ข้ามกาลบันดาลรัก 151.1-152.3
ตอนที่ 151.1
นางคือภรรยาข้า
สะใภ้จางจู้ยิ้มตอบ “โยวเอ๋อร์อยู่ในบ้านพูดคุยกับพ่อแม่ข้า ท่านอาผู้ใหญ่บ้านรีบเข้าไปนั่งในบ้านเถอะ”
ผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาในบ้าน พ่อแม่จางจู้และจางเกินพูดทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง
ผู้ใหญ่บ้านขานรับ นั่งบนเก้าอี้ ถึงหันมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าแล้ว ข้ามาเพื่อจะถาม ต้องการจะจัดการกับครอบครัวชิงเอ๋อร์อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไล่พวกเขาออกไปจากหมู่บ้านเถอะ? ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาอีก”
ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกลำบากใจ “บ้านฝ่ายแม่ของชิงเอ๋อร์อยู่ในหมู่บ้านนี้ ไล่พวกเขาออกไปจะไม่ดีหรือเปล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ทำไมครอบครัวชิงเอ๋อร์ถึงมาอยู่บ้านแม่เราต่างก็รู้ดี คนเช่นนี้วันๆ ไม่ทำอะไร คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ก็ไม่อยู่บ้าน เวลาผ่านไปนานเข้าไม่แน่ว่าจะก่อเรื่องอะไรขึ้น อีกอย่าง พวกเขาก็เอาแต่คอยจ้องพี่ใหญ่ข้า ต่อไปทุกครั้งที่พวกเรามาหมู่บ้านนี้ต้องคอยระวังพวกเขาจะเหนื่อยเกินไป หากไม่ระวังให้พวกเขาได้สมดังหมาย ข้าจะต้องอดใจไม่ไหวออกโรงจัดการพวกเขา วันนี้ก็เพราะข้าเห็นแก่หน้าท่าน กลัวจะสร้างเรื่องยุ่งยากให้ท่าน ถึงไม่ได้ลงมือ หากวันใดพวกเขายั่วโทสะข้าจริงๆ ข้าจะไม่ออมมืออีก ถึงตอนนนั้นจะไม่ใช่แค่การข่มขู่พวกเขาเพียงเท่านี้แน่”
ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิดแล้วพูด “ข้าเข้าใจความหมายของแม่นางเมิ่ง ข้าจะไปบอกคนให้ไล่พวกเขาทั้งครอบครัวออกไปจากหมู่บ้าน ก่อนที่ภูเขาร้างจะแผ้วถางเสร็จห้ามพวกเขากลับมาอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้าหวังว่าอย่างน้อยต้องไม่ให้พวกเขากลับมาภายในสามปี”
ผู้ใหญ่บ้านตกตะลึง ลองหยั่งเชิงถาม “เวลาจะยาวนานเกินไปหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “สิ่งที่ข้านำมาเพาะปลูกบนภูเขาร้างมีอายุค่อนข้างยาว ต้องใช้เวลาประมาณสามปี ภายในสามปีนี้ข้าจะคอยแวะเวียนมา”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ภายในสามปีข้าจะไม่ให้พวกเขากลับมา”
ส่งผู้ใหญ่บ้านแล้ว พ่อแม่จางจู้และจางจู้จางเกินที่ยังงุนงงรีบถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่ม้าไปทำให้เฉาเอ๋อร์ตกใจ ครอบครัวชิงเอ๋อร์ฉวยโอกาสนี้จะมาพัวพันเมิ่งเสียนคร่าวๆ แม่จางจู้ร้องก่นด่า “หน้าไม่อาย จนถึงตอนนี้ยังไม่ตัดใจ ถ้าเจ้าบอกยายเร็วกว่านี้ ยายจะไปด่านางถึงหน้าประตูบ้านให้เจ็บแสบสักยก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเกลี้ยกล่อมนาง “ท่านยาย ที่ข้าไม่บอกท่าน ก็เพราะกลัวท่านจะโมโห พวกเราไปโมโหคนแบบนั้นไม่คุ้มค่า”
จางจู้และจางเกินก็ช่วยกันโน้มน้าว
ครู่หนึ่งแม่จางจู้ถึงผ่อนคลายอารมณ์ลงได้
จางจู้และจางเกินเห็นว่าแม่ตัวเองไม่เป็นอะไรแล้ว หยิบเครื่องมือขึ้นไปทำงานบนเขาต่อ สะใภ้จางจู้และสะใภ้จางเกินก็เก็บกวาดเตาไฟ จุดไฟต้มน้ำ เอาไปส่งให้คนบนเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า พูดกับแม่จางจู้ “ท่านยาย ข้าต้องกลับไปแล้ว”
แม่จางจู้ยังอาวรณ์ จับมือนางไม่ยอมปล่อย
พ่อจางจู้โน้มน้าวนาง “โยวเอ๋อร์ยังมีเรื่องอีกมากต้องทำ เจ้าอย่าไปถ่วงเวลาเด็กเลย อย่างไรต่อไปนางก็จะมาบ่อยๆ แล้ว เอาไว้ให้นางมากินข้าวที่บ้านก็ได้”
แม่จางจู้ถึงยอมปล่อยมือนาง กำชับนางต่อไปจะต้องกลับบ้านมากินข้าวอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า นั่งรถม้าไปจากหมู่บ้านหลี่พร้อมเมิ่งเสียน
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดได้ว่าไม่ได้ไปดูที่ดินหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าทำความสะอาดเป็นอย่างไรบ้าง จึงให้เมิ่งเสียนบังคับรถม้าพานางไปส่งยังที่ดินที่กำลังเก็บกวาด
ที่ดินเก็บกวาดปรับพื้นที่เรียบเสมอกันแล้ว เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นกำลังสั่งอัดพื้นฐานที่ดินให้แน่น เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา เมิ่งต้าจินพูดกับนางอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์ ดูสิ อีกสามวันก็จะอัดพื้นฐานที่ดินเสร็จ พวกเราก็จะปลูกเรือนได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “ได้ เดี๋ยวข้ากลับไปจะไปหาอาสาม ให้เขาส่งข่าวบอกหัวหน้าช่างที่มาปลูกเรือนให้พวกเราครั้งก่อน ให้เขามาก่อนสักรอบหนึ่ง ข้าจะเอาแปลนภาพบ้านที่วาดเสร็จแล้วให้เขาดู ถ้าไม่มีปัญหาอะไร อีกสองวันให้เขาพาคนมาปลูกเรือนได้”
“ได้ ทั้งหมดว่าตามเจ้า” เมิ่งต้าจินรับคำ
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับถึงบ้าน เห็นในลานบ้านมีคนยืนออกันจนเต็ม ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ย่นหัวคิ้วมุ่น
เมิ่งชื่อเห็นนางกลับมา รีบเข้ามาพูดกับนาง “โยวเอ๋อร์ ทุกคนมาเอาสูตรเนื้อรมควัน ต่างมารอกันนานแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกเรื่องที่ตัวเองบอกว่าจะให้สูตรเนื้อรมควันกับคนในหมู่บ้าน ยิ้มแล้วพูดกับทุกคน “ขอโทษด้วย วันนี้ยุ่งมากจริงๆ ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย ข้าจะเขียนให้พวกท่านเดี๋ยวนี้”
คนในหมู่บ้านต่างก็มาขอสูตรโดยไม่ต้องเสียเงิน เดิมก็รู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่ มีคนรีบร้อนพูดว่า “ถ้าท่านยุ่งมาก พวกเราค่อยมาใหม่วันหลังก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ไม่ต้องแล้ว ข้าจะเขียนให้ทุกคนเดี๋ยวนี้ รบกวนพวกท่านรอประเดี๋ยว”
คนในหมู่บ้านเห็นนางเกรงใจเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี ต่างพูดว่าไม่รบกวนไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านมาช่วยข้าหน่อย”
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรับคำ เดินเข้าไปในบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนสูตรเสร็จแล้ว วางตรงหน้าพวกเขา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านช่วยเขียนสูตรนี้หน่อย ยิ่งมากยิ่งดี”
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรีบคัดลอกสูตรลงในกระดาษที่เตรียมไว้แล้ว ทุกแผ่นที่เขียนเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวจะให้เมิ่งชื่อเอาออกไปมอบให้ทุกคน ทั้งหมดเขียนไปได้ห้าสิบกว่าแผ่น เมิ่งชื่อถึงกลับมาบอกอย่างปลาบปลื้มใจ “พอแล้ว ไม่ต้องเขียนแล้ว คนในหมู่บ้านไปกันหมดแล้ว”
เมิ่งฉีโยนพู่กันในมือทิ้ง นั่งทิ้งตัวไปบนเก้าอี้ พูดว่า “เขียนเยอะขนาดนี้ เหนื่อยจะตายแล้ว”
เมิ่งเสียนก็ค่อยๆ วางพู่กันลง ขยับข้อมือคลายความปวดเมื่อย
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง เดี๋ยวพวกเรายังต้องเขียนประมาณนี้อีก”
เมิ่งฉีเบิกตาโพลงถาม “ยังเขียน? คนในหมู่บ้านไปกันหมดแล้วไม่ใช่หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขา “วันนี้ไปกันหมดแล้ว พรุ่งนี้คาดว่าจะมีคนมามากกว่าเดิม เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์มีคนมายืนออเต็มลานบ้านของพวกเราอย่างวันนี้อีก พวกเราเขียนอีกจำนวนหนึ่งออกมาเถอะ”
