กระบี่จงมา 152-153

 บทที่ 152.1 สูงเหนือนอกฟ้า

โดย

ProjectZyphon

ชุยฉานที่นั่งเหม่ออยู่บนพื้นมาโดยตลอดปรายตามองแม่นางน้อยกับม้วนภาพแล้วกล่าวเสียงขุ่น “ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ม้วนภาพนี้ก็ไม่มีทางเกิดความเสียหายได้สักเสี้ยวเดียว รู้หรือไม่ว่าอะไรคือฟ้าถล่มลงมา? ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเคยมีคนไร้นามผู้หนึ่งใช้กระบี่เดียวแทงทะลุทางช้างเผือก ทำให้น้ำจำนวนนับไม่ถ้วนของถ้ำสวรรค์หวงเหอไหลทะลักลงมา มองไกลๆ ราวกับว่าม่านฟ้าฉีกขาดเป็นรูขนาดใหญ่ เสียงน้ำไหลสู่เบื้องล่างดังซู่ๆ กระหึ่มก้อง


นี่ถึงสร้างให้เกิด ‘น้ำของแม่น้ำหวงเหอมาจากฟากฟ้า’ ซึ่งเป็นลำดับที่สองในสิบทัศนียภาพของใต้หล้า รวมไปถึงนครจักรพรรดิขาวที่ตั้งอยู่ระหว่างชั้นเมฆเรืองรอง เจ้าเมืองของนครจักรพรรดิขาวนั้นร้ายกาจนักล่ะ คือวีรบุรุษผู้กล้าจำนวนน้อยนิดที่กล้าโอ้อวดว่าตนคือคนของลัทธิมาร สง่างามยิ่งนัก ข้าเคยโชคดีมีโอกาสได้เล่นหมากล้อมกับเขากลางนทีเมฆหลากสีนอกนครจักรพรรดิขาวที่ถูกขนานนามว่าเป็นเมฆหลากสีสิบชั้น แพ้มากกว่าชนะ แต่แม้จะแพ้ก็แพ้อย่างมีเกียรติ เพราะอย่างไรซะธงที่เขียนคำว่า ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ ก็ปักอยู่บนกำแพงของนครจักรพรรดิขาวมาหกร้อยกว่าปีแล้ว นักเล่นหมากล้อมที่มีคุณสมบัติได้ประลองฝีมือกับเจ้าเมืองจึงมีน้อยจนนับนิ้วได้…”


แม่นางน้อยไม่ชอบฟังเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระพวกนี้จึงกล่าวอย่างเดือดดาล “พูดโอ้อวดอะไรอยู่ได้ ข้าบอกว่าม้วนภาพแตกแล้วก็คือแตกแล้ว! หากข้าชนะ ให้ข้าใช้ตราประทับประทับตราลงบนหน้าผากเจ้าอีกทีไหมล่ะ? กล้าเดิมพันหรือไม่?!”


เดิมพัน?


ชุยฉานสนใจขึ้นมาทันใด สีหน้าห่อเหี่ยวหายเกลี้ยงในบัดดล พลันลุกขึ้นยืน ปัดก้น ถามยิ้มๆ “แล้วถ้าข้าชนะล่ะ?”


หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างใจกว้าง “หากอาจารย์อาน้อยออกมาจากม้วนภาพแล้วยังยืนกรานจะสังหารเจ้า ข้าก็จะช่วยเก็บศพให้เจ้า! เจ้าบอกมาเลยว่าจะให้ฝังในสถานที่แบบใด ตรงสุสานเทพเซียนของเมืองเล็กพวกเราดีไหม? ข้าไปที่นั่นเป็นประจำ ค่อนข้างคุ้นทาง จะได้ช่วยลดปัญหาความวุ่นวายให้ข้าด้วย…”


ชุยฉานแยกเขี้ยว ยกมือห้าม “หยุดเลยๆ หากข้าชนะ เจ้าต้องช่วยข้าพูดเกลี้ยกล่อมเฉินผิงอัน ไม่เพียงแต่ห้ามฆ่าข้า ยังต้องรับข้าเป็นลูกศิษย์ด้วย”


วินาทีก่อนที่จะออกจากบ่อโบราณ เขาถูกตราประทับ “สงบใจสมปรารถนา” ของฉีจิ้งชุนกระแทกลงบนหน้าผากอย่างแรง ซึ่งนั่นเป็นการทำลาย “ปราณซื่อตรงและยิ่งใหญ่อันน้อยนิด” ส่วนสุดท้ายของหนังหุ้มกายนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนจากนักพรตขอบเขตห้าหล่นลงมาเป็นคนธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง เป็นอย่างที่ฉีจิ้งชุนเคยพูดไว้ในบ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนของเมืองเล็กจริงๆ นั่นคือหากไม่รู้จักกลับตัวกลับใจ ก็มีวิธีที่จะทำให้เขาชุยฉานต้องทนทุกข์ทรมาน


แต่สถานการณ์ของบุรพแจกันสมบัติทวีปเป็นเช่นนี้ ต้าหลีเตรียมยกทัพลงใต้ ลูกธนูขึ้นสายแล้วก็จำต้องปล่อยออกไป แล้วนับประสาอะไรกับที่มหามรรคาที่ชุยฉานก้าวเดินไม่มีทางให้หวนกลับ ไม่อาจถอยหลังได้แม้แต่ครึ่งก้าว ด้วยเหตุนี้ต่อให้ตอนนั้นจะแน่ใจแล้วว่าฉีจิ้งชุนยังทิ้งแผนการรับมือไว้เบื้องหลัง ชุยฉานก็ยังทำในสิ่งที่ต้องทำ อย่างมากก็แค่ต้องระวังมากขึ้นเวลาจะพูดจาหรือทำอะไรเท่านั้น


แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เด็กหนุ่มชุยฉานก็ดี ราชครูชุยฉานที่อยู่ในเมืองหลวงก็ช่าง ไม่ว่าจะมีนิสัยชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ กระหายเลือดเป็นอาจิณ จิตใจล้ำลึกยากหยั่งถึงแค่ไหน แต่ความใจกว้างยินยอมรับผลเมื่อแพ้พนันนี้ก็ไม่เคยลดน้อยลง ข้อนี้นับตั้งแต่กราบอาจารย์เข้าสำนัก ขอศึกษาร่ำเรียนมาจนถึงกลายเป็นราชครูของแคว้นคนเถื่อนทางทิศเหนือในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งนี้ ชุยฉานไม่เคยโยนทิ้งไป


หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ต่อให้ข้าชนะแน่นอนก็ไม่มีทางรับปากเจ้าในเรื่องนี้”


ชุยฉานกะพริบตาปริบๆ “ไม่ทำการแลกเปลี่ยนแบบนี้ วันหน้าจะกลายเป็นนักปราชญ์น้อย เป็นอาจารย์หญิงของสำนักศึกษาซานหยาได้อย่างไร?”


หลี่เป่าผิงมอง “อาจารย์อา” ในอดีตผู้นี้ด้วยสีหน้าดูแคลน แม่นางน้อยเอ่ยคำพูดของตนไปแล้วก็เหมือนฆ่าพยัคฆ์ขวางทาง (เปรียบเปรยถึงอุปสรรค) ที่ขดตัวอยู่บนเส้นทางหัวใจให้ตายไป นางไม่เคยสนใจจะ “เก็บศพ” แค่กระโดดข้ามผ่าน เสียงสวบดังหนึ่งครั้งก็วิ่งไปไกลถึงไหนต่อไหน ตามหาคู่ซ้อมมือคนต่อไป ต่อให้เป็นอาจารย์ของนางอย่างฉีจิ้งชุนก็ยังจนใจกับนิสัยนี้ของนางอยู่มาก


แม่นางน้อยชูมือโบกตราประทับสีขาวลออในมือ “กลัวหรือไม่?”


ชุยฉานหัวเราะเฮอๆ “เด็กน้อยที่เติบโตในป่าเขาอย่างเจ้า ข้าไม่ลดตัวมาทะเลาะด้วยหรอก”


หลี่เป่าผิงดึงมือกลับมาช้า เป่าลมใส่ตัวอักษรบนตราประทับเบาๆ หนึ่งครั้ง ท่าทางเหมือนเตรียมหาที่ประทับตรา


ชุยฉานกลืนน้ำลาย “หลี่เป่าผิง อย่าทำแบบนี้สิ มีอะไรก็พูดจากันดีๆ พวกเราต่างก็เป็นศิษย์ลัทธิขงจื๊อ วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ พวกเรานับเป็นสหายร่วมสำนัก อีกอย่างเจ้าไม่กลัวหรือว่าพออาจารย์น้อยของเจ้าเห็นนิสัยอันธพาล ไม่มีความสุภาพเรียบร้อยอย่างคุณหนูในห้องหอของเจ้าแล้ว วันหน้าจะไม่ชอบเจ้าอีก?”


หลี่เป่าผิงหัวเราะอารมณ์ดี “อาจารย์อาน้อยจะไม่ชอบข้า? ใต้หล้านี้คนที่อาจารย์อาน้อยชอบมากที่สุดก็คือข้านี่แหละ!”


ชุยฉานถอนหายใจ “แต่สักวันหนึ่งอาจารย์อาน้อยของเจ้าก็ต้องมีแม่นางที่เขาชอบมากที่สุด”


แม่นางน้อยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ถ้าอย่างนั้นก็ชอบข้าเป็นอันดับที่สอง นี่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าดีใจอยู่ดี”


ชุยฉานทำสีหน้าเหมือนเห็นเทพเห็นผี “แบบนี้ก็ได้หรือ?”


แม่นางน้อยพลันทำสีหน้าแบบเดียวกันมองไปทางด้านหลังของชุยฉาน ชุยฉานหันไปมองตาม นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนี้ร่างกายของเขาไม่อาจทนรับความทรมานได้อีกแล้ว แต่วินาทีที่ชุยฉานตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี ด้านหลังของเขาว่างเปล่า ไม่มีความผิดปกติใดๆ


ตราประทับชิ้นหนึ่งก็ตบเข้าที่หน้าผากของเขาด้วยความเร็วดุจฟ้าร้องไม่ทันป้องหู ทำเอาชุยฉานผงะหงายผลึ่งไปด้านหลัง


ระหว่างที่ร่างหงายลง เด็กหนุ่มชุยฉานก็ทั้งสลดใจและเจ็บแค้น นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว!


