คัมภีร์วิถีเซียน 1515-1517

ตอนที่ 1515 ชิงหยวนจื่อ

 

ได้ยินเสียงพูดของชายชรา หานลี่กับเหยียนลี่ต่างก็ตกตะลึง หันมามองหน้ากันอย่างฉับพลัน


 


 


“ไปกันเถอะ คนผู้นี้พลังยุทธ์ลึกซึ้งไม่อาจหยั่งประมาณ ไม่ด้อยไปกว่าราชาปีศาจอย่างพวกลิ่วจู๋เลย ไม่สิ จากการรับรู้ของจิตสัมผัสที่อยู่บนแมลงวิญญาณ อาจจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก” แม้ว่าในใจหานลี่จะรู้สึกกังวล แต่สีหน้ากลับสงบเยือกเย็นผิดปกติ พลันหันมากล่าวกับเหยียนลี่เช่นนี้


 


 


หญิงสาวผู้นี้เห็นว่าหานลี่มีท่าทีสงบนิ่งเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจไปด้วยโดยไม่รู้ตัว พลันพยักหน้าไม่ส่งเสียง


 


 


ดังนั้นเมื่อทั้งสองขยับร่าง ก็ลอยไปในถ้ำอย่างช้าๆ


 


 


ภายในเส้นทางไม่นับว่ากว้างใหญ่มาก และไม่มีสถานที่อะไรเป็นพิเศษ เป็นแค่ปากทางเข้าที่ทั้งสี่ด้านสร้างมาจากหินสีเขียวทั่วไปเท่านั้น


 


 


หลังจากเหาะเข้าไปตามเส้นทางได้ร้อยกว่าจั้ง เบื้องหน้าก็สว่างโล่ ปรากฏเป็นโถงใหญ่โบราณที่เต็มไปด้วยทรายละเอียดสีขาว


 


 


โถงแห่งนี้มีพื้นที่ไม่น้อย กว้างประมาณร้อยจั้งเศษ แต่ภายในโถงใหญ่เช่นนี้ กลับมีเครื่องเรือนอยู่หร็อมแหร็มไม่กี่ชิ้นเท่านั้น นอกจากโต๊ะเก้าอี้หลายตัวแล้ว ก็มีแค่ต้นไม้ดอกไม้ประหลาดไม่กี่กระถางตามมุมทั้งสี่ของโถงใหญ่เท่านั้น


 


 


ต้นไม้และดอกไม้เหล่านี้สูงไม่เกินฉื่อกว่า แต่สามารถได้กลิ่นอายที่แผ่มาจากต้นไม้ใบหญ้าได้ไกลๆ ต้นไม้และดอกไม้ที่มีอยู่โหรงเหรงเหล่านี้ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้รู้สึกราวกับอยู่กลางหุบเขาใหญ่ที่มีป่าไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น


 


 


บนเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งอยู่ใจกลางของโถงใหญ่ มีชายชราชุดขาวนั่งอยู่คนหนึ่ง


 


 


ชายชราผู้นี้มีเครายาวสามฉื่อ ใบหน้าดูปกติธรรมดายิ่งนัก กำลังใช้แสงบริสุทธิ์กวาดมองมาที่ร่างของทั้งสอง


 


 


“พวกเจ้าเป็นคนของเผ่ามนุษย์!” เสียงพูดดังออกมาจากปากของชายชราด้วยน้ำเสียงเกินความคาดหมาย


 


 


ที่แท้ก็เป็นเจ้าของเสียงชายชราผู้นั้น


 


 


หานลี่ใช้สายตากวาดมองมาบนร่างของชายชราหนหนึ่ง ผลลัพธ์ก็ทำให้เขารู้สึกตกตะลึง พลันโค้งลำตัวเล็กน้อยแล้วตอบกลับ “อาวุโสรู้ว่าพวกเราเป็นเผ่ามนุษย์ด้วย ไม่ทราบว่าอาวุโสมีชื่อเสียงเรียงนามอย่างไรขอรับ?”


 


 


“หึๆ! ไม่ต้องรู้หรอก ผู้เฒ่าก็เป็นคนของเผ่ามนุษย์เช่นกัน ผู้เฒ่าไม่อยากพูดถึงชื่อแซ่เมื่อก่อน ตอนนี้เรียกแค่แซ่ “เจียง” โดดๆ ก็พอ” ชายชราแย้มยิ้ม ดวงตาที่จ้องมองพวกหานลี่สองคน เผยท่าทางอัธยาศัยดีออกมา


 


 


“อะไรกัน อาวุโสก็เป็นอาวุโสเผ่ามนุษย์ของพวกเราเหมือนกันหรอกหรือ?” หานลี่กับเหยียนลี่ต่างก็ตกตะลึง โดยเฉพาะเหยียนลี่ที่อุทานออกมาเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่


 


 


“ทำไมรึ ผู้เฒ่าเป็นเผ่ามนุษย์แล้วแปลกมากเลยรึ?” ชายชราหัวเราะหึๆ คราหนึ่งแล้วกล่าว


 


 


“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้วขอรับ ชนรุ่นหลังแค่คาดไม่ถึงว่า พื้นที่ที่ห่างไกลจากเผ่ามนุษย์เช่นนี้จะสามารถพบคนของเผ่าตัวเองได้” สีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของหานลี่หายไปจนหมด พลันรีบกล่าวขึ้น


 


 


พลังยุทธ์ของชายชราที่อยู่ตรงหน้าสูงส่งจนไม่อาจหยั่งประมาณได้จริงๆ เขาจึงไม่กล้าล่วงเกินโดยง่าย


 


 


“แม้ว่าผู้เฒ่าจะมีฐานะเดิมมาจากเผ่ามนุษย์ แต่กายเนื้อกลับไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ด้วยความบังเอิญ จึงได้แย่งชิงกายเนื้อของ “เผ่าอายุยืน” ที่หายากสุดๆ มา เผ่านี้เกิดมาก็เชี่ยวชาญอิทธิฤทธิ์และเคล็ดวิชาต่างๆ มากมาย ภายในร่างยังฝึกพรสวรรค์ที่คาดไม่ถึงอีกหลายชนิด แต่ละชนิดเพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่มีอัจฉริยะในการฝึกฝนของเผ่ามนุษย์ของพวกเรารู้สึกตกตะลึงจนต้องกล่าวชมออกมา” ชายชรายื่นมือคู่หนึ่งออกมามอง พลางกล่าวอย่างช้าๆ


 


 


หานลี่ไม่เคยได้ยินชื่อของ “เผ่าอายุยืน” มาก่อน แต่ชายชราที่อยู่ตรงหน้าไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือการพูดการจาก็ล้วนเหมือนเผ่ามนุษย์ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด มองไม่ออกถึงลักษณะท่าทางที่ผิดปกติแม้แต่น้อย


 


 


ดวงตาของหานลี่เผยความประหลาดใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


“ทั้งสองคนไม่ต้องแปลกใจ! ที่ตอนนี้สภาพของข้ายังมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับตอนเป็นเผ่ามนุษย์อยู่นั้น ผู้เฒ่าต้องเปลืองแรงไปไม่น้อย จึงจะหลอมกายเนื้อของเผ่าออายุยืนให้เหมือนกับเมื่อก่อนอย่างไม่มีผิดเพี้ยนได้” ดวงตาของชายชราเปล่งประกายวาบหนึ่งแล้วกล่าว


 


 


“อาวุโสมีอิทธิฤทธิ์น่าตะลึง ชนรุ่นหลังทั้งสองพบเห็นมาน้อยจึงรู้สึกแปลกใจ!” หานลี่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเรื่องฝืนธรรมชาติด้วยน้ำเสียงปกติเช่นนี้ก็รู้สึกใจหายวาบ แต่ท่าทีที่เขาแสดงออกภายนอกยังคงเคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“พูดถึงเมื่อก่อน หลังจากที่ข้าสำเร็จขั้นต้นในเส้นทางบำเพ็ญเพียรแล้วออกจากเผ่ามนุษย์ ก็ไม่เคยกลับไปที่นั่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว จึงรู้สึกค่อนข้างสนใจสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์ในตอนนี้จริงๆ พวกเจ้าสองคนน่าจะยินดีเล่าให้ผู้เฒ่าฟังสักหน่อย” ชายชราเอ่ยถามอย่างราบเรียบ


