงระคนเคร่งเครียด
สามารถทะลวงผ่านเขตต้องห้ามหลายชั้นด้านนอกถ้ำพำนักของเขา แผ่แรงกดที่น่าตกตะลึงมายังเขาได้โดยตรง แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมร่างขึ้นไป จะมาที่เกาะรกร้างแห่งนี้เพื่ออันใดกัน หรือว่าจะเป็นเหล่าอาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ หรือว่าจะเป็นตัวประหลาดเฒ่าของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเผ่าอื่น!
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ความคิดเคลื่อนไหวไปมา แต่หลังจากที่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ ร่างกายก็เปล่งแสงสว่างวาบ ผลักประตูหินออกพลางออกไปจากห้องลับ
ครู่ต่อมาหานลี่ก็มาปรากฎตัวอีกห้องที่บนพื้นมีเขตอาคมมหึมาสลักอยู่ ตรงใจกลางของเขตอาคมมีแท่นหินอยู่แท่นหนึ่ง ด้านบนมีกระจกหกเหลี่ยมบานหนึ่งวางอยู่ และแผ่ลำแสงสีเงินออกมาลางๆ
นั่นเป็นเพราะหานลี่เพิ่งเรียนรู้ยันต์เก้าวิมานสวรรค์ได้ และปรับเปลี่ยนเขตต้องห้ามไข่มุกหมื่นมังกรสองสามครั้ง ครานี้ไข่มุกเม็ดนี้ไม่เพียงแผ่อาณาเขตออกไปได้สองสามพันลี้ และยิ่งไปกว่านั้นความลึกลับของมันยังไม่เหนือกว่าในอดีตจนไม่อาจเทียบเทียมได้
หานลี่สาวเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว ยืนอยู่ตรงใจกลางเขตอาคม สองมือพลันร่ายอาคม ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งจมหายเข้าไปในเขตอาคม
ชั่วขณะนั้นทั้งเขตอาคมพลันเปล่งเสียงร้องครืนๆ ดังขึ้น ลำแสงอัสนีต่างๆ ปรากฎขึ้น ม้วนไปทางกระจกสัมฤทธิ์บนแท่นหินทั้งหมด
ในเวลาเดียวกันที่กระจกถูกอัสนีลำแสงต่างๆ จมเข้าไป ก็เปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา พื้นผิวมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงวูบ ฉับพลันนั้นพลันพ่นม่านลำแสงสีเงินขนาดสองสามจั้งชั้นหนึ่งออกมา
ในม่านลำแสงมีลำแสงน้อยใหญ่กระพริบวาบๆ ไม่หยุด
หานลี่กวาดสายตาไป ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีสายตาตกอยู่ตรงลำแสงเจิดจ้าจนแสบตาสองดวงตรงขอบของม่านสีเงิน
“อะไรนะ คาดไม่ถึงว่าจะมีสองคน!” หานลี่พลันตะลึงงัน เผยสีหน้าประหวั่นออกมา แต่ทันใดนั้นก็จ้องเขม็งไปยังพวกมันด้วยดวงตาที่ไม่กระพริบ
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา ลำแสงสองดวงก็นิ่งงันอยู่บนม่านลำแสง ทั้งไม่ได้คิดจะพุ่งตรงผ่านถ้ำพำนักของหานลี่ และไม่ได้คิดจะไปจากที่นี่
หานลี่อดที่จะมีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสไปมาไม่ได้
“เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่น่ากลัวผู้นี้ไม่ได้มาหาเรื่องเขา มิเช่นนั้นในเวลาเดียวกันที่กวาดจิตสัมผัสผ่านถ้ำพำนักของเขาไป ก็คงบินเข้ามาในทันที แต่สองคนนี้กลับไม่ยอมจากไป ดูแล้วคงไม่ได้แค่ผ่านทางมา นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกหัวโตไปเล็กน้อย! จากพลังยุทธ์ของทั้งสองเห็นได้ชัดว่าไม่อาจมาปรากฎตัวที่นี่อย่างไม่มีเหตุมีผลได้! ผู้ใดจะรู้ว่าสองคนนี้เป็นมิตรหรือศัตรู หรือว่ามีแผนการอื่นกับเกาะแห่งนี้ สองคนนี้อยู่ห่างจากถ้ำพำนักของตนไปไม่ถึงสองสามพันลี้ แม้กระทั่งอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่กระบวนหนึ่ง อานุภาพก็อาจจะมาถึงตนเองได้ ตนเองก็อย่าปล่อยให้ประตูเมืองไฟไหม้ จนเป็นภัยลามมาถึงปลาในบ่อ[2]ล่ะ” เมื่อขบคิดเช่นนี้ หานลี่ก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
ประกอบกับก่อนหน้าที่แผ่จิตสัมผัสออกไปสัมผัสได้ถึงพลังเย็นเยียบ ทำให้เขาไม่รู้เป้าหมายของทั้งสอง จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกร้อนใจ
เขาขบคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มองไปยังเขตอาคมที่ฝ่าเท้า ฉับพลับนั้นพลันกัดฟัน ตัดสินใจอย่างเงียบๆ
หานลี่ใช้มือหนึ่งชี้ไปที่กระจกสัมฤทธิ์กลางอากาศเหนือแท่นบูชา
กระจกบานนั้นสั่นคลอนเบาๆ พวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แผ่ลำแสงสีเงินเจิดจ้าออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้นหานลี่พลันบริกรรมคาถา อ้าปากออกพ่นโลหิตบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งออกมาจากปาก
เสียง “ตูม” ดังขึ้น!
