พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1514-1525
บทที่ 1514 ความคิดของหวังเฟย
เดิมทีก็ถูกสายลมกรรโชกสายฝนซัดสาดจนตัวเองเข้ามาอยู่ในแผนการอยู่แล้ว พอมาวันเดียวก็ได้เป็นหวังเฟย[1]เลย ทั้งยังเป็นหวังเฟยภรรยาเอกเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาสี่อ๋องสวรรค์ด้วย ความมีหน้ามีตา ความมีเกียรติยศศักดิ์ศรีก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่รู้ว่าในใต้หล้ามีผู้หญิงมากมายเท่าไรอิจฉาริษยา
เม่ยเหนียงย่อมเข้าใจชัดเจนว่าเกียรติยศความสูงส่งของตัวเองมีสาเหตุมาจากอะไร รู้ว่าต้นทุนของตัวเองคืออะไร แต่นางก็รู้เช่นกันว่าจุดด้อยของตัวเองอยู่ตรงไหน ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่ฮูหยินคนแรกของอ๋องสวรรค์ก่วง ภายใต้สถานการณ์ที่อ๋องสวรรค์อีกสามคนเสียสละคนในครอบครัวเพื่อ ‘แสวงหาอำนาจ’ และไม่แต่งงานใหม่เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกผิด สิ่งนี้สร้างแรงกดดันให้นางเป็นอย่างมาก นางอาศัยรูปร่างหน้าตาไต่เต้าขึ้นมาในตำแหน่งที่สูงเกินไป กอปรกับพื้นเพชาติกำเนิดต่ำต้อย รู้สึกไม่ค่อยสมฐานะนิดหน่อย รากฐานค่อนข้างตื้นเขิน
นางรู้อย่างลึกซึ้ง ว่าการใช้หน้าตาเอาชนะคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องปรนนิบัติใครสักคนในระยะยาว ต่อให้เจ้าจะสวยขนาดไหน แต่ก็จะมีสักวันที่อีกฝ่ายเบื่อหน่าย และนางก็เข้ามาที่จวนท่านอ๋องช้ากว่าคนอื่น ตอนที่นางเข้าจวนท่านอ๋อง อนุภรรยาคนอื่นๆ ของอ๋องสวรรค์ก่วงก็มีทายาทให้อ๋องสวรรค์ก่วงแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่เผชิญกับความกดดันจากตำหนักสวรรค์ สี่อ๋องสวรรค์จึงตั้งใจควบคุมจำนวนทายาท นางจึงเสียสิทธิ์ในการสืบสกุลให้อ๋องสวรรค์ก่วงแล้ว เขาอนุญาตให้นางคลอดลูกสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในตระกูลใหญ่แบบนี้ ลูกชายกับลูกสาวอยู่ในชุดความคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ช้าก็เร็วที่ลูกสาวจะต้องแต่งงานออกไป ลูกชายต่างหากที่มีคุณสมบัติในการทำงานสำคัญ ตอนนี้ลูกชายหลายคนของอ๋องสวรรค์ก่วงก็เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหนึ่งในนั้นได้รับอำนาจที่แท้จริงแล้ว มีหรือที่จะนั่งดูมารดาตัวเองอยู่ในฐานะอนุภรรยาเฉยๆ จะต้องหาทางสนับสนุนมารดาตัวเองให้ขึ้นฐานะฮูหยินเอกแน่นอน ทำให้ฐานะของมารดาถูกต้อง ก็เหมือนกับทำให้ฐานะของตัวเองถูกต้องเช่นกัน แบบนั้นถึงจะใช้อำนาจได้อย่างสมเหตุสมผล
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือตำหนักสวรรค์ หลักการ ‘แม่ได้ดีเพราะลูกชาย’ ก็ล้วนได้รับการยอมทั้งใต้หล้า
แต่ถึงอ๋องสวรรค์ก่วงจะโปรดปรานนาง แต่ก็แค่โปรดปรานนางเฉยๆ ให้นางเพียงเกียรติยศความร่ำรวยเท่านั้น แต่กลับไม่ได้ให้อำนาจที่สอดคล้องกัน ให้นางสนใจแค่เรื่องมโนสาเร่ในจวนท่านอ๋องก็พอ ไม่ให้นางยื่นมือเขามาแทรกงานหลัก นางใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งเพราะอยากจะหา ‘งานหลัก’ ทำสักหน่อย แต่อ๋องสวรรค์ก่วงก็มักจะกล่าวกลั้วหัวเราะว่า : จะไปยุ่งเรื่องนั้นทำไม เจ้าไม่เข้าใจเสียหน่อย!
สรุปก็คือทุกครั้งเขาจะไล่นางโดยอ้างเหตุผลว่า ‘เจ้าไม่เข้าใจ’ แล้วนางก็ไม่เคยมีงานที่จริงจังผ่านมือมาสักที เขาใช้คำพูดนี้ดักนางไว้ แล้วนางยังจะบ่นอะไรได้อีก?
ดังนั้น ถึงแม้ฐานะของนางจะมีเกียรติ ถึงแม้จะสูงส่งเป็นหวังเฟย แต่อำนาจที่แท้จริงในจวนท่านอ๋องก็สู้บรรดาลูกชายของก่วงลิ่งกงไม่ได้ ภายนอกพวกลูกชายของก่วงลิ่งกงเคารพนอบน้อมต่อนาง แต่นางรู้ว่าพวกเขาไม่ได้เห็นหัวนางเลย เกรงว่าแต่ละคนคงจะจ้องจะให้มารดาตัวเองมาแทนที่นาง ที่จวนท่านอ๋องนี้นอกจากก่วงลิ่งกงแล้ว คนที่มีอำนจามากที่สุดก็คือพ่อบ้านของจวนท่านอ๋องโกวเยว่ ไม่ใช่หวังเฟยอย่างนางแน่นอน
ดังนั้นตอนที่ก่วงลิ่งกงกำลังมองดูบรรดาหลานสาวและพวกสาวใช้เล่นกัน ความสนใจของเม่ยเหนียงกลับอยู่บนตัวเขา สนใจอารมณ์ของเขาเพื่อจะปรนนิบัติให้ถูกใจ อ๋องสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐาน นอกจากจะมีงานราชการเยอะแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาเยอะมากเพื่อฝึกตน ไม่ได้มานั่งว่างแบบนี้บ่อยๆ ขอเพียงแค่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ เม่ยเหนียงก็ย่อมพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ก่วงลิ่งกงมีความสุขที่สุด
คนนอกเห็นเพียงความมีหน้าตามีตาของนาง แต่กลับไม่เห็นความกดดันของนาง
ในขณะนี้เอง ร่างกายของเม่ยเหนียงก็เอนไปข้างหลังเล็กน้อย อาศัยด้านหลังคอของก่วงลิ่งกงบังแดด เหลือบมองชายชราคนหนึ่งที่เดินก้าวยาวเข้ามา เป็นโกวเยว่ พ่อบ้านของจวนท่านอ๋องนั่นเอง ในใจนางรู้สึกเซ็งนิดหน่อย รู้ว่าพอท่านนี้มาจะต้องมีเรื่องใหญ่แน่นอน ถ้าเป็นเรื่องเล็กคงไม่มารบกวนอารมร์สุนทรีของอ๋องสวรรค์ในเวลานี้ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหาโอกาสอยู่กับอ๋องสวรรค์ได้ เดาว่าครั้งนี้คงจะโดนขัดจังหวะอีกแล้ว
โกวเยว่เดินเข้ามาในตึกศาลาตามทางเดินยาว เขาเอียงหน้าซ้ายขวาบอกใบ้นิดหน่อย บรรดาสาวใช้ที่ล้อมปรนนิบัติอยู่ในศาลาพากันก้มหน้าอย่างเคารพ แล้วทยอยกันถอยออกไปอย่างเงียบๆ
“ท่านอ๋อง หวังเฟย” โกวเยว่ที่เดินมาข้างที่นั่งหลักทำความเคารพแล้วเงียบไป เขามองไปที่เม่ยเหนียง ถึงแม้จะไม่กล้าพูดอะไร แต่ก็บอกเป็นนัยอย่างชัดเจนแล้ว ว่าข้ากับอ๋องสวรรค์มีเรื่องสำคัญจะคุยกัน อ๋องสวรรค์ไม่ให้เจ้ามายุ่งเรื่องการเมือง เจ้าก็รู้จักกาลเทศะหน่อยเถอะ
เม่ยเหนียงไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ นางแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เอาแต่จ้องฉากอันสนุกสนานรื่นเริงข้างล่าง
ก่วงลิ่งกงที่กำลังจ้องข้างล่างอยู่เหมือนกันสังเกตเห็นแล้วว่าหวังเฟยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงเอียงหน้าช้าๆ มองมา แล้วไอแห้งสองที “แค่กๆ” เขาเองก็ไม่สะดวกจะไล่หวังเฟยไปตรงๆ ทำได้เพียงแอบเตือนหวังเฟยว่าให้หลบเลี่ยงไปก่อน
เม่ยเหนียงก้มศีรษะเล็กน้อย บนใบหน้าฉายแววน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งยังทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วย นางบ่นเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋องบอกแล้วว่าวันนี้จะไม่คุยเรื่องงาน บอกแล้วว่าจะอยู่กับข้าและเม่ยเอ๋อร์ทั้งวัน ท่านเห็นมั้ยว่าวันนี้เม่ยเอ๋อร์มีความสุขขนาดไหน พยายามเต้นระบำให้ท่านพ่อของตัวเองดูอยู่ตรงนั้น ท่านอ๋องพูดแล้วคืนคำเหรอคะ?”
สายตาของก่วงลิ่งกงมองไปยังสาวงามคนหนึ่งที่กำลังเต้นระบำอยู่ท่ามกลางผู้หญิงอีกหลายคน ไม่ใช่แค่หน้าตาสวย ที่มากกว่านั้นคือบุคลิกยั่วเย้าออดอ้อน มีลักษณะของดาวยั่วทั้งภายนอกและภายใน ได้รับจุดเด่นจากมารดามาเต็มๆ ทั้งยังมีกลิ่นอายความเยาว์วัยที่มารดานางไม่มี นางชื่อว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์ เป็นลูกสาวคนเล็กของเขา สาเหตุที่อายุน้อยที่สุด ก็เพราะเม่ยเหนียงเข้าจวนมาช้าที่สุด ตอนนี้กำลังเล่นอยู่กับรุ่นหลายที่อายุไล่เลี่ยกัน
พอมองไปยังใบหน้าที่น้อยใจของฮูหยินอีกครั้ง ในใจก่วงลิ่งกงก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเอียงหน้าไปอีกข้างแล้วบอกว่า “เรื่องนี้เป็นความลับเหรอ?”
โกวเยว่ชำเลืองมองเม่ยเหนียง แล้วตอบว่า “ก็ไม่ถือว่าเป็นความลับขอรับ”
ก่วงลิ่งกงจับมือที่เรียวยาวอ่อนนุ่มของเม่ยเหนียงมาลูบไล้ในมือตัวเอง พร้อมบอกว่า “ในเมื่อไม่ใช่ความลับ ก็ไม่มีอะไรให้หลบเลี่ยง ว่ามาเถอะ เรื่องอะไร?”
“เป็นเรื่องหนิวโหย่วเต๋อขอรับ” โกวเยว่ตอบ
“หนิวโหย่วเต๋อ…” ก่วงลิ่งกงงุนงงไปชั่วขณะ ถึงแม้เหมียวอี้จะมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ถึงขั้นมาเกี่ยวข้องอยู่ในงานประจำวันของเขา หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งถึงได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เขาก็แค่รอดออกมาจากแดนดึกดำบรรพ์ไม่ใช่เหรอ? มีเรื่องอะไรอีก? ตระกูลอิ๋งลงมือแล้วเหรอ?”
“ได้รับข่าวลือมา มีคนลือกันว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เป็นศิษย์ของอสุราอัคนี” โกวเยว่กล่าว
“อะไรนะ?” ก่วงลิ่งกงร่างกายสั่นสะเทือน สะบัดมือเม่ยเหนียงออกไปโดยตรง แล้วลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากหลังโต๊ะยาว มาอยู่ตรงหน้าโกวเยว่แล้วถามเสียงต่ำว่า “ข่าวนี้เชื่อถือได้มั้ย?”
เม่ยเหนียงที่นั่งอยู่ข้างกันลุกขึ้นตามอย่างช้าๆ แววตาเป็นประกายไม่หยุดนิ่ง คิดในใจว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ตัวเองเคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่อสุราอัคนีคือใครล่ะ ทำให้ท่านอ๋องตกตะลึงจนเสียอาการขนาดนี้เลยเหรอ?
โกวเยว่ส่ายหน้าเล็กน้อย “ข่าวจะเชื่อถือได้หรือไม่ก็ไม่มีทางยืนยันได้ แต่เป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะเป็นความจริงขอรับ”
“ทำไมคิดอย่างนั้น? อ๋อ…” ก่วงลิ่งกงที่เพิ่งถามไปทำสีหน้าเข้าใจกระจ่างทันที พยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ใช่แล้วๆ คงจะเป็นอย่างนี้ มิน่าล่ะ ตอนแรกข้าก็แปลกใจอยู่ ว่าทำไมประมุขชิงถึงส่งคนต่ำต้อยอย่างหนิวโหย่วเต๋อไปที่หน่วยองครักษ์ซ้าย พอมาดูตอนนี้แล้ว สงสัยคงตั้งใจจะชุบเลี้ยงจริงๆ”
โกวเยว่บอกว่า “ใช่แล้ว! โพ่จวินปกป้องเขา แต่สุดท้ายก็ยอมให้เขาไปรับโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แบบนี้ไม่เหมือนลักษณะของลาดื้ออย่างโพ่จวิน เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าประมุขชิงรู้กำพืดของหนิวโหย่วเต๋อตั้งแต่แรกแล้ว ตอนหลังก็บอกโพ่จวินด้วยเช่นกัน ถึงได้ทำให้โพ่จวินยอมตอบตกลง นอกจากนี้ การที่หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้เหมือนอสุราอัคนีก็คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุด แถมยังได้ยินว่าวรยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งแล้วด้วย ก้าวหน้าเร็วมาก ทั้งยังสอดคล้องกับสิ่งที่อสุราอัคนีประสบพอดี! ท่านอ๋อง หากไร้ลมคงไม่เกิดขึ้น หัวหแกต่างๆ ชี้ไปที่จุดเดียว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากจริงๆ”
เม่ยเหนียงที่อยู่ข้างกายแอบตื่นเต้นเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นเร้าใจยามเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง จากนั้นก็คอยฟังเนื้อหาเรื่องสำคัญอยู่ข้างๆ ท่านอ๋อง นึกไม่ถึงว่าจะได้ฟังเรื่องราวที่ใหญ่โตขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นแค่พวกชอบก่อเรื่อง ครั้งนี้ผู้บัญชาการโพ่จวินของหน่วยองครักษ์ซ้ายปกป้อง อีกทั้งประมุขชิงยังตั้งใจจะชุบเลี้ยง อสุราอัคนีนั่นมีภูมิหลังเป็นอย่างไร เดี๋ยวนางจะต้องไปสืบให้ดีๆ สักหน่อยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้บุคคลสำคัญมากมายให้ความสำคัญได้
ก่วงลิ่งกงหรี่ตาพลางครุ่นคิดเงียบๆ ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้าเจ้าเด็กนี่มีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของอสุราอัคนีอาจารย์ของเขา ก็จะต้องมีอนาคตไกลไร้ขอบเขตแน่นอน หยกงามขนาดนี้มีหรือที่ข้าจะปล่อยไป ใช้วิธีการอะไรถึงจะดึงตัวเขามาได้ล่ะ?”
โกวเยว่ตอบว่า “ถึงยังไงเขาก็อยู่ในมือประมุขชิง ต่อให้จะอยากมาขอพึ่งพิงเป็นลูกน้องท่านอ๋อง แต่ถ้าประมุขชิงไม่ยอมปล่อยคนก็จะจัดการเรื่องนี้ได้ยาก วิธีการเดียวก็คือ…แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!”
ก่วงลิ่งกงพยักหน้า “เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก กลายเป็นเขยของตระกูลก่วงแล้ว ต่อให้ประมุขชิงอยากจะกักตัวไว้ แต่ก็จะฟังดูเหลวไหลแล้ว เจ้าเด็กนั่นไม่มีประวัติภูมิหลังอะไร หลังจากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แล้วก็จะกลายเป็นคนของตระกูลก่วงอย่างเต็มตัว ดี!” เขาหันตัวไปมองในกลุ่มผู้หญิงที่กำลังร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน “เจ้าคิดว่าให้ใครแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเหมาะสมที่สุด?”
โกวเยว่ก้าวขึ้นมา กวาดสายตามองไปข้างล่าง ขณะกำลังจะเลือก เม่ยเหนียงที่อยู่ข้างกันก็กัดฟันแล้วพูดออกมาเสียงดังฟังชัดว่า “ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งกับเขาก็สิ้นเรื่องแล้วค่ะ”
ก่วงลิ่งกงกับโกวเยว่หันไปมองพร้อมกัน กำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ เกือบจะลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ด้วย ทั้งคู่ประหลาดใจเล็กน้อย
ก่วงลิ่งกงขมวดคิ้ว “เม่ยเอ๋อร์เหรอ? ไม่ค่อยเหมาะมั้ง? เม่ยเอ๋อร์เกิดจากหวังเฟยของข้า เป็นลูกสาวภรรยาหลวงของจวนอ๋องสวรรค์ เอามาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อาจจะเกินไปหน่อย เลือกคนที่เหมาะสมจากรุ่นหลานเถอะ”
เม่ยเหนียงก้าวขึ้นมาคล้องแขนก่วงลิ่งกง “ในเมื่อเป็นลูกของภรรยาหลวง ก็ย่อมต้องเป็นหนังหน้าไฟช่วยแบ่งเบาความกังวลของบิดาอยู่แล้ว! ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้ยินก็ว่าไปอย่าง ในเมื่อได้ยินแล้ว จะแสร้งไม่ได้ยินแล้วปกป้องลูกสาวตัวเอง แต่ปล่อยให้ลูกสาวอนุภรรยาคนอื่นไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้ยังไงคะ ถ้ารู้ไปถึงไหน ชาวบ้านจะไม่ตำหนิแกนหลักอย่างหวังเฟยเหรอคะ! ท่านอ๋อง ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานเถอะค่ะ!” ในแววตาซ่อนการเฝ้าคอย
ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครอยากแต่งงานกับลูกสาวนาง คนที่อยากแต่งงานด้วยมีเยอะมาก แต่ก็ต้องดูด้วยว่านางจะชอบหรือไม่ ถ้าเป็นเมื่อก่อน หนิวโหย่วเต๋ออะไรนั่นคือคนที่นางดูถูกเหยียดหยาม แต่วันนี้ได้ยินหมดแล้ว ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าอสุราอัคนีเป็นใคร แต่คนที่มีคนใหญ่คนโตจับตาดูเยอะขนาดนี้ ขนาดท่านอ๋องบ้านตัวเองยังต้องการจะลงทุนชุบเลี้ยงเลย ขอเพียงตาไม่บอด ก็จะมองออกว่าต่อไปหนิวโหย่วเต๋อจะมีอนาคตยาวไกล สักวันหนึ่งจะต้องเป็นคนที่กุมอำนาจมหาศาลเอาไว้ในมือแน่!
ลูกหลานของตระกูลใหญ่มาขอแต่งงาน ลูกหลานชนชั้นสูงมาขอแต่งงาน ลูกสาวนางไม่เคยขาดเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ที่ขาดแคลนที่สุดก็คือคนที่กุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ ขาดคนที่จะมาเป็นที่พึ่งพิงให้พวกนางสองแม่ลูกได้ เมื่อมีที่พึ่งพิงแบบนี้แล้ว พวกนางสองแม่ลูกถึงจะมีความสำคัญที่จวนท่านอ๋องอย่างแท้จริง ถึงจะทำให้พวกนางสองแม่ลูกยึดอกได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ปลอมเปลือกแค่ภายนอก แบบนั้นจะได้ไม่ต้องกังวลว่านางจะเสียตำแหน่งหวังเฟยไปง่ายๆ กับเรื่องพวกนี้ ลูกหลานของตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ทำไม่ได้!
ถ้าเป็นเมื่อก่อน นางก็อาจจะเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เมื่อได้ยินว่าเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางชนชั้นสูง ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถทำได้ทุกอย่าง หลังจากอยู่ที่จวนท่านอ๋องมาหลายปี ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ไม่ใช่ว่าลูกหลานขุนนางทุกคนจะก้าวหน้าถึงระดับนั้นได้ หลังจากประสบพบเจอกับเรื่องใหญ่จริงๆ บางสถานการณ์การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็มีประโยชน์ แต่บางสถานการณ์ ตอนนี้แต่ละบ้านต่างคนต่างสนใจผลประโยชน์ของตัวเอง การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องจอมปลอมทั้งนั้น ไม่สู้ในมือมีลูกเขยที่กุมอำนาจทางทหารเอาไว้เยอะๆ ดีกว่า
ถ้าไม่ได้บังเอิญได้ยินและได้รู้ก็จะปล่อยผ่าน แต่ในเมื่อนางบังเอิญเจอโอกาสดีแบบนี้แล้ว ต่อให้จะห้ามไม่ให้นางเข้าร่วมการเมือง แต่นางก็แน่วแน่แล้วว่าจะพลาดไม่ได้ ต่อให้นางโดนด่าแต่ก็ต้องช่วงชิงโอกาสให้ลูกสาวให้ได้
…………………………
[1] หวังเฟย 王妃 ตำแหน่งภรรยาเอกของท่านอ๋อง
บทที่ 1515 ประโยคเดียวมีน้ำหนักกว่าร้...
ก่วงลิ่งกงมองออกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่เผยอยู่ในดวงตา พอลองใช้สมองคิด ก็เข้าใจเจตนาของนางแล้ว แผนการตื้นๆ ของนางจะปิดบังเขาได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นก็เสียแรงเปล่าแล้วที่เขาเป็นอ๋องสวรรค์
เขารู้ว่านางอยากได้อะไร ที่จริงสถานการณ์อันตรายของเม่ยเหนียงทุกวันนี้ล้วนเป็นเขาที่สร้างมาเองกับมือ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขานึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่แต่งตั้งเม่ยเหนียงเป็นหวังเฟย หลังจากกำหนดเรื่องนี้ในปีนั้น เขาก็นึกเสียใจทีหลังทันที เสียใจที่ชั่วขณะนั้นไม่อาจะต้านทานความอ่อนโยนของผู้หญิงได้
บางอย่างนั้นความสวยเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของคนที่นั่งตำแหน่งหวังเฟยไม่ความสวย แต่เป็นความสามารถในการคุมคนต่างหาก เม่ยเหนียงทั้งไม่ใช่ฮูหยินคนแรก ทั้งยังไม่เคยผ่านเรื่องราวความรักที่สอดคล้องกับคุณธรรมและจริยธรรมแบบจริงจังเลย เป็นเพียงสาวงามที่เบื้องล่างนำมามอบให้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นของกำนัลที่เบื้องล่างส่งมาให้ ผู้หญิงที่ถูกทำเป็นของกำนัลและผ่านมือมาหลายคน ตอนที่มาถึงมือเขานางมีร่างกายบริสุทธิ์ไม่เสียหาย เขารู้เรื่องนี้แต่คนอื่นกลับไม่รู้! ต่อให้ทุกคนจะเชื่อว่านางมีร่างกายที่บริสุทธิ์ แต่อาศัยความงามของผู้หญิงคนนี้ ตอนเปลี่ยนมือแล้วโดนคนอื่นลูบคลำสักสองที บีบคลึงสักสองทีก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
สาเหตุที่ไม่ถือสาเรื่องบางเรื่องก็เพราะยังไม่ถึงลำดับขั้นตอนนั้น แต่เมื่อถึงลำดับขั้นตอนนั้นแล้ว จะไม่ให้ถือสาก็คงยาก ส่งผลกระทบมากเกินไปจริงๆ ยิ่งอยู่ในตระกูลใหญ่ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ครอบครัวก็จะวุ่นวาย และเขาก็อยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว แต่เป็นผู้นำที่ไม่ดีเอามากๆ!
การแต่งตั้งผู้หญิงแบบนี้ให้เป็นหวังเฟย จะให้อนุภรรยาในบ้าน ให้ลูกชายและลูกสาวของอนุภรรยาในบ้านทนความรู้สึกได้อย่างไร?
ทว่าในเมื่อทำไปแล้ว จะมานึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว
ดังนั้นถึงแม้เขาจะมองออกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของเม่ยเหนียง แต่ก็ยังไม่อยากให้ในมือนางมีอำนาจที่แท้จริงเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีทางอธิบายกับบรรดาลูกชายได้ และถ้าสองฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกันล้วนมีอำนาจขึ้นมา หนึ่งฝ่ายในนั้นก็จะไม่ก้มหัวแล้ว เมื่ออำนาจปะทะกันก็จะเกิดเรื่องได้ง่าย เขาเองก็เข้าใจว่าเม่ยเหนียงแค่อยากจะปกป้องตัวเอง แต่เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ยังจะมีใครกล้าแตะต้องพวกนางสองแม่ลูกอีกเหรอ?
“เม่ยเหนียง เม่ยเอ๋อร์ยังเด็กอยู่ ข้าทำใจให้นางออกเรือนไปไม่ได้ ข้างกายข้ามีลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานแค่คนเดียว ยังอยากจะเก็บนางไว้ข้างกายเพื่อปกป้องอีกสักหลายๆ ปี เรื่องนี้ช่างมันเถอถ”ก่ วงลิ่งกงตอบเสียงเรียบ
พอได้ยินคำนี้ เม่ยเหนียงก็หนาวเหน็บหัวใจจนถึงก้นบึ้ง ลูกสาวอายุหลายพันปีแล้ว ยังเด็กยังเล็กอะไรกัน นี่เป็นข้ออ้างล้วนๆ เลย เขาแค่ไม่อยากให้อำนาจนาง นางรู้ว่าอ๋องสวรรค์ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จะพูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์ นางรู้สึกหดหู่ใจ แอบก้มหน้าก้มตาเงียบๆ สุดท้ายคำพูดของนางก็ยังไม่มีน้ำหนักอะไรในจวนท่านอ๋อง
ใครจะคิดว่าในตอนนี้ จู่ๆ พ่อบ้านใหญ่โกวเยว่ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ท่านอ๋อง ในเมื่อหวังเฟยมีความตั้งใจนี้ บ่าวคิดว่าลองพิจารณาก็ได้ขอรับ”
“หืม…” เม่ยเหนียงพลันเงยหน้า มองเขาอย่างตกตะลึงมาก นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่ท่านอ๋องตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แต่พ่อบ้านที่นางไม่ถูกชะตาคนนี้กลับช่วยนางพูดงั้นเหรอ กำลังช่วยนางกู้สถานการณ์งั้นเหรอ
ก่วงลิ่งกงก็เอียงหน้ามองมาอย่างประหลาดใจเช่นกัน เขารู้ว่าโกวเยว่ไม่มีทางยิงธนูโดยไร้เป้า ที่พูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่โน้มน้าวให้ตนกลับคำพูดที่กล่าวออกไปแล้ว จึงถามอย่างจริงจังว่า “หมายความว่ายังไง?”
โกวเยว่ก็อธิบายอย่างจริงจังเช่นกัน “ต้องดูว่าท่านอ๋องมีความแน่วแน่ที่จะดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อขนาดไหน ถ้าแค่อยากจะลองดู เช่นนั้นเลือกใครไปสักคนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยากดึงตัวมาเป็นลูกน้องคนสนิทของท่านอ๋อง บ่าวคิดว่าควรจะพิจารณาคำพูดของหวังเฟยขอรับ”
“หรือว่าการที่เม่ยเอ๋อร์แต่งงานหรือไม่แต่งงานนั้นมีส่วนทำให้เรื่องนี้สำเร็จ?” ก่วงลิ่งกงแปลกใจ
“ถ้าจะบอกว่ามีส่วนกับความสำเร็จแน่นอน ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้นขอรับ เพียงแต่อาจจะตัดสินความสำเร็จและล้มเหลวได้” โกวเยว่ตอบ
เม่ยเหนียงเบิกตากว้างมองดูว่าเขาจะพูดอะไร นางรู้ดี ว่าถ้าจะมีใครสักคนในจวนท่านอ๋องที่สามารถเปลี่ยนความคิดของท่านอ๋องได้ ก็มีแต่ท่านนี้แล้ว นางกลั้นหายใจไม่กล้ารบกวนตอนเขาพูด
“อ้อ!” ก่วงลิ่งกงแปลกใจอีกครั้ง “ข้ายินดีจะฟังรายละเอียด!”
โกวเยว่อธิบายว่า “ในเมื่อพวกเราได้ข่าวนี้มาแล้ว แสดงว่าอีกสามอ๋องก็ไม่ได้หูหนวกเช่นกัน ขออนุญาตถามท่านอ๋องหน่อย ว่าอีกสามอ๋องจะทิ้งโอกาสในการรับศิษย์ของอสุราอัคนีมาเป็นลูกน้องคนสนิทหรือไม่?”
“ก็ต้องไม่อยู่แล้ว เกรงว่าแม้แต่อิ๋งจิ่วกวงก็ต้องวางศักดิศรีลงชั่วคราวเช่นกัน ต้องกอบโกยสิ่งที่อยู่ภายในมาไว้ในมือก่อน” ก่วงลิ่งกงกล่าว
โกวเยว่บอกว่า “ข่าวกะทันหันเกินไป ทุกคนไม่ได้เตรียมตัวเท่าไรนัก ถ้าอยากจะชิงดึงตัวมาในเวลานี้ ท่านอ๋องคิดว่าอีกสามอ๋องจะใช้วิธีการอะไร?”