นอนหงายอยู่บนพื้น ชุยฉานกล่าวแค้นเคือง “หลี่เป่าผิง หากเจ้ายังกล้าเอาตราประทับมาลอบโจมตีข้าอีกครั้ง ตบหนึ่งครั้ง เจ้าก็จะถูกลดอันดับความชอบจากที่สองมาเป็นที่สาม เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เจ้าก็พิจารณาเอาเองเถอะ! จะดีจะชั่วข้าชุยฉานก็เคยเป็นอริยะลัทธิขงจื๊อ พูดจาอะไรย่อมต้องมีความน่าเชื่อถือ แล้วอย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน!”


แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดโป้ปดที่แสร้งทำเป็นแข็งนอกอ่อนใน อริยะลัทธิขงจื๊อมีวิชาอภินิหารปากซ่อนโองการสวรรค์อยู่จริง แต่กลับมีเงื่อนไขที่เข้มงวดต่อโชคชะตาสายบุ๋นที่สืบทอดและการฟูมฟักปราณซื่อสัตย์เที่ยงธรรมของตัวคนอย่างยิ่ง


ตอนนี้นอกจากของนอกกายที่เก็บไว้ในชิ้นสมบัติฟางชุ่น รวมถึงเรือนกายกิ่งทองใบหยกนี้แล้ว ชุยฉานก็ไม่มีอะไรอีก ที่ย่ำแย่ซ้ำซ้อนไปมากกว่านั้นก็คือ วัตถุฟางชุ่นก็เหมือนถ้ำสวรรค์ที่มีพื้นที่เล็กแคบที่สุด ต่อให้เป็นเจ้าของที่จิตเชื่อมอยู่กับวัตถุฟางชุ่นก็ยังมีข้อเรียกร้องต่อขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ ชิ้นที่อยู่กับชุยฉานนั้นจำเป็นต้องให้เจ้าของมีตบะต่ำสุดคือขอบเขตห้า ส่วนคนอื่นที่หากคิดจะบังคับเปิดมันออกกลับจำเป็นต้องเป็นขอบเขตสิบ ยกตัวอย่างเช่นพวกผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหาร ส่วนนักพรตขอบเขตสิบเอ็ดนั้น หากคิดจะเปิดก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก


หลักการนี้ง่ายดายยิ่ง วัตถุฟางชุ่นก็คือบ้านของตัวเอง แต่เมื่อหน้าประตูบ้านใส่กุญแจ ตบะขอบเขตห้าก็คือกุญแจที่อยู่ในมือของเจ้าของซึ่งจำเป็นต้องไขกุญแจเพื่อเปิดประตูเข้าไป


หากโจรขโมยคิดจะพังประตูบุกเข้าไป ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ระดับความยากกลับมีมาก


ชุยฉานในเวลานี้อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ สู้ไม่ได้แม้แต่เด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป ในอนาคตหากปรับปรุงพักฟื้นได้เหมาะสมก็อาจจะมีโอกาสได้พละกำลังเหมือนคนปกติทั่วไปกลับคืนมา แต่เรื่องฝึกตนนั้นต้องอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิตอย่างเดียวเท่านั้น จำเป็นต้องอาศัยวาสนาและโชคดีที่ยิ่งใหญ่ แต่ชุยฉานรู้สึกว่าหากดูจากสิ่งที่ตนประสบพบเจอมาตลอดทางนี้ สามารถมีชีวิตอยู่จนได้เป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน เขาก็พอใจมากแล้ว


อริยะลัทธิขงจื๊อขอบเขตสิบสองร่วงลงมาเป็นนักพรตขอบเขตสิบ แล้วก็ร่วงลงมาเป็นขอบเขตห้า สุดท้ายดิ่งลงเป็นคนธรรมดาที่ไม่อาจลดระดับไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว


ชุยฉานรู้สึกว่าชีวิตของตนช่างผงาดขึ้นสูงแล้วก็ร่วงดิ่งๆๆๆ จริงๆ


ยังจะกล้าข่มขู่ข้า?


ไอ้หมอนี่ไม่ตีก็ไม่จำ แม้แต่หลี่ไหวก็ยังสู้ไม่ได้


หลี่เป่าผิงโมโหเดือดจึงวิ่งปรู๊ดออกไป พอนั่งยองลงแล้วก็ประทับตราลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มชุยฉานอีกครั้งอย่างรวดเร็ว


ประหนึ่งฟ้าคำรามลมพัดกระโชก พายุก่อตัวเป็นฝนกระหน่ำอย่างไม่มีลางบอกเหตุ


ทำให้คนรับมือไม่ทัน


แม้แต่บุคคลที่จิตใจแข็งแกร่งดุจภูผาอย่างชุยฉาน เวลานี้ก็ยังรู้สึกไม่อาลัยต่อชีวิตอีกแล้ว


เพราะอย่างไรซะฝ่ายตรงข้ามก็คือแม่นางน้อยคนหนึ่ง ไม่ใช่คนอย่างซิ่วไฉเฒ่าหรือฉีจิ้งชุน


……


กลางภูเขาแม่น้ำในม้วนภาพวาด เด็กหนุ่มที่กระโดดลอยตัวควงแขนฟันกระบี่ลงไป ยามที่เท้าเหยียบพื้นก็หมดสติทันที แต่ได้สตรีร่างสูงใหญ่ที่กลับคืนสู่ร่างจริงโอบอุ้มไว้ในอ้อมอก นางประคองให้เฉินผิงอันนั่งลงบนพื้นด้วยกันอย่างระมัดระวัง มือสองข้างโอบเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งไว้เบาๆ เพราะเส้นผมสีดำสนิทที่ผูกรวบด้วยด้ายสีทองทิ้งตัวอยู่ตรงหน้าอกจึงบดบังใบหน้าของเด็กหนุ่ม นางจึงยื่นมือสะบัดมันไปด้านหลัง ก้มหน้าลงจ้องเฉินผิงอันที่ผิวหน้าดำเกรียม


นางพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย


ในม้วนภาพวาดที่ถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งของอริยะปรากฏเงาร่างสีทองที่สูงใหญ่อย่างถึงที่สุดยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขาสุ้ยซาน คล้ายกำลังพูดคุยอยู่กับซิ่วไฉเฒ่า ต่อให้สตรีที่เห็นแผ่นฟ้ากว้างขวางแผ่นดินยิ่งใหญ่มาจนชินตาแล้วก็ยังรู้สึกว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้ไม่อาจดูหมิ่นได้ คงเป็นเพราะซิ่วไฉเฒ่าไม่ต้องการเปิดเผยบทสนทนาจึงสกัดกั้นการรับสัมผัส นางไม่ถือสากับเรื่องนี้ จึงก้มหน้าลงอีกครั้ง มองเด็กหนุ่มที่กำลังหลับสนิทแล้วยิ้มบางๆ “หากวันหน้ากลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ ผิวพรรณกลับมาขาวอีกครั้ง อันที่จริงก็เป็นเด็กหนุ่มที่สะโอดสะองเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่หล่อเหลาคมคาย แต่ก็หนีไม่พ้นคำว่า ‘ผึ่งผายสง่างาม’”



บทที่ 152.2 สูงเหนือนอกฟ้า

โดย

ProjectZyphon

บนยอดเขาสูงตระหง่าน


เทพสีทองที่เดิมทีกายธรรมสูงพันจั้ง พอพลิ้วกายลงมาบนยอดเขาก็ย่อร่างเล็กลงจนกลายเป็นบุรุษร่างกำยำสูงหนึ่งจั้ง เขาสวมเสื้อเกราะสีทองเคร่งขรึมเปี่ยมบารมี พื้นผิวของเกราะทองสลักอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วน อักขระโบราณบางตัวที่หายสาบสูญไปนานแล้วแผ่กลิ่นอายเรียบง่ายเยือกเย็น ไม่รู้ว่าสืบทอดต่อกันมากี่พันกี่หมื่นปี บางตัวที่แม้จะผ่านกาลเวลามาเป็นพันปีก็ยังดูใหม่เอี่ยม ส่องประกายแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ อักขระแต่ละตัวฝังเลื่อมอยู่ในเสื้อเกราะ ระหว่างบรรทัดตัวอักษรคล้ายมีธารน้ำสีทองไหลริน ส่วนตัวอักษรเหล่านั้นก็เหมือนขุนเขาสีทองอร่ามหลายลูก


ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกผิดเล็กน้อยจึงทำคอย่น แสร้งมองซ้ายมองขวาเรื่อยเปื่อย


ใบหน้าของบุรุษก็สวมหน้ากากเช่นกัน เขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มทึบหนัก “นับตั้งแต่ที่ข้ารับตำแหน่งเทพภูเขาเขาสุ้ยซานก็เป็นเวลาหกพันปีเต็มแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าใช้กระบี่มาท้าทายเขาสุ้ยซานของข้า ซิ่วไฉ เจ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่?!”


ซิ่วไฉเฒ่าทำหน้าเหลอหลา “อธิบายอะไรหรือ?”


บุรุษเกราะทองรู้นิสัยของซิ่วไฉเฒ่าดี จึงคร้านจะพูดให้มากความ หันหน้าไปมองทางเฉินผิงอันก็ขมวดคิ้ว “ปราณบนร่างของนางมีที่มาลึกล้ำ คือเทพเซียนของที่ใด? นางเป็นคนลงมือฟันเขาสุ้ยซานด้วยตัวเองรึ?”


ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเบาๆ “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าไปหาเรื่องนางเลย นิสัยของแม่นางเฒ่าผู้นี้ไม่ค่อยดีนัก”


บุรุษเกราะทองพูดเสียงเรียบ “ข้านิสัยดีงั้นสิ?”


