คัมภีร์วิถีเซียน 1520-1523
ตอนที่ 1520 ออกจากแม่น้ำอเวจี
เวลาสองวันผ่านไปในชั่วพริบตา
ภายในชีพจรสีขาวเทา บนยอดเขามหึมาไร้นามแห่งหนึ่ง สีเขตอาคมมหึมารัศมีกว้างร้อยจั้งตั้งอยู่ตรงนั้น
บริเวณขอบของเขตอาคมนี้ มีแท่นสูงตั้งอยู่แปดแห่ง บนแท่นสูงแต่ละแห่งปักธงสูงมหึมาไว้หนึ่งด้าม บนธงมีอักขระสีเงินทองสองสีเปล่งประกายอ่อนๆ ไม่หยุด
บริเวณใจกลางของเขตอาคม หานลี่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ขยับเขยื้อน
ข้างนอกมีคนยืนอยู่บางตา ซึ่งก็คือชายชราแซ่เจียงและหยวนเหยาเหยียนลี่สองสาว
ตอนนี้ชายผ้าคลุมของชายชรากำลังโบกพลิ้ว แหงนหน้ามองไปยังหมอกสลัวๆ บนท้องฟ้า
กลางอากาศสูง มีรอยสีขาวมหึมายาวร้อยจั้งเศษอยู่เส้นหนึ่งปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงนั้น
“สหายหาน แม้ว่าข้าสามารถช่วยแยกมิติของแม่น้ำอเวจี ใช้พลังของเขตอาคมส่งตัวเจ้าไปภายนอกได้ แต่จะส่งเจ้าไปที่ใดในแดนภายนอกนั้น ข้ากลับไม่สามารถรับรองได้ แต่เจ้าวางใจ ไม่มีทางส่งเจ้าไปที่ทวีปอื่นแน่ อย่างมากก็ยังอยู่ในบริเวณใกล้เคียงของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน” หลังจากผ่านไปนานสองนาน ชายชราก็ก้มหน้าลงแล้วกล่าวกับหานลี่
“ขอบพระคุณอาวุโสที่กล่าวเตือน ชนรุ่นหลังทราบแล้วขอรับ” หานลี่รู้สึกใจหาบวาบ พลันตอบกลับด้วยความเคารพ
“ดีมาก เหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้าจะร่ายคาถาส่งเจ้าออกจากแม่น้ำอเวจีเดี๋ยวนี้ ใช่แล้ว ของสิ่งนี้เก็บไว้ให้ดี เมื่อเจ้ารวบรวมสิ่งของเพียงพอและคิดจะเข้ามาที่นี่อีกครั้ง เจ้าสามารถทำตามวิธีที่บรรยายบนนี้และเข้ามาที่แม่น้ำอเวจีได้อีกครั้ง ส่วนของสิ่งนี้ข้าก็มีแค่ชิ้นเดียวด้วย อีกทั้งยังเป็นของที่ใช้แล้วทิ้ง” ชายชราโบกมือคราหนึ่ง ของสองอย่างก็พวยพุ่งออกมา
หานลี่รีบยื่นมือรับ เมื่อจ้องมองคราหนึ่ง ก็หลุดปากร้องออกมา “จานดับดารา! คาดไม่ถึงว่าอาวุโสจะมีของสิ่งนี้ด้วย?”
ในมือปรากฏกล่องทรงกลมใบหนึ่งเปล่งแสงสีขาววิบวับ กับม้วนคัมภีร์หยกสีฟ้าอีกม้วนหนึ่ง
“咦,你也知道此物,倒也真不容易。不过这不是真正的逆星盘,只不过是一件仿制品而已。但是炼制此物的材料极为难寻,我原先炼制了几块,但大半都用掉了。如今只剩下这一件了。玉简中有让你利用此物进入冥河之地的方法。你以后再仔细看看吧。另外,当日你用来探路的噬金虫,也一并收回吧。。”老者脸上讶色一闪,但随即淡淡说了两句,接着袖袍又是一抖。
“เอ๋ เจ้าก็รู้จักของสิ่งนี้ ไม่ง่ายจริงๆ นะเนี่ย ทว่าสิ่งนี้ไม่ใช่จานดับดาราที่แท้จริง เป็นแค่ของลอกเลียนเท่านั้น แต่วัตถุที่ใช้หลอมสิ่งนี้ก็หายากสุดๆ ตอนแรกข้าหลอมมาหลายใบ แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้หมดไปแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ใบนี้เท่านั้น ในม้ววนคัมภีร์หยกมีวิธีใช้ของสิ่งนี้เข้ามาในแม่น้ำอเวจี หลังจากนี้เจ้าค่อยอ่านดูให้ละเอียดก็แล้วกัน นอกจากนี้ แมลงกลืนทองที่เจ้าใช้สำรวจเส้นทางในวันนั้น ก็เก็บกลับไปเถอะ” ชายชราเผยสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าออกมาแวบหนึ่ง แต่ฉับพลันก็พูดอย่างเรียบๆ แล้วสั่นแขนเสื้ออีกคราหนึ่ง
ทันใดนั้นวัตถุสีเขียวสลัวๆ ก็พวยพุ่งออกจากแขนเสื้อของเขา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสถูปไม้สีเขียวมรกต
สมบัติชิ้นนี้หมุนเคว้งรอบหนึ่ง ทันใดนั้นดอกไม้สีทองสองดอกก็พุ่งออกมาจากสถูป
ที่แท้ก็คือแมลงกลืนทองที่ถูกชายชราเก็บไปในตอนแรกนั่นเอง
หานลี่เห็นดังนี้ก็ดีใจ พลันโบกมือคราหนึ่ง แมลงกลืนทองทั้งสองตัวก็กางปีกแล้วพุ่งกลับมาหาในทันที
“สหายหาน คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถเพาะเลี้ยงแมลงกลืนทองจนโตเต็มวัยได้ นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากจริงๆ แต่ว่าข้าขอเตือนด้วยความจริงใจสักหน่อย แม้ว่าแมลงกลืนทองร่างโตเต็มวัยจะน่ากลัวสุดๆ แต่ถึงอย่างไรก็จัดเป็นแมลงวิญญาณที่รวมกันเป็นฝูง เพียงแค่มีปริมาณที่แน่นอนแล้ว จึงจะสามารถสำแดงอานุภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้ หากมีแค่ไม่กี่ตัว ง่ายมากที่จะถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงใช้สมบัติจำพวกศิลาพฤกษายับยั้งพวกมัน ทำให้ต้องพิชิตด้วยกลยุทธ์ปาฏิหาริย์เท่านั้น สหายสิ้นเปลืองความคิดกับแมลงกลืนทองเหล่านี้ มิสู้ทุ่มเทกับการฝึกฝนของตัวเองให้มากหน่อยจะดีกว่า แน่นอนว่าหากสหายสามารถเพาะเลี้ยงแมลงกลืนทองที่โตเต็มวัยได้เป็นพันตัว และสามารถควบคุมได้ราวกับแขนขาตัวเอง เช่นนั้นเจ้าก็สามารถบุกตะลุยแดนวิญญาณได้กว่าครึ่งแล้ว สมบัติจำพวกศิลาพฤกษาทั่วไปก็ไม่สามารถกักขังแมงกลืนทองร่างโตเต็มวัยที่มากมายเช่นนี้ได้ แต่แมลงกลืนทองที่มากมายเช่นนี้ มีแต่จะทำให้สิ้นเปลืองจิตสัมผัส แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีอย่างพวกข้าก็ไม่สามารถรับได้ หึๆ หากเจ้าสามารถเพาะเลี้ยงราชาแมลงกลืนทองในตำนานได้ อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีเช่นข้าเลย เกรงว่าแม้แต่เซียนแท้บนสวรรค์ก็ยังต้องถอยห่างไปสามฉื่อ” ชายชราหัวเราะเบาๆ สองสามคราแล้วกล่าวเตือน
“ราชาแมลงกลืนทอง!” หานลี่ได้ยินแล้วตะลึงงัน เขาเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก
“ทำไม่รึ เจ้าไม่รู้จักหรือ อ๋อ ก็จริงอยู่ คนที่รู้จักราชาแมลงกลืนทองก็มีแค่เผ่าแมงเม่าไม่กี่คนกับเผ่าที่มีความเกี่ยวข้องกับแมลงเท่านั้น ไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าขอไม่พูดอะไรมาก หากมีโอกาส เจ้าสามารถไปหาข้อมูลด้วยตัวเองได้ ราชาแมลงนี้เป็นแค่ตำนานที่เล่าต่อกันมาไม่รู้นานเท่าไหร่ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครสามารถเพาะเลี้ยงได้จริงๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก” ชายชรายิ้มคราหนึ่ง จากนั้นก็ไม่อยากพูดอะไรมากอีก พลันตั้งท่าร่ายคาถามือเดียว!
เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้น หลังจากกลางอากาศเกิดเสียงอัสนี ท้องฟ้าบริเวณใกล้เคียงก็เกิดเมฆดำขึ้นอย่างหนาแน่น พร้อมกับพายุหมุนที่ก่อตัวอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางพายุ มีเสียงบริกรรมคาถาดังจากปากของชายชราอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเสียงจะไม่ได้ แต่กลับได้ยินชัดเจนผิดปกติ
ฉากที่ชวนให้ตกตะลึงพรึงเพริดพลันปรากฏขึ้น
มองไม่เห็นว่าชายชราทำอะไรอีก ธงมหึมาบนแท่นสูงทั้งแปดเกิดการสั่นสะเทือนพร้อมกัน ภายใต้ผืนธงที่โยกไหวรับลม ทั้งเขตอาคมก็เริ่มส่งเสียงหึ่งๆ ขึ้น
เส้นไหมวิญญาณหลากหลายสีสันปรากฏออกมาจากบริเวณใกล้เคียงของเขตอาคม กลายเป็นม่านแสงซัดออกไปที่ธงมหึมาแปดด้ามอย่างพร้อมเพรียง
ขณะที่ธงมหึมาแปดด้ามเปล่งแสงวิญญาณระยิบระยับ ม่านแสงหมื่นสายก็ค่อยๆ แผ่แรงกดวิญญาณอันน่าสะพรึงออกมาเป็นระลอกๆ
แต่ละแห่งของเขตอาคมต่างก็เปล่งแสงเจิดจ้า อักขระแต่ละตัวต่างทยอยกระโดดโลดเต้นออกมาจากเขตอาคม
หานลี่ที่อยู่ใจกลางสุดของเขตอาคม สามารถรับรู้ได้ถึงอานุภาพอันน่ากลัวที่แฝงอยู่ในอักขระเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
หากอักขระเหล่านี้ระเบิดออกพร้อมกัน เกรงว่าตัวเขาที่มีเอ็นทองแดงกระดูกเหล็กก็ไม่อาจต้านทานได้อย่างแน่นอน
หานลี่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พลางสูดหายใจลึก
หยวนเหยาที่อยู่นอกเขตอาคมมองดูภาพนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยน มองดูสายตาของหานลี่ก็อดไม่ได้ที่จะเผยความกังวลออกมาเล็กน้อย
ในตอนนี้เอง ชายชราก็ส่งเสียงร้องเบาๆ ออกจากปากอย่างฉับพลัน
ธงมหึมาแปดด้ามหมุนโคจรรอบหนึ่ง ลำแสงหนาๆ แปดสายก็พวยพุ่งออกจากผืนธงพร้อมกัน แล้วหายวับไปในชั้นบรรยากาศสูงอย่างไร้ร่องรอย
ทันใดนั้นรอยสีขาวกลางอากาศเส้นนั้นก็เปล่งแสงเจิดจ้า ดูกระจ่างชัดกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
ชายชราเห็นเช่นนี้ มือหนึ่งก็สั่นแขนเสื้อไปในอากาศ
กลางอากาศเหนือเขตอาคมเกิดเสียงดังอื้ออึ้งขึ้นคราหนึ่ง ฉับพลันก็เกิดแสงสีเขียวเจิดจ้าพร่ามัว ปรากฏเป็นกระบี่แสงสีเขียวสลัวๆ เล่มหนึ่ง ยาวประมาณหลายจั้ง
“ฟัน!” ชายชราเปล่งเสียงร้องเฉียบขาดด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ พลันยื่นนิ้วสองนิ้วแตะไปที่กระบี่แสงเบาๆ
กระบี่แสงสีเขียวตั้งตรงขึ้นในชั่วพริบตา แล้วฟันไปตรงรอยสีขาวกลางอากาศอย่างแม่นยำ
กลางอากาศบริเวณใกล้เคียงส่งเสียงหึ่งๆ ดังลั่น อากาศเกิดการหดตัวลง ราวกับพลังปราณฟ้าดินในบริเวณใกล้เคียงถูกกระบี่เล่มนี้ดูดไปจนหมด
คาดไม่ถึงว่าภายในพริบตาที่กระบี่ยักษ์สีเขียวฟันออกไป จะขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าอย่างบ้าคลั่ง ราวกับศาสตราเทวะสูงเสียดฟ้าที่ปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่ง
“แคว่ก!” เกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้นทั่วทั้งผืนฟ้า
คาดไม่ถึงว่ากระบี่ยักษ์มหึมาสีเขียวจะตัดผ่ารอยสีขาวเส้นนั้น
ภายในรอยสีขาว ปรากฏเส้นรอยแตกเรียวยาวสีดำเปรอะออกมาเส้นหนึ่ง
ชายชราโบกมือคราหนึ่ง กระบี่ยักษ์ก็แตกสลายหายไป
ในขณะเดียวกัน บริเวณใกล้เคียงของรอยแยกสีดำก็ปรากฏอักขระมหึมาขึ้นแปดตัว แต่ละตัวมีขนาดเท่าเรือนหลังหนึ่ง หมุนโคจรเปล่งแสงสีทองระยิบระยับไม่หยุด
หานลี่เห็นเพียงอากาศรอบๆ อัดแน่นขึ้น จากนั้นอักขระในเขตอาคมที่อยู่ใต้เท้าก็ลอยขึ้นไปบนร่างเขาพร้อมกัน
เขารู้สึกตกตะลึง ขณะที่กำลังรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกขนพอง อักขระเหล่านั้นก็กลายเป็นม่านแสงหลากสี หมุนโคจรล้อมรอบหานลี่อย่างรวดเร็ว
เห็นเพียงรอบด้านเลือนรางเล็กน้อย ร่างทั้งร่างพลันหมุนติ้ว
หลังจากสิ้นเสียงร้องแหลมประหลาด ลำแสงห้าสีสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากใจกลางของเขตอาคม แล้วหายวับเข้าไปในรอยแยกสีดำ
ในเวลาเดียวกัน แสงทั้งหมดของเขตอาคมก็ดับลง และหยุดการทำงาน
ใจกลางของเขตอาคมว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่เหลือร่องรอยของหานลี่
“อาจารย์ พี่หานส่งออกไปแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ?” หยวนเหยาเห็นทั้งหมดนี่กับตาตัวเอง ก็ไม่อาจปิดบังความกังวลของตัวเองไว้ได้ จึงถามชายชราด้วยความทนไม่ไหว
“เหยาเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล การร่ายคาถาครั้งนี้ประสบความสำเร็จมาก ตอนนี้เขาน่าจะกลับถึงแดนวิญญาณแล้ว หากมีวาสนา อย่างเร็วก็หลายร้อยปี อย่างยาวนานก็พันกว่าปี เขาจะต้องกลับมาที่แม่น้ำอเวจีอย่างแน่นอน เจ้าก็จะมีโอกาสได้พบเขาอีก” ชายชราแซ่เจียงหัวเราะเหอะๆ คราหนึ่งแล้วตอบกลับ
ดูเหมือนชายชราผู้นี้จะมองบางอย่างออก ในน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งเจตนาหยอกล้อเล็กน้อย!
หยวนเหยาหน้าแดงเล็กน้อย ไม่ได้แก้ต่างอะไร เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะมองไปบนฟ้าอีกครั้ง
เห็นเพียงรอยแยกสีดำกลางอากาศสูง ในเวลานี้ค่อยๆ ผสานกันทีละน้อย แล้วกลายเป็นรอยสีขาวเส้นหนึ่งอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆ เลือนราง
“ศิษย์น้อง พวกเรากลับไปกันเถอะ ไม่ใช่ว่าอาวุโสเจียงบอกแล้วหรือว่าหากมีวาสนาก็จะได้พบกันอีกแน่นอน อย่ามองว่าตอนนี้พลังยุทธ์กับอิทธิฤทธิ์ของศิษย์น้องตามสหายหานไม่ทันเลย แต่มีอาวุโสเจียงอาจารย์ผู้นี้อยู่ เชื่อว่าหลายร้อยปีต่อมา ระดับพลังยุทธ์ของศิษย์น้องจะต้องไม่ด้อยไปกว่าเขาแน่” เหยียนลี่เดินออกมา ข้อมือข้างหนึ่งวางนาบบนบ่าของหยวนเหยา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“หึๆ แม่หนูคนนี้พูดได้ไม่เลว แม้ว่าเจ้าหนูแซ่หานจะไม่ได้ง่ายดาย แต่เหยาเอ๋อร์มีผู้เฒ่าค่อยชี้แนะด้วยตัวเอง การจะเข้าสู่ระดับหลอมสูญก็แทบจะเป็นเรื่องที่มั่นใจได้ แม้กระทั่งทำให้เจ้าเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ ผู้เฒ่าก็มั่นใจถึงสี่ห้าส่วน” ชายชราแซ่เจียงพูดด้วยความมั่นใจตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
“อาจารย์มีพระคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ เหยาเอ๋อร์จะต้องทุ่มเทฝึกฝนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!” ถึงอย่างไรหยวนเหยาก็ไม่ใช่หญิงสาวธรรมดา หลังจากที่นางได้ยินวาจานี้ก็ดึงสติกลับมา แล้วแสดงความเคารพชายชราด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
ในเวลาเดียวกับที่หานลี่ถูกชายชราแซ่เจียงทะลวงอากาศส่งออกจากแม่น้ำอเวจี ภายในทุ่งกว้างผืนหนึ่งซึ่งไกลออกไปจากชีพจรสีขาวเทาแห่งนี้ไม่รู้กี่หมื่นลี้ ลิ่วจู๋ หญิงงามผมขาว ชายชุดโลหิตและหุ่นเชิดโลหิตม่วงกำลังติดอยู่ในมหาสมุทรแมลง คุมเชิงกันอย่างยากลำบาก
รอบด้านของพวกเขา ไม่ว่าจะพื้นดินหรือท้องฟ้า ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยแมลงประหลาดชนิดหนึ่งรูปร่างคล้ายตะขาบ แต่บนหลังมีปีกงอกคู่หนึ่ง ที่หางมีตะขอ กำลังโอบล้อมโจมตี สร้างสถานการณ์พัดกระพือฮือโหมไปทั่วทั้งผืนฟ้าและปฐพี
แมลงประหลาดเหล่านี้แต่ละตัวมีขนาดสามถึงสี่ฉื่อ โหดเ**้ยมดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังห้าวหาญไม่กลัวตาย