“ยังต้องอีกเยอะขนาดนั้น?” เมิ่งฉีร้องโหยหวน ฟุบไปบนโต๊ะ
เมิ่งชื่อหัวเราะว่าเขา “เจ้าเรื่องเยอะที่สุด ไม่เห็นหรือว่าพี่ใหญ่กับน้องสาวต่างก็เขียนด้วย”
เมิ่งฉีตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง “ท่านแม่ ข้าจะไปเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร? ท่านก็รู้ข้าไม่ชอบเขียนหนังสือแต่เด็ก วันนี้เขียนเยอะเช่นนี้ ข้าก็แทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
เมิ่งชื่อตีเมิ่งฉีเบาๆ “ไม่ต้องพูดมากแล้ว รีบๆ เขียน พรุ่งนี้แม่ไม่อยากรับมือกับคนมากเช่นนี้แล้ว”
เมิ่งฉีไม่มีทางเลือก กัดฟันหยิบกระดาษพู่กันมาเขียนอย่างทรมาน
เมิ่งเสียนเห็นท่าทางของเขา หัวเราะส่ายหน้า หยิบกระดาษพู่กันขึ้นเขียน
ทุกคนเขียนได้ประมาณสิบกว่าแผ่น เมิ่งชื่อมองดูท้องฟ้า พูดว่า “ได้เวลาแล้ว พวกเจ้าควรไปรับอี้เซวียนและเหลียงไฉได้แล้ว”
เมิ่งฉีร้องไชโย วางพู่กันในมือ ดีใจพูด “ในที่สุดก็ไม่ต้องเขียนแล้ว”
เมิ่งชื่อโพล่งหัวเราะกับท่าทางของเขา
เมิ่งเสียนจูงรถม้าออกมา เข้าไปรับคนในตำบลพร้อมเมิ่งฉี
เมิ่งเชี่ยนโยวนำสูตรที่เขียนเสร็จแล้วมาวางด้วยกัน มอบให้เมิ่งชื่อ “ท่านแม่ นี่เป็นสูตรที่เพิ่งเขียนเสร็จ ท่านเก็บไว้ให้ดี ถ้ามีคนในหมู่บ้านมาขออีก ท่านก็ให้เขาหนึ่งแผ่น”
เมิ่งชื่อพยักหน้า เก็บสูตรไว้อย่างดี
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่ลานใหญ่หาเมิ่งซานถง พูดกับเขา “ท่านอาสาม ใกล้จะอัดพื้นฐานที่ดินเสร็จแล้ว ท่านไปส่งข่าวบอกหัวหน้าช่างที่มาปลูกเรือนให้พวกเราครั้งก่อน ให้พรุ่งนี้มาที่นี่ ข้าวาดแปลนบ้านเสร็จแล้ว จะให้เขาดูเสียหน่อย”
เมิ่งซานถงพยักหน้า “เดี๋ยวพอเลิกงาน ข้าจะให้คนข้างบ้านที่ทำงานอยู่กับเขาไปส่งข่าวบอกเขา ให้พรุ่งนี้เขารีบเข้ามา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านไปตอนนี้เลย รีบไปรีบกลับ”
เมิ่งซานถงรับคำ เช็ดล้างมือ ถอดชุดทำงาน เดินอาดๆ ออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวถือโอกาสเดินวนรอบโรงงานทั้งสองแห่ง
พวกอู๋ต้าเห็นนางเดินเข้ามา ยิ่งออกแรงสับเนื้อหมูแข็งขัน
พวกจางมู่ก็อยากแสดงผลงานบ้าง เพิ่มความเร็วในการกลับปลอกไส้ในมือ ไม่คิดว่ากลับไม่ระวังทำปลอกไส้เป็นรู แหวนหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตกใจกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวตรงหน้าพวกเขา คนทั้งหมดนึกว่าจะถูกอัด ตกใจใบหน้าซีดเผือก
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบปลอกไส้ที่ทำความสะอาดแล้วในกะละมังข้างๆ มา สอนพวกเขาอย่างละเอียดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะกลับปลอกไส้ได้ไม่ขาดแถมยังทำได้เร็ว
พวกจางมู่ไม่เคยได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับพวกเขาอย่างละมุนละไมเช่นนี้มาก่อน ต่างก็ตะลึงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขานิ่งอึ้ง ขมวดคิ้วถาม “ทำเป็นแล้วหรือไม่?”
จางมู่ได้สติกลับมาก่อน ลนลานพยักหน้า อีกสี่คนที่เหลือก็พยักหน้าตามเป็นพัลวัน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “การกรอกกุนเชียงเป็นงานที่พิถีพิถัน พวกเจ้าเพิ่งเริ่มทำ ไม่ต้องรีบร้อน ผ่านไปนานเข้า ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้นเอง”
คนทั้งหมดพยักหน้าหงึกๆ
หลังจากคนงานเลิกงานแล้ว เมิ่งซานถงก็กลับมา พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ ข้าให้คนไปส่งข่าวแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้เช้าเขาก็จะเข้ามา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอบคุณอาสาม พรุ่งนี้เช้าข้าจะรอเขาอยู่ที่บ้าน”
เมิ่งซานถงพูด “เด็กคนนี้ ขอบคุณอะไรกัน เรื่องปลูกเรือนให้ท่านปู่ท่านย่าเจ้าเดิมก็เป็นเรื่องที่พวกเราพี่น้องสมควรทำ ตอนนี้เจ้ามาทำแทน ควรเป็นพวกเราขอบใจเจ้ามากกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าทำอะไรก็สมควรแล้ว ท่านอาสามอย่าได้เกรงใจเด็ดขาด”
“เช่นนั้นเจ้าก็อย่าเกรงใจข้า มีเรื่องอะไรสั่งให้ข้าไปทำได้เลย” เมิ่งซานถงก็พูดบ้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว อาสาม”
ไปรับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกลับมาแล้ว ไม่รอให้รถม้าจอดสนิท ซุนเหลียงไฉก็กระโดดลงจากรถม้า ทะยานเข้ามาในลานบ้านร้องตะโกน “โยวเอ๋อร์ ข้ามีข่าวดีจะบอก วันนี้ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้อีกห้าใบ”
เมิ่งชื่อออกมาจากในบ้านก่อน ถามเขาอย่างดีใจระคนแปลกใจ “เหลียงไฉขายกระเป๋านักเรียนได้อีกห้าใบหรือ?”
ซุนเหลียงไฉพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินก็ออกมาจากในบ้าน ชื่นชมเขา “คุณชายซุนเก่งมาก สองวันก็ขายกระเป๋านักเรียนได้สิบใบแล้ว”
ซุนเหลียงไฉฮึกเหิมลำพองใจ หยิบเงินห้าสิบตำลึงจากในกระเป๋านักเรียนส่งให้นาง “ให้ นี่เป็นเงินที่ขายกระเป๋านักเรียนวันนี้ เจ้าเก็บไว้ให้ดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับมา
ตอนที่ 151.2
นางคือภรรยาข้า
เมิ่งอี้เซวียนเดินหน้างอเข้ามาจากประตูด้านนอก เมิ่งชื่อเห็นเขาเศร้าสร้อย ถามอย่างเป็นห่วง “ทำไมอี้เซวียนถึงซึมๆ ไป? หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่โรงเรียน?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้ตอบ แต่ใช้สายตาร้องอุทรณ์ต่อเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ได้ยินที่ท่านแม่ถามหรือไร? เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบ?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “เจ้าให้เขาเรียกเจ้าว่าโยวเอ๋อร์?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงค้าง แล้วถึงนึกได้ว่าตอนที่ซุนเหลียงไฉเข้ามาเรียกตัวเองว่าโยวเอ๋อร์จริงๆ กำลังจะพูด ซุนเหลียงไฉกลับแย่งพูดก่อน “ข้าเรียกโยวเอ๋อร์แล้วยังไง? พวกเจ้าก็เรียกเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “แต่เจ้าเรียกนางเช่นนั้นไม่ได้”
ซุนเหลียงไฉยิ่งไม่เข้าใจ ถามเขา “เหตุใดข้าถึงเรียกนางเช่นนี้ไม่ได้?”
“เพราะภายหน้านางจะเป็นภรรยาข้า!” เมิ่งอี้เซวียนบันดาลโทสะตะเบ็งเสียงตอบ
ภายในลานบ้านเงียบสงัด
ครู่หนึ่งซุนเหลียงไฉถึงกุมท้องหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “ฮ่าๆๆ เมิ่งอี้เซวียน เจ้าน่าขันชะมัดเลย ถึงกับเห็นพี่สาวเป็นภรรยาได้”
เมิ่งอี้เซวียนโต้แย้ง “ข้าเปล่า นางไม่ได้เป็นพี่สาวข้า นางเป็นภรรยาข้า ข้าเป็นลูกที่ท่านพ่อท่านแม่รับมาเลี้ยง”
เสียงหัวเราะของซุนเหลียงไฉหยุดชะงัก อ้าปากค้างมองเขาอย่างไม่เชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินขึ้นหน้า จับคอเสื้อเมิ่งอี้เซวียนเดินไปที่ลานใหญ่
เมิ่งชื่อเดินตามหลัง ร้อนรนพูด “โยวเอ๋อร์ อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไรผิด เจ้าห้ามลงมือทำร้ายเขาเด็ดขาด”
เมิ่งเสียน เมิ่งฉี ก็ตามไปด้วย
พอได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนจะถูกซ้อม ซุนเหลียงไฉฮึกเหิมใจแม้แต่ฝีเท้าก็ปราดเปรียวขึ้น เดินไล่หลังทุกคนไปอย่างอดใจรอไม่ไหว
เดินผ่านประตูวงพระจันทร์ เมิ่งเชี่ยนโยวแผดเสียงตวาดพวกเขา “ทุกคนไม่ต้องตามมา!”