ก่วงลิ่งกงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าฝืนบังคับแล้วซื้อใจเขาไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าอยากจะซื้อใจเขา เกรงว่าคงจะนึกได้แค่วิธี ‘แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์’ แล้ว มีเพียงการทำให้ศิษย์ของอสุราอัคนีกลายมาเป็นคนของตัวเอง ถึงจะมั่นคงปลอดภัยที่สุด”
โกวเยว่ถามอีกว่า “ขออนุญาตถามท่านอ๋อง อีกสามบ้านยังมีลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานหรือเปล่า?”
“ไม่มี ลูกสาวของตาแก่สามคนนั้นแต่งงานออกเรือนไปหมดแล้ว…” ก่วงลิ่งกงเข้าใจแล้ว ถามกลับว่า “เจ้าหมายความว่า จะให้ข้าแสดงความจริงใจเหรอ?”
“ถูกต้อง! และมีความแตกต่างกับอีกสามบ้านที่จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับเขา คนอื่นให้แต่งกับรุ่นหลาน แต่ท่านอ๋องกลับให้แต่งกับลูกสาวสุดที่รักที่เกิดกับฮูหยินเอก! หลานเขยกับลูกเขยมีความแตกต่างกันไม่น้อย” โกวเยว่กล่าวอย่างมั่นใจ แล้งถามอีกว่า “ท่านอ๋อง! ขอพูดบางอย่างที่บาดหู ในบรรดาลูกสาวหลานสาวของท่านอ๋อง ยังมีใครที่สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อหวั่นไหวได้เท่าเม่ยเอ๋อร์อีก?”
ก่วงลิ่งกงเลิกคิ้วเล็กน้อย หันไปมองกลุ่มผู้หญิงที่หัวเราะพูดคุยกันอยู่ข้างล่าง สายตาไปหยุดอยู่บนตัวลูกสาวที่เย้ายวนพราวเสน่ห์ที่สุด สวยสะดุดตากว่าลูกสาวคนอื่นของเขาตั้งเยอะ ได้รับข้อดีของมารดามาเต็มๆ หลังจากผ่านเรื่องราวในสังคมแล้วเติบโตเต็มที่ ก็อาจจะเหมือนสีเขียวครามที่เกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงินเสียอีก อาจจะเย้ายวนยิ่งกว่ามารดานางก็ได้ การที่สามารถมีลูกสาวสวยขนาดนี้ได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจเช่นกัน
แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนยังไม่เอ่ยเรื่องแต่งงานก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอเอ่ยเรื่องแต่งงานแล้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกปวดใจนิดหน่อย ลูกสาวที่ดีขนาดนี้ ในสักวันหนึ่งก็จะต้องแยกจากเขาไป ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกผู้ชายคนอื่นจีบแล้ว ต่อให้เขาจะสูงส่งเป็นอ๋องสวรรค์แต่ก็ขัดขวางไม่ได้ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและตัดใจไม่ลงพรั่งพรูขึ้นมาในหัวใจพร้อมกัน
สิ่งที่เขาพูดกับเม่ยเหนียงก่อนหน้านี้ไม่ใช่ข้ออ้างเสียทั้งหมด เขาอยากจะเก็บลูกสาวคนนี้ไว้ข้างกายอีกสักหลายปีจริงๆ เก็บไว้ได้นานแค่ไหนก็ยิ่งดี ถึงอย่างไรลูกสาวเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแต่งงานอยู่แล้ว จะรีบทำไมล่ะ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะต้องปล่อยมือไปเร็วขนาดนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าจะต้องเผชิญเรื่องนี้เข้าสักวัน แต่ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้
โกวเยว่สังเกตสีหน้าท่าทางของเขา แล้วพูดเสริมว่า “ความจริงใจของท่านอ๋อง คือข้ออ้างที่ดีที่สุดที่จะกดคนอื่นและต่ำลงและยกตัวเองให้สูงขึ้นตอนที่คุยเรื่องแต่งงาน ความจริงใจขนาดนี้จะต้องเข้าไปอยู่ในขอบเขตการพิจารณาของหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา ความงามของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อหวั่นไหวได้ ตามที่บ่าวทราบมา อีกสามบ้านยังไม่มีสาวโสดคนไหนที่งดงามกว่าคุณหนูเม่ยเอ๋อร์เลย ถ้าปล่อยคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ออกมา ความจริงใจของท่านอ๋องและความงามของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ก็เป็นสิ่งที่อีกสามบ้านเทียบไม่ติด พอเปิดฉากมาท่านอ๋องก็ได้เปรียบแล้ว ทำแบบนี้ก็เบียดอีกสามบ้านตกรอบแล้ว ความได้เปรียบที่ฉวยโอกาสได้ก่อนย่อมดีกว่าอยู่แล้ว” พูดจบแล้วก็หยุดเพียงเท่านี้ สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขา
ดวงตาเย้ายวนฉ่ำน้ำของเม่ยเหนียงมองเขาอย่างเป็นกระกาย จากนั้นก็หันไปมองก่วงลิ่งกงเพื่อรอการตัดสินใจอีก
“เฮ้อ! ในเมื่อจะเอาแบบนี้ งั้นก็ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานแล้วกัน” ก่วงลิ่งกงถอนหายใจเบาๆ นับว่าตัดสินใจขั้นสุดท้ายแล้ว
เม่ยเหนียงปลาบปลื้มดีใจ ขณะกำลังจะพูด นางก็เห็นโกวเยว่ทำท่าจะเอ่ยปากพูดเช่นกัน นางจึงหุบปากทันที รอฟังอย่างว่านอนสอนง่าย
“ท่านอ๋อง ทางด้านหนิวโหย่วเต๋อนั้น ต่อให้พวกเราจะบอกว่าเม่ยเอ๋อร์งดงามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ร้อยปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น ขอเพียงทำให้คุณหนูเม่ยเอ๋อร์ไปยืนอยู่ข้างๆ หนิวโหย่วเต๋อได้ เรื่องนี้จะต้องสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งแน่นอน”
ก่วงลิ่งกงย่อมเข้าใจว่าทำไมเขาไม่สะดวกจะพูดออกมาตรงๆ จะบอกว่าผู้ชายหลงในกามตัณหา วีรบุรุษมักพ่ายแพ้หญิงงามไม่ใช่เหรอ เขาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันไง ไม่อย่างนั้นเม่ยเหนียงคงไม่ได้กลายเป็นหวังเฟยเหมือนกัน เพียงแต่เขายังกลุ้มใจอยู่บ้าง ถามว่า “ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหน?”
โกวเยว่ “ตอนนี้เบาะแสไม่ชัดเจน ได้ยินว่าทางหน่วยองครักษ์ซ้ายปล่อยให้เขาพักผ่อนได้หนึ่งปี บ่าวจะไปสืบข่าวมาอีกสักหน่อย ถ้าอยู่ที่อื่น เกรงว่าจะต้องจัดฉากให้คุณหนูกับหนิวโหย่วเต๋อพบกันโดยบังเอิญ แต่ถ้าเขากลับอุทยานหลวงมาแล้ว บ่าวก็แนะนำให้หวังเฟยพาคุณหนูเดินเล่นในสวนที่อุทยานหลวงสักหน่อย อาศัยฐานะของหวังเฟย ถึงตอนนั้นสามารถเรียกพบทักทายได้โดยตรงขอรับ”
ก่วงลิ่งกงเอียงหน้ามองไปทางเม่ยเหนียง นางรับปากทันที “ข้าจะทำตามที่ท่านอ๋องเตรียมการทุกอย่าง จะพยายามจัดการเรื่องนี้อย่างดีที่สุด” นางพยายามปกปิดความปลาบปลื้มไว้ในใจ
“งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน! เฒ่าโกว เจ้าไปเตรียมการเรื่องนี้เถอะ” ก่วงลิ่งกงถอนหายใจ สายตาไปหยุดอยู่บนตัวลูกสาวที่กำลังมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า แล้วก็บอกเม่ยเหนียงอีกว่า “เรียกเม่ยเอ๋อร์มาหาข้าที นางชอบเล่นหมากล้อมกับข้าที่สุด ให้นางมาเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย” ในน้ำเสียงปะปนอารมณ์หดหูอย่างปิดบังได้ยาก
เม่ยเหนียงมองเงาหลังโกวเยว่เดินจากไป แล้วรีบบอกว่า “ข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้ ถือโอกาสกำชับนางด้วย” จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปเลย
หลังจากลงไปเรียกลูกสาวข้างล่างแล้ว เม่ยเหนียงก็ออกไปจากตรงนั้นชั่วคราว
ไม่นานก็มาโผล่อยู่ที่ทางเดินวงแหวนในจวนท่านอ๋องอีกครั้ง เจอกับพ่อบ้านโหวเยว่ที่เพิ่งเลี้ยวออกมาจากประตูพระจันทร์พอดี
“หวังเฟย!” โกวเยว่เพิ่งจะทำความเคารพ ใครจะคิดว่าเม่ยเหนียงจะย่อเข่าทำความเคารพกลับ “บุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของพ่อบ้านโกว เม่ยเหนียงไม่รู้จะขอบคุณยังไง โปรดรับการคำนับจากข้าด้วย”
นางเข้าใจชัดเจน ว่าวันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะท่านนี้เอ่ยปาก เรื่องนี้ก็ไม่มีโอกาสพลิกได้เลย ที่จวนท่านอ๋องมีเพียงท่านนี้เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงความคิดของท่านอ๋องได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอ๋อง คำพูดของเขาประโยคเดียวเทียบเท่ากับคำพูดออดอ้อนของนางร้อยประโยค เมื่อครู่นี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว
โกวเยว่ย่อมเข้าใจอยู่แล้วว่านางกำลังขอบคุณเรื่องอะไร แต่สิ่งนี้กลับทำให้เขารับผิดชอบไม่ไหว ถึงแม้อำนาจที่แท้จริงในมือเขาจะเป็นอันดับสองรองจากท่านอ๋อง แต่เขาก็ยังรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง จะให้เจ้านายมาคำนับบ่าวได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจแม้แต่หลักการนี้ มีหรือที่จะยืนอยู่ในจวนท่านอ๋องมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เรียกได้ว่าลนลานทำอะไรไม่ถูก ลังเลว่าจะไปประคองดีหรือไม่ประคองดี แล้วรีบถอยหลังไปสองก้าว แล้วโค้งตัวคำนับคืน “หวังเฟยเข้าใจบ่าวผิดแล้ว บ่าวไม่ได้มีเจตนาส่วนตัว เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ขอรับ รับการคำนับนี้จากหวังเฟยไม่ไหวจริงๆ”
เม่ยเหนียงกลับมองเขาตาปริบๆ พร้อมบอกว่า “ข้าอยู่ข้างนอกออกแรงช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องของเม่ยเอ๋อร์ยังต้องหวังให้พ่อบ้านโกวพยายามทำให้สำเร็จหน่อย ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เม่ยเหนียงและลูกสาวก็จะจดจำบุญคุณของพ่อบ้านโกไว้!”
โกวเยว่รีบโบกมือ “นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในหน้าที่ทั้งนั้นขอรับ ในเมื่อท่านอ๋องกำชับมาแล้ว บ่าวก็ย่อมต้องพยายามเต็มที่”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาไกลๆ เม่ยเหนียงก็พยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรอีก รีบร้อนเดินจากไปแล้ว
โกวเยว่มองไปรอบๆ ตัวเองนับว่าเป็นคนที่ผ่านอุปสรรครคลื่นลมมามากมาย แต่ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะตกใจจนเหงื่อแทบแตก ถ้าให้คนอื่นเห็นก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นก็ได้ เขาถอนหายใจออกมาช้าๆ สงบสติอารมณ์แล้วเดินออกไป ตรงทางเลี้ยวมีสาวใช้สองคนโผล่มาเจอเขา พวกนางรีบหลีกทางให้และทำความเคารพ
เม่ยเหนียงกลับมาบนตึก พอเห็นลูกสาวกับเล่นหมากล้อมกับท่านอ๋อง นางก็ยิ้มตาหยีแล้วรินน้ำชาบริการให้ด้วยตัวเอง
หลายวันติดต่อกัน ก่วงลิ่งกงล้วนอยู่ค้างคืนที่นี่ ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เรื่องแรกที่ทำก็คือเรียกลูกสาวเข้ามา แล้วถามนางว่าอยากจะกินอะไร อยากจะไปเที่ยวเล่นที่ไหน แล้วอยู่กับลูกสาวเองเลย ถึงขั้นเลื่อนงานต่างๆ ออกไปก่อน นี่คือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย…
บทที่ 1516 คลุมเครือน่าสงสัย
จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้ามที่คนทั่วไปห้ามบุกเข้ามาโดยพลการ เซี่ยโห้วท่าหลับตานอนเอนกายอยู่บนเตียงผ้าแพรกลางแจ้งเพื่อรับแสงแดดอันอบอุ่น ร่างกายแก่ชราแทบจะจมลงไปในผรมขนสัตว์หนาสีขาวดุจหิมะ ข้างๆ มีเตากำยานที่ทำให้คนสดชื่นสบายใจ มีไอหมอกสีม่วงลอยโขมงขึ้นมา
ที่มุมหนึ่งไกลๆ พ่อบ้านเว่ยซูปรากฏตัว เดินเนิบนาบมาอยู่ข้างกาย แล้วก้มตัวกระซิบข้างหูเซี่ยโห้วท่าสองสามประโยค
เซี่ยโห้วท่าที่กำลังหลับตางีบพลันลืมตา ลุกขึ้นช้าๆ แล้วถามอย่างประหลาดใจสงสัยว่า “เป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีเหรอ? สืบหาแหล่งข่าวได้หรือยัง?”
เว่ยซูยื่นมือไปประคองให้เขานั่ง พร้อมตอบว่า “เรื่องนี้แปลกนิดหน่อยขอรับ ข่าวถูกปล่อยออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พวกเราลองสืบหาแล้ว แต่ก็ไม่พบแหล่งที่มาขอรับ”
เซี่ยโห้วท่าหยิบไม้เท้า แล้วใช้สองมือวางซ้อนกดบนหัวไม้เท้า เกยคางขึ้นไปช้าๆ จากนั้นก็ครุ่นคิดเงียบๆ นานมาก แล้วสุดท้ายก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ใช่แล้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ เรื่องนี้อธิบายได้แล้วว่าทำไมประมุขชิงถึงต้องการให้เจ้าเด็กนั่นไปที่หน่วยองครักษ์ซ้ายและไปรับโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ก็มีจุดที่ไม่ปกติอยู่เหมือนกัน คนอื่นไม่รู้ชัด แต่พวกเรากลับรู้ดี ทำไมศิษย์ของอสุราอัคนีกลับไปเป็นพวกเดียวกับคนของหกลัทธิล่ะ?”
เว่ยซูตอบว่า “ดูจากระยะห่างเวลาของศิษย์และอาจารย์ เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกศิษย์ต่างยุค ระหว่างอาจารย์และศิษย์น่าจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรเหลืออยู่ การที่หนิวโหย่วเต๋อกับหกลัทธิเกี่ยวข้องกันน่าจะเป็นเพราะอสุราอัคนีด้วย”
เซี่ยโห้วท่าค้ำไม้เท้าลุกขึ้นยืน แล้วโบกมือบอกว่า “กุญแจสำคัญของปัญหาไม่ใช่เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อไปเกี่ยวข้องกับหกลัทธิ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ถึงจุดนี้ก็คงโดนตบตาไปแล้ว ประเด็นคือพวกเรารู้แล้ว เช่นนั้นก็จะไปมองแบบนั้นไม่ได้ ข้าถามเจ้าหน่อย หลังจากหนิวโหย่วเต๋อออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ปัญหาใหญ่สุดที่ต้องเจอคืออะไร?”
เว่ยซูครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ “เกรงว่าฝั่งตระกูลอิ๋งคงจะมีคนกอบกู้หน้าตาศักดิ์ศรี”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ก็พอได้อยู่ ขอถามเจ้าอีกที ตอนนี้จู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อก็มีภูมิหลังว่าเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีแล้ว แฝงหมายความว่ายังไงล่ะ?”
“เกรงว่าคงจะมีคนไม่น้อยอยากดึงตัวไป” เว่ยซูกล่าว
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ใช่น่ะสิ! ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเซี่ยโห้วของข้าไม่สะดวกจะขยายอิทธิพลของตัวเองแบบโจ้งแจ้ง ถ้าคำนึงถึงระยะยาว ข้าก็อยากจะดึงตัวเขาไว้เหมือนกัน ติดก็แค่มีปมนี้อยู่ พวกที่หนุนหลังหนิวโหย่วเต๋อคือหกลัทธิ หกลัทธิปล่อยลูกศิษย์ของอสุราอัคนีออกมาแบบนี้ คงไม่ปล่อยให้เป็นหมากเสียง่ายๆ หรอก แบบนี้แสดงว่าเตรียมจะแทรกเข้าในหน่วยงานของตำหนักสวรรค์เพื่อใช้ทำงานสำคัญ จะทนมองตระกูลอิ๋งทำหมากตัวนี้นี้เสียได้เหรอ? เจ้าคิดว่าทำไมข่าวไม่ออกตั้งนานแล้วล่ะ ทำไมต้องมีข่าวออกมาตอนนี้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี แบบนี้บังเอิญไปหน่อยมั้ย?”
เว่ยซูหรี่ตาสองข้าง พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว “นายท่านหมายความว่า มีคนจงใจจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อพ้นเคราะห์นี้เหรอ?”
เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “หนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี มีภูมิหลังระดับนั้นแล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้าไปแทรกแล้ว เจ้าคิดว่าต่อไปสี่อ๋องสวรรค์จะทำอะไรล่ะ?”
เว่ยซูตาเป็นประกาย แล้วกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะอีก “ทุกคนอยากจะดึงตัวเป็นเขย ของหายากต้องกักตุนไว้ทำกำไร ไม่แย่งกันจนหัวชนกันก็ดีแล้ว เกรงว่าแม้แต่ปลอบใจยังทำไม่ทันด้วยซ้ำ ย่อมไม่มีใครลงมือกับหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว การปล่อยหมากออกมาทีละตัวแบบนี้ ฝีมือเหนือชั้นจริงๆ ข้าอยากจะเห็นนักว่าใครกันแน่ที่ปั่นหัวคนพวกนี้อยู่เบื้องหลัง”
เว่ยซูตอบอย่างลังเลว่า “เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ปล่อยข่าวเพื่อปกป้องตัวเองหรือเปล่าขอรับ ถึงยังไงก็มีแค่เขาที่รู้จักภูมิหลังของตัวเองดีที่สุด การที่เขาจะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีในตอนนี้ก็มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว”
เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “ต่อให้ไม่ใช่หกลัทธิลงมืออยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อแน่นอน”
“เพราะอะไรขอรับ?” เว่ยซูรู้สึกแปลกใจ เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นไปได้
เซี่ยโห้วท่าโบกมือ “พวกเรายืนดูจากที่สูงเลยมองเห็นได้ไกล ทั้งยังคลุกคลีกับคนกลุ่มนั้นบ่อย เดาความคิดของกลุ่มแนวหน้าในตำหนักสวรรค์ออก ดังนั้นคนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[1] เจ้าเลยพูดให้ฟังดูสมเหตุสมผลได้อย่างสบายๆ ไม่ซับซ้อน เว่ยซู ในจุดนี้เจ้ายังสู้พ่อของเจ้าไม่ได้จริงๆ เจ้าจำไว้นะ เรื่องบางเรื่องถ้ายังอยู่ไม่ถึงขั้นตอนนั้นก็ยังนึกไม่ถึงหรอก หนิวโหย่วเต๋อกล้ารับประกันมั้ยว่าตัวเองปล่อยข่าวแล้วสี่อ๋องสวรรค์จะแย่งกันดึงตัวเขาไปเป็นเขย? แบบนั้นคงไม่ต่างจากความคิดเพ้อฝัน เกรงว่าเขาเองก็คงไม่กล้าคิดไปในทางนั้นด้วยซ้ำ! สำหรับเขา สี่อ๋องสวรรค์เป็นบุคคลที่สูงส่ง เขาถึงขั้นไม่มีทางคาดคะเนได้ด้วยซ้ำว่าในสมองของสี่อ๋องสวรรค์กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นแล้ว เขาไม่ได้มองภาพรวมเก่งขนาดนั้น ไปเล่นอุบายชิงไหวชิงพริบจนหัวหมุนกับพวกพี่ใหญ่ในตำหนักสวรรค์ไม่ไหวหรอก!” เขาชี้นิ้วไปตรงหัวใจของตัวเอง “ถ้าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด เขาจะเล่นแบบนี้ได้เหรอ? เป็นไปได้รึไง”
เว่ยซูทำท่าน้มอรับคำสั่งสอน พยักหน้าบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ก็เป็นหกลัทธิที่วางแผนอยู่เบื้องล่าง!”
ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วท่าที่ค้ำไม้เท้าเดินช้าๆ จะส่ายหน้า “เกรงว่าจะไม่แน่!”
“อย่าบอกนะว่ายังมีคนอื่นอีก?” เว่ยซูที่เดินตามอยู่ข้างๆ ตกใจ
เซี่ยโห้วท่ากล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ถ้าพูดถึงความรู้ความเข้าใจที่หกลัทธิมีต่อตำหนักสวรรค์ ตอนนี้เกรงว่าคงจะมีไม่กี่คนที่รู้ดียิ่งกว่าข้าแล้ว ตอนที่หกลัทธิโดนขังไว้ในแดนอเวจี ตำหนักสวรรค์ยังไม่ถูกสร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในราชสำนักของตำหนักสวรรค์นัก ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ตัดขาดจากโลกภายนอกนานเกินไป พวกเขาไม่เข้าใจชัดเจนนักหรอกว่าสี่อ๋องสวรรค์มีความเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าตอนนี้สี่อ๋องสวรรค์มีความคิดยังไง มิหนำซ้ำเดิมทีพวกเขาก็ไม่รู้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะแพ้ยับเยินแบบนั้นเหรอ นอกเสียจากพวกเราจะตรวจสอบบรรดาคนในราชสำนักผิดพลาด เพราะที่ราชสำนักก็ไม่มีสายลับของหกลัทธิ ดังนั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่หกลัทธิจะเล่นแผนการนี้กับหนิวโหย่วเต๋อที่มีความต่างในความเหมือน ถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มั่นใจ การเปิดโปงว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์อสุราอัคนีแบบนี้ พวกเขาจะแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นการช่วยหรือเป็นการทำร้ายหนิวโหย่วเต๋อ? ดังนั้นข้าก็เลยสงสัย ว่านอกจากหกลัทธิแล้ว ยังมีบุคคลระดับสูงในตำหนักสวรรค์ที่ลงมือสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋ออีก ลองคาดคะเนในทางกลับกัน บางทีหกลัทธิอาจจะแทรกสายลับไว้ในตำแหน่งระดับสูงของตำหนักสวรรค์จริงๆ ก็ได้ แต่ข้าลองคิดไปคิดมาแล้ว ในบรรดาคนระดับสูงของตำหนักสวรรค์ มีความเป็นไปได้ต่ำที่จะกลายเป็นสายลับของหกลัทธิ ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยข่าวสักหน่อย ในปีนั้นหกลัทธิก็คงไม่แพ้ยับเยินขนาดนั้นหรอก กำลังโดนข่มอยู่ ถ้าแม้แต่สถานการณ์อย่างในปีนั้นยังยื่นมือช่วยเหลือไม่ได้ ตอนนี้หกลัทธิมีกำลังอ่อนแล้ว ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกพัฒนาให้กลายเป็นสายลับ นี่ก็คือจุดที่ข้าคิดไม่ตก อย่าบอกนะว่านอกจากแดนอเวจีแล้ว หนิวโหย่วเต๋อยังเกี่ยวข้องกับอำนาจฝ่ายที่สามอีก? ครั้งก่อนคนที่กวาดล้างฐานภายนอกของหกลัทธิน่าสงสัยนะ! ข้ามักจะรู้สึกว่าตัวเองจับจุดอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่ก็มักจะจมลงท่ามกลางเมฆหนาหลายชั้นอีกครั้ง มีหลายจุดที่ข้าคิดไม่ตก มีจุดที่น่าสงสัยเยอะเกินไป นั่นก็อธิบายได้แล้วว่าเรื่องราวอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคิดเลย มีคนกำลังใช้วิชาพรางตาเพราะจงใจจะชักจูงให้ทุกคนคิดแบบนี้หรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะต้องถามสักคำ อสุราอัคนีตายไปหลายปีขนาดนั้นแล้ว ทำไมไม่โผล่มาตั้งนานแล้วล่ะ ทำไมต้องมีศิษย์ของอสุราอัคนีโผล่มาในเวลานี้ด้วย หนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีจริงๆ ใช่มั้ย?”
เว่ยซูครุ่นคิดตามไปพักใหญ่ แต่ก็คิดไม่ตก จึงกล่าวอย่างลังเลว่า “เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์อสุราอัคนีน่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงยังไงต่อไปนี้เวลาหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือก็ต้องใช้ความสามารถที่แท้จริงแล้ว ในจุดนี้เกรงว่าจะไม่สามารถปิดบังได้!”
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใช่แล้ว! นี่ก็คือหนึ่งในจุดที่ข้าคิดไม่ตก”
เว่ยซูบอกว่า “สักวันหนึ่งความจริงของเรื่องนี้ก็ต้องปรากฏออกมา สรุปว่าดูจากครั้งนี้ หนิวโหย่วเต๋อก็รอดพ้นภัยอีกครั้งแล้ว”
เซี่ยโห้วท่ายิ้มเจื่อน “มีคนมากมายขนาดนี้โดนปิดหูปิดตาเอาไว้ ลงมือได้อย่างไม่ธรรมดา ข้าเกรงว่าถ้ารอให้ถึงวันที่ความจริงปรากฏ ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะลนลานจนทำอะไรไม่ถูกน่ะสิ! คนไม่ตรองการไกล ความยุ่งยากใจก็จะใกล้เข้ามา และถึงแม้เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นจะพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ แต่ข้าก็รู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดในการเปิดโปงลูกศิษย์ของอสุราอัคนี”
“เพราะอะไร?” เว่ยซูสงสัย
เซี่ยโห้วท่าชูนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว “โพ่จวินเคยออกหน้าปกป้องแล้ว ถึงยังไงหนิวโหย่วเต๋อก็ยังเป็นลูกน้องของโพ่จวิน ไม่มีเหตุผลที่โพ่จวินจะมองดูลูกน้องเป็นอะไรไปโดยไม่ปกป้อง ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นในเวลานี้ ไม่ว่าใครก็สงสัยอิ๋งจิ่วกวงทั้งนั้น ถ้าอิ๋งจิ่วกวงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถให้คำอธิบายกับหน่วยองครักษ์ซ้ายได้ คิดว่าทัพใหญ่ในมือโพ่จวินจะยอมให้ใครรังแกก็ได้เหรอ? แค่นิสัยหมาๆ ที่จับใครได้ก็กัดคนนั้นของโพ่จวิน เจ้าคิดว่าเขาไม่กล้าทำให้อิ๋งจิ่วกวงหน้าตาเปื้อนด้วยฝุ่นรึไง? เจ้าเชื่อมั้ยว่าหลังจากอิ๋งจิ่วกวงออกจากการประชุมราชสำนักแล้ว โพ่จวินก็กล้านำคนมาขวางกลั้นแกล้งอิ๋งจิ่วกวงแน่ ทำให้เขาเสียหน้ายิ่งกว่าเดิม! โพ่จวินก็คือหมาบ้าที่ประมุขชิงเลี้ยงไว้กัดคน!” ขณะที่พูดยังออกแรงกระทุ้งไม้เท้ากับพื้นด้วย
เว่ยซูเหลือบมองไม้เท้าที่แสดงอาการสะเทือนใจของเขา ในใจแอบรู้สึกอับอาย นายท่านที่อยู่ตรงหน้าเคยถูกโพ่จวินกดขี่และประทุษร้ายมาก่อน เรียกได้ว่าเข้าใจอย่าลึกซึ้ง
เซี่ยโห้วท่าพูดต่อว่า “ดังนั้นอิ๋งจิ่วกวงจะยังไม่แตะต้องหนิวโหย่วเต๋อ อย่างน้อยก็ยังต้องรออีกสักระยะหนึ่ง คนที่กำลังแอบช่วยหนิวโหย่วเต๋อปราดเปรื่องขนาดนี้ คงจะไม่มีทางที่จะไม่รู้ถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้เรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีดันถูกเปิดโปงออกมา อย่าบอกนะว่าจงใจจะล่อให้สี่อ๋องสวรรค์กระตือรือร้นดึงตัวเอาไว้? ต่อให้อยากจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อพ้นภัย อยากจะปกป้องหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนนี้ก่อนแล้วค่อยเปิดโปง ถ้าเปิดโปงเร็วกว่านี้ ในหลายปีที่ผ่านมาหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ต้องพบเรื่องยุ่งยากแล้วไม่ใช่เหรอ คงจะถูกดึงตัวไปนานแล้ว จำเป็นต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วยเหรอ?”
“ใช่แล้ว! พอนายท่านพูดแบบนี้ มันก็น่าสงสัยจริงๆ” เว่ยซูพยักหน้า แล้วจมอยู่ในความคิดอีกครั้ง
จู่ๆ เซี่ยโห้วท่าก็หยุดเดิน ใช้สองมือค้ำไม้เท้าไว้ข้างหน้า เงยหน้ามองฟ้า แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “บางทีอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ตระกูลอิ๋งจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อเลยก็ได้ จู่ๆ ตอนนี้ก็เปิดโปงว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี ข้าสงสัยว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับตัวหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?”