เมื่อกลุ่มโลหิตอยู่ห่างกระจกสัมฤทธิ์ได้สองสามฉื่อก็ระเบิดออก กลายเป็นหมอกโลหิตคละคลุ้ง ชั่วครู่ก็ปกคลุมกระจกบานนั้นเอาไว้ข้างใน
——
[1] ผลเจียงกั่ว หมายถึง ลูกเบอร์รี่
[2] ประตูเมืองไฟไหม้จนเป็นภัยลามมาถึงปลาในบ่อ หมายถึง เหตุร้ายลุกลามต่อเนื่อง
ตอนที่ 1530 กระบี่บินใหม่
เห็นเพียงกระบี่เล่มเล็กเจ็ดสิบสองเล่มพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ แค่กระพริบวาบจางๆ ก็จมหายเข้าไปในไผ่สีเขียวมรกตเหล่านั้นจนหมด
จากนั้นหานลี่พลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ปากพลันพ่นคำว่า “ขึ้น” ออกมา
ฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจพลันปรากฎขึ้น
เห็นเพียงไผ่อัสนีทองทั้งหมดระเบิดเสียงฟ้าร้องออกมา พริบตานั้นไม่ว่าจะเป็นผิวของลำไผ่หรือว่าใบไผ่ล้วนเปลี่ยนจากสีเขียวมรกตเป็นสีเหลืองกรอบ จากนั้นพลันสั่นเทา สีเปลี่ยนกายเป็นสีเทาขาว ราวกับตายแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ครานี้พายุอ่อนๆ ลุกหนึ่งพลันพัดผ่านมา ชั่วพริบตานั้นไผ่อัสนีทองก็กลายเป็นเถ้าถ่านหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนที่เดิมจึงเหลือเพียงกระบี่บินยาวสองสามฉื่อสีเขียวเจ็ดสิบสองเล่ม ลอยอยู่เหนือพื้นไปสองสามฉื่อ ทุกเล่มต่างเผยท่าทีดุดันน่าเกรงขามออกมา
แขนมายาข้างหนึ่งกวักเรียกกลางอากาศ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น กระบี่บินเล่มหนึ่งเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบหมุนคว้างพุ่งออกไป ถูกคว้าเอาไว้ในมือ อ
หานลี่จ้องเขม็งกระบี่บินสีเขียวในมือชั่วครู่ ฉับพลันนั้นอีกมือหนึ่งก็ร่ายอาคมไปที่หลังกระบี่เบาๆ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวบนผิวกระบี่พลันพลิ้วไหว เปล่งเสียงร้องยาวๆ ราวกับมังกรคำรามออกมา
กระบี่บินพลันพลิ้วไหว สั่นเทาไม่หยุดราวกับมังกรวารีสีเขียวตัวหนึ่ง
หานลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายสองครั้ง ฉับพลันนั้นฝ่ามือที่กุมกระบี่บินไว้พลันเปล่งแสงสว่างจ้า พลังวิญญาณที่น่าตกตะลึงถูกบีบเข้าไปในตัวกระบี่
ชั่วขณะนั้นกระบี่บินพลันเปล่งแสงสีเขียวอย่างบ้าคลั่ง ตัวกระบี่ที่เดิมทีดูชัดเจนแข็งแรงพลันเริ่มรางเลือนไป
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ยื่นนิ้วเปล่านิ้วหนึ่งออกไปแตะที่ตัวกระบี่
เห็นเพียงกระบี่บินเปล่งแสงสว่างวาบเล็กน้อย นิ้วทะลวงผ่านตัวกระบี่ไปไม่มีแรงต้านทานเลยัสกนิด
ราวกับว่ากระบี่บินเล่มนี้ไม่ใช่ของจริง เป็นแค่ภาพลวงตาอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันรู้สึกยินดี ทันใดนั้นสองมือพลันร่ายอาคม รวบรวมจิตสัมผัสกระตุ้นกระบี่บินทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้า
กระบี่บินทั้งเจ็ดสิบสองเล่มหมุนวนพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ทยอยกันจมเข้าไปในร่างของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย
ร่างของหานลี่มีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งบินออกจากสวนสมุนไพร หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ตีนเขาลูกยักษ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำพำนักหานลี่พลันมีสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หนีไปยังทิศทางตรงข้ามกับหมอกอเวจีทมิฬ
จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของระดับหลอมร่างทั้งสามตน ต่อให้หานลี่อำพรางกายก็ไม่อาจปิดบังได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปิดบังเลยสักนิด ขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีหนีไปยังขอบฟ้า
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังออกมาจากที่ไกลออกไป ปลายขอบฟ้ามีม่านลำแสงปรากฎขึ้นในบางครั้ง ต่อให้เผ่าประหลาดทั้งสองตนสนใจเขา ครานี้ก็ไม่อาจปลีกตัวออกมาได้
หานลี่จึงมองเห็นโอกาสงามๆ ในครั้งนี้ แล้วถึงได้หนีเตลิดไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ท่ามกลางการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป ชายหนุ่มเขาเดี่ยวที่แปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดเขี้ยวยาวตนหนึ่งปล่อยประจุไฟฟ้าสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากมือทั้งสอง โจมตีไปยังวิหคกระดูกที่พุ่งเข้ามาจนล่าถอยออกไป ปากก็เปล่งเสียงอุทานว่า “เอ๋” ออกมา หันหน้าไปมองทิศทางที่หานลี่หนีไปวูบหนึ่ง แววตาฉายแววเย็นชา