 


 


“หากอาวุโสอยากทราบอะไร มีสิ่งใดที่ชนรุ่นหลังทั้งสองรู้ก็จะบอกให้หมดอย่างแน่นอนขอรับ” หานลี่หันมาสบตาเหยียนลี่ทีหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


 


“เช่นนี้ก็ดีเลย! ไม่รู้ว่าสหายในเผ่าของผู้เฒ่าเมื่อปีนั้น ตอนนี้ยังจะเหลืออยู่สักกี่คน” ชายชราเผยสีหน้าดีอกดีใจ พลันกำมือแล้วยิ้มกว้าง


 


 


หลังจากที่ชายชราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สายตาก็กวาดมองมาที่ร่างของทั้งสองเล็กน้อย พลันเปล่งแสงสีทองออกมาปราดหนึ่ง แล้วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาหลายส่วน


 


 


“แม้ว่าพลังยุทธ์ของทั้งสองจะไม่สูง แต่เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนกลับดูน่าสนใจจริงๆ คนหนึ่งมีกายเป็นครึ่งภูตครึ่งมนุษย์ ครั้งก่อนที่ผู้เฒ่าเห็นคนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาสายภูตปีศาจชนิดนี้ ก็เป็นเหตุการณ์เมื่อหมื่นปีก่อนไปแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งพลังยุทธ์ค่อนข้างสับสนปนเป ภายในร่างแฝงด้วยธาตุมารเสี้ยวหนึ่ง กายเนื้อก็ยังแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์ ดูท่าจะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชามาหลายอย่าง และอาจจะเดินบนเส้นทางของคู่บำเพ็ญเพียร” ชายชราแค่ถือโอกาสพูดออกมาไม่กี่คำ


 


 


แต่คำพูดเหล่านี้พอได้ยินถึงหูหานลี่กับเหยียนลี่แล้ว กลับทำให้รู้สึกราวกับฟ้าผ่าลงมาในวันฟ้าโปร่ง


 


 


เหยียนลี่ซีหน้าซีดขาวอยู่หลายส่วน หานลี่เองก็มีสีหน้าเปลี่ยนเป็นการใหญ่เช่นกัน เบื้องล่างของทั้งสองถูกอีกฝ่ายมองหนเดียว ก็ถูกเปิดเผยออกมาอย่างไม่สงสัย


 


 


หานลี่พยายามข่มความตกตะลึงในใจไว้ ขณะที่ยิ้มฝืนๆ กำลังคิดจะพูดอะไรอยู่ ชายชราก็มีสีหน้าเปลี่ยน แสงสีทองในดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าอย่างฉับพลัน แล้วส่งเสียงอุทานออกมาเบาๆ


 


 


ชายชรากวักมือไปในอากาศตรงหน้าหานลี่โดยไม่พูดจา


 


 


ขณะที่หานลี่ยังไม่ทันเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ก็รู้สึกว่ากระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาทั้งสิบสองเล่มภายในร่างเกิดการสั่นขึ้นพร้อมกัน ถูกพลังดูดอันมหาศาลกระตุ้นแล้วบินออกจากร่างด้วยตัวเอง ก่อนที่จะบินวนรอบร่างของเขาอย่างไม่หยุดนิ่ง


 


 


           หานลี่ตกตะลึงยกใหญ่ บนร่างมีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นคราหนึ่ง ม่านแสงสีเทาและประกายสายฟ้าสีทองดีดออกในชั่วพริบตา คุ้มกันร่างของเขาไว้ภายใน ก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว “อาวุโสเจียงท่านหมายความว่าอย่างไร! หรือว่าชนรุ่นหลังมีสิ่งใดที่ล่วงเกิน!”


 


 


ขณะที่เอ่ยถามเสียงดัง ภายในแขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาก็เปล่งแสงสีเขียววาบหนึ่ง ลูกแก้วอัสนีสีเขียวสิบกว่าลูกก็กลิ้งมาอยู่ในฝ่ามือของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็เปล่งแสงสีดำทมึน กำไลอสูรวิญญาณที่ใกล้จะบรรจุแมลงกลืนทองเต็มก็ปรากฏออกมาแล้วถูกคว้าไว้ในมือแน่น


 


 


แม้ว่าบนร่างของเขาจะมีสมบัติมากมาย แต่เมื่อเผชิญกับชายชราที่ลึกล้ำไม่อาจหยั่งประมาณผู้นี้ ก็มีแค่ของสองสิ่งนี้ที่ยังพอเป็นแรงช่วยเหลือได้จริงๆ


 


 


“ดูท่ารูปแบบและวิธีการหลอบจะเป็นกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาจริงๆ อีกทั้งยังบังเอิญมีถึงเจ็ดสิบสองเล่ม! สีของกระบี่บินดูไม่ค่อยถูกต้อง น่าจะผสมของอย่างอื่นเข้าไปในภายหลัง คาดไม่ถึงว่าจะใช้ไผ่อัสนีทีเป็นวัตถุดิบในการหลอมขึ้นมา เป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แม้แต่ผู้เฒ่าก็ไม่มีทางรวบรวมไผ่อัสนีทองได้มากมายเช่นนี้…” ชายชราจ้องมองกระบี่เล็กสีทองแวววาวเจ็ดสองเล่มที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างไม่สนใจหานลี่แม้แต่น้อย เพียงแค่พูดพึมพำไม่หยุดด้วยอารมณ์แปลกประหลาด


 


 


หานลี่ได้ยินชายชราพูดชื่อกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาออกมา ย่อมรู้สึกตกตะลึงเป็นธรรมดา เมื่อมองดูชายชราด้วยอารมณ์ประหลาดใจ ในใจก็ปรากฏความคาดเดาที่ตนเองยากจะเชื่อได้ออกมาอย่างหนึ่ง ทำให้เขาตะลึงงันไปชั่วขณะ


 


 


เวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง ชายชราก็ถอนหายใจออกมา ในที่สุดก็หยุดพูดพึมพำคนเดียว พลันละสายตาจากกระบี่บินเจ็ดสิบสองแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะหลับตาลงชั่วคราว


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกัน หานลี่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าฝูงกระบี่บินได้รับการควบคุมกลับคืนมาแล้ว จึงรีบร่ายคาถาสองมือโดยไม่คิด


 


 


ทันใดนั้นกระบี่บินก็เปล่งแสงอย่างบ้าคลั่งขึ้นระหลอกหนึ่ง ทั้งหมดก็จมหายเข้าไปในร่างอย่างไร้ร่องรอย


 


 


จากนั้นเขาก็จ้องมองไปยังชายชราที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีประหลาดใจ พลันเงียบขรึมไม่พูดจา


 


 


เหยียนลี่ที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะมองออกถึงความประหลาดเล็กๆ ระหว่างหานลี่กับชายชรา แม้ว่าสีหน้าจะตื่นตระหนกระคนฉงนสนเท่ห์ไม่หยุด แต่ในตอนนี้กลับไม่กล้าสอดปากสอดคำอย่างรู้สถานการณ์


 


 


หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ชายชราแซ่เจียงก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้สายตาจ้องมองมาที่ร่างของหานลี่ พลันยิ้มจางๆ แล้วกล่าว “หึๆ ดูเหมือนเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมที่ข้าทิ้งไว้ในแดนมนุษย์เมื่อปีนั้นจะตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว เจ้าน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ทยานขึ้นมาที่นี่จากแดนมนุษย์ เมื่อปีนั้นเคล็ดวิชานี้ข้ายังทำไม่สมบูรณ์ทั้งหมด เจ้าอาศัยเคล็ดวิชานี้ก็สามารถหลอมกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาออกมาเจ็ดสิบสองเล่ม และใช้ไผ่อัสนีทองเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งเป็นถึงพฤกษาเทวะ หลอมมันขึ้นมาในฐานะสมบัติประจำกาย ต้องขอบคุณจริงๆ ที่เจ้าทำทั้งหมดนี้ได้” ชายชราพูดพลางกล่าวชมออกจากปากไม่หยุด จ้องมองหานลี่อย่างประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายกับกำลังมองสมบัติล้ำค่าก็มิปาน