“เกิดเรื่อง?” เว่ยซูนิ่งชะงัก “เกิดเรื่องอะไร ทำไมต้องเปิดโปงภูมิหลังใหญ่โตขนาดนี้ขอรับ?”
เซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าครุ่นคิดไตร่ตรอง มองท้องฟ้าพลางส่ายหน้าช้าๆ “ไม่รู้ เพียงแต่พอรวบรวมเบาะแสบางอย่างแล้วเกิดความรู้สึกนิดหน่อย บางทีข้าอาจจะคิดมากไป ในทางตรงกันข้าม ก็เหมือนที่เจ้าบอก เกิดเรื่องอะไร ทำไมต้องเปิดโปงภูมิหลังใหญ่โตขนาดนี้? ถ้าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน”
“เรื่องใหญ่? จะเกิดเรื่องใหญ่อะไรกับหนิวโหย่วเต๋อขอรับ?” เว่ยซูสงสัย
“เฮ้อ! คลุมเครือน่าสงสัย จะซ้ายจะขวาก็คิดไม่ตก งั้นก็ไม่ต้องคิดแล้ว เอาเป็นว่าบนตัวของหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ ยิ่งนับวันก็ยิ่งน่าสนใจ น่าสนใจ…” เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะขณะที่ค้ำไม้เท้าเดินไปข้างหน้าต่อ
……………………
[1] คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว 站着说话不腰疼 เปรียบเปรยได้ว่า หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจ
บทที่ 1517 โจรราคะปรากฏตัว
ดาวจิ่วหวน ตลาดสวรรค์ หออวิ๋นฮว๋า ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของอวิ๋นจือชิวกำลังเดินเนิบนาบอยู่ท่ามกลางแปลงดอกไม้ ยกมือลูบกลีบดอกไม้เบาๆ แต่งหน้าสุภาพทว่าเย้ายวน สีหน้าซึมเศร้าเล็กน้อย ความรู้หราสง่างามของนาง ท่าทางชดช้อยมีเสน่ห์ของนาง บนเรือนร่างสวยหยาดเยิ้มเผยเสน่ห์เย้าย้วนใจ เป็นผู้หญิงที่หาพบได้ยากของแท้
เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์เดินตามอยู่ข้างๆ หลังจากนางหยุดยืนเงียบๆ อยู่หน้าดอกไม้ดอกใหญ่อยู่นานมาก เสวี่ยเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะถามเบาๆ ว่า “ฮูหยิน! ใกล้จะถึงวันที่ฉู่จื่อซานจะมาแต่งงานกับท่านแล้ว ทำไมนายท่านยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยล่ะ?”
เชียนเอ๋อร์ก็มีสีหน้ากังวลเช่นกัน ถามว่า “ฮูหยิน หรือว่านายท่านจะติดธุระเรื่องอะไร?”
อวิ๋นจือชิวที่ใช้นิ้วลูบไล้กลีบดอกไม้อย่างอาลัยอาวรณ์ยิ้มเจื่อน “ครั้งนี้เขาโมโหมาก ข้าถามอะไรเขาก็ไม่บอกเลย บอกให้ข้ารออยู่ที่นี่อย่างซื่อสัตย์ ไม่ต้องยุ่งอะไรทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะใช้วิธีเผด็จการกับข้าแล้ว กลับไปคอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขายังไง…เฮ้อ! ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์แบบนั้นของเขา ทำเอาข้าอกสั่นขวัญแขวนตั้งแต่เช้ายันค่ำ”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองก็กังวลเช่นเดียวกัน
ตลาดสวรรค์ประตูเมืองเขตเหนือ ชายชุดคลุมดำที่ปิดบังใบหน้าคนหนึ่งกำลังเดินเบาๆ อย่างสบายใจ เดินเข้ามาในเมืองแล้ว
เขาเดินเท้าอยู่บนถนนที่เจรญรุ่งเรืองตลอดทาง ชายคนนี้เหมือนจะไม่สนใจสินค้าอะไรที่อยู่ข้างทาง เพียงเดินไปข้างหน้าเงียบๆ ใบหน้าถูกปิดบังอยู่ภายใต้หมวกงอบ
นอกโรงเตี๊ยม ‘เรือนรับแขก’ ชายชุดคลุมดำหยุดฝีเท้า หันตัวมาช้าๆ แล้วเดินเข้าไป ย่อมมีคนงานออกมาต้อนรับ
เมื่อจ่ายเงินตรงโต๊ะคิดเงินแล้ว คนงานก็นำชายชุดคลุมดำขึ้นไปบนตึก ส่งเข้าไปในห้องพักแขก
คนที่ถอยออกมาและกำลังปิดประตูชำเลืองมองเงาหลังของชายชุดคลุมดำสองครั้ง พึมพำในใจว่า ทำไมรู้สึกว่าคนคนนี้แปลกจัง
คนงานลงมาจากตึก การต้อนรับแลพส่งแขกในโรงเตี๊ยมยังคงเหมือนเดิม
บนตึกมีชายชราคนหนึ่งเดินลงมาอีก เดินตัวสั่นโยกเยกไปคืนห้องและจ่ายเงินตรงโต๊ะคิดเงิน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหวงเสี้ยวเทียนเพื่อนซี้ของสวีถังหรานนั่นเอง
ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเขา ทว่าเขากลับฉวยโอกาสตอนที่ผู้จัดการโรงเตี๊ยมพลิกดูสมุดบัญชีเหลียวซ้ายแลขวา หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครจับตาดู เขาก็หมอบบนโต๊ะยาวแล้วถ่ายทอดเสียงบอกผู้จัดการว่า “ข้าว่านะผู้จัดการร้าน เห็นเพิ่งเห็นโรงเตี๊ยมของพวกท่านมีคนมาใหม่คนหนึ่ง ทำไมหน้าตาเหมือนเจียงอีอี นักโทษหลบหนีของตำหนักสวรรค์ล่ะ? ข้าว่าโรงเตี๊ยมของพวกเจ้าคงไม่ได้ซ่อนผู้ร้ายหลบหนีของตำหนักสวรรค์ไว้ใช่มั้ย?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ผู้จัดการร้านก็ตกใจจนมือค้าง เจียงอีอีเป็นใครล่ะ? นั่นไม่ใช่นักโทษหลบหนีธรรมดานะ นั่นคือโจรราคะผู้เลื่องชื่อ ลงมือกับภรรยาของขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ถ้าคนแบบนี้เข้าไปอยู่ในตลาดสวรรค์ อย่าว่าแต่ขุนนางชั้นชั้นสูงในตลาดสวรรค์จะเป็นกังวลเลย ถ้าปล่อยให้โจรมาซ่อนในโรงเตี๊ยมของตัวเอง เดี๋ยวต่อไปตลาดสวรรค์จะต้องมาเล่นงานเจ้าของโรงเตี๊ยมตายแน่
ผู้จัดการร้านเบิกตากว้าง “ท่านลูกค้า จะมาพูดซี้ซั้วไม่ได้นะ?”
หวงเสี้ยวเทียนยักไหล่ “ช่างเถอะ ข้าก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ข้าเคยเห็นเจียงอีอีมาก่อน คนที่เพิ่งเจอเมื่อครู่นี้เหมือนจริงๆ เพียงแต่ปิดบังใบหน้าก็เลยเห็นไม่ชัดเจน ไม่กล้ายืนยันเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไปรายงานขุนนางเพื่อรับรางวัลตั้งนานแล้ว”
เมื่อจ่ายเงินเสร็จ เขาก็เดินสั่นหัวออกไปแล้ว เดินออกจากเมืองไปเลย
ผู้จัดการร้านที่นั่งอยู่หลังโต๊ะคิดเงินกลับใจลอยนิดหน่อย แขกที่เพิ่งมาโรงเตี๊ยมเหรอ? เขานึกถึงผู้ชายที่สวมชุดคลุมทั้งตัวและปิดหน้าปิดตา ตอนนี้พอนึกขึ้นได้ก็รู้สึกว่าน่าสงสัยจริงๆ คงไม่ใช่โจรราคะเจียงอีอีจริงๆ หรอกใช่มั้ย?
สุดท้ายเขาก็นั่งไม่ติดที่แล้ว เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา เรียกพนักงานคนก่อนหน้านี้มากำชับอะไรบางอย่าง พนักงานพยักหน้า แล้วก็รีบยกน้ำชาขึ้นไปบนตึก
พนักงานเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องแขกที่เพิ่งจะเข้าไป ปรับอารมณ์อยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เคาะประตู
“ใคร?” ในห้องมีเสียงทุ่มต่ำเอ่ยถาม
พนักงานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พนักงานโรงเตี๊ยมขอรับ น้ำชาของลูกค้ามาแล้ว”
“เข้ามา” คนในห้องไม่ได้ปฏิเสธ
พนักงานเปิดประตูเข้ามา พอเข้ามาในห้อง ก็พบว่าแขกที่ปิดผ้าคลุมใบหน้าได้ถอดผ้าคลุมออกแล้ว กำลังยืนมองถนนด้านนอกผ่านซอกหน้าต่างที่แง้มเปิดไปครึ่งหนึ่ง รูปร่างสูงยาว สวมชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวทั้งตัว พอหันกลับมา ก็พบว่าผ้าพันคอขนสัตว์ช่วยขับใบหน้าหล่อเหลาให้เด่น ลักษณะอ่อนโยนสง่างาม โดดเด่นไม่ธรรมดา ดูเจ้าชู้รักอิสระ
แขกคนนั้นเพียงหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วก็หันหลังให้เหมือนเดิม เหมือนจงใจจะปิดบังอะไรบางอย่าง จากนั้นกล่าวเสียงเรียบว่า “วางของไว้ก็พอแล้ว!” เห็นได้ชัดว่าไม่อยากถูกรบกวนสักเท่าไร
หลังจากพนักงานจำใบหน้านั้นได้แล้ว ก็วางน้ำชาลง แล้วออกมาจากห้องอย่างสุภาพเกรงใจ
พอพนักงานออกมา ชายหนุ่มหน้าหล่อก็รีบเดินไปปิดประตู เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวเล็กน้อย แล้วเปิดประตูเบาๆ มองดูด้านนอกอีก จากนั้นก็รีบถอดชุดคลุมตัวนอก ไม่น่าเชื่อว่าข้างในจะเป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิง เห็นได้ชัดว่าใบหน้ากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นผู้หญิงที่สวยเย้ายวนคนหนึ่งแล้ว ลักษณะเหมือนผู้หญิงจากหอนางโลมมาก
พอเปิดประตูอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้ก็รีบเดินออกไป
พนักงานโรงเตี๊ยมรีบเดินไปตรงหน้าโต๊ะคิดเงิน ผู้จัดการร้านหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ข้างในมีภาพประกาศจับกุมที่ทางการแจกมาให้ เขายื่นให้พนักงาน แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “ดูซิว่าใช่คนในนี้หรือเปล่า”
พนักงานรับมาดู ไม่นาก็เปรียบเทียบคนได้แล้ว อุทานอย่างตกใจมากว่า “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโจรราคะเจียงอีอีผู้โด่งดัง!”
สตรีช่างยั่วเดินลงมาจากชั้นบนและชำเลืองมองสองคนที่กำลังกระซิบกันตรงหน้าโต๊ะยาว แล้วเดินบิดเอวบางออกไป
ผู้จัดการร้านกับพนักงานสบตากันแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขัดอะไร แขกที่โรงเตี๊ยมจะเรียกผู้หญิงจากหอนางโลมมาอยู่ด้วยก็เป็นเรื่องปกติมาก
มิหนำซ้ำตอนนี้ผู้จัดการร้านก็กำลังตกใจอยู่ เขาไม่ได้บอกพนักงานว่าให้ขึ้นไปดูใคร แต่พนักงานกลับเทียบจนรู้แล้วว่าเป็นโจรราคะเจียงอีอี สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ลูกค้าพูดก่อนหน้านี้เป็นความจริง โจรราคะเจียงอีอีมาที่โรงเตี๊ยมของเขาแล้วจริงๆ
“เจ้าแน่ใจนะ?” ผู้จัดการร้านถามยืนยันอีกครั้ง
พนักงานยังไม่เลิกทำสีหน้าตกใจ “ผู้จัดการร้าน ถึงแม้เขาจะหันกลับมามองข้าแวบเดียว แต่ก็เหมือนจะตั้งใจผิดบังตัวตน รีบหันหลังให้ข้าเลย แต่ข้ามองไม่ผิดแน่ คนคนนี้หน้าตาหล่อเหลา ไม่ได้มองผิดง่ายขนาดนั้น เหมือนกับคนในภาพวาดนี้เลย ทั้งยังแต่งตัวเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ผิดพลาดแน่นอน…ถ้ามองผิดไป ท่านหักเงินค่าจ้างข้าได้เลย! ผู้จัดการร้าน เจ้าหมอนี่มาพักโรงเตี๊ยมของพวกเรา เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้พวกเรานะ!”
“หุบปาห! ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอก…” ผู้จัดการร้านตำหนิเขา ในใจคิดไปคิดมาหลายตลบ ว่าจะไปแจ้งทางการดีหรือไม่
ทว่าคนที่เปิดดำเนินกิจการโรงเตี๊ยม ถ้าแจ้งความลูกค้าก็จะมีผลกระทบไม่ดีจริงๆ อีกฝ่ายมาพักอยู่ที่นี่ ขอเพียงอีกฝ่ายจ่ายเงิน ไม่ได้จ่ายให้เจ้าไม่ครบ เจ้าจะสนใจทำไมว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แล้วอีกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยมไหน ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าลูกค้าที่มาพักเป็นคนดีหมด ใครจะไปสนว่าลูกค้าจะเป็นคนดีหรือไม่ใช่คนดี ลูกค้าไม่อยากหาที่พักนอกเมืองส่งเดช แต่ยอมจ่ายเงินเข้าเมืองมาพักในโรงเตี๊ยม ก็เพราะว่าอยากได้ความปลอดภัยไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนเลว แต่เมื่ออีกฝ่ายอยู่ครบและออกไปแล้ว ทุกคนก็จะไม่เกี่ยวข้องกัน ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องไปมาหาสู่อะไรกันอีก นี่ก็คือลักษณะของโรงเตี๊ยม
แต่ประเด็นสำคัญของปัญหานี้ก็คือ มีคนค้นพบแล้ว แขกคนก่อนหน้านี้สงสัยแล้วว่าเจียงอีอีมาพักที่นี่ ทั้งยังบอกพวกเขาด้วย ถ้าเจียงอีอีคนนี้ทำผิดที่ตลาดสวรรค์จริงๆ ต่อไปถ้าแขกคนนั้นได้ยินข่าว ก็จะต้องนึกออกแน่ๆ ว่าที่แท้คนใน ‘เรือนรับแขก’ ก็เป็นเจียงอีอีจริงๆ ถ้าแขกไปบอกสิ่งนี้กับข้างนอก ว่าโรงเตี๊ยมของเขาได้รับคำเตือนแล้วแต่กลับไม่รายงาน ถ้าเจียงอีอีไปทำผิดกับผู้หญิงในครอบครัวขุนนางอีก แบบนั้นพวกขุนนางจะปล่อยเขาไปเหรอ!
ถ้าไม่มีใครสังเกตเห็น เขาก็จะปิดตาข้างเดียวแล้วปล่อยผ่านได้ แต่นี่…
หลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง ผู้จัดการร้านก็ถ่ายทอดเสียงกำชับพนักงานว่า “ไปแจ้งพวกลูกน้อง ว่าให้ทุกคนจับตาดูห้องนั้นให้ดี ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรให้แจ้งข้าทันที”
พนักงานพยักหน้าแล้วไปจัดการ ผู้จัดการร้านเรียกพนักงานคนหนึ่งมานั่งในโถง แล้วตัวเองกฌรีบออกจากโรงเตี๊ยมไป ไปรายงานที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือ
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือได้ยินแล้วตกใจมาก เจียงอีอีที่มีความชั่วมหันต์น่ะเหรอ? ถ้าจับคนคนนี้ได้จริงๆ ก็เรียกได้ว่าสร้างผลงานใหญ่ชิ้นหนึ่งแล้ว เป็นเพราะเจียงอีอีล่วงเกินขุนนางไว้เยอะเกินไปจริงๆ!
ทว่าด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน เขารู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าปล่อยให้เจียงอีอีหนีไปได้ เขาก็จะเดือดร้อนเช่นกัน เพราะเจียงอีอีที่หนีรอดหลุดตาข่ายไปได้ทุกครั้งก็ไม่ใช่คนธรรดาเช่นกัน ขนาดใช้คนเยอะขนาดนั้นยังจับไม่ได้เลย แล้วตนจะจับได้เหรอ? เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด อย่างน้อยก็ต้องปิดประตูเมืองทั้งสี่เพื่อป้องกันการหนี แต่ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนืออย่างเขาสั่งปิดได้แค่ประตูเมืองเขตเหนือ ไม่มีอำนาจจะปิดทั้งสี่ประตู
ภายใต้ความจนใจ เขารีบไปที่ตำหนักคุ้มเมือง พอเจอผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เย่อี้ เขาก็รายงานสถานการณ์ให้ฟัง
เย่อี้ที่ออกจากตำหนักหลังมาฟังลูกน้องรายงานหยุดฝีเท้า แล้วถามอย่างตกใจว่า “เจียงอีอี? เจ้าแน่ใจนะ?”
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือตอบว่า “ผู้จัดการโรงเตี๊ยมเรือนรับแขกยืนยันแล้ว คาดว่าคงไม่ผิดพลาด ไม่อย่างนั้นเขาก็รับผิดชอบไม่ไหว”
เย่อี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปตะโกนว่า “ทหาร ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป ปิดประตูเมืองทั้งสี่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกโดยพลการ ใครขัดคำสั่ง ประหาร…”
ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ที่ตลาดสวรรค์ก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่รีบพุ่งไปที่โรงเตี๊ยมเรือนรับแขก ล้อมเรือนรับแขกเอาไว้ทั้งข้างบนทั้งข้างล่างอย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันก็ปิดประตูเมืองทั้งสี่
ในโรงเตี๊ยมมีแขกจำนวนไม่น้อยตกใจมาก ไม่อยากมีเรื่อง อยากจะออกไปข้างนอก ทว่าสายไปแล้ว พวกเขาโดนดาบและทวนจี้กดดันให้กลับเข้าไปทันที
รอบข้างยังมีกำลังพลกลุ่มใหญ่ตามมาอีก ปิดถนนทั้งสี่ด้านเอาไว้แล้ว เย่อี้ที่สวมเกราะรบเกาะลงมาจากฟ้า กวาดสายตามองโรงเตี๊ยมเรือนรับแขก ข้างหลังมีทหารตามมาแถวหนึ่ง ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือที่อยู่ในนั้นก้าวออกมาจากแถว เดินไปข้างกายผู้จัดการร้านที่กลับมาก่อนล่วงหน้าและตอนนี้กำลังโดนทหารดักไว้ จากนั้นถ่ายทอดเสียงถามว่า “คนยังอยู่มั้ย?”
ผู้จัดการร้านถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ยังอยู่ในห้อง ยังไม่ได้ออกมาเลย”
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือหันไปพยักหน้าให้เย่อี้ทันที เย่อี้จึงแสยะยิ้มและโบกมือ
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือชักดาบใหญ่ออกมา บุกนำไปเป็นคนแรก นำกำลังพลกลุ่มใหญ่บุกเข้าโรงเตี๊ยมอย่างดุร้ายราวกับเสือ ถึงขั้นมีคนไม่น้อยทะลุหน้าออกมา ล้อมเอาไว้โดยไม่ให้หลือมุมอับหรือช่องโหว่
ตรงมุมหนึ่งของถนนที่อยู่ไกลๆ ท่ามกลางกลุ่มคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์และโดนทหารกันไว้ สตรีที่งามเย้ายวนคนหนึ่งยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันตัวเลี้ยวหายเข้าไปในซอย
ผ่านไปไม่นาน ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือก็หน้าดำคร่ำเครียด มือข้างหนึ่งถือทวน มืออีกข้างดึงคอเสื้อผู้จัดการร้านที่มีสีหน้าขื่นขม ดึงเขาออกมาแล้วผลักไปตรงหน้าผู้บัญชาการใหญ่เย่อี้
เย่อี้มองดูศีรษะของพวกทหารที่ยื่นออกมาเหลียวซ้ายแลขวาจากหน้าต่างโรงเตี๊ยม พอจะตระหนักอะไรได้แล้ว จึงถามเสียงต่ำว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือตอบอย่างกังวลว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ห้องนั้นว่างเปล่า ไม่เห็นคนแล้วขอรับ”
เย่อี้จ้องเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง แล้วชักกระบี่ออกมาจ่อบนคอผู้จัดการร้าน คอของเขาโดนบาดจนเป็นรอยเลือดแล้ว เย่อี้ถามเสียงเรียบว่า “เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา บังอาจล้อข้าเล่นเหรอ?”
ผู้จัดการร้านโบกมืออย่างหวาดกลัว “ผู้บัญชาการใหญ่ ผู้น้อยมิบังอาจ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่เห็นแล้ว บางทีตอนที่กำลังพลกลุ่มใหญ่มาเขาอาจจะไหวตัวแล้ว เขาอาจจะหนีไปแล้วก็ได้”
เย่อี้ก็คิดว่าเขาไม่กล้าเช่นกัน จึงเตะเขากระเด็นออกไป แล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ค้นโรงเตี๊ยมทุกซอกทุกมุม ห้ามปล่อยผ่าน ค้นตัวทุกคนอย่างเข้มงวดด้วย จุดไหนที่ซ่อนคนได้ก็ห้ามปล่อยผ่าน ค้น!”
บทที่ 1518 จับไม่ได้อีกแล้ว
โรงเตี๊ยมเรือนรับแขกวุ่นวายจนนกบินสุนัขกระโดด นี่ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เปลี่ยนผลที่ตามมาไม่ได้ กลุ่มพนักงานโรงเตี๊ยมที่โดนซ้อมจนหน้าปูดหน้าเขียวยืนยันอีกครั้งว่ายังไม่มีใครออกไป แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ทำไมโจรราคะเจียงอีอีถึงหายไปในอากาศได้ล่ะ
ถ้าจะบอกว่าเจียงอีอีโดนกำลังทหารบุกเข้ามาทำให้ตกใจและหนีไปจริงๆ แต่ก็น่าจะหนีออกจากตลาดสวรรค์ไม่ทัน เพราะประตูเมืองทั้งสี่ถูกปิดแล้ว พอเย่อี้ออกคำสั่ง คนของตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็เริ่มแตกตื่นเป็นนกบินสุนัขกระโดด ตรวจสอบทุกคนในเมืองแบบครอบคลุมแล้ว
เย่อี้เองก็ไม่อยากทำอย่างนี้ การตรวจสอบให้รอบด้านทั้งตลาดสวรรค์จะเป็นการล่วงเกินคนอื่นได้ง่ายเกินไป มีร้านไหนบ้างที่ไม่มีความลับ ถ้าไปตรวจสอบคนอื่นแบบทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สบอารมณ์ทั้งนั้น มิหนำซ้ำการไปตัดลูกค้าคนอื่นก็จะส่งผลต่อธุรกิจ ใครจะไปรู้ล่ะว่าต้องปิดตลาดสวรรค์ไว้นานแค่ไหนกว่าจะจับตัวคนร้ายได้? ถ้าไม่มีคำสั่งจากเบื้องบนก็ค้ำให้ การที่ตัวเองสั่งให้ทำเรื่องแบบนี้ ก็ไม่มีทางยืนหยัดทำต่อเนื่องได้นาน
แต่ถ้าจะไม่แสร้งทำเป็นขยันทำงานแบบนี้ก็ไม่ได้ การปล่อยให้เจียงอีอีหนีไปจะต้องทำให้คนมากมายไม่พอใจแน่นอน ดังนั้นจะต้องควบคุมระดับการตรวจสอบแบบรอบด้านให้ดี เบื้องหลังของร้านค้าบางร้านไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว ทำแบบนี้ก็พอแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นหออวิ๋นฮว๋า ฉู่จื่อซานส่งคนมาเฝ้าจับตาดูแล้ว ขณะที่กำลังพลดุร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังจะบุกเข้าไปตรวจสอบ ก็มีชายวัยกลางคนที่ปลอมตัวสองคนมาขวางประตูไว้ทันที หนึ่งในนั้นถามว่า “สหายหาน เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
ผู้นำกลุ่มที่ถูกเรียกว่าสหายหานเงยหน้ามอง อดไม่ได้ที่จะตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “สหายคัง ข้าก็ได้รับคำสั่งมาให้ทำงานเหมือนกัน จับตัวนักโทษหลบหนี”
ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน ลูกน้องที่ฉู่จื่อซานส่งมาทำงานที่ตลาดสวรรค์ได้บอกกับทางตำหนักคุ้มเมืองตลาดสวรรค์แล้ว ฝั่งนี้ก็รู้เช่นกันว่าเถ้าแก่เนี้ยคนสวยกำลังจะถูกท่านหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงรับไปเป็นอนุภรรยา
คังแสยะหัวเราะ “พวกเราจับตาดูอยู่ที่นี่ทุกวัน ที่นี่จะมีนักโทษหลบหนีได้ยังไง สหายหาน นี่เจ้าจะไม่ไว้หน้าท่านหัวหน้าภาคเหรอ?”
หานเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “สหายคังไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าต้องทำยังไง ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น สองคนที่เฝ้าประตูอยู่ก็หลีกทางให้แล้ว หานหันกลับมาส่งสายตาให้พวกลูกน้อง พอโบกมือ พวกลูกน้องก็พุ่งเข้าไปทันที ส่วนหานก็รออยู่ตรงประตู หันไปมองในร้านแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “สหายคัง ท่านหัวหน้าภาคของพวกเจ้าจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่ออวิ๋นจือชิวจริงเหรอ?”
“ขนาดข้ายังโดนส่งมาเฝ้าที่นี่เลย จะเป็นเรื่องโกหกได้ยังไง?” คังตอบ
“จุจุ ไปแตะต้องผู้หญิงคนนี้ ท่านหัวหน้าภาคของพวกเจ้าไม่กลัวจะมีเรื่องเหรอ?” หานถาม
คังจึงบอกว่า “เต็มใจกันทั้งสองฝ่าย จะมีปัญหาอะไรได้?”
“เต็มใจทั้งสองฝ่ายเหรอ? แบบนี้ก็เยี่ยม! ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาของผู้หญิงคนนี้เลย โดยเฉพาะเรือนร่างนั่น เรียกได้ว่าเป็นดาวยั่ว จะพูดสิ่งที่ขัดหูให้ฟังนะ ตอนที่ผู้หญิงคนนี้เพิ่งมา ที่ตลาดสวรรค์ก็มีคนจับจ้องแล้ว แต่หลังจากได้รู้ที่มาที่ไปของผู้หญิงคนนี้ รู้ว่านางเคยเป็นผู้หญิงที่หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนเคยชอบ ที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่มีใครคิดอยากได้นางอีก” หานบอก
ถ้าวิจารณ์ความงามของอวิ๋นจือชิวแบบเปิดเผย บอกว่าเป็นดาวยั่วอะไรทำนองนั้น คังจะต้องแตกคอกับเขาแน่นอน ถึงอย่างไรก็กำลังจะกลายเป็นผู้หญิงของท่านหัวหน้าภาคของตัวเองแล้ว แต่ถ้าแอบพูดเงียบๆ ไม่มีใครได้ยินก็ไม่เป็นไป คนที่วิจารณ์หน้าตาราชินีสวรรค์ลับหลังก็ใช่ว่าจะไม่มี พูดกันส่วนตัวก็ไม่สร้างผลกระทบอะไร
คังบอกว่า “ไม่ได้แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเสียหน่อย ไม่ใช่ผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อด้วย สองคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ทำไมจะแต่งงานไม่ได้ล่ะ? แล้วอีกอย่างนะ ท่านหัวหน้าภาคของเราจำเป็นต้องกลัวหนิวโหย่วเต๋อด้วยเหรอ? ถ้าพูดถึงระดับตำแหน่ง ท่านหัวหน้าภาคของเราเป็นผู้บังคับบัญชาของเขานะ ถ้าพูดถึงกำลังพล เขาก็เทียบท่านหัวหน้าภาคของพวกเราไม่ติดหรอก”
หานหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “นั่นก็ใช่ แต่ตอนที่หนิวอยู่เต๋ออยู่ที่ตลาดสวรรค์ ชื่อเสียงก็โด่งดังจริงๆ ถ้าพวกเราไม่ไปยั่วโมโหได้ก็จะดี”
คังกล่าวอย่างรู้สึกขำ “สงสัยเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อล้างเลือดตลาดสวรรค์จะทำให้พวกเจ้าตกใจแล้วสินะ ทำไม? พวกเจ้ากลัวว่าเขาจะนำทัพมาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ของพวกเจ้ารึไง?”
หานถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าไม่ต้องพูดถึงเลย ข้ากังวลเรื่องนี้จริงๆ! คนอื่นอาจจะไม่กล้า แต่เจ้าบ้านั่นเลื่องชื่ออยู่ในระบบของตลาดสวรรค์ ข้าได้ยินว่าตอนแรกที่หนิวโหย่วเต๋อออกจากดาวเทียนหยวน กลุ่มพ่อค้าก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย กระโดดโลดเต้นดีใจกันใหญ่ ใครจะคิดว่าพอเขาไปที่กองทัพองครักษ์แล้ว ยังกล้าย้อนกลับมาเล่นงานอีก นำทัพใหญ่มาล้อมตลาดสวรรค์เอาไว้แล้วขูดรีดเงินทอง แบบนี้ต้องกำเริบเสิบสานถึงขั้นไหนกัน ถ้าเจ้าบ้านั่นกับอวิ๋นจือชิวคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกันจริงๆ…คิดว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าบ้านั่นทำไม่ได้? เจ้านั่นมันกล้าตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งเชียวนะ กล้าก่อเรื่องในงานพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ เขาลงมือที่ตลาดสวรรค์ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ใครจะกล้ารับประกันว่าจะไม่มีอีกครั้ง ก่อเรื่องเพื่อผู้หญิงคนเดียวนั้นไม่คุ้มค่าหรอกนะ”
คังหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “สงสัยตลาดสวรรค์จะจดจำหนิวโหย่วเต๋อได้อย่างลึกซึ้งตราตรึงใจจริงๆ!”