ซิ่วไฉเฒ่าค้อนใส่ “ใช่ๆๆ พวกเจ้าต่างก็นิสัยไม่ดี มีแต่ข้าที่นิสัยดีกว่าใคร พอใจหรือยัง พวกเจ้านี่นะ แต่ละคนชอบทำตัวไร้เหตุผลกับคนมีเหตุผล ข้าผู้อาวุโสโมโหจะตายอยู่แล้ว!”


ไม่รู้ว่าเทพเกราะทองคิดอะไรขึ้นมาได้ บรรยากาศที่เคร่งเครียดจึงพลันสลายหายไป


ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “ที่มาของเรื่องนี้ ข้าคงไม่เล่าแล้ว สรุปคือเกี่ยวข้องกับเสี่ยวฉี เจ้าก็สนับสนุนสักครั้ง?”


บุรุษเงียบงันเป็นการตอบรับ


ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “งั้นก็ถือว่าเจ้ายอมรับแล้ว เฮ้อ เจ้าคนนี้อะไรก็ดีไปหมด แต่หน้าบางไปหน่อย แถมยังชอบวางท่า เจ้าก็รู้ว่าเราสองคนสนิทกันแค่ไหน ปีนั้นพวกเราสองคนแอบไปลอบยลโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าแม่เทพภูเขาท่านนั้นด้วยกัน นึกไม่ถึงว่านางจะกำลังอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า หากไม่เป็นเพราะข้ามีคุณธรรม ยอมแบกรับโทสะท่วมเทียมฟ้าของนางไว้เพียงลำพัง ใช้เวลาสามวันสามคืนอธิบายเหตุผลของมหาปราชญ์กับนาง จนกระทั่งสุดท้ายใช้เหตุผลสยบคนได้สำเร็จ กว่าจะทำให้นางไม่ตำหนิเรื่องในอดีตได้ไม่ใช่ง่ายๆ หาไม่แล้วเจ้าจะเอาหน้าแก่ๆ นี่ไปวางไว้ที่ไหน…”


บุรุษกล่าวเสียงหนัก “หุบปาก!”


ซิ่วไฉเฒ่ารู้ว่าตัวเองทำสำเร็จแล้วจึงไม่คิดได้คืบเอาศอก จะบอกว่ากฎของเทพภูเขาเขาสุ้ยซานคือกฎทองระเบียบหยกก็ไม่เกินจริงเลย สามารถทำให้เจ้าทึ่มผู้นี้หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งได้ ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจมากแล้ว จึงรู้สึกตัวลอยเล็กน้อย ชี้ไปยังทิศไกล “ใช่แล้ว เห็นหรือไม่ เด็กหนุ่มคนนั้นก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เสี่ยวฉีช่วยรับไว้ให้ข้า เจ้ารู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆ ข้าชอบเขามากเลยล่ะ นิสัยคล้ายข้าในอดีต ชอบใช้เหตุผลกับคนอื่น หากพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่อยลงมือ ส่วนวิธีการลงมือก็เหมือนเสี่ยวฉีในอดีต จุ๊ๆ เจ้าพกเหล้ามาบ้างไหม?”


บุรุษเกราะมองกวาดตามองประเมินไปบนร่างของเด็กหนุ่ม “หากฉีจิ้งชุนไม่บ้า เจ้าก็ตาบอด”


ซิ่วไฉเฒ่าไม่โกรธ ยังคงหัวร่ออารมณ์ดี “เรื่องของบัณฑิต คนหยาบกระด้างอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร”


บุรุษชุดทองน่าจะถือว่าเป็นมหาเทพห้าขุนเขาที่ตำแหน่งสูงที่สุด พลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้แล้ว เพียงแต่ว่ายิ่งมีพละกำลังแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่สามารถทำทุกอย่างได้สมใจปรารถนา เพราะองค์เทพที่มีพลังการต่อสู้ล้ำเลิศ ฐานะสูงส่งอย่างพวกเขานี้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องได้รับอิทธิพลจากควันธูป ก็มักจะยิ่งถูกพันธนาการจากกฎเกณฑ์ของใต้หล้าไพศาลมากเท่านั้น ก่อนหน้าที่เทวรูปของซิ่วไฉเฒ่าจะถูกนำไปวางในศาลเจ้าบุ๋น เคยมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่เขาได้รับหน้าที่ให้คอยจับตามองขุนเขาใหญ่ทั้งห้าซึ่งรวมภูเขาสุ้ยซานไว้ด้วย นี่สามารถเรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งสบายว่างงานของที่ว่าการ และบางครั้งก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่


ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในการลงมือสามครั้งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของซิ่วไฉเฒ่า ซึ่งก็คือการใช้ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตกดสยบห้าขุนเขาขนาดใหญ่ของแผ่นดินกลางให้จมลงไปใต้ดินเกินครึ่งลูก


ร่างทองขององค์เทพห้าขุนเขาที่มีที่พึ่งยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดผู้นั้นแตกทลายคาที่ ศิษย์รองของมรรคาจารย์เต๋าเดือดดาลอย่างถึงที่สุด เกือบจะแหวกม่านฟ้า พุ่งจากฟ้านอกฟ้าบุกเข้ามาในใต้หล้าไพศาล


ตอนนั้นซิ่วไฉที่ยังไม่แก่เท่าไหร่ไม่เพียงไม่เข้าไปหลบอยู่ในสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ กลับยังทะยานขึ้นฟ้าเพียงลำพังอย่างห้าวหาญ คุมเชิงอยู่กับศิษย์รองของมรรคาจารย์เต๋าที่บุกมาด้วยท่าทางดุดันอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของสองดินแดน บัณฑิตยื่นคอออกไป ชี้นิ้วที่ลำคอตัวเองแล้วเอ่ยว่า ‘มาๆๆ ฟันลงมาตรงนี้เลย’


การเดินทางขึ้นฟ้าในครั้งนั้น บัณฑิตไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย


นี่ยังเรียกว่านิสัยดีได้อีกหรือ?


หากเป็นอาจารย์ที่นิสัยดีจริงๆ จะสั่งสอนลูกศิษย์ออกมาเป็นอย่างฉีจิ้งชุน คนแซ่จั่ว หรือชุยฉานได้หรือ? คนหนึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะตั้งสำนักเรียกตนเป็นบรรพจารย์ คนหนึ่งเป็นพวกนอกรีตนอกรอย อีกคนหลอกลวงอาจารย์ล้มล้างบรรพบุรุษ


เทพเกราะทองพลันถามว่า “เพื่อฉีจิ้งชุนที่ต้องตายแน่นอนแล้ว เจ้าถึงกับละเมิดคำสาบานออกมาจากสวนป่ากงเต๋อ แม้แต่มหามรรคาก็ไม่ต้องการอีกต่อไป เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”


นักปราชญ์ละเมิดกฎ วิญญูชนหันหลังให้เหตุผล ต่างคนต่างมีจุดจบน่าสมเพช และในระบบของลัทธิขงจื๊อก็จะต้องมีอริยะใช้กฎมาสั่งสอน


แต่หากอริยะทำผิดกฎเสียเอง จุดจบจะอเนจอนาถมากที่สุด


สำหรับฉีจิ้งชุนที่ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว ก็ถือว่าซิ่วไฉเฒ่ายอมทุ่มสุดชีวิตแก่ๆ อย่างแท้จริง


แทบจะไม่มีใครเข้าใจการกระทำของเขา


ทั้งๆ ที่รู้ว่าสถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดไว้แล้ว ยังจะโต้เถียงเพื่อปณิธานยิ่งใหญ่ ช่างไร้ความหมาย


ดังนั้นต่อให้เทพเกราะทององค์นี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของภูเขาและแม่น้ำมาจนชินชาแล้วก็ยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดี


ซิ่วไฉเฒ่าลูบหัวจัดเส้นผม ยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้าเคยมีคำถามข้อหนึ่งที่ให้ฉีจิ้งชุนไปหาคำตอบ ในเมื่อฉีจิ้งชุนบอกคำตอบของเขามาแล้ว ข้าที่เป็นอาจารย์ก็ไม่ควรทำตัวสู้ลูกศิษย์ไม่ได้”


มหาเทพภูเขาสุ้ยซานหัวเราะหยัน “เลิกพูดจาวกวนอ้อมค้อมกับข้าสักที น้ำเงินกำเนิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม ประโยคนี้เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือ? ในเมื่อลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องเทียบอาจารย์ได้ ประโยคนี้ของเจ้าก็ฟังไม่ขึ้น”


ซิ่วไฉเฒ่าชี้หน้าเทพเกราะทอง “เจ้ามันหัวทื่อ เชื่อตามตำราทั้งหมด ไม่สู้ไม่รู้หนังสือจะดีกว่า เคยได้ยินไหม?”