 


 


“ชนรุ่นหลังบังเอิญได้รับเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมมาจริงๆ และเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ทยานดินแดนขึ้นมา พูดเช่นนี้ ที่จริงแล้วอาวุโสเจียงก็คืออาวุโสชิงหยวนจื่อ!” หานลี่มีสีหน้าตกตะลึง พลันแสดงความเคารพอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม


 


 


ตอนที่เขาอยู่แดนมนุษย์ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมเป็นหลักมาโดยตลอด ตอนนี้ได้เผชิญหน้ากับคนที่น่าจะเป็นชิงหยวนจื่อตัวจริงแล้ว ในใจก็รู้สึกปลงอนิจจัง


 


 


“ชิงหยวนจื่อ? จะถือว่าใช่ก็ได้ ถือว่าไม่ใช่ก็ได้ พูดตามจริงก็คือ ข้าเป็นได้แค่ชิงหยวนจื่อครึ่งคนเท่านั้น” ชายชรายิ้มจางๆ ทีหนึ่ง พลันโบกมือปรามไม่ให้หานลี่ทำความเคารพให้มากพิธีอีก


 


 


“ครึ่งหนึ่ง!” หานลี่ได้ยินวาจานี้ก็ตกตะลึง


 


 


“ตอนที่ชิงหยวนจื่อผจญภัยในทวีปอื่นๆ ในอดีต ได้ถูกศัตรูที่แข็งแกร่งหลายคนล้อมโจมตี ผลลัพธ์คือ แม้ว่าจะโชคดีรอดชีวิตมาได้ แต่กายเนื้อได้ถูกทำลาย ดวงวิญญาณก็แตกสลายไปเกือบครึ่ง ท่ามกลางสถานการณ์ฉุกละหุกอันตรายก็บังเอิญเจอกับเผ่าอายุยืนผู้หนึ่ง จึงยึดครองกายเนื้อของเขา แล้วบีบบังคับให้หลอมรวมกับดวงวิญญาณของเขาเพื่อซ่อมเสริมวิญญาณบริสุทธิ์ของตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้คือ ตอนนี้ความทรงจำครึ่งหนึ่งของข้าเป็นของชิงหยวนจื่อ อีกครึ่งหนึ่งเป็นของชาวอายุยืนผู้นั้น ด้วยการหยิบยืมโอกาสดีนี้ ในที่สุดพลังยุทธ์ของข้าก็ทะลวงระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว และมาจนถึงระดับในตอนนี้ได้ แต่หากเจ้าจะบอกว่าข้าเป็นชิงหยวนจื่อก็ไม่นับว่าผิดทั้งหมด” ชายชราแซ่เจียงพูดอย่างไม่กระโตกกระตาก


 


 


หานลี่กะพริบตาปริบๆ ในใจไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว!


 


 


“ไม่ผิด ตอนที่หลอมรวมเมื่อปีนั้น แม้ว่าข้าจะสูญเสียความทรงจำของชิงหยวนจื่อไปไม่น้อย แต่ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมนั้น ข้าจำได้ไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย เจ้าใช้ไผ่อัสนีทองเป็นวัตถุหลัก เดิมทีก็เป็นกระบี่บินธาตุไม้ที่ดีที่สุดอย่างไม่อาจดีไปกว่านี้แล้ว แต่น่าเสียดาย ภายหลังเนื่องจากกระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้า จึงเติมวัตถุอย่างอื่นในการหลอมเข้าไปอย่างเปะปะ ทำให้วิญญาณธาตุไม้ในกระบี่นี่มีการปะปนขึ้นมา ไม่เช่นนั้น หากฝึกฝนเป็นเวลานานหลายปีเช่นนี้ กระบี่บินของเจ้าน่าจะถึงระดับกระบี่จิตเชื่อมวิญญาณแล้ว อาศัยเพียงกระบี่บินชุดนี้ก็เพียงพอที่จะก้าวข้ามตัวตนระดับเดียวกันได้แล้ว หึๆ ปีนั้นชิงหยวนจื่อนอกจากกระบี่ไผ่เขียวผึ้งเมฆาชุดนั้นแล้ว บนตัวก็ไม่มีสมบัติอื่นใดอีก ตอนที่เป็นระดับเทพแปลงก็สามารถโค่นระดับหลอมสูญได้ และตอนที่อยู่ระดับหลอมสูญก็สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์หวาดกลัวได้หลายส่วน” ชายชราชุดเทาพูดด้วยความรู้สึกค่อนข้างเสียดาย


 


 


ได้ยินชายชรากล่าวเช่นนี้ หานลี่ก็เอามือลูบๆ คาง พลางเผยสีหน้ายิ้มเจื่อนออกมา


 


 


บางทีคำพูดทั้งหมดที่ชายชราแซ่เจียงกล่าวมานั้นจะเป็นจริง แต่ตอนที่เขาเผชิญอันตรายรอบด้านที่แดนมนุษย์เมื่อปีนั้น ไหนเลยจะสามารถกระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้าได้! อีกทั้งในความเป็นจริง ตัวเขาในตอนนี้ก็สามารถโค่นตัวตนระดับหลอมสูญได้อย่างง่ายดาย หากตนสามารถเข้าสู่ระดับหลอมสูญได้เช่นกันแล้ว การเผชิญหน้ากับตัวตนระดับผสานอินทรีย์ก็มีความมั่นใจว่าจะปกป้องตัวเองได้เช่นกัน


 


 


แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ เมื่อเขาเผชิญหน้ากับชายชราย่อมไม่สะดวกที่จะพูดออกมาโดยตรง เพียงแค่เปลี่ยนเป็นแสดงอารมณ์อึดอัดใจออกมาเล็กน้อย


 


 


“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในเมื่อเจ้าสืบทอดเคล็ดวิชากระบี่มรกตดั้งเดิมแล้ว และตัวข้าก็มีความทรงจำของชิงหยวนจื่อเกือบครึ่ง เจ้ากับข้าก็นับว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ตอนนี้ข้าขอถามเจ้าสักเรื่อง เจ้าก็ตอบข้ามาตามจริง พวกเจ้าสองคนมาด้วยกันกำคนนอกที่เข้ามาในแม่น้ำอเวจีพวกนั้นหรือไม่?” ชายชรามีสีหน้าเคร่งขรึมโดยพลัน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น 

 

 


ตอนที่ 1516 กายแห่งสวรรค์ทมิฬ

 

ได้ยินชายชราแซ่เจียงถามเช่นนี้ หานลี่ก็ใจเต้นโดยพลัน


 


 


อีกฝ่ายถามเช่นนี้ ดูเหมือนพวกเขายังอยู่ที่แม่น้ำอเวจีจริงๆ ไม่ได้ออกจากมิตินี้


 


 


เมื่อในใจคิดเช่นนี้ หานลี่ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากตอบ “เรียนผู้อาวุโส พวกชุ่นรุ่นหลังถูกคนบีบบังคับ จึงตามพวกเขาเข้ามาในที่แห่งนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้หนีห่างมาจากคนพวกนี้แล้ว จึงไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีก”


 


 


แม้ว่าหานลี่จะพูดค่อนข้างคลุมเครือน แต่ชายชราแซ่เจียงได้ยินคำนี้ กลับแค่ผงกศีรษะตามอำเภอใจแล้วกล่าว “เจ้าไม่ต้องกังวลว่าเรียงนี้จะยั่วโมโหข้าหรอก สาเหตุที่ผู้เฒ่าอาศัยอยู่สถานที่นี้ ก็แค่ทำข้อแลกเปลี่ยนที่ได้ประโยชน์สองฝ่ายกับอาวุโสสองสามคนของเผ่าแมงเม่าไว้เท่านั้น ตราบใดที่ไม่ทำลายสถานที่นี้จนมิติปริแตก ผู้เฒ่าก็ไม่มีทางลงมืออะไร แต่ก็คาดไม่ถึงว่าคนนอกพวกนั้นจะหาทางเข้ามิติอื่นเจอ และทยอยทำลายหุ่นเชิดฝังจิตของเผ่าแมงเม่าอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้กลับทำให้ผู้เฒ่าค่อนข้างสนใจ ผู้มาเยือนน่าจะไม่ใช่บุคคลธรรมดาสินะ”