คุยได้ครู่เดียว แม้แต่ร้านค้าที่อยู่ข้างหลังก็ไม่ได้เข้าไป กำลังพลที่ตรวจสอบแค่ไปเดินวนในโถงใหญ่สองสามรอบพอเป็นพิธี แล้วก็ออกมาโดยแทบจะไม่ได้ล่วงเกินอะไรเลยด้วยซ้ำ
คังกุมหมัดคารวะขอบคุณที่อีกฝ่ายไว้หน้า หลังจากมองส่งหานนำคนไปตรวจค้นร้านถัดไป ทั้งสองก็หลีกทางและไปดื่มน้ำชาที่ร้านน้ำชาข้างๆ เหมือนเดิม
“ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?”
ที่ลานบ้านด้านหลัง อวิ๋นจือชิวที่เดินลงมาข้างล่างได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเอ่ยถาม
“ให้ช่างไม้ไปสืบแล้วค่ะ” เชียนเอ๋อร์เข้ามาตอบนาง
เพิ่งจะพูดจบ ช่างไม้ก็กลับมาจากข้างนอกแล้ว หลังจากทำความเคารพ ก็รายงานว่า “เถ้าแก่เนี้ย ได้ยินว่าโจรราคะเจียงอีอีปรากฏตัวที่โรงเตี๊ยมเรือนรับแขกเขตเมืองเหนือ ขนาดล้อมโรงเตี๊ยมเอาไว้ยังปล่อยให้เขาหนีไปได้ ตอนนี้กำลังตรวจค้นร้านค้าทั่วทั้งเมือง เมื่อครู่นี้ก็เพิ่งมาตรวจที่ร้านค้าพวกเรา แต่พวกที่เฝ้าอยู่ด้านนอกกันไว้ให้ ก็เลยตรวจพอเป็นพิธีนิดหน่อยแล้วก็ไปแล้ว”
“โจรราคะเจียงอีอี?” อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วพึมพำ จากนั้นก็พยักหน้าทันที “เข้าใจแล้ว”
ช่างไม้ขอตัวลา อวิ๋นจือชิวที่ขมวดคิ้วมุ่นเดินเข้าไปนั่งในศาลาที่ลานบ้านด้านหลัง
เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย เชียนเอ๋อร์ก็เลยถาม “ฮูหยิน เป็นอะไรไปคะ?”
“จู่ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวในเวลานี้ คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนิวเอ้อร์หรอกใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างลังเล
“นายท่านจะไปเป็นพวกเดียวกับโจรราคะเจียงอีอีได้ยังไงคะ?” เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้ม
อวิ๋นจือชิวคิดไปคิดมาเห็นด้วย นางเลิกขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “จนป่านนี้แล้ว เจ้าผีนั่นเงียบสงบเกินไป ไม่เหมือนลักษณะของเขา ช่วงนี้ข้ากลัดกลุ้มกังวลใจ พอได้ยินเสียงลมพัดใบหญ้าแค่นิดเดียวก็จะคิดเชื่อมโยงไปถึงเขา ก็ได้ รอก็แล้วกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าผีนั่นจะใจกว้างขนาดนั้น จะเอาแต่ดูข้าโดนผู้ชายคนอื่นเอาไปครอบครองเฉยๆ เหรอ…เฮ้อ! เจ้านั่นคิดอะไรอยู่กันแน่? ในใจข้าคิดฟุ้งซ่านไปหมดแล้ว”
น่านฟ้าระกาติง จวนหัวหน้าภาค ในตึกศาลาที่งดงาม ฉู่จื่อซานกำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงรั้วมองประเมินทิวทัศน์อันงดงามที่ประดับตกแต่งใหม่ในจวน สีหน้าสุขใจร่าเริง รสชาติของการเป็นเจ้าอาณาเขตทำให้ทัศนคติของเขาค่อนข้างโอหังเย่อหยิ่ง
อยู่ที่กองทัพองครักษ์มาหลายปี แทบจะย้ายไปทางนั้นทีทางนี้ทีตลอดมา จะเหมือนตอนนี้ได้อย่างไร ได้เสพสุขกับบ้านสวยๆ ได้หญิงงงามให้กอดซ้ายกอดขวา ตอนอยู่ที่กองทัพองครักษ์ คนในครอบครัวติดตามกองทัพไปด้วยตลอดไม่สะดวกเท่าไร เพื่อที่จะลดความยุ่งยาก เขาก็เลยยังไม่แต่งงาน แต่หลังจากถูกย้ายมาที่นี่แล้ว เขาก็แต่งงานรับหญิงงามมาเป็นอนุภรรยาติดต่อกันสองคน เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างชุ่มชื่นชุ่มฉ่ำ
พอเห็นเรือนพักตรงมุมตะวันออกที่ตกแต่งใหม่ พอนึกขึ้นได้ว่าสาวงามยั่วราคะกำลังจะมาอยู่ที่นั่น ฉู่จื่อซานก็รู้สึกเร่าร้อนในใจ อนุภรรยาสองคนในบ้านของเขา จะว่าสวยก็สวยอยู่หรอก แต่ไม่ได้มีรสชาติที่ยอดเยี่ยมเหมือนอวิ๋นจือชิว จะพูดว่ายังไงดีล่ะ เสน่ห์ของผู้หญิงคนนั้นเกิดจากการรวมกันของความดิบเถื่อน สง่างามภูมิฐาน ออดอ้อนเย้าย้วน ประสบการณ์และเสน่ห์ทางเพศ อากัปกิริยาของนางเผยลักษณะที่สูงส่งให้เห็นรางๆ ตามหลักการแล้ว ลักษณะแบบนั้นจะเกิดขึ้นจากการเติบโตในสภาพแวดล้อมที่อยู่เหนือผู้อื่นมาเป็นเวลานาน เป็นสิ่งที่แช่อยู่ในกระดูกสันดานตั้งแต่เด็ก ยากจะลบทิ้งได้ น้อยคนนักที่จะสามารถบ่มเพาะสง่าราศีได้เหนือกว่านาง ขนาดคนในตระกูลขุนนางชนชั้นสูงของตำหนักสวรรค์ที่เขาเคยเจอยังไม่มีลักษณะแบบนั้นเลย เพราะขุนนางพวกนั้นมีเบื้องบนข่มอยู่ แต่เขาก็เคยเห็นฮ่องเต้ในโลกมนุษย์มาก่อน แต่ลักษณะท่าทางแบบอวิ๋นจือชิวนั้นพบเห็นได้น้อยมาก อย่าบอกนะว่ามีพื้นเพเป็นองค์หญิงในราชสำนักของโลกมนุษย์? เสน่ห์ต่างๆ รวมกันอยู่บนเรือนร่างที่ยั่วกามตัณหา ขนาดฉู่จื่อซานยังรู้สึกว่าหายากเลย มีพื้นเพมาจากครอบครัวแบบไหนกัน ถึงได้หล่อหลอมเสน่ห์มากมายไว้บนตัวผู้หญิงคนหนึ่งได้? เป็นของหายากจริงๆ!
เอาเป็นว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นอวิ๋นจือชิว เขาก็ใจสั่นหวั่นไหวแล้ว ทำให้เขารู้สึกปรารถนาอยากครอบครองรุนแรงขึ้นไปอีก!
แม่ทัพสวมเกราะม่วงคนหนึ่งเดินก้าวยาวเข้ามา ในจวนแห่งนี้ ฉู่จื่อซานสานต่อลักษณะของกองทัพองครักษ์ ในยามปกติทหารจะสวมเกราะรบไว้ตลอดเวลา
แม่ทัพมาข้างหลังเขาแล้วกุมหมัดคารวะ “ท่านหัวหน้าภาค ทางดาวจิ่วหวนมีเรื่องนิดหน่อย…” เขารายงานข่าวให้ฟังคร่าวๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจียงอีอี
“ปิดตลาดสวรรค์แล้วเหรอ?” ฉู่จื่อซานพลันหันตัวมา เจียงอีอีอะไรนั่นเขาไม่สนใจหรอก เขาขมวดคิ้วบอกว่า “รู้อยู่แท้ๆ ว่าอีกไม่กี่วันจะถึงงานแต่งงานของข้าแล้ว ตอนนี้มาปิดตลาดสวรรค์งั้นเหรอ เย่อี้กำลังเล่นบ้าอะไร? จงใจจะสร้างโจทย์ยากให้ข้างั้นเหรอ?” เขารอมาเกือบครึ่งปีแล้ว ไม่กี่วันมานี้คิดแต่เรื่องงดงามเรื่องนั้นตลอด ไม่ได้แตะต้องอนุภรรยาที่เหลือเลย รวบรวมกำลังวังชาเพื่อรอวันนั้น เขาไม่อยากจะรออีกแม้แต่วันเดียว
แม่ทัพตอบว่า “ข้าเองก็ถามไปแบบนี้ เย่อี้ตอบว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อยจะแก้ตัวกับเบื้องบนไม่ได้ขอรับ จะปล่อยให้ตลาดสวรรค์มีนักโทษหลบหนีโผล่มาแต่เขากลับไม่สนใจไม่ได้ เขาบอกว่าให้นายท่านวางใจได้ ไม่ว่าจะจับคนร้ายได้หรือไม่ แต่อย่างมากก็จะเปิดตลาดสวรรค์อีกภายในสามวันแน่นอน ไม่รบกวนงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นอีกห้าวันหลังจากนี้”
แบบนี้ก็ค่อยยังชั่ว! ฉู่จื่อซานพยักหน้า แล้วก็ช่วยพูดด้วยว่า “ลำบากเขาแล้วเช่นกัน สถานที่เส็งเคร็งอย่างตลาดสวรรค์เป็นแหล่งรวมกิจการของขุนนางใหญ่ๆ ในตำหนักสวรรค์ไม่น้อยเลย ไปล่วงเกินไม่ได้ แต่พอเจอเรื่องแบบนี้ จะไม่จัดการก็ไม่ได้อีก เขาเองก็ต้องรายงานเบื้องบนเหมือนกัน ช่างเถอะ อย่าไปทำให้เขาลำบากเลย”
ก็เป็นอย่างที่บอกจริง หลังจากนั้นสามวัน การเคลื่อนไหวของตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนทำให้คนแตกตื่นก็หยุดลงแล้ว ประตูเมืองทั้งสี่ที่ปิดไว้ก็เปิดแล้ว ส่วนโจรราคะเจียงอีอีก็ยังไม่ถูกจับเหมือนอย่างเคย ไม่ใช่ว่าตลาดสวรรค์ไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะโจรราคะนั่นขึ้นชื่อเรื่องจับตัวยาก ที่นี่ทำพลาดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
วันต่อมา จวนหัวหน้าภาค ฉู่จื่อซานนำกำลังพลกลุ่มใหญ่ออกเดินทางแล้ว ออกเดินทางล่วงหน้าหนึ่งวัน สาเหตุแรกเป็นเพราะระหว่างนั้นยังมีขั้นตอนอีก สาเหตุรองเป็นเพราะทางนี้นำของมาให้อวิ๋นจือชิวหวีผมแต่งตัวด้วย ใครใช้ให้ฝั่งอวิ๋นจือชิวไม่ให้ความร่วมมือล่ะ และทางตลาดสวรรค์ก็ยังมีพบปะสังสรรค์อยู่บ้าง ไม่มาล่วงหน้าไม่ได้หรอก
บนภูเขาที่อยู่ไกลๆ จงหลีค่วยมองตามฉู่จื่อซานนำคนออกเดินทางไป แล้วหยิบระฆังดาราออกมา ม่รู้ว่าติดต่อไปทางไหน
ดาวจิ่วหวน ตลาดสวรรค์ สตรีวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งปรากฏตัวที่มุมถนน นางเดินไปนอกประตูหออวิ๋นฮว๋า แต่กลับโดนทหารสวรรค์ที่สวมเกราะรบกลุ่มหนึ่งขวางไว้
“หออวิ๋นฮว๋าหยุดการค้าขายชั่วคราว ไปร้านอื่น!” ทหารที่เป็นหัวหน้าโบกมือตะโกน พรุ่งนี้จะเป็นวันมงคลแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด ฝั่งนี้ช่วยตัดสินใจหยุดกิจการชั่วคราวให้หออวิ๋นฮว๋าแล้ว หลังจากแน่ใจว่าอวิ๋นจือชิวยังอยู่ข้างใน ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกอีก!
บทที่ 1519 ตบหน้าหนึ่งฉาด
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เชียนเอ๋อร์ที่เดินไปเดินมาอยู่ในโถงใหญ่ของร้านก็ชำเลืองมองไปด้านนอก เมื่อเห็นบนผมของสตรีวัยกลางคนข้างนอกติดดอกไม้แดง ในดวงตาก็ฉายแววปลาบปลื้มดีใจ รีบวิ่งออกมาตะโกนใส่ทหารยาม “พวกเจ้าทำอะไร? นี่คืออาหญิง-องฮูหยิน มาส่งฮูหยินแต่งงาน!”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทหารยามที่เฝ้าด้านนอกก็ไม่สะดวกจะขัดขวางจริงๆ กอปรกับรู้ว่าเชียนเอ๋อร์เป็นสาวใช้ข้างกายอวิ๋นจือชิว ทหารที่เป็นหัวหน้าจึงโบกมือ ให้ทหารผู้หญิงคนหนึ่งค้นตัวสตรีวัยกลางคน จากนั้นแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ถึงได้ผล่อยสตรีวัยเลางคนเข้าไป
เชียนเอ๋อร์เห็นสายตาสอบถามของสตรีวัยกลางคนแล้ว สตรีวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อยอย่างแนบเนียน เชียนเอ๋อร์โล่งอก รีบคำนับแล้วบอกว่า “ท่านย่าใหญ่ เชิญตามข้ามาค่ะ!”
ทั้งสองมาที่สวนด้านหลัง เดินตรงขึ้นตึก แล้วเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์
อวิ๋นจือชิวรออยู่ข้างในด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจร้อนรน เมื่อเห็นดอกไม้สีแดงบนมวยผมอีกฝ่าย ในที่สุดก็โล่งใจแลว
ไม่ให้ร้อนใจคงไม่ได้หรอก ‘วันมงคล’ มารออยู่ตรงหน้าแล้ว ขนาดหออวิ๋นฮว๋ายังโดนปิดล้อมไว้ นางกลัวว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการชิงตัวเจ้าสาวกลางทาง ถ้าชิงตัวเจ้าสาวจริงๆ ไม่ว่าเหมียวอี้จะมีความมั่นใจขนาดไหน นางก็จะไม่ตอบตกลง ไม่ใช่เรื่องอันตรายหรือไม่อันตราย แต่ถ้าโดนคนยกขึ้นเกี้ยวแต่งงานอีกครั้ง? ถ้าข่าวแพร่ออกไปนางจะกลายเป็นอะไรไปล่ะ เรื่องในอดีตของเฟิงเสวียนทำให้ในใจนางอ่อนไหวกับด้านนี้เกินไป ถึงแม้ภายนอกจะดูไม่ออก แต่ความจริงในใจนางไม่ได้สบาย ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่เห็นภายนอกเลย นางไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง
สตรีวัยกลางคนที่ทัดดอกไม้แดงบนศีรษะดูแปลกหน้า อวิ๋นจือชิวจึงถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าคือคนที่หนิวโหย่วเต๋อส่งมาเหรอ?”
ในดวงตาสตรีวัยกลางคนฉายแววหยอกล้อ นางยิ้มบางๆ โดยไม่ตอบอะไร แต่เดินวนอ้อมอวิ๋นจือชิวอย่างช้าๆ มองประเมินอย่างละเอียดตั้งแต่ศีรษะจดเท้า
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงปราณปีศาจที่ปรากฏรางๆ ขณะเดียวกันก็พบว่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางพลันหันไปมอง ทำให้อ้าปากเล็กน้อยเช่นกัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ใบหน้าที่ยิ้มอย่างเป็นกันเองกำลังมองนาง ใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นในกระจกบ่อยๆ กำลังมองนาง นี่เป็นหน้าข้าเองไม่ใช่เหรอ? นอกจากเสื้อผ้าที่แตกต่างจากนั้น รูปร่างและความสูงก็ดูจะเหมือนนางทุกอย่างแล้ว
ขณะมองดูอีกฝ่ายยิ้มให้ตนอย่างสนิทสนมด้วยความอึ้ง อวิ๋นจือชิวก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา ในดวงตาฉายแววลังเล นึกถึงเมื่อครู่นี้ที่เพิ่งสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจ จู่ๆ นางก็ตาเป็นประกาย โพล่งถามออกมาว่า “เจ้าคือเฝิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยินเหรอ?”
ในปีนั้นตอนที่นางอยู่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน นางก็นับว่าเป็นคนสนิทคุ้นเคยกับปี้เยว่ฮูหยินเช่นกัน นำเครื่องประดับไปส่งให้ปี้เยว่ฮูหยินที่ตำหนักคุ้มเมืองบ่อยๆ นางมักจะเห็นปี้เยว่ฮูหยินอุ้มปีศาจจิ้งจอกสีชมพูตัวหนึ่งเสมอ กอปรกับได้ยินความลับบางอย่างมาจากปากเหมียวอี้ รู้ถึงพลังอภินิหารของปีศาจจิ้งจอกพันหน้า
“ไม่สนุกเลย ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะจำข้าได้” จู่ๆ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่อยู่ตรงข้ามก็เอามือปิดปากกลั้นขำ ท่าทางน่ารักซุกซน ไม่ได้มีลักษณะเหมือนอวิ๋นจือชิวคนเดิมเลย นางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา ไมได้เจอกันหลายปี นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันอีกทีต้องใช้วิธีนี้!”
ไม่ผิดหรอก นางคือปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่เหมียวอี้ขอยืมมาจากปี้เยว่ฮูหยินจริงๆ
“เป็นเจ้าจริงเหรอ?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ “แล้วทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงเรียกเจ้ามาที่นี่ล่ะ?”
เฝิ่นเอ๋อร์ส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าข้าอยากมารึไง! ข้ารำคาญเจ้าบ้านั่นที่สุดแล้ว ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายสักนิด ครั้งนี้ก็ทั้งข่มขู่ทั้งเอาผลประโยชน์มาบังคับให้ข้าทำงานให้เขา เป็นคนยังไงกัน! แต่ข้าก็นึกไม่ถึงเลยนะ เมื่อก่อนแค่ได้ยินข่าวลือของเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าสองคนจะแอบคบกันจริงๆ จุจุ!”
อวิ๋นจือชิวกลอกตามองนาง จากนั้นก็ขมวดคิ้วทันที “หนิวโหย่วเต๋อคงไม่ได้ให้เจ้าแปลงร่างเป็นข้าแล้วแต่งงานแทนหรอกใช่มั้ย?” ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ จะต่างอะไรกับการให้นางแต่งงานเอง ชื่อเสียงของนางก็ถูกทำลายอยู่ดี นางไม่มีทางรับปาก
“เจ้าฝันหวานเกินไปแล้ว ถ้าคนจับขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวจริงๆ ทหารล้อมไว้แน่นหนาขนาดนั้น ข้าจะหนีพ้นเหรอ?” เฝิ่นเอ๋อร์พ่นเสียงทางจมูก แล้วก็มองซ้ายมองขวา “อย่ามัวอึ้ง เถ้าแก่เนี้ยยังมีเสื้อผ้าที่ใส่ในวันปกติอยู่มั้ย? รีบแต่งตัวให้ข้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
“ไปเหรอ?” อวิ๋นจือชิวงุนงง “เจ้าจะออกไปยังไง?”
“เจ้าไม่ต้องกังวล ‘ชายชู้’ ของเจ้าวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว “เฝิ่นเอ๋อร์กล่าวอย่างปากไม่มีหูรูด แล้โบกมือบอกว่า “เร็วๆ หน่อย ถ้าชักช้าแล้วเสียงาน เจ้าเวรนั่นอาจจะไม่ยอมรับ!”
พอได้ยินว่ามีการเตรียมตัวแล้ว อวิ๋นจือชิวก็วางใจ โบกมือเรียกให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
ผ่านไปไม่นาน ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวเป็นๆ อีกคนก็เดินออกมาจากห้อง มายืนเทียบกับอวิ๋นจือชิวตัวจริง ทั้งสองราวกับฝาแฝด ขนาดอวิ๋นจือชิวก็ยังส่ายหน้าด้วยความตกตะลึง “ขนาดปราณปีศาจบนตัวก็ยังเก็บได้ดีมาก พรสวรรค์ของเจ้านี่เจ๋งจริงๆ”
“รู้สึกว่าจะไม่เหมือนนิดหน่อยนะคะ” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าว
เชียนเอ๋อร์พยักหน้าเช่นกัน “หน้าตาเหมือนกัน แต่สง่าราศียังห่างกันเยอะ นางไม่ได้มีสง่าราศีเท่าฮูหยิน”
เฝิ่นเอ๋อร์วางมือจากเรื่องนี้ทันที หันตัววิ่งเข้าไปในห้องแล้วบอกว่า “ก็ได้! งั้นข้าไม่ทำแล้ว ฮูหยินของพวกเจ้ามีสง่าราศีดี งั้นก็ให้ฮูหยินของเจ้าไปขึ้นเกี้ยวเข้าห้องหอเถอะ ข้าก็ขี้เกียจจะหวาดระแวงไปเสี่ยงอันตรายเหมือนกัน”
“พวกนางพูดไม่คิด เจ้าอย่าไปถือสาพวกนางเลย ข้าขอโทษแทนแล้วกัน” อวิ๋นจือชิวรีบเข้ามาดึงแขนนางไว้ ต้องพูดเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวถึงจะยอมสงบได้
เฝิ่นเอ๋อร์ที่ได้กอบกู้หน้าตาเต็มที่แล้วตำหนิเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อีกยกหนึ่ง เมื่อทั้งสองก้มหน้ารับผิดแล้ว นางถึงได้ใช้สองมือยกหน้าอกตัวเองอย่างพอใจมาก แล้วก็มองไปที่หน้าอกของอวิ๋นจือชิวอีก “ใหญ่ไปหน่อยนะ ปกติแบกไว้เจ้าไม่เหนื่อยบ้างเหรอ?”
นี่มันเวลาไหนแล้ว! อวิ๋นจือชิวแทบจะเรียกนางว่าท่านย่า “ต่อไปทำยังไง?”
เฝิ่นเอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อสองข้าง “ต่อไปก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้ว แอบอยู่ในนี้อย่าออกไปไหนล่ะ รอผู้ชายของเจ้าส่งข่าวมาแล้วค่อยโผล่หน้าไปอีกรอบ” แล้วก็ชี้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อีก “พวกเจ้าตามข้าออกไปสักรอบ”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มองไปที่อวิ๋นจือชิว นางรู้ว่าเหมียวอี้ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับทั้งสอง จึงพยักหน้าอนุญาต ทั้งสองถึงได้เดินตามออกไป
“พวกเจ้าทำสายตาอะไรของพวกเจ้า นี่มันท่าทีอะไรกัน ไปยืนตรงไหนแล้ว? ยังมาบอกว่าข้าไม่เหมือนอีก ถ้าพวกเจ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ข้าเหมือนแต่ก็จะแสดงไม่เนียนแล้ว มองข้าให้เป็นนางสิ ให้ข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ย เข้าใจมั้ย…” เสียงตำหนิของเฝิ่นเอ๋อร์ดังมาตลอดทาง อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะเอามือลูบหน้าผากที่ขาวเกลี้ยงเกลาของตัวเอง นางปวดหัวนิดหน่อย ทำไมรู้สึกว่าปีศาจจิ้งจอกเชื่อไม่ค่อยได้ เหมียวอี้อย่าเอาจิ้งจอกตัวนี้มาทำเรื่องแบบนี้ได้มั้ย?
ทว่าจนป่านนี้แล้ว ไม่ได้ก็ต้องได้ ทำได้เพียงเชื่อมั่นในการเตรียมพร้อมของเหมียวอี้ แต่ก็ยังปวดหัวที่เหมียวอี้มักจะทำเรื่องอันตรายน่าหวาดเสียวแบบนี้อยู่บ่อบๆ ทำเหมือนเล่นแบบนี้จนชินแล้ว ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องบางหรือไง?
เมื่อเห็น ‘อวิ๋นจือชิว’ โผล่หน้ามา ผู้เฒ่าฟ่าน ช่างไม้ ช่างหินและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังก็มองมาพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดวนเวียนกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวจะไปทำอะไรที่โถงด้านหน้า อดไม่ได้ที่จะเดินตามหลังไปเงียบๆ
พอมาถึงโถงใหญ่ในร้านค้าแล้ว ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็นำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ออกไปที่ประตูใหญ่โดยตรง
ทหารที่เฝ้าประตูหันกลับมามองแวบหนึ่ง หัวหน้าทหารที่แซ่คังกุมหมัดคารวะพร้อมขวางไว้ “ผู้จัดการร้านจะไปที่ไหนขอรับ?”
อวิ๋นจือชิว’ ในวันนี้ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี เป็นเพราะเฝิ่นเอ๋อร์ก็รู้เช่นกันว่าตัวเองกับอวิ๋นจือชิวมีสง่าราศีเหมือนกัน จึงทำหน้าตึงไม่แสดงความรู้สึกอะไร “จะออกไปนอกเมืองสักรอบ”
คังชะงักทันที แล้วเงยหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้จัดการร้าน เรื่องมงคลกำลังจะมาถึงแล้ว ท่านหัวหน้าภาคเคยกำชับไว้แล้ว ว่าห้ามให้เกิดเรื่องกับผู้จัดการร้านเด็ดขาด พวกเราไม่กล้าขัดคำสั่งหรอก ผู้จัดการร้านมีธุระอะไรก็สั่งให้พวกเราไปจัดการแทนได้เลย” เขาพูดจาสุภาพเกรงใจ ไม่กล้าล่วงเกินตรงๆ
อวิ๋นจือชิว’ บอกว่า “ตระกูลสามีคนเก่าของข้าส่งส่งคนมาถึงนอกเมืองแล้ว นำสัญญาของกิจการมาให้ข้าเพื่อนำติดตัวไปด้วยยามแต่งงาน ข้าจะไปรับไว้ไม่ได้เหรอ?”
คังกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แบบนั้นก็ยิ่งจัดการง่ายแล้ว อยู่ที่ไหน ข้าจะส่งคงไปเอาให้”
เพี้ยะ! ‘อวิ๋นจือชิว’ ลงมืออย่างกะทันหัน ตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงจนเกิดเสียงดังฟังชัด ทำให้คังโดนตบจนเหม่อไปเลย
คังเบิกตากว้าง กดฝักกระบี่ที่เอวโดยจิตใต้สำนึก ลูกน้องที่อยู่ทางฝั่งซ้ายและขวากดอาวุธเอาไว้เช่นกัน ทำสีหน้าเหมือนลูกผู้ชายฆ่าได้แต่หยามไม่ได้! แต่ไม่นานก็นึกขึ้นได้ถึงฐานะของผู้หญิงคนนี้ แต่ละคนจึงกล้าโกรธแต่ต้องข่มอารมณ์เอาไว้
ผู้เฒ่าฟ่าน ช่างไม้และคนอื่นๆ พูดไม่ออก พบว่าวันนี้ฮูหยินมีลักษณะไม่เหมือนเดิม
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ค่อนข้างตกใจเช่นกัน ในใจแอบปาดเหงื่อ จิ้งจอกตัวนี้เล่นบ้าอะไรกัน?
คังทำหน้านิ่ง เรื่องที่เขาประสบในวันนี้จะกลายเป็นเรื่องให้เพื่อนร่วมงานหัวเราะเยาะแน่นอน จึงถามเสียงต่ำว่า “ผู้จัดการร้าน ท่านทำเกินไปหรือเปล่า?”
อวิ๋นจือชิว’ กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ถึงคราวที่เจ้าจะมาตัดสินใจแทนแล้วเหรอ? ครอบครัวสามีเก่าข้าไม่อยกาเข้าเมือง ที่สำคัญเป็นเพราะไม่อยากเข้ามารับความอัปยศในนี้ สัญญาทางธุรกิจไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อย ใครจะรู้ว่าพวกเจ้ามือเท้าสะอาดรึเปล่า ทางนั้นไม่อยากให้เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้อยู่ในมือคนนอก มีแต่ต้องให้ข้าไปรับด้วยตัวเองเท่านั้น ถ้าพวกเจ้าไม่วางใจ…” นางหันกลับมามองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พร้อมบอกว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวข้าไปคนเดียว!” นางหันกลับมาบอกอีกครั้งว่า “อยู่ที่ประตูเมืองนี่เอง ไปประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็กลับ พวกเจ้ายกโขยงคุมตัวข้าไปเยอะขนาดนี้ ยังมีอะไรไม่วางใจอีก? ถ้ายังไม่วางใจ ก็ไปถามฉู่จื่อซานตอนนี้เลย ถามว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่ตกลง ถ้าเขาไม่ตกลง สินเดิมเจ้าสาวพวกนี้ข้าไม่เอาแล้วก็ได้!”
