ลำนำบุปผาพิษ 1518-1525

 บทที่ 1518 รุ่งโรจน์เจิดจรัส 3


กลับกลายเป็นยันต์ถ่ายทอดเสียงที่มีปัญหาเสียแล้ว!


กู้ซีจิ่วก็พูดไม่ออกเช่นกัน ทว่าความขุ่นเคืองในใจกลับหายไปกว่าครึ่ง


เธออดไม่ได้ที่จะมองยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือ ตรวจสอบดูเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรผิดปกติ


และหยิบของเขามาดูเช่นกัน ในที่สุดก็พบความผิดปกติ มุมขวาบนของยันต์ถ่ายทอดเสียงมีจุดขาวจางๆ จุดหนึ่ง จุดขาวจางๆ นั้นเล็กน้อยมาก เพียงแค่เช็ดออกก็หายไปแล้ว จากนั้นกู่ซีจิ่วลองติดต่ออีกครั้ง ครั้งนี้ติดต่อได้แล้ว


ตี้ฝูอีลูบจมูกเล็กน้อย “ของสิ่งนี้ละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้? เพียงแค่เลอะฝุ่นผงนิดหน่อยเองก็…”


กู้ซีจิ่วเหลือบมองเขา “นั่นเป็นเพราะฝุ่นผงนี้อยู่ตรงจุดรับสัญญาณพอดี ท่านเป็นคนรักสะอาดเยี่ยงนี้กลับมองไม่เห็นฝุ่นผงนี่…”


ตี้ฝูอียกแขนดึงนางไว้ในอ้อมกอด “นั่นเป็นเพราะว่าข้ารีบร้อนอยากกลับมา แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่ได้หยุดพัก”


เอาเถิด ถือว่าเขามีเหตุผล


กู้ซีจิ่วเป็นผู้หญิงใจกว้าง ไม่ซักไซ้ไล่เรียงอันใดแล้ว


เธอยังคิดถึงด้านล่าง ยามนี้ย่อมไม่สนใจเรื่องที่ไปแล้วของเขา พูดคุยกับเขาเพียงสองสามประโยคก็อยากจะลงไปแล้ว


ตี้ฝูอีกล่าว “เจ้าเป็นห่วงมิผิด พวกเขาทั้งสามไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าตัวยักษ์นั้นจริงๆ ตอนนี้คงใกล้จะพ่ายแพ้แล้ว เจ้าลงไปจัดการก็พอดี…”


เมื่อพูดจบเขาก็คลายเขตแดน ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงร่อนลงจากฟากฟ้าเข้าสู่สนามรบในทันใด…


เจ้าคนผู้นี้คลายเขตแดนได้รวดเร็วเหนือธรรมดา กู้ซีจิ่วยังไม่ทันได้ฝากฝังอันใดกับเขาก็ถูกบังคับให้เข้าร่วมสนามรบแล้ว


วินาทีที่เธอร่อนลงมาก็มองเห็นตี้ฝูอีร่อนลงมาเช่นกัน เขาเปลี่ยนร่างกลับเป็นตี้ฝูอีแล้ว หลังจากลงมาเขาก็รับชมการต่อสู้อย่างสบายใจ เหมือนกับคนไม่มีเรื่องอันใด


ใครก็นึกไม่ถึงว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในวินาทีนี้จะเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวจริงแล้ว จริงแท้แน่นอน


ส่วนเทพศักดิ์สิทธิ์…


เดิมทีเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไปมาไร้ร่องรอย เขามาอย่างฉับพลันและจากไปอย่างฉับพลัน ใครก็ไม่อาจคาดคิด


แม้แต่พวกผู้พิทักษ์ทั้งสี่อย่างมู่เฟิงก็ค่อนข้างตกตะลึง พวกเขามองกู้ซีจิ่ว และมองตี้ฝูอีอีกครั้งหนึ่ง หยั่งเชิงเล็กน้อย “นายท่าน? เป็นท่านใช่หรือไม่?”


ตี้ฝูอียืนพิงเสาต้นหนึ่ง เหลือบมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ครานี้พวกเจ้าไม่ได้ถูกกู่ควบคุมแต่กลับเป็นน้ำเข้าสมองแทนอย่างงั้นรึ? นายท่านของตัวเองก็ควรจะดูออกตั้งแต่แวบแรกเลยมิใช่หรือ?”


พวกมู่เฟิงไม่กล้าตอบกลับ ทว่าในที่สุดก็เป็นนายท่านตัวเองแล้วจริงๆ


ปากร้ายตอกกลับพวกเขาเยี่ยงนี้ นอกจากนายท่านของพวกเขาแล้ว ไม่มีทางเป็นใครอื่นไปได้


มู่เฟิงคร่ำครวญ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมคนนั้น พวกเขามองแค่แวบแรกก็รู้แล้ว แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่กู้ซีจิ่วปลอมตัวมาเหมือนมากเกินไปแล้ว! หากก่อนเกิดเรื่องนางไม่ได้ติดต่อพวกเขามา พวกเขาคงจะจำผิดคนแล้ว…


ทว่ามู่เฟิงยังคงค่านข้างเลื่อมใสนายท่านของตัวเองกับกู้ซีจิ่ว ทั้งสองคนช่างเข้ากันได้กีเหลือเกิน! ต่างคนต่างหวนคืนฐานะของตัวเองได้รวดเร็วปานนี้ ถึงขนาดเทพไม่รู้ผีไม่เห็น นอกจากพวกเขาทั้งสี่แล้วคงไม่มีผู้ใดดูออก


กู้ซีจิ่วที่อยู่กลางอากาศอาจหาญแกร่งกล้า ต่อสู้กับเจ้าตัวยักษ์นั้นจนฟ้าดินไร้ซึ่งสีสัน


ผู้คนมากมายด้านล่างแหงนหน้ามองอย่างเคลิบเคลิ้ม


กู่ฉานโม่เขยิบเข้าใกล้ตี้ฝูอี มองเขาและมองไปยังกู้ซีจิ่วที่กำลังต่อสู้อยู่บนท้องนภา คร่ำครวญทว่าแฝงด้วยความจริงใจ “จริงสิ ซีจิ่ว เช้านี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายติดต่อข้ามา ข้ากำลังยุ่งง่วนเลยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เจ้าว่าเจ้าปลอมตัวเป็นเขาเพื่อล้างมลทินให้เขา เขาก็ปลอมตัวเป็นเจ้าสวมชุดสตรีออกศึกสงครามยิ่งใหญ่ พวกเจ้าทั้งสองคิดแทนอีกฝ่าย เชื่อว่าหลังจากศึกครั้งนี้ ชื่อเสียงของเจ้าคงเลื่องลือระบือนามไปทั่วทุกสารทิศ…”


ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ข้าติดต่อเจ้าให้เจ้าบอกซีจิ่วว่าข้าปลอดภัย แต่เจ้ากลับลืมมันงั้นหรือ?”


กู่ฉานโม่กล่าว “ก็มันยุ่งนี่ มีเรื่องราววุ่นวายมากมายที่ข้าต้องจัดการ…เอ๊ะ ช้าก่อน เจ้าคือ…ตี้ฝูอี?!”