เมิ่งชื่อชะงักฝีเท้า มองดูเมิ่งอี้เซวียนที่ถูกลากโซซัดโซเซไปอย่างเป็นห่วง
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็มองเขาอย่างเวทนา
ซุนเหลียงไฉที่พอเห็นทุกคนหยุดฝีเท้าแล้ว เดินไปพลางพูดอย่างกระสับกระส่าย “เหตุใดพวกเจ้าถึงหยุดเดินเล่า รีบเดินเข้าไปสิ”
เมิ่งฉีมองเขาที่เบิกบานใจบนความทุกข์ของคนอื่นแวบหนึ่ง พูดว่า “ถ้าเจ้าไม่กลัวจะถูกซ้อมก็เข้าไปเถอะ”
ซุนเหลียงไฉชะงักค้างขาที่ก้าวข้ามประตูวงพระจันทร์ มองเมิ่งเชี่ยนโยวที่ลากเมิ่งอี้เซวียนไปอย่างไม่ไยดีแวบหนึ่ง ค่อยๆ ชักขากลับมา ถอยกรูดไปอีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวลากเมิ่งอี้เซวียนมาหน้าลานท่อนไม้ ปล่อยมือออก พูดเนิบนาบ “จำได้ว่าข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ต่อไปห้ามพูดต่อหน้าคนอื่นว่าข้าเป็นภรรยาเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนอารมณ์ขึ้นแล้ว พูดอย่างไม่ยอม “เจ้ายอมให้ซุนเหลียงไฉเรียกเจ้าว่าโยวเอ๋อร์แล้ว ทำไมข้าจะบอกเขาไม่ได้ว่าเจ้าเป็นภรรยาข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าเขาจะกล้าเถียง บันดาลโทสะ ตบไปที่กะโหลกศีรษะเขาดัง “ป๊าบ” “รู้จักเถียงแล้วนะ ใครสอนนิสัยเสียให้เจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับเขยื้อน พูดดึงดัน “เจ้าตีข้า ข้าก็จะบอกเขาว่าเจ้าเป็นภรรยาข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหตีเขาไปอีกแปะ “อายุแค่นี้ไม่เรียนรู้สิ่งดีๆ คิดแต่เรื่องเพ้อเจ้อไม่ได้ความ”
“ข้าเรียนไม่ดีอย่างไร ในตำราซือจิงกล่าวไว้ นงครามงามตู สมคู่สุชน อีกทั้งพวกเราก็หมั้นหมายกันมาแต่เด็ก เหตุใดข้าถึงเรียกเจ้าว่าโยวเอ๋อร์ไม่ได้ เหตุใดถึงบอกเขาว่าเจ้าเป็นภรรยาข้าไม่ได้?” เมิ่งอี้เซวียนพูดด้วยโทสะ
ตั้งแต่รู้จักเมิ่งอี้เซวียนมา เขาไม่เคยพูดเสียงดังเช่นนี้กับตนเองมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องใช้อารมณ์กับนาง เมิ่งเชี่ยนโยวงุนงงชั่วขณะ ลูบหัวเขา พูดเสียงละมุน “วันนี้เจ้าผีเข้าหรือไง? เหตุใดถึงมีอารมณ์รุนแรงเช่นนี้?”
เมิ่งอี้เซวียนหลบมือของนาง พูดอย่างเคืองขุ่น “เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
ไฟโทสะของเมิ่งเชี่ยนโยวพลุ่งพล่านอีกครั้ง ตบไปที่กลางกบาลเขา “เป็นบ้าอะไร?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดเสียงดัง “ข้าไม่ได้เป็นบ้า ข้าเพียงอยากเรียกเจ้าว่าโยวเอ๋อร์เหมือนคนอื่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหพูด “ได้ ถ้าวันนี้เจ้าเอาชนะข้าได้ ต่อไปข้าจะให้เจ้าเรียกข้าว่าโยวเอ๋อร์”
“เจ้าพูดเอง ห้ามกลับคำ” เมิ่งอี้เซวียนรีบพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งอี้เซวียนวางกระเป๋านักเรียนที่หลังลง ตั้งท่าต่อสู้ แล้วพุ่งเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวหลบหลีก ถีบไปที่เขา
เมิ่งอี้เซวียนก็หลบได้อย่างปราดเปรียว พลิกมือชกใส่เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวแอบชื่นชมในใจ ถอยหลังหนึ่งก้าว ตั้งมั่นร่างกาย เมิ่งอี้เซวียนไม่ผ่อนคลายลงสักนิด ตามติดเข้าไปถีบใส่นาง เมิ่งเชี่ยนโยวหลบได้หวุดหวิด พลิกตัวถีบกลับไป เมิ่งอี้เซวียนถูกถีบ ฟุบไปกับพื้น
เมิ่งชื่อร้องอุทาน จะวิ่งเข้าไป
เมิ่งอี้เซวียนร้องห้ามนาง “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องเข้ามา!”
เมิ่งชื่อหยุดชะงัก ร้องห้าม “อี้เซวียน เลิกดื้อได้แล้ว พูดดีๆ กับโยวเอ๋อร์สองสามคำเรื่องก็ผ่านไปแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้น ส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าจะไม่ยอมพูดดีกับนาง”
เมิ่งชื่อรีบพูด “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมวันนี้ถึงรั้นนัก?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “ยังจะสู้หรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ตั้งท่าต่อสู้แล้วพุ่งเข้าหา
ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวอัดจนหมอบไปกับพื้น
ครั้งนี้ ทิ้งเวลาครู่ใหญ่ถึงลุกขึ้นมาได้
รอเขาลุกขึ้นได้ เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “ยังจะสู้หรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนกัดฟันพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว
เมิ่งอี้เซวียนตั้งท่าอย่างยากลำบาก พุ่งเข้าหาเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้ท่าทางเชื่องช้าลงมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลบไม่หลีก รอเขาใกล้เข้ามา ยกเท้าคิดจะถีบเขา
เหมือนว่าเมิ่งอี้เซวียนจะเห็นแล้ว ตั้งใจพุ่งเข้ารับฝีเท้านาง
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนเท้ากลับทันควัน ถอยหลังหลายก้าว พูดอย่างโมโห “เจ้าบ้าไปแล้ว?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่พูด ชักหน้าแล้วต่อสู้ต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวหลบหลีกหลายครั้ง เมิ่งอี้เซวียนยังคงจู่โจมนางสุดกำลัง เมิ่งเชี่ยนโยวจนใจ หาโอกาส ล้มเขาจนหมอบอีกครั้งด้วยกระบวนท่าเดียว
เมิ่งอี้เซวียนตะเกียกตะกายหลายครั้งก็ลุกไม่ขึ้น
เมิ่งชื่อทนไม่ได้อีกต่อไป วิ่งตรงเข้ามา ประคองเมิ่งอี้เซวียนอย่างระวัง หันไปตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าออมแรงหน่อยไม่ได้หรือ? อี้เซวียนถูกเจ้าตีจนแย่แล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนระเบิดอารมณ์อย่างไร้เหตุผล สู้กับตนเองโดยไม่คิดชีวิต เมิ่งเชี่ยนโยวก็โมโหเดือดดาล พูดกับเมิ่งชื่ออย่างฉุนเฉียว “ข้าออมมือให้เขาแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาจะแค่นอนหมอบเช่นนี้หรือ”
เมิ่งชื่อยังคงตำหนินาง “อี้เซวียนเป็นสามีในอนาคตเจ้า หากถูกเจ้าตีจนเป็นอะไรขึ้นมา ภายหน้าเจ้าจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก พูดงึมงำเสียงแผ่ว “ภายหน้าจะได้เป็นสามีข้าหรือไม่ก็ยังไม่แน่?”