ตอนนี้ลิ่วจู๋ได้กลายร่างเป็นแมลงยักษ์สีดำตัวหนึ่ง บนร่างเปล่งแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน พวยพุ่งออกมาเป็นพักๆ ทำให้แมลงเหล่านั้นถูกทะลวงร่างและทยอยกันแตกสลาย
ส่วนหุ่นเชิดโลหิตที่อยู่ภายใต้การร่ายคาถาของชายชุดโลหิต ร่างของมันก็มีขนาดใหญ่ขึ้นพันเท่า บนร่างมีประกายแสงสีทองลอยเป็นเกลียวขึ้น ดวงตาสีโลหิตทั้งหกพ่นลำแสงออกมาอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน
หญิงงามผมขาวผู้นั้นได้สวมเกราะศึกสีดำอีกครั้ง ค้อนประหลาดที่อยู่เหนือศีรษะของนางถูกกระตุ้นอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นทะเลเพลิงสีเขียวผืนหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงของหญิงงามผมขาว ขัดขวางแมลงประหลาดพวกนั้นไว้ภายนอก
พวกลิ่วจู๋ต่างก็เป็นฝ่ายได้เปรียบมากอย่างเห็นได้ชัด ทว่าสีหน้าของทั้งสามคนกลับดูกระหืดกระหอบ
เนื่องจากไม่ว่าพวกเขาจะสังหารไปมากเท่าไหร่ แมลงประหลาดที่อยู่รอบด้านก็พุ่งเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
สถานที่ที่ไกลออกจากกลุ่มต่อสู้สิบกว่าลี้ แมลงประหลาดหน้าคนรูปร่างคล้ายตั๊กแตนตำข้าวตัวหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศ
สองตาอันเย็นยะเยือกของแมลงตัวนี้กำลังจ้องมองกลุ่มต่อสู้ของพวกลิ่วจู๋ เปล่งแสงเย็นสุดขั้วระยิบระยับ
และกลางอากาศเหนือแมลงตัวนี้ มีวัตถุครึ่งวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางร้อยจั้งลอยคว้างอยู่ตรงนั้น เปล่งแสงสีเงินวิบวับไม่หยุดนิ่ง มีแมลงประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนโถมทะลักออกมาจากบนนั้น และกระโจนเข้าใส่พวกลิ่วจู๋ที่อยู่ไกลๆ อย่างไม่ขาดสาย
ตอนที่ 1521 ภายในหมอก
“แย่แล้ว! นี่มันรังเทวะของเผ่าแมงเม่า ไม่มีทางข้าพวกมันได้หมด แมงเม่าทองคนหนึ่งจะมีของสิ่งนี้ได้อย่างไร พวกเราต้องฝ่าจากวงล้อมโดยเร็วที่สุด!” เสียงร้องคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธดังจากปากของลิ่วจู๋ที่กลายร่างเป็นแมลงยักษ์
แต่ในขณะนี้ แมลงประหลาดนับร้อยก็ถูกลำแสงสีดำบนร่างของเขาทะลวงร่างเป็นโพรง
“จะหนีไปไหน แมลงประหลาดพวกนี้ความเร็วของมันไม่ได้ช้าไปกว่าพวกเราเท่าไหร่ ขืนถูกพวกมันพัวพันอยู่ตลอด ช้าเร็วพวกเรามีหวังได้ใช้พลังยุทธ์จนหมดแน่” ชายชุดโลหิตที่ยืนอยู่บนบ่าของหุ่นเชิดโลหิตม่วงกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง
“หนีย้อนเข้าไปในเส้นทางที่มาโดยตรง ตราบใดที่พวกเราสามารถยืนหยัดจนถึงทางเข้าได้ ก็สามารถกลับไปแม่น้ำอเวจีได้แล้ว หลีกเลี่ยงรังเทวะที่กลายเป็นทะเลแมลง”
“สหายลิ่วจู๋ เจ้าบ้าไปแล้ว แม้ว่าพวกเราจะทุ่มสุดกำลังเพื่อหลบหนี แต่ตามเส้นทางเดิมก็ต้องใช้เวลาถึงสองสามเดือนเลยทีเดียว จะฆ่าแมลงพวกนี้โดยไม่คำนึงถึงอะไรตลอดทางเช่นนี้จริงๆ หรือ อีกอย่าง สุสานมารจะให้ทำอย่างไร แล้วศาสตรามารของพวกเราล่ะ!” หญิงงามผมขาวกลับส่งเสียงแหลมแสบหูออกมา
“หึ สหายหลาน! หากแม้แต่ชีวิตก็ยังรักษาไม่ได้ ศาสตรามารจะมีประโยชน์อะไรอีก? อย่างมากกลับไปแล้วข้ายังสามารถนำของบางอย่างมาช่วยสนับสนุนเจ้ากับสหายตี้เซวี่ยได้ รังเทวะในตอนนี้แค่กลายเป็นแมลงศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำสุดเท่านั้น พวกเรายังพอถูไถฆ่าทะเลแมลงได้ มัวรอให้กลายเป็นแมลงศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงขึ้นมา พวกเราคิดจะหนีก็ไม่ทันการแล้ว” ลิ่วจู๋กล่าวเสียงดังด้วยความโมโห
หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ตอนนี้จำเป็นต้องรวมพลังของสามคนจึงจะมีโอกาสหนีออกไปได้ เกรงว่าเขาคงพาน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีหนีลอยนวลไปตั้งนานแล้ว
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ดีเรื่องความร้ายกาจของรังเทวะเผ่าแมงเม่าที่เป็นเครื่องมือสังหารเผ่าไปกว่าเขาอีกแล้ว
แต่ลิ่วจู๋ย่อมไม่รู้อย่างแน่นอนว่ารังเทวาที่เขาพบนั้นไม่ใช่ของจริง แต่เป็นของลอกเลียนชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ อานุภาพของสมบัติชิ้นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกลิ่วจู๋สามคนจะสยบได้ ทั้งยังดูดอานุภาพของรังเทวะมาด้วย ดังนั้นเมื่อปะทะกัน เขาจึงเกิดความคิดที่จะออกจากแม่น้ำอเวจีในทันที
ได้ยินวาจานี้ของลิ่วจู๋ หญิงงามผมขาวแม้ว่าจะไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่ก็ได้แต่เงียบกริบไม่พูดจา
สำหรับชายชุดโลหิตก็ไม่ได้มีความเห็นโต้แย้งอะไร เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำพูดของลิ่วจู๋
ดังนั้น ทั้งสามคนจึงสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาอย่างแรงกล้าพร้อมกัน
จู่ๆ ร่างกายที่เรียบลื่นสุดๆ ของลิ่วจู๋ที่กลายเป็นแมลงยักษ์ก็เปล่งแสงสีดำเจิดจ้า หนามกระดูกมหึมายาวจั้งกว่าพลันปรากฏออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละเล่มมีสีดำมะเมื่อมราวกับน้ำหมึก แหลมคมผิดปกติ
ร่างของแมลงมหึมาเกิดการหดขยายอย่างฉับพลัน ครั้นอ้าปาก ก็พ่นวงแหวนแสงสีดำออกมา แต่ละวงมีขนาดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
หลังจากที่วงแหวนแสงเหล่านี้ถูกพ่นออกมา ก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าในทันที ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในฝูงแมลงอย่างดุร้ายน่าเกรงขาม เฉียดผ่านร่างของแมลงประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน
ฉากที่ชวนให้ตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น!
ทุกหนทุกแห่งที่วงแหวนแสงเหล่านี้พาดผ่าน แมลงประหลาดทั้งหมดก็ราวกับเสียสมดุลในชั่วพริบตา แต่ละตัวโย้ไปเย้มาแล้วพากันร่วงพรูลงมาจากกลางอากาศ
ทันใดนั้นกลางอากาศเบื้องหน้าก็ปรากฏพื้นที่โล่งกว้างผืนหนึ่ง
หุ่นเชิดโลหิตม่วงที่ร่างสูงราวภูเขาขนาดย่อมอ้าปากกว้างไปทางฝูงแมลง ลำแสงสีม่วงแดงที่หนากว่าดวงตาสิบกว่าเท่าก็ถูกพ่นออกมาจากปาก
ทุกหนทุกแห่งที่ลำแสงนี้พุ่งออกมา แมลงประหลาดทั้งหมดก็พากันร่างแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ศีรษะของหุ่นเชิดโลหิตม่วงหันไปทางไหน ลำแสงมหัศจรรย์นี้ก็จะโยกตามไป ชั่วพริบตาแมลงประหลาดก็ถูกกวาดล้างกันมากกว่าเดิม
ขอบเขตที่การโจมตีนี้กวาดออกในชั่วพริบตา ดูเหมือนจะใหญ่กว่าการโจมตีของลิ่วจู๋มาก
คนที่ลงมือเป็นคนสุดท้ายกลับเป็นหญิงงามผขาว
หญิงผู้นี้เห็นว่าอีกสองคนไม่ได้คงสภาพการร่ายคาถาแล้ว จึงค่อยโยนค้อนประหลาดในมือเข้าไปในฝูงแมลงอีกฝั่งหนึ่งอย่างไม่ลังเล แล้วร่ายคาถาสองมือขึ้น
ทันใดนั้นค้อนประหลาดที่หุ้มด้วยเพลิงสีเขียวก็ระเบิดออก หัวกะโหลกสีขาวแปดหัวพลันปรากฏออกมา หลังจากหมุนโคจรรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นขนาดเท่าล้อรถ อ้าปากกว้างพร้อมส่งเสียงร้องประหลาด
คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่หัวกะโหลกเหล่านี้พ่นออกมาจะไม่ใช่เพลิงภูตสีเขียว แต่เป็นลมหนาวสุดขั้วสีขาวสลัวๆ แทน
ทุกหนทุกแห่งที่ลมนี้พัดผ่าน ร่างของแมลงประหลาดทั้งหมดก็จะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง ก่อนที่จะกลายเป็นผลึกน้ำแข็งสีขาว ส่งเสียงแตกดังเพล้งแล้วร่วงกราวลงมาจากกลางอากาศอย่างไร้สุ้มเสียงราวกับหยาดฝน