————————————————————————————-


บทที่ 1519 รุ่งโรจน์เจิดจรัส 4


ตี้ฝูอีตอบกลับเขาเพียงสองคำ “โง่เง่า!”


กู่ฉานโม่กระชับกำปั้น ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีไม่เคยเกรงใจเวลาพูดคุยกับเขามาก่อน ไม่น่ารักแม้แต่น้อย! ไม่เหมือนตอนซีจิ่วปลอมตัวเป็นตี้ฝูอีที่ค่อนข้างเคารพและเกรงใจเขาอยู่บ้าง ทำให้เขารู้สึกเท่าเทียมกันกับตี้ฝูอี


กู่ฉานโม่แหงนหน้ามองกู้ซีจิ่วบนท้องนภา “นั่นคือนางจริงๆ หรือ?! พลังยุทธ์ของนางสูงส่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ?!”


ตี้ฝูอีไม่ตอบกลับคำพูดไร้สาระของเขา กู่ฉานโม่ทั้งตกตะลึงและยินดี “ซีจิ่วแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นคือความภาคภูมิใจของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของข้า! เสี่ยวซีจิ่วยอดเยี่ยมจริงๆ!” เขากระแซะแขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอี “นี่ ข้าว่าบางทีอีกไม่นาน เสี่ยวซีจิ่วก็จะแซงหน้าท่านได้แล้ว! ประหลาดใจหรือไม่ ผิดคาดหรือไม่?”


ตี้ฝูอีปัดหัวไหล่ของตัวเองเล็กน้อย ออกห่างจากเขาก้าวหนึ่ง “ข้าอยู่ร่วมกันกับนางมาแปดปี ข้ารู้พลังยุทธ์ของนางดีที่สุด ไม่ประหลาดใจและไม่ผิดคาด แต่เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ผู้มีเกียรติกลับถูกแม่นางน้อยแซงหน้าได้ ข้าว่าบางทีเจ้าอาจต้องสละตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เสียแล้ว”


กู่ฉานโม่หัวเราะ “ความจริงข้าก็อยากสละตำแหน่งมานานแล้ว เพียงแต่เด็กคนนั้นไม่ยอมรับตำแหน่ง หากท่านโน้มน้าวนางได้ ข้าก็ยินยอมสละตำแหน่งให้แก่นาง!”


ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ตบบ่าเขาเบาๆ “หนังหน้าเจ้าหนายิ่งนัก ถูกคนรุ่นเยาว์แซงหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ กลับไม่รู้สึกขายหน้าอันใด”


กู่ฉานโม่ปลื้มปริ่มใจ “นางเป็นคนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของข้าบ่มเพาะมา สีครามกลั่นจากต้นคราม ทว่าสีสันโดดเด่นยิ่งกว่าต้นคราม[1]ก็มิแปลก ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ใกล้จะถูกคนรุ่นเยาว์แซงหน้าแล้วเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เจ้าไม่รู้สึกขายหน้าแม้แต่น้อย ข้ามีอันใดที่จะต้องขายหน้ากันเล่า?”


ทั้งสองปะทะคารมกันตรงนี้ ยังคงไม่มีใครยอมใคร กู่ฉานโม่ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ เทพศักดิ์สิทธิ์เล่า? เจ้าปลอมตัวเป็นตาเฒ่านั้นมาหรือ?”


“ตาเฒ่าจากไปแล้ว” น้ำเสียงตี้ฝูอีเรียบเฉย


“จากไปตั้งแต่เมื่อใด? ข้าไม่เห็นเลย!” กู่ฉานโม่ฉงน


“ทำไมรึ? เขาจากไปยังต้องมารายงานเจ้าอย่างงั้นรึ?” ตี้ฝูอียิ้มมิเชิงยิ้ม


กู่ฉานโม่ส่ายหน้า “มิกล้า ว่าแต่ถึงแม้ตาเฒ่าจะปรากฏกายออกมาเพียงชั่วครู่ แต่กลับเปิดโปงคนคุยโวอย่างเซียนหญิงลี่หวางได้ มิเช่นนั้นหากนางยืนกรานว่าตัวเองคือฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนคงยังไม่กล้าลงมือกับนางจริงๆ”


ตี้ฝูอีส่งเสียงเย้ยหยัน “โง่งม! ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะต้องใจสวะเช่นนั้นได้อย่างไร”


กู่ฉานโม่มองเซียนหญิงลี่หวางแวบหนึ่ง เซียนหญิงผู้นั้นยังถูกเชือกหลากสีของเทพศักดิ์สิทธิ์มัดไว้ นั่นคือการผูกมัดไพล่หลังที่แท้จริง ทำให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย ยามนี้ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์กำลังเฝ้าอยู่ จนตรอกจนมิอาจจะจนตรอกได้อีก


“เทพศักดิ์สิทธิ์จากไปแล้ว แต่ไม่ได้สั่งการให้จัดการอย่างไรกับสตรีนางนี้…” กู่ฉานโม่ขมวดคิ้ว


“แอบอ้างเป็นฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องได้รับโทษทัณฑ์อันใด?” ตี้ฝูอีหันหน้าเอ่ยถามมู่เฟิงข้างกาย


มู่เฟิงตกตะลึงเล็กน้อย ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมักจะชอบตั้งคำถามยากให้พวกเขาเสมอ บนโลกใบนี้เซียนหญิงลี่หวางที่แอบอ้างเป็นฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์มีเพียงผู้เดียว ในหนังสือไม่ได้บัญญัติโทษทัณฑ์นี้ไว้!


มู่เฟิงยังคงมีไหวพริบปฏิภาณ เขารู้ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเหนื่อยหน่ายเต็มประดากับเซียนหญิงลี่หวางผู้นี้แล้ว แทบอยากจะให้อีกฝ่ายหายตัวไป ดังนั้น…


“เรียนนายท่าน ควรจะลงโทษทัณฑ์อสนีบาตกลางศีรษะขอรับ” มู่เฟิงสรรหาโทษทัณฑ์ใหม่ขึ้นมา


อสนีบาตกลางศีรษะไม่เพียงแต่สังหารกายเนื้อ ยังทำลายวิญญาณได้อีกด้วย ทำให้นางมลายหายไปจนหมดสิ้น…


ตี้ฝูอีพึงพอใจ ตบไหล่ของมู่เฟิงเบาๆ “ดีมาก คนผู้นี้ข้ามอบให้พวกเจ้าทั้งสี่แล้วกัน จริงสิ ข้าสนใจดินแดนเบื้องบนอะไรนั่น ล้วงข้อมูลออกจากปากนางก่อนแล้วค่อยลงโทษ”


————————————————————————————-


[1] สีครามกลั่นจากต้นคราม ทว่าสีสันโดดเด่นยิ่งกว่าต้นคราม เป็นสำนวนจีน อุปมาว่า นักเรียนเหนือกว่าครู คนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน


บทที่ 1520 รุ่งโรจน์เจิดจรัส 5


“ขอรับ!” มู่เฟิงและสี่ทูตตอบรับพร้อมกัน แต่ละคนล้วนคันไม้คันมือ


พวกเขาทั้งสี่ต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้เงื้อมมือของเซียนหญิงผู้นี้ ต้องการหาทางเอาคืนมานานแล้ว! ในที่สุดยามนี้โอกาสก็มาถึง


หูของเซียนหญิงลี่หวางยาวไกลยิ่งนัก พลันร้องเรียกขึ้นมาเมื่อได้ยินการพูดคุยฝั่งนี้ “ตี้ฝูอี เจ้าทำกับข้าเยี่ยงนี้มิได้! ข้ามาจากดินแดนเบื้องบน หากเจ้าทำร้ายข้าจริงๆ จักรพรรดิดินแดนเบื้องบนจะไม่ให้อภัยเจ้าอย่างแน่นอน!”


ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “จักรพรรดิดินแดนเบื้องบน? คือสิ่งใดกัน?”


เซียนหญิงลี่หวางกล่าว “บังอาจ! หาญกล้าไม่ให้เกียรติจักรพรรดิดินแดนเบื้องบน! เขาเป็นถึงเจ้านายดินแดนเบื้องบนของพวกเรา เป็นตัวแทนสวรรค์! คนดินแดนเบื้องบนของพวกเราต่อให้ลงมาเป็นชั้นผู้น้อยก็สามารถทำลายเมืองทั้งเมืองของพวกเจ้าได้! หากจักรพรรดิดินแดนเบื้องบนรู้ว่าเจ้ากล้าสังหารข้า จะต้องลงโทษทัณฑ์สถานหนัก ให้เจ้าอยู่มิสู้ตาย!”


นางกล่าวด้วยหน้าตาถมึงทึง ประหนึ่งหากตี้ฝูอีกล้าทำอันใดนางจะถูกทัณฑ์อสนีสวรรค์


ตี้ฝูอีเดินเข้าใกล้นางอีกสองก้าว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนที่ทำให้ข้าอยู่มิสู้ตายคงยังไม่ถือกำเนิด ข้าก็ใคร่รู้ยิ่งนักว่าความรู้สึกอยู่มิสู้ตายมันเป็นเยี่ยงไร ความจริง ข้าสนใจในตัวจักรพรรดิดินแดนเบื้องบนที่เจ้าพูดถึงยิ่งนัก อยากพบหน้าเขาสักครา เพียงแต่เขาเอาแต่หดหัวอยู่ดินแดนเบื้องบนไม่ลงมา ทำให้ข้าค่อนข้างเสียดาย ในเมื่อสังหารเจ้าแล้วเรียกเขาลงมาได้ ข้ายิ่งอยากลองดูเสียหน่อย…”


เซียนหญิงลี่หวางนิ่งอึ้ง


ตี้ฝูอีเอ่ยถามอีก “ไหนเจ้าลองบอกเล่าหน่อยเสียว่าจักรพรรดิดินแดนเบื้องบนอ้วนหรือผอม เป็นชายหรือหญิง แก่ชราหรืออ่อนเยาว์…”


ใบหน้าพริ้มเพราของเซียนหญิงเขียวคล้ำ ในที่สุดก็ปิดปากเงียบไม่โวยวายแล้ว


ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “เหตุใดจึงไม่พูดไม่จาแล้วเล่า?”


ริมฝีปากของเซียนหญิงลี่หวางปิดแน่นสนิทยิ่งกว่าเปลือกหอยเสียอีก


ตี้ฝูอีส่ายหน้าเล็กน้อย ใช้เท้าถีบมู่เฟิงหนึ่งครา “รีบไปสอบสวนนาง สอบสวนเสร็จแล้วก็ส่งนางไปตามทางเสีย”


มู่เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าในใจ รู้ดีว่านายท่านบ้านตัวชอบสรรหาทำเรื่องน่าตื่นเต้นเสมอมา จะดีกว่าหากเซียนหญิงลี่หวางผู้นี้ไม่หยิบยกจักรพรรดิดินแดนเบื้องบนอะไรนั้นมาข่มขู่ ไม่แน่ยังอาจเหลือซากศพครบถ้วนได้ ทว่านางพูดเยี่ยงนี้เห็นได้ชัดว่าละเมิดข้อห้ามอันใหญ่หลวงของเทพศักดิ์สิทธิ์


หลายปีมานี้เทพศักดิ์สิทธิ์มีเวลาว่างมากมาย คร่ำครวญอยู่บ่อยครั้งว่าชีวิตสงบสุขเยี่ยงน้ำสงบนิ่ง ทำให้เขาเบื่อหน่าย หลังจากที่พบกู้ซีจิ่ว ชีวิตของเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงได้เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา


ความจริงเทพศักดิ์สิทธิ์ตามหาคู่ต่อสู้ที่แท้จริงมาโดยตลอด เพียงแต่หาไม่พบ ยามนี้จักรพรรดิดินแดนเบื้องบนนี้คงทำให้นายท่านมีความมุ่งมาดในการต่อสู้ขึ้นมาแล้ว


เกรงว่าเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังครุ่นคิดจะไปหาเรื่องเจ้านายดินแดนเบื้องบนผู้นี้…


ว่าแต่ว่าดินแดนเบื้องบนนี้มันคือสถานที่แห่งใดกันแน่? ไปอย่างไร? เหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกมู่เฟิงต้องสอบสวน…


พวกมู่เฟิงมีความสามารถในการสอบสวนยิ่งนัก ใครก็ตามที่อยู่ในเงื้อมมือพวกเขาน้อยคนนักที่จะต้านทานได้ ทุกคนแทบจะเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่เมื่อผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม แทบอยากจะพูดออกมาว่าวันหนึ่งกินหมั่นโถวไปทั้งหมดกี่อัน


สี่ทูตพาตัวเซียนหญิงลี่หวางท่านนั้นออกไปในทันใด


เซียนหญิงลี่หวางผู้นั้นย่อมหวีดร้องต่างต่างนานา บัดนี้ลูกน้องนางเหลือแค่เพียงคนยักษ์เกราะทอง และคนยักษ์เกราะทองนั้นก็ถูกกู้ซีจิ่วจับมัดไว้แล้ว ยามนี้ไม่สามารถปลีกตัวไปช่วยเหลือนางได้เลย…


ในที่สุดนางก็รับรู้แล้วว่าอะไรคือความสิ้นหวัง ก่อนจากไปยังตะโกนโหวกเหวก “ตี้ฝูอี ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น!”


ตี้ฝูอีอมยิ้ม เพียงแค่โบกมือให้นาง เขาเชื่อว่าไม่เกินสองชั่วยาม เขาจะได้รู้ในสิ่งที่เขาอยากรู้…


“อ๊า…” เสียงแหลมและรันทดสายหนึ่งส่งผ่านมาจากกลางอากาศ ตี้ฝูอีแหงนหน้ามองเห็นคนยักษ์เกราะทองนั้นถูกปกคลุมด้วยภูเขากระบี่ของกู้ซีจิ่วพอดี ทว่าลำแสงกระบี่ทั่วท้องนภากลับจางหาย ไม่มีแม้แต่เงาของคนยักษ์เกราะทองนั้น มีเพียงฝนนองโลหิตไหลหลั่งลงมากมากมายนับไม่ถ้วน…


————————————————————————————-


บทที่ 1521 ตัดรากถอนโคน


“เยี่ยมเลย!” ผู้คนที่อยู่ด้านล่างมองอย่างเลือดลมพลุ่งพล่าน ไชโยโห่ร้องขึ้นมา


กลางนภา กู้ซีจิ่วยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ถึงแม้จะสวมชุดดำ ทว่าทำให้คนรู้สึกประกายแสงเจิดจรัสนับหมื่นจั้งประการหนึ่ง ในช่วงเวลานี้ไม่รู้ว่ามีจิตรกรมากน้อยเพียงใดที่สะบัดพู่กันฝนหมึกเพื่อเธอ วาดภาพเหมือนของเธอไว้


เซียนหญิงลี่หวางเห็นฉากนี้ในระหว่างที่ถูกคุมตัวอยู่ สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง!