เมิ่งชื่อฟังไม่ถนัด ถามขึ้น “เจ้าว่ากระไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด
เมิ่งอี้เซวียนพูดเตือนนางเสียงเบา “ท่านแม่ ไม่เกี่ยวกับนาง ข้าอยากประลองกับนางเอง”
เมิ่งชื่อจ้องเมิ่งเชี่ยนโยวเขม็ง ร้องเรียกเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีเข้ามา ให้พวกเขาประคองเมิ่งอี้เซวียนเข้าไปในบ้าน
ซุนเหลียงไฉก็ตามมาดูเรื่องสนุก
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกมองเป็นผู้ก่อเหตุ จ้องถมึงเขาอย่างเคืองขุ่น
ซุนเหลียงไฉตกใจหัวไหล่หด ไม่รู้ว่าตัวเองยั่วโทสะอะไรนางเข้า
เมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนเมิ่งฉีประคองเมิ่งอี้เซวียนจากไปแล้ว ซุนเหลียงไฉหดหัวเดินตามไปติดๆ ทิ้งเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่หน้าลานท่อนไม้คนเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกมีความคับข้องใจบางอย่างในใจไม่ได้ระบายออกมา หันไปเตะต่อยท่อนไม้ด้านข้างชุดหนึ่ง
ซุนเหลียงไฉที่แอบอยู่หลังประตูเสี้ยวพระจันทร์เห็นท่าทีดุเดือดของนาง ตกใจเผ่นแน่บกลับเข้าห้อง สาบานกับตัวเองว่าชาตินี้จะไม่มีวันยั่วโมโหเมิ่งเชี่ยนโยว
หลังจากประคองเมิ่งอี้เซวียนเข้ามาในห้อง เมิ่งชื่อให้เมิ่งเสียนดูบาดแผลบนตัวเมิ่งอี้เซวียน เมิ่งอี้เซวียนดึงรั้งเขา “ท่านแม่ พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร โยวเอ๋อร์ลงมือไม่หนัก พักหน่อยก็หายแล้ว”
“ถูกนางซ้อมจนลุกไม่ขึ้น ยังจะบอกว่าลงมือไม่หนัก เชื่อแม่ ให้พี่ใหญ่เจ้าดู แล้วใส่ยาให้เจ้า” เมิ่งชื่อพูด
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้าปฏิเสธ ดึงเสื้อผ้าตัวเองแน่นไม่ยอมให้เขาดู
เมิ่งชื่อไม่มีทางเลือก จำพูดว่า “เช่นนั้นเจ้านอนพักอยู่ในห้องก่อน ประเดี๋ยวแม่ทำอาหารเสร็จค่อยเรียกเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเบาๆ
เมิ่งชื่อไปทำอาหาร
เมิ่งเสียนมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างเห็นใจ แล้วเดินออกไป เมิ่งฉีรั้งท้ายเดินออกไป
เริ่มแรกซุนเหลียงไฉเห็นเมิ่งอี้เซวียนถูกตีก็ดีใจมาก รู้สึกว่าตัวเองได้ระบายแค้นแล้ว พอเห็นสภาพน่าเวทนาตอนนี้ของเมิ่งอี้เซวียน ไม่รู้ทำไมในใจกลับดีใจไม่ออก อยากจะพูดเตือนเขาสองสามคำ กลับไม่รู้จะพูดอะไร จึงเดินตามเมิ่งฉีออกไปเงียบๆ
เมิ่งอี้เซวียนเห็นคนออกไปหมดแล้ว หดตัวกอดตัวเอง นอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียงเตา
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวระบายโทสะเสร็จเดินเข้ามา เห็นเมิ่งอี้เซวียนในสภาพนี้ หัวใจราวกับถูกบางสิ่งเคาะตี เจ็บปวดรวดร้าว ชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง ถึงเดินมาถามข้างเขา “วันนี้เจ้าเป็นบ้าอะไรกันแน่”
“ข้าจะต้องเอาชนะเจ้าได้” เมิ่งอี้เซวียนที่นอนบนเตียง พูดออกมาเสียงแผ่ว
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินไม่ชัด ขมวดคิ้วถาม “เจ้าว่ากระไรนะ?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ดันตัวลุกขึ้น สบตาเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าจะต้องเอาชนะเจ้าได้!”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้ง
ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “เจ้าเป็นบ้าอะไรกันแน่?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่พูด
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหวูบขึ้นมา พูดอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าเกลียดที่สุดก็คือคนที่มีเรื่องอะไรแล้วไม่พูด เที่ยวระเบิดอารมณ์อย่างไร้ที่มาที่ไป เจ้าอย่ายั่วโมโหข้า ไม่เช่นนั้นต่อไปข้าจะไม่สนใจเจ้าอีก”
เมิ่งอี้เซวียนตัวสั่นเทิ้ม ตะเบ็งเสียงพูด “ข้าไม่อยากให้ซุนเหลียงไฉเรียกเจ้าว่าโยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งงันอีกครั้ง ถามอย่างไม่เชื่อ “เพราะเรื่องนี้?”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้ารุนแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหตีเขาไปทีหนึ่ง “เรื่องเล็กแค่นี้ เจ้าต้องอาละวาดใหญ่โต พูดออกมาตามตรงก็จบเรื่องแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนยอมให้นางตบตี ถามอย่างยิ้มกริ่ม “เจ้าเห็นด้วยแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจนอยากจะตีเขาอีก ยื่นมือออกไปเห็นท่าทีดีใจของเขาก็แอบชักมือกลับ พูดว่า “เดิมข้าก็ไม่ได้รับปากให้เขาเรียกข้าว่าโยวเอ๋อร์ เป็นเจ้าเองที่ไม่ถามสาเหตุให้แน่ชัด ก็โมโหอาละวาด สมน้ำหน้าที่ถูกข้าอัดจนน่วม”
ฟังนางพูดจบ เมิ่งอี้เซวียนแย้มยิ้ม เรี่ยวแรงฟื้นคืนในชั่วพริบตา ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยความหวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบก่นด่าในใจ “เด็กเวร เปลี่ยนหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ” ปากกลับพูดว่า “ข้าจะไปเอายา ให้พี่ใหญ่มานวดคลึงแผลที่ตัวเจ้า” พูดจบ หันหลังเดินออกไป
เมิ่งอี้เซวียนรีบร้อนพูด “อย่าลืมคำที่เจ้าพูด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงัก หันกลับมาถามอย่างประหลาดใจ “พูดอะไร?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างหนักแน่นอีกครั้ง “ข้าจะต้องเอาชนะเจ้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจนัยแฝงในคำพูดเขา ตอบกลับ “รอให้เจ้าเอาชนะข้าได้ก่อนค่อยพูดเถอะ” พูดจบหันหลังเดินไปเอายา
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางรับปาก ไชโยโห่ร้อง ปล่อยตัวตามสบาย ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว
ตอนที่ 151.3
นางคือภรรยาข้า
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้องมาเอาขวดยา เดินไปพูดกับเมิ่งเสียนที่ช่วยอยู่ในครัว “พี่ใหญ่ ท่านช่วยไปนวดคลึงบาดแผลให้อี้เซวียนหน่อย”
เมิ่งเสียนพยักหน้า รับขวดยาเดินเข้าไปในห้อง
ซุนเหลียงไฉก็คิดจะตามไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเขาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เจ้าหยุดก่อน!”
ซุนเหลียงไฉรีบหยุดชะงัก มองนางอย่างหวาดกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ใครให้เจ้าเรียกข้าว่าโยวเอ๋อร์?”
ซุนเหลียงไฉพูดอย่างมีเหตุมีผล “พวกเขาต่างก็เรียกเจ้าโยวเอ๋อร์ ข้าก็เรียกตามพวกเขา มีอะไรผิดหรือไง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ต่อไปห้ามเรียกข้าว่าโยวเอ๋อร์”
“ให้เรียกอะไร?” ซุนเหลียงไฉถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิด “เรียกท่านพี่”
ซุนเหลียงไฉต่อต้าน “เจ้าเด็กกว่าข้าชัดๆ จะให้ข้าเรียกเจ้าท่านพี่ได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่?”
ซุนเหลียงไฉตอบตามตรง “สิบสาม”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโกหกหน้าตาย “ปีนี้ข้าอายุสิบสี่ เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ได้พอดี”
ซุนเหลียงไฉไม่คลางแคลงใจ รับปากอย่างเคืองๆ “ก็ได้ ท่านพี่ก็ท่านพี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบอมยิ้ม
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จแล้ว ให้เมิ่งเสียนยกสำรับอาหารเข้าไปให้เมิ่งอี้เซวียนในห้อง
เมิ่งอี้เซวียนกลับเดินกระโผลกกระเผลกออกมา
เมิ่งชื่อพูดอย่างปวดใจ “อี้เซวียน เจ้าออกมาทำไม? แม่บอกให้เจ้านอนพักอยู่ในห้อง รอให้พี่ใหญ่ยกสำรับอาหารเข้าไปให้เจ้า เจ้ากินในห้องก็ได้แล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นไร พี่ใหญ่ช่วยใส่ยาให้ข้าแล้ว ข้าไม่เป็นไร”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นเขาเดินกระโผลกกระเผลก ประหลาดใจถาม “อี้เซวียนเป็นอะไรไป? ไปมีเรื่องกับใครมาอีกแล้วหรือ?”
เมิ่งชื่อถลึงตาใส่เมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง พูดว่า “ก็โยวเอ๋อร์นะสิ จะให้อี้เซวียนสู้กับนางให้ได้ สุดท้ายทำอี้เซวียนสะบักสะบอมเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวคว่ำปากไม่พอใจ ไม่กล้าพูดอะไร
เมิ่งเอ้ออิ๋นนึกว่าพวกเขาประลองวรยุทธ์กัน ย่อมทำใจตำหนิบุตรสาวตัวเองไม่ได้ พูดว่า “ต่อไปเวลาพวกเจ้าจะประลองยุทธ์กัน ก็ออมแรงหน่อย พอให้รู้ก็พอ อย่าใช้พละกำลังมากเช่นนี้อีก”
ซุนเหลียงไฉรีบพูดแทรก “พวกเขาไม่ได้”
พูดยังไม่จบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดบท “หุบปาก! กินข้าวของเจ้าไป”
ซุนเหลียงไฉตกใจคอหัวหด ลนลานกัดหมั่นโถวในมือหนึ่งคำ อุดปากตัวเองไว้
แม้เมิ่งเอ้ออิ๋นจะสงสัย แต่คิดว่านี่เป็นเรื่องของเด็กๆ จึงไม่ได้ถามมาก เปลี่ยนเรื่องพูดขึ้น “โยวเอ๋อร์ พ่อปรึกษากับลุงใหญ่แล้ว ให้ท่านปู่เจ้าหาฤกษ์เริ่มงานก่อสร้าง รอให้อัดพื้นฐานเสร็จ พวกเราจะเริ่มงานทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าก็ให้อาสามส่งข่าวบอกนายช่างแล้ว บอกว่าอย่างเร็วให้เข้ามาพรุ่งนี้ช่วงเช้า พอพวกเราตกลงกันเสร็จ วันที่เริ่มงาน ให้เขาพาคนเข้ามาก็ได้แล้ว”
เมิ่งเอ้ออิ๋นส่งเสียง “อือ”
เมิ่งต้าจินกลับมาที่บ้าน ไม่ทันได้ล้างมือ ก็เดินเข้าไปพูดกับเมิ่งจงจวี่ในบ้าน “ท่านพ่อ อีกสองวันก็อัดพื้นฐานที่ดินเสร็จแล้ว สองวันนี้ท่านหาฤกษ์เริ่มงานก่อสร้างเถอะ”
เมิ่งจงจวี่ลูบเครารับปากอย่างยินดี
หญิงชราเมิ่งก็ยินดีไม่น้อย ถามอย่างชื่นบาน “อัดพื้นฐานเสร็จเร็วเช่นนี้เลย”
เมิ่งต้าจินพยักหน้า “แรงงานว่างงานในหมู่บ้านมาทำงานกันเกือบหมด คนมาก ได้งานไว”
หญิงชราเมิ่งได้ยินพูดด้วยความเป็นห่วง “คนมากเช่นนี้ คงไม่มีคนแอบหลบเลี่ยงอู้งานหรอกนะ”
เมิ่งต้าจินส่ายหน้า “ว่างใจเถอะท่านแม่ ไม่มี ตอนปีใหม่โยวเอ๋อร์ให้เงินค่าแรงคนงานมากเช่นนั้น คนในหมู่บ้านต่างตาร้อนผ่าว แทบอยากจะมาทำงานให้บ้านพวกเรา ตอนนี้อุตส่าห์มีโอกาสนี้แล้ว พวกเขามีแต่จะตั้งใจทำงานแข็งขันเสียไม่ว่า ไหนเลยจะกล้าแอบอู้ อีกอย่าง ตอนนี้ข้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน คนในหมู่บ้านประจบเอาใจ ไม่มีใครโง่แอบอู้ดอก”
เมิ่งจงจวี่ได้ฟังพูดว่า “จินเอ๋อร์ เจ้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็เพื่อทำเรื่องดีให้คนในหมู่บ้าน อย่าได้เป็นเหมือนหลิวกุ้ย ให้คนในหมู่บ้านต้องมาประจบสอพลอเจ้า”
เมิ่งต้าจินตอบ “ท่านพ่อ ท่านวางใจ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเมิ่งเสียและเมิ่งฉีไปส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉที่โรงเรียน เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กันเขียนสูตรอีกยี่สิบกว่าแผ่นมอบให้เมิ่งชื่อ ตอนที่มีคนมาขอสูตรอีกให้นางมอบให้พวกเขา
เมิ่งชื่อรับมา กำลังจะวางไว้อีกด้าน ก็มีคนร้องเรียกกลางลานบ้าน เมิ่งชื่อพรวดพราดออกไป มอบสูตรในมือนางไปหนึ่งแผ่น จากนั้นผู้คนก็ทยอยเข้ามาเรื่อย เมิ่งชื่อไม่เข้าไปในบ้านแล้ว ถือสูตรรอที่ด้านนอก
นายช่างที่เมิ่งซานถงแจ้งข่าวไปเข้ามาตอนเช้าตามคาด เห็นเมิ่งชื่อยืนหน้าประตู พูดอย่างเป็นมิตร “อาซ้อใหญ่ ยังจำข้าได้หรือไม่?”