เทพเกราะทองฉุนจนกลายเป็นขำ “คร้านจะพูดเรื่องไร้สาระกับเจ้า ไปล่ะ เจ้ารักษาตัวด้วย”


เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ “หากไม่ไหวจริงๆ ก็มาที่เขาสุ้ยซาน”


ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือ “สถานที่อย่างภูเขาสุ้ยซานนั่น อึทีหนึ่งก็เหมือนกำลังดูหมิ่นปราชญ์เมธี ข้าไม่ไปหรอก อีกอย่างตอนนี้ข้าสูญเสียโอกาสที่จะพิสูจน์มรรคา ไม่มีความสามารถเหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ แต่หากใครคิดจะเล่นงานข้า หึๆ ก็ดาหน้าเข้ามาได้เลย น่าเสียดาย หากปีนั้นข้ามีโอกาสอย่างนี้ ตอนเจอกับเจ้าเฒ่าจมูกโค (คำดูหมิ่นนักพรตเต๋า) ผู้นั้น จะต้องกอดขาให้เขาฟันหัวของข้า หากไม่ฟันข้าก็ไม่ปล่อยให้เขากลับไป ไหนเลยจะยังขาสั่นเพราะหวาดผวาหลังจบเรื่อง”


เทพเกราะทองส่ายหน้า ไม่เหลืออารมณ์อยากจะพูดคุยแล้วจริงๆ เขาไม่อยากเสวนาเรื่องเก่าแก่นานนมกับบัณฑิตผู้นี้ เพราะอย่างไรซะนับตั้งแต่ที่ตนได้รู้จักกับซิ่วไฉเฒ่าผู้นี้ ทุกครั้งที่เจอเจ้านี่ต้องหมดสนุกเสมอ แต่แม้จะเสียอารมณ์ในทุกๆ ครั้ง กลับอดที่จะรอคอยการพบเจอกันครั้งหน้าไม่ได้


ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก


ซิ่วไฉเฒ่าพลันส่งเสียงตะโกน “อย่าเพิ่งไปๆ มีเรื่องจะขอร้อง เรื่องใหญ่แค่เมล็ดงาเมล็ดถั่วเขียวเท่านั้น เจ้าไม่ต้องกลัว”


เทพเกราะทองไม่พูดไม่จา กลายร่างเป็นแสงสีทองทะยานขึ้นฟ้าเตรียมไปจากพื้นที่แห่งนี้


แต่นาทีถัดมา เขากลับหยุดอยู่กลางอากาศด้วยร่างจริง


ที่แท้ซิ่วไฉเฒ่าก็หน้าด้านยื่นมือไปดึงข้อเท้าของเขาเอาไว้ จึงห้อยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมกับเขาด้วย


เขาจึงได้แต่ลดตัวลงบนพื้นอีกครั้ง มองซิ่วไฉเฒ่าที่ยืนตบมือหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ ก็กล่าวอย่างโมโห “ทำตัวหยาบคายนัก! มีลมก็รีบผาย!”


 ซิ่วไฉเฒ่าถูมือ “ข้าเพิ่งจะรับลูกศิษย์คนสุดท้ายใช่ไหมล่ะ ความประทับใจแรกที่ข้ามอบให้เขาคงไม่ดีเท่าไหร่นัก เลยอยากจะชดเชยด้วยการมอบของขวัญพบหน้าอะไรสักหน่อย เพราะอย่างไรซะอีกไม่นานก็ต้องจากลากันแล้ว ไม่มีโอกาสสั่งสอนเขา ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก”


เทพเกราะทองหลุดหัวเราะพรืด “ให้ช่วยเจ้าเตรียมของขวัญพบหน้าหนึ่งชิ้น? ได้สิ เรื่องนี้ง่ายมาก ในภูเขาสุ้ยซานของข้ามีกระบี่สยบขุนเขาเล่มหนึ่งที่สูญเสียจิตวิญญาณกระบี่ จะเอามอบให้ลูกศิษย์ของเจ้าไหม? มีน้ำหนักมากพอหรือเปล่า?”


ซิ่วไฉเฒ่าทำสีหน้าเขินอายอย่างไร้ความจริงใจ “แบบนี้จะได้อย่างไร ของขวัญชิ้นนี้หนักเกินไป ข้าจะรับมาได้อย่างไร…แต่จะพูดไปแล้วนี่ก็ถือเป็นน้ำใจของผู้อาวุโสอย่างเจ้า หากเจ้าจะยัดเยียดให้ข้าจริงๆ ข้าสามารถบอกให้เฉินผิงอันรอไปก่อนหนึ่งร้อยปีแล้วค่อยไปรับมา ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นเขาอาจจะถือไหวแล้ว…”


เทพเกราะทองสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง คนที่สนิทกับเขาล้วนรู้ดีว่า นี่คือสัญญาณว่าจะลงไม้ลงมือแล้ว


ซิ่วไฉเฒ่ารีบพูดอย่างจริงจังทันที “จะดึงหญ้าช่วยให้โตเร็วได้อย่างไร เจ้านี่ก็จริงๆ เลย แค่มีใจก็ดีแล้ว ไม่รู้จักหลักการที่ว่ายิ่งเร่งรีบยิ่งไม่ถึงจุดหมายหรือไร? ลูกศิษย์น้อยคนนี้ของข้าต้องแบกกระบี่เดินทางไกลไปศึกษา เจ้ามอบตัวอ่อนกระบี่ไร้เจ้านายให้เขาสักก้อนก็พอแล้ว แต่มีเงื่อนไขเล็กน้อยว่าเมื่อเอามาแล้วต้องใช้ได้จริง ไม่ใช่ว่าต้องเป็นนักพรตขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์แตะต้อง ตกลงไหม? เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสเห็นว่าอย่างไร?”


เทพเกราะทองหัวเราะเย้ย “หากข้าไม่ให้ เจ้าก็จะไม่ปล่อยให้ข้ากลับไปใช่ไหม?”


ซิ่วไฉเฒ่าขยับเท้าเข้าใกล้เทพเกราะทองอย่างเงียบเชียบ ยื่นมือไปจับแขนเขา พูดอย่างมีเหตุมีผล “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือ?”


มหาเทพภูเขาสุ้ยซานส่ายหน้าอย่างระอาใจ “เพื่อลูกศิษย์พวกนี้ เจ้าก็ไม่ต้องการชีวิตแล้วจริงๆ แม้แต่ศักดิ์ศรีหน้าตาก็ไม่ต้องการแล้ว ได้ๆๆ ข้าให้ๆ!”


เขาสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง สิ่งของลักษณะเป็นก้อนเงินขนาดเท่ากำปั้นชิ้นหนึ่งก็ลอยอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง


สีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าเคร่งเครียด ไม่ได้รีบร้อนยื่นมือไปรับ แต่ถามว่า “เจ้าเดินทางมาครั้งนี้เพราะมีเป้าหมายอะไรหรือไม่? ไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าจะพกสิ่งของแบบนี้ติดตัวได้อย่างไร? แม้จะไม่ใช่สมบัติที่มีค่าเกินจริงอะไร แต่สำหรับเจ้าแล้วกลับมีความหมายไม่ธรรมดา หากเจ้าไม่อธิบายไม่ชัดเจน ข้าก็ไม่รับมาแน่”


เทพเกราะทองยกสองแขนกอดอก มองไปทางทิศใต้ “เจ้าคิดว่าข้าติดตามเบาะแสมาที่นี่ได้อย่างไร?”


ซิ่วไฉเฒ่าขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าตบะเจ้าสูง อีกทั้งยังมีชะตาเชื่อมโยงกับภูเขาสุ้ยซาน และความเคลื่อนไหวทางข้าก็ค่อนข้างจะใหญ่โตไปสักหน่อย จึงเผยช่องโหว่ให้เจ้ามีโอกาสฉกฉวย?”


เทพเกราะทองหันหน้ากลับมาถาม “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่?”


ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างกังขา “คนหยาบกระด้างอย่างเจ้ารู้จักยึกยักเล่นท่าตั้งแต่เมื่อไหร่? แม้ภูเขาสุ้ยซานที่เป็นภาพลวงตานี้ของข้าจะถูกคนใช้กระบี่ฟัน แต่กลับไม่ส่งผลกระทบที่เป็นรูปธรรมอะไรกับพื้นที่ของเจ้า”


ในที่สุดเทพเกราะทองที่มีนิสัยดุดันก็ผรุสวาทเสียงดังอย่างอดไม่ไหว “มารดามันเถอะ! กระบี่นั้นฟันตรงเข้าไปที่ภูเขาสุ้ยซานของข้าผู้อาวุโสแล้ว แต่ตอนนี้เจ้ากลับแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อหน้าข้า?! แม้ตอนที่กระบี่นั้นปรากฏขึ้น ในสายตาคนนอกจะมองว่าเป็นม้าตีนปลาย แต่ภูเขาสุ้ยซานของข้าผู้อาวุโสมีค่ายกลใหญ่พิทักษ์ขุนเขาแน่นหนาแค่ไหน ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่สามารถอาศัยกระบี่เดียวก็บุกเข้าไปในค่ายกลใหญ่ได้? ตอนนี้คนทั่วทั้งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ พากันคาดเดาว่าเจ้าเฒ่ารองจมูกโคอะไรนั่นที่เจ้าเรียกกำลังบอกอะไรเป็นนัย หรือไม่พวกตาแก่หนังเหนียวของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะมาทวงความยุติธรรมอยู่หรือเปล่า”


ซิ่วไฉเฒ่าอ้าปากค้าง “ดุดันขนาดนี้เชียว?”


ประโยคนี้เท่ากับสาดเกลือลงบนแผลสดของเทพเกราะทอง


“ไสหัวไป!” เขาโมโหเดือดจึงเหวี่ยงแขนออกไป กระแทกให้ “ร่างกาย” ของซิ่วไฉเฒ่าปลิวออกไปหลายร้อยลี้ จากนั้นก็ร่วงลงบนแม่น้ำด้านหลังภูเขาสุ้ยซานอย่างแรง


เขาแค่นเสียงหนึ่งที ตบก้อนเงินที่ไม่สะดุดตาก้อนนั้นให้ปลิวไปยังตำแหน่งที่ซิ่วไฉเฒ่าตกน้ำ



บทที่ 152.3 สูงเหนือนอกฟ้า

โดย

ProjectZyphon

หลังจากนั้นแสงสีทองที่หนาใหญ่ราวยอดเขาก็ทะยานฝ่าม่านฟ้าของม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำ หวนกลับไปยังภูเขาสุ้ยซานที่ตั้งอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง


ในแม่น้ำด้านหลังภูเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าปีนกลับขึ้นฝั่งอย่างสบายอารมณ์ด้วยสภาพของสุนัขตกน้ำ เขาสะบัดไหล่ อาภรณ์ลัทธิขงจีอที่เดิมทีเปียกโชกพลันแห้งสนิท เขาแบฝ่ามือออก มองก้อนเงินในมือ พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “ลวกมือจริงๆ”


เรื่องของโชควาสนาท อาจารย์มอบให้ศิษย์ก็ดี ครูมอบให้นักเรียนก็ช่าง ล้วนพิถีพิถันในเรื่องของลำดับขั้นตอนค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ว่ายิ่งให้มากก็ยิ่งดี แต่ต้องให้ในสิ่งที่คนถือไว้ได้ แบกไว้มั่น กินได้ลงถึงจะประเสริฐ


หาไม่แล้วตระกูลชนชั้นสูงพันปีบนภูเขาที่สั่งสมทรัพย์สมบัติกองโต สืบทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แตกกิ่งก้านแผ่สาขา วันนี้ลูกชายคนนี้ได้เป็นผู้ฝึกลมปราณก็มอบอาวุธเทพคมกริบเกินทัดทานให้เขาชิ้นหนึ่ง พรุ่งนี้หลานคนนั้นฐานกระดูกไม่เลวก็มอบอาวุธอาคมที่แค่ขยับก็ทำลายแผ่นดินพิฆาตเมืองให้กับเขา หากเป็นเช่นนี้จริงพวกเขาคงร่ำร้องอยากจะก่อกบฏกันนานแล้ว ไยยังต้องให้สำนักศึกษาอย่างพวกเจ้ามาคอยรักษาประคับประคองกฎเกณฑ์ของใต้หล้าไพศาลอยู่อีก?