ที่ดินแดนเบื้องบนคนยักษ์เกราะทองผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือเช่นกัน หลังจากติดตามนางลงมายังโลกเบื้องล่างถึงแม้พลังวิญญาณจะอ่อนแอลงไปบ้าง แต่หลังจากรั้งอยู่ที่โลกนี้แปดปีอีกทั้งใช้วิธีการพิเศษฝึกฝน พลังยุทธ์ก็ฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแล้ว นางหลงนึกไปว่ามีคนยักษ์เกราะทองผู้นี้อยู่ข้างกาย ผู้ใดก็มิใช่คู่ต่อสู้ นางไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลย ในสายตาของนางเกรงว่าแม้แต่เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อของคนยักษ์เกราะทองผู้นี้ กลับคาดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วตัวกระจ้อยร่อยจะปลิดชีพคนยักษ์เกราะทองผู้นี้ได้!


คนยักษ์เกราะทองผู้นี้ติดตามตนมาหลายสิบปีแล้ว ความรู้สึกย่อมผูกพันลึกซึ้งเหนือธรรมดา บัดนนี้เมื่อเห็นเขาถูกสังหาร นัยน์ตาของเซียนหญิงลี่หวางจึงแดงฉานหมดแล้ว!


“เจ้ากล้าสังหารเวียนจากดินแดนเบื้องบน เจ้าจะได้รับกรรมตามสนอง!” นางกรีดร้องชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงดุดันแกร่งกร้าวราวกับสาปแช่ง พุ่งขึ้นสู่ท้องนภา


มู่เฟิงลงมือสกัดจุดนาง ระงับการร้องตะโกนของนางได้สำเร็จ มู่เหล่ยยิ้มหัว “เจ้าห่วงตัวเจ้าเองเถอะ! กรรมกำลังจะตามสนองเจ้าเดี๋ยวนี้แล้ว!” ลากนางออกเดิน


กู้ซีจิ่วหอบหายใจเล็กน้อย ถ้าไม่ได้ประมือกับคนยักษ์เกราะทองจะไม่รับรู้ถึงความร้ายกาจเลย พอได้ประมือด้วยเธอถึงได้เข้าใจว่ามีแรงกดดันมากแค่ไหน ทุกกระบวนท่าทุกกลยุทธ์ของเจ้าคนผู้นี้เสมือนขุนเขาลูกหนึ่งที่กดทับลงมา! เป็นชนิดที่สามารถสะกดข่มผู้คนได้ทุกขณะ เธอทำได้เพียงต่อสู้วนเวียนไปมาเท่านั้นถึงจะตัดทอนความรู้สึกกดข่มนั้นทิ้งได้บ้าง


เคราะห์ดีที่เธอปรับกลยุทธ์ได้ทันกาล สุดท้ายจึงเอาชนะศึกนี้ได้ ยามนี้รู้สึกเพียงว่าแขนล้วนปวดชาราวกับมิใช่แขนตนแล้ว หลังจากโจมตีท่าสุดท้ายออกไปแล้ว เบื้องหน้าเธอถึงขั้นที่มืดไปแวบหนึ่ง ร่างกายซวนเซอยู่กลางอากาศ หวิดจะล้มทั้งยืนแล้ว!


โชคดีที่เธอฝืนยันไว้ได้ทันท่วงที เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นตี้ฝูอีทะยานขึ้นมาแล้ว สองมือเขาดั่งโคจรเคล็ดดูดดาว ประกายแสงนับไม่ถ้วนวูบไหวอยู่ในฝ่ามือเขา


กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงทันที ตี้ฝูอีกำลังใช้วิชาเรียกวิญญาณ!


ใช่จริงๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในฝ่ามือของตี้ฝูอีก็มีดวงวิญญาณสีทองอ่อนจางดวงหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นี่เป็นดวงวิญญาณของคนยักษ์เกราะทองผู้นั้น มันดิ้นรนอย่างสุดกำลังอยู่ในฝ่ามือตี้ฝูอี คล้ายว่าต้องการจะหลบหนี จนปัญญาที่ฝ่ามือของตี้ฝูอีมีแรงดึงดูดยิ่งนัก มันหนีไม่พ้น


มันร้องเสียงแหลม “เจ้าจะทำอะไร?!”


ตี้ฝูอียิ้มดั่งพุทธองค์ผู้โปรดเวไนยสัตว์ “โปรดสัตว์อย่างเจ้าไงเล่า!”


เปลวเพลิงแดงฉานผุดขึ้นมาจากฝ่ามือเขา คนตัวจ้อยที่ทองจาง ที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงร้องโหยหวน พูดข่มขู่ กล่าวว่าสังหารเทพจะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อย่างหนัก ให้เขารามือเสีย


จนใจที่ตี้ฝูอีไม่หือไม่อือเลย บงกชชาดกลางฝ่ามือทวีความรุนแรงขึ้น จวบจนคนตัวจ้อยสีทองสลายหายไปจนสิ้นเขาถึงได้เก็บมือ


กู้ซีจิ่วมองเขาแวบหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าเขาจะสังหารให้หมดจดถึงเพียงนี้ ถึงอย่างไรคนยักษ์เกราะทองผู้นี้ก็เป็นเพียงข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์เท่านั้น


สีหน้าของตี้ฝูอีค่อนข้างซีดเซียวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการเผาผลาญวิญญาณดวงนี้สิ้นเปลื้องพลังวิญญาณของเขายิ่งนัก เขามองลงไปด้านล่างแวบหนึ่ง ฝูงชนด้านล่างล้วนตะโกนโห่ร้องยินดี


เรื่องที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีถูกให้ร้ายประชาชนทั้งหมดยังไม่ได้รับรู้ ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงชิงชังเขาอยู่ ดังนั้นนามที่ผู้คนด้านล่างสรรเสริญแซ่ซ้องจึงเป็นนามของกู้ซีจิ่ว เสียงแซ่ซ้องนั้นกังวานขึ้นเรื่อยๆ สะเทือนเมฆาขาวบนฟากฟ้าให้สั่นไหว


ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “ซีจิ่ว ยินดีด้วย!” เขาเชื่อว่านับจากวันนี้ไป นามของกู้ซีจิ่วจะก้องไปทั่วใต้หล้า ไม่ด้อยไปว่าใครหน้าไหน


กู้ซีจิ่วช้อนตามองเขา รู้สึกอยู่เสมอว่าเขาคล้ายจะอยู่ห่างไกลจากตนไปอีกหลายขั้น


บทที่ 1522 ตัดรากถอนโคน 2


เธอเดินไปยังทิศทางที่เขาอยู่สองสามก้าว ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้นว่า “มาเถอะ พวกเราลงไปกัน!” แล้วเหินลงไปก่อน


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย


นี่เขาไม่คิดจะแสดงความรักกับเธอต่อหน้าคนอื่นเลยหรือไง?