ตอนแรกเมิ่งชื่อไม่ได้สังเกต นึกว่าเป็นคนในหมู่บ้านมาขอสูตร หยิบสูตรหนึ่งแผ่นเตรียมจะมอบให้เขา พอได้ยินเขาถามเช่นนี้ ถึงเพ่งพินิจดู พบว่าเป็นหัวหน้าช่างที่มาสร้างบ้านให้ตัวเอง ดีใจร้องพูด “พี่ชาย ท่านมาแล้ว รีบเข้ามาในบ้าน โยวเอ๋อร์รอท่านอยู่ในบ้านแล้ว”
หัวหน้าช่างก็ไม่เกรงใจ เดินตามเมิ่งชื่อเข้ามาในลานบ้าน
เมิ่งชื่อตะเบ็งเสียงพูด “โยวเอ๋อร์ นายช่างมาแล้ว เจ้ารีบออกมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากในบ้าน
นายช่างดีใจพูดขึ้นทันควัน “แม่นางน้อย เมื่อวานน้องซานถงมาส่งข่าวบอกข้า ข้าก็รีบมาทันที ไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเจ้าต้องการปลูกเรือนแบบไหน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูดทักทาย แล้วหันไปพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านไปเรียกอาสามที่โรงงานมาหน่อยเถอะ”
เมิ่งชื่อรับคำสาวเท้าเดินไปลานใหญ่ ไม่นานเมิ่งซานถงก็เดินอาดๆ เข้ามา ร้องทักนายช่างอย่างยินดี “พี่โหย่วเหริน มาเร็วเช่นนี้เลย”
โหย่วเหรินหน้าตาเบิกบานตอบ “วันนี้ตอนเช้าเจอข้า คนส่งข่าวก็บอกข้าว่า พวกเจ้าจะปลูกเรือนอีกแล้ว ให้ข้าเข้ามาสักครั้ง ข้าดีใจมาก ให้พวกเขาไปทำงานก่อน ส่วนข้ารีบมาที่นี่ ไม่ทำพวกเจ้าเสียเรื่องใช่หรือไม่”
เมิ่งซานถงโบกมือ “ไม่เลย ที่ดินยังอัดพื้นฐานไม่เสร็จเลย โยวเอ๋อร์วาดแปลนเรือนเสร็จแล้ว ที่เรียกเจ้ามาก่อนเพื่อจะให้เจ้าดูว่าเรือนที่นางวาดว่าพวกเจ้าจะปลูกไหวหรือไม่?”
โหย่วเหรินตบหน้าอกรับประกัน “เรื่องอื่นข้าไม่กล้าพูด พวกเราปลูกเรือนมาสามสิบกว่าปีแล้ว เรือนแบบไหนพวกเราก็ปลูกมาแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีเรือนไหนที่ปลูกไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้งพูด “เช่นนั้นก็ดี”
พูดจบพาทั้งสองคนมายังห้องฝั่งตะวันออก
เมิ่งชื่อชงชาสามถ้วยยกเข้ามา วางไว้เบื้องหน้าคนละถ้วย โหย่วเหรินดมกลิ่นหอมของใบชา พินิจมองน้ำชาในถ้วย รู้สึกตกใจที่ได้รับการเอ็นดู
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นกิริยาเขา ยิ้มพูด “นี่เป็นน้ำชาของบ้านพวกเรา ท่านไม่ต้องเรงใจ”
โหย่วเหรินตกตะลึง ครั้งที่แล้วที่ตัวเองมาปลูกเรือน แม้ฐานะทางบ้านพวกเขาจะถึงว่าไม่เลว แต่ก็แค่ดีกว่าคนทั่วไปหน่อยเท่านั้น ไม่คิดว่าเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือน ครอบครัวพวกเขาจะใช้ชาชั้นดีเช่นนี้มาดื่มเป็นชาปกติ
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในห้องหยิบภาพร่างของตัวเองออกมา ยื่นไปตรงหน้าเขา ยิ้มพูด “นี่เป็นแปลนภาพที่ข้าวาดขึ้นเอง ท่านดูว่ามีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือไม่?”
โหย่วเหรินหยิบภาพร่างมาดู เพ่งพินิจมอง พลันถลันตัวลุกพรวด ถามอย่างตกใจ “นี่เป็นแปลนภาพที่แม่นางวาดขึ้นเอง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ใช่ ข้าวาดเอง มีตรงไหนไม่ถูกต้องหรือ?”