คังเม้มริมฝีปากแน่น หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับฉู่จื่อซานแล้ว
ฉู่จื่อซานที่กำลังอยู่ระหว่างทางได้ข่าวแล้วก็รีบถามรายละเอียดทันที เมื่อได้รู้ว่าอยู่แค่ตรงประตู ทั้งยังมีคนมากมายคุมตัวอวิ๋นจือชิวแค่คนเดียว ทั้งยังมีตัวประกันอยู่ที่หออวิ๋นฮว๋าด้วย ตรงประตูตลาดจะมีคนกล้าก่อความวุ่นวายเชียวเหรอ สินเดิมเจ้าสาวจำนวนมาก? เป็นเรื่องดีนนะนั่น! ถ้าไม่เอาก็เสียของสิ แต่ก็ยังเตือนให้ระวังตัว อย่าให้คนอื่นชิงตัวอวิ๋นจือชิวไป!
พอคังเก็บระฆังดาราแล้วก็หลีกทางให้ ยื่นมือเชิญด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “เชิญ!”
อวิ๋นจือชิว’ พลิกมือนำหมวกมุ้งมาสวมปิดบังใบหน้า แล้วเดินไปข้างนอก
“เถ้าแก่เนี้ย!” พวกช่างไม้ค่อนข้างร้อนใจ ก้าวไปข้างหน้าเตรียมจะตามไป แล้วก็ถูกเสวี่ยเอ๋อร์ยื่นมือขวางไว้
“ถอยไปให้หมด!” เชียนเอ๋อร์เกลี้ยกล่อม หันตัวมาบอกว่า “รอฮูหยินกลับมาก็พอ”
พวกช่างไม้หันกลับมามอง เห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สีหน้าใจเย็น ดูไม่กังวลเลยสักนิด แต่ก็รู้ว่าการที่ทั้งสองทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน ถึงได้ข่มความสงสัยในใจเอาไว้
พอออกจากประตูเมืองทางทิศใต้ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่ถูกทหารหลายร้อยควบคุมตัวก็ยืนอยู่นอกเมืองและหันมองไปรอบๆ พอเหลือบไปทางซ้ายก็เห็นว่าตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลๆ ประมาณร้อยจั้งมีคนคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำและปิดบังใบหน้ายืนอยู่ ยืนเงียบอยู่ตรงนั้นคนเดียว
อวิ๋นจือชิว’ เดินไปทางนั้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว คังที่ตามติดอยู่ข้างกายส่งสัญญาณมือ ทำให้มีคนสิบกว่าคนเหาะเข้าไปถืออาวุธล้อมคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ทันที ถึงขั้นหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันขึ้นมาเตรียมพร้อมป้องกันแล้วด้วย
บทที่ 1520 โจรราคะชิงตัวไป
ดูจากท่าทางแล้ว เห็นได้ชัดว่าถ้าคนคนนี้เคลื่อนไหวผิดปกติ ก็จะโดนเล่นงานทันที ไม่ให้โอกาสเขาได้หนี
คนที่อยู่ในผ้าคลุมดำยังคงก้มหน้าเล็กน้อย บางทีอาจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่โดนข่มขู่กดดัน ร่างกายสั่นเล็กน้อย แต่ไม่นานก็สงบลงแล้ว
คังเหล่ตามอง ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่อยู่ข้างกัน แล้วค่อยๆ ชักกระบี่เดินตามไป กลุ่มทหารถืออาวุธไว้เรียบร้อยแล้ว
จากนั้น ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็หันกลับไปมองอาวุธในมือคัง มุมปากกระตุกเล็กน้อย เหมือนเคยีดแค้นมาก แต่เท้ายังไม่หยุดเดิน ยังคงเดินหน้าต่อไป
หลังจากเดินมาใกล้ใต้ต้นไม้ กำลังพลที่ล้อมคนชุดดำเอาไว้ก็หลีกทางให้เดิน ปล่อยให้ ‘อวิ๋นจือชิว’ เดินเข้าไป คังที่เดินตามส่งสัญญาณอีกครั้ง คนหลายร้อยเคลื่อนไหวทันที ชั่วพริบตาเดียวก็ล้อมเอาไว้หลายชั้น มีบางคนกระโดขึ้นไปบนต้นไม้ด้วย ทำให้คนที่โดนล้อมไว้ยากจะเสียบปีกหนีไป
พอเดินมาตรงหน้าคนชุดดำ ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็ถอนหายใจเบาๆ “ท่านอา”
“เฮ้อ!” คนชุดดำก็ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน หยิบกำไลเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง “คำยินดีข้าคงไม่พูดแล้ว พูดไม่ออกเหมือนกัน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว สินเดิมเจ้าสาวเล็กน้อย นับว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยก็แล้วกัน อย่ารังเกียจที่มันน้อย”
อวิ๋นจือชิว’ ใช้มือข้างเดียวผลักกลับไป แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ท่านอา ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
คนชุดดำผลักอีก “เจ้าทำงานหนักเพื่อครอบครัวนี้มาหลายปี นี่คือสิ่งที่เจ้าควรจะได้รับ”
ทว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็บอกอีกว่า “ท่านอา น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว แต่งงานใหม่จะดีได้ยังไง…” นางผลักกลับไปอีก
ทั้งสองผลักไปผลักมา คนหนึ่งต้องการจะให้ แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมรับ ทุกคนมองดูกำไลเก็บสมบัติวงนั้น แต่ละคนกำลังครุ่นคิดในใจว่า ข้างในมีของมากเท่าไรกันแน่
คังกระแอมอยู่ข้างหลัง ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้วบอกว่า “ผู้จัดการร้าน ในเมื่อเป็นน้ำใจ รับไว้ก็สิ้นเรื่องแล้ว” เขาคิดว่าสาเหตุที่ท่านหัวหน้าภาคให้ท่านนี้ออกมารับของ คงเพราะมีความคิดอยากจะได้ทั้งเงินทั้งคน
เมื่อได้ยินดังนั้น ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็หันกลับมาถลึงตาจ้องเขาแวบหนึ่ง แล้วตบกำไลเก็บสมบัติไว้บนมือคนชุดดำ “ท่านอา ข้ารับไว้ไม่ได้”
คนชุดดำหยิบถือกำไลเก็บสมบัติอย่างลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “เจ้าลำบากอยู่ในครอบครัวนี้มาหลายปี จะให้เจ้าจากไปมือเปล่าได้ยังไง เอาอย่างนี้แล้วกัน…” ขณะที่พูดก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เรียกของออกมาจากกำไลเก็บสมบัติ
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือ ไม่เห็นคนชุดดำควักสมบัติอะไรออกมา แต่กลับเห็นควักกระบี่และมีดสั้นออกมามีดสั้น
สิ่งที่ทำให้ทหารทำอะไรไม่ถูกก็คือ กระบี่ที่คนชุดดำชักออกมาต่ออยู่ที่คอของ ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้ว ส่วนมีดสั้นก็จ่อที่ท้อง ‘อวิ๋นจือชิว’ พอยืดตัวก็จับอวิ๋นจือชิวเป็นตัวประกันไว้ในมือแล้ว
เวรแล้ว! คังหลังตากระตุก อุบายนี้ทำให้คนคิดไม่ถึงจริงๆ ทุกคนป้องกันไม่ให้ ‘อวิ๋นจือชิว’ โดนคนพาตัวไป แต่นึกไม่ถึงว่าจะโดนจี้ชิงตัว
คนที่ถือดาบ ทวน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ล้อมไว้เริ่มกังวลแล้ว ทั้งหมดชี้ไปที่คนชุดดำ คังโบกกระบี่ตะโกนว่า “รนหาที่ตายรึไง! ปล่อยผู้จัดการร้านไป!”
คนชุดดำเก็บคมดาบที่คล้องอยู่บนคอ ‘อวิ๋นจือชิว’ ใบหน้าชราที่อยู่ใต้หมวกโผล่ออกมา เสียงพูดก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน ตะโกนด้วยเสียงแหลมว่า “หลีกไป! ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่านาง!”
คังโดนกดดันจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทุกคนกลัวว่าจะลูบหน้าปะจมูก ได้แต่ทำหน้าเลิกลั่กอยู่อย่างนั้น
ตอนนี้ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่โดนจี้สีหน้าเปลี่ยนทันที แล้วถามอย่างร้อนใจว่า “เจ้าไม่ใช่ท่านอา เจ้าเป็นใคร?”
คนชุดดำหัวเราะเสียงแหลม “เจียงอีอีอยู่นี่แล้ว!”
“เจียงอีอี?” ทุกคนตกใจมาก ก่อนหน้านี้ในเมืองมีเรื่องวุ่นวายของโจรราคะเจียงอีอี นึกไม่ถึงว่าจะมาโผล่อยู่ที่นี่แล้ว
คังตกใจไม่เบา แต่ก็กลอกตาไปมา สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล สายตาจ้องไปที่ ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้วแสยะหัวเราะ “ผู้จัดการร้าน ใช้วิธีการเด็กๆ แบบนี้มาตบตาข้ามันน่าขำไปหน่อยมั้ง ข้าแนะนำให้ท่านมีจิตสำนึกหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าพวกพี่น้องพลั้งมือขึ้นมา ท่านหัวหน้าภาคก็จะทำได้แค่เสียใจทีหลังแล้ว”
อวิ๋นจือชิว’ ด่ากราดทันที “พูดเหลวไหลหาแม่เจ้าเหรอ! เจ้าเป็นสุนัขตาบอดรึไง ท่านอาของข้าโดนทำร้ายแล้วแน่ๆ…อ๊า!” จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้อง
คนชุดดำที่จี้ตัวนางใช้กระบี่คล้องคอนาง แต่มีดสั้นที่จ่อตรงท้องกลับยกขึ้นและยกลงแล้ว แทงเข้าไปในท้องนางอย่างแรง เลือดสดไหลออกมาทันที
ฉากนี้ทำให้พวกคังตกใจจนพูดไม่ออก ยังนึกว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ ไม่อย่างแต่งงานเลยเล่นตุกติก หรือนี่จะเป็นกลยุทธ์เจ็บกาย…
คนชุดดำมองไปรอบๆ แล้วแสยะยิ้ม “อยากจะจับข้าเหรอ? ข้ามีสภาพยังไงพวกเขาไม่เคยเห็นเหรอ ถ้าข้าตายข้าจะต้องลากนางไปรับกรรมด้วยแน่นอน หลีกไป!”
คังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อย่างนั้น แล้วยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำท่าเหมือนจะออกคำสั่งรุกโจมตี แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เจียงอีอี ปล่อยนางไปซะ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”
“ข้าจะเชื่อได้เหรอ?” คนชุดดำแสยะยิ้ม พอมีดสั่นตรงท้อง ‘อวิ๋นจือชิว’ ขยับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็ทำท่าเหมือนเจ็บจนจะเป็นจะตาย
คังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทันที เขาอยากจะกำจัด ‘อวิ๋นจือชิว’ ไปพร้อมกันด้วยจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังตบหน้าเขาต่อหน้าฝูงชนให้เขาอับปาย มีคนมากมายขนาดนี้เห็นเหตุการณ์ ถ้าเขาทำแบบนี้จริงๆ ก็จะแก้ตัวกับทางท่านหัวหน้าภาคไม่ได้
คนชุดดำมองไปรอบๆ ไม่สนใจว่าทางนี้จะหลีกทางหรือไม่ จี้ตัว ‘อวิ๋นจือชิว’ เหาะขึ้นฟ้า แล้วเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
“ตาม!” คังกระทืบเท้าอย่างเคียดแค้น แล้วก็โบกมือนำกำลังพลเหาะขึ้นฟ้าตามไป ขณะเดียวกันก็รีบติดต่อกำลังพลที่เหลือในเมืองให้ตามมาสนับสนุน ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะติดต่อท่านหัวหน้าภาคฉู่จื่อซาน ทางนี้เกิดเรื่องแล้ว!
ฉู่จื่อซานที่นำกลุ่มคนเหาะอยู่ในดาราจักรกำลังแอบฝันหวาน จู่ๆ ก็เกิดฝันร้าย เขาถามอย่างตกใจปนสงสัยว่า : เป็นผู้จัดการร้านอวิ๋นที่จงใจเล่นตุกติกหรือเปล่า?
คัง : ทีแรกข้าน้อยก็สงสัยแบบนี้ แต่…ผู้จัดการร้านอวิ๋นโดนมีดแทงไปหลายครั้งแล้ว อาจจะตายได้ทุกเมื่อ ไม่เหมือนกำลังเล่นละคร ข้าน้อยไม่กล้าไล่ตามใกล้เกินไป!
เป็นแบบนี้จริงๆ พอคนชุดดำเห็นคังเข้ามาใกล้เกินไป ก็ใช้มีดสั้นแทง ‘อวิ๋นจือชิว’ อีกหลายครั้ง เรียกได้ว่าลงมืออย่างเหี้ยมโหด เสียงกรีดร้องของ ‘อวิ๋นจือชิว’ ทำให้คนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังขนลุก จะปล่อยไปก็ไม่ได้ แต่ถ้าตามติดเกินไปแล้วทำให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นอันตรายถึงตาย กลับไปพวกเขาก็แก้ตัวกับท่านหัวหน้าภาคไม่ได้อีก ไม่กล้าเสี่ยง!
ฉู่จื่อซานโมโหเดือดดาลทันที ตะโกนด่าว่า : พวกเศษสวะ แค่เรื่องเล็กๆ ยังจัดการไม่ได้ เจ้ายังจะไปทำอะไรได้อีก?
คัง : ข้าร้อยไร้ความสามารถ นายท่านได้โปรดแนะนำว่าควรทำยังไงต่อไป?
ฉู่จื่อซาน : จับตาดูให้ข้า อย่าให้คนหนีไป อย่ากดดันให้อีกฝ่ายพากันตายทั้งคู่ด้วย ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้…ถ้าจับตาดูไม่ไหวจริงๆ ฆ่า!
คัง : ข้าน้อยกลัวจะพลาดทำให้ผู้จัดการร้านอวิ๋นบาดเจ็บ
ฉู่จื่อซาน : พยายามถ่วงเวลารอข้าไปที่นั่น ถ้าถ่วงเวลาไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าให้นางตกอยู่ในมือโจรราคะเจียงอีอี!
ชัดเจนว่าถ้าไม่มีหนทางแล้วจริงๆ แม้แต่ ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็ต้องกำจัดไปพร้อมกันเลย ตอนออกคำสั่งนี้เขาเองก็ปวดใจเหมือนกัน เขาคิดถึงร่างกายของผู้หญิงคนนี้มานานเท่าไรแล้ว เห็นอยู่แท้ๆ ว่ากำลังจะกลายเป็นเรื่องงดงาม แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับตกอยู่ในมือโจรราคะเจียงอีอี มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้เจียงอีอีพาตัว ‘อวิ๋นจือชิว’ ไป ถ้าตกอยู่ในมือเจียงอีอีแล้ว อาศัยแค่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของโจรราคะนั่น ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ส่วนเหตุผลว่าทำไมเจียงอีอีถึงพุ่งเป้ามาที่อวิ๋นจือชิว ไม่ต้องคิดก็เดาออกแล้ว นี่คือโรคเก่าของเจียงอีอี ลงมือกับคนในครอบครัวขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ คาดว่าข่าวที่ตนจะแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวคงแพร่ออกไปแล้ว เขาจะโดนโจรราคะเจียงอีอีนั่นสวมเขาได้อย่างไร เสียหน้าแบบนั้นไม่ไหว ช่วยได้ก็ช่วย แต่ก็ช่วยไม่ได้ก็ทำลายไปพร้อมกันเลย มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางยอมโดนคนทั้งใต้หล้าหัวเราะเพียงเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงคนเดียว
คังเข้าใจความคิดของเขา : ขอรับ!
ที่จริงคังก็อยากจะลงมือกำจัดเจียงอีอีกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ พร้อมกันเสียตอนนี้เลย แต่ฝั่งนี้มีคนเยอะเกินไป ถ้าทำแบบนี้จริงๆ จะไม่มีทางแก้ตัวได้
“รวมกลุ่มเร่งความเร็วไปข้างหน้า!” ฉู่จื่อซานพลันหันกลับมาออกคำสั่ง
กำลังพลนับหมื่นรวมกลุ่มกันทันที ชัดเจนว่าไม่ต้องการพิธีรีตองอะไรแล้ว นักพรตบงกชทองถูกเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์ของนักพรตบงกชรุ้ง คนจำนวนมากตะโกนเสียงดัง ความเร็วที่เร่งไปข้างหน้าเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน!
ขณะเดียวกัน ฉู่จื่อซานที่นำกำลังพลเหาะอยู่บนฟ้าก็ออกคำสั่งไปยังกำลังพลที่ประจำอยู่ในจุดต่างๆ ของน่านฟ้าระกาติง ว่าให้ปิดทางเข้าออกประตูดวงดาวน่านฟ้าระกาติง แล้วรวบรวมทัพใหญ่ไล่ล้อมดักไว้
“พี่น้อง เป็นอะไรไป?”
หออวิ๋นฮว๋า ช่างไม้วิ่งออกมาจากร้าน เห็นกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่เฝ้าหน้าร้านกำลังรวมตัวกัน เหมือนเตรียมจะถอนกำลัง จึงรีบมาถาม
ขุนพลที่เป็นหัวหน้าเงยหน้ามองป้ายร้านหออวิ๋นฮว๋าแวบหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ยโดนจับตัวไปแล้ว เฝ้าตัวประกันอยู่ที่นี่อีกก็ไม่มีความหมายอะไร จึงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ? ช่วยชีวิตคน! ผู้จัดการร้านของพวกเจ้าโดนเจียงอีอีชิงตัวไปแล้ว!” จากนั้นหันกลับมาโบกมือตะโกนบอกลูกน้องที่กำลังรวมตัวกัน “ไป!”
กำลังพลหลายร้อยรีบทะยานขึ้นฟ้า รีบเหาะไปยังประตูเมือง
“อ๋า…” ช่างไม้ตะลึงค้าง รีบถลันตัวกลับเข้าไปในร้าน บอกพวกผู้เฒ่าฟ่านอย่างร้อนใจว่า “เถ้าแก่เนี้ยตกอยู่ในมือเจียงอีอี รีบไปช่วยคนเร็ว! ผู้เฒ่าฟ่าน ท่านวรยุทธ์สูง ยังไม่รีบตามไปก่อนอีก!”
พวกผู้เฒ่าฟ่านได้ยินแล้วก็ร้อนใจเช่นกัน เถ้าแก่เนี้ยตกอยู่ในมือโจรราคะเจียงอีอีแล้ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
“คนไปที่ไหนแล้ว?” ผู้เฒ่าฟ่านถลันตัวไปอยู่ข้างกายช่างไม้ที่เพิ่งเอ่ยถามทหารยามกลุ่มนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ โดนชิงตัวไปทางไหนแล้ว ทำได้เพียงตามกำลังพลของตำหนักสวรรค์ไป
“หยุดนะ!” มีเสียงตะโกนดังมาจากโถงด้านหลัง ทุกคนหันมองตาม เชียนเอ๋อร์กำลังเดินช้าๆ ออกมาจากโถงด้านหลัง
“กูกูใหญ่ เถ้าแก่เนี้ยที่อยู่นอกเมืองโดนเจียงอีอีชิงตัวไปแล้ว!” ช่างไม้กล่าวอย่างกระวนกระวาย
เชียนเอ๋อร์เดินผ่านข้างกายพวกเขาไปอย่างไม่รีบร้อน เดินออกไปนอกประตูแล้วมองซ้ายมองขวา ก่อนจะถามกลับว่า “คนที่เฝ้าข้างนอกไปกันหมดแล้วเหรอ?”
ช่างไม้พยักหน้า “ไปกันหมดแล้ว กูกูใหญ่ ท่านอยู่ที่นี่ ข้ากับพวกผู้เฒ่าฟ่าน…”
“พวกเจ้าตามข้ามา!” เชียนเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างไม่ร้อนรน
พวกช่างไม้ตะลึงค้าง สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เถ้าแก่เนี้ยโดนจับตัวไปแล้ว ท่านนี้ไม่น่าจะใจเย็นสิ พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินตามนางไปด้วยสีหน้าร้อนรนและฉงนใจ
พอขึ้นมาบนตึกที่อยู่ตรงลานบ้านด้านหลัง เข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของอวิ๋นจือชิว พวกเขาก็งงเป็นไก่ตาแตกทันที เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวกำลังนั่งพลิกอ่านม้วนหนังสือเก่าอยู่ในศาลา สีหน้าอารมณ์ดูสงบใจเย็น ไม่ตระหนกตกใจเลย
เชียนเอ๋อร์เข้ามาในศาลา แล้วก้มหน้ากระซิบข้างบ่าอวิ๋นจือชิว จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า เอียงหน้ามองไปทางคนที่เหลือ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “พอแล้ว! เห็นกันหมดแล้วนะ คนที่โดนชิงตัวไปไม่ใช่ข้า ทุกคนไม่ต้องกลัว ควรจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ”
ทุกคนเข้าใจกระจ่างในทันที มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้การกระทำของเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นถึงแปลกไป ยังนึกว่าอารมณ์ไม่ดีเพราะโดนบังคับแต่งงานเสียอีก ที่แท้ก็เป็นตัวแสดงแทนนี่เอง!
บทที่ 1521 บังเอิญจริงๆ
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก พอคิดว่าตกอยู่ในมือของเจียงอีอี เมื่อครู่นี้ทุกคนก็ตกใจแล้วจริงๆ เป็นเพราะชื่อเสียงในด้านนั้นของโจรราคะประหลาดจนน่าตกใจ
ช่างไม้อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย ทหารยามที่เฝ้าอยู่ข้างนอกถอนกำลังออกไปหมดแล้ว ท่านไม่ฉวยโอกาสย้ายที่สักหน่อยล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจยาว “ช่างมันเถอะ มีคนบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว ให้ข้าอยู่ที่นี่อย่างว่านอนสอนง่าย ไม่อย่างนั้นจะแตกคอกับข้า!”
ช่างไม้ ช่างหิน พ่อครัว บัณฑิตสบตากันแวบหนึ่ง ทุกคนพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร ในใจรู้สึกปลาบปลื้ม มิน่าล่ะ ที่แท้ก็เป็นเจ้าหมอนั่นที่ลงมือ ถ้ามีใครมาแตะต้องเมียของเขา เจ้าหมอนั่นก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนก้น ขนาดเรื่องบ้าบิ่นที่อุทยานหลวงเจ้าบ้านั่นยังทำได้เลย มีหรือที่จะเห็นหัวหน้าภาคคนเดียวอยู่ในสายตา ต่อไปหัวหน้าภาคฉู่นั่นได้เสียเปรียบแน่!
ในช่วงเวลานี้ โดนฉู่จื่อซานส่งคนล้อมไว้ คนกลุ่มหนึ่งอึดอัดแทบแย่ แต่ตอนนี้ดีแล้ว คนที่ระบายความโกรธให้มาแล้ว!
เฒ่าฟ่านกลับฟังไม่เข้าใจเงื่อนงำที่อยู่ในนั้น เพราะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของอวิ๋นจือชิวและเหมียวอี้ นึกเพียงว่าอวิ๋นจือชิวพูดถึงคนฝั่งลัทธิมาร จึงถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย ไม่ทราบว่าตัวแสดงแทนคือใครกัน?” นี่ต่างหากคือสิ่งที่เขาสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าตอนโผล่หน้ามาจะปิดบังได้แม้แต่เขา
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พอแล้ว พวกเจ้าตามเชียนเอ๋อร์ออกไปเถอะ เชียนเอ๋อร์มีอะไรจะสั่งพวกเจ้า” อวิ๋นจือชิวเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกแล้ว นางหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาอ่านต่อไป นางไม่จำเป็นต้องให้ลัทธิมารรู้เรื่องปีศาจจิ้งจอกพันหน้า
เฒ่าฟ่านยังอยากจะถามอะไรอีก แต่เชียนเอ๋อร์ยื่นมือเชิญแล้ว “ทุกคนตามข้ามา”
พวกช่างไม้ให้ความร่วมมือ หันตัวเดินตามไปแล้ว เฒ่าฟ่านที่อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างทำได้เพียงเดินออกไป พอมาถึงด้านนอก เชียนเอ๋อร์ก็สั่งอะไรบางอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก แค่บอกว่าอย่าเพิ่งเปิดเผยให้คนนอกรู้เรื่องที่อวิ๋นจือชิวโดนชิงตัวไป
จากนั้นหออวิ๋นฮว๋าก็กลับคืนสู่ความวงบ ทุกคนควรจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น
หลังจากเชียนเอ๋อร์กลับมาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวก็แสร้งทำตัวสงบเยือกเย็นไม่ไหวแล้ว นางโยนม้วนหนังสือในมือ แล้วด่าว่า “สงสัยสิ่งที่ข้าสงสัยก่อนหน้านี้จะไม่ผิดเลยสักนิด เรื่องของเจียงอีอีนั่น เจ้าผีนั่นเป็นคนวางแผนจริงๆ ตอนนี้ข้างนอกคงจะรู้กันหมดแล้วว่าข้าโดนโจรราคะชิงตัวไป ไอ้เวรเอ๊ย! กลัวว่าชื่อเสียงข้าจะไม่เสื่อมเสียรึไง?”
“นายท่านคิดจะทำอะไรกันแน่คะ?” เชียนเอ๋อร์สงสัย
สีหน้าโกรธของอวิ๋นจือชิวเปลี่ยนเป็นสีหน้ากังวลในชั่วพริบตาเดียว นางส่ายหน้าบอกว่า “ไม่รู้สิ เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้นแน่นอน พวกเจ้าก็รู้จักนิสัยของเจ้าหมอนั่นไม่ใช่เหรอ? เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แล้วล่ะ! แต่เขาไม่ฟังที่ข้าเกลี้ยกล่อมเลย แล้วเขาก็ตั้งใจจะหลบหน้าไม่เจอข้าด้วย ชัดเจนว่ากลัวข้าจะห้าม แล้วข้าจะทำยังไงได้อีกล่ะ?”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ทำสีหน้ากลุ้มใจแล้ว พวกนางติดตามเหมียวอี้มาตั้งแต่ตอนเหมียวอี้ยังต่ำต้อย ย่อมรู้ว่าเหมียวอี้ไม่ใช่คนดีอะไร มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ เรื่องเกิดขึ้นตอนใกล้จะถึง ‘วันมงคล’ พอดี ถ้าจะบอกว่าจะไม่มีเรื่องอื่นเกิดขึ้น แม้แต่พวกนางเอกก็ยังไม่เชื่อเลย!
ต้นไม้อย่างสงบแต่ลมกลับไม่หยุดพัด ข่าวที่เถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าโดนเจียงอีอีชิงตัวไปแพร่ออกไปแล้ว มีคนจากร้านค้าข้างเคียงมาสืบความจริงไม่หยุด
“ได้ยินว่าเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นโดนเจียงอีอีชิงตัวไปตอนอยู่นอกเมืองเหรอ?”
ผู้จัดการร้านรูปร่างอ้วนท้วนมองหาไปทั่วร้าน ทำไมดูเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ? เขาถึงได้มาตรงโต๊ะคิดเงินแล้วถามบัณฑิตอย่างแปลกใจ
บัณฑิตถลึงตาทันที แล้วด่าว่า “เถ้าแก่เจ้าน่ะสิที่โดนเจียงอีอีจับไป ยังไม่รีบกลับไปดูอีกเหรอ?”
ผู้จัดการร้านอ้วนหัวเราะเบาๆ คิดเพียงว่าฝั่งนี้แกล้งทำใจเย็นเพื่อให้คนนอกเห็น อย่างไรเสียการที่ผู้หญิงคนหนึ่งโดนเจียงอีอีจับไปก็ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วตลาดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจกับคำด่าของบัณฑิต จึงกุมหมัดคารวะแล้วขอตัวออกไป
“ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับเถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าเหรอ?”
“ปากสุนัขไม่มีงาช้างงอกออกมาหรอก เกิดเรื่องขึ้นกับทั้งตระกูลเจ้าแล้ว!”
มีคนมา ‘เป็นห่วงเป็นใย’ ไม่ขาดสาย แล้วก็โดนด่ากลับไปไม่หยุด
ในดาราจักร คนชุดดำยังคงจี้ตัว ‘อวิ๋นจือชิว’ หลบหนี กำลังพลที่อยู่ข้างหลังก็ไล่ตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลโดยไม่ยอมปล่อย
อวิ๋นจือชิว’ ที่หันกลับไปมองเป็นครั้งคราวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เมื่อครู่นี้ข้าตกใจแทบตาย จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนี้มั้ย? ข้าน่องสั่นไปหมดแล้ว!”
“ขนาดข้ายังไม่กลัวเลย เจ้าจะกลัวอะไร?” คนชุดดำกล่าวเสียงเย็น
อวิ๋นจือชิว’ เลยบอกว่า “เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ! อยู่ดีๆ ก็ดึงให้ข้าเอาชีวิตมาล้อเล่น กลับไปข้าจะบอกหนิวโหย่วเต๋อ ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าไปทำเรื่องแบบนี้อีกแล้ว!”
คนชุดดำขี้คร้านจะสนใจนาง
อวิ๋นจือชิว’ ก้มหน้ามองตรงท้องที่เลือดไหลของตัวเอง ถึงแม้เสื้อผ้าจะถูกร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้ขาด แต่ความจริงเนื้อหนังของนางไม่ได้เสียหายเลยสักนิด นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีดสั้นด้ามนั้นไม่เลวเลยนะ ออกแบบได้เล็กประณีตจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะปิดบังสายตาคนมากมายขนาดนั้นได้ ข้าถือหัวตัวเองมาช่วยพวกเจ้าเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวกลับไปขอมีดสั้นด้ามนั้นให้ข้าดีมั้ย?”