อีกอย่างก็คือผลกรรมที่พัวพันนั้นน่ารำคาญมากที่สุด


ยุ่งยากมากจริงๆ


ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าถึงได้แอบขโมยปิ่นหยกชิ้นนั้นมาเก็บไว้


ในความเป็นจริงแล้วอาเหลียงแค่มองความจริงของมันไม่ออก ซิ่วไฉเฒ่ามอบมันให้แก่ฉีจิ้งชุนก็ย่อมต้องมีความหมายลึกล้ำ ให้ไว้ก็เพื่อรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด หากวันใดฉีจิ้งชุนต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจากสี่ด้านแปดทิศจริงๆ จะดีจะชั่วก็ยังมีพื้นที่ให้อาศัยอย่างปลอดภัย


น่าเสียดายก็แต่ถึงท้ายที่สุดแล้ว ฉีจิ้งชุนกลับเลือกที่จะไม่ใช้มัน นอกจากไม่ต้องการลากเอาอาจารย์ผู้มีพระคุณอย่างซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ในสวนป่ากงเต๋อมาข้องเกี่ยวด้วยแล้ว เกรงว่ายังเป็นหนึ่งในวิธีการรับมือที่ทิ้งไว้ภายหลังเพื่อช่วยปกป้องเฉินผิงอันด้วย


บีบให้ซิ่วไฉเฒ่าจำเป็นต้องมาเยือนแจกันสมบัติทวีปด้วยตัวเองเพื่อพบหน้าลูกศิษย์น้อยที่ฉีจิ้งชุนช่วยรับไว้แทนอาจารย์


และตอนนั้นฉีจิ้งชุนก็ตายไปแล้ว ต่อให้อาจารย์ที่เดินทางมาไกลนับพันลี้ไม่พอใจลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเองนัก แต่เห็นแก่หน้าของเขาฉีจิ้งชุน ด้วยนิสัยของซิ่วไฉเฒ่าแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าต่อให้ฝืนใจก็ยังต้องรับเอาไว้ วันหน้าหากเฉินผิงอันมีอุปสรรคที่เฉินผิงอันข้ามผ่านไปไม่ได้จริงๆ ต่อให้ซิ่วไฉเฒ่าถูกขังอยู่ในสวนป่ากงเต๋อ แต่แค่เอ่ยอะไรสักคำสองคำก็ยังพอจะทำได้


แต่ฉีจิ้งชุนคำนวณผิดไปอย่างหนึ่ง นั่นคือคาดไม่ถึงว่าอาจารย์ของตนจะออกมาจากสวนป่ากงเต๋อเร็วขนาดนี้


และที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อเขา


เหมือนที่เขาทำเพื่อเฉินผิงอัน


เกรงว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันและการรับสืบทอดจากสำนักเดียวกันอย่างแท้จริง


ซิ่วไฉเฒ่าเดินออกมาหนึ่งก้าวก็มาอยู่บนยอดเขา กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เสี่ยวฉีเอ๋ย เรื่องปกป้องคนของตัวเองนี้ เจ้าทำได้ดีกว่าอาจารย์มากนัก อืม ลูกศิษย์คนสุดท้ายอย่างเฉินผิงอันผู้นี้ อาจารย์พอใจมาก คิดไปคิดมา ตอนอยู่ในสวนป่ากงเต๋ออาจารย์ถึงคิดตกเรื่องหนึ่ง ข้ากำลังขาดลูกศิษย์แบบนี้อยู่พอดี”


ซิ่วไฉเฒ่าพลันเบิกตากว้าง “คนล่ะ?”


ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง แต่จู่ๆ ก็สงบสติอารมณ์ลงได้ คลี่ยิ้มชั่วร้าย “อั๊ยหยา จริงๆ เลย อายุของลูกศิษย์ข้าคนนี้ยังน้อยนัก อ้อๆ ดูเหมือนจะสิบสี่สิบห้าปี ไม่เด็กแล้ว บางที่ข้างนอกก็แต่งงานมีลูกได้แล้ว…”


มุมใดมุมหนึ่งบนท้องฟ้า สตรีคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวว่า “สองครั้ง”


ซิ่วไฉเฒ่าแสร้งทำเป็นตะแคงหน้าตั้งหูฟัง “หา พูดว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ชัดเลย ข้าคนนี้ไม่เพียงแต่หูตึง ยังพูดไม่ชัดด้วย เวลาพูดอะไรมักจะทำให้คนเข้าใจผิด…”


มิน่าเล่าถึงสามารถสอนลูกศิษย์ใหญ่ให้ออกมาเป็นคนอย่างชุยฉานได้


เพียงแต่ว่าหลังจากเสียงเงียบหายไป ผู้เฒ่าก็หันไปมองหินยักษ์บางก้อนที่ด้านบนสลักตัวอักษรใหญ่สี่คำว่า “มุ่งตรงสู่ตำหนักสวรรค์”


ผู้เฒ่าดึงสายตากลับคืนมาแล้วมองลงไปด้านล่างภูเขา “ข้ายังอยากจะอยู่ชมภูเขาและแม่น้ำที่งดงามต่อไป หนึ่งปีสั้นเกิน หนึ่งหมื่นปียังไม่นานพอ”


……


เมื่อเฉินผิงอันฟื้นขึ้นมา ค้นพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนราวสะพานหินโค้งสีทองอร่ามนั่นอีกครั้ง สะพานโค้งยังคงยาวเหมือนครั้งก่อน มองไม่เห็นหัว ไม่เห็นหาง รอบด้านมีทะเลเมฆเคลื่อนคล้อย ทำให้คนเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูก


นึกภาพไม่ออกเลยว่าหากตกลงไปจะมีจุดจบอย่างไร จะร่างแหลกเหลวหรือไม่? จะตกลงไปในหุบเหวลึกไร้ที่สิ้นสุดเรื่อยๆ หรือเปล่า? จะเป็นไปได้ไหมว่าเนื่องจากระยะทางที่กว่าจะถึงพื้นห่างไกลเกินไป หากไม่ต้องหิวตาย เด็กหนุ่มที่มีอายุสิบสี่ปี ตอนที่ตกลงไปตายจะอายุสิบห้าปี?


อันที่จริงเฉินผิงอันมักจะคิดถึงเรื่องประหลาดอยู่ตลอดเวลา


เพียงแต่เพราะไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ความคิดเขาจึงออกจะเฉิ่มเชยบ้างก็เท่านั้น


สตรีชุดขาวนั่งเคียงบ่าอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ที่นี่เคยเป็นสมรภูมิรบแห่งหนึ่ง ตอนที่สงครามใหญ่ปิดฉากลงก็เหลือแค่สะพานแห่งนี้เท่านั้น เจ้าดูตรงนั้น ในอดีตที่นั่นเคยมีประตูฟ้าบูรพาตั้งอยู่ ใหญ่มากเลยล่ะ คนที่รับผิดชอบเฝ้าประตูในเวลานั้นคือชายฉกรรจ์ชีกอคนหนึ่ง บนร่างสวมเสื้อเกราะวิเศษสีเงินที่มีชื่อว่า ‘เกล็ดน้ำค้างแข็ง’ นิสัยไม่ได้เลวร้าย แค่ปากเสียไปสักหน่อย เจ้านายคนแรกของข้าทะเลาะกับหัวหน้าของเขา และเป็นฝ่ายชนะ ตอนนั้นฝ่ายหลังมีผู้ช่วยหลายคนที่มองสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ แต่พวกเขาปะทะกันดุเดือดจนไม่มีใครกล้าโผล่หน้ามาช่วยเหลือ”


เฉินผิงอันมองไปตามนิ้วมือของนาง เห็นพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งที่บางครั้งมีประกายแสงงดงามเปล่งวูบผ่านไป


นางเอ่ยเบาๆ “ตอนนี้ไม่เหลืออะไรสักอย่าง”


เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใส ทอดถอนใจกล่าว “แบบนี้เองหรือ”


นางแกว่งขาสองข้างเบาๆ ฝ่ามือทั้งสองยันอยู่บนรั้วสะพาน เอ่ยยิ้มๆ “ฝึกบำเพ็ญตนบำเพ็ญเพียร สร้างสะพานแห่งความอมตะขึ้นมาอย่างยากลำบากก็เพื่อเก็บรักษาตบะเอาไว้ได้ ไม่ให้กลายเป็นเพียงฝุ่นเม็ดหนึ่งท่ามกลางธารประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดังนั้นแต่ละคนจึงชอบบอกว่าตัวเองเดินสวนกระแสขึ้นสู่ที่สูง”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ประโยคนี้เขาพอจะฟังเข้าใจ นั่นก็คือมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดี ใครบ้างจะไม่ชอบ


นางหันมาถามยิ้มๆ “เดินทางมาไกลขนาดนี้ เหนื่อยหรือไม่?”