อายงั้นหรือ? เขารู้จักด้วยหรือว่าความอายคือตัวอันใด?


หรือเขามีความเป็นไอดอลมากเกินไป เลยอยากปิดบังเรื่องแต่งงานเอาไว้?


แน่นอนว่าความคิดนี้เพียงวาบเข้ามาในสมองกู้ซีจิ่วแวบเดียวเท่านั้น เธอก็ทะยานตามลงไปเช่นกัน


ยังมีเรื่องอีกมากมายที่รอให้เธอไปจัดการอยู่ ยามนี้ไม่ใช่เวลามาแสดงความรักของคนสองคน


หลังจากเธอร่อนลงไป ย่อมถูกผู้คนเข้ามารุมล้อม พากันเอ่ยยินดีกับเธอ กู้ซีจิ่วรวมตัวกับคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ กู่ฉานโม่จูงมือกู้ซีจิ่วยิ้มหน้าบาน “ซีจิ่ว ครั้งนี้เจ้าสร้างผลงานใหญ่แล้ว พวกเราต้องเลี้ยงฉลองแสดงความยินดีกับเจ้าแล้ว!”


กู่ฉานโม่ดีใจเกินไปแล้ว ราวกับคนที่มีหน้ามีตาที่สุด ณ ที่นี่ในวันนี้ก็คือเขา ดวงหน้าแดงเรื่อ


กู้ซีจิ่วพูดคุยกับสหายร่วมสำนักไม่กี่ประโยค มองไปรอบๆ โดยไม่ได้เจตนารอบหนึ่ง ผู้คนมากมายรายล้อมเธอจนแน่นขนัด ศีรษะมนุษย์ติดกันเป็นพรืด ขาดเพียงเงาร่างของตี้ฝูอีคนเดียวเท่านั้น เพียงแต่มองเห็นกู้เซี่ยเทียนด้วย


เขายืนห่างๆ อยู่ตรงนั้นเขย่งเท้ามองมาทางนี้ ถูไม้ถูมืออยู่บ่อยครั้ง ดูอึดอัดอยู่บ้าง แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยปีติยินดีที่ยากจะระงับไว้ได้ เขาอยากเบียดเข้ามาหาทันที แต่รอบกายเขาก็เนืองแน่นไปด้วยเพื่อนร่วมงานที่มาแสดงความยินดีกับเขา เขาทักทายปราศรัยอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปพลาง มองมาทางกู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านนี้อยู่เนืองๆ ไปพลาง


กู้ซีจิ่วมองหลัวจั่นอวี่ที่อยู่ข้างกาย ส่งกระแสเสียงหาเขา ‘จะตามข้ากลับไปดูจวนแม่ทัพหรือไม่?’


หลัวจั่นอวี่เหลือบมองกู้เซี่ยเทียนแวบหนึ่ง ตอบอย่างเฉยเมย ‘ไม่จำเป็น ข้ากับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน’


กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอยู่ในใจ อันที่จริงหลัวจั่นอวี่ไม่ได้ไร้เยื่อใยเหมือนที่เขาแสดงออกมา ถ้าเขาไร้เยื่อใยจริงๆ ครั้งนี้ก็คงไม่มาหรอก!


แต่อย่างไรเสียบาดแผลที่หลัวจั่นอวี่ได้รับก็หนักหนาเกินไป ไม่อยากยอมรับบิดาคนนี้ไปชั่วขณะก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ กู้ซีจิ่วไม่คิดจะบังคับฝืนใจเขา


กู้ซีจิ่วยังคงวุ่นวายยิ่งนักติดต่อกันไปอีกสองสามวัน เธอถูกกู้เซี่ยเทียนที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็เชิญให้กลับจวนแม่ทัพทันที ย่อมต้องมีงานเลี้ยงฉลองเป็นธรรมดา


ระหว่างที่กินเลี้ยงกันอยู่ ในที่สุดกู้เซี่ยเทียนก็ถามถึงความสัมพันธ์ของเธอกับตี้ฝูอีแล้ว


เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีกำลังปกปิดความสัมพันธ์ของเธอกับเขาอยู่ กู้ซีจิ่วไม่รู้ว่าเขาจะเล่นลวดลายอันใดอีก ดังนั้นยามที่กู้เซี่ยเทียนถามขึ้นมาเธอจึงไม่เอ่ยถึงเสีย บอกเพียงว่าตนกับเขาติดอยู่ในเขตหวงห้ามแห่งหนึ่งแปดปี เป็นสหายที่ดีต่อกัน…


กู้เซี่ยเทียนก็ไม่ถามต่อไปแล้ว เพียงถามถึงสถานการณ์ในเขตหวงห้ามช่วงแปดปีมานี้ของเธอ อย่างเช่นได้รับความทุกข์ยากหรือไม่เป็นต้น


ตาค่ายแห่งนั้นเป็นความลับของทวีปนี้ กู้ซีจิ่วย่อมไม่อาจบอกเล่าได้ กล่าวไปเพียงว่าได้รู้จักสหายบางส่วนที่นั่น…


เห็นได้ชัดว่ากู้เซี่ยเทียนสนใจในตัวของหลัวจั่นอวี่ยิ่งนัก ถามถึงประวัติความเป็นมาของเขาอยู่หลายประโยค


กู้ซีจิ่วย่อมไม่ตอบไปตามความจริง เพียงเผยเรื่องหนึ่งให้เขาทราบรางๆ ก็คือระยะเวลาโดยประมาณที่หลัวจั่นอวี่ติดอยู่ในเขตหวงห้าม…


ด้วยเหตุนี้ กู้เซี่ยเทียนเหม่อลอยอยู่ทั้งวัน ต่อมาจึงเอ่ยขึ้นมาตรงๆ ว่าเขาจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ ให้กู้ซีจิ่วเชิญสหายร่วมสำนักรวมถึงเหล่าสหายมาชุมนุมกันด้วย


กู้ซีจิ่วทราบว่าจุดประสงค์ของเขาคือหลัวจั่นอวี่ แต่ก็ไม่ได้เปิดโปง กล่าวเพียงว่าจะลองดู


ผลคือกู้ซีจิ่วเชิญสหายร่วมสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์รวมถึงเหล่าสหายที่ถูกขังไว้ในเขตหวงห้ามมาได้ ถึงขั้นที่แม้แต่กู่ฉานโม่ก็มาด้วยเช่นกัน มีเพียงหลัวจั่นอวี่เท่านั้นที่ไม่มา…


กู้เซี่ยเทียนผิดหวังอย่างยิ่ง สุดท้ายจึงมาพูดคุยเปิดอกกับกู้ซีจิ่วตรงๆ “ซีจิ่ว เจ้าว่าคุณชายหลัวจะใช่เทียนนั่วพี่ชายของเจ้าที่หายสาบสูญไปคนนั้นหรือไม่? พ่อรู้สึกว่าเหมือนจะใช่เขา…”


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “ใช่หรือ? แต่เขาแซ่หลัวไม่ได้แซ่กู้นะ”


————————————————————————————-


บทที่ 1523 ตัดรากถอนโคน 3


แววตาของกู้เซี่ยเทียนขมขื่น “ปีนั้นเขาคงจะเกลียดข้าแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช้แซ่กู้อีก เปลี่ยนไปใช้แซ่ของมารดาเขาแทน แต่ไม่ว่าเขาจะแซ่ใด ก็ยังคงเป็นพี่ชายขอเจ้า ลูกชายของข้า…”


กู้ซีจิ่วมองดูเขา “เรื่องของท่านกับพี่เทียนนั่วข้าไม่ทราบชัดเจนนัก เหตุใดเขาถึงเกลียดท่านเล่า?”