“ไม่ใช่ของของข้า นายท่านให้ข้ามา ถ้าเจ้าอยากได้ก็ไปหานายท่านเองสิ” คนชุดดำตอบ
“เชอะ!”‘ ‘อวิ๋นจือชิว’ เชิดใส่
บนดาวเคราะห์ไร้ระเบียบดวงหนึ่งที่อยู่ไกลๆ หวงเสี้ยวเทียนที่อยู่ในถ้ำหินเห็นสองคนเหาะผ่านไปด้วยตาตัวเอง และไม่นานก็เห็นกำลังพลกลุ่มหนึ่งไล่ตามไปข้างหลัง แต่ก็แค่มองเฉยๆ ยังคงเฝ้ารออยู่ในนี้ต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน จนกระทั่งหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งเหาะผ่านไป เขาถึงได้เบิกตากว้างมองดูความเคลื่อนไหว ก่อนจะรีบหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน
ในจุดลึกของดาราจักร บนดาวรกร้างหนาวเย็นที่ไร้สิ่งมีชีวิตและชั้นบรรยากาศ ระหว่างหุบเขาที่ทอดตัวต่อเนื่องกันยาวเหยียด เหมียวอี้ที่แต่งตัวชุดลำลองเดินช้าๆ ออกมาจากถ้ำบนยอดเขา
ผู้บัญชาการใหญ่มู่อวี่เหลียนแห่งธงพยัคฆ์น้ำเงินที่รออยู่ด้านนอกหันตัวมองมา แล้วรีบกุมหมัดคารวะ “นายท่าน!” นางใส่ชุดลำลองเหมือนกัน
นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตานับถือ ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ยังรู้สึกไม่ยอม ตอนนี้ก็ยอมแล้วจริงๆ เป็นคนยอดเยี่ยมที่กล้าตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋ง กล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของราชันสวรรค์! ได้ยินว่าแม้แต่ผู้บัญชาการโพ่จวินแห่งหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ยังออกหน้าปกป้องท่านนี้ด้วยตัวเองเลย ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ โดนขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี แต่ไม่น่าเชื่อว่ายังจะรอดชีวิตกลับมาได้ เมื่อนำเรื่องพวกนี้มารวมกัน ก็พบว่าเจ๋งจนแทบบ้าไปเลย!
ถ้าเปลี่ยนเป็นนาง ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่กล้าลองทำแบบนั้น ถ้านางทำผิดเรื่องนั้น ก็คงจะตายแหงแก๋แน่นอน
“คนกลับมาแล้วรึยัง?” เหมียวอี้ถามอย่างใจเย็น
มู่อวี่เหลียนตอบว่า “พักผ่อนปรับปรุงกำลังที่ดาวจิ่วหวนสักระยะแล้ว พอได้รับคำสั่งนายท่านก็กลับมาหมด กำลังพลห้ามหมื่นไม่ขาดไปสักคน กำลังรอคำสั่งระดมพลจากนายท่านอยู่ ไม่ทราบว่านายท่านจะสั่งอะไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่มีอะไรจะสั่งหรอก ข้าจะผ่านทางนี้ ก็เลยให้พวกเจ้าที่อยู่ดาวจิ่วหวนรวมตัวกันมาเจอข้าสักหน่อย ให้เวลาพวกเจ้าเตรียมตัวนานขนาดนี้ คาดว่าพวกพี่น้องที่ซื้อของใช้ส่วนตัวที่ตลาดสวรรค์คงจะซื้อขายกันเสร็จแล้วใช่มั้ย?”
“นายท่านออกคำสั่งมาได้เลย!” มู่อวี่เหลียนกล่าว
“ให้ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางก็แล้วกัน กลับไปเปลี่ยนผลัดป้องกันที่อุทยานหลวง” เหมียวอี้บอกนาง
“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แต่กลับเห็นเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาไว้ในมือ มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ แสยะหัวเราะสองที “บังเอิญจริงๆ!”
“นายท่าน เป็นอะไรไปแล้ว?” มู่อวี่เหลียนอดถามไม่ได้
“โจรราคะเจียงอีอี เจ้าเคยได้ยินชื่อรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม
มู่อวี่เหลียนอึ้งทันที “เคยได้ยินค่ะ ไม่กี่วันก่อนตอนตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็ถูกปิดและตรวจค้นร้านค้าเพราะเจียงอีอี ข้าน้อยก็อยู่ในเมือง เรียกได้ว่าแตกตื่นกันมาก”
เหมียวอี้เผยระฆังดาราในมือ “ได้รับข่าวมา ว่าเจียงอีอีจับตัวผู้หญิงคนหนึ่งหนีมาทางพวกเรา แค่สองคน ข้ากำลังคิดว่าจะถือโอกาสจัดการดีมั้ย?”
มู่อวี่เหลียนตาเป็นประกาย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านส่านาดีจริงๆ เพิ่งจะออกจากแดนดึกดำบรรพ์ก็มีผลงานมาส่งให้ตรงหน้าแล้ว เจียงอีอีคนนี้ล่วงเกินขุนนางทั้งระดับบนระดับล่างของตำหนักสวรรค์เอาไว้ไม่น้อยเลย ถ้าจัดการเขาได้จริงๆ ก็เรียกได้ว่าเป็นผลงานใหญ่!”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “แต่พวกเรายังไม่ได้รับคำสั่ง ไปจับโจรในอาณาเขตคนอื่นโดยพลการจะเหมาะสมรึเปล่า?”
มู่อวี่เหลียนยิ้มพร้อมตอบว่า “พวกเราไม่ได้เพ่นพ่านไปทั่วเพื่อจับผู้ร้ายหลบหนีเสียหน่อย อีกฝ่ายตกมาอยู่ในมือพวกเราเอง ถ้าปล่อยไปก็อาจจะโดนคนอื่นตำหนิด้วยซ้ำ นายท่าน โจรราคะนี่ลงมือกับคนในครอบครัวขุนนางโดยเฉพาะ ครั้งนี้ไม่รู้ว่าว่าเขาจี้ชิงตัวคนในครอบครัวของขุนนางท่านไหน ถ้านายท่านช่วยไว้ได้ อีกฝ่ายจะต้องซาบซึ้งใจแน่นอน”
เหมียวอี้เหล่ตาถาม “เจ้าหมายความว่า ไม่เป็นไรเหรอ? ทำแบบนี้ได้เหรอ?”
มู่อวี่เหลียนตอบว่า “เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลค่ะ จะเป็นอะไรไปได้ ผลงานมาส่งให้ถึงมือแล้ว ถ้าไม่เอาก็เสียของเปล่าๆ นะ”
เหมียวอี้จึงพยักหน้า “ก็ได้! แต่ก็ต้องระวังตัวไว้หน่อยนะ เจียงอีอีคนนี้รอดจากการจับกุมของตำหนักสวรรค์หลายรอบ เกรงว่าคงจะไม่ธรรมดา ถ้าจับได้ก็ดี แต่ถ้าจับไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไล่ตตาม จะไม่ได้ไม่ต้องมีเรื่องเยอะ ข้าเพิ่งจะถูกปล่อยตัวมา ไม่อยากก่อเรื่องอีก ถ่ายทอดคำสั่งลงไปด้วย บอกพวกพี่น้องว่าอย่าเปิดเผยตัวตน”
“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป แต่ในใจก็ยังพึมพำว่า ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะไม่อยากก่อเรื่อง? ที่ผ่านมาเจ้าก่อเรื่องน้อยไปเหรอ?
รอได้ไม่นาน คนชุดดำในจี้ชิงตัวผู้หญิงคนหนึ่งในดาราจักรก็เหาะมาทางนี้ และบนดาวเคราะห์ที่อยู่ทางนี้ก็มีกำลังพลหนึ่งพันเหาะออกมาอย่างรวดเร็ว แบ่งกลุ่มแปดกลุ่มกระจายเข้าไปแปดทิศทาง ล้อมไปยังผู้ที่มา
มู่อวี่เหลียนที่ตามติดอยู่ข้างกายเหมียวอี้และกำลังไปรับมือกับข้างหน้ากล่าวอย่างกังวลว่า “นายท่าน ข้างหลังพวกเขายังมีกำลังพลของตำหนักสวรรค์ตามมาด้วย!”
ทางนี้รู้แล้วว่าข้างหลังมีกำลังพลหลายร้อยตามมา
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ในเมื่อลงมือแล้ว งั้นถ้าใครแย่งผลงานไปได้ ผลงานก็เป็นของคนนั้น ได้ยินชื่อเสียงของเจียงอีอีมานานแล้ว รอข้าไปเจอสักหน่อยเถอะ!” เขาสวมเกราะรบบนตัว ในมือถือทวนเกล็ดย้อนพุ่งเข้าไปสุดแรงเกิด
มู่อวี่เหลียนตกใจมาก กลัวว่าเขาจะทำพลาด
คนชุดดำที่จี้จับคนตรงหน้าก็ดันไม่หยุดพักเลย ดันทุรังพุ่งเข้ามา
วินาทีที่ชนปะทะกัน ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็เห็นเหมียวอี้ควงกระจกบานใหญ่ออกมา คนชุดดำที่จี้จับตัวประกันโบกดาบต้านไว้ แต่ฟันเข้าไปแล้วเจอความว่างเปล่า กระจกนั้นราวกับคลื่น ทั้งตัวถูกกวาดเข้าไปในกระจก แม้แต่ตัวประกันก็หายไปด้วยเช่นกัน
เหมียวอี้สะบัดกระจกในมือ ทำให้กระจกทองแดงหดกลับมาอยู่ในขนาดปกติ แล้วหันหน้ากลับมา
มู่อวี่เหลียนที่กลัวว่าเขาจะทำพลาดจึงรีบตามมาตะลึงงันทันที แค่นี้ก็เสร็จแล้วเหรอ?
กำลังพลหลายร้อยที่ตามติดมาข้างหลังรีบหยุดอยู่กลางอากาศ ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงแต่เผชิญหน้ากับกำลังพลหนึ่งพันกว่าที่แต่งตัวแตกต่างกันไป ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน แต่เมื่อเทียบกับคนฝั่งนี้แล้ว จะเข้าไปปะทะง่ายๆ ได้อย่างไร ยังไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เจียงอีอีกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็หายไปแล้วเหรอ?
เมื่อเห็นกำลังพลกลุ่มนั้นเลี้ยวไป กำลังพลนับร้อยฝั่งนี้ก็ตามไปอีก ทหารแซ่คังที่นำทัพมาพุ่งไปอยู่ข้างหน้าสุด แล้วตะโกนถามว่า “ใครมันบังอาจขัดขวางตำหนักสวรรค์จับกุมผู้ร้ายหลบหนี?”
บทที่ 1522 เข้าใจผิดบรรพบุรุษเจ้าสิ
และในขณะนี้เอง ที่ดาราจักรด้านหลังก็มีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอีก เร่งความเร็วยิ่งกว่าเดิม ทั้งหมดสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วง ชั่วพริบตาเดียวก็ตามทัพกำลังพลที่อยู่ข้างหน้าแล้ว เป็นฉู่จื่อซานที่นำคนตามมาทัน ฉู่จื่อซานเองก็เห็นกำลังพลนับพันที่แต่งตัวหลายแบบข้างหน้าเช่นกัน กำลังพลที่ทหารแซ่คังนำมาแบ่งไปอยู่ทางซ้ายและขวา ให้เขาก้าวไปข้างหน้า
ฉู่จื่อซานที่ตามขึ้นมาอยู่ข้างกายคังถามแสกหน้าทันทีว่า “นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? กำลังพลมาจากไหน?”
“ไม่ทราบขอรับ!” นายทหารคังรีบเล่าสถานการณ์เมื่อครู่ให้ฟังคร่าวๆ
“ล้อมเอาไว้!” ฉู่จื่อซานหันซ้ายหันขวาออกคำสั่งทันที กำลังพลกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าโผล่ออกมากลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นทัพใหญ่หนึ่งหมื่น จากนั้นแบ่งกำลังพลออกเป็นหลายสาย เข้าไปล้อมไว้อย่างรวดเร็ว
“นายท่าน พวกเขามีกำลังหนุนมาด้วย!” มู่อวี่เหลียนที่เหาะตามมาด้วยหันกลับไปมองกำลังพลข้างหลังที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า นางถามเหมียวอี้แล้ว กำลังสื่อว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เหมียวอี้ก็หันกลับไปมองเช่นกัน ในใจแสยะยิ้ม นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว คนชุดดำที่จี้ตัว ‘อวิ๋นจือชิว’ ก่อนหน้านี้นำทหารที่ไล่ตามวนอ้อมท้องฟ้าตลอดทาง รอให้ฉู่จื่อซานมาก่อนแล้วถึงค่อยมาทางนี้
“มีกำลังหนุนแล้วยังไงล่ะ จะให้ข้านำผลงานที่ข้าคว้ามาได้แล้วส่งให้พวกเขาเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แต่จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นบอกว่า “ถึงแม้จะไม่ได้อยู่สายเดียวกัน แต่ถึงยังไงทุกคนก็เป็นคนของตำหนักสวรรค์เหมือนกัน ข้าเองก็ไม่อยากก่อเรื่อง แจ้งพวกพี่น้องว่าให้รั้งทัพรอก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามใครทำอะไรโดยพลการ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะรับผิดชอบไม่ไหวที่เป็นฝ่ายหาเรื่อง ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”
“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนรีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้บัญชาการแต่ละกอง
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็นำคนกลับไปบนยอดเขาที่ดวงดาวรกร้างแล้ว
บนท้องฟ้าเหนือแนวภูเขาที่ทอดยาวเหยียดสูงต่ำสลับกัน ทหารสวรรค์ประชิดเข้ามาใกล้ ถืออาวุธเรียงรายอยู่ข้างบน ทัพใหญ่หนึ่งหมื่นหยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วมองลงมา จ้องมองด้านล่างอย่างดุร้ายราวกับเสือ
“ใครกันบังอาจมากำเริบเสิบสานที่นี่!” ฉู่จื่อซานที่มองลงมาตะโกนถามเสียงดังเกรี้ยวกราดราวกับอัสานีบาตฟาดเปรี้ยง
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าถ้ำชำเลืองมองบนท้องฟ้าแวบหนึ่ง เขามองหัวหน้าภาคที่อยากได้ผู้หญิงของตัวเองให้แจ่มแจ้งชัดเจน สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ขี้คร้านจะสนใจ ข้างกายเขาก็มีกำลังพลนับพันคุ้มครองอยู่เช่นกัน
และกำลังพลนับพันทางซ้ายและขวาก็สงบนิ่งเยือกเย็นมาก ไม่มีอะไรให้กลัว แถวนี้ซ่อนทัพใหญ่ห้าหมื่นของกองมังกรดำเอาไว้ กำลังพลแค่หนึ่งหมื่นของอำนาจท้องถิ่นไม่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว
เหมียวอี้โบกกระจกทองแดงแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์สะบัด คนชุดดำกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ โซเซออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนอยู่ในกระจกโดนอะไรมาบ้าง เอาเป็นว่าเหมียวอี้ลงมือเร็วมาก ควบคุมทั้งสองไว้ได้อย่างสบายมาก
ยังไม่ต้องสนใจคนชุดดำ เหมียวอี้ยกมือเปิดหมวกมุ้งบนศีรษะ ‘อวิ๋นจือชิว’ พอโยนหมวกทิ้งและเห็นหน้าตาของ ‘อวิ๋นจือชิว’ ชัดเจน ก็เห็นได้ชัดว่าอึ้งไปเลย ถามว่า “เป็นเจ้าเหรอ?”
แต่ใครจะคิดว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ กลับก้มหน้าอย่างลนลาน
“นายท่าน ท่านรู้จักนางเหรอคะ?” มู่อวี่เหลียนสงสัย
เหมียวอี้บอกว่า “ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจือชิว ร้านโฉมเมฆา ข้าจะไม่รู้จักได้ยังไง คนคุ้นเคยกัน!”
“เอ่อ…” มู่อวี่เหลียนชะงักทันที ถ้าจำไม่ผิด นี่คงจะเป็นท่านนั้นที่เคยมีข่าวลือชู้สาวกับท่านแม่ทัพภาคสินะ?
กำลังพลที่อยู่ทางซ้ายและขวาได้ยินแล้วมองมา เห็นได้ชัดว่าเคยได้ยินเรื่องของท่านแม่ทัพภาคมาก่อน
ฉู่จื่อซานที่อยู่บนฟ้าใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองแวบหนึ่ง พอเห็นว่าผู้หญิงที่อยู่ในถ้ำเป็น ‘อวิ๋นจือชิว’จริงๆ เขาก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีใจที่เห็นว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ ยังไม่เป็ฯอะไร แต่ตกใจที่ ‘อวิ๋นจือชิว’ และเจียงอีอีล้วนตกอยู่ในมือของบุคคลนิรนาม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยังปกป้อง ‘อวิ๋นจือชิว’ ไว้ได้หรือเปล่า จึงตะโกนอย่างโมโหทันที “ปล่อยสองคนนั้นมาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไร้ความเมตตา!”
เหมียวอี้ไม่สนใจเขาเลย แต่กลับจ้องใบหน้าอวิ๋นจือชิวพลางอุทาน “เอ๋” แล้วถกล่าวอย่างแปลกใจ “ไม่ถูกสิ!”
มู่อวี่เหลียนมองท้องฟ้า แล้วก็มองไปที่เหมียวอี้อีก “นายท่าน อะไรไม่ถูกคะ?”
เหมียวอี้ไม่ตอบนาง แต่ยื่นมือไปบีบใบหน้าข้างซ้ายและขวาของ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ยื่นมือไปบีบหน้าอกของ ‘อวิ๋นจือชิว’ ด้วย จากนั้นก็อ้อมไปข้างหลัง ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้วบีบก้นของ ‘อวิ๋นจือชิว’ สรุปก็คือลูบคลำไปทั่วร่างกาย ‘อวิ๋นจือชิว’ ท่ามกลางสายตาฝูงชน
พวกลูกน้องที่อยู่ทางซ้ายและขวาทำสีหน้าแปลกๆ มู่อวี่เหลียนที่ตกตะลึงอ้าปากค้างก็เมาแล้ว…นี่นายท่านไม่สนใจผลกระทบเกินไปรึเปล่า มีคนดูอยู่ตั้งเยอะนะ!
“อือ…อือ…” ส่วน ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็ทำสีหน้าเศร้าโศก บิดตัวไปมาอยู่ภายใต้เงื้อมมือมารของเหมียวอี้ แต่ช่วยไม่ได้ที่เมื่อครู่นี้โดนเหมียวอี้ควบคุมไว้ มีหรือที่จะดิ้นรนพ้น พูดก็พูดไม่ได้ ได้แต่ทำเสียงอู้อี้อยู่อย่างนั้น
ที่จริงแผนเดิมไม่มีการทำแบบนี้ จะไม่ให้นางเศร้าโศกได้ยังไงล่ะ!
สุดท้ายเหมียวอี้ก็บีบคางนาง แล้วพลันหรี่ตาถาม “ตัวปลอม! เจ้าไม่ใช่อวิ๋นจือชิวเลย บอกมา เจ้าเป็นใคร?”
“ตัวปลอม…” มู่อวี่เหลียนงุนงง คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็งงเหมือนนาง อ๋อเข้าใจแล้ว สงสัยนายท่านจะไม่ได้ล่วงเกิน แต่กำลังตรวจสอบความจริงต่างหากล่ะ แต่ที่แปลกก็คือ ทำไมพอนายท่าน ‘ล่วงเกิน’ บนร่างกายผู้หญิงคนนี้นิดเดียวก็ตัดสินได้แล้วล่ะ อย่าบอกนะว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง นายท่านกับอวิ๋นจือชิวได้กันแล้วเหรอ?
แล้ว ‘อวิ๋นจือชิว’ จะพูดได้อย่างไรล่ะ ในดวงตาสองข้างเหมือนมีไฟลุก ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยากพุ่งเข้าไปเอาชีวิตเหมียวอี้
กำลังพลนับหมื่นที่แน่นขนัดอยู่บนฟ้าเงียบงัน มีคนไม่น้อยแอบส่งสายตาให้กัน นี่คือผู้หญิงที่ท่านหัวหน้าภาคกำลังจะแต่งงานด้วยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนแบบนี้ต่อหน้าฝูงชน…
ฉู่จื่อซานที่ลอยอยู่บนฟ้าหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง สีหน้าเศร้าโศกคับแค้นเปลี่ยนเป็นดุร้ายแล้ว เห็นฉากนี้กับตาจนตาแทบจะถลนออกมา
ผู้หญิงที่เขากำลังจะรับกลับไปแต่งงานด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกล่วงเกินท่ามกลางลูกน้องมากมายขนาดนี้ ความอัปยศอดสูนี้ทำให้เขาโมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยได้รับความอัปยศมากมายขนาดนี้มาก่อน อัปยศอดสู! เป็นความอัปยศอันใหญ่หลวง!
หลังจากวันนี้เป็นต้นไป เขาฉู่จื่อซานก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะแล้ว!
พรึ่บ! ฉู่จื่อซานโบกมือคว้าทวนยาวด้ามหนึ่งออกมา แล้วตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”
วูบ! กำลังพลหลายร้อยในทัพใหญ่หนึ่งหมื่นหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาตั้งไว้ แล้วเล็งไปด้านล่าง!
ทุกคนข้างล่างเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ เหมียวอี้มองขึ้นไปอย่างเย็นเยียบ พบว่าคนข้างบนที่ในมือถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มีไม่น้อยเลยจริงๆ สงสัยกำลังพลที่กองทัพองครักษ์ย้ายไปสนับสนุนกำลังพลท้องถิ่นจะมีไม่น้อย เขาจึงเอียงหน้ามาขานรับมู่อวี่เหลียน “อืม” ทันที
มู่อวี่เหลียนรีบตะโกนว่า “ป้องกัน!”
ตรงนี้เพิ่งจะเอ่ยคำสั่ง ฉู่จื่อซานกฌโบกทวนชี้ไปทางเหมียวอี้อย่างเกรี้ยวกราดแล้ว “ตาย!”
จะใช่ ‘อวิ๋นจือชิว’ หรือไม่ใช่ ‘อวิ๋นจือชิว’ จะใช่เจียงอีอีหรือไม่ใช่เจียงอีอี ถ้าฆ่าเจียงอีอีแล้วก็เป็นผลงานของเขา เมื่อเกิดสถานการณ์แบบนี้กับ ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรับกลับไปแต่งงานด้วยอีก และไม่มีทางเก็บความอับอายอย่าง ‘อวิ๋นจือชิว’ เอาไว้ด้วย เรียกได้ว่าออกคำสั่งทันที เตรียมจะกำจัดพร้อมกันทีเดียว!
เฟี้ยวๆๆๆ…
ชั่วพริบตาเดียว ลำแสงหลายร้อยสายก็ถล่มยิ่งเข้ามาราวกับห่าฝน แล้วบิดสั่นกระเพื่อมราวกับภาพมายา
แทบจะเป็นชั่วพริบตาเดียวกับตอนที่ลูกธนูยิงออกมา ฉู่จื่อซานที่กำลังจ้องด้านล่างพลันเบิกตากว้าง เพราะเขาพบว่าจู่ๆ กำลังพลด้านล่างก็เผยโล่กำบังออกมาหมด ไม่ใช่โล่กำบังธรรมดา แต่เป็นโล่กำบังแบบของตำหนักสวรรค์
“คุ้มกันนายท่าน!” มู่อวี่เหลียนตะโกนสั่งอย่างร้อนใจ แน่นอนว่าทำไปเพื่อปกป้องตัวเองด้วย
กำลังพลนับพันรีบยกโล่ขึ้นมากำบังซ้อนกันหลายชั้น คุ้มครองเหมียวอี้ที่อยู่ตรงกลางเอาไว้หลายชั้น ปกป้องอย่างแน่นหนาจนลมพัดผ่านไม่ได้
เหมียวอี้ที่อยู่ตรงกลางรีบลงมือเก็บคนชุดดำกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ เอาไว้
บึ้มๆๆ…
เสียงระเบิดที่เนืองแน่นดังเขย่าดาราจักร ภายใต้การโจมตีรวมของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง โล่กำบังถูกทำให้ระเบิดชั้นแล้วชั้นเล่า ภูเขาลูกใหญ่ข้างล่างเอนล้มพังทลาย แนวภูเขาโดยรอบก็ถล่มลงเพราะถูกอานุภาพที่หลงเหลือจากการโจมตีเช่นกัน ฉากนั้นราวกับฟ้าถล่มดินทลาย
โลกำบังถูกทำลายต่อเนื่องสามชั้น คนมากมายสิ้นชีพอยู่ภายใต้ลูกธนูดาวตก มีคนไม่น้อยได้รับบาดเจ็บ เหมียวอี้กัลมู่อวี่เหลียนที่ถูกกำบังไว้หลายชั้นไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่ทั้งสองหน้าดำคร่ำเครียด โดยเฉพาะมู่อวี่เหลียน เมื่อเห็นกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินของตัวเองโดนกำลังพลของตำหนักสวรรค์สังหาร ยังไม่ทันอธิบายอะไรให้ชัดเจนก็ลงมือกับพวกเขาแล้ว ทำให้นางเดือดดาลจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ขณะเดียวกันก็รีบสวมเกราะรบ
ทัพใหญ่หลายหมื่นในแนวภูเขารอบด้านที่ได้รับคำสั่งให้อยู่เฉยๆ ตอนนี้ไม่มีทางใจเย็นต่อไปได้อีก ตอนนี้ฟ้าถล่มดินทลายแล้ว จะซ่อนตัวอย่างไรได้อีก ทยอยกันโผล่ออกมจากภูเขาหินที่พังถล่ม
กลุ่มคนที่อยู่บนฟ้าก็ตะลึงค้างเช่นกัน พอเห็นโล่ตำหนักสวรรค์ที่อยู่ด้านล่างก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เมื่อดูอีกทีก็เห็นกระบวนทัพตั้งรับป้องกันตามวิธีการของกองทัพองครักษ์ คนไม่น้อยที่มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์รู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งนี้มาก และกำลังพลหลายหมื่นที่โผล่มาจากรอบด้านอย่างแน่นขนัดก็ยิ่งทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวน พอจะรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!
สีหน้าอับอายโมโหของฉู่จื่อซานหายไปแล้วเช่นกัน เขาอ้าปากเล็กน้อย ใบหน้าราวกับโดนตะคริวกิน
หลังจากโดนโจมตีไประลอกหนึ่ง คนที่อยู่ข้างบนก็เก็บลูกธนูดาวตก ไม่รีบรุกโจมตีอีกแล้ว หันไปมองที่ฉู่จื่อซานพร้อมกัน กำลังรอคำสั่ง!
“หลีกไป!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด แยกคนที่ถือโล่ปกป้องเขาอยู่ออกไป เปิดเผยตัวตนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เห็นเพียงเขาหันซ้ายหันขวา มองดูลูกน้องที่โดนลากบ้างหรือบาดเจ็บล้มตายบ้าง จากนั้นเงยหน้ามองขึ้นฟ้าทันที แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังสะเทือนฟ้า “กองมังกรดำทุกคนฟังคำสั่ง มีศัตรูโจมตี เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”
ทำให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติงที่รุกโจมตีกลายเป็นศัตรูที่โจมตีทันที!
ชั่วพริบตาเดียวก็มีเสียงดังเป็นแถบ ทัพใหญ่ที่หนาแน่นลอยขึ้นมาบนท้องฟ้ารอบด้าน ทั้งหมดสวมเกราะรบ ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นนักรบห้าหมื่นนายแล้ว พวกเขาลอยขึ้นบนฟ้าสูงอีกครั้ง จากนั้นจัดกระบวนทัพ ลูกธนูดาวตกหลายหมื่นตั้งอยู่บนสายแล้ว กำลังพลจากสี่ด้านแปดทิศเข้ามาล้อมไว้แล้ว
กระบวนทัพนี้ ทำให้พวกฉู่จื่อซานตระหนกจนใจสั่น ยังไม่ต้องพูดถึงความต่างด้านจำนวนคน ฝั่งนี้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงไม่กี่ร้อยคัน แต่อีกฝ่ายกลับมีหลายหมื่นคันล้อมเอาไว้ ในฐานะที่มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์ ย่อมรู้ถึงอานุภาพยามธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายหมื่นคันโจมตีร่วมกัน ต่อให้เป็นยอดฝีมือบงกชกลายทั่วไปก็ทนไม่ไหว!
พอได้ยินหัวหน้าของอีกฝ่ายตะโกนว่า ‘ทุกคนของกองมังกรดำ’ มีหรือที่จะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว! คนที่สามารถใช้ป้ายกองมังกรดำได้ ถ้าไม่ใช่คนของหน่วยองครักษ์ซ้ายก็เป็นคนของหน่วยองครักษ์ขวา สรุปก็คือทุกคนเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ในฐานะที่เป็นคนของอำนาจท้องถิ่น ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่แยกแยะขาวดำลงมือสังหารกำลังพลของกองทัพองครักษ์ข้างกายราชันสวรรค์เสียแล้ว ปัญหานี้ใหญ่โตแล้วจริงๆ!
ฉู่จื่อซานมึนตึ้บ ในเวลานี้การปกป้องชีวิตตัวเองคือเรื่องสำคัญ รีบตะโกนว่า “ผู้น้อยหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานแห่งน่านฟ้าระกาติง เพิ่งย้ายออกมาจากหน่วยองครักษ์ขวาไม่นาน ไม่ทราบว่าท่านเป็นสหายกองไหนของกองทัพองครักษ์? วันนี้มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย ได้โปรดฟังฉู่ค่อยๆ อธิบายเถอะ!”