ด้วยการลงมือพร้อมกันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สามคน แม้ว่าแมลงประหลาดที่อยู่รอบด้านจะไม่ที่สิ้นสุด แต่การโจมตีก็ต้องหยุดชะงักไปอย่างห้ามไม่อยู่ เปิดพื้นที่โล่งกว้างในบริเวณใกล้เคียง
ตั๊กแตนตำข้าวหน้าคนที่อยู่ไกลออกไปสิบลี้เห็นดังนี้ จมูกก็ส่งเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง แขนข้างหนึ่งที่ราวกับคมมีดมหึมาก็แตะไปในวัตถุสีเงินกลางอากาศทีหนึ่ง
ทันใดนั้นวัตถุครึ่งวงกลมชิ้นนั้นก็หมุนเคว้งรอบหนึ่ง แมลงประหลาดที่โถมทะลักออกมาจากในนั้นก็เพิ่มจำนวนมากกว่าครึ่ง
แต่ในตอนนี้เอง พวกลิ่วจู๋และหญิงงามที่อยู่ไกลๆ กลับมารวมตัวกันที่ตรงกลาง ทั้งสามคนใช้พลังยุทธ์ร่วมมือกัน ก็กลายเป็นแสงมหึมาดวงหนึ่งในบัดดล ครั้นสั่นสะเทือนครู่หนึ่ง ก็พุ่งหนีไปยังเส้นทางสายหนึ่ง เพียงแค่แวบเดียวก็มาถึงบริเวณรอบนอกของทะเลแมลงแล้ว
จากนั้นดวงแสงจึงค่อยคลายตัวออกอีกครั้ง ทั้งสามคนก็กลายเป็นรุ้งประหลาดสามสายพุ่งทยานออกจากทะเลแมลงท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
หนีไปยังขอบฟ้าด้วยความลุกลี้ลุกลน
ตั๊กแตนตำข้าวหน้าคนไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะหนีไปโดยไม่สู้อย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าปรากฏสีของความโกรธเดือดดาล ปากเปล่งเสียงเพรียกแหลมออกมาคราหนึ่ง ฝูงแมลงก็พากันไล่ตามไป
เห็นเพียงแมลงประหลาดสีเขียวที่กำลังบินอยู่นั้น แต่ละตัวขยับปีกอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าจะมีความเร็วที่น่าตกตะลึง ราวกับลำแสงสีเขียวที่ทยอยพุ่งทะลวงอากาศ ไม่ได้ช้าไปกว่าพวกลิ่วจู๋เลยแม้แต่น้อย
ส่วนร่างของตั๊กแตนตำข้าวหน้าคนก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากที่เดิม ครู่ต่อมา มันก็มาปรากฏอยู่บนวัตถุครึ่งวงกลมที่อยู่กลางอากาศ ฉับพลันก็เปล่งแสงวิญญาณระยิบระยับแล้วหายไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย
รังเทวะส่งเสียงหึ่งๆ ดังลั่น เงาลวงตาแมลงประหลาดที่พ่นออกมาพลันหยุดชะงัก ส่วนตัวเองก็กลายเป็นแสงสีเงินดวงหนึ่งพุ่งจากไป
ส่วนแมลงประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนที่กรูเกรียวออกมาจากรอบด้านของวัตถุนี้ ครู่ต่อมา ฝูงแมลงกับพวกลิ่วจู๋ที่นำหน้า ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม ฝ่ายหนึ่งหลบหนี ได้หายไปจากอาณาเขตใกล้เคียงอย่างไร้ร่องรอย
อีกด้านหนึ่ง เหนือน่านน้ำที่หานลี่ถูกหอบเข้าไป มู่ชิงที่ปกคลุมด้วยดวงแสงสีเขียวผืนใหญ่ก็กำลังลอยคว้างอยู่ตรงนั้น
นางจ้องมองหมอกสีดำที่อยู่เบื้องล่างด้วยสีหน้าลังเลไม่หยุด
…
“ที่นี่ดูเหมือนจะเป็น…” ภายในหมอกสีดำอีกด้านหนึ่ง เงาคนร่างหนึ่งกำลังมองดูรอบด้านจากภายในม่านแสงสีเทา ปากพลางพูดพึมพำคนเดียว
คนผู้นี้สวมอาภรณ์สีเขียวตลอดทั้งตัว อายุราวยี่สิบปีเศษ ใบหน้าขมวดคิ้วจางๆ ที่แท้ก็คือหานลี่ที่เพิ่งออกจากแม่น้ำอเวจีนั่นเอง
พอเขาตื่นขึ้นมาจากการวิงเวียน ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองอยู่ภายในหมอกสีดำผืนหนึ่ง
โชคดีที่แสงเทวะดูดปราณของเขาฝึกฝนจนถึงระดับที่ใช้ได้ดั่งใจนึก ไม่ต้องกระตุ้นอะไร ก็ปล่อยออกมาคุ้มกายเข้าไว้ภายในด้วยตัวเอง
ในตอนนี้ หานลี่อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองไปดูข้างบน
เห็นเพียงกลางอากาศสูงที่ดูเลือนราง รอยแยกมิติที่ส่งเขาออกมานั้นได้ปิดสนิทเป็นเส้นบางๆ แล้ว และชั่วพริบตาที่เขาหันไปมอง ท้ายที่สุดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แม้ว่าจะเพียงแค่ชั่วพริบตา หานลี่ก็พบว่าภายในชั่วพริบตาที่รอยแยกมิติหายไป ปราณดำได้ซึมออกมาจากภายใน แล้วหลอมรวมกับหมอกดำในที่แห่งนี้ ทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ออก
“หรือว่าหมอกของที่นี่ไหลทะลักมาจากรอยแยกมิตินี้?” หานลี่รู้สึกกังขาในใจขึ้นมา จากนั้นจึงค่อยใช้สายตากวาดมองรอบๆ เพื่อทำความเข้าใจสถานที่ที่ตนอยู่ว่าคือที่ใด
แต่หลังจากที่เขาใช้จิตสัมผัสทะลวงผ่านไปไกลร้อยจั้ง ก็สลายแล้วดึงกลับมาในทันที่ ไม่สามารถสำรวจบริเวณที่ไกลกว่านี้ได้
หานลี่หางคิ้วกระตุกคราหนึ่ง พลันเอามือลูบๆ คาง ทันใดนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก ใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
เขาผสานสองมือเข้าด้วยกัน เมื่อแยกออกอีกครั้ง ฝ่ามือก็เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ หญ้าวิญญาณสูงหลายชุ่นต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือ
เมื่อโบกมือคราหนึ่ง หญ้าต้นนั้นก็พวยพุ่งออกไปท่ามกลางม่านแสงในทันที
ผลลัพธ์ที่ได้คือ เกิดสถานการณ์ที่คาดคิดไม่ถึงขึ้น!
เห็นเพียงชั่วขณะที่หญ้านี้สัมผัสกับหมอกสีดำ คาดไม่ถึงว่าจะเ**่ยวเฉาและกลายเป็นสีเหลืองขึ้นมา ชั่วพริบตาที่ร่วงลงบนพื้น ก็กลายเป็นเศษหญ้าแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“หมอกอเวจีดำ!” หานลี่สูดไอเย็นเข้าไปทีหนึ่ง ในที่สุดก็มั่นใจเรื่องสถานที่ที่ตนอยู่
คาดไม่ถึงว่าเขาจะถูกส่งกลับมายังชีพจรภูเขาสีดำบนเกาะมหึมาภายในอาณาเขตของเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่เขาเคยมาถึงตอนแรก แต่หมอกสีดำผืนนี้ ที่แท้แล้วก็คือทะเลหมอกอเวจีดำที่วันนั้นเขาไม่เคยเข้าไป
จากวันนั้นที่เขาลองทดสอบหมอกดำผืนนี้ ภายในนั้นมีปราณทมิฬหนาแน่นสุดๆ สามารถดูดซับปราณวิญญาณจากสิ่งมีชีวิตวิญญาณต่างๆ เช่นต้นไม้ใบหญ้าได้ ตอนนั้นในด้านหนึ่งเขากำลังรีบร้อนทะลวงจุดคอขวดของตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็หวาดกลัวความแปลกประหลาดของทะเลหมอกแห่งนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้เสี่ยงเข้าไปสำรวจดูข้างในอย่างจริงจัง
ตอนนี้เขาออกมาจากแม่น้ำอเวจีแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะถูกส่งตัวมายังที่แห่งนี้ เมื่อเชื่อมโยงกับปราณดำที่ไหลออกมาจากรอยแยกมิติเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนการก่อตัวของทะเลหมอกผืนนี้ น่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับแม่น้ำอเวจี
แต่ถึงแม้ปราณทมิฬของแม่น้ำอเวจีจะไม่ได้น่ากลัวเหมือนหมอกดำของสถานที่นี้ ภายในหมอกเหล่านี้จะต้องมีสิ่งอื่นๆ ปะปนอยู่แน่นอน
ขณะที่หานลี่ดวงตาเปล่งประกาย ชั่วพริบตาก็ทำการวินิจฉัยให้ตัวเองเรียบร้อย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สถานที่นี้ก็ไม่ใช่สถานที่ดีอะไร ทางที่ดีเขาควรรีบออกจากที่นี่
เมื่อในใจคิดเช่นนี้ ร่างของหานลี่ก็เปล่งแสงสีเขียววาบหนึ่ง เหาะทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที
ผลลัพธ์ที่ได้คือ เมื่อสองขาของเขาเพิ่งจะห่างจากพื้นดินไปได้ไม่กี่จั้ง ปราณในบริเวณใกล้เคียงก็โหมใส่บนร่างของเขาอย่างพร้อมเพรียง คาดไม่ถึงว่าลำแสงหลีกหนีจะสลายหายไป และร่างของเขาก็ร่วงลงสู่เบื้องล่างอีกครั้ง
“อาคมห้ามเหาะเหิน!” หานลี่รู้สึกใจหายวาบ
ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเผ่าวิหคสวรรค์ถึงได้หวาดกลัวทะเลหมอกเช่นนี้ แม้กระทั่งยังไม่เคยส่งคนมาตั้งฐานที่มั่นบนเกาะแห่งนี้