“พี่หมิ่นไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น ออกแรงสังหารเจ้าเดรัจฉานตนนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน พวกเราออกแรงอีกหน่อย ก็ทำให้มันบาดเจ็บหนักได้แล้ว” อีกด้านหนึ่งมนุษย์ปลายักษ์ที่ถือสามง่ามในมือเอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ออกมา
ดูแล้วเผ่าประหลาดตนนี้คงพบว่าหานลี่หนีไปแล้วเช่นกัน แต่ก็เอ่ยปากเตือนสติ
“ไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้าก็รู้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดแค่นเสียงอย่างเย็นชาพลางตอบกลับไป เขาแหลมบนศีรษะเปล่งเสียงอัสนีฟ้าฟาดออกมา ประจุไฟฟ้าสีเขียวขนาดความหนาเท่าถังน้ำสายหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากกระพริบวาบหนึ่งครั้ง ก็กลายเป็นมีดอัสนียักษ์เล่มหนึ่ง สับลงมาที่วิหคกระดูกตรงข้ามอย่างแรง
ส่วนวิหคกระดูกยักษ์ก็เปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมาอย่างไม่ยอมสำแดงความอ่อนแอ ชูกรงเล็บข้างหนึ่งขึ้นตะปบออกไปกลางอากาศ
กรงเล็บยักษ์ที่ดูพิสดารข้างหนึ่งมีไอสีดำพัวพันอยู่ปรากฎขึ้น และพุ่งไปยังมีดอัสนีตรงๆ
เสียงระเบิดอันน่าตกตะลึงพลันดังขึ้น ทันใดนั้นไอน้ำพลันกระจายตัวออกไปรอบๆ
มนุษย์ปลายักษ์เห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะอย่างเ**้ยมเกรียมออกมา โบกสามง่ามในมือ พ่นแท่งน้ำแข็ง พายุใต้ฝุ่นและประจุไฟฟ้าสีขาวออกมาพร้อมกัน ตนเองก็พลิ้วไหวร่างกายพุ่งออกไป
การต่อสู้ของทั้งสามดูเหมือนว่าจะรุนแรงขึ้นหลายส่วนในชั่วพริบตา!
……
คราแรกหานลี่ขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีไปทางในแผ่นดินของเผ่าวิหคสวรรค์ แต่หลังจากหนีไปได้แสนลี้ก็เปลี่ยนทิศทางอ้อมไปในส่วนลึกของมหาสมุทร
นี่เป็นการที่เขาระมัดระวังตัวมาก ถึงได้ทำเช่นนี้
เพื่อไม่ให้เผ่าประหลาดทั้งสองตนสังหารวิหคกระดูกเก้าหัวได้ในระยะเวลาอันสั้น แล้วไล่ตามมาจากด้านหลัง
แน่นอนว่าการหลอกล่อเช่นนี้ ย่อมไม่มีความผิดพลาดแน่
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นในสิบวันแรกหานลี่ก็ยังคงไม่กล้าหยุดพักเลยสักนิด แค่หนีเข้าไปยังส่วนลึกของมหาสมุทรอย่างเต็มอัตราโดยไม่หยุดพัก หลังจากที่ไม่รู้ว่าบินหนีมาได้กี่หมื่นลี้ เมื่อมั่นใจว่าตนเองจะไม่ซวยพบกับเผ่าประหลาดทั้งสองแล้ว ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เปลี่ยนทิศทางทันที
เขาบินไปตามแนวของชายฝั่งอย่างช้าๆ
โดยปกติแล้วอสูรทะเลที่โหดเ**้ยมและภัยธรรมชาติต่างๆ ในส่วนลึกของมหาสมุทร มักจะมีมากกว่าบนแผ่นดินใหญ่หลายส่วน แม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะอยู่ในระดับหลอมสูญ แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะเข้ามาลึกถึงเพียงนี้
ถึงอย่างไรเสียก็มีอันตรายที่ไม่รู้จักมากเกินไป
ทว่าหานลี่เองก็ไม่คิดจะอยู่ในอาณาเขตการควบคุมของเผ่าวิญญาณเหาะเหินต่อไป
ประการหนึ่งเป็นเพราะเผ่าวิหคสวรรค์ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะการมาถึงของเผ่าประหลาดระดับหลอมร่างทั้งสองตน ทำให้เขารู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจว่าจะหนีไปให้ไกลแสนไกลอย่างไม่ต้องขบคิดให้มากความ
เขาเตรียมตัวจะบินไปตามชายฝั่งของมหาสมุทรไปเรื่อยๆ ออกจากแดนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ประการแรกตามชายฝั่งไม่มีอสูรทะเลที่แข็งแกร่งอะไร ประการที่สองคนคือปกติแล้วของเผ่าวิญญาณมักจะเกลียดชังมหาสมุทร จึงไม่มีทางมาปรากฎตัวแถวนี้ง่ายๆ
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ เขาก็จะหลบหลีกปัญหาไปได้จำนวนมาก
หานลี่วางแผนการอันเหมาะสมอยู่ในใจขณะห้อตะบึงไปข้างหน้า
จากพลังยุทธ์ของเขาในครานี้ แม้ว่าจะควบคุมความเร็วของตนเอง วันหนึ่งบินได้ระยะทางสองสามล้านลี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เปลืองแรงอะไร
หานลี่บินไปพลาง หยิบกระบี่บินสีเขียวออกมาเล่มหนึ่งไปพลาง ใช้มือหนึ่งลูบไปมาพลางขบคิดอะไรสักอย่าง
กระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาธาตุไม้ที่กลายเป็นสีเขียวบริสุทธิ์ เปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับ เริ่มลางเลือนลง และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบรรจุพลังปราณเข้าไป ก็สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นของจริงได้ท่ามกลางลำแสง
หานลี่ใช้มือหนึ่งกุมด้ามกระบี่เอาไว้ หลังจากบรรจุลมปราณเข้าไปแล้วก็ตวัดเบาๆ
ลำแสงสีเขียวผืนใหญ่ระเบิดออกที่เบื้องหน้า ราวกับนกยูงรำแพงอย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อสะบัดข้อมือ ลำแสงสีเขียวทั้งหมดก็หม่นแสงลงกลับคืนเป็นกระบี่ยาวสีเขียวทันที ความเร็วของมันแทบจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ!