กู้เซี่ยเทียนนวดหว่างคิ้ว “ปีนั้นพ่อถูกภูตผีดลใจ จงใจทำไม่ดีต่อเขาด้วยโกรธเคืองแม่ของเจ้า…ทำร้ายจิตใจเขา เด็กคนนี้อ่อนไหวมากจริงๆ…หลังจากเขาหายตัวไป พ่อสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง หลายปีมานี้พะวงถึงเขาอยู่ตลอด อยากตามหาเขากลับมา…”


กู้เซี่ยเทียนนั่งอยู่ตรงนั้น เขาเฒ่าชราขึ้นกว่าแปดปีก่อนมาก ยามนี้จมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด คล้ายว่าพูดอยู่กับตัวเอง และคล้ายว่าพูดให้กู้ซีจิ่วฟัง “ยามเยาว์วัยเขาเฉลียวฉลาดนัก พ่อภาคภูมิใจในตัวเขา สอนเขาขี่ม้ายิงธนู พาเขาออกไปเที่ยวเล่น ช่วงก่อนเขาจะแปดขวบ เขาก็สนิทสนมแน่นแฟ้นกับพ่อยิ่งนัก ความสัมพันธ์ของพวกเราพ่อลูกชิดเชื้ออย่างยิ่ง ยามที่พ่อต้องออกศึก เขาจะกอดขาของพ่อไว้ไม่ยอมให้ไป…จะโทษก็ต้องโทษที่พ่อหลงผิดดั่งภูตผีสิงใจ ไม่เพียงแต่ทำผิดต่อแม่ของเขา ยังทำผิดต่อเขาด้วย อันที่จริงหลายปีมานี้พ่อฝันถึงเขาอยู่เสมอ ฝันถึงยามที่เขายังเล็ก ดึงชายชุดของพ่อไว้แล้วบอกว่าจะเป็นชายชาตรี…”


กู้ซีจิ่วตบไหล่เขาเบาๆ เอ่ยยิ้มๆ “ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเถิด แม่ทัพกู้พะวงถึงเขาเช่นนี้ น่าจะเป็นเพราะยามนี้ไร้ทายาทสืบสกุลเท่านั้น ยามนี้ข้างกายแม่ทัพกู้ยังมีอนุโฉมงามอยู่ สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีกหลายคน ไม่แน่ว่าแม่ทัพกู้อาจจะให้กำเนิดน้องชายน้องสาวอีกสองสามคนออกมาก็ได้ เมื่อมีลูกเยอะแล้วก็จะลืมเลือนคนที่เคยรักที่สุดไปเอง”


กู้เซี่ยเทียนไม่พูดอะไร


ข้างกายเขายังเหลืออนุอยู่อีกสองนางจริงๆ แต่ยามนี้เขาให้พวกนางเป็นเพียงมารดาของบุตรสาวทั้งสองเท่านั้น ซื้อเรือนให้แล้วเลี้ยงดูไว้ด้านนอก ไม่ได้ไปหาพวกนางที่นั่นมาหลายปีแล้ว


แน่นอนว่าไม่ได้แต่งอนุคนอื่นเข้ามาเพิ่มด้วย แล้วเขาจะให้กำเนิดบุตรธิดาอีกได้อย่างไร?


เหตุผลที่เขาเช่นนี้ประการแรกคือเขาเฉยชาในด้านนี้ไปเสียแล้ว ประที่สองคือคล้ายเป็นการชดใช้กรรม ประการที่สามก็คือกำลังลงโทษตัวเองอยู่


หากว่าปีนั้นมิใช่เขาควบคุมท่อนล่างของตนไว้ไม่ได้ จะเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ขึ้นได้อย่างไร? พลัดพรากจากลูกเมีย…


เขายิ้มขื่น “ซีจิ่ว พ่อรู้ความผิดแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องโรยเกลือลงบนแผลของพ่ออีกครั้งหรอก ชั่วชีวิตนี้พ่อจะไม่แต่งภรรยาอีกแล้ว และจะไม่พัวพันกับสตรีอื่นอีกแล้ว เพียงหวังว่าอีกร้อยปีให้หลังจะได้พบหน้าแม่ของเจ้าอีกครั้งบนสะพานข้ามภพ ขอขมาต่อนาง ขอให้นางยอมอภัย…”


แววตากู้ซีจิ่ววูบไหวเล็กน้อย ส่ายศีรษะ สำหรับความคิดที่ว่าชาตินี้ไร้วาสนา ชาติหน้าค่อยสานต่อประเภทนี้เธอเข้าไม่ถึงจริงๆ


ชาติหน้านั้นเลือนรางไม่แน่นอนเกินไป สิ่งที่เธอยึดมั่นมีเพียงชาตินี้เท่านั้น


ชาตินี้ชมชอบคนผู้หนึ่งไปแล้ว เช่นนั้นก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้ไปด้วยกัน เมื่อเผชิญความยากลำบากก็หาทางพิชิตมันเสีย ชาติหน้าไม่แน่ว่าพอดื่มน้ำแกงยายเมิ่งไปแล้วผู้ใดก็อาจจำผู้ใดไม่ได้แล้ว! ใครจะยังจดจำห่วงในชาตินี้ได้เล่า?


เธอถึงไม่อยากเหลือห่วงไว้ในชาตินี้ไง!


เพียงแต่เรื่องของกู้เซี่ยเทียนกับหลัวซิงหลานกู้ซีจิ่วไม่คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่ง


หลัวซิงหลานก็แต่งงานใหม่ไปแล้ว ถึงแม้สามีคนที่สองของนางจะสิ้นชีพ แต่ก็ไม่ได้แปลว่านางจะยินดีกลับมาอยู่ข้างกายสามีคนแรก ยิ่งไปกว่านั้นคือข้างกายนางยังมีบุตรคนอื่นๆ อยู่ด้วย นางคงไม่ต้องการใหกู้เซี่ยเทียนทราบเลยว่านางยังมีชีวิตอยู่ เรื่องที่นางอยากทำที่สุดคงจะเป็นการลืมเลือนความสัมพันธ์ระหว่างนางกับกู้เซี่ยเทียนไปเสีย


ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่คิดทำตัวเป็นทูตเชื่อมสัมพันธไมตรีในเรื่องนี้ ทำใทั้งสองหวนกลับมาคืนดีกัน


หากว่าพวกเขามีวาสนา ย่อมต้องได้พบกันอีกครั้งในสักวันหนึ่ง หากว่าไร้วาสนา ต่างคนต่างอยู่เช่นนี้ก็ดีที่สุดแล้ว


ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่ได้พูดเรื่องที่หลัวซิงหลานยังมีชีวิตอยู่ออกมา


บทที่ 1524 ตัดรากถอนโคน 4


เธอเพียงยิ้มแวบหนึ่ง “ถึงอย่างไรก็ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้แล้ว บางทีท่านแม่อาจไม่ได้รอท่านอยู่บนสะพานข้ามภพแล้วก็ได้ นางเริ่มชีวิตใหม่ของนางแล้ว ข้างกายนางก็มีบุรุษอื่นคอยอยู่เคียงข้างแล้ว ไยท่านพ่อต้องยึดติดอยู่อีกเล่า?”