 


 


“อาวุโสสายตาแหลมคมยิ่งนัก! ที่จริงแล้วคนเหล่านี้ล้วนคือราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางและขั้นปลาย แต่ละคนเรียกได้ว่ามีอิทธิฤทธิ์กว้างใหญ่ไพศาล” หานลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง


 


 


“คนพวกนี้บังคับเจ้าเข้ามาในที่แห่งนี้ จะต้องเล็งเห็นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเจ้าแน่ๆ แม้ว่าพวกเขาทำลายอาคมต้องห้ามเข้ามาแล้ว ยังไม่คิดจะปล่อยเจ้าไป ดูเหมือนพวกเขาไม่เพียงปรารถนาน้ำนมเทวะแต่ยังสนใจศาสตรามารพวกนั้นด้วย หึๆ รนหาที่ตายจริงๆ” ชายชราแซ่เจียงหัวเราะเย็นคราหนึ่ง มุมปากเผยความเหน็บแนมออกมา


 


 


“ฟังจากการพูดของอาวุโส หรือว่าศาสตรามารเหล่านั้นมีบางอย่างที่ไม่เหมาะสม?” หานลี่กลับไม่ค่อยเข้าใจ


 


 


“ไม่ใช่ว่าไม่เหมาะสมอะไรหรอก พอคนพวกนี้เข้าไปในสถานที่เก็บซ่อนศาสตรามารพวกนั้น จะต้องเจอกับความลำบากครั้งใหญ่แน่ๆ ที่นั่นมีศาสตรามารชิ้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะฝึกฝนจนมีร่างมนุษย์ กลืนกลินศาสตรามารชื่นอื่นๆ ที่เหลืออยู่ไปจนหมด กลายเป็นร่างมารขั้นสุดยอดแล้ว แม้แต่ผู้เฒ่าถ้าได้พบเจอ ก็ไม่เห็นว่าจะสามารถนำสมบัติชิ้นนี้ไปได้ แม้ว่าคนพวกนี้จะมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นของสิ่งนี้จะหนีเอาชีวิตรอดได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่” ชายชราแซ่เจียงกล่าวด้วยใบหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม


 


 


“กายมารขั้นสุดยอด!” หานลี่มุมปากกระตุกเกร็ง


 


 


ดูเหมือนจะเป็นระดับสูงสุดสำหรับผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชามาร


 


 


“ของสิ่งนั้นซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกที่สุดของปราณมารหมื่นจั้ง หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝน หากไม่มีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเขาเจ้าเปิดทาง ราชาปีศาจเหล่านั้นก็ไม่มีทางหาเจอได้จริงๆ แน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าหากพวกเขาไม่ยอมวางมือง่ายๆ ยั่วโทสะของสิ่งนี้จนโกรธถึงขั้นสุดขึ้นมา เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ใช่แล้ว เจ้าสองคนยังมีพรรคพวกอีกคนใช่หรือไม่” สุดท้ายชายชราก็เอ่ยถามอย่างราบเรียบ


 


 


“ชนรุ่นหลังยังมีศิษย์น้องอีกหนึ่งคน เดิมทีนางมากับพวกเราสองคน อาวุโสทรบได้อย่างไร้เจ้าคะ” เหยียนลี่ที่ฟังสองคนสนทนาอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ได้ยินคำนี้ก็ตกตะลึง จึงรีบเอ่ยปากขึ้นมา


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก นอกเจ้าพวกเจ้าสองคนแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่ถูกเขตอาคมเจ็ดทวารกักขังทมิฬของข้าหอบมาที่นี่ด้วย เพียงแต่นางไม่ได้อยู่ด้วยกันกลับพวกเจ้า แต่ถูกส่งไปอีกสถานที่หนึ่ง ข้าได้ดึงนางมาด้วยเช่นกัน อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้พบเอง” ชายชราแซ่เจียงกล่าวอย่างไม่หนักหนาอะไร


 


 


“ขอบพระคุณอาวุโสเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ชนรุ่นหลังยังกังวลอยู่ตลอด” เหยียนลี่ดีใจเป็นล้นพ้น


 


 


“อาวุโสเจียง เหตุใดเขตอาคมเจ็ดทวารกักขังทมิฬของท่านถึงได้ดูดพวกเราทั้งสามคนมายังสถานที่แห่งนี้ได้” หานลี่ลังเลครู่หนึ่ง จึงค่อยเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา


 


 


“อืม ข้าแค่ใช้ประโยชน์จากพลังของเขตอาคม ใช้วิธีการเล็กน้อยกับบริเวณต่างๆ ของแม่น้ำอเวจีที่ปราณทมิฬระเบิดง่ายที่สุด จึงทำให้ข้าสามารถควบคุมระดับการระเบิดของปราณทมิฬในแม่น้ำอเวจีได้ทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งมิติพังทลายจากสาเหตุที่ปราณทมิฬในมิติมากเกินไปหรือสูญเสียความสมดุลอย่างร้ายแรง ดังนั้นพวกเจ้าสามคนจึงถูกดูดมาที่นี่ และบังเอิญตอนที่ร่ายคาถานั้น ก็อยู่ตรงบริเวณใกล้เคียงของหมอกกลืนวิญญาณพอดี จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ชายชรายิ้มจางๆ แล้วอธิบาย


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หานลี่เข้าใจแล้วขอรับ!”


 


 


ที่จริงแล้วตามเจตนาเดิมของเขา ย่อมอยากจะถามเกี่ยวกับหมอกดำและความเกี่ยวข้องระหว่างมิตินี้และหลัวโหว แต่เมื่อไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาก็ปล่อยเรื่องนี้ไป


 


 


เรื่องมิตินี้ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเขา ย่อมคร้านที่จะถามให้มากความเป็นธรรมดา ทั้งนี้จะได้ไม่ทำให้ชายชราเกิดความไม่พอใจ


 


 


ในขณะที่พวกเขากำลังสนธนาอยู่นั้น จู่ๆ ผนังหินข้างหนึ่งของโถงใหญ่ก็เปล่งแสงสีเขียววาบหนึ่ง ปรากฏเส้นทางออกมาสายหนึ่ง


 


 


ตามด้วยแสงสีดำเปล่งประกายวาบหนึ่ง หญิงสาวใบหน้างดงาม รูปร่างอรชรอ้อนแอนห่อหุ้มด้วยปราณทมิฬก็พวยพุ่งเข้ามาข้างใน


 


 


ที่แท้ก็คือหยวนเหยานั่นเอง


 


 


พริบตาที่หญิงสาวผู้นี้ปรากฏกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าระมัดระวัง แต่หลังจากที่เห็นหานลี่กับเหยียนลี่แล้ว ใบหน้าก็ปรากฏความตกตะลึงระคนดีใจขึ้นมา


 


 


“พี่หาน ศิษย์พี่ พวกท่านสองคนก็อยู่ที่นี่ ช่างดีเสียนี่กระไร!” หญิงสาวผู้นี้กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ ครั้นขยับร่างคราหนึ่ง ก็มาอยู่ข้างกายของทั้งสองคน


 


 


“เป็นผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาสายภูตอีกคนแล้ว เอ๋ น่าแปลก…” ชายชราที่จากเดิมมีสีหน้าสุขุมเยือกเย็น พอสายตากวาดมองบนร่างของหยวนเหยา คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีตื่นตะลึงระคนฉงนใจขึ้นมา


 


 


“อาวุโสท่านนี้คือ…” หยวนเหยาได้ยินแล้วหันมามองชายชราทีหนึ่ง แม้ว่าจะไม่สามารถมองออกถึงความตื้นลึกหนาบางของพลังยุทธ์อีกฝ่ายได้ แต่ก็รู้ด้วยตัวเองว่าอีกฝ่ายมีฝีมือไม่เบา เพียงแต่ได้ยินคำพูดของชายชราแล้วกลับทำให้รู้สึกงุนงง