แน่นอนว่าใบหน้าของหานลี่ย่อมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อครู่ที่เขาตวัดกระบี่บิน แทบจะไม่รู้สึกถึงน้ำหนักและพลังแรงต้านใดๆ เลย นั่นหมายความว่าความแหลมและความเบาของกระบี่บินเล่มนี้อยู่ในจุดที่ผู้คนได้ยินเป็นต้องตื่นตะลึงแล้ว
เช่นนั้นหากควบคุมกระบี่บินเล่มนี้ล่ะก็ แค่ขบคิดก็สามารถพุ่งออกไปสองสามลี้และสังหารผู้คนได้ด้วยความคิดแล้ว
ทว่าหานลี่พลันขมวดคิ้วในทันใด
กระบี่บินเล่มนี้เปลี่ยนเป็นเบาหวิวและยิ่งไปกว่านั้นยังมีธาตุเดียว เกรงว่าระดับความแข็งแกร่งคงเทียบกับก่อนหน้าไม่ได้แล้วกระมัง
เมื่อขบคิดเช่นนี้ หลังจากที่หานลี่ลังเลเล็กน้อย อีกมือหนึ่งก็พลิกฝ่ามือ กระบี่บินที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วอีกเล่มปรากฎขึ้น
กระบี่บินสองเล่มพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะตัดสลับกันเป็นกากบาท
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เสียงเคร้งดังออกมา
“แย่แล้ว!” หานลี่ตกใจจนสะดุ้ง ทันใดนั้นก็ร้องอุทานออกมา เพ่งสมาธิมองด้วยความร้อนใจ ชั่วขณะนั้นสีหน้าพลันดูไม่ได้ไปเล็กน้อย
เห็นเพียงจุดที่กระบี่บินสองเล่มปะทะกัน แยกออกเป็นสองส่วน กระบี่บินทั้งสองส่วนลอยอยู่ตรงหน้าเขา
คิดไม่ถึงว่าความแข็งแกร่งของกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่เพิ่งหลอมใหม่ จะเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้
“ไม่สิ กระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาเป็นสมบัติประจำกายของตน หากได้รับความเสียหาย ตนจะปลอดภัยได้อย่างไร” หานลี่รู้สึกตกตะลึงระคนสงสัยในทันที แต่เมื่อขบคิดอีกทีแล้ว ก็โยนกระบี่บินทั้งสองส่วนออกไป ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งก็ร่ายอาคม
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น!
กระบี่บินทั้งสี่ส่วนสั่นเทาพร้อมกัน ฉับพลันนั้นสองส่วนพลันประสานเข้าด้วยกัน จากนั้นลำแสงสีเขียวพลันสว่างวาบ กระบี่บินนสองเล่มที่สมบูรณ์ไร้ความเสียหายพลันปรากฎขึ้นเบื้องหน้า
“กระบี่วิญญาณมายา!” หานลี่แววตาเปล่งประกาย ร้องออกอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง พลังลมปราณแต่เดิมที่เขาใส่ลงไปในกระบี่บินทำให้ตัวกระบี่เลือนราง ในใจจึงรู้สึกฉงนไปเล็กน้อย ครานี้นับว่ากระจ่างชัดแล้ว
นี่คือหนึ่งในอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อชนิดหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่ในเผ่ามนุษย์!