เฉินผิงอันคิดอย่างจริงจัง “เหนื่อยน่ะไม่เหนื่อยหรอก อันที่จริงยังสบายกว่าตอนที่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเผาฟืนตอนเด็กด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเจอเรื่องและคนที่ประหลาดเยอะไปหน่อย มักจะหลับไม่สนิท”


เฉินผิงอันหันกลับมายิ้มอารมณ์ดี “แต่ว่าเมื่อครู่ที่หลับไปนั้นหลับสนิทดีมาก เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองเล็กแม้จะยากจน แต่หัวถึงหมอนก็หลับสนิททุกวัน ตอนนี้เดินทางไกลไปศึกษาต่อพร้อมกับพวกเป่าผิงกลับไม่กล้าทำอย่างนั้น กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น”


นางถามต่อ “ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่พอใจเลยหรือ?”


เฉินผิงอันครุ่นคิด ใช้ฝ่ามือสองข้างยันราวสะพาน แกว่งเท้าสองข้างเบาๆ เลียนแบบพี่สาวเทพเซียนที่นั่งอยู่ข้างกาย มองไปยังทิศไกล พูดเสียงแผ่ว “มีสิ ยกตัวอย่างเช่นเด็กผู้หญิงที่ชื่อจูลู่ ทำไมนางถึงจิตใจชั่วร้ายขนาดนั้น ยังมีผีสาวสวมชุดแต่งงานที่ฆ่าบัณฑิตซึ่งผ่านทางมาไปมากมายเพียงแค่เพราะผู้ชายที่นางรักไม่รักนาง หากตอนนั้นไม่มีพวกเป่าผิงอยู่ข้างกาย ข้าคงใช้ปราณกระบี่ฆ่านางไปแล้ว”


“เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ถึงขั้นว่าไม่พอใจหรอก แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ทำให้หงุดหงิด ยกตัวอย่างเช่นหลี่ไหวไม่ตั้งใจเรียน ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นอาจารย์ฉีทำอย่างไรถึงอดทนไม่ตีเขาได้ ยังมีอีกก็คือพอได้กินอาหารเลิศรสมาแล้ว เจ้าเด็กพวกนี้ก็ไม่ชอบอาหารที่ข้าทำอีกต่อไป อันที่จริงข้าเองก็กลุ้มมาก น้ำมันและเกลือแพงมากนี่นา ยังมีเวลาที่ข้าไปตกปลาในแม่น้ำ เมื่อเลือกเวลาไม่ได้ ข้าก็มักจะตกมาได้แค่ไม่กี่ตัว ทุกครั้งที่กลับไปแล้วมองเห็นสีหน้าผิดหวังของพวกเขา ข้าก็น้อยใจมาก หากไม่เป็นเพราะกังวลว่าจะถ่วงการเดินทางไปศึกษาของพวกเขาให้ล่าช้า ให้เวลาข้าวันสองวันไปขุดหลุม นั่งเฝ้าตกปลาตอนกลางคืน ไม่ว่าจะปลาตัวใหญ่แค่ไหนข้าก็ล้วนตกมาได้ทั้งนั้น”


“ล่าสุดก็คือครั้งที่หลินโส่วอีโกรธ อันที่จริงข้าค่อนข้างจะเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่มาก แม้ว่าหลักๆ แล้วก็เพื่อให้เขาได้ฝึกตนดีๆ แต่ข้าก็มีใจที่เห็นแก่ตัว เพราะมีคนบอกกับข้าว่าสะพานแห่งความอมตะขาดแล้ว ชั่วชีวิตนี้คงไม่อาจซ่อมแซมได้ แต่ข้าไม่อยากยอมแพ้ทั้งอย่างนี้ หนึ่งก็เพราะเคยรับปากพี่สาวเทพเซียนอย่างท่านว่าในอนาคตจะต้องกลายเป็นเซียนที่บินไปบินมา สองคือตัวข้าเองก็อิจฉาพวกอาเหลียงมาก ก็เหมือนอย่างที่หลี่ไหวเคยพูด เหยียบอยู่บนกระบี่ บินไปบินมาดังสวบๆๆ อยากจะไปที่ไหนก็ได้ไป ทั้งเท่ห์และมากบารมี ข้าเองก็อยากเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”


สตรีสูงใหญ่รับฟังความในใจของเด็กหนุ่มจนจบแล้วเอ่ยเย้า “โอ้ เจ้าเองก็รู้จักคิดถึงเรื่องของตัวเองเหมือนกันหรอื”


เด็กหนุ่มหยีตาพยายามมองไปให้ไกลที่สุด เอ่ยยิ้มๆ “แน่นอนสิ หลังจากที่พ่อแม่ข้าจากไป ข้าก็คิดเพื่อตัวเองมาโดยตลอด อยากจะคิดแทนคนอื่นนั้นยากมาก อันที่จริงหลังจากได้พบพวกเจ้า ข้าถึงได้กลายมาเป็นคนแบบนี้ ทะเลาะกับคนอื่น ซื้อภูเขาและร้านค้า เรียนรู้ตัวอักษร ทำหีบหนังสือใบเล็ก ฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชาหมัด จ่ายเงินซื้อหนังสือ เลือกเส้นทางเดิน ลับดาบป้อนอาหารม้า ทุกวันมีแต่เรื่องให้ยุงวุ่นวาย แต่ข้าไม่เคยเสียใจ ข้ามีความสุขมาก!”


เฉินผิงอันพึมพำ “แค่ค่อนข้างจะคิดถึงพวกเขา ไม่รู้ว่าพวกเขามีชีวิตที่ดีไหม”


นางเองก็ทอดถอนใจด้วยประโยคเดียวกับเด็กหนุ่ม “แบบนี้เองหรือ”


เฉินผิงอันพลันหันหน้ามา กดเสียงแผ่วต่ำ “พี่สาวเทพเซียน ตอนนี้ข้ามีเงิน มีเงินเยอะมาก!”


นางหลุดหัวเราะพรืด


เพียงแต่พอนึกถึงช่วงเวลายามที่เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นมา นางก็เข้าใจได้ในเวลาไม่นาน


ลำพังเพียงแค่เรื่องติดกลอนคู่ในวันปีใหม่ เรื่องเล็กเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เด็กหนุ่มอาวรณ์มาได้ตั้งหลายปีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นพอเขามีเงินแล้วก็ย่อมต้องดีใจอย่างมาก


แววตาของเด็กหนุ่มพลันฉายแววเด็ดเดี่ยว “พี่สาวเทพเซียน ท่านวางใจเถอะ เรื่องที่ข้ารับปากท่านไว้แล้ว ข้าจะต้องพยายามทำให้ได้”


นางเบี่ยงตัว ยื่นมือไปวางบนศีรษะของเด็กหนุ่ม เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ได้พบเจอเจ้า ข้าก็มีความสุขมากแล้ว”


ดูเหมือนนางจะยังรู้สึกไม่สมใจพอจึงค้อมตัวลงมาใช้หน้าผากดันหน้าผากเด็กหนุ่ม


เด็กหนุ่มผู้เดียงสาเขินอายไปตามธรรมชาติ อยากเกาหัวแต่ก็ไม่กล้า


นางยิ้มแล้วยืดตัวกลับคืน


สุดท้ายวิญญาณกระบี่กับเด็กหนุ่ม คนหนึ่งเท้าเปล่า คนหนึ่งสวมรองเท้าแตะก็แกว่งขาเบาๆ นั่งมองทิศไกลอยู่ด้วยกันเช่นนี้


เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว


สมมติว่าวันเวลาในตอนนี้เป็นท่าเรือแห่งหนึ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา เมื่อย้อนทวนกระแสขึ้นไปสองหมื่นปี หากพูดถึงความยิ่งใหญ่ของพลังสังหาร ความกร้าวแกร่งแห่งจิตการทำลายล้างของวิญญาณกระบี่ มีเพียงนางที่เป็นผู้พิชิตหนึ่งเดียว สูงเหนือนอกฟ้า!



บทที่ 153 สภาพจิตใจ

โดย

ProjectZyphon

ซิ่วไฉเฒ่าแตะปลายเท้า ก้าวเดียวก็ข้ามเทือกเขาและแม่น้ำมาไกลแปดร้อยลี้ พลิ้วกายลงบนตำแหน่งที่เฉินผิงอันรับกระบี่ก่อนหน้านี้ แล้วจึงเริ่มเดินช้าๆ ยกมือขึ้น งอนิ้วแล้วทำท่าคล้ายเคาะประตู เพียงแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ ซิ่วไฉเฒ่าเอามือลง กล่าวอย่างจนใจ “ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย การเดินทางในครั้งนี้ไม่ต่างจากการกางกระโจมอยู่ในบ้านคนอื่น ช่างเถอะๆ ข้ารอก็ได้”


ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มรอให้จิตวิญญาณกระบี่เผยกายอย่างอดทน ท่ามกลางการรอคอยที่ยาวนาน ผู้เฒ่ายืนอยู่ที่เดิม คิดพิจารณาปัญหายากข้อหนึ่ง ไม่มีท่าทีหงุดหงิดงุ่นง่าน


กลางอากาศเกิดริ้วกระเพื่อมเล็กๆ เห็นเพียงว่าสตรีร่างสูงใหญ่คว้าไหล่เฉินผิงอันเดินก้าวออกมาจากความว่างเปล่า


ซิ่วไฉเฒ่าคืนสติ ประโยคแรกที่เอ่ยคือ “ข้ายอมแพ้ ไม่สู้แล้ว จะอย่างไรซะไม่ว่าจะออกอีกสองกระบี่ที่เหลือหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ถูกไหม?”


วิญญาณกระบี่กึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ถ้าอย่างนั้นการท้าทายสองครั้งของเจ้าล่ะ จะนับอย่างไร?”


ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “เรื่องใดไม่เกินสามครั้งไงล่ะ”


นางทอดสายตามองไปยังทิศทางของภูเขาสุ้ยซาน “มหาเทพภูเขาสุ้ยซานองค์ใหม่หรือ? รับหน้าที่นี้มานานแค่ไหนแล้ว?”