 


 


หานลี่กับเหยียนลี่หันมามองหน้ากันทีหนึ่ง ต่างก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน


 


 


ด้วยระดับพลังยุทธ์ที่น่ากลัวของชายชรา หยวนเหยาจะมีอะไรที่ทำให้เขาสีหน้าเปลี่ยนเช่นนี้ได้


 


 


ในตอนนี้เอง ชายชราก็ก้มหน้าลังเลอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ฉับพลันก็ยื่นนิ้วหนึ่งออกด้วยสีหน้าดีใจ แล้วชี้ไปทางหยวนเหยาเบาๆ


 


 


เห็นเพียงปลายนิ้วมีลำแสงสีเขียวพุ่งออกมา หลังจากส่งเสียงดังฟิ้ว เส้นไหมสีเขียวสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาอย่างฉับพลัน


 


 


ด้วยความเร็วในการเคลื่อนที่ของมัน เพียงแค่พริบตาเดียวก็จมหายเข้าไปในร่างของหยวนเหยาอย่างไร้ร่องรอย


 


 


พวกหานลี่ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ แม้แต่น้อย


 


 


“หา”


 


 


หยวนเหยาตกใจสะดุ้งโหยง รีบตั้งท่าระมัดระวัง พลางสำรวจดูสถานการณ์ภายในร่างของตน


 


 


เหยียนลี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน พลันขยับร่างพลิ้วไหวมายืนข้างกายเหยียนลี่ พลางจ้องมองชายชราด้วยท่าทางระมัดระวัง หากไม่ใช่เพราะรู้ดีว่าตนไม่มีทางเป็นคู่มือของอีกฝ่าย ไม่แน่ว่าคงจะลงมือด้วยความโมโหเดือดดาลไปแล้ว


 


 


หานลี่กลับทำแค่หรี่ตาสองข้างลง ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน


 


 


หากชายชราแซ่เจียงมีเจตนามิดีมิร้ายจริงๆ อย่างมากตอนผนึกกระบี่บินของตนเมื่อครู่นี้ คงลงมือไปนานแล้ว อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาร้ายของอีกฝ่าย แต่เพื่อความระมัดระวัง หานลี่ยังคงกุมแหวนอสูรวิญญาณและลูกแก้วอัสนีภายในแขนเสื้อไว้แน่น


 


 


เป็นอย่างที่คาดไว้ ชายชราเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางเรียบเฉย “สหายทั้งสองไม่ต้องลนลาน ที่ผู้เฒ่าปล่อยออกไปเป็นแค่คาถาทดสอบระดับเท่านั้น เพื่อพิสูจน์สิ่งที่ผู้แซ่เจียงคิดในใจ ไม่ได้มีผลเสียหรือทำให้สหายไม่สบายแต่อย่างใด”


 


 


“ทดสอบระดับ? อาวุโสคิดจะทดสอบอะไรหรือเจ้าคะ? ดูเหมือนชนรุ่นหลังเพิ่งจะเคยพบหน้าอาวุโสครั้งแรก!” แม้ว่าจะได้ยินชายชราแซ่เจียงกล่าวเช่นนี้ หยวนเหยาก็ยังรู้สึกกังวลใจสุดๆ


 


 


ทว่าในตอนนี้ ชายชราแซ่เจียงตั้งท่าร่ายคาถาด้วยมือหนึ่ง ฉับพลันหยวนเหยาก็รู้สึกว่าภายในจุดตันเถียนของตัวเองร้อนลุ่มขึ้นมาหลายส่วน จึงตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


แต่ยังไม่ทันให้นางได้พูดด้วยความตกตะลึงอะไร จู่ๆ ใบหน้าก็เปล่งแสงสีเขียวแก่ออกมาหนึ่งชั้น ตามด้วยหว่างคิ้วและแก้ม ปรากฏลวดลายของใบไม้ขึ้นเป็นแผ่นๆ


 


 


“นี่มันอะไร?” เหยียนลี่เห็นสภาพประหลาดบนใบหน้าของหยวนเหยา ก็หลุดเสียงร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


แต่นอกจากสภาพประหลาดก่อนหน้านี้แล้ว หยวนเหยาก็ไม่รู้สึกถึงการปรากฏขึ้นของลวดลายบนหว่างคิ้วเลยแม้แต่น้อย เห็นเหยียนลี่ลี่ตกตะลึงเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจ


 


 


“เป็นอย่างที่ข้ารับรู้ไม่มีผิด เป็นกายแห่งสวรรค์ทมิฬจริงๆ คิดไม่ถึงว่าข้าตามหาอย่างยากลำบากมาหลายปีกลับหาไม่พบ ตอนที่ใกล้จะล้มเลิก สวรรค์ก็ส่งเจ้ามาหาข้าถึงที่ ยังดี ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป เวลายังพอทันการอยู่บ้าง!” ชายชราหัวเราะดังลั่น กล่าวด้วยความดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง


 


 


เห็นชายชราแซ่เจียงเสียอาการเช่นนี้ เหยียนลี่กับหยวนเหยาต่างก็รู้สึกหวาดกลัวในใจ อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว แล้วหันมามองหานลี่ด้วยสายตาคล้ายจะขอความช่วยเหลือ


 


 


หานลี่ดวงตาเปล่งประกายหลายหน พลันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากขึ้น “กายแห่งสวรรค์ทมิฬ! ชนรุ่นหลังนับว่ามีความรู้รอบตัวกว้างขวางแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินร่างกายที่มีลักษณะพิเศษเช่นนี้มาก่อน อาวุโสเจียงมีท่าทางดีใจเช่นนี้ สามารถบอกให้ทราบสักนิดได้หรือไม่ขอรับ!”


 


 


“ความปรารถนาหลายปีมานี้ของผู้เฒ่าเพิ่งจะสมหวัง จึงเสียกิริยาไปชั่วขณะ ขายหน้าทั้งสามคนแล้ว สิ่งที่เรียกว่ากายแห่งสวรรค์ทมิฬนั้น ไม่ได้มาจากเผ่ามนุษย์ของพวกเรา แต่เป็นการเล่าถึงกายที่มีคุณสมบัติพิเศษชนิดหนึ่งของเผ่าอายุยืน พวกเจ้าจะไม่รู้จักก็ไม่น่าแปลกเลยแม้แต่น้อย! กายชนิดนี้ไม่มีประโยชน์อะไรในการฝึกฝนเคล็ดวิชาเผ่ามนุษย์ทั่วไป แต่การจะฝึกมหาอิทธิฤทธิ์บางชนิดของเผ่าอายุยืนนั้น จำเป็นต้องมีกายนี้จึงจะสามารถทำได้ แต่การมีอยู่ของกายชนิดนี้ แม้แต่คนในเผ่าอายุยืนเองก็หาได้ยากมาก เผ่าอื่นๆ ที่มีกายนี้ก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีก อย่างน้อยที่สุด ผู้เฒ่าเสียเวลาเกือบหมื่นปีเศษเพื่อตามหามันโดยเฉพาะก็ยังไม่พบเลย สหายผู้นี้แซ่หยวนสินะ ไม่ทราบว่าสหายหยวนยินดีจะกราบไหว้และมาเป็นศิษย์ของผู้เฒ่าหรือไม่” ภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของชายชรา คาดไม่ถึงว่าจะกล่าวกับหยวนเหยาเช่นนี้


 


 


ได้ยินคำพูดก่อนหน้าของชายชราแซ่เจียง หยวนเหยาก็ยังพอเข้าใจบ้าง แต่ได้ยินคำพูดส่วนหลังที่บอกว่าจะรับเป็นศิษย์ ก็เกิดอาการตะลึงค้างอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


“อาวุโสจะรับศิษย์น้องหยวนเป็นศิษย์!” เหยียนลี่เองก็รู้สึกตะลึงงันเช่นกัน


 


 