หานลี่เคยได้ยินมาโดยตลอด แต่ไม่เคยเห็นหรือว่าได้ยินว่ากระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงผู้ใดมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้
คิดไม่ถึงว่าหลังจากตัวเองใช้เคล็ดวิชาลับปลูกกระบี่ไปครั้งหนึ่ง กระบี่บินของตนเองจะมีอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
ว่ากันว่ากระบี่บินที่มีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ สามารถทำให้กระบี่บินอยู่ในสภาวะที่ไร้รูปร่าง และสามารถแยกออกเป็นหลายๆ ส่วนนับไม่ถ้วนได้ตามแต่ประสงค์ จากนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมได้อีกครั้ง
เช่นนั้นกระบี่บินที่มีอิทธิฤทธิ์นี้ก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่คงกระพัน นอกจากสมบัติพิเศษแล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรทำลายมันได้
แน่นอนว่านี่เป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น ทุกครั้งที่กระบี่บินแยกตัวออกแล้วรวมตัวกันอีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมต้องเสียหายไปเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันเจ้านายของกระบี่บินก็จะสูญเสียพลังลมปราณไปไม่น้อย
หากผ่านการแยกตัวออกหลายๆ ครั้ง หรือลมปราณของนายกระบี่บินหมดลง แม้ว่าจะมียุทธภัณฑ์กระบี่มายา กระบี่บินเหล่านี้ย่อมถูกทำลายอยู่ดี
แต่เช่นนั้นหานลี่ก็ยังรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ครานี้เขาจึงเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าเหตุใดชายชราแซ่เจียงเห็นวัตถุดิบที่เขาผสมเข้าไปในกระบี่บินของเขาแล้ว ถึงได้ไม่แยแสเช่นนั้น
เกรงว่ากระบี่บินของชายชราเองคงมีอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้เช่นกัน ทว่าชายชราแซ่เจียงไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาปลูกกระบี่ กระบี่บินก็มีอิทธิฤทธิ์นี้ ไม่รู้ว่าต้องหลอมให้บริสุทธิ์นานแค่ไหนถึงได้มีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ได้
ไหนเลยจะเหมือนเขาที่อาศัยพลังของไผ่อัสนีทองและขวดเล็ก แค่ร้อยกว่าปีก็สามารถหลอมกระบี่บินให้บริสุทธิ์ถึงขั้นนี้ได้
อ้าปากออกพ่นม่านลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมาจากปาก
กระบี่บินสองเล่มหมุนติ้วๆ อยู่กลางม่านหมอกสีเขียว ชั่วพริบตาก็หดเล็กลงเป็นสิบเท่า จนมีขนาดแค่สองสามชุ่น
จากนั้นม่านลำแสงพลันม้วนวน ชั่วขณะนั้นกระบี่บินพลันถูกหานลี่ดูดเข้ามาอยู่ในร่าง
หากอยากให้กระบี่บินเหล่านี้บริสุทธิ์มากกว่านี้อีกขั้น ไปอยู่ในขั้นที่สามารถเชื่อมโยงจิตใจกับกระบี่ได้ ล้วนไม่อาจอาศัยสิ่งของภายนอกได้ มีเพียงต้องอาศัยพลังปราณแท้ของตนเอง ค่อยๆ ฝึกฝนอย่างช้าๆ
หานลี่อารมณ์สุนทรีย์เป็นอย่างมาก ขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีบินตรงไปไม่หยุดไปพลาง เรียนรู้เขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ต่อไปพลาง
วันเวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หานลี่บินไปตามชายฝั่งเช่นนั้นกว่าครึ่งปี….
วันนี้หานลี่เพิ่งจะออกคำสั่งกับกระบี่บินสองสามเล่ม กระบี่ลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินออกมาจากก้นทะเล สับงูเหลือมทะเลที่หมายจะโจมตีเขาออกเป็นหลายส่วน ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง
ตอนที่ 1530 เผ่าเขาหนอนและเผ่าราชันย์...
ผิวกระจกเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ ชั่วครู่สูบหมอกโลหิตเข้าไปข้างในกระจก
กระจกที่แต่เดิมเป็นสีเงินระยิบระยับ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นสีแดงสดไร้ที่เปรียบ
จากนั้นม่านลำแสงสีเงินที่พ่นออกมาพลันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วพ่นหมอกลำแสงห้าสีออกมาอีกครั้ง
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น
ชั่วพริบตาที่หมอกลำแสงห้าสีประกอบตัวกันขึ้นอีกครั้ง ผิวของมันพลันมีหมอกวิญญาณสีขาวนวลเป็นกลุ่มๆ พ่นออกมา
หมอกเหล่านี้หมุนวนกายเป็นภาพวาดประหลาดที่ชัดเจน
ทุกสิ่งในภาพวาดแผ่นนี้ล้วนเหมือนถูกสร้างขึ้นจากม่านหมอกอย่างไรอย่างนั้น! นอกจากขนาดที่หดเล็กลงกว่าด้านนอกสองสามเท่าแล้ว ทุกอย่างก็ดูเสมือนจริง สมจริงเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่มองรูปภาพในม่านหมอก รูม่านตากลับหดเล็กลง