สำหรับชาววิหคสวรรค์ที่นับถือวิหคมัจฉาเป็นวิญญาณเทพ อาคมห้ามเหาะเหินย่อมอันตรายสุดๆ ถึงอย่างไรเคล็ดวิชาและอิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินก็ล้วนแต่พึ่งพาปีกสองข้างบนแผ่นหลัง หากไม่สามารถบินได้ เกรงว่าเคล็ดวิชาและอิทธิฤทธิ์กว่าครึ่งจะไร้ค่าในทันที
แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นแค่หนึ่งในสาเหตุ
ยิ่งเป็นไปได้ว่ากลิ่นอายของแม่น้ำอเวจีที่ซึมออกมาจากรอยแยกมิติ ทำให้เผ่าวิหคสวรรค์เกลียดชังสุดๆ ถึงอย่างไรแปดถึงเก้าในสิบส่วนของแม่น้ำอเวจีก็มาจากร่างกายของหลัวโหว กลิ่นอายที่ไหลออกมา สำหรับชาววิหคสวรรค์ที่มีสายเลือดวิหคมัจฉาหายากแล้ว ย่อมสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด
ทว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของหานลี่เท่านั้น ความลึกลับพิสดารหรือสาเหตุคืออะไรนั้น บางทีคงมีแต่อาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์เท่านั้นที่รู้
แม้ว่าเขาเคยเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยได้สัมผัสกับเหตุการณ์เหล่านี้ ย่อมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริง
แต่ตอนนี้ไม่สามารถเหาะเหินได้ แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อหานลี่ไม่น้อย ก็ไม่มีทางกักขังเขาไว้ได้จริงๆ
ด้วยกายเนื้อที่แข็งแกร่งของเขา แม้ว่าจะบึ่งเดินทางบนพื้นดินอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ก็ยังสามารถออกจากทะเลหมอกผืนนี้ได้อย่างรวดเร็ว มีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องระมัดระวัง นั่นก็คือภายในหมอกดำผืนนี้อย่าได้มีของแปลกประหลาดและอาคมต้องข้ามอื่นๆ ที่ทำให้ป้องกันอย่างไม่หวาดไม่หวั่นเลย
หานลี่ย่อมไม่มีทางรออย่างเงียบๆ อยู่ที่เดิมไปตลอดได้ หลังจากที่วิเคราะห์ในใจเสร็จ ก็ปลดปล่อยจิตสัมผัสออกมาทั้งหมด แล้วสาวเท้าพรวดพราดราวกับดาวตกไปยังทิศทางหนึ่งในทันที
ตอนที่ 1522 มวลบุปผาและท้อเขียว
หานลี่สาวเท้าเดินออกมา ดูเหมือนการเคลื่อนไหวจะไม่รวดเร็ว แต่เพียงแค่ขยับร่างหนเดียวก็เคลื่อนตัวไปไกลถึงเจ็ดแปดจั้ง
เพียงชั่วครู่เดียว เขาก็เดินออกมาไกลหลายสิบลี้
เขายังมีความระมัดระวังรอบคอบอยู่ ไม่กล้าเร่งหาผลลัพธ์ ไม่เช่นนั้นหากเคลื่อนไหวเต็มกำลัง คงห่างไปไกลหลายร้อยลี้ตั้งนานแล้ว
ทะเลหมอกอเวจีดำในตอนแรก เขาได้อ้อมรอบนอกไปแล้วกว่าครึ่ง แม้ว่าจะเหาะทยานอย่างสุดกำลัง ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนจึงจะสามารถเดินทางไปถึงอีกฝั่งได้
ตอนนี้แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใดของทะเลหมอก แต่คิดว่าไม่มีทางเดินออกจากอาณาเขตผืนนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันแน่
ดังนั้นหานลี่จึงไม่รีบร้อน เพียงแค่มุ่งหน้าไปอย่างเรียบเฉย พลางแอบครุ่นคิดพิจารณาถึงเหวพสุธากับแม่น้ำอเวจี
การเสี่ยงภัยครั้งนี้ ทำให้เขาต้องประสบกับอันตรายประหลาดอยู่หลายหน แม้กระทั่งเกือบจะถูกพวกมหาราชาปีศาจทำให้กลายเป็นหุ่นเชิด แต่ก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาได้เยอะมาก
ตอนแรกก็ได้รับวิธีควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่แท้จริงจากมู่ชิงและโลหิตแท้นกยูงห้าสีมาหนึ่งขวด จากนั้นก็ได้รับวิธีการหลอมหุ่นเชิดที่เรียกว่าวิญญาณรับใช้ และได้เข้าฌานเรียนรู้วิธีการหลอมยันต์เก้าวิมานสวรรค์กับยันต์เกราะปราณ ต่อมาที่แม่น้ำอเวจี ชายชราแซ่เจียงก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชามรกตดั้งเดิมฉบับใหม่ให้แก่เขา และได้นำวิธีการหลอมกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาใหม่ติดตัวมาด้วย เห็นได้ว่าอนาคตเพียงแค่ใช้สติปัญญาในด้านนี้อีกหน่อย ก็เพียงพอที่จะทำให้อานุภาพเขตอาคมกระบี่ของเขาพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
แต่ในบรรดาสิ่งของที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ยังขาดสิ่งที่มีค่ามากที่สุดอย่างน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีที่ชายชรารับปากเขาอยู่
ตอนนี้เขารู้แล้วว่า น้ำนมนี้มีคุณสมบัติทำให้เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของกายเนื้อได้ และทำให้สามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินไม่มากยิ่งขึ้น สิ่งที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยไปเป็นอันขาด
มีน้ำนมเทวะนี้ ก็จะประหยัดเวลาฝึกฝนไปได้นับไม่ถ้วน สำหรับผู้ที่มีสติปัญญาทั่วไปอย่างหานลี่แล้ว จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าสิ่งที่อยู่ในรายการที่ชายชรามอบให้เขาส่วนใหญ่จะเป็นของที่หายากมาก แต่เพียงแค่รวบรวมหนึ่งในนั้นได้มากกว่าครึ่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มีหวังจริงๆ
ท้ายที่สุดการแลกเปลี่ยนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในเวลาชั่วครู่เดียว ตราบใดที่เขาตามหาสิ่งของมาได้เพียงพอในเวลาหนึ่งพันปี ก็นับว่ายังไม่สาย
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ หานลี่ยังมั่นใจตัวเองอยู่หลายส่วนว่าจะสำเร็จเรื่องนี้ได้
ทว่าตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือรีบกลับไปยังถ้ำสถิตบนเกาะ ซึมซับสิ่งที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้ และเก็บตัวพากเพียรฝึกฝนพลังยุทธ์ จนกระทั่งพลังยุทธ์ถึงจุดสุดยอดของระดับเทพแปลงขั้นปลายแล้ว เขาก็จะกินยาเพลิงทมิฬเพื่อช่วยเสริมการทะลวงระดับหลอมสูญอีกแรง
การออกเดินทางครั้งนี้ เขาได้เจอกับตัวตนระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไปมากมายอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ทั้งยังได้เห็นพวกเขาต่อสู้และร่ายคาถาด้วยตาตัวเอง ก็รู้สึกได้ลางๆ ว่าตนมีความมั่นใจหลายส่วนในเรื่องการทะลวงระดับเทพแปลงขั้นปลาย
แม้ว่าตัวตนเหล่านี้จะไม่ได้ชี้แนะอะไรเขามากมาย แต่พวกมู่ชิงต่างก็มีฝีมือเหนือกว่าเขาถึงสองระดับ การที่ได้ฟังกับหู ดูกับตา ก็ยังได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไม่น้อยเลยทีเดียว
ถึงอย่างไรสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไป จะมีสักกี่คนที่ได้เห็นการต่อสู้ของตัวตนระดับผสานอินทรีย์ด้วยตาตัวเอง
หานลี่โคจรความคิดอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วครู่เดียว ก็วางแผนการฝึกฝนในภายภาคหน้าของตัวเองเรียบร้อยแบ้ส
จากนั้นเขาจึงค่อยใช้มือเดียวสะบัดลงบนกำไลเก็บของ ทันใดนั้นม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งก็ปรากฏออกมาที่ใจกลางฝ่ามือ
ที่แท้ก็คือของที่ชายชราแซ่เจียงมอบให้ ภายในนั้นได้บันทึกเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมฉบับใหม่ไว้
หานลี่แบ่งจิตสัมผัสเป็นสองส่วนในชั่วพริบตา จิตสัมผสส่วนน้อยยังคงควบคุมให้ร่างกายเดินไปข้างหน้า พลางระมัดระวังการเคลื่อนไหวรอบตัว ส่วนจิตสัมผัสส่วนใหญ่ใช้แทรกซึมเข้าไปในม้วนคัมภีร์หยก และเริ่มอ่านเคล็ดวิชากระบี่ชุดนี้
แรกแรกอารมณ์ของเขายังคงเรียบเฉย แต่ต่อมาเมื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ลึกลงไป สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายหัวคิ้วก็ขมวดแน่นขึ้นมา!