สีหน้าของกู้เซี่ยเทียนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย นิ่งไปพักหนึ่ง ถอนหายใจออกมา “อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า แต่ว่าข้าก็ยังอยากไปพบนางอย่างสะอาดหมดจด ชั่วชีวิตนี้จะไม่ใกล้ชิดสตรีอื่นอีกแล้ว”


กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ


หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ ไหนเลยจะทำเช่นในอดีต?


พวกผู้ชายนี่นะ รู้ซึ้งถึงคุณค่าก็ต่อเมื่อสูญเสียไปแล้ว น่าเสียดายที่เรื่องราวใดๆ มิใช่ว่าสำนึกเสียใจแล้วก็สามารถย้อนคืนกลับมาได้…


คนบางคนเรื่องบางเรื่องเมื่อสูญเสียไปแล้วก็คือสูญเสียไปตลอดกาล


วันต่อมาหลังจากกลับจวนแล้วกู้ซีจิ่วก็ไปที่วังหลวง เข้าพบหรงเจียหลัว


ก่อนหน้านี้หรงเจียหลัวถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นั้นใช้ยาควบคุมไว้จริงๆ ทำให้เขากลายเป็นหุ่นเชิดไปเสีย


ตี้ฝูอีเคยพาหลงซือเย่เข้าวังมา ถอนพิษหุ่นเชิดบนร่างเขาแล้ว ถึงได้ทำให้เขากลับมาเป็นเช่นในอดีต


เดิมทีพลังยุท์ของหรงเจียหลัวก็ไม่สูงอยู่แล้ว ซ้ำยังถูกควบคุมไว้นานถึงเพียงนี้ ตอนนี้ถึงแม้จะฟื้นฟูเป็นปกติแล้ว แต่ยามที่กู้ซีจิ่วไปหาเขา ก็พบว่าสีหน้าของเขายังคงขาวเผือดยิ่งนัก ท่าทางเหมือนเพิ่งหายจากอาการป่วยหนักมา ดูซูบเซียวเหนือธรรมดา กู้ซีจิ่วจับชีพจรให้เขา พบว่าชีพจรของเขาอ่อนแรง เป็นอาการของโรคภัยเรื้อรัง แถมอาการนี้ดูเหมือนจะมีมานานแล้วด้วย


เธอฉงนอยู่บ้าง ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมวางยาเขาแค่สองปีเท่านั้น แต่อาการป่วยนี้ของหรงเจียหลัวกลับคล้ายว่าเป็นมาห้าหกปีแล้ว!


เธอซักถามบางอย่างดูอีก หรงเจียหลัวก็ตอบมาทีละข้อ ไม่มีอะไรผิดปกติ และเขาก็ถูกควบคุมเป็นเวลาสองปีจริงๆ


กู้ซีจิ่วส่ายหน้าแล้ว หรงเจียหลัวช่างอาภัพโดยแท้ เป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งชัดๆ เมื่อก่อนกลับถูกน้องชายของเขาวางยาพิษ พลังยุทธ์ถดถอย ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ยังมาถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผู้นี้ควบคุมอีก…


ร่างกายเขาจะเสื่อมทรุดจนเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้


กู้ซีจิ่วสนทนากับเขาอยู่พักหนึ่ง พบว่าความจำของเขาแย่กว่าเมื่อก่อนมาก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าอยู่ในช่วงวัยรุ่งโรจน์วัยสามสิบต้นๆ ทว่าอาการนี้กลับคล้ายว่าอายุย่างหกสิบปีแล้ว ทำให้กู้ซีจิ่วเกือบคิดไปว่าสังขารนี้ของเขาถูกสับเปลี่ยนดวงวิญญาณเสียแล้ว!


หลอกถามอยู่พักใหญ่ ก็พบว่าเรื่องราวของเธอเขาล้วนจดจำได้ทั้งสิ้น และเรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีบุคคลที่สามทราบด้วย ดังนั้นหรงเจียหลัวผู้นี้ยังคงเป็นหรงเจียหลัวคนเดิม ไม่ได้ถูกผู้อื่นสลับสับเปลี่ยน


กู้ซีจิ่วจึงวางใจ ยามจะจากไปเธอได้มอบโอสถบางส่วนไว้ให้เขา ล้วนเป็นโอสถวิญญาณล้ำค่าที่สามารถบำรุงร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วได้ ขอเพียงเขากินยาเหล่านี้ตรงตามเวลาที่เธอบอก เชื่อว่าไม่ถึงครึ่งปีเขาจะฟื้นฟูกลับสู่ระดับเดียวกับเมื่อก่อนได้…


ยามที่กู้ซีจิ่วจะจากไป หรงเจียหลัวได้ออกมาส่งเธอด้วยตัวเอง นี่เป็นเกียรติที่ไม่มีผู้ใดเคยได้รับมาก่อน


หรงเจียหลัวจับจ้องแผ่นหลังของนางที่ห่างออกไป ไม่ยอมละสายตาอยู่เนิ่นนาน


ขันทีข้างกายขาค้อมกายเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท พระวรกายมังกรสูงค่า เสด็จกลับตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


หรงเจียหลัวเหลือบมองขันทีคนนั้นแวบหนึ่ง นี่เป็นขันทีใหญ่ผู้ติดตามของเขา แสดงความซื่อสัตย์ภักดีต่อหน้าเขามาโดยตลอด แต่ในระยะเวลาสองปีนั้นที่เขาถูกควบคุมไว้ เขาเคยเห็นขันทีคนนี้ไปมาหาสู่กับคนในจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมากกว่าหนึ่งครั้ง…


หรงเจียหลัวยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง เรียกเขาเข้ามาใกล้ๆ “ห่วงใยสุขภาพเรามากหรือ?”


ขันทีคนนั้นตอบด้วยสีหน้าภักดี “สุขภาพของฝ่าบาทสำคัญเป็นที่สุดพ่ะ…” วาจาท่อนหลังของเขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมา เนื่องจากหรงเจียหลัววางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่เขา…


ด้วยเหตุนี้ขันทีผู้ติดตามคนอื่นๆ จึงได้เห็นฉากต่อไปนี้ ผู้ดูแลวังที่แข็งแกร่งทรงพลังความสามารถสูงส่งถูกฝ่าบาทกดให้จมลงไปในพื้นดินแข็งๆ ทีละชุ่นๆ ดิ้นรนขัดขืนไม่ได้เลยสักนิด! จนกระทั่งมิดศีรษะ…


ฝูงชนตกตะลึง


ไม่มีผู้ใดกล้าพูดออกมาสักประโยค ในที่สุดทุกคนก็กระจ่างแล้ว ถึงแม้ว่ายามนี้ฝ่าบาทจะผอมซูบไปบ้าง แต่อำนาจบารมียังคงอยู่ วรยุท์ยังคงอยู่ มิได้ปล่อยให้ผู้ใดเข้าไกล้ได้ง่ายๆ


….