“ไม่ผิด ผู้เฒ่ามีเจตนาเช่นนี้จริงๆ แต่จงวางใจ ผู้เฒ่าไม่มีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน ข้าไม่ขอปิดบังพวกเจ้า ที่จริงแล้วผู้เฒ่าเล็งเห็นประโยชน์ในกายแห่งสวรรค์ทมิฬของสหายหยวน เตรียมที่จะให้นางฝึกฝนมหาอิทธิฤทธิ์ที่เกี่ยวข้อง และหากมีอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้คอยสนับสนุน ทัณฑ์สวรรค์ครั้งต่อไปของข้า อย่างน้อยก็มั่นใจได้ถึงเจ็ดส่วนขึ้นไปว่าสามารถผ่านวิบากไปได้ แม้กระทั่งครั้งถัดไปอีก หากโชคดี ก็ใช่ว่าจะไม่มีหวังรอดพ้นไปได้ และในเวลาที่เกิดทัณฑ์สวรรค์สองครั้งนี้ ระดับพลังยุทธ์ของผู้เฒ่าก็จะขึ้นไปอีกสองขั้น เข้าสู่ระดับมหาเมธีขั้นปลาย ท้ายที่สุดก็จะเข้าสู่ขั้นพ้นวิบาก ซึ่งใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ชายชราแซ่เจียงเก็บรอยยิ้ม พลันพูดด้วยท่าทางจริงใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“ขั้นพ้นวิบาก หรือว่าอาวุโสจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธี!” หยวนเหยาสูดไอเย็นคราหนึ่ง น้ำเสียงค่อนข้างประหลาดใจ


 


 


“หึๆ ตั้งแต่เมื่อหมื่นกว่าปีก่อน ผู้เฒ่าก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีขั้นต้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง หากระดับพลังยุทธ์อย่างผู้เฒ่ายินดีจะรับศิษย์ ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงตั้งกี่คนจะเบียดเสียดกันมากราบไหว้เป็นศิษย์ของผู้เฒ่า” ชายชราพูดอย่างทะนงตน


 


 


สองตาของเหยียนลี่ค่อนข้างตกตะลึง


 


 


แม้ว่าในใจของหานลี่จะคาดเดาล่วงหน้าไว้หลายส่วน ตอนนี้ได้ยินชายชรายอมรับจากปากตัวเอง ริมฝีปากของเขาก็แห้งปาก หัวตากระตุกอย่างรุนแรงหลายหน


 


 


คนผู้นี้ถือได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีคนแรกที่ได้พบ นับตั้งแต่ที่หานลี่เข้ามาในแดนวิญญาณ


 


 


“ด้วยสถานะของอาวุโสมาเป็นอาจารย์ของชนรุ่นหลัง ย่อมถือเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติอย่างยิ่งเจ้าค่ะ! เพียงแต่เรื่องนี้ค่อนข้างกะทันหันเกินไป อาวุโสให้ชนรุ่นหลังได้หารือกับศิษย์พี่และสหายหานสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” ถึงอย่างไรหยวนเหยาก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั่วไป หลังจากข่มความคิดสับสนวุ่นวายต่างๆ นานาที่ผุดขึ้นภายในใจ ก็กล่าวขึ้นด้วยความลังเล


 


 


“เหอะๆ ผู้เฒ่าบุ่มบ่ามไปแล้ว เรื่องนี้ควรให้สหายหยวนพิจารณาและหารืออย่างละเอียดสักหน่อย เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้าพักอยู่ในถ้ำสถิตของข้าสักสองสามวัน ค่อยมาให้คำตอบข้าก็ได้ แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น หากสหายหยวนตัดสินใจได้ก่อน จะมาหาข้าที่นี่ก็ได้” ชายชราแซ่เจียงเอานิ้ววนๆ เคราสั้นที่คางตัวเอง พลางพูดอย่างมีความคิดไว้ในใจแล้ว 

 

 


ตอนที่ 1517 ความแตกแยก

 

ได้ยินชายชราแซ่เจียงกล่าวเช่นนี้ หยวนเหยากับเหยียนลี่ต่างก็รู้สึกโล่งใจ รีบกล่าวขอบคุณโดยพลัน


 


 


ชายชรากลับยิ้มแล้วตบมือสองข้างเบาๆ อย่างฉับพลัน


 


 


เมื่อสิ้นเสียงฝ่ามือ ภายนอกประตูข้างของโถงใหญ่ก็เกิดแสงสีขาวสว่างวาบ เงาสีขาวครึ่งโปร่งใสร่างหนึ่งก็โผล่มาจากพื้นที่ว่าง


 


 


“ทาสเงา เจ้าพาพวกเขาไปพักผ่อนที่ห้องสำหรับรับรองแขกโดยเฉพาะสักหน่อยเถอะ สหายทั้งสามมีความประสงค์อะไร เจ้าทำให้เขาพึงพอใจก็พอแล้ว” ชายชรากล่าวกำชับเงาสีขาว


 


 


“เจ้าค่ะ นายท่าน!” เงาสีขาวโค้งตัวเล็กน้อย พลันขานรับด้วยความเคารพนอบน้อม


 


 


หานลี่ใช้จิตสัมผัสตรวจดูบนร่างของเงาสีขาว ก็รูสึกใจหายวาบอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


คาดไม่ถึงว่าแม้แต่กลิ่นอายของเงาสีขาวนี้ก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจจนแตกต่างกันเกินไป เป็นราชาภูตระดับหลอมสูญขั้นปลายตนหนึ่ง


 


 


แม้ว่าหานลี่ยังมีคำถามบางอย่างที่ยังสงสัยและไม่เข้าใจ แต่ภายใต้สายตาของเงาสีขาวที่จับจ้องมา ก็จำต้องตามออกไปอย่างว่านอนสอนง่าย


 


 


หลังจากมองดูพวกหานลี่สามคนหายไปจากประตูข้าง ชายชราแซ่เจียงก็ดังสายตากลับมา เผยสีหน้าลังเลคล้ายกับคาดการณ์ไว้แล้ว


 


 


พวกหานลี่ตามเงาสีขาวที่เรียกว่าทาสเงาไป หลังจากผ่านเส้นทางหลายสาย และผ่านโถงข้างอีกหลายแห่ง ก็ถูกพามาที่ด้านหน้าลานบ้านแห่งหนึ่ง


 


 


ลานบ้างแห่งนี้สร้างด้วยเรือนหินน้อยใหญ่สิบกว่าหลัง


 


 


แม้ว่าจะไม่ได้งดงามประณีต แต่ก็ดูสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย


 


 


เงาสีเขาไม่ได้มีท่าทีเกรงใจแต่อย่างใด เพียงแค่ชี้ไปที่ลานบ้านแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ทั้งสามคนพักอยู่ที่นี่ตามสบายเถิด ทั้งนี้ขอเตือนสหายทั้งสามสักหน่อย หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ทางที่ดีอย่าได้เพ่นพ่านในจวนเป็นอาจขาด หากมีเรื่องอะไรจริงๆ ทั้งสามคนตะโกนเรียกชื่อข้าน้อยสามครั้ง ข้าก็จะรับรู้และมาหาในทันที”


 


 


เงาสีขาวพูดจบ ร่างก็พลิ้วไหวแล้วหายไปอย่างน่าประหลาด


 


 


พวกหานลี่และหยวนเหยาที่เหลืออยู่ต่างก็หันมามองหน้ากัน


 


 


“เข้าไปพักผ่อนข้างในสักคืนก่อนค่อยว่ากันเถอะ ก่อนหน้านี้เร่งเดินทางโดยไม่ได้พักผ่อนมาโดยตลอด คิดว่าสหายทั้งสองคงจะเหนื่อยล้าบ้างแล้ว หากมีเรื่องอะไร รอให้พลังบริสุทธ์ของพวกเราสามคนฟื้นฟูแล้วค่อยคุยกันอย่างละเอียดทีหลังเถอะ ถึงอย่างไรระยะเวลาสามวันก็ไม่ได้รีบร้อน” หานลี่ถอนหายใจยาวคราหนึ่ง พลันหันหน้าไปทางหญิงสาวทั้งสองแล้วยิ้มกล่าว


 


 


เหยียนลี่ยิ้มฝืนๆ แล้วกล่าวอืมคำเดียว ส่วนหยวนเหยาขมวดคิ้วแน่น พลันขานรับด้วยจิตใต้สำนึก


 


 


หานลี่พยักหน้าเสร็จ ก็นำหน้าเดินเข้าไปในลานบ้าน


 


 


เขาเดินมาถึงด้านข้างเรือนหินหลังหนึ่ง ประตูไม่ได้มีอาคมต้องห้ามอะไร ดังนั้นจึงผลักประตูเรือนแล้วเดินเข้าไป


 


 


พื้นที่ภายในเรือนนับว่าไม่ใหญ่นัก มีแค่เจ็ดแปดจั้งเท่านั้น แต่โต๊ะเก้าอี้และเตียงต่างก็มีครบครัน ล้วนหลอมมาจากหินอ่อนทั่วไป แลดูเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง!