โหย่วเหรินพูดอย่างยินดีระคนประหลาดใจ “แปลนภาพของแม่นางงดงามนัก เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นใครวาดแปลนภาพเช่นนี้มาก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ “แปลนภาพสวยไปก็เท่านั้น ท่านต้องช่วยข้าดูว่าแปลนภาพของข้ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ตาบอดคลำทางเอาเอง กลัวจะมีตรงไหนไม่ถูกต้อง”
โหย่วเหรินพูดอย่างยินดี “แปลนภาพสวย เรือนที่ปลูกออกมาก็จะยิ่งงาม หากปลูกเรือนหลังใหญ่นี้ตามแปลนภาพของเจ้า เกรงว่าต่อไปในตำบลชิงซีนี้ข้าคงได้มีชื่อเสียงตามไปด้วย”
เมิ่งซานถงก็ดีใจไม่น้อย ได้ฟังรีบร้อนพูด “เช่นนั้นจะรออะไร เจ้ารีบช่วยโยวเอ๋อร์ดู แปลนภาพของนางมีปัญหาหรือไม่”
โหย่วเหรินนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง ตั้งใจตรวจดูแปลนภาพอย่างละเอียด คิดคำนวณตำแหน่งตัวเรือน และระหว่างลานบ้านด้วยกัน รวมถึงระยะห่างของเรือนแต่ละหลังอย่างละเอียด
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งซานถงก็ไม่รบกวนเขา ยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ
โหย่วเหรินคำนวณเสร็จ ตบหน้าขาพูดอย่างฮึกเหิม “แม่นางเทพเกินไปแล้ว ครั้งแรกก็วาดแปลนภาพซับซ้อนเช่นนี้ได้ และไม่มีความผิดพลาดเลยสักนิด”
เมิ่งซานถงดีใจมาก หยิบแปลนภาพในมือโหย่วเหรินมา มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่างอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ถามอย่างไม่เชื่อ “โยวเอ๋อร์ เรือนของท่านปู่ท่านย่าเจ้าจะสร้างเช่นนี้จริงๆ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะ “อาสาม แปลนภาพก็วาดเสร็จแล้ว หรือท่านคิดว่าข้ากำลังล้อเล่น”
เมิ่งซานถงโบกมือ “เปล่าๆ อาสามเพียงแค่ตกใจ เรือนที่ดีเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่บ้านเศรษฐีจางหมู่บ้านข้างๆ ก็ยังเทียบไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “แน่นอน นี่เป็นแปลนภาพที่ข้าวาดเอง พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน จะปลูกเรือนเช่นนี้ได้อย่างไร”
เมิ่งซานถงถูกนางแหย่เย้า โหย่วเหรินก็หัวเราะอย่างครื้นเครงไปด้วย
หลังจากหัวเราะเสร็จ คนทั้งหมดยกชาจิบสองสามคำ เมิ่งเชี่ยนโยวถึงถามโหย่วเหริน “ท่านเห็นแปลนภาพแล้ว ไม่ทราบว่าท่านพอจะสร้างได้หรือไม่”
ครั้งนี้โหย่วเหรินครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถึงพูดว่า “เรื่องปลูกเรือนไม่มีปัญหา แต่คนในมือข้าน้อย เรือนมากขนาดนี้ถ้าสร้างพร้อมกัน เกรงว่าจะต้องใช้เวลานาน เอาอย่างนี้ ข้าจะกลับไปถามผู้รับเหมาคนอื่นดู ว่าพวกเขาพอจะมาร่วมงานด้วยได้หรือไม่ แบบนี้จะได้ไวขึ้น ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนก็น่าจะปลูกเสร็จ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “คนที่ท่านหามาฝีมือดีหรือไม่? ข้าไม่อยากใช้คนที่ฝีมือไม่ดี”
โหย่วเหรินรับประกัน “แม่นางวางใจเถอะ ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือปลูกเรือนมาหลายสิบปี ฝีมือดีแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ปลูกเรือนช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร จะต้องรับประกันเรื่องคุณภาพ นี่เป็นเรือนที่ข้าปลูกให้ท่านปู่ท่านย่า ข้าไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย”
โหย่วเหรินรับประกันอีกครั้ง “ข้าขอรับประกันกับเจ้า ฝีมือของพวกเราไม่มีปัญหาแน่นอน เจ้าวางใจเถอะ จะต้องปลูกเรือนให้พวกเจ้าอย่างงดงาม มั่นคงแข็งแรง”
เมิ่งเชี่ยนโยววางใจลง พูดว่า “เรื่องค่าแรงยังคงเหมือนครั้งก่อน นางช่างจะได้คนละห้าสิบอีแปะต่อวัน คนงานจับกังจะได้สามสิบอีแปะ ท่านจะพาคนงานจับกังมาเอง หรือพวกเราหาเองก็ได้”
โหย่วเหรินขบคิดแล้วพูด “ข้าขอกลับไปรวบรวมคน ดูว่าพวกเรามีคนงานจับกังกี่คน พรุ่งนี้จะให้คนนำสารที่แน่ชัดมาบอกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ อาหารกลางวันพวกท่านก็ไม่ต้องนำมาเอง พวกเราจะจัดการให้ และไม่หักเงินค่าแรง”
โหย่วเหรินปิติยินดี กล่าวขอบคุณไม่หยุด “ขอบคุณแม่นางๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งซานถงรวมถึงโหย่วเหรินยืนยันปัญหารายละเอียดทั้งหมดอีกรอบ พอคิดว่าไม่มีปัญหาแล้ว โหย่วเหรินก็บอกลาคนทั้งสอง จากไปอย่างอิ่มเอมใจ
โหย่วเหรินจากไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งซานถงว่า “อาสาม สองสามวันนี้ท่านมอบงานให้พี่ใหญ่ดูแล พอคนปลูกเรือนมา ท่านไปอยู่ตรงนั้นเถอะ ท่านพ่อข้าและลุงใหญ่พวกเขาไม่รู้เรื่อง มีท่านคอยเฝ้าดูข้าวางใจหน่อย”
เมิ่งซานถงพยักหน้า “ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกำชับอย่างจริงจังอีกรอบ “ท่านอาสาม ท่านจะต้องจับตาดูให้ดี หากมีจุดไหนที่พวกเขาสร้างไม่ดี จะต้องให้พวกเขาทำใหม่ อย่าได้เป็นเพราะสนิทกับพวกเขา ก็พูดไม่ออกปล่อยให้พวกเขาทำ”
เมิ่งซานถงพยักหน้าหนักแน่น “โยวเอ๋อร์วางใจเถอะ อาสามรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
หลังจากส่งโหย่วเหริน เมิ่งชื่อยังคงยืนหน้าประตูรอคนในหมู่บ้านเขามารับสูตรเรื่อยๆ หลังจากแจกไปยี่สิบกว่าแผ่น ก็เริ่มไม่มีคนเข้ามาแล้ว เมิ่งชื่อกลับเข้าบ้าน นำสูตรที่เหลือในมือมอบให้หญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนคนละแผ่น
เหล่าหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนสองวันนี้เอาแต่คิดจะขอสูตรกับเมิ่งชื่อ แต่ก็กลัวเมิ่งชื่อจะบอกว่าพวกนางละโมบ ไม่ให้พวกนางมาเย็บกระเป๋านักเรียนอีก ตอนนี้เห็นเมิ่งชื่อให้สูตรเอง ดีอกดีใจ พูดขอบคุณไม่หยุด
เมิ่งชื่อหัวเราะพูด “คนในหมู่บ้านมาขอสูตรไปเกือบหมดแล้ว มีแต่ครอบครัวพวกเจ้าไม่ได้มา ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะต้องรู้สึกไม่ดี จึงเอามาให้พวกเจ้าเอง พวกเจ้ากลับไปแล้วมอบให้คนในครอบครัว ดูว่าพวกเขามีตรงไหนไม่เข้าใจ มาถามได้ทุกเมื่อ”
เหล่าหญิงสาวรับคำอย่างปิติ พูดขอบคุณอีกเป็นพัลวัน
เมิ่งชื่อก็นั่งลง ตั้งใจเย็บกระเป๋านักเรียนพร้อมพวกเขา
เมิ่งเจี๋ยใช้ขาเล็กสั้นรีบร้อนวิ่งเข้ามาจากด้านนอก พูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านรีบออกไปดูเถอะ บ้านผู้ใหญ่บ้านเกิดเรื่องอีกแล้ว หลิวต้าเป่าถูกกลุ่มคนดุดันเ**้ยมโหดคุมตัวกลับมา บอกว่าติดหนี้บ่อนพนัน พวกเขายืนขวางอยู่หน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน ร้องโหวกเหวกให้เขาคืนเงิน”
ตอนที่ 152.1
ถงเซิงระดับอำเภอ
เมิ่งชื่อตกตะลึง วางงานในมือลง ลุกขึ้นผลุนผลันเดินออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินเสียงเมิ่งเจี๋ยแล้ว เดินออกมาจากในห้อง เห็นเมิ่งชื่อรีบร้อนเดินออกไปถามขึ้น “ท่านแม่ ท่านจะไปไหน?”
เมิ่งชื่อหยุดชะงัก หันกลับมาพูด “แม่จะไปดูบ้านอาต้าเป่าเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังยั้งนาง “ท่านไม่ต้องไปแล้ว”
เมิ่งชื่อไม่เข้าใจ “เพราะอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เรื่องนี้เห็นกันอยู่ว่าหลิวต้าเป่าไปเล่นพนัน ติดหนี้บ่อนพนันอีกแล้ว ตอนนี้บ้านพวกเขามีเงิน น่าจะใช้คืนได้ ท่านไปตอนนี้ พวกเขาจะคิดว่าท่านไปดูเรื่องสนุก ไม่แน่ว่าจะยิ่งชิงชังพวกเรา”
ได้ยินบุตรสาวพูดเช่นนี้ เมิ่งชื่อหันกลังกลับเข้าบ้าน
เหล่าหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนก็ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว มีหญิงคนหนึ่งพูดขึ้น “เจ้าว่าทำไมหลิวต้าเป่าถึงไม่จำสักที เรื่องเมื่อปีก่อนเพราะติดหนี้บ่อนพนันเกือบจะถูกคนของบ่อนซ้อมจนตาย ถ้าไม่เพราะนายหญิงของพวกเราจิตใจดี ช่วยชีวิตเขาไว้ ลูกชายของเขาสองคนไม่รู้ป่านนี้ถูกขายไปอยู่ที่ไหนแล้ว เขาเองก็เพิ่งจะได้อิสรภาพคืน ทำไมถึงไปเล่นพนันอีกแล้ว”
ผู้หญิงอีกคนพูดเสริม “นั่นสิ ไม่รู้ว่าเขาไปเอาเงินมาจากไหน ไหนบอกว่าปีก่อนเพื่อจ่ายหนี้ให้เขา เอาเงินในบ้านมาชดใช้จนหมดเกลี้ยงแล้วไง”
ยังมีผู้หญิงอีกคนส่ายหน้าพูดว่า “ไม่แน่หรอก หลิวกุ้ยเป็นผู้ใหญ่บ้านมาหลายปี ครอบครัวไหนไปหาเขาไม่ต้องกรีดเนื้อเถือหนังให้เขาบ้าง ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะยังมีเงินอีกไม่น้อย ไม่อย่างนั้นหลิวต้าเป่าจะกล้าไปเล่นการพนันได้ยังไง?”