ซิ่วไฉเฒ่าตอบ “หกพันปีเต็ม สามพันปีกว่าก่อนหน้านี้ เจ้าเพิ่งร้องเสร็จ ข้าก็ขึ้นเวที (เป็นคำเย้ยหยันถึงการสับเปลี่ยนหมุนเวียนทางอำนาจ เสียดสีการเมืองการปกครอง) เละเทะวุ่นวาย อำนาจบารมีหายสิ้น ขุนเขาบูรพาอย่างภูเขาสุ้ยซานนี้เปลี่ยนนายมาถึงสามคน ช่วงที่วุ่นวายที่สุดเคยถูกมองเป็นอำนาจสายหนึ่งของลัทธิมาร จึงถูกคนอื่นเข้ามายึดครองโดยตรง คือสถานการณ์ที่มารยาทและพิธีการพังทลายวุ่นวายอย่างแท้จริง มหาเทพภูเขาสุ้ยซานคนปัจจุบันสามารถครองตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงถึงหกพันปี แม้ว่าจะมีโชคช่วยด้วย แต่ที่มากกว่านั้นกลับยังอาศัยพลังการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวของตัวเขาเอง หมัดแข็งพอ อีกทั้งคนเท้าเปล่าย่อมไม่กลัวจะสวมรองเท้า ใครบ้างจะไม่กริ่งเกรง”


วิญญาณกระบี่เอ่ยเย้ยหยัน “มารยาทและพิธีการพังทลาย? เพราะพวกเจ้าสามลัทธิแบ่งของสินบนได้ไม่เท่าเทียม? หรือเป็นเพราะฝ่ายในของใต้หล้าไพศาลเกิดการคุมเชิงกันระหว่างธรรมะและอธรรม? แล้วหลี่เซิ่งผู้นั้นล่ะ ด้วยนิสัยของเขาจะนิ่งดูดายได้อย่างไร?”


ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “เรื่องมันยาว ไม่ต้องพูดถึงดีกว่า”


สตรีร่างสูงใหญ่เอาสองมือไพล่หลัง สีหน้าดูแคลนยิ่งเข้มข้น “สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องมีการเลือกเป็นภายใน ฮ่าๆ ช่างเป็นการช่วงชิงบนมหามรรคาที่ยอดเยี่ยมนัก เมธีร้อยสำนักประชันกัน ครึกครื้นซะจริง แล้วผลล่ะเป็นอย่างไร? โลกเปลี่ยนมาดีขึ้นอย่างนั้นหรือ?”


ซิ่วไฉเฒ่าปรายตามองวิญญาณกระบี่ชุดขาว ตัดบทด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างอย่างยิ่ง “ฝ่ายในของระบบลัทธิขงจื๊อย่อมไม่เรียกว่าใสสะอาดจนเห็นเบื้องล่าง ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นวิญญูชนผู้มีคุณธรรมและเมตตาธรรม แต่บรรพบุรุษของลัทธิขงจื๊อพวกเราต้องทุ่มเทสติปัญญาและแรงใจนับไม่ถ้วนเพื่อเรื่องนี้ จะบอกว่าควักหัวใจหลั่งเลือดก็ไม่เกินจริงเลย ด้วยเหตุนี้จึงยังคงรักษาต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์เที่ยงตรงเอาไว้ได้ ไม่อาจถูกปฏิเสธได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของเจ้า”


วิญญาณกระบี่กล่าวมีเลศนัย “นี่ถือเป็นครั้งที่สามหรือไม่?”


ซิ่วไฉเฒ่าที่นาทีก่อนหน้านี้ยังทำตัวไม่เอาไหนกลับไม่คิดจะยอมถอยให้แม้แต่น้อย เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “สำหรับเรื่องนี้ หากเจ้ารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ข้าสามารถอธิบายเหตุผลให้เจ้าฟังร้อยปีพันปี เจ้าจะใช้กระบี่มาอธิบายเหตุผลของเจ้าก็ไม่เป็นไร”


นางมองประเมินผู้เฒ่าร่างผอมบางไม่สูงใหญ่อย่างตั้งใจ “เจ้าสูญเสียโชคชะตาของอริยะไปจนสิ้นแล้วจริงๆ เหลือแค่จิตวิญญาณเท่านั้น จึงมองโลกมนุษย์ของใต้หล้าแห่งนี้เป็นสถานที่พักพิง?”


ซิ่วไฉเฒ่าเงียบไปครู่ใหญ่ “ใช่”


นางเก็บจิตสังหารที่บังเกิดขึ้นมาตามธรรมชาตินั้นลงไป สายตาซับซ้อน “หลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีแค่พวกเจ้าสองคนเท่านั้นที่ทำได้ แต่ข้าประหลาดใจมาก เจ้าเลื่อมใสในการเลือกของเจ้าหมอนั่น? หรือเป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น? ความเป็นไปได้ข้อแรกน้อยมาก เกี่ยวพันกับมหามรรคาของเจ้าแล้ว ข้าคาดการณ์เอาว่า ต่อให้นี่จะไม่ใช่งานสบายที่งดงามอะไร แต่ตาเฒ่าในระบบของลัทธิขงจื๊อก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จแน่นอน”


ซิ่วไฉเฒ่าตอบอย่างสงบ “เอาอย่างผู้มีคุณธรรมและความสามารถ ถูกต้องตามหลักการฟ้าดิน”


นางหยุดคิดไปชั่วครู่ แล้วหันไปมองเฉินผิงอัน เอ่ยยิ้มๆ “ไม่เพียงแต่ความตั้งใจเดิมสำเร็จสมปรารถนา ยังเหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก เห็นแก่ที่เจ้าเลือกเช่นนี้ แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือเห็นแก่เจ้านายของข้า อีกสองกระบี่ที่เหลือก็ปล่อยค้างไว้ก่อน? วันหน้าหากจู่ๆ ข้าเห็นเจ้าเกะกะสายตาค่อยคิดบัญชีเก่าใหม่รวมกัน”


ซิ่วไฉเฒ่าที่ทำหน้าตึงอยู่ตลอดเวลาพลันมาดหลุด ตบขาตัวเองดังป้าบ กล่าวกลั้วหัวเราะ “ค้างไว้ก่อนๆ ค้างไว้ดีนัก วันสิ้นปีของพวกชาวบ้านมักจะทำแบบนี้ เหลืออาหารไว้ในจานเล็กน้อยเพื่อแสดงให้เห็นว่าปีถัดไปยังมีเหลือค้าง เป็นลางดี ความหมายก็ดี”


ไมว่าจะมองอย่างไรท่าทางของผู้เฒ่าก็เหมือนว่าอารมณ์ดีเพราะเอาชีวิตรอดมาได้


วิญญาณกระบี่ไม่สนใจ เพียงเอ่ยเสียงเย็น “เปิดประตู”


ผู้เฒ่าสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งที ก้าวยาวๆ นำไป เอ่ยเสียงดังกังวาน “แหงนหน้าหัวเราะร่าออกจากประตู”


เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามเสียงเบา “กระบี่นั้นที่ข้าปล่อยออกไปแย่มากเลยใช่ไหม? ดูเหมือนภูเขาลูกใหญ่นั้นจะไม่แม้แต่ขยับเขยื้อน ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสบอกว่าพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ดีหรือเลวต้องดูที่ว่าสามารถรับตัวอักษรไปได้กี่ตัว แม้เดิมทีข้าเองก็ไม่ได้เต็มใจยอมรับพวกมัน แต่พวกมันเองก็ไม่เต็มใจเข้าใกล้ข้าเหมือนกันนี่นา นี่จะเป็นการบอกว่าพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ของข้าธรรมดาเหมือนฝึกหมัดใช่หรือไม่?”


เฉินผิงอันยิ่งพูดก็ยิ่งเสียใจ “ผู้อาวุโสยังเคยบอกว่าหากข้าถ่วงแข้งถ่วงขา ต่อให้ตอนนั้นมีตบะขอบเขตสิบ กระบี่นั้นที่ฟันออกไปก็มีประสิทธิผลเท่าแค่ขอบเขตเจ็ด”


คำพูดอันเป็นวาทศิลป์แค่อ้าปากก็เอ่ยได้ ทว่าเรื่องยากใต้หล้านี้ก็ยากตรงที่จำเป็นต้องเดินทีละก้าว


เฉินผิงอันเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงเข้าใจหลักการนี้กระจ่างแจ้งยิ่งนัก


วิญญาณกระบี่ยื่นมือไปหยิกแก้มเด็กหนุ่ม ยิ้มตาหยี “วันหน้าเจ้าก็จะได้รู้เอง”


เฉินผิงอันหน้าแดงก่ำ เผยอปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด


จิตของนางเชื่อมโยงเข้ากับเด็กหนุ่มนางแล้ว จึงจูงมือเด็กหนุ่มเดินช้าๆ ไปทางประตูใหญ่ของม้วนภาพภูเขาแม่น้ำบานนั้นพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นายท่าน รู้ไว้นะ วันหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่นางบางคน ข้าไม่มีทางปล่อยตัวตามสบายเช่นนี้ นางจะได้ไม่เข้าใจเจ้าผิด เห็นว่าเจ้าเป็นคนเสเพลจิตใจโลเล”


เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ทั้งรู้สึกผ่อนคลายเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วก็รู้สึกดีใจเหมือนนางได้กลายมาเป็นสหายรู้ใจ


สตรีสูงใหญ่พลันหันหน้ากลับมา พูดเหมือนไม่พอใจ “แต่เจ้าไม่กลัวว่าพี่สาวเทพเซียนจะรู้สึกน้อยใจหรือ?”


เด็กหนุ่มคิดแล้วก็ตอบอย่างจริงจัง “ข้าจะขอโทษท่าน แต่เรื่องบางเรื่อง ข้ารู้สึกว่าก็ควรจะเป็นเช่นนั้น”


ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ถึงขั้นน้ำตาคลอคล้ายจะร้องไห้


แม้ว่าเฉินผิงอันจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่สายตากลับเด็ดเดี่ยว เม้มริมฝีปาก ไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจเดิม


วิญญาณกระบี่พลันยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ยกนิ้วโป้งให้เด็กหนุ่ม เอ่ยชื่นชม “เท่ห์มาก!”