ทัศนียภาพในภาพวาดช่างคุ้นตานัก ภูเขาขนาดย่อมบริเวณใกล้เคียงกับริมทะเลหมอกอเวจีทมิฬ บนยอดเขามีเผ่าประหลาดแต่งกายแตกต่างกันสองคนยืนเคียงไหล่กันอยู่ตรงนั้น
เผ่าประหลาดทั้งสองคนนั้นดูคล้ายคลึงกับเผ่ามนุษย์ คนหนึ่งร่างกายสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา บนศีรษะมีเขาเดี่ยวสีเงินระยิบระยับงอกออกมา ราวกับชายหนุ่มที่อายุเพิ่งจะสามสิบปีเศษ อีกคนหนึ่งมีเรือนผมสีแดงสดยาวถึงเอว มีดวงตาของมัจฉาไร้ชีวิต ตรงโหนกแก้มมีเกล็ดที่คล้ายกับเกล็ดของมัจฉาอยู่รางๆ สวมชุดหนังอสูรสีเขียว
ครานี้ทั้งสองคนกำลังหันหน้าไปทางทะเลหมอกอเวจีทมิฬ กำลังปรึกษาอะไรกันอยู่ด้วยเสียงแผ่วเบา
ภาพที่หมอกสีขาวสร้างขึ้นกลับไม่อาจมีผลในการถ่ายทอดเสียงได้ จึงไม่อาจได้ยินคำพูดต่างๆ ได้เลยสักนิด
หานลี่แค่มองทั้งสองคนก็รู้ว่าไม่ใช่คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ในใจจึงรู้สึกหนักอึ้งไปเล็กน้อย
หากเป็นคนของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน เขาใช้ฐานะของบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าวิหคสวรรค์ออกโรงไป คิดดูแล้วก็คงจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวของเผ่าประหลาดเผ่าอื่น ทุกอย่างจึงพูดยากแล้ว
ตัวประหลาดเฒ่าเหล่านี้ล้วนเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย หากถูกอีกฝ่ายลงมือสังหารอย่างไร้มูลเหตุ จะไม่เป็นการตายอย่างไม่เป็นธรรมหรือ แต่หากออกจากที่นี่ แล้วไปซ่อนตัวสักระยะ ทำให้อีกฝ่ายตกใจ จะเป็นการทำให้อีกฝ่ายโกรธาหรือไม่นะ หานลี่ครุ่นคิดด้วยสีหน้าลังเล
ในตอนนั้นเอง ความเปลี่ยนแปลงพลันปะทุขึ้น
ชายหนุ่มสวมอารมณ์สีขาวมีเขางอกออกมาเขาหนึ่งซึ่งกำลังพูดคุยอยู่นั้น พลันหันมาประสานสายตากับหานลี่ด้วยสีหน้ามีเลศนัย ทันใดนั้นสองตาก็ระเบิดลำแสงสีเงินเจิดจ้าออกมา
หานลี่รู้สึกเพียงว่าดวงตาทั้งสองข้างเจ็ดปวด ถอยกรูดไปสองก้าวด้วยความร้อนลน หลับตาทั้งสองข้างลงด้วยความตื่นตระหนก
แทบจะในเวลาเดียวกัน ใบหน้าที่แต่เดิมชัดเจนก็ลางเลือน หลังจากเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ก็ระเบิดออกท่ามกลางลำแสงสีเงิน
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ก็กลายเป็นหมอกสีขาวเป็นกลุ่มๆ แล้วสลายหายไป
หานลี่ยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม เผยสีหน้าประหวั่นออกมา
ทุกอย่างที่มองเห็นเมื่อครู่ เป็นสิ่งที่เขากระตุ้นไข่มุกมังกรที่มีอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์อย่างไม่เสียดายปราณแท้สร้างขึ้น
สามารถอาศัยไข่มุกสองสามเม็ดที่ฝังอยู่ในบริเวณรอบ ถ่ายทอดสถานการณ์รอบๆ มาได้ชั่วคราว และยิ่งไปกว่านั้นยังซ่อนเร้นอำพรางได้เป็นอย่างดี
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า จิตสัมผัสของชายหนุ่มเผ่าประหลาดเขาเดี่ยวผู้นั้นจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แค่มองสองสามวูบ ก็ถูกอีกฝ่ายมองออก จากนั้นก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ทำลายเขตต้องห้ามของตน
สองคนนี้อยู่ในระดับหลอมร่างอย่างแน่นอน แม้กระทั่งอาจจะอยู่ในระดับขั้นสูงส่งอย่างระดับขั้นกลาง
ครานี้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองลงมือแล้ว จะต้องหนีไปในทันทีหรือไม่? หานลี่รู้สึกลังเลไม่แน่ใจ
นั่นไม่ใช่เพราะว่าหานลี่คิดว่าอาจจะโชคดีอะไร แต่เพราะกลัวว่าการเคลื่อนไหวอย่างสะเพร่าของตนเอง จะทำให้หายนะอย่างการถูกสังหารเข้ามาหาตน
ในคราที่หานลี่กำลังลังเลใจไม่แน่นอนนั้น ห่างออกไปสองสามพันลี้ จุดที่มีทัศนียภาพเหมือนในรูปภาพ ลำแสงสีฟ้าบนดวงตาของชายหนุ่มเผ่าประหลาดเขาเดี่ยวผู้นั้นพลันสลายหายไป
“สหายหมิ่น เจ้าพบอะไรหรือ?” ดวงตาปลาตายของเผ่าประหลาดเอ่ยปากถามขึ้น
“ไม่มีอะไร เมื่อครู่มีคนใช้เขตอาคมชนิดหนึ่งแอบสังเกตการณ์พวกเรา แต่ถูกข้าทำลายไปแล้ว เขตอาคมเหล่านี้ค่อนข้างน่าสนใจ” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวหัวเราะน้อยๆ ออกมา มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศในบริเวณนั้น!