กู้ซีจิ่วออกจากวังหลวงแล้ว ขณะที่เตรียมจะไปเยี่ยมเยือนหลัวจั่นอวี่ ข้างกายมีลมโชยมาวูบหนึ่ง ตี้ฝูอีปรากฏตัวขึ้นข้างกายเธอ โอบไหล่เธอไว้ทันที “ซีจิ่ว!”


————————————————————————————-


บทที่ 1525 คลุมถุงชน


โอ้ เขายอมปรากฏกายแล้วรึ?


กู้ซีจิ่วหันหน้ามองเขาหัวจรดเท้า ยิ้มมิเชิงยิ้ม “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ไม่เจอกันเสียนานนะ”


ตี้ฝูอีนิ่งอึ้ง


กู้ซีจิ่วหันหลังแล้วเดินจากไป


พักนี้คนผู้นี้ช่างลึกลับซับซ้อนเกินไปแล้ว!


ก่อนหน้านี้ติดต่อไม่ได้สิบกว่าเพราะยันต์ถ่ายทอดเสียงเสียก็ช่างเถิด ระยะหลังนี้เขามีแผนการอันใดเอาแต่หายตัวไป?


หลังจากศึกใหญ่ครั้งนั้นก็ไร้เงาของเขา กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเขาคงไปสอบสวนเซียนหญิงลี่หวางผู้นั้น ดังนั้นจึงตั้งตารอเขาตอบกลับ ทว่าเขาไม่ได้ติดต่อเธอมาหลายวันติดกัน ไม่มาเจอเธอก็ช่างเถิด แม้แต่ส่งกระแสเสียงหาเธอก็ไม่มี


ถึงแม้หากเธอมีเรื่องอันใดก็ติดต่อเขาได้ ทว่า…


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเขาไม่สนใจไยดีเธอ ถึงแม้จะไม่นับว่าเห็นได้ชัดสักเท่าใด ทว่าชายหญิงที่กำลังมีความรักอันร้อนแรงมักจะอ่อนไหว เธอมีสัญชาตญาณเช่นนี้ เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ ครั้งนี้เธอจงใจไม่ติดต่อเขาไปก่อน อยากรู้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อนได้หรือไม่ ผลลัพธ์กลับทำให้เธอต้องผิดหวัง…


บัดนี้เมื่อเห็นเขาอยู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นอย่างคนไม่มีอันใดผิดปกติ เธอรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอย่างมิอาจบรรยายได้ ไม่อยากพูดคุยกับเขา ดังนั้นจึงหันกายเดินจากไป


ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้น มองดูเงาร่างของนางค่อยๆ ห่างไกลออกไป ทว่าก็ไม่ได้ไล่ตาม


กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่ไล่ตามมาเลย เธอเดินจากไปอย่างธรรมดาตอนเธอหันกาย มิได้ใช้วิชาตัวเบาอะไรพวกนั้น ขอเพียงแค่เขากระโดดเข้ามาก็ไล่ตามทันแล้ว


หลังจากที่เธอเดินจากไปสักระยะหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองดู บนถนนทอดยาวกลับไม่มีแม้แต่เงาที่ยืนรั้งรอของเขาเลย


กู้ซีจิ่วพูดจาอันใดไม่ออก


เธอนวดคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ เป็นเพราะนิสัยเด็กเกินไปหรือ? หรือว่าอ่อนไหวเกินไป?


เธอส่ายหน้า ไม่อยากคิดถึงปัญหานี้ รีบตรงไปหาหลัวจั่นอวี่


หลัวจั่นอวี่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ตอนที่กู้ซีจิ่วมาเขากำลังฝึกฝน เมื่อรอให้เขาฝึกฝนเสร็จกู้ซีจิ่วเอ่ยถามเขาซึ่งหน้า “เจ้าไม่คิดจะยอมรับเขาจริงๆ หรือ?”


หลัวจั่นอวี่ส่ายหน้า “ไม่ยอมรับ!”


กู้ซีจิ่วไม่พูดจาอันใดแล้ว นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น


หลัวจั่นอวี่มองดูนาง คล้ายจะมองเห็นบางอย่าง “ซีจิ่ว เจ้าเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใด?”


เขารู้สึกท่าทางนางเหมือนกำลังข่มอารมณ์โกรธอันใดเอาไว้


กู้ซีจิ่วไม่พูดไม่จา หลัวจั่นอวี่ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ ซีจิ่ว ตี้ฝูอีเคยบอกว่าหลังจากออกมาจะจัดงานแต่งงานอันยิ่งใหญ่ชดเชยให้เจ้า เขาไปขอแต่งงานที่จวนท่านแม่ทัพแล้วหรือยัง?”


กู้ซีจิ่วไม่ค่อยสบอารมณ์ คนผู้นั้นอย่าว่าแต่ขอแต่งงาน แม้แต่หน้าก็ยังไม่มาให้เห็นเลย!


หลัวจั่นอวี่ยังคงความรู้สึกไว “เขายังไม่ได้มาขอแต่งงานหรอกหรือ?!” เดิมทีเขานั่งอยู่ ยามนี้อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน “ตี้ฝูอีคิดอย่างไรกันแน่? นี่มันเจ็ดแปดวันแล้ว ถึงแม้เตรียมงานแต่งงานต้องใช้ระยะเวลาช่วงหนึ่ง แต่ว่าขอแต่งงานไม่ต้องเตรียมการอันใดกระมัง? ธุระเพียงไม่กี่คำ ข้าเชื่อว่ากู้เซี่ยเทียนแทบอยากจะรีบจัดงานแต่งงานนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว! ไม่มีทางไม่ยอมรับ”


กู้ซีจิ่วไม่อยากให้ใครพูดถึงตี้ฝูอีในทางที่ไม่ดี จึงส่ายหน้า “หลายวันมานี้มีธุระมากมายรอให้เขาไปสะสาง เรื่องราวสับสนวุ่นวาย เขาไม่มีเวลาไปชั่วขณะก็ปกติยิ่งนัก อย่างไรข้ากับเขาก็แต่งงานกันแล้ว ยามนี้เป็นเพียงแค่การจัดงานชดเชยเท่านั้น ไม่รีบร้อนอันใด”


หลัวจั่นอวี่ขมวดคิ้ว “ขอแต่งงานใช้เวลาไม่มาก…เขาจะยุ่งขนาดไหนเชียวหรือ?” อยู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ เขาแอบเตรียมจัดงานไว้แล้วใช่หรือไม่ เพียงแต่ไม่ได้บอกเจ้า อยากจะทำให้เจ้าประหลาดใจหลังจากเกิดเรื่องขึ้น?”


หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหว ดวงตาวาบไหวเล็กน้อย อาจจะเป็นไปได้! ด้วยลักษณะนิสัยของตี้ฝูอีแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริงๆ! มิเช่นนั้นเขาไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไม่ขอแต่งงานนี่!


ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)