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร เขาก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง ครั้นพลิกฝ่ามือ ม้วนคัมภีร์หยกก็หายไปท่ามกลางแสงสีเขียว
หานลี่ดวงตาเปล่งประกาย พลันลังเลขึ้นมา
เขาอ่านดูคร่าวๆ รอบหนึ่ง แล้วจดจำเคล็ดวิชากระบี่ชุดนี้ไว้
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าเคล็ดวิชากระบี่ใหม่นี้ เคล็ดวิชาทั้งสิบสามขั้นที่เป็นของเดิมนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ต่อให้มีก็ไม่ส่งผลกระทบกับที่เขาเรียนมาก่อนหน้า
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด ย่อมเป็นส่วนท้ายที่ปรากฏเคล็ดวิชากระบี่เพิ่มมาอีกห้าชั้น
เคล็ดวิชากระบี่นี้แบ่งออกเป็นการรับมือกับสามขั้นใหญ่ของระดับเทพแปลงและระดับหลอมสูญขั้นต้นและกลางสองขั้น หากสามารถฝึกฝนสำเร็จทั้งหมด ก็สามารถเข้าสู่ระดับหลอมสูญขั้นปลายได้พอดี
หากหานลี่ไม่เคยฝึกฝนวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน เป็นไปได้ว่าจะสนใจเคล็ดวิชานี้มากจริงๆ
ตอนนี้เขาจึงได้แต่คัดเลือกเคล็ดวิชาลับและอิทธิฤทธิ์บางส่วนที่อยู่ในเคล็ดวิชากระบี่ขั้นท้ายๆ มาใช้เสริมการฝึกฝนเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็เดินบนเส้นทางคู่บำเพ็ญเพียร ไม่สามารถเสียเวลาเพื่อฝึกเคล็ดวิชานี้มากนัก
นี่ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขามีเคล็ดวิชากระบี่สิบสามขั้นแรกเป็นพื้นฐาน และตัวเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง ไม่เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนอื่นๆ ได้เคล็ดวิชากระบี่ชุดนี้ไป คงต้องตกตะลึงตาค้างจริงๆ ไม่สามารถฝึกฝนอะไรได้เลย
แต่สิ่งที่อยู่บนนี้ ส่วนที่หานลี่สนใจที่สุดก็ยังเป็นเขตอาคมกระบี่ใหม่สองชุดที่แนบท้ายมากับเคล็ดวิชากระบี่ห้าขั้นสุดท้าย
ชุดหนึ่งเรียกว่า “มวลบุปผา” ส่วนอีกชุดหนึ่งเรียกว่า “ท้อเขียว”
เขตอาคมกระบี่สองชุดนี้หากผสานกับเคล็ดวิชากระบี่ห้าขั้นสุดท้าย อานุภาพย่อมร้ายแรงอย่างไร้ที่เปรียบ เพียงพอที่จะประมือข้ามขั้นกับตัวตนระดับสูงกว่าได้ หากไม่มีเคล็ดวิชากระบี่ห้าขั้นสุดท้ายมาสนับสนุน เขตอาคมกระบี่สองชุดนี้ก็ยังสามารถจัดวางได้ แต่คุณสมบัติของกระบี่บินที่ใช้จัดวางนี้สูงเป็นอย่างยิ่ง จะต้องเป็นกระบี่บินธาตุไม้ที่บริสุทธ์สุดๆ และต้องถูกฝึกจนถึงขั้นสูงจึงจะทำได้
ด้วยกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาเจ็ดสิบสองเล่มของหานลี่ในตอนนี้ ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงสำหรับเขตอาคมกระบี่สองชุดนี้จริงๆ จำเป็นต้องหลอมขึ้นใหม่อีกครั้ง
แน่นอนว่าเขตอาคมกระบี่ “มวลบุปผา” นั้น ตราบใดที่เป็นกระบี่บินก็สามารถทำได้ ด้วยระดับพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็สามารถฝึกฝนจัดวางได้ในทันที สำหรับเขตอาคมกระบี่อีกชุดหนึ่งที่ชื่อว่า “ท้อเขียว” จำเป็นต้องเข้าสู่ระดับหลอมสูญขั้นกลางแล้ว จึงจะมีคุณสมบัติในการศึกษาและฝึกฝนได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ หานลี่จึงเพ่งความสนใจไปที่วิธีหลอมกระบี่ที่บันทึกในส่วนสุดท้ายของเคล็ดวิชากระบี่
แต่หลังจากที่เขาเข้าฌานศึกษาแล้ว ทันใดนั้นก็แสดงสีหน้าตกตะลึงระคนฉงนสนเท่ห์ขึ้น
วิธีการชุดนี้ไม่ได้ซับซ้อน แต่กระบวนการหลอมกระบี่บินค่อนข้างยาวนาน อีกทั้งในระหว่างนี้กระบี่บินจะอ่อนแออย่างหาที่สุดมิได้ ไม่สามารถใช้เผชิญศัตรูได้ มีแต่หลังจากที่ทำสำเร็จทั้งหมดแล้ว และหลอมจนถึงขั้นกระบี่จิตเชื่อมวิญญาณจึงจะสามารถสำแดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้
ตามที่กล่าวมาข้างต้น ทองคำที่ปะปนอยู่ในกระบี่บินก่อนหน้านี้จำเป็นต้องขจัดออกไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ นับจากนี้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำก็ไม่สามารถจัดวางได้อีกแล้ว
นี่จึงทำให้ในใจของหานลี่เกิดความลังเลขึ้นมา
ระยะเวลายาวนาน และไม่สามารถใช้กระบี่บินได้ชั่วคราว ตรงจุดนี้ยังไม่มีปัญหา เขาไม่ได้พึ่งพากระบี่ไผ่เขียวผึ้งมรกตในการประมือกับศัตรูอยู่แล้ว แต่หากเสียเขตอาคมมหากระบี่ทองคำไป กลับทำให้เขารู้สึกกังวลใจขึ้นมาจริงๆ
แม้ว่าอานุภาพของเขตอาคมกระบี่ “มวลบุปผา” และ “ท้อเขียว” ที่กล่าวบนเคล็ดวิชากระบี่ใหม่จะเหนือกว่า “มหากระบี่ทองคำ” มากนัก แต่ก็จะกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องทิ้งเขตอาคมกระบี่นี้ไป
แต่หานลี่ยังไม่เคยเห็นเขตอาคมกระบี่สองชนิดนี้กับตาตัวเอง กลับเป็นเขตอาคมมหากระบี่ทองคำที่ช่วยเขาพิชิตศัตรูและได้รับชัยชนะมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง ในใจย่อมเกิดความลังเลอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาไม่คิดที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมห้าขั้นสุดท้าย เพียงแค่คิดจะอาศัยเพียงพลังของกระบี่บินที่หลอมขึ้นมาใหม่เท่านั้น สุดท้ายแล้วจะสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ของเขตอาคมกระบี่สองชนิดสุดท้ายได้ถึงขั้นใด เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่จริงๆ
หากอานุภาพของเขตอาคมกระบี่สองชนิดหลังยังสู้เขตอาคมมหากระบี่ทองคำก่อนหน้านี้ไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ได้ไม่คุ้มเสีย ทำเสียการใหญ่แล้ว
ขณะที่หานลี่กำลังลังเลเรื่องเขตอาคมกระบี่อยู่นั้น จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป พลันหยุดฝีเท้าลง แล้วยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
เขาใช้สายตากวาดมองไปในหมอกสีดำ พลันกล่าวอย่างเยือกเย็นด้วยสีหน้าขรึม “ท่านหลบอยู่ตรงนั้นลับๆ ล่อๆ คิดจะลอบโจมตีข้าน้อยหรืออย่างไร?”
ขณะที่ปากของเขาพูดอยู่นั้น มือหนึ่งก็ชูขึ้น ทันใดนั้นก็เกิดเสียงอัสนีบาตรดังขึ้น ประกายแสงสีทองหนาๆ เส้นหนึ่งก็ขดตัวแล้วขยายใหญ่ในชั่วพริบตา กลายเป็นบอลสายฟ้าสีทองขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่ง
ที่พื้นผิวของบอลลูกนี้ เปล่งเสียงเปรี๊ยะๆ เบาๆ อย่างไม่ขาดสาย มีอักขระสีทองเปล่งประกายอยู่ลางๆ อานุภาพน่าสะพรึงอย่างเห็นได้ชัด!
“ท่านไม่ใช่ชาววิหคสวรรค์สินะ?” เสียงพูดนั้นค่อนข้างรู้สึกเกินคาด ดังมาจากทางที่หานลี่มองไป
“ท่านคือผู้ใด ทำไมถึงรู้ได้?” หานลี่หรี่ตาลง พลันถามอย่างช้าๆ
“หึๆ หากเป็นเผ่าวิหคสวรรค์จริง อย่าว่าแต่ตัวตนระดับแม่ทัพวิญญาณกระจอกๆ คนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นระดับผู้บัญชาการวิญญาณคนหนึ่งก็ไม่มีทางอยู่รอดปลอดภัยในสถานที่แห่งนี้ได้หรอก” เสียงนั้นพูดอย่างเย็นชา
“อ๋อ ฟังจากการพูดของท่านดูเหมือนจะรู้จักชาววิหคสวรรค์และสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี แต่ว่าเหตุใดท่านต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย ควรออกมาคุยกันดีกว่า!” หลังจากสิ้นเสียงพูดของหานลี่ บอลสายฟ้าสีทองบนมือข้างหนึ่งก็หายวับในชั่วพริบตา
ครู่ต่อมา ภายในหมอกสีดำก็เกิดแสงสีทองสว่างวาบ บอลสายฟ้าพวยพุ่งออกมาจากพื้นที่ว่างอย่างน่าประหลาด พลันระเบิดส่งเสียงดังสนั่นครั่นครืน
ท่ามกลางแสงสีทองระยิบระยับ เงาร่างสีดำเปรอะร่างหนึ่งพุ่งปราดออกมาจากม่านหมอก หลังจากพุ่งไม่กี่หนก็มาโผล่บริเวณเบื้องหน้าซึ่งห่างจากหานลี่ประมาณสิบจั้งเศษ
เมื่อหานลี่มองดูอย่างละเอียด ก็ตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่
คาดไม่ถึงว่าตรงหน้าจะมีชายหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าสีเขียวมรกต บนศีรษะมีเขาโค้งสีขาวงอกอยู่
เมื่อลองใช้จิตสัมผัสตรวจดูบนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวตนระดับหลอมสูญ อีกทั้งบนร่างยังแผ่กลิ่นอายที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่หลายส่วน
ภายใต้ความประหลาดใจของหานลี่ เขาคิดทบทวนในใจครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ร้องอุทานออกมาจากปาก “อสูรสว่าง! ท่านก็คือยอดฝีมือของเผ่าอสูรสว่าง! ไม่ถูก ปราณทมิฬบนร่างหนาแน่นเช่นนี้ ท่านฝึกฝนเคล็ดวิชาภูตผี!”