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ไข่มุกสีขาวที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินของยอดเขาถูกสูบขึ้นมา แล้วตกลงในมือของชายหนุ่มเขาเดี่ยว
เผ่าประหลาดผู้งดงามคว้าไข่มุกเม็ดนั้นเอาไว้ในมือ วางอยู่ในระดับสายตา ปากก็เอ่ยชื่นชมในความมหัศจรรย์ของมัน
“คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมียุทธภัณฑ์ตรวจตราที่มีฝีมือละเอียดและงดงามชนิดนี้ แม้นว่าจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ใช้การได้จริง ต่อให้เป็นเผ่าของเจ้าและข้าก็มีผู้ที่เชี่ยวชาญยุทธภัณฑ์ประเภทนี้อยู่น้อยมาก”
“พี่หมิ่นวิจารณ์สิ่งนี้สูงส่งถึงเพียงนี้! ของที่ฝังอยู่ที่นี่คงไม่ได้มีแค่เม็ดเดียวสินะ” เผ่าประหลาดตาปลาพลันตกตะลึง กวาดจิตสัมผัสไปในบริเวณนอบ ลำแสงสีฟ้าบนร่างเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นก็หายไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมาคนก็มาปรากฎตัวในจุดที่ไกลแสนไกล ตะปบมือไปที่พื้นดินเบาๆ เช่นกัน
‘ไข่มุกหมื่นมังกร’ อีกเม็ดหนึ่งพุ่งออกมา ตกอยู่ในมือของคนผู้นี้
เผ่าประหลาดตาปลาร่างกายพลิ้วไหวอีกครั้ง แล้วหายวับไปอีกครั้ง กลับมาอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ
“แม้ว่าจะค่อนข้างพิเศษ แต่เจ้าสิ่งนี้ไม่มีผลอะไรกับสองเผ่าอย่างพวกเรานัก ในเผ่าของพวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มียุทธภัณฑ์ตรวจตราที่ดีกว่านี้” หลังจากที่เผ่าประหลาดตาปลาพิจารณาเสร็จแล้ว กลับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ในมือเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ไข่มุกหมื่นมังกรกลายเป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา
จากนั้นเสียง “ปัง” ก็ดังขึ้น ไข่มุกระเบิดออกกลายเป็นเศษน้ำแข็งกองหนึ่ง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“พี่เจี่ยนกล่าวผิดแล้ว! แม้นว่าในเผ่าของพวกเราจะไม่ได้ไม่มีของประเภทนี้ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีช่องโหว่มากมายด้วย แต่ก็เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่าความสามารถในการหลอมยุทธภัณฑ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินดูเหมือนจะสูงส่งกว่าในตำนานเป็นอย่างมาก ดูแล้วการคาดการณ์เผ่าวิญญาณเหาะเหินเดิมของเผ่า จะคลาดเคลื่อนแล้ว!” ชายหนุ่มเผ่าประหลาดเขาเดี่ยวกลับเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“อ๋อ ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ พวกเราก็ไปจับคนผู้นั้นกันเถิด ลองสอบถามสักหน่อยเป็นอย่างไร” มนุษย์ตาปลากลอกตาไปมา มุมปากเผยรอยยิ้มเ**้ยมเกรียมขึ้น
“ช่างเถิด ครั้งนี้พวกเรามาเพื่อเจรจรากับเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ไม่ได้มาเพื่อก่อสงคราม เคล็ดวิชาหลอมยุทธภัณฑ์ของคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินจะเป็นอย่างไร รอจนพวกเราเข้าไปในพื้นที่ของพวกเขา มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เหตุใดต้องทำอะไรให้วุ่นวาย พลังยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอ หากเป็นญาติห่างๆ ของตัวประหลาดเฒ่าแห่งเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านั้นล่ะก็ อาจจะทำให้พวกเราพลาดเรื่องใหญ่ไปก็เป็นได้ และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ได้ประโยชน์ที่คาดไม่ถึงมาหนึ่งอย่างมิใช่หรือ?” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวเอ่ยไปพลาง แววตาที่ฉายแสงประหลาดๆ จ้องเขม็งไปยังหมอกสีดำ เผยสีหน้าละโมบออกมา
“เหอๆ พี่เจี่ยนพูดมีเหตุผล คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้ช่างไม่รู้จักของดีจริงๆ ไอทมิฬเที่ยงแท้ที่ล้ำค่าขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเอามาไว้ในจุดที่ไม่มีคนดูแลเช่นนี้ จะได้สะดวกต่อเจ้าและข้าพอดี” มนุษย์ตาปลาได้ยินสหายร่วมทางกล่าวเช่นนี้ ก็เผยแววตาตื่นเต้นออกมาเช่นกัน
“คนเผ่าวิญญาณธรรมดาๆ นั้นพูดยาก แต่ตัวประหลาดเฒ่าสองสามคนในเผ่าวิญญาณเหาะเหินนั้นไม่มีทางไม่รู้ประโยชน์ของหมอกผืนนี้แน่ เจ้ากับข้าระวังหน่อยจะดีกว่า! ว่ากันตามตรงแล้วหากไม่ใช่เพราะตอนนี้ต้องการสิ่งนี้จริงๆ ข้าก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับคนเผ่าวิญญาณเหาะเหิน” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวชักสายตากลับมา แล้วเผยสีหน้าลังเลออกมา