ผู้หญิงอีกคนก็พูดขึ้น “หลิวต้าเป่าถูกภรรยาหลิวกุ้ยตามใจจนเสียงคน มีแต่นิสัยแย่ๆ แต่ก็ไม่เคยเหลวแหลกถึงขั้นนี้ ตอนนี้ทำไมถึงมัวเมาการพนันได้ ต่อให้ในบ้านมีเงินทองมากมาย ก็ทนทานการบ่อนทำลายเช่นนี้ไม่ไหว”
ผู้หญิงคนหนึ่งพูดเสียงเบา “ข้าได้ยินคนพูดว่า คนเล่นพนันจะเสพติด ชนะแล้วก็จะอยากชนะอีก ส่วนคนที่แพ้ ยิ่งแพ้ก็ยิ่งใจรุ่มร้อน เพื่อถอนทุนคืน แทบอยากจะเอาภรรยาและลูกในบ้านไปวางค้ำ พวกเจ้าว่าหลิวต้าเป่าถูกอะไรครอบงำจิตใจ ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ ไม่ชอบ จะต้องให้บ้านแตกสาแหรกถึงจะพอใจ”
ทุกคนส่ายหน้า
เมิ่งชื่อเงียบงันไม่พูด
ผู้หญิงทั้งหมดเห็นอาการของนางต่างก็หยุดปาก ตั้งใจเย็บกระเป๋านักเรียน
กระทั่งเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีกลับมาจากตัวเมือง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ สองวันนี้จะเริ่มลงมือปลูกเรือนแล้ว ข้าจะให้อาสามไปเฝ้าดู ท่านไปรับมอบงานในมืออาสามเถอะ”
เมิ่งเสียนพยักหน้า เดินไปโรงงาน
เมิ่งฉีคนเดียวย่อมผลิตน้ำมันพริกไม่ไหว ถามขึ้น “น้องสาว เช่นนั้นข้าจะทำอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดหยอกล้อเขา “ท่านไปอ่านหนังสือกลอนแล้วกัน สองวันนี้อี้เซวียนไม่สบาย ท่านไปช่วยซุนเหลียงไฉทำการบ้านเถอะ”
เมิ่งฉีเชื่อว่าเป็นจริง เลียนแบบท่าทางผู้ใหญ่ ประสานมือ โค้งคำนับให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดวิงวอน “น้องสาว เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ ให้ข้าไปอ่านหนังสือกลอน ข้าได้ตายก่อนแน่ๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน
เมิ่งฉีถึงรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวหยอกล้อตนเอง ถอนใจโล่งอก
หลังจากหัวเราะเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพูดอย่างเป็นจริงเป็นจัง “พี่รอง สองวันนี้ท่านพักผ่อนให้เต็มที่ อีกสองวันพอเริ่มปลูกเรือนท่านจะยุ่งมาก ข้อแรก เรื่องการลงทะเบียนคนที่มาทำงานทุกวันมอบเป็นหน้าที่ท่าน ข้อสอง เรื่องการซื้อกับข้าวมาทำอาหารของคนงานทุกวันก็มอบให้ท่าน ข้ามีหน้าที่แค่ให้เงิน เรื่องที่เหลือข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก”
เมิ่งฉีโบกมือเป็นพัลวัน “น้องสาว เรื่องการลงทะเบียนคนงานข้าไม่มีปัญหา แต่เรื่องซื้อกับข้าวมาทำอาหารข้าทำไม่เป็นจริงๆ เจ้ามอบให้คนอื่นเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ลุงใหญ่ ท่านพ่อและอาสามต่างต้องคอยตรวจตราคนงานปลูกเรือน พี่ใหญ่ต้องดูแลโรงงาน ข้าเองก็ต้องคอยไปดูการแผ้วทางภูเขาร้างว่าเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านว่า เรื่องซื้อกับข้าวทำอาหารไม่มอบให้ท่านแล้วจะมอบให้ใคร?”
เมิ่งฉีเกาหัวแกรกๆ “เรื่องนี้ข้าไม่เคยทำมาก่อน ถ้าทำไม่ดีจะทำยังไง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบเขา “เรื่องทำอาหารข้าจัดเตรียมไว้แล้ว ทำที่บ้านยายหลี่ ส่วนลูกมือทำอาหาร ท่านไปหาป้าใหญ่ได้ ให้นางช่วยหาให้ท่านจำนวนหนึ่ง ส่วนการซื้อกับข้าว? อย่างมากเริ่มแรกก็จ่ายเงินมากหน่อย รอให้ท่านซื้อชำนาญแล้ว รู้ราคาพืชผักก็หมดเรื่องแล้ว”
เมิ่งฉียังคงลังเล
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ถ้าท่านยังหวาดหวั่น ข้าจะช่วยออกความคิดให้ ท่านไปหาอาสี่ ให้เขาไปกับท่าน เขาอาศัยอยู่ในเมืองมาหลายปี คุ้นเคยกับทุกๆ ที่เป็นอย่างดี ผักที่ไหนที่ทั้งดีและถูก เขาจะต้องรู้”
เมิ่งฉีดวงตาเปล่งประกาย พูดว่า “จริงด้วย ข้าลืมอาสี่ไปได้ยังไง ข้าจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้”
พูดจบ หันหลังกำลังจะวิ่งออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร้องเรียกเขา “พี่รอง ข้ายังพูดไม่จบ”
เมิ่งฉีหันกลับมา ถามขึ้น “ยังมีเรื่องอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เรื่องเงิน ไม่มีเงินท่านจะไปซื้อกับข้าวยังไง?”
เมิ่งฉีขยี้หัว พูดเก้อเขิน “ข้าร้อนใจชั่วขณะ ลืมเรื่องที่สำคัญนี้ไปเลย แต่ว่า ไม่รีบๆ ยังอีกสองวันไม่ใช่หรือ? เอาไว้เจ้าค่อยให้ข้าก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสสอนเขา “พี่รอง จะทำอะไรต้องวางแผนให้ดีก่อน อย่าให้เรื่องมาถึงแล้ว ถึงค่อยคิดว่าจะทำอย่างไร ถึงตอนนั้นท่านจะจับต้นชนปลายไม่ถูก สมมติว่าอีกสองวันข้ามีธุระไม่อยู่บ้าน? ไม่มีเงิน ถึงตอนนั้นท่านจะเอาอะไรไปซื้อกับข้าว? ถ้าไม่ซื้อกับข้าว คนงานไม่ได้กินข้าว ถึงตอนนั้นพวกเขาจะมองพวกเรายังไง คนในหมู่บ้านจะคิดกับพวกเรายังไง?”
เมิ่งฉีเบิกตาโพลง “เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องอื่นมาเช่นนี้เลย?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้น ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆ ก็ต้องคิดให้ดีก่อน เรื่องที่จะทำต่อมาถึงจะราบรื่น”
เมิ่งฉีพยักหน้า “ข้าจำได้แล้ว น้องสาว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินยี่สิบตำลึงในกล่องวางลงบนโต๊ะ “นี่คือเงินยี่สิบตำลึง ท่านเก็บไว้ให้ดี ทุกวันพอซื้อกับข้าวเสร็จ ท่านก็ลงบัญชีไว้ สองสามวันให้หลัง แต่ละวันต้องใช้จ่ายเงินซื้อกับข้าวเท่าไหร่ ท่านก็จะมีตัวเลขในใจแล้ว”
เมิ่งฉีถลึงตาโตอีกครั้ง ถามอย่างไม่แน่ใจ “ให้ข้าถือเงินทั้งหมดนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวอมยิ้มพยักหน้า
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งฉีถือเงินมากเช่นนี้ ตื่นเต้นดีใจใหญ่ หยิบเงินใส่อกเสื้อด้วยมือสั่นเทิ้ม ถามขึ้น “ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าจะไปหาป้าใหญ่และอาสี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาเอาเงินใส่อกเสื้อ หัวเราะไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งฉีได้สติกลับมา รีบร้อนพูด “น้องสาววางใจ ข้าเอาเงินไปเก็บแล้วค่อยไป” พูดจบ วิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า
เมิ่งฉีเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว วิ่งแจ้นไปบ้านเก่าเมิ่ง
เมิ่งจงจวี่กำลังตั้งใจตรวจดูปฏิทินจันทรคติ เลือกวันดีเริ่มงานก่อสร้าง เห็นเมิ่งฉีวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เอ่ยปากถามเขา “ฉีเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
เมิ่งฉีหยุดหายใจครู่หนึ่ง ร้องเรียกตามมารยาท ถึงตอบกลับ “ท่านปู่ ท่านย่า ข้ามาหาป้าใหญ่ อยากให้นางช่วยหาคนจำนวนหนึ่งมาทำอาหาร”
หญิงชราเมิ่งฟังไม่เข้าใจ ถามขึ้น “ทำอาหารอะไร?”
เมิ่งฉีอธิบาย “อีกไม่กี่วันตอนที่พวกเราปลูกเรือน ต้องจัดเตรียมอาหารมื้อเที่ยง น้องสาวมอบเรื่องให้ข้า ข้าอยากมาขอให้ป้าใหญ่ช่วยหาคนให้จำนวนหนึ่ง”
หญิงชราเมิ่งเข้าใจแล้ว ยิ้มพูด “ป้าใหญ่เจ้าไปช่วยทำความสะอาดที่ดิน เจ้าไปหานางที่โน่นเถอะ”
“แล้วอาสี่เล่า?” เมิ่งฉีถาม
หญิงชราเมิ่งตอบ “อาสี่เจ้าก็อยู่ที่นั่น”
เมิ่งฉีกล่าวลาสองผู้เฒ่าเมิ่ง แล้ววิ่งไปที่ที่ดิน
ภรรยาเมิ่งต้าจินกำลังเก็บกวาดไปทั่ว เมิ่งฉีเห็นนางแต่ไกล ร้องเรียก “ท่านป้าใหญ่!”
ภรรยาเมิ่งต้าจินได้ยินเสียงร้องเรียก ลุกขึ้นยืน เห็นเป็นเมิ่งฉี ยิ้มแย้มถาม “ฉีเอ๋อร์ มาหาป้ามีธุระอะไร?”