“บรรพบุรุษเจ้าสิ!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด แกร๊ง! เขาโบกทวนเคาะโล่ในมือลูกน้องที่อยู่ข้างกาย “ข้าเผยฐานะของตำหนักสวรรค์แล้ว แต่เจ้ามันชาติหมากล้าปล่อยคำสั่งยิงธนู เป็นเพราะข้าไม่เผยกำลังพล เจ้าเลยคิดจะฆ่าปิดปากเหรอ?”
ฉู่จื่อซานรีบโบกมือ “เข้าใจผิด! สหายชื่อแซ่อะไร? นี่เป็นความเข้าใจผิดแน่นอน!”
“เข้าใจผิดบรรพบุรุษเจ้าสิ!” เหมียวอี้โบกทวนชี้ขึ้นฟ้า “กองมังกรดำทุกคนฟังคำสั่ง ฆ่าไม่ละเว้น! ยิงธนู!”
บทที่ 1523 แล่เนื้อประหาร
พอออกคำสั่งนี้ กำลังพลหนึ่งหมื่นบนฟ้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี เรียกได้ว่าขวัญเสียแล้ว อาวุธของกำลังพลท้องถิ่นเทียบไม่ติดกับอาวุธของกองทัพองครักษ์ราชันสวรรค์เลย ด้านจำนวนคนก็ได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ เบียดบังฝั่งอำนาจท้องถิ่น ศึกนี้ไม่มีทางต่อสู้ได้เลย
ในบรรดาหนึ่งหมื่นคนนี้ ถึงแม้จะมีกำลังลพลส่วนหนึ่งถูกย้ายมาจากกองทัพองครักษ์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นส่วนน้อย เมื่อเผชิญกับการล้อมโจมตีอันแข็งกร้าวของกองทัพองครักษ์ พวกเขาก็หมดหนทางเช่นกัน พวกเขารู้ดีถึงอานุภาพยามธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายหมื่นโจมตีร่วมกัน อาศัยแค่การโต้กลับจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่กี่ร้อยในมือพวกเขาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ยิ่งจำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รวมกลุ่มกันเยอะ อานุภาพที่แสดงออกมาก็ยิ่งเยอะ
“ตั้งรับฝ่าวงล้อม!” ฉู่จื่อซานตะโกนอย่างตระหนก ขณะเดียวกันก็ถอยไปอยู่ในกำลังพลด้านหลัง
คนหนึ่งหมื่นรีบชูโล่กำบังขึ้นมาแล้วหดรวมกลุ่มกัน โล่กำบังที่สร้างจากผลึกทองที่มีความบริสุทธิ์สูง โล่กำบังที่สร้างจากผลึกม่วง ข้างในถึงจะมีโล่กำบังกลุ่มหนึ่งที่สร้างจากผลึกแดง คอยคุ้มกันฉู่จื่อซานและพวกแม่ทัพเอาไว้ ก็ช่วยไม่ได้ เป็นอย่างที่บอก อาวุธของอำนาจท้องถิ่นเทียบกับอาวุธของกองทัพองครักษ์ไม่ติด ไม่เหมือนกองทัพองครักษ์ที่ในมือทุกล้วนมีโล่กำบังผลึกแดง
ขณะที่คนนับหมื่นรวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมโล่กำบังขนาดใหญ่เพื่อป้องกันตัวเองอย่างรวดเร็ว ก็รีบฝ่าวงล้อมไปยังทางเก่าเช่นกัน ฉู่จื่อซานสมกับเป็นคนของกองทัพองครักษ์ที่ผ่านสนามรบมาอย่างยาวนาน รู้ว่าตอนนี้ถ้าป้องกันอย่างเดียวก็มีแต่ทางตาย จะต้องสังหารฝ่าวงล้อมจนเกิดทางเลือด ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต
เฟี้ยวๆๆ…
ปมเงื่อนซับซ้อนราวกับเส้นพันกัน มีลำแสงนับไม่ถ้วนถูกยิงออกไปอย่างฉับพลัน ถล่มสังหารกระบวนทัพโล่กำบัง เสียงระเบิดพังดังไม่หยุด
โล่กำบังสีทองถูกลำแสงนับไม่ถ้วนทะลุผ่าน คนอยู่ข้างหลังโล่กำบังท่ามกลางการโจมตีที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก บนฟ้ามีเสียงกรีดร้องดังระงม คนทยอยกันตกลงมากระจัดกระจาย ราวกับปอกเปลือกหนาหลายชั้นของลูกกลมขนาดนั้น
แค่โจมตีระลอกเดียวก็แทบจะทำให้กำลังพลเกือบหมื่นนี้เสียหายไปหนึ่งส่วนสามแล้ว
ฝั่งกองมังกรดำของเหมียวอี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เช่นกัน เชี่ยวชาญการรบหมู่ ลูกกลมที่เกิดจากโล่กำบังนั่นอยากจะหนี ทหารฝั่งนี้อยู่ภายใต้การบัญชาการร่วมโดยสัญญาณลับ พวกเขาไม่ได้บุกประจัญบานข้างหน้า แต่ใช้วิธีการล้อมรักษาระยะห่างเหาะตามไป พอกระบวนทัพรูปทรงกลมเร่งความเร็วหนี พวกเขาก็เร่งความเร็วเข้าไปใกล้ พอรูปทรงลกมนั่นผ่อนความเร็ว พวกเขาก็เหาะช้าลงเช่นกัน รักษาความเร็วเฉลี่ยในการรุกเป้าหมายที่ล้อมไว้
ภายใต้ศักยภาพที่มั่นใจในชัยชนะ พวกเขาไม่จำเป็นต้องสร้างการบาดเจ็บล้มตายให้ฝั่งตัวเอง แค่ล้อมไว้ตลอดทางพร้อมยิงโจมตีก็พอแล้ว
ทางฝั่งกองมังกรดำเก็บกลั้นไฟโกรธนี้เอาไว้เช่นกัน ขนาดอยู่ดีๆ ไม่ได้ไปหาเรื่องใคร จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มนี้โผล่มาทำโจมตีให้พวกเขาต้องปีนออกจากหลุมอย่างหน้าตามอมแมม ทั้งยังสังหารพี่น้องฝั่งนี้ด้วย แม้แต่ท่านแม่ทัพภาคก็ยังเดือดดาลจนสั่งให้สังหารไม่ละเว้น แบบนี้ถ้าพวกเขาไม่ลงมือให้ถึงอกถึงใจก็แปลกแล้ว อย่างไรเสียก็มีเบื้องบนคอยรับผิดชอบให้หากเกิดเรื่อง ความรับผิดชอบไม่ตกมาถึงพวกเขาหรอก
“ต้านไว้! คนที่ติดตามข้าฝ่าวงล้อมได้ ข้าจะตบรางวัลอย่างงาม! ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ยิง!”
ขณะที่ฉู่จื่อซานที่อยู่ท่ามกลางการคุ้มกันจากกลุ่มทหารรีบรวบรวมลูกน้องให้เร่งมาสนับสนุน ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไม่หยุด ฉวยโอกาสหาช่องว่างของการโจมตีจากฝนธนู ท่ามกลางกระบวนทัพที่เป็นโล่กำบังรูปทรงกลมมีลำแสงหลายร้อยสายยิงไปทั่วสารทิศ หมายจะโจมตีทำลายจังหวะการรุกของกระบวนทัพที่ล้อมตัวเองอยู่ให้วุ่นวาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางหนีได้เลย เขาฉู่จื่อซานมีศักยภาพสูง เวลาเหาะคนเดียวก็เร็วเหมือนกัน แต่เขาไม่กล้าหลุดออกจากการคุ้มกันของทัพใหญ่ ถ้าหลุดจากการคุ้มกันไปคนเดียว ก็เป็นการเอาชีวิตไปทิ้งแท้ๆ เลย!
แต่ละจุดของทัพใหญ่ที่ล้อมไว้มีคนกลุ่มละสิบคนตั้งกระบวนทัพโล่กำบังทันที แล้วพุ่งไปข้างหน้าเพื่อร่วมแรงกันต้านทานลูกธนูดาวตกที่ยิงเข้ามา
ท่ามกลางเสียงดังถล่ม กระบวนทัพใหญ่ที่ล้อมไว้ไม่ได้วุ่นวายเลยสักนิด เป็นเพราะอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ยิงกระจายไม่ได้เยอะมากเมื่อเทียบกับทัพใหญ่ ไม่สามารถสร้างอานุภาพการโจมตีหมู่ได้ พวกเขากลุ่มเล็กๆ ป้องกันร่วมกันจึงไม่มีทางต้านทานไหวเลย
กระบวนทัพใหญ่ที่ล้อมโจมตีพลันเปลี่ยนไป แบ่งผลัดกันยิงโจมตีสามระลอก ควบคุมจนอีกฝ่ายไม่มีทางเหลือให้โต้ตอบ หลังจากตัดกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้ประมาณหนึ่งส่วนแล้ว การหลับหูหลับตาใช้ลูกธนูดาวตกยิงโจมตีก็จะสิ้นเปลืองไปหน่อย คนเดียวโดนยิงหลายดอกก็ไม่คุ้ม อย่างไรเสียการยิงธนูแต่ละดอกก็ต้องสิ้นเปลืองพลังงาน
ถ้าคนเดียวใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็ไม่ถือว่าสิ้นเปลืองเท่าไร แต่คนหลายหมื่นยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พร้อมกัน ทรัพยากรที่เสียไปก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ดังนั้นถ้าอยากจะเลี้ยงทัพใหญ่แบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเลี้ยงไหว
ตรงจุดไกลๆ มีกำลังพลจำนวนหลายร้อยคนกลุ่มหนึ่งหยุดอยู่ในดาราจักรและไม่กล้าเข้ามาที่นี่ แต่ละคนมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าหวาดกลัว
พวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นทหารยามที่เฝ้าตัวประกันในหออวิ๋นฮว๋าก่อนหน้านี้ หลังจากได้รับคำสั่งก็รีบตามมาสนับสนุน ใครจะคิดว่าจะมาสนับสนุนไม่ทัน เห็นหัวหน้าภาคโดนล้อมโจมตีอย่างยับเยินขนาดนี้ และผู้ที่ลงมือก็คือกำลังพลตำหนักสวรรค์ ไม่เข้าใจสถานการณ์เลย!
“นายท่าน พวกเราต้องเข้าไปมั้ย?” ทหารคนหนึ่งมองแม่ทัพพร้อมถามเสียงสั่น
แม่ทัพพลันหันกลับมา มองเขาด้วยแววตาที่เหมือนมองคนปัญญาอ่อน
คนที่เหลือก็ใช้สายตาแบบนี้เช่นกัน ราวกับกำลังพูดว่า ยังจะช่วยไหวอีกเหรอ! ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์หลายหมื่นล้อมโจมตี แต่ละคนล้วนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ชัดเจนว่าตกอยู่ในมือกองทัพองครักษ์แล้ว พวกเราเข้าไปรวมด้วยก็ยังไม่พอยัดซอกฟันอีกฝ่ายเลย
แต่ในฐานะที่เป็นแม่ทัพ จะบอกว่าไม่ช่วยก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะพ้นข้อหาความผิดได้ยาก แต่เขาก็มีข้ออ้างของตัวเอง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “กองทัพองครักษ์เป็นทัพของฝ่ายาท ที่เกิดเหตุการณ์ล้อมโจมตีหัวหน้าภาค บางทีอาจจะเป็นเพราะหัวหน้าภาคทำอะไรผิดแล้วพวกเราไม่รู้ก็ได้ พวกเราควรจะรายงานขึ้นไปถามเบื้องบน ถามสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ!”
ทุกคนพึมพำในใจว่า ถ้ารอถามสถานการณ์ให้ชัดเจน เกรงว่าหัวหน้าภาคคงจะตายไปหลายรอบแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่มีมีใครคัดค้าน นอกเสียจากจะอยากตายเท่านั้นแหละ พวกเขาเอ่ยรับพร้อมกัน “รับทราบ!”
“ถอนทัพ!” พอแม่ทัพโบกมือ ก็รีบนำคนหนีไปทันที กลัวว่าถ้าชักช้าแล้วจะหนีไม่ทัน
มีนักพรตบางคนผ่านมาบริเวณนี้เช่นกัน ถูกเสียงการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินทำให้ตกใจจนต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากเห็นสถานการณ์ชัดเจนแล้วก็ตกใจมาก นี่มันเรื่องอะไรกัน? กำลังพลตำหนักสวรรค์กำลังสู้กันเองงั้นเหรอ? คนที่เห็นรีบหนีทันที จะได้ไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัว
ในเวลานี้กระบวนทัพโล่กำบังใหญ่ที่ถูกล้อมไว้กลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนเล็กๆ มีเพียงโล่กำบังผลึกแดงล้อมไว้เพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น หนีไม่พ้นแล้วเช่นกัน เมื่อรู้ตัวว่าหนีไม่พ้น ฉู่จื่อซานก็แหกปากตะโกนเสียงดังว่า “ข้าเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ ได้รับคำสั่งให้มาคุมน่านฟ้าระกาติง ถ้าจะลงโทษก็ไม่ถึงคราวที่พวกเจ้าจะลงมือหรอก รู้ถึงผลที่ตามมาหลังจากสังหารข้ารึเปล่า!”
คำพูดนี้ได้ผลจริงๆ การสังหารหัวหน้าภาคที่เฝ้าอาณาเขตไม่ใช่เรื่องเล็ก นี่เป็นเจ้าอาณาเขตที่ปกครองหนึ่งน่านฟ้าแล้ว การโจมตีหยุดชั่วคราว แม่ทัพแต่ละหน่วยมองไปทางเหมียวอี้กับมู่อวี่เหลียนที่ยืนอยู่บนพื้นที่ถล่มไกลๆ
มู่อวี่เหลียนก็มองไปที่เหมียวอี้เช่นกัน
เหมียวอี้หันตัวมา เดินไปอยู่ท่ามกลางทหารหลายสิบคนที่โดนยิงตาย คุกเข่าข้างกายพี่น้องกองมังกรดำที่รบตายไป ใบหน้าที่เรียบเฉยๆ ค่อยฉายแววดุร้าย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ตอนนี้รู้จักใช้เหตุผลแล้วเหรอ ตอนที่ฆ่าคนของข้าทำไมไม่ฟังเหตุผลบ้างล่ะ! จับเป็น พาไปคุกกเข่าให้พี่น้องกองมังกรดำที่รบตายไป!”
เสียงดังก้องทั้งดาราจักร
มู่อวี่เหลียนหันตัวมา แล้วโบกมือออกคำสั่ง!
เสียงระเบิดตูมตามดังขึ้นอีกครั้ง
ลำแสงนับหมื่นพลันยิงออกมา โล่กำบังผลึกแดงหลายร้อยที่รวมกันป้องกันครั้งสุดท้ายพลังทลายหมดแล้ว
ฉู่จื่อซานที่ไร้โล่ป้องกันและลูกน้องที่สวมเกราะรบผลึกแดงสิบกว่าคนราวกับเป็นบ้าไปแล้ว “อา!” ตะโกนอย่างบ้าคลั่งพร้อมบุกสังหารไปยังทิศทางหนึ่ง
ลูกธนูดาวตกนับร้อยตั้งอยู่บนสายธนูอีกครั้ง มีลำแสงไหลเวียน เล็งไปยังคนสิบกว่าคนที่พุ่งเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงปั้งๆๆ ลำแสงนับร้อยถูกยิงออกไป
บนตัวถูกลูกธนูยิงใส่อย่างหนาแน่น ถึงแม้ลูกธนูดาวตกจะไม่เจาะทะลุเกราะรบผลึกแดง แต่กลับทำให้สะเทือนจนกระอักเลือดออกมา แต่ละคนโดนยิงคว่ำอยู่ในดาราจักร
คนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปและโยนเชือกมัดเวียน ใช้อาบและทวนจับตัวคนพวกนี้ไว้ แล้วหิ้วไปโยนไว้ข้างกายเหมียวอี้โดยตรง
ขณะที่มองดูคนหลายสิบคนโดนจับไป ที่มุมปากแต่ละคนยังคงมีเลือดไหล เหมียวอี้จ้องฉู่จื่อซานพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “คุกเข่า!”
กลุ่มคนที่คุมตัวมาใช้อาวุธทุบหลังขาคนพวกนี้ทันที แต่ละคนถูกกดให้คุกเข่าต่อหน้าเหมียวอี้
ฉู่จื่อซานส่ายหน้าดิ้นรน แต่กลับหนีไม่พ้น ใบหน้าที่มุมปากมีเลือดไหลจ้องเหมียวอี้พร้อมตะคอกอย่างโมโห “เจ้าเป็นใคร? กล้าดูหมิ่นเหยียดหยามข้าถึงขนาดนี้!”
ชวิ้ง! เหมียวอี้ชักกระบี่ตรงเอวออกมา แกร๊งๆๆ แล้วเคาะเกราะหัวที่เอียงอยู่บนศีรษะของเขา “เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดชาติสุนัขเหมือนกันหมด ลากคนที่เหลือไปตรงหน้าพี่น้องที่ตายไป ประหารซะ!”
“หา!” คนสิบกว่าคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาของฉู่จื่อซานดิ้นรนตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งทันที ไม่ยอม!
แต่ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาถูกลากไปตรงจุดที่ไม่ไกล แต่ละคนโดนกดให้นั่งคุกเข่า เพชฌฆาตยกดาบขึ้นลงหลายครั้ง น้ำเลือดสิบกว่าสายสาดพุ่ง หัวคนสิบกว่าคนกระเด็นออกไป ศพเอนล้มชักกระตุกอยู่บนพื้น
ฉู่จื่อซานที่หันไปมองทำสีหน้าหวาดกลัวอย่างปิดบังไม่อยู่ทันที ตอนที่มองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง เขายังจะกล้าพูด ‘เจ้ากล้าดูหมิ่นข้า’ อีกได้อย่างไร อีกฝ่ายบทจะฆ่าก็ฆ่า ยังจะกลัวเรื่องดูหมื่นเขาอีกเหรอ? เขาจึงกัดฟันถามว่า “เจ้าคือหน่วยไหนของกองทัพองครักษ์กันแน่?” เขาคิดไม่ตกว่าทำไมกองทัพองครักษ์ถึงมีคนบ้าแบบนี้โผล่มาได้
ซาๆๆ คมกระบี่ในมือเหมียวอี้กรีดไปกรีดมาอยู่บนเกราะหัวของเขา พูดไปถูมา เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะลงมือตรงไหนดี แต่สุดท้ายก็ยังให้คำตอบอีกฝ่าย “หน่วยองครักษ์ซ้ายเจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว กองมังกรดำแม่ทัพภาค…หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว!” เสียงพูดเนิบนาบ น้ำเสียงเรียบนิ่ง แววตาสื่อความหมายล้ำลึก มองเหยียดลงมาสู่ที่ต่ำ
“หนิวโหย่วเต๋อ…” ฉู่จื่อซานอึ้งทันที รูม่านตาพลันหดลงในขณะที่เงยหน้ามองเหมียวอี้ ในหัวเกิดภาพมากมายปรากฏขึ้น เป็นภาพที่คนมากมายเคยเตือนเรื่องเรื่องหนึ่งกับเขา เนื้อที่เตือนก็มีความต่างในความเหมือน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน : ผู้หญิงคนนั้นเกรงว่าจะแตะต้องลำบากแล้ว ได้ยินว่าได้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วนี่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ตาย คนที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องผู้หญิงคนนั้นหรอก เจ้าบ้านั่นทำได้ทุกอย่างนั้นแหละ ในใต้หล้ามีผู้หญิงตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัวเพราะผู้หญิงคนเดียว…
ก่อนหน้านี้แค่มีคนเอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อให้เขาฟัง ต่อให้นอนฝันเขาก็นึกไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ หนิวโหย่วเต๋อจะมาโผล่อยู่ที่นี่
เขาได้ยินชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อมานานแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอหน้ากันด้วยวิธีการนี้
สุดท้ายการพบกันครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนบ้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าสังหารทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์นับหมื่นของเขาจนหมดเกลี้ยง!
ชั่วพริบตานี้ ฉู่จื่อซานยิ่งเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงประสบกับเคราะห์ร้ายเหนือความคาดหมายแบบนี้!
“เป็นเจ้าเหรอ…” ฉู่จื่อซานคำรามอย่างบ้าคลั่ง พยายามดิ้นรนลุกขึ้นยืนอย่างสุดชีวิต
เพี้ยะ! เหมียวอี้ใช้กระบี่ตบจนเขาล้มลงบนพื้น แล้วใช้เท้าเหยียบใบหน้าเขา เหยียบศีรษะเขาจนแทบจะจมลงดิน
“ชาติหมา แม้แต่คนของข้าก็กล้าแตะต้อง!” เหมียวอี้ที่มีสีหน้าท่าทางดุร้ายซ่อนความหมายอีกอย่างเอาไว้ในคำพูด ไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายความจริง แทงกระบี่ทะลุลงแก้มเขา แล้วตีกวนให้ลิ้นเละเทะ แล้วก็เตะไปไว้ด้านข้างอีก ก่อนจะตะโกนว่า “ลากไปไว้ตรงหน้าพี่น้องที่ตายไป สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น…แล่เนื้อประหาร!”
บทที่ 1524 ประตูเมืองทั้งสี่ปิดแล้ว
สิ่งที่เรียกว่าแล่เนื้อประหารคืออะไร? ก็คือการสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นไง!
มู่อวี่เหลียนที่อยู่ข้างๆ มองไปที่เหมียวอี้แล้วอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าฆ่าก็ฆ่าไปแล้วไม่จำเป็นต้องทรมาน แบบนั้นจะสร้างปัญหาได้ง่าย แต่เมื่อเห็นลูกน้องที่อยู่ข้างกายก็พูดโน้มน้าวไม่ออก ลูกน้องของตัวเองโดนคนอื่นฆ่าแล้ว นายท่านกำลังระบายความโกรธ มันใช่เรื่องเหรอที่นางจะขัดขวาง?
“อือ…อือ…” พอฉู่จื่อซานได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง ตรงมีปากมีเลือดไหล ไม่อาจหลุดพ้นจากชะตากรรมที่ต้องโดนถูกลากไปประหาร
พอลากมาข้างๆ แล้ว ก็ถอดเกราะรบและเสื้อบนตัวรวมทั้งสมบัติต่างๆ ออก ร่างกายที่เปลือยเปล่าถูกลากให้ไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าศพสมาชิกของกองมังกรดำ
ข้างซ้ายและขวามีคนดึงแขนสองข้างของเขาเอาไว้ คนข้างหลังดึงมวยผมเขาไว้แน่นแล้ว ขณะเดียวกันก็ใช้รองเท้าโลหะข้างหลังเหยียบไว้บนแผ่นหลังของเขา
ฉู่จื่อซานที่นั่งคุกเข่าแต่กลับขยับตัวไม่ได้ร้องอู้อี้อย่างบ้าคลั่ง ทหารเลวเกราะทองคนหนึ่งเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา แล้วโบกมือหยิบมีดสั้นออกมา แสงสะท้อนคมมีดวับวาบอยู่ในมือ กรีดบนหน้าอกของเขารอยหนึ่งจนมีเลือดออก มีเศษเนื้อปลิวออกไปชิ้นหนึ่ง
แสงสะท้อนคมมีดกะพริบเร็วมาก ใช้มีดเล็กแล่เนื้ออย่างจริงจัง
ทัพกลางธงพยัคฆ์น้ำเงินเดิมทีก็รับหน้าที่ลงโทษอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องหาคนทำเลย
ใช้เวลาเพียงไม่นาน บนร่างเปลือยของฉู่จื่อซานก็ถูกอาบไปด้วยเลือดแล้ว ร่างกายครึ่งเนื้อครึ่งกระดูกกำลังคุกเข่าอยู่อย่างนั้น เจ็บปวดทรมานจนตัวสั่น ในลำคอมีเสียงดังไม่หยุด ความหวาดกลัวถึงขีดสุดได้ผ่านไปแล้ว ในดวงตาที่สิ้นหวังฉายแววนึกเสียใจทีหลัง เสียใจที่ไม่ฟังคำแนะนำของคนอื่น เดิมทีตัวเองมีอนาคตที่ดีรออยู่ แต่กามตัณหาชั่ววูบเพื่อผู้หญิงคนเดียวทำให้ตนตกต่ำจนมีจุดจบแบบนี้…
ฉากที่สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นไม่ได้น่าดูเลยจริงๆ ขนาดมู่อวี่เหลียนเองยังขนพองสยองเกล้า ต่อให้ผู้หญิงจะโหดสักแค่ไหน แต่ก็ยากจะปรับตัวกับฉากแบบนี้ได้ นางหันตัวหนีแล้ว
คนหลายหมื่นที่เก็บกวาดสนามรบเสร็จแล้วทยอยกันกลับมา พอเห็นฉากประหารที่อยู่ทางนี้ แต่ละคนก็รู้สึกหนาวในใจ หันไปมองท่านแม่ทัพภาคที่สีหน้าเรียบเฉยเป็นระยะ
ทุกคนรู้สึกทอดถอนใจกับความโหดเหี้ยมของท่านแม่ทัพภาคคนนี้ และได้ค้นพบอีกครั้งว่าท่านแม่ทัพภาคเป็นคนที่ทำงานโดยใช้อารมณ์จริงๆ ในปีนั้นขัดตาที่อ๋องสวรรค์อิ๋งขายหลานสาวแลกเกียรติยศ ก็เลยสงบปากตัวเองไม่ได้ ตกต่ำจนต้องโดนขังที่แดนดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี โดนทำโทษจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ครั้งนี้เป็นเพราะโมโหที่เห็นพี่น้องของตัวเองตาย ก็เลยสังหารกำลังพลตำหนักสวรรค์ไปเกือบหนึ่งหมื่น ช่างไม่กลัวการก่อเรื่องเลยจริงๆ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีผู้บังคับบัญชาแบบนี้ทำให้ทุกคนไม่มีอะไรจะตำหนิแล้ว แววตาที่มองไปยังเหมียวอี้มีแต่ความเคารพนับถือที่มาจากใจจริง!
ผ่านไปไม่นาน จุดเกิดเหตุก็มีเลือดไหลเต็มพื้น ฉู่จื่อซานที่โดนแล่เนื้อจนแทบจะกลายเป็นโครงกระดูกก็ทนทรมานไม่ไหวอีกแล้ว เขาหายใจออกมาเฮือกสุดท้ายท่ามกลางความเจ็บปวดทรมานถึงขีดสุด เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด คนถือมีดสั้นที่กำลังลงโทษทรมานเสียบมีดลงไปในช่องระหว่างกระดูกซี่โครงโดยตรง แทงทะลุเข้าไปในหัวใจแล้ว…
หลังจากลงโทษทรมานเสร็จแล้วกลับมารายงานผล เหมียวอี้ก็ออกคำสั่งกับมู่อวี่เหลียนว่า “เก็บกวาดสนามรบให้สะอาด เตรียมกลับอุทยานหลวง!”
“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนรับคำสั่งแล้วไปจัดการ
เหมียวอี้ออกไปอยู่ตามลำพัง พอถึงจุดที่ลับหูลับตาคน ก็ปล่อยคนชุดดำกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ออกมา
อวิ๋นจือชิว’ ถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ทำท่าเหมือนอยากจะกัดเหมียวอี้ให้ตาย แต่เหมียวอี้กลับผลัก ‘อวิ๋นจือชิว’ ไปให้คนชุดดำ
คนชุดดำพยักหน้า รับ ‘อวิ๋นจือชิว’ เอาไว้ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยอาศัยลักษณะแนวภูเขาพรางตัว
รอจนผ่านไปสักครู่หนึ่ง คาดว่าคนคงจากไปไกลแล้ว เหมียวอี้ก็กางแขนสองข้าง ภายใต้คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่สาดซัด เกิดเสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ภูเขาถล่มพื้นดินทลาย ฝุ่นควันลอยตลบอบอวล กลบบังตัวเขาเอาไว้
กำลังพลหลายหมื่นที่เก็บกวาดสนามรบแล้วมารายงานสรุปสถานการณ์ตกใจทันที รีบรวมกลุ่มกันเหาะเข้ามา เห็นเพียงฝุ่นดินตลบอบอวลกินพื้นที่บริเวณกว้าง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
รอไปได้สักครู่หนึ่ง เงาร่างของเหมียวอี้ก็พลันพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางฝุ่นดินที่ตลบอบอวล แล้วจ้องมองสำรวจไปด้านล่าง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร
มู่อวี่เหลียนรีบเหาะเข้ามาใกล้ แล้วถามอย่างตกใจปนสงสัยว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปคะ?”
เหมียวอี้ตบตรงเอวที่เดิมแขวนกระเป๋าสัตว์เอาไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จู่ๆ เจียงอีอีก็ฝ่ากระเป๋าสัตว์ออกมา หนีไปแล้ว!”
มู่อวี่เหลียนตกใจทันที “นายท่านผนึกวรยุทธ์บนตัวเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ เขาก็หนีออกมา พอข้าแทงกระบี่ออกไป ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ากระบี่ในมือข้าจะกลายเป็นฝุ่นในชั่วพริบตาเดียว เกือบจะตกหลุมพรางเขาซะแล้ว พอเขาแวบออกมาก็มุดลงดินหายไปเลย”
ทำไมเขาไม่เลือกคนอื่นมาเป็นแพะ ดันเลือกโจรราคะเจียงอีอีมาเป็นแพะ? ก็เพราะว่าเขาเคยเห็นกับตาตัวเองว่าเจียงอีอีมีความสามารถเปลี่ยนทองเป็นฝุ่น หนีเอาตัวรอดไปได้อย่างอิสระ
มู่อวี่เหลียนรีบหันมาออกคำสั่งทันที “ค้นหาให้ข้า!”