“ฮ่าๆ พี่หมิ่นยังกลัวว่าเผ่าวิญญาณเหาะเหินจะกล้าลงมือกับพวกเราสองคนอีกหรือ? ที่เราสองคนมาในครั้งนี้ เป็นตัวแทนของทั้งสองเผ่า นอกเสียจากตัวประหลาดเฒ่าของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านั้นจะเสียสติ อยากให้เผ่าของพวกเขาถูกสังหารในแดนวิญญาณ มิเช่นนั้นต่อให้รู้ว่าพวกเราเอาไอทมิฬเหล่านี้ไป ก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเราอยู่ดี” มนุษย์ตาปลากลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“อาจจะกระมัง ทว่าที่พวกเราสองคนข้ามมหาสมุทรมาในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เดิมทีคราที่ตรวจสอบตำแหน่งที่กระบี่สับวิญญาณสวรรค์ทมิฬปรากฎตัว หลังจากบวงสรวงโลหิตแล้วคิดไม่ถึงว่าจะไม่อาจเรียกสมบัติสวรรค์ทมิฬนี้ออกมาได้ หากไม่ใช่เพราะมหาปุโรหิตของเผ่าทำการทำนายอีกครั้งล่ะก็ พวกเราก็ไม่รู้ว่าสมบัติชิ้นนี้ถูกคนนำมาที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินแล้ว นั่นมันแปลกไปหน่อย หรือว่ากระบี่สับวิญญาณสวรรค์ทมิฬตกอยู่ในมือของคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินอยู่ก่อนแล้ว” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง หากไม่ใช่เพราะเผ่าเล็กเหล่านั้นจงใจส่งคนไปนำสมบัติสวรรค์ทมิฬนี้ออกจากแหล่งกำเนิด มาอยู่ที่เผ่าวิญญาณเหาะเหิน แต่มันก็ไม่แตกต่างอะไรกันสำหรับพวกเรา” มนุษย์ตาปลาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“ไม่แตกต่างอะไรกันอย่างแน่นอน การร่วมมือกันของสองเผ่าอย่างพวกเราในครั้งนี้ต้องสูญเสีญศิลาวิญญาณไปมากโข ถึงได้ส่งตัวพวกเราข้ามมหาสมุทรมายังแผ่นดินใหญ่นี้ได้ ไม่มีทางปล่อยให้กระบี่สับวิญญาณสวรรค์ทมิฬตกไปอยู่ในมือของเผ่าอื่นแน่ หากเป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬปกติก็ช่างเถิด แต่เมื่อกระบี่สับวิญญาณสวรรค์ทมิฬปรากฎตัว ก็จัดอยู่ในอันดับสาม สมบัติสวรรค์ทมิฬที่มีอานุภาพเช่นนี้ ไม่อาจปล่อยให้ตกอยู่ในมือของเผ่าอื่นได้ ไม่ว่าเผ่าใดในแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนที่กล้าปฏิเสธที่จะมอบกระบี่เล่มนี้ได้ ล้วนต้องถูกเจ้าและข้าร่วมมือกันสังหารทิ้ง เผ่าวิญญาณเหาะเหินนี้นับว่ามีอำนาจอยู่บ้างในแผ่นดินใหญ่เทียนหยวน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทั้งสองเผ่าที่ไม่อ่อนแออย่างพวกเราแล้ว แต่แค่การส่งคนข้ามมหาสมุทรมานั้น มันยุ่งยากไปหน่อยจริงๆ มิเช่นนั้นจะเกรงใจพวกเขาเช่นนี้หรือ” แววตาของชายหนุ่มเขาเดี่ยวฉายแววเย็นชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยจิตสังหาร
“แน่นอน แม้ว่าจะนำกำลังของเผ่าเขาแมลงของพวกเจ้าและเผ่าราชันย์มหาสมุทรของพวกเจ้ามาแค่หนึ่งในสิบส่วน ก็สามารถล้มล้างเผ่าวิญญาณเหาะเหินได้อย่างง่ายดาย แต่การส่งกองทัพจากทางไกลนั้น อาจจะนำโอกาสมาสู่เผ่าเหล่านั้น ทางที่ดีที่สุดให้เผ่าวิญญาณเหาะเหินยอมเชื่อฟังดีๆ จะดีกว่า!” เผ่าประหลาดตาปลาหัวเราะอย่างน่ากลัว
“เอาล่ะ! ในเมื่อเจ้าและข้าไม่อยากทิ้งไอทมิฬเที่ยงแท้เหล่านี้ไป เช่นนั้นก็รีบลงมือเถิด จากนั้นก็รีบเดินทางไปเยี่ยมเยียนตัวประหลาดเฒ่าของเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านั้นอีกครั้ง” ชายหนุ่มเขาเดี่ยวพ่นลมหายใจยาวออกมา ในที่สุดก็เอ่ยอย่างตัดสินใจ
“ฮ่าๆ พี่หมิ่นพูดถูกแล้ว” มนุษย์ตาปลาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สองมือรวบเข้าด้วยกัน ฉับพลันนั้นร่างกายพลันมีลวดลายสีฟ้าเป็นชั้นๆ ปรากฎขึ้น ชั่วพริบตาก็ขยายออกไปสองสามร้อยหมู่ แทบจะกินพื้นที่ครึ่งท้องฟ้า
ทันใดนั้นลำแสงวิญญาณพลันสว่างวาบ ชั่วพริบตานั้นลายสีฟ้าก็กลายเป็นคลื่นสีฟ้า
มนุษย์ตาปลาพลันอ้าปากออกพ่นน้ำเต้าสูงสองสามชุ่นสีสันแวววาวออกมาหนึ่งลูก ถือเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางระลอกคลื่น
เสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชั่วพริบตานั้นระลอกคลื่นน้ำรอบด้านก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่งโดยมีน้ำเต้าเป็นศูนย์กลาง คลื่นรอบด้านสูงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายพลันพัดกระพือจนสูงถึงยี่สิบสามสิบจั้ง ห่อหุ้มมนุษย์ตาปลาเอาไว้ข้างใน
ชายหนุ่มเขาเดี่ยวที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้พลันยิ้มน้อยๆ ออกมา มือหนึ่งตบไปที่หน้าผากของตน
เสียงหวีดร้องดังขึ้น!
พายุใต้ฝุ่นสีเขียวกลุ่มหนึ่งม้วนออกมาจากหน้าผากของชายหนุ่ม ทันใดนั้นก็ขยายใหญ่ออกไป หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็กลายเป็นขนาดมหึมาเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้ง พวยพุ่งขึ้นไปสุดขอบฟ้า
เสียงหวีดร้องยาวๆ ดังออกมาจากพายุใต้ฝุ่น พายุที่บ้าคลั่งพลันหยุดลง คาดไม่ถึงว่าสลายออกบางเบาลง ตัวประหลาดมีเขาเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับสูงร้อยจั้งปรากฎขึ้นกลางอากาศ
ตัวประหลาดนี้มีเขายาวสีเงิน มีเขี้ยวงอกออกจากปาก สวมชุดเกราะทองแดงสีเขียว ขาหนาผอมบาง ขาหลังอ้วนสั้น มือถือใบมีดประหลาดสีดำเล่มหนึ่งเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือขวดหยกสีเขียวขวดหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น