 


 


ที่มุมหนึ่งของเรือนยังมีเบาะกลมที่ถักทอมาจากหญ้าเขียวขจีผืนหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น


 


 


หางคิ้วของหานลี่กระตุกคราหนึ่ง พลันสั่นแขนเสื้อเล็กน้อย ธงเขตอาคมสิบกว่าด้ามก็พวยพุ่งออกมา แล้วแวบหายเข้าไปตามมุมที่อยู่รอบด้าน


 


 


ม่านแสงสีเขียวสลัวๆ ปรากฏขึ้นมาหนึ่งชั้น


 


 


นี่เป็นแค่อาคมต้องห้ามป้องกันการแอบดูอย่างเรียบง่ายเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันที่แข็งแกร่งอะไร แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เขาถูกผู้อื่นแอบสังเกตการณ์โดยไม่รู้ตัวได้


 


 


จากนั้นหานลี่ก็ถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียงอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน พลันงุดศีรษะผล็อยหลับไป


 


 


จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เข้ามาในแม่น้ำอเวจี เขาทั้งรับมือกับภูตผีในแม่น้ำอเวจี ทั้งยังต้องระมัดระวังแผนการของพวกแม่เฒ่าภูตอยู่ตลอดเวลา ยังไม่เคยได้พักผ่อนดีๆ เลยจริงๆ


 


 


ตอนนี้แม้ว่าเขาไม่สามารถวางใจชายชราแซ่เจียงได้ทั้งหมด แต่ด้วยพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธี จะระมัดระวังอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เขากลับไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากเกินไป สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจ


 


 


ผ่านไปไม่ทันไร เสียงนอนกรนดังขึ้นภายในเรือนหิน หานลี่จมเข้าไปในห้วงความฝัน


 


 


คืนนี้ เขานอนหลับฝันหวานสุดๆ ไม่เพียงแต่ฝันเห็นภาพตอนที่ใช้ชีวิตร่วมกับบิดามารดาและพี่น้องตอนเด็กๆ แม้กระทั่งเงาร่างของสหายในวัยเยาว์ก็ปรากฏออกมาทีละคนๆ


 


 


แต่ถึงแม้คนเหล่านี้ แต่ละคนจะดูสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง แต่ใบหน้าในความฝันของพวกเขากลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้แต่น้อย


 


 


สุดท้าย ดวงตางดงามคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นในฝัน เจ้าของดวงตาคู่นี้ก็คือหนานกงหว่าน ภรรยาสุดที่รักในแดนมนุษย์ของเขา


 


 


ภายในฝันปรากฏร่างของหนานกงหว่าน นางไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ใช้สายตาอ่อนโยน มองดูหานลี่อย่างเงียบๆ


 


 


หานลี่คิดเพ้อฝันต่างๆ นานาภายในฝันไม่พูดจา ราวกับเคลิบเคลิ้มหลงใหลอยู่ในสายตาคู่นี้…


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ขณะที่เปลือกตาของหานลี่ขยับ ก็ตื่นขึ้นมาจากฝัน เบื้องหน้ายังคงมองเห็นดวงตาของหนานกงหวานที่กระเพื่อมราวกับสายน้ำในสารทฤดู


 


 


เขายังไม่ลุกขึ้นมาในทันที เพียงแค่นอนบนเตียงลิ้มรสความรู้สึกอ่อนโยนเสี้ยวหนึ่งที่อยู่ในใจต่อไปอย่างไม่ขยับเขยื้อน


 


 


หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร ความเพ้อฝันในดวงตาของหานลี่ก็ค่อยๆ เลือนหายไป เปลี่ยนมาเป็นสายตาปกติ


 


 


ไม่รู้จะเรียกว่าบังเอิญหรือไม่ ในตอนนี้เอง จู่ๆ นอกประตูก็มีเสียงอันไพเราะของเหยียนลี่ดังเข้ามา “พี่หาน ตื่นแล้วหรือยัง? หากตื่นแล้ว รบกวนมาหารือกับพวกเราสักหน่อย!”


 


 


น้ำเสียงของหญิงผู้นี้เกรงใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“สหายโปรดรอสักหน่อย ผู้แซ่หานจะรีบออกไป” หานลี่ขยับร่างวูบหนึ่ง ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วตอบกลับโดยพลัน


 


 


“เช่นนั้นข้ากับศิษย์น้องจะรอที่เรือนตรงกลาง รอรับพี่หานเสด็จด้วยความนอบน้อม!” เหยียนลี่หัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง ฉับพลันเสียงนั้นก็หายไป


 


 


หานลี่สวมรองเท้าอย่างสุขุมเยือกเย็น ครั้นโบกมือไปที่ด้านหลังทีหนึ่ง แสงสีเขียวดวงหนึ่งก็โคจรทั่วกายตั้งแต่บนลงล่าง


 


 


ทันใดนั้น บริเวณที่ยับของเสื้อผ้าก็ถูกปาดจนเรียบในพริบตา


 


 


ตัวหานลี่เองรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก เขาโคจรความคิดในหัวครู่หนึ่ง พลันตั้งสมาธิแล้วผลักประตูเดินออกจากเรือนหิน


 


 


เมื่อคืนนี้เหยียนลี่กับหยวนเหยา ทั้งสองคนต่างก็อาศัยด้วยกันที่อีกด้านหนึ่งของลานบ้าน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้หญิงสาวทั้งสองได้หารือกันไปหมดแล้วหรือยัง


 


 


ขณะที่หานลี่ครุ่นคิดในใจ ก็เดินเข้าไปในเรือนที่อยู่ตรงกลางสุดของลานบ้าน


 


 


เมื่อเข้าไปในเรือนนี้ ภายในเป็นเรือนหินที่ใหญ่กว่าที่เขาอยู่หลายเท่า ขณะเดียวกันภายในเรือนได้จัดวางโต๊ะหินตัวหนึ่งและเก้าอี้อีกหลายตัว พวกเหยียนลี่กับหยวนเหยากำลังนั่งล้อมวงคุยกันที่โต๊ะ


 


 


ทั้งสี่มุมของโถงใหญ่ต่างก็มีธงสีดำโบกพลิ้วอยู่หนึ่งด้าม เปล่งแสงสีเทาผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาชั้นหนึ่ง ปกคลุมทั้งเรือนไว้ภายใน


 


 


ดูเหมือนหญิงสาวทั้งสองจะวางอาคมต้องห้ามบางอย่างไว้ก่อนหน้านี้


 


 


“พี่หาน ท่านมาได้เวลาพอดีเลย ข้ากับศิษย์น้องปวดหัวกับเรื่องของอาวุโสเจียงแทบแย่” เหยียนลี่เห็นว่าหานลี่เขามาแล้ว ก็ยิ้มหวานแล้วยืนขึ้น


 


 


ดวงตาของหยวนเหยาเผยสีหน้าประหลาดออกมาปราดหนึ่ง แล้วยืนขึ้นต้อนรับเช่นกัน!