กำลังพลหลายหมื่นกระจายตัวกันค้นหาทันที ใช้พลังอิทธิฤทธิ์สำรวจลงไปใต้ดิน รีบค้นหาทั้งใกล้ทั้งไกล
ส่วนเหมียวอี้ก็ยืนอยู่บนภูเขาข้างๆ แล้วหยิบระฆังดาราออกมา ตอนนี้ติดต่อกับอวิ๋นจือชิวแล้ว
อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ เจ้ากำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่?
เหมียวอี้ : ข้าแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้เจ้าออกมาปรากฏตัวในร้านได้ พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้ถูกเจียงอีอีจับไป คืนความบริสุทธิ์ให้เจ้า!
อวิ๋นจือชิวอกสั่นขวัญแขวน : ที่เจ้าเรียกว่าแก้ไขปัญหาแล้วคืออะไร? เจ้าฆ่าฉู่จื่อซานแล้วเหรอ?
เหมียวอี้ : อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าเก็บเขาไว้?
อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้ว : เจ้าฆ่าเขาแล้ว เจ้าจะอธิบายกับเบื้องบนยังไง?
เหมียวอี้ : ข้ามีวิธีการรับมือของข้าแล้วกัน พอแล้ว ไม่คุยแล้ว ข้ายังต้องแก้ไขปัญหาที่จะตามมาทีหลังอีก
จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อกับอวิ๋นจือชิวทันที ทำให้อวิ๋นจือชิวโมโหจนกระทืบเท้า แต่นางก็รู้เช่นกัน ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไว้ เหมียวอี้จะต้องแก้ไขปัญหาที่จะตามมาทีหลังแน่นอน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาระบายอารมณ์ใส่เหมียวอี้
ที่จริงกำลังพลหนึ่งหมื่นของฉู่จื่อซานก็ไม่ได้รบตายเสียทั้งหมด บางคนโดนลูกธนูดาวตกยิงจนบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้โดนยินจุดสำคัญจึงยังไม่ตาย กำลังถูกจับเอามารวมกันไว้
ลูกน้องคนหนึ่งหิ้วผู้บาดเจ็บคนหนึ่งขึ้นมา แต่โดนเหมียวอี้ยื่นมือขวางไว้ หลังจากบอกใบ้ให้เขาทิ้งคนเอาไว้ ก็โบกมือให้ลูกน้องไปทำงานของตัวเองต่อ ให้ส่งคนคนนี้ให้เขาจัดการเอง เขาหิ้วคนคนนั้นไปตรงที่ลับตาคน แล้วถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
ผู้บาดเจ็บตอบอย่างหวาดกลัวว่า “โจวหลาง!”
หลังจากถามจนรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว เหมียวอี้ก็คลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวเขา แล้วหยิบระฆังดาราสองอันออกมาลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง แล้วก็ยื่นให้อีกฝ่าย “ทิ้งวิธีการติดต่อเอาไว้”
ผู้บาดเจ็บอึ้งทันที ไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้จึงต้องการขอช่องทางการติดต่อของเขา แต่ในใจก็แอบยินดี ในเมื่อต้องการคงการติดต่อกับเขาเอาไว้ เช่นนั้นก็แสดงว่าจะไม่ฆ่าเขา
เขาย่อมรีบทำตามที่สั่ง หลังจากลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเอาไว้บนระฆังดาราสองอัน ก็ยื่นอันหนึ่งให้เหมียวอี้ เมื่อเห็นเหมียวอี้พยักหน้ายอมรับแล้ว ตัวเองก็เก็บอีกอันหนึ่งเอาไว้ แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งจะเก็บของและยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตรงหน้าก็มีแสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ คมกระบี่วิเศษฟันลงที่ศีรษะของเขาแล้ว
“ข้าเองก็ต้องหาช่องว่างให้ตัวเองรอดชีวิต ขออภัย!” เหมียวอี้เก็บกระบี่วิเศษ จ้องมองร่างที่ล้มลงพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันตัวเดินออกไป
หออวิ๋นฮว๋า พวกคนงานที่อยู่ในโถงหลักพลันเงียบลง ทุกคนมองไปที่จุดเดียวกัน มองไปทางอวิ๋นจือชิวที่เดินเนิบนาบออกมาจากโถงด้านหลัง โดยมีเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินตามมา
พวกช่างไม้รู้ตั้งนานแล้วว่านางไม่เป็นอะไร ยังดีหน่อย แต่คนงานที่เหลือดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้โดนจับตัวไป ยังอยู่ในร้านตลอดเหรอ?
“แต่ละคนทำไมไม่ทำงานกันล่ะ มองจนตาค้างหมดแล้ว ไม่เคยเห็นข้าหรือว่าบนหน้าข้ามีดอกไม้งอกออกมา?” อวิ๋นจือชิวตะคอกเหมือนอย่างที่เคยทำ
พวกคนงานเคลื่อนไหวต่อทันที ความกังวลในใจหายไปแล้ว บนใบหน้ามรอยยิ้มแล้ว ทำงานของตัวเองต่อไป
อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะเดินมาถึงประตู จู่ๆ ก็เห็นช่างหินรีบร้อนเดินกลับมา พวกเขาแทบจะชนกันตรงประตู พอช่างหินเห็นเถ้าแก่เนี้ยก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำความเคารพ “เถ้าแก่เนี้ย”
อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองคนงานร้านตรงข้ามที่โผล่หัวออกมาแล้วหดกลับเข้าไปในประตูเหมือนผี ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่บนตัวช่างหิน แลวตำหนิว่า “จะรีบร้อนเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างทำไม?”
“เถ้าแก่เนี้ย ประตูเมืองทั้งสี่ปิดอีกแล้ว” ช่างหินตอบ
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้วเหรอ?”
ช่างหินส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ได้ยินแค่ว่าทางตำหนักคุ้มเมืองสั่งให้ปิดประตูเมืองทั้งสี่ บนหัวกำแพงเมืองก็ป้องกันเพิ่ม รายละเอียดเป็นยังไงก็ยังไม่แน่นอน”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรอีก นำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินไปที่หัวถนนต่อ
ตอนนี้ผู้จัดการร้านอ้วนโผล่ออกมาจากประตูร้านตรงข้ามแล้ว เป็นคนที่ออกมาสืบข่าวในหออวิ๋นฮว๋าก่อนหน้านี้ เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มร่าเริง “เอ๋! เถ้าแก่เนี้ย ออกมาเดินตลาดเหรอ?” ขณะที่พูดก็เดินอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ถ้าไม่โผล่หน้าออกมาเดินที่ตลาดสวรรค์ ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายขนาดไหนก่นด่าข้าน่ะสิ ทีแรกอยากจะฝึกวิชาอย่างสงบใจ ใครจะคิดล่ะว่าจะมีเรื่องวุ่นวายใจ”
ผู้จัดการร้านอ้วนกล่าวกลั้วหัวเราะ “จะเป็นไปได้ยังไง เถ้าแก่เนี้ยมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับทุกคน อยู่ดีๆ เขาจะมาด่าท่านทำไมล่ะ”
“งั้นเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเหล่ดวงตางามมองเขา “แล้วทำไมข้าได้ยินคนงานในร้านบอกล่ะว่า ผู้จัดการร้านวิ่งมาในร้านข้าแล้วบอกว่าข้าโดนโจรราคะเจียงอีอีจับตัวไปแล้ว? ท่านพูดแบบนี้ตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงข้าใช่มั้ย ข้าจะนั่งติดที่ได้ยังไงล่ะ ก็ต้องรีบออกมาเดินสักหน่อยสิ”
“ดูพูดเข้าสิ คนงานร้านท่านฟังผิดแน่ๆ” ผู้จัดการร้านอ้วนหัวเราะแห้งๆ เอามือลูบจมูกอย่างเก้อเขิน เย่อี้ยืนยันต่อหน้าแล้วว่าผู้หญิงตรงหน้าคือเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจือชิวแห่งหออวิ๋นฮว๋าจริงๆ จึงไม่หาเรื่องใส่ตัวอีก หาข้ออ้างหนีทันที “ในร้านข้ายังมีงานอีกนิดหน่อย เถ้าแก่เนี้ย ท่านทำธุระของท่านไปเถอะ ข้าอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว”
พอผู้จัดการร้านอ้วนออกไปแล้ว ผู้จัดการร้านของร้านอีกสองฝั่งก็เข้ามาทักทายไม่หยุด อวิ๋นจือชิวรับมือแต่ละคนได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ข่าวที่ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวโดนโจรราคะเจียงอีอีจับตัวแพร่กระจายออกไปแล้ว ตอนนี้ข่าวก่อนหน้านี้กลายเป็นข่าวลือ ข่าวที่เถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋ายังไม่ถูกโจรราคะเจียงอีอีจับไปแพร่กระจายไปอีกแล้ว
ตอนที่ข่าวแพร่ไปถึงตำหนักคุ้มเมือง เย่อี้ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่อยู่ในตำหนักคุ้มเมืองกำลังเดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่นใจในสวนดอกไม้ด้านหลัง บนใบหน้ามีความวิตกกังวล
ไม่ให้เขากังวลไม่ได้หรอก จู่ๆ ก็ได้รับแจ้งจากเบื้องบน บอกว่าบริเวณดาวจิ่วหวนมีกำลังพลไม่ทราบกลุ่มล้อมโจมตีหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงรวมทั้งกำลังพลที่ติดตาม เย่อี้ถามว่าใครกันที่ใจกล้าขนาดนั้น ทว่าเบื้องบนไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร บอกเพียงว่าลูกน้องของฉู่จื่อซานรายงานว่าเหมือนจะเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ตอนนี้กำลังรายงานขึ้นไปทีละระดับเพื่อให้ทางตำหนักสวรรค์ยืนยันว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ส่วนสถานการณ์อย่างอื่นก็ยังไม่รู้ เพียงบอกให้ฝั่งนี้เตรียมเพิ่มการป้องกันเหตุไม่คาดคิดเอาไว้
จากนั้นเย่อี้ก็ติดต่อลูกน้องคนสนิทของฉู่จื่อซานเพื่อถามสถานการณ์ แต่ใครจะคิดว่าติดต่อไม่ได้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตายไปแล้ว แบบนี้จะทำให้ตนสงบใจได้อย่างไร จึงรีบออกคำสั่งปิดประตูเมืองทั้งสี่ของตลาดสวรรค์ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด!
บทที่ 1525 ต้องยกระดับความสนใจแล้ว
“อะไรนะ? เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจือชิวหออวิ๋นฮว๋าไม่ได้โดนโจรราคะเจียงอีอีจับไปเหรอ?”
ตรงนี้กำลังตึงเครียด รองผู้บัญชาการใหญ่ก็ส่งข่าวมาแล้ว เย่อี้ถามกลับอย่างะลึงงัน แล้วถามอีกว่า “ไม่ได้เข้าใจผิดใช่มั้ย?”
รองผู้บัญชาการใหญ่ที่มารายงานข่าวยิ้มเจื่อน “ไม่ได้เข้าใจผิดหรอกขอรับ อวิ๋นจือชิวนั่นอยู่ที่หออวิ๋นฮว๋าตลอด ไม่ได้ออกนอกเมืองเลย”
“ทหารที่เฝ้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองเห็นกับตาเองไม่ใช่เหรอว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ ถูกจี้ตัวไป? เห็นกับตาไม่ใช่เหรอว่าลูกน้องของหัวหน้าภาคฉู่ไล่ตามไป?” เย่อี้ประหลาดใจ
รองผู้บัญชาการใหญ่ตอบว่า “ข้าน้อยก็สงสัยจุดนี้เหมือนกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวผิดพลาดและในนั้นมีเงื่อนงำอะไร ข้าเลยออกไปถามคนที่โดนโจมตีบนกำแพงเมืองด้วยว่าแน่ใจใช่มั้ยว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ โดนจับตัวไปแล้ว ผลก็คือทุกคนบอกว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ นั่นสวมหมวกมุ้ง มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ไม่กล้าแน่ใจเต็มร้อยว่าตอนนั้นคนที่โดนจับไปคือ ‘อวิ๋นจือชิว’ เพียงแต่เห็นว่าน่าจะใช่ จากนั้นข้าน้อยก็ไปหออวิ๋นฮว๋ารอบหนึ่ง พอเห็นอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็หาข้ออ้างให้นางทิ้งตราอิทธิฤทธิ์เอาไว้ แล้วให้ผู้บัญชาการนำเอกสารที่อวิ๋นจือชิวเคยลงนามไว้ในปีก่อนมาเทียบกัน ก็แน่ใจแล้วว่าคนนี้คืออวิ๋นจือชิวตัวจริง ไม่ได้ถูกโจรราคะเจียงอีอีนั่นจับตัวไปเลย”
เย่อี้พูดไม่ออกไปพักใหญ่ “แล้วทางฉู่จื่อซานกำลังเล่นบ้าอะไรกัน?”
รองผู้บัญชาการใหญ่ตอบอย่างไม่แน่ใจว่า “ทางฉู่จื่อซานได้รับข่าวอะไรมารึเปล่า อยากจะล่อจับโจรราคะเจียงอีอี ก็เลยสร้างสถานการณ์ปลอมขึ้นมา?”
เย่อี้เงียบไป ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้หรือเปล่า คิดไม่ตกว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ สุดท้ายก็กัดฟันบอกว่า “ตอนนี้สมองเหลวกันทั้งข้างบนทั้งข้างล่าง ไม่รู้เลยว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ส่งคนไปพาตัวอวิ๋นจือชิวนั่นมาสอบสวนหน่อย ถามว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ดูซิว่านางรู้รึเปล่าว่าสถานการณ์เป็นยังไง!”
รองผู้บัญชาการใหญ่ลองเตือนว่า “ดีไม่ดีผู้หญิงคนนั้นอาจจะได้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วก็ได้ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ถ้าพามาสอบสวนจะไม่เป็นการก่อเรื่องเหรอ? เจ้าบ้านั่นกุมอำนาจทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งเอาไว้หนึ่งล้านนะ ถ้ามันบ้าขึ้นมา…” ความหมายที่เหลือก็ชัดเจนโดยไม่ต้องพูดแล้ว
เย่อี้มุมปากชาเล็กน้อย คนที่กล้าก่อเรื่องแม้แต่งานรับสนมของราชันสวรรค์ สัตว์เดรัจฉานที่บ้าระห่ำแบบนี้ ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวจริงๆ ที่สำคัญคือในมืออีกฝ่ายกุมอำนาจทางทหารเอาไว้ สิ่งนั้นไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ กำลังพลตลาดสวรรค์ม่พอยัดซอกฟันอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เขาหันกลับมากลอกตาใส่รองผู้บัญชาการใหญ่ “นางก็ไม่ได้มีหลักฐานกระทำความผิดอะไรอยู่ในมือพวกเรานี่ ข้าให้เจ้าพาตัวมาถาม ไม่ได้ให้เจ้าจับตัวสักหน่อย เกรงใจหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว!”
“ขอรับ!” รองผู้บัญชาการใหญ่เอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป ในใจกลับพึมพำว่า เมื่อครู่นี้เจ้ายังบอกว่า ‘สอบสวน’ อยู่เลย
จวนท่านปู่สวรรค์ ในห้องที่โบราณเรียบง่ายแต่แฝงความหรูหรา เซี่ยโห้วท่ากางแขนสองข้าง ปล่อยให้บ่าวรับใช้หญิงสองคนแต่งตัวให้อย่างระมัดระวัง กำลังจะเข้าประชุมในราชสำนักตำหนักสวรรค์แล้ว ต้องแต่งตัวให้ภูมิฐานเรียบร้อยหน่อย
ตรงนี้เพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ พ่อบ้านเว่ยซูก็เดินเข้ามาจากข้างนอก เขาเอียงหน้าทางซ้ายและขวาก่อน “พวกเจ้าถอยไปก่อน!”
หลังจากบ่าวหญิงทั้งสองออกไปแล้ว เว่ยซูก็หยิบไม้เท้าข้างๆ ยื่นใส่มือให้เซี่ยโห้วท่า แล้วถือโอกาสเอ่ยว่า “นายท่าน เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เกิดเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงก่วงลิ่งกงแล้ว”
“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่าเอียงหน้ามองมา รู้ว่าการที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ก็แปลว่าคงจะไม่ยิงธนูโดยไร้เป้า “เรื่องอะไร?”
เว่ยซูรายงานว่า “จู่ๆ หัวหน้าภาคฉู่จื่อซานของน่านฟ้าระกาติงรวมทั้งกำลังพลเกือบหมื่นของเขาก็โดนกำลังพลหลายหมื่นของกองทัพองครักษ์โจมตีขอรับ ตามที่ลูกน้องที่รอดชีวิตของฉู่จื่อซานรายงานขึ้นมา ตอนนั้นกำลังพลเกือบหนึ่งหมื่นของฉู่จื่อซานเกือบจะโดนฆ่าหมดแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีข่าวตอนหลังตามมาอีก แต่การที่กองทัพองครักษ์หลายหมื่นล้อมโจมตีกำลังพลหนึ่งหมื่นของฉู่จื่อซาน…ตอนนี้เกรงว่าพวกฉู่จื่อซานน่าจะมีเคราะห์ร้ายมากว่าโชคดีขอรับ!”
“หา! ใครมันช่างกล้าขนาดนั้น…” เซี่ยโห้วท่าที่รู้สึกบันเทิงชะงักไป แล้วถามอย่างฉงนใจ “ฉู่จื่อซาน? ฉู่จื่อซานคนนี้ใช่หัวหน้าภาคฉู่จื่อซานที่เจ้าบอกว่าจะแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวอะไรนั่นรึเปล่า?”
เว่ยซูยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า “เป็นฉู่จื่อซานนั่นแหละขอรับ!”
เซี่ยโห้วท่าตะลึงงัน แล้วทันใดนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา “ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมจู่ๆ มีข่าวลูกศิษย์อสุราอัคนีออกมา ที่แท้ก็เพราะประเมินเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้านี่เองนี่เอง หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างกล้าจริงๆ!”
เว่ยซูเรียกได้ว่าทำสีหน้านับถือชื่นชมเขา ช่วงก่อนหน้านี้นายท่านอาศัยเบาะแสเล็กน้อยมาตัดสินว่าอาจจะเกิดเรื่องบางอย่างที่ตัวหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งยังเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กด้วย ตอนนั้นเขายังพึมพำสงสัยอยู่เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อได้ แต่หลังจากได้ข่าวนี้มา เขาก็เข้าใจทันที เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ด้วย กำลังพลหลายหมื่นของกองทัพองครักษ์ล้อมโจมตีกำลังพลท้องถิ่น แทบจะสังหารกำลังพลเกือบหนึ่งหมื่นของอำนาจท้องถิ่นจนหมดเกลี้ยง ขนาดหัวหน้าภาคที่รักษาการณ์น่านฟ้าก็โดนกำจัดไปด้วยแล้ว เรื่องนี้ใหญ่โตใช้ได้ทีเดียว
เขายิ้มพร้อมกล่าวว่า “นายท่านช่างปราดเปรื่อง ในมือหนิวโหย่วเต๋อกุมอำนาจทางหทารของกองทัพองครักษ์ไว้หนึ่งล้าน แถมเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับอวิ๋นจือชิวนั่นอีก เป็นกองทัพองครักษ์ลงมือพอดีเลย สงสัยจะมีความเป็นไปได้เก้าในสิบ ว่าเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ คนอื่นไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก”
เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าเดาะลิ้น “เจ้าเด็กนี่ใจกล้าจริงๆ ถือวิสาสะใช้งานกองทัพองครักษ์โดยไร้คำสั่งเบื้องบน แถมยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของท้องถิ่นโดยพลการด้วย เบื้องบนของกองทัพองครักษ์จะต้องไม่ตอบตกลงให้เขาทำเรื่องแบบนี้แน่นอน เจ้าบ้านั่นถือวิสาสะใช้งานเองแน่ๆ ช่างไม่กลัวตายจริงๆ! ตอนนี้ข้าแปลกใจแล้ว กองทัพองครักษ์เคลื่อนย้ายกำลังพลหลายหมื่น ในระหว่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ผ่านสายตาเบื้องบน และเป็นไปไม่ได้ด้วยที่จะปิดบังสายเบื้องบน ทำไมทำเรื่องแบบนี้ใต้หนังตาเบื้องบนได้? ในนั้นต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างแน่นอน เดี๋ยวเจ้าไปจับตาดูเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดนะว่าเป็นยังไงกันแน่”
“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ แล้วเดินไปที่ประตูเป็นเพื่อนเขา
เซี่ยโห้วท่าเดินมึงประตูแล้วหยุดฝีเท้าอีก หันมากำชับว่า “อวิ๋นจือชิวนั่นไม่ธรรมดาหรอก นางคงจะมีความสามารถเกินกว่าที่เจ้ากับข้าจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้ ทางเจ้าต้องยกระดับความสนใจแล้ว!”
เว่ยซูงงเล็กน้อย ถามว่า “เป็นเพราะเรื่องนี้หรือขอรับ?”
“เจ้านี่นะ ยังอ่อนหัดไปหน่อยเมื่อเทียบกับพ่อของเจ้า คำพูดพวกนี้ถ้าข้าพูดให้พ่อเจ้าฟัง พ่อเจ้าเข้าใจไปนานแล้ว แต่เจ้ากลับต้องรอนานกว่าจะเบิกสติปัญญา เป็นเพราะเรื่องนี้แล้วยังไงล่ะ? แค่เป็นเพราะเรื่องนี้ยังไม่พออีกเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าตำหนิเขา ทั้งยังใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากเขาด้วย เสร็จแล้วถึงได้หันกลับไปมองที่ประตูด้วยแววตาล้ำลึก ทอดสายตามองไปไกลอย่างเอ้อระเหยพร้อมบอกว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดแค่ว่ามีข่าวอสุราอัคนีเพื่อจะปกป้องหนิวโหย่วเต๋อ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว คนที่จะปกป้องไม่ใช่แค่หนิวโหย่วเต๋อเท่านั้น มีอวิ๋นจือชิวนี่ด้วย เจ้าลองคิดดูสิ หกลัทธินั่นใจบุญสุนทานรึไง?
ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวคนนี้จะมีเบื้องหลังอะไรเกี่ยวกับหกลัทธิ แต่สำคัญสำหรับหกลัทธิที่โดนขังในแดนอเวจีมาหลายปีด้วยเหรอ? ถ้าฉู่จื่อซานแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวคนนี้ นี่ก็เป็นโอกาสของหกลัทธิที่จะเปิดประตูเข้าตำหนักสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางจะได้เข้าไปอยู่กับหน่วยงานภายในของกองทัพองครักษ์ ฉู่จื่อซานมีภูมิหลังเกี่ยวกับข้องกับกองทัพองครักษ์โดยตรง สามารถคว้าโอกาสนี้เพื่อแทรกผู้หญิงคนนี้เข้าไปอยู่ข้างกายฉู่จื่อซานและหาโอกาสเคลื่อนไหวดึงคนกลุ่มนี้มาเป็นพวกได้เลย เกรงว่าหกลัทธิคงจะอยากทำเรื่องนี้ใจจะขาด แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน หกลัทธิกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่าคนที่วางหมากอยู่เบื้องหลังไม่ใช่แค่ไม่อยากให้หนิวโหย่วเต๋อมีภัยคุกคาม
ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวได้รับอันตรายด้วย! ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าคนที่วางหมากเรื่องนี้ทำแบบนี้ทำไม แต่ในเมื่อสามารถปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องใหญ่โตเพื่อปกป้องผู้หญิงคนนี้แล้ว เจ้ายังดูไม่ออกอีกเหรอว่าผู้หญิงคนนี้สำคัญยังไง? อาศัยอุบายการวางหมากสร้างสถานการณ์จองคนคนนั้น ก็มีความสามารถที่จะหยุดยั้งไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อทำแบบนี้ได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลย สร้างปัญหาที่ใหญ่ทะลุฟ้าแบบนี้ ปัญหาใหญ่นี้จะทำให้มีเรื่องยุ่งยากเข้ามาแทรกจนทำให้เรื่องนี้หลุดจากการควบคุมได้ง่าย สุดท้ายจะกลายเป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้ชัด รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าระหว่างนั้นมีความเสี่ยงมาก แต่ยังเตรียมตัวในด้านนี้ไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้มีอย่างอื่นมารบกวน …ถ้าพูดไปเยอะขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจ ก็อย่าให้สิ่งที่วุ่นวายหลอกล่อให้เจ้าตาพร่าเลือน มองแก่นหลักของเรื่องไปเลย พอพูดเปิดโปงแล้วก็เรียบง่ายมาก เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่เพราะหนิวโหย่วเต๋อกินอิ่มแล้วหาอะไรทำแก้เซ็งแน่นอน แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ เจ้ายังกล้าประเมินความสำคัญของผู้หญิงคนนี้น้อยไปอีกเหรอ?”
ถ้าไม่พูดเปิดโปง เว่ยซูก็ยังไม่เข้าใจเลยจจริงๆ พอเปิดเผยให้ฟังนิดหน่อย เว่ยซูก็เรียกได้ว่าร้องอ๋อ กุมหมัดคารวะโค้งตัวนานๆ “คำพูดเหล่านี้ของนายท่าน เว่ยซูได้รับประโยชน์ไม่น้อย ได้รับการสั่งสอนแล้ว” หลังจากยืนตรงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า “ผู้หญิงคนนี้มีความสำคัญขนาดนี้ นางมีเบื้องหลังยังไงกันแน่?”
“เหอะๆ!” เซี่ยโห้วท่าหัวเราะแบบแข็งๆ ก้าวเดินออกไปแล้วพูดทิ้งท้ายว่า “ข้ายังคาดการณ์ได้ไม่เท่าไร ค่อยๆ ดูไปเถอะ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเผยเบาะแสแน่ ไม่คุยแล้ว ข้าจะต้องเข้าราชสำนัก!”
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง
“ท่านพ่อคะ ช่วงนี้ลูกสาวได้ยินข่าวน่าประหลาดใจบางอย่างมา บอกว่าในโลกนี้มีต้นไม้เทพอยู่ชนิดหนึ่ง สามารถอยู่คู่กับฟ้าดินตลอดไปโดยไม่ผุสลาย มันถูกเรียกว่าไม้ไม่ผุ เติบโตอยู่ในทุ่งหิมะ ส่งกลิ่นหอมอัศจรรย์ ทั้งต้นเป็นสีขาวดุจหิมะ แม้แต่ใบก็เป็นสีขาว เส้นใยข้างในของมันเหมือนกับเส้นเลือดในร่างกายมนุษย์ ถ้าใครได้ดื่มโลหิตจากไม้ไม่ผุสักจอก ก็จะไม่มีวันผุสลายเหมือนต้นไม้ต้นนี้ ต่อให้เผารมควันนานๆ แต่ก็สามารถอ่อนเยาว์เหมือนเดิมอยู่ดี จริงหรือเปล่าคะ?”
เม่ยเหนียงกับเม่ยเอ๋อร์กำลังช่วยจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ก่วงลิ่งกงด้วยกัน ขณะที่เม่ยเอ๋อร์มือไม่ว่าง แต่ปากก็พูดเจื้อยแจ้วเช่นกัน สีหน้านางเต็มไปด้วยความกังวล
พอก่วงลิ่งกงเห็นท่าทางของลูกสาว ก็รู้แล้วว่าโดนล่อใจเพราะ ‘อ่อนเยาว์เหมือนเดิม’ ผู้หญิงก็มีรสนิยมแบบนี้ทั้งนั้น ก็ช่วยไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวกลั้วหัวเราะ “เขาว่ากันอย่างนั้นจริงๆ แต่ก็เป็นตำนานโบราณ พ่อเองก็ไม่เคยเห็น ต่อให้เจ้าอยากเห็นพ่อก็ไม่รู้จะทำยังไง”
เม่ยเอ๋อร์คล้องแขนเขาแล้วขอร้องทันที “ท่านพ่อ ท่านส่งคนไปค้นหาไม่ได้เหรอคะ?”
“นางหนูตัวแสบ!” เม่ยเหนียงใช้นิ้วจิ้มหน้าผากลูกสาว “ของที่ใฝ่ฝันได้แต่เอื้อมไม่ถึง จะให้ไปหามาจากไหนล่ะ? อย่าทำให้ท่านพ่อไปเข้าราชสำนักช้า”
เม่ยเอ๋อร์เบ้ปากแล้วถอยไปด้านข้าง ก่วงลิ่งกงเหลือบไปเห็นโกวเยว่ที่รออยู่นอกประตู ก็รู้แล้วว่ามีเรื่อง จึงเอียงหน้ายิ้มให้ลูกสาว แล้วบอกเม่ยเหนียงว่าพอแล้ว ก่อนจะก้าวยาวเดินออกไป
โกวเยว่เดินตามหลังเขาลงจากบันได หลังจากเดินเข้าไปในลานบ้านด้วยกัน ก่วงลิ่งกงถึงได้ถามเสียงเรียบว่า “มีเรื่องอะไร?”
โกวเยว่รายงานว่า “ทางน่านฟ้าระกาติงเกิดเรื่องนิดหน่อยขอรับ หัวหน้าภาคฉู่จื่อซานของน่านฟ้าระกาติงรวมทั้งกำลังพลหมื่นกว่าของเขาถูกทัพใหญ่หลายหมื่นของกองทัพองครักษ์ล้อมโจมตีในเขตน่านฟ้าระกาติง ผู้ที่ขาดการติดต่อไปยังไม่มีข่าวมาเลย เกรงว่าจะตายหมดแล้ว!”
ก่วงลิ่งกงหยุดฝีเท้า แล้วหันขวับกลับมาพร้อมสายตาดุร้าย ถามเน้นย้ำว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? กองทัพองครักษ์ฆ่าคนของข้าในอาณาเขตของข้าเหรอ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น