ชั่วพริบตาที่ชายหนุ่มเขาวัวได้ยินหานลี่พูดที่มาของตัวเอง หน้าก็เปลี่ยนสียกใหญ่อย่างห้ามไม่อยู่ แต่ฉับพลันดวงตาก็เปล่งจิตสังหารออกมาปราดหนึ่ง พร้อมเผยสีหน้าดุร้าย “เจ้าหนู เดิมทีผู้เฒ่าคิดจะปล่อยเจ้าไป แต่ตอนนี้ในเมื่อรู้ที่มาของข้าแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนสาขาไหนของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ก็อย่าได้มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่เลย”
เมื่อสิ้นเสียงพูด ชายหนุ่มก็อ้าปากอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นพายุทมิฬสีเทาสลัวๆ ก็โหมพัดอย่างบ้าคลั่ง บึ่งตรงมาที่หานลี่
คาดไม่ถึงว่าพอคนผู้นี้แสดงตัว ก็เกิดจิตคิดฆ่าปิดปากในทันที
เมื่อหานลี่หลุดปากพูดที่มาของอีกฝ่าย เดิมทีก็รู้สึกเสียใจ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคิดจะลงมือจริง กลับยิ้มขึ้นมา ไม่เห็นว่าเขาจะเคลื่อนไหวอะไรมากมาย ม่านแสงสีเทาบนร่างเพียงแค่ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าอย่างฉับพลัน แล้วหมุนล้อมรอบหานลี่รอบหนึ่ง เมื่อลมทมิฬพัดมาถึงที่ข้างกายของหานลี่ ทันใดนั้นก็ค่อยๆ แยกออกเป็นสองส่วนแล้วถูกกวาดออกไปสองฝั่งราวกับนมและน้ำที่ไม่ผสานกลมกลืนกัน
ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นดังนี้ก็ตกตะลึง แต่ทันทีที่สองมือตบเบาๆ ที่ศีรษะ เขาโค้งสองข้างบนศีรษะก็หลุดออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง ทันใดนั้นก็กลายเป็นดาบโค้งเปล่งแสงสีขาวระยิบระยับสองเล่ม ร่วงลงบนมือของปีศาจตนนี้
เมื่อมีดคู่อยู่ในมือชายหนุ่ม เขาก็เปล่งเสียงหัวเราะดุร้ายด้วยความมั่นใจตัวเองออกมาอีกครั้ง ตามด้วยเสียงดังปังคราหนึ่ง เท้าข้างหนึ่งใช้แรงกระทืบลงบนพื้น ทันใดนั้นเศษเงากลุ่มหนึ่งก็พุ่งไปทางหานลี่
หานลี่เห็นว่าปีศาจตนนี้คิดจะประจันหน้าในระยะประชิด ดวงตาก็เปล่งแสงประหลาดออกมาปลาดหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ก่อนที่ร่างจะเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าอย่างฉับพลัน แผ่นเกล็ดสีทองหนึ่งชั้นก็มาปรากฏบนผิวหนัง ขณะเดียวกันบนแผ่นหลังก็มีเสียง “หึ่ง” ดังเบาๆ คราหนึ่ง เงาลวงตาสามเศียรหกกรสีทองก็ปรากฏออกมา
ตอนที่ 1523 กลับถ้ำพำนัก
คราเมื่อชายหนุ่มเห็นสถานการณ์ที่แปลกพิสดารของหานลี่พลันตะลึงงัน แต่ร่างกลับไม่หยุดยั้ง ไม่ทันได้กระโจนไปเบื้องหน้า มีดสองเล่มที่อยู่เบื้องหน้าก็สับลงมาเป็นกากบาทไขว้
ชั่วขณะนั้นมีดลำแสงสีดำทมิฬสองสายพลันสับไขว้เป็นตัวเลขสิบ (十)
เมื่อมีดลำแสงปรากฎขึ้นม่านหมอกสีดำในบริเวณรอบหมุนวน ทะลักไปอยู่เหนือมีดลำแสง
ชั่วพริบตามีดลำแสงสองสายก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่เบื้องหน้าของหานลี่
หานลี่หางตากระตุก สองมือเริ่มเลือนราง ฉับพลันนั้นพลันมีกระบี่ยาวสีทองสองเล่มปรากฎขึ้น สะบัดข้อมือออก โผเข้าไปหามีดลำแสงอย่างไม่เกรงใจ
เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น ผิวของกระบี่ยาวมีประจุไฟฟ้าสีทองพันรัดอยู่
เสียง “แกรก” ดังขึ้นสองครั้ง เมื่อมีดลำแสงสีดำและลำแสงอัสนีสีทองปะทะกัน ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วสลายหายไป ราวกับถูกข่มเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
“เอ๋” ชายหนุ่มพลันตกตะลึง
มุมปากของหานลี่กลับเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่อัญเชิญมีดลำแสงออกมามีไอมารชั่วร้ายผสมอยู่ไม่น้อย มิเช่นนั้นแม้ว่ากระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาของเขาจะแหลมคม ก็ไม่อาจถูกกำจัดไปอย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน
เช่นนั้นคนผู้นี้จึงลงมือกับตนเองแต่กลับเป็นการรนหาที่ตายเสียแล้ว
ความคิดของหานลี่แล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอให้ชายหนุ่มได้สติจากการตะลึงตะไล ปีกผลึกห้าสีที่แผ่นหลังก็กระพือ ระเบิดรัศมีลำแสงห้าสีออกมาจากร่าง
ลำแสงนี้เจิดจ้าจนแสบตา หมุนคว้างรอบหนึ่ง รัศมีห้าแสงเปล่งแสงกระพริบระยิบระยับ ราวกับว่าดวงตะวันปรากฎออกมาจากร่างของหานลี่ก็ไม่ปาน
“เหวอ”
แม้ว่าชายหนุ่มจะมีร่างเป็นครึ่งปีศาจครึ่งภุต ดวงตาปะทะกับลำแสงที่แก่กล้านี้ ก็ก็อดที่จะหลับตาทั้งสองข้างลงตามจิตสำนึกไม่ได้ ในเวลาเดียวกันก็รับรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วจึงหยุดชะงักร่างกายที่โผเข้ามา ออกแรงตบเท้าพุ่งกลับไปด้านหลังราวกับลูกธนู
จากท่าทีของเขาดูเหมือนจะรวดเร็วกว่าครั้งก่อนสองสามส่วน
ครานี้รัศมีลำแสงห้าสีมีเสียงระเบิดดังออกมา จากนั้นด้านหลังของชายหนุ่มก็มีประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งกระพริบวาบ ร่างของหานลี่ปรากฎขึ้นอย่างแปลกประหลาด
สองแขนเคลื่อนไหว เสียงแหวกอากาศดังมา กระบี่ยาวสองเล่มกลายเป็นลำแสงสีทองสองสายสับลงมา
ชายหนุ่มไม่ได้ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น จิตสัมผัสเชื่องช้าลงไปเล็กน้อย แต่การโจมตีที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ แน่นอนว่าจะไม่รู้ได้อย่างไร
ไม่ทันได้ขบคิดโยนมีดทั้งสองในมือไปทางด้านหลัง กลายเป็นลำสแงสีดำสองสายพุ่งออกไป
จากนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ชั่วพริบตาผิวหนังบนร่างพลันสลายหายไปราวกับขี้เถ้า เผยโครงกระดูกแวววับราวกับหยกขาวออกมา
หลังจากที่ร่างโครงกระดูกสั่นไหว ก็เปล่งลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งออกมา ปกป้องร่างของเขาเอาไว้
หลังจากเสียงฟ้าร้อง “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น กระบี่ยาวสองเล่มก็กลายเป็นลำแสงสีทองถูกมีดทั้งสองต้านทานเอาไว้
หานลี่ไม่แปลกใจกับสิ่งนี้เลยสักนิด!
ปีศาจระดับหลอมสูญตนหนึ่งใช้ร่างเดิมทำให้เป็นอาวุธมีด หากไม่มีอานุภาพกลับจะเป็นเรื่องแปลกเสียกว่า เดิมทีเขาก็ไม่หวังว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มจะสังหารปีศาจตนนี้ได้อยู่แล้ว
ชั่วพริบตารูปปั้นพรามหณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ที่แผ่นหลังก็สับกระบี่สองเล่มออกมา โบกสะบัดแขนทั้งหก ชั่วขณะนั้นเงากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ผลิบานออกมาทั้งสี่ด้านราวกับดอกบัวสีทอง เมื่อขยับอีกครั้งก็โจมตีไปยังม่านลำแสงสีขาวราวกับห่าฝน
ดูเหมือนจะเป็นเงากำปั้นธรรมดาสามัญ ทุกการโจมตีล้วนแฝงไปด้วยพลังเหนือชั้นที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาจากกายเนื้อของหานลี่
การโจมตีราวกับพายุฝนกระหน่ำในครั้งนี้ ล้วนเป็นการโจมตีที่อาศัยพลังดิบเถื่อน
ชั่วพริบตาที่เงากำปั้นโจมตีไปยังม่านลำแสงสีขาว ผิวของมันที่แต่เดิมดูเข้มข้นก็มีลำแสงสีขาวและเงาสีทองตัดสลับกันไปมาและสั่นเทา
คราที่ม่านลำแสงทั้งผืนถูกเงากำปั้นโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ก็ส่งเสียงปริแตกดังออกมา
และทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วลมหายใจเท่านั้น ปีศาจตนนั้นทำได้เพียงเอี้ยวตัวมา แล้วเบิกตาขึ้นเท่านั้น
มันที่เลือดเนื้อตรงผิวหายวับไป ลูกตากลวงโบ๋ เหลือเพียงเปลวเพลิงสีขาวสองกลุ่มกระพริบวาบๆ เท่านั้น
เมื่อเห็นการอาศัยม่านลำแสงปกป้องร่างกายแทบจะไม่อาจรับการโจมตีได้ ทันใดนั้นปีศาจตนนี้ก็ตกใจจนขวัญกระเจิง อ้าปากออกอย่างไม่ต้องขบคิด
ลำแสงสีดำเข้มราวกับน้ำหมึกสองสามสายพุ่งออกมาหาหานลี่ ในเวลาเดียวกันหน้าผากก็ระเบิดเสียงอึกทึกออกมา พ่นไข่มุกกลมสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งออกมา พุ่งไปกลางอากาศ
ส่วนร่างกระดูกสีขาวที่อยู่ที่เดิมของเขากลับเริงระบำ ชั่วครู๋ก็ผนึกโล่กระดูกสีขาวออกมา พุ่งตามไข่มุกกลมไปติดๆ ท่าทางคอยสกัดกั้นอยู่เบื้องหลัง
นับว่าปีศาจตนนี้มีปฏิกิริยายาตอบสนองรวดเร็ว เมื่อเห็นหานลี่มีวรยุทธ์ที่น่าตกใจ ตนเองรู้ว่าสู้ไม่ได้ ก็คิดจะหนีในทันที
มันฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ในหมอกอเวจีทมิฬมาหลายปี จึงรู้สึกว่าหากดึงระยะห่างออกมา ก็สามาระสลัดหานลี่ทิ้งได้อย่างไร้ร่องรอยแล้ว
แต่ครานี้หานลี่มีจิตสังหารผุดขึ้นมาในใจแล้ว ปีศาจกำลังจะหนีไปต่อหน้าต่อตา เหลือไว้เพียงอันตราย
หลังจากแค่นเสียงด้วยความเย็นชา เบื้องหน้าของเขาก็มีหมอกลำแสงสีเทาสว่างวาบ ลำแสงสีดำสองสามสายหมุนติ้วๆ ท่ามกลางลำแสงสีเทา แล้วหายวับไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