เฉินผิงอันถามขลาดๆ “ไม่โกรธจริงๆ หรือ?”


นางจูงมือเฉินผิงอัน หยุดยืนตรงหน้าประตูบานใหญ่ แล้วพลันก้มตัวลงกอดเด็กหนุ่ม ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นคล้ายคนที่ชอบนอนมากที่สุดได้ขดตัวหลับสนิทอยู่ในผ้าห่มอันอบอุ่นท่ามกลางฤดูหนาว ความรู้สึกมีความสุขเช่นนั้นไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้จริงๆ นางไม่สนว่าเฉินผิงอันจะรู้สึกอย่างไร กล่าวร่าเริงว่า “หืมๆๆ ผิงอันน้อยของข้าน่ารักจริงๆ เลย!”


เด็กหนุ่มพลันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ยืนนิ่งไม่ขยับ ในสมองว่างเปล่า ไร้ซึ่งความคิดใดๆ


พี่สาวเทพเซียน


เทพเซียนเป็นเพียงความรู้สึกแรก อันที่จริงพี่สาวต่างหากถึงจะเป็นความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจเฉินผิงอัน


ในที่สุดนางก็ยอมปล่อยเฉินผิงอัน พอยืดตัวขึ้นตรงแล้วก็หันหน้ามองไป มีตาเฒ่าคนหนึ่งที่ทำลับๆ ล่อๆ กลับเข้ามาในภาพวาดภูเขาแม่น้ำ หันหลังให้คนทั้งสอง กระแอมไอก่อนพูด “อะไรที่ไม่เหมาะสมกับหลักมารยาทไม่ควรมอง วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ก่อนหน้านี้แค่ลืมของอย่างหนึ่งเอาไว้เลยต้องย้อนกลับมาเอา”


สตรีร่างสูงใหญ่ที่อารมณ์ดีคร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้


มารยาท คุณธรรม ผลกรรม?


สิ่งที่กว้างขวาง สูงและห่างไกลอย่างยิ่งเหล่านี้ไม่เคยพันธนาการนางไว้ได้


บนมหามรรคา เคยมีคนที่ไร้สิ่งของติดกาย เดินมุ่งตรงไปด้านหน้าโดยอาศัยเพียงกระบี่เล่มเดียว


ไม่ว่าอะไรที่มากีดขวาง หนึ่งกระบี่บุกเบิกเปิดทาง


 ไม่ว่ามีอะไรที่ไม่ราบรื่น หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้ราบเรียบ


หลังจากที่นางหลับสนิทมาหนึ่งหมื่นปี ในที่สุดก็หาอีกคนหนึ่งเจอ


ทั้งสองคนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน


แต่นางกลับไม่รู้สึกผิดหวัง


หากจะบอกว่าแรกเริ่มเชื่อมั่นใจตัวฉีจิ้งชุน จึงเลือกที่จะเชื่อในโอกาสหนึ่งเสี้ยว เดิมพันกับคำว่า “ถ้าหาก” ที่มีความเป็นไปได้น้อยนิด ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ต่อให้ฉีจิ้งชุนฟื้นคืนชีพกลับมา บอกว่าเขาผิดไปแล้ว เจ้าไม่ควรเลือกเด็กหนุ่มคนนั้น ต่อให้เขายกเหตุผลมากมายมาอ้าง นางก็ไม่มีทางฟัง”


นางปล่อยมือ บอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันเดินไปก่อน


เด็กหนุ่มเดินนำไปที่ประตูบานใหญ่


วิญญาณกระบี่มองไหล่ที่ยังบอบบางของเด็กหนุ่มแล้วเดินตามหลังไปติดๆ


คนเราล้วนมีสภาพจิตใจ ผู้ฝึกลมปราณเรียกว่าห้องโอสถ คนในโลกเรียกว่าห้องหัวใจ


ทะเลสาบหัวใจก็คือหนึ่งในนั้น


ตอนนั้นที่นางยืนอยู่บนทะเลสาบหัวใจของเด็กหนุ่มแล้วกวาดตามองไปรอบด้าน นางเห็นแต่ความว่างเปล่า สะอาดสะอ้าน


จากนั้นในที่สุดนางก็มองเห็นว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ได้เหมือนแห่งอื่น พบเจอ “โฉมหน้าดั้งเดิมของกระจกหัวใจ” ที่แม้แต่ตัวเด็กหนุ่มเองก็ตระหนักไม่ถึง


นั่นคือเด็กกำพร้าอายุสี่ห้าขวบคนหนึ่ง เขานั่งขดตัว สองแขนกอดเข่าอยู่บนพื้นอย่างเดียวดาย ข้างเท้ามีรองเท้าแตะคู่เล็กคู่หนึ่งวางอยู่ และเขามักจะนั่งเหม่ออยู่อย่างนี้เป็นประจำ


ข้างกายของเด็กชายคนนี้คือเนินดินขนาดเล็กที่ไม่มีป้ายหน้าหลุมฝังศพ


บริเวณใกล้ๆ กับเนินฝังศพยังมี “เนินดินเล็ก” ขนาดเล็กกว่าหลุมฝังศพอีกสองเนิน ลักษณะคล้ายยอดเขา


ทุกครั้งที่เด็กชายพักผ่อนพอแล้วก็จะสวมรองเท้าแตะคู่เล็ก แล้ววิ่งออกไปไกลเพื่อไปย้ายภูเขาลูกเล็กมาไว้ข้างหลุมศพ เปลืองแรงอย่างมาก ทุกครั้งจึงได้แค่ย้ายมาในระยะทางสั้นๆ


ตอนที่วิ่งไปย้ายภูเขา ตรงเอวเด็กชายจะห้อยตราประทับขนาดเล็กชิ้นหนึ่ง บนหัวสวมงอบใบเล็ก


ตราประทับชิ้นเล็กจะต้องแกว่งไกวไปตามฝีเท้าของเด็กชาย


ที่น่าแปลกก็คือไม่มีภาพสะท้อนกลับหัวของบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงบนกระจกหัวใจ


อาจจะเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเด็กชายมองว่า เมื่อพ่อแม่จากโลกนี้ไปก็ไม่มีบ้านอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงเอาแต่นั่งเฝ้าหลุมศพขนาดเล็กนั่น


สีหน้าของเด็กชายดื้ออึง มักจะชอบขมวดคิ้ว เม้มปาก


แต่ปากครั้งเด็กคนนี้ก็จะคลี่ยิ้ม น่าจะเป็นเรื่องที่มีค่าพอให้ดีใจอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่นเขาแอบบอกกับหลุมศพเล็ก ริมฝีปากของสั่นระริก แต่กลับไม่มีเสียงดังขึ้นมาในหัวใจ ทว่าจิตวิญญาณกระบี่ที่จิตเชื่อมโยงอยู่กับเขาย่อมรู้ถ้อยคำที่ไร้เสียงนั้น


“ท่านแม่ ข้ารู้จักพี่สาวเทพเซียนคนหนึ่ง ตอนที่นางยิ้ม เหมือนกับท่านมากเลย”


นอกจากย้ายภูเขา “กลับบ้าน” แล้ว เด็กชายก็แทบจะไม่เคยออกห่างจากบริเวณหลุมฝังศพ บางครั้งยังคล้ายจูงมือเล็กของแม่นางน้อยคนหนึ่งเดินไปทางทิศใต้ เพียงแต่ทุกระยะทางที่เดินไป เด็กชายจะต้องแอบหันกลับมามองทางหลุมศพเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าอาลัยอาวรณ์อย่างมาก


แต่มีเพียงสถานการณ์เดียวที่เด็กน้อยจะวิ่งตะบึงไปไกลมากๆ อีกทั้งยังคอยแหงนดวงหน้าเล็กมองไปบนท้องฟ้าสูงอยู่ตลอดเวลา คล้ายกำลังไล่ตามใครบางคนบนฟ้าที่จากเขาไปไกล


……


ในม้วนภาพวาดภูเขาแม่น้ำ สีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าเคร่งเครียด


“น้ำเงินกำเนิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสนี้เสมอไป”


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ประเสริฐยิ่งแล้ว”


ผู้เฒ่าเงียบงันไปนาน ค้นพบว่าฟ้าดินเริ่มสั่นสะเทือนน้อยๆ ก็กล่าวอย่างจนใจว่า “มีความอดทนกับเจ้าเด็กนั่นขนาดนั้น แต่ไม่มีความอดทนให้ข้าได้บ้างเลยหรือ? อ้อ ใช่แล้ว ตอนนี้ยังยิ้มได้ หากตำนานที่สืบทอดกันมาจากเซียนกระบี่บรรพกาลเป็นเรื่องจริง พวกตาเฒ่าที่ในปีนั้นถูกเจ้าฟันจนเกือบตายได้มาเห็นสภาพเจ้าตอนนี้ จะไม่ถลึงตาจนตาถลนออกมาเลยรึ?”


ผู้เฒ่ามองไปยังท้องฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้คล้ายจะมองให้ทะลุม่านฟ้าหนาชั้น แล้วพลันเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “วิถีสวรรค์โคจรอย่างแข็งขัน วิญญูชนเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเองไม่หยุดยั้ง กล่าวได้ดีจริงๆ ต่อให้ผ่านไปอีกกี่หมื่นๆ ปีก็ไม่มีทางผิด มิน่าเล่าตอนนั้นบรรพบุรุษลัทธิขงจื๊อของพวกเราถึงได้ขอความรู้จากท่านผู้อาวุโส ดูท่าแล้วเรื่องของหลักการเหตุผลนี้ บัณฑิตอย่างพวกเราไม่เพียงแต่เอ่ยถึงช้าไปหน่อย ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะอธิบายจบ อธิบายอย่างทะลุปรุโปร่งด้วย”


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)