 


 


“อ๋อ ดูเหมือนสหายทั้งสองจะหารือเรื่องนี้กันไปแล้ว หากเชื่อคำพูดของผู้แซ่หาน พวกเจ้าสามารถเล่าความคิดออกมาตามจริงได้ แม้ว่าผู้แซ่หานมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่จะถามเรื่องวางแผนก็ไม่มีปัญหา” หานลี่พูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


จากนั้นเขาก็เดินมาข้างหน้าสองสามก้าว แล้วนั่งกับหญิงสาวทั้งสอง


 


 


“ที่จริงแล้วเรื่องนี้เรียบง่ายมาก ด้วยสถานะของอาวุโสเจียงรับข้าเป็นศิษย์ เดิมทีควรจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ข้าคิดที่จะกลับไปยังเผ่ามนุษย์ หาทางฝึกฝนเคล็ดวิชาลับที่ทำให้กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ แม้ว่าอิทธิฤทธิ์ของเผ่าอายุยืนนั้นจะร้ายกาจเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถขจัดร่างครึ่งคนครึ่งภูตของข้าได้ แต่ศิษย์พี่รู้สึกว่านี่คือโอกาสที่หาได้ยาก หวังว่าข้าจะยอมตกลง” หยวนเหยาเป็นฝ่ายเอ่ยปากด้วยความจนปัญญาขึ้นมาก่อน


 


 


“ศิษย์น้องหยวน การจะคืนร่างมนุษย์ไยต้องรีบร้อนด้วย สามารถฝึกฝนกับอาวุโสเจียงสักระยะหนึ่งไปก่อน รอให้อิทธิฤทธิ์ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแล้ว ค่อยกลับไปที่เผ่ามนุษย์แล้วหาวิธีคืนร่างมนุษย์ก็ได้ หากพลาดโอกาสดีเช่นนี้ไปแล้ว จะหาอีกก็คงยาก” เหยียนลี่กลับคิดได้อย่างลึกซึ้งยิ่งนัก พลันพูดเสนอความเห็นออกมาตามตรง


 


 


“หากภายหลังสามารถคืนร่างมนุษย์ได้จริงๆ ข้ายังต้องพิจารณามากมายเช่นนี้อยู่อีกหรือ! ศิษย์พี่น่าจะเข้าใจดี ตั้งแต่ที่ท่านกับเข้าสองคนฝึกฝนคาถาตะวันจันทราหวนคืน ร่างของเราสองคนก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภูตผีที่แท้จริงทีละนิดมาโดยตลอด แม้ว่าเราสองคนจะใช้พลังยับยั้งถึงขีดสุด แต่เกรงว่าผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็จะกลายเป็นภูตจริงๆ แล้ว ข้าจะมัวเสียเวลาที่นี่ต่อไปได้อย่างไร จะมีเวลาที่ไหนไปฝึกฝนอิทธิฤทธิ์อย่างอื่น” หยวนเหยาถอนหายใจคราหนึ่ง ท่าทางค่อนข้างกลัดกลุ้ม


 


 


“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าให้ศิษย์น้องไหว้อาจารย์อยู่ที่นี่ ข้ากลับไปที่เผ่ามนุษย์ ก็จะช่วยตามหาเคล็ดวิชาลับฟื้นคืนร่างมนุษย์ให้ ไม่เสียเวลาศิษย์น้องแน่นอน” เหยียนลี่ก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน แล้วตอบกลับ


 


 


“ไยศิษย์พี่ต้องทำเรื่องที่อุดหูขโมยกระดิ่ง[1] เช่นนี้ด้วย! ความหมายแฝงในคำพูดของอาวุโสเจียง ทำไมศิษย์น้องจะฟังไม่ออก ดูเหมือนทัณฑ์สวรรค์ครั้งต่อไปของเขาก็อีกไม่นานแล้ว แม้ว่าตอนนี้ข้าจะมุ่งมั่นฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ของเผ่าอายุยืนนั่น ก็แค่พอถูไถใช้ได้เท่านั้น พอไหว้เป็นศิษย์ของเขาแล้ว จะแบ่งใจไปฝึกฝนสิ่งอื่นได้อย่างไรอีก” หยวนเหยาส่ายศีรษะ


 


 


“ตราบใดที่พวกเราพี่น้องอยู่ด้วยกันได้ ต่อให้เป็นภูตผีไปจริงๆ แล้วจะทำไม? อันตรายในแดนวิญญาณใช่ว่าศิษย์น้องจะไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ว่าพวกเราสองคนจะได้ร่างมนุษย์คืนมา ก็ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะต้องร่วงตาย หากเป็นเช่นนี้ มิสู้ให้ศิษย์น้องเป็นศิษย์ของอาวุโสเจียงแล้วได้รับการคุ้มครองยังดีเสียกว่า หลังจากสำเร็จอิทธิฤทธิ์อย่างใหญ่หลวงในภายภาคหน้าแล้ว ค่อยหาวิธีคืนร่างมนุษย์ก็ยังไม่สาย ถึงอย่างไรร่างของพวกเราก็กลายเป็นภูตแล้ว ก็ยังไม่เหมือนกับภูตผีที่แท้จริงเสียทีเดียว น่าจะมีวิธีที่ฝืนชะตาได้ อีกทั้งหากพูดอย่างไม่เกรงใจ อาวุโสเจียงให้ความสำคัญกับศิษย์น้องเช่นนี้ หากเจ้าไม่ตกลง เกรงว่ายากจะออกไปจากที่แห่งนี้เช่นกัน” เหยียนลี่พูดเกลี้ยกล่อมออกมาเช่นนี้


 


 


“หากไม่มีวิธีการที่ฝืนชะตาเช่นนี้อยู่จริงๆ ล่ะ?” หยวนเหยาหันมามองหานลี่ด้วยท่าทางประหลาด พลันส่ายหน้าถี่ๆ แสดงท่าทางเห็นด้วย


 


 


“พี่หาน ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ก็พูดสักหน่อยเถอะ!” เหยียนลี่จนปัญญา จำต้องหันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากหานลี่


 


 


“เจตนาของสหายทั้งสอง ข้าฟังเข้าใจอยู่บ้าง สิ่งสำคัญที่แม่นางหยวนเป็นกังวลก็คือหลังจากนี้จะไม่สามารถกลับคืนร่างมนุษย์ได้ ดังนั้นจึงไม่คิดจะไหว้เป็นศิษย์ของอาวุโสเจียงในตอนนี้ ส่วนสหายเหยียนกลับรู้สึกว่านี่คือโอกาสที่หาได้ยาก ไม่อยากให้แม่นางหยวนละทิ้งไปเช่นนี้ ข้าพูดไม่ผิดสินะ” หานลี่ลังเลครู่หนึ่ง จึงค่อยวิเคราะห์ออกมาอย่างสงบเยือกเย็น


 


 


“ไม่ผิด ที่จริงเมื่อคืนนี้เราสองคนไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพูดให้อีกฝ่ายยอมได้!” เหยียนลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง


 


 


“จิตใจที่แม่นางหยวนไม่อยากกลายเป็นภูตผี ผู้แซ่หานย่อมเข้าใจได้อยู่แล้ว ความคิดของสหายเหยียนที่ไม่อยากให้แม่นางหยวนละทิ้งโอกาสดีที่หายากนี้ ข้าน้อยก็พอเห็นใจ ที่จริงแล้วความคิดของทั้งสองคนต่างก็ไม่ผิด” หานลี่ยิ้มจางๆ แล้วตอบกลับ


 


 


“พี่หาน ข้ากับศิษย์น้องมาหาท่านเพื่อหารือเรื่องนี้ ไม่ได้ให้ท่านมาผสมโรงนะ” เหยียนลี่เลิกคิ้วขึ้น แสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจ


 


 


“เหอะๆ สหายเข้าใจผิดแล้ว ที่จริงผู้แซ่หานอยากจะพูดก็คือ ความแตกแยกระหว่างแม่นางหยวนกับเจ้า ใช่ว่าไม่มีทางแก้ไขได้พร้อมกัน” หานลี่ยิ้มเล็กยิ้มใหญ่แล้วกล่าว


 


 


“อะไรนะ พี่หานพูดจริงหรือ?” เหยียนลี่ตกตะลึง พลันเผยสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


 


 


หยวนเหยารู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ!


 


 


 


 


——


 


 


[1] อุปมาว่า หลอกตัวเอง หลับหูหลับตาทำเรื่องบางเรื่อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)