เงากำปั้นสีทองทั่วท้องฟ้าหายวับไป รูปปั้นพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้เปล่งแสงสีทองสว่างจ้า แขนทั้งหกหยุดชะงักไปเล็กน้อย ประจุไฟฟ้าหนาๆ หกสายปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือพร้อมกับเสียงฟ้าผ่า
ผนึกรวมตัวในเวลาเดียวกัน ประจุไฟฟ้าสีทองหกสายกลายเป็นทวนอัสนีสีทองหกด้าม
แขนลางเลือนอีกครั้ง ทวนสีทองทั้งหกกลายเป็นเส้นตรงสายหนึ่งพุ่งออกไป
เมื่อทวนสีทองสว่างวาบหายวับไป ก็ไปอยู่ใกล้กับโล่กระดูก อักขระรอบด้านไหลเวียนไปมา ปลายแหลมของทวนโจมตีไปบนนั้นอย่างรุนแรง
หลังจากเสียง “ปังๆๆ” ดังขึ้น โล่ลูกนั้นสั่นเทาขณะต้านทานทวนสีทองสามเล่มเอาไว้
เมื่อเล่มที่สี่ปักลงมา โล่ลูกนั้นก็ระเบิดออกอย่างไม่อาจต้านทานได้อีก
ทวนสีทองด้านหลังอีกสามเล่มทะลวงเข้ามาติดๆ กัน เล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ โจมตีไปยังไข่มุกเขียวที่อยู่ไม่ไกลนัก
ประจุไฟฟ้ากระพริบวาบ ไข่มุกกลมสีเขียวมรกตกระพริบวาบ เสียง “ปัง” ดังขึ้นแตกออกเป็นชิ้นๆ
เงาลวงตาอสูรขาวหัวโคตนหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในด้วยท่าทีตื่นตระหนก
ประจุไฟฟ้าสีทองกลับหกเล็กลงไปหาตรงกลางในเวลาเดียวกัน กลายเป็นตาข่ายไฟฟ้าที่หนาแน่นผืนหนึ่ง ชั่วครู่ก็ปกคลุมจิตวิญญาณดั้งเดิมของปีศาจเอาไว้
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากสายฟ้า ประจุไฟฟ้าที่ห่อหุ้มเงาอสูรขาวกระพริบวาบๆ ชั่วครู่ก็หายวับไป
มิคาดปีศาจที่เพิ่งพัฒนาระดับขั้นได้ไม่นานผู้นี้จะถูกหานลี่สังหารไปเรียบร้อยแล้ว
เป็นเพราะประการแรกคือปีศาจตนนี้เห็นหานลี่มีพลังยุทธ์แค่ระดับเทพแปลง แต่ทำตัวอวดดี อีกประการหนึ่งคืออิทธิฤทธิ์ของหานลี่แตกต่างจากคราที่ออกมาจากเกาะยักษ์แล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เสียเวลาฝึกฝนอะไรนานนัก แต่คาถาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้งที่ได้มาจากเผ่าวิญญาณสวรรค์ ต่อมาก็ได้เคล็ดวิชาอัญเชิญอัสนีมาจากเหวพสุธา ทำให้อานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ได้กินโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ของวิหคคุนเผิงและนกยูงห้าสีเข้าไป จึงทำให้ลมปราณของเขาถูกกระตุ้น และเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากโดยไม่รู้ตัว
แต่ก่อนที่จะบรรลุระดับเทพแปลง หานลี่ก็สามารถสังหารระดับหลอมสูญได้แล้ว ครานี้จึงไม่มีทางเห็นครึ่งปีศาจครึ่งภูตอยู่ในสายตาแน่
ประกอบกับที่ปีศาจตนนี้ดูเหมือนจะไม่มีสมบัติอะไรอยู่กับตัว แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คู่มือของหานลี่
หานลี่เห็นมองปีศาจที่ถูกสังหารตรงหน้า พิจารณาโครงกระดูกขาวที่ตกลงไปบนพื้นอย่างเย็นชา ดีดนิ้วร่ายคาถา ลูกบอลเพลิงสีแดงสดเม็ดหนึ่งดีดตัวออกไป
เสียง “ปัง” ดังขึ้น โครงกระดูกทั้งหมดของปีศาจลุกไหม้กลางเปลวเพลิง ชั่วครู่ก็หายวับไปอย่างไร้เงา
หานลี่ไม่ได้รั้งรออีก สาวเท้ายาวก้าวออกจากที่เดิม ชั่วครู่ร่างกายก็สลายหายไปท่ามกลางหมอกสีดำ
ครั้งนี้แม้ว่าจะสังหารคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย แต่การต่อสู้อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ เขากลับรู้สึกกลัดกลุ้มมา
แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้ว่าการลงมือครั้งนี้ จะเป็นการสังหารที่พึ่งพาอาศัยของเหล่าอสูรปีศาจระดับกลางที่ซ่อนตัวอยู่ในชีพจรภูเขาเร้นทมิฬ
ทำให้แผนเดิมของอสูรปีศาจเหล่านั้นที่คิดจะอาศัยพลังของครึ่งปีศาจครึ่งภูตตนนั้นทลายตราทาสของเผ่าวิหคสวรรค์ออก และได้รับอิสระ ถูกทำลายไปเป็นปลิดทิ้ง
ทว่าแน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ย่อมไม่เกี่ยวกับหานลี่มากนัก เขายังคงเดินไปยังขอบของม่านหมอกไปพลาง ครุ่นคิดถึงคาถากระบี่ชุดใหม่ไปพลาง
ครึ่งเดือนต่อมา ใกล้กับภูเขารกร้างแห่งหนึ่งตรงขอบของทะเลหมอก หมอกสีดำพลันหมุนวนเป็นเกลียว ลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน
จากนั้นพลันพวยพุ่งบินขึ้นไปบนท้องฟ้า กระพริบวาบสองสามคราก็มาถึงยอดภูเขารกร้าง ลำแสงอ่อนแสงลงแล้วเผยร่างเดิมออกมา
นั่นก็คือผู้ที่เพิ่งเดินออกมาจากทะเลหมอกอเวจีทมิฬอย่างหานลี่!
ในที่สุดเขาก็เดินออกจากทะเลหมอกอเวจีทมิฬ ทันใดนั้นพลันยืนอยู่บนก้องหินยักษ์สีขาวก้อนหนึ่งด้วยความตื่นเต้นดีใจ แหงนหน้าขึ้นผิวปากยาวๆ
เสียงผิวปากพุ่งขึ้นไปสูงลิ่ว ทำให้ท้องฟ้าในบริเวณเปล่งเสี่ยงหึ่งๆ ออกมา เมฆสีขาวที่อยู่สุงขึ้นไปหมุนวนไปมา
ครานี้หานลี่ถึงได้กวาดสายตาไปรอบๆ และรู้ว่าตนเองอยู่ในอาณาเขตของเกาะยักษ์แล้วอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป
กระพริบวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีกลายเป็นจุดสีดำบนท้องฟ้า หลังจากกระพริบวาบๆ ก็หายวับไป
เพราะว่าอยู่ในส่วนลึกของชีพจรภูเขาทมิฬ เบื้องหน้าภูเขายักษ์ที่ถูกม่านหมอกสีขาวปกคลุมแห่งหนึ่ง ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลง ร่างของหานลี่ปรากฎขึ้นตรงตีนเขา
เขาเงยหน้าขึ้นมองภูเขาลูกนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยังคงเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ออกเดินทางเลยสักนิด
พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายคาถา
ชั่วขณะนั้นไอหมอกสีขาวเบื้องหน้าก็ลอยเป็นเกลียว จากนั้นก็ปรากฎตัวที่ทางเดินสายหนึ่ง
ร่างกายพลิ้วไหว หานลี่ขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีไปอย่างไม่รีบร้อน บินเข้าไปข้างใน
เมื่อเข้าไปในถ้ำพำนัก หานลี่ก็ไปดูที่สวนสมุนไพรเป็นอันดับแรก
เมื่อเขาเห็นทุกอย่างยังคงปลอดภัย พฤกษาวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณที่ปลูกเอาไว้ยังคงอยู่ จึงรู้สึกผ่อนคลายลง
จากนั้นหานลี่ก็ตรงไปยังห้องนอนของตรงเอว เอนกายลงบนเตียงโดยไม่ได้ปริปากใดๆ แล้วหลับอุตุไปในทันที
การหลับครั้งนี้กินเวลาไปสองวันสองคืน!
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะพักผ่อนไปเล็กน้อยที่ถ้ำของชายชราแซ่เจียงแล้ว แต่จะเทียบกับถ้ำพำนักของตนเองได้อย่างไร
ครั้นเมื่อหานลี่เบิกตาขึ้นมาอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
ร่างกายของหานลี่พลิ้วไหว ลุกขึ้นจากเตียง ล้างหน้าบ้วนปากเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องนอนด้วยความกระฉับกระเฉง
เมื่อพักผ่อนเสร็จแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องเข้าไปเรียนรู้สิ่งที่ได้มาจกาการออกไปครั้งนี้ในห้องลับ และกินของเหลววิญญาณคางคกเที่ยงแท้แล้วกักตนอย่างรวดเร็ว จะได้ทำให้พลังยุทธ์ของตนเองเพิ่มขึ้นจนถึงระดับเทพแปลงขั้นปลายที่สมบูรณ์ แล้วเริ่มทะลวงระดับหลอมสูญ
จำต้องหลอมพลังเทวาบริสุทธิ์จากพระสารีริกธาตุของวิหคสวรรค์ ให้หมดจดก่อน จะได้ฝึกฝนคาถาโลหิตของหงส์สวรรค์เที่ยงแท้ เช่นนั้นถึงจะสามารถผสานโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ทั้งสองชนิดเข้าไปในร่างได้เร็วหน่อย
ส่วนการเรียนรู้คาถากระบี่ชุดใหม่ของเขตกระบี่รวมทั้งการหลอมกระบี่บินทั้งหมดนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจวนตัว เช่นนั้นจึงต้องรีบแก้ไขให้เสร็จสิ้น
เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่ก็เดินตรงไปยังห้องลับ มือหนึ่งก็ตบไปที่ท้ายทอย
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งก็บินออกมาจากเหนือศีรษะ หลังจากกระพริบวาบ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นมนุษย์น้อยสีดำความสูงสองสามชุ่นลอยอยู่กลางอากาศ
นั่นก็คือทารกวิญญาณที่สอง
จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อทั้งสองอีกครั้ง วิญญาณครวญรวมทั้งอสูรเกล็ดมิคาทนเองก็ถูกปล่อยออกมา
หานลี่โบกมือให้ทั้งสามพร้อมรอยยิ้มจางๆ หลังจากโยนขวดเล็กลึกลับให้ทารกวิญญาณที่สองแล้ว ก็จากไปเพียงลำพัง
หลังจากที่ทารกที่สองรับขวดเล็กๆ ไปแล้ว ก็ฉีกยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอยู่กลางอากาศเช่นกัน รอจนร่างของหานลี่หักเลี้ยวหายลับไปแล้ว ถึงได้เปล่งเสียงแหลมๆ ออกคำสั่งกับอสูรอีกสองตัวสองสามประโยค จากนั้นพลันกระพริบวาบ ลอยไปอีกด้านหนึ่งอย่างช้าๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น