เมิ่งฉีพูดเรื่องที่เพิ่งพูดกับสองผู้เฒ่าเมิ่งออกมาอีกครั้ง
ภรรยาเมิ่งต้าจินได้ยินแล้วก็ยิ้มพูด “ได้ เรื่องนี้ป้าจัดการให้เอง เจ้ารอประเดี๋ยว ป้าจะไปหาคนให้เอง”
เมิ่งฉีพยักหน้า
ภรรยาเมิ่งต้าจินใคร่ครวญ เดินเข้าไปในหมู่บ้าน
เมิ่งฉีเดินมาตรงหน้าเมิ่งเสียวเถี่ยที่กำลังลากเท้าเก็บกวาดไปทั่วเช่นกัน พูดว่า “อาสี่ ข้าอยากขอให้ท่านช่วยหน่อย”
เมิ่งเสียวเถี่ยหยุดเดิน ถามขึ้น “เรื่องอะไร? เจ้าพูดมา”
เมิ่งฉีขยี้หัวแล้วพูด “โยวเอ๋อร์มอบงานซื้อกับข้าวมาทำอาหารให้คนงานปลูกเรือนกินให้ข้า แต่ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ข้าอยากขอให้อาสี่ช่วย ถึงเวลาท่านช่วยเข้าเมืองไปซื้อวัตถุดิบจำเป็นในการทำอาหารกับข้าด้วย”
เมิ่งเสียวเถี่ยลังเลเล็กน้อย “อาสี่ขาไม่ดี เกรงจะช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าให้พ่อและลุงใหญ่เจ้าไปด้วยเถอะ”
เมิ่งฉีไม่ขยับ พูดว่า “น้องสาวบอกแล้ว ลุงใหญ่และท่านพ่อยุ่งเรื่องปลูกเรือน ไม่มีเวลาว่าง”
เมิ่งเสียวเถี่ยไม่พูดอะไร
เมิ่งฉีพูดเว้าวอน “อาสี่ ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ น้องสาวบอกว่าท่านอยู่ในเมืองมาหลายปี คุ้นเคยทั่วทุกที่ มีท่านช่วยจะต้องลงแรงน้อยแต่ได้ประสิทธิภาพมาก”
เมิ่งเสียวเถี่ยทอดถอนใจ “ไม่ใช่อาสี่ไม่ช่วยเจ้า แต่หลายปีที่อยู่ในเมืองอาสี่ทำแต่เรื่องไม่ดี ล่วงเกินคนไม่น้อย ข้ากลัวข้าเข้าเมืองไปพร้อมเจ้า จะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย”
เมิ่งฉีโบกมือ “อาสี่ พวกเราแค่ไปซื้อกับข้าว ไม่เกิดอันตรายใดดอก”
เมิ่งเสียวเถี่ยใคร่ครวญอีกครู่หนึ่ง พยักหน้ารับปาก “ก็ได้”
เมิ่งฉีพูดอย่างยินดี “ขอบคุณอาสี่”
ภรรยาเมิ่งต้าจินหาผู้หญิงสี่คนมาได้โดยเร็ว พูดกับเมิ่งเสียน “ฉีเอ๋อร์ ทั้งหมดนี้เป็นยอดฝีมือด้านทำอาหารของหมู่บ้าน เจ้าดูว่าใช้ได้หรือไม่”
เมิ่งฉีพูด “ท่านป้า ข้าไม่เข้าเรื่องทำอาหาร เอาตามที่ท่านว่าเถอะ”
ภรรยาเมิ่งต้าจินยิ้มพูด “ได้ เช่นนั้นป้าตัดสินใจแล้ว ใช้พวกเขาสี่คนก็พอ”
เมิ่งฉีพยักหน้า “ได้ ว่าตามท่าน”
พูดจบก็หันไปพูดกับผู้หญิงทั้งหมด “แต่ละวันจะมาทำแค่อาหารเที่ยงให้คนงานที่บ้านย่าหลี่ ค่าแรงคือวันละยี่สิบอีแปะ พวกท่านดูว่าไหวหรือไม่? ถ้าไหว รอวันที่พวกเราเริ่มปลูกเรือน พวกท่านก็มาทำงานได้”
ทั้งสี่คนพยักหน้าดีใจ ต่างแสดงว่ายินดีมาทำงาน
จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว เมิ่งฉีก็รีบวิ่งกลับบ้าน บอกเรื่องทั้งหมดให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังแล้ว ยิ้มชื่นชม “พี่รอง ท่านทำได้ดีมาก!”
ได้รับคำชมจากนาง เมิ่งฉีดีใจจนหน้าแดง
หนึ่งวันว่างๆ ช่วงบ่ายเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในลานใหญ่หยิบกุนเชียงรสชาติต่างกันจำนวนหนึ่ง ห่อให้ดี พูดกับเมิ่งเสียนที่กำลังบันทึกจำนวน “พี่ใหญ่ ทำงานเสร็จแล้ว พวกเรารีบเข้าเมืองเถอะ ครั้งก่อนซุนซ่านเหรินช่วยพวกเราไว้มาก ข้าอยากเอากุนเชียงไปให้เขา”
เมิ่งเสียนพยักหน้า วางบัญชีในมือลง กำชับคนงานอีกประเดี๋ยวตากกุนเชียงให้แยกไปอีกด้าน ตนเองกลับมาค่อยบันทึกจำนวนต่อ แล้วจึงไปจัดเก็บรถม้า เข้าเมืองไปพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
[1] ถงเซิง ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงแบ่งการสอบขุนนางออกเป็น 3 ระดับ(ในที่นี้จะกล่าวถึงแค่ระดับต้น) ได้แก่ระดับต้น เรียกว่าถงเซิง รับสมัครผู้เข้าสอบตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น โดยเป็นการสอบในท้องถิ่น แบ่งระดับชั้นการสอบได้อีก 3 ลำดับ คือ เซี่ยนซื่อ(อำเภอ) ฝู่ซื่อ(จังหวัด) และย่วนซื่อ(คนของราชสำนักมาคุมการสอบเอง)
ตอนที่ 152.2
ถงเซิงระดับอำเภอ
อากาศอบอุ่นขึ้น รถม้าวิ่งไปไม่รู้สึกหนาวมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงมานั่งที่คานรถด้านหน้า คุยเรื่องสัพเพเหระในบ้านกับเมิ่งเสียน
พอรถม้าเข้ามาในเมือง จากการบอกทางของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเสียนก็บังคับรถม้ามาถึงหอชาของครอบครัวซุนซ่านเหริน
เสี่ยวเอ้อในหอชาไม่รู้จักพวกเขา เห็นพวกเขาบังคับรถม้าเข้ามา คิดว่าเป็นคนที่จะเข้ามาดื่มชา แม้จะประหลาดใจเหตุใดถึงมีลูกค้าวัยเยาว์เช่นนี้มาดื่มชา กลับยังเข้าไปเชื้อเชิญพวกเขาอย่างเอาใจใส่
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือพูดว่า “พวกเรานำของมามอบให้นายท่านของพวกเจ้า รบกวนเจ้าเรียกหลงจู๊ของพวกเจ้าออกมา”
เสี่ยวเอ้อมองประเมินพวกเขาอย่างละเอียด เห็นว่าพวกเขาไม่เหมือนพูดล้อเล่น จึงผลุนผลันวิ่งเข้าไปแจ้งข่าว
ไม่นานซุนวั่งก็ตามออกมา เดินไปพลางถามไปถาม “ใครนำสิ่งของมามอบให้ข้ากัน”
ไม่รอเสี่ยวเอ้อตอบ ก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่รออยู่หน้าประตู
ซุนวั่งสาวเท้ามาถึงหน้าประตู พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นังตัวดี มาทำอะไรหน้าหอชาของพวกข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว พูดกับเสี่ยวเอ้อ “รบกวนเจ้าไปเรียกหลงจู๊ของพวกเจ้าออกมา”
ซุนวั่งเห็นนางไม่สนใจตัวเอง อารมณ์เดือดพลุ่ง พูดว่า “หอชานี้ตอนนี้มีข้าเป็นคนดูแล ไม่มีคำอนุญาตจากข้าใครก็ห้ามพบเจ้า”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวขี้เกียจสนใจเขา กลับไปนั่งบนรถม้า พูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ พวกเราไป!”
เมิ่งเสียนพยักหน้า จับบังเ**ยนกำลังจะหันกลับหัวม้า
ซุนวั่งที่ปกติถูกยกยอจนเคยตัว วันนี้ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวหักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าเสี่ยวเอ้อ อับอายจนโกรธแค้น หันไปสะบัดมือให้เสี่ยวเอ้อ “ไปขวางรถม้าของพวกเขาไว้”
เสี่ยวเอ้อต้อนรับลูกค้าตะโกนเข้าไปในหอชา เสี่ยวเอ้อจำนวนหนึ่งก็วิ่งออกมาทันที ล้อมหน้าล้อมหลังรถม้า
ซุนวั่งพูดอย่างเคืองแค้น “นังตัวดี วันนี้เจ้ามารนหาที่เอง อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนรถคานรถไม่ไหวติง ถามอย่างดูแคลน “อ่อ ท่านจะไม่เกรงใจอย่างไร?”
ซุนวั่งอยากจะพูดว่าซ้อมนางให้นอนเกลือกกลิ้งไปกับพื้น ร้องไห้จ้าหาแม่ แต่พอคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้วรยุทธ์ จึงเปลี่ยนคำพูด “ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อทำลายรถม้าเจ้าให้พังเป็นชิ้นๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ไป ใครกล้าขวางก็ย้ำผ่านคนผู้นั้นไป”
เมิ่งเสียนรับคำ หักเลี้ยงหัวม้าอีกครั้ง
ซุนวั่งพูดเสียงกร้าว “ขวางพวกมันไว้”
เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งเดินขึ้นหน้า จับบังเ**ยนเอาไว้แน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลงพูด “พี่ใหญ่ ปกติข้าสอนท่านยังไง?”
เมิ่งเสียนลังเล
ซุนวั่งพูดอย่างเหิมเกริม “นังตัวดี กล้าเป็นปรปักษ์กับข้า วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนพวกเจ้าให้รู้สำนึก”
เมิ่งเสียนเม้มปาก คลายหมัดแล้วก็กำ กำแล้วก็คลาย พลันยกมือขึ้น ชกใส่เสี่ยวเอ้อที่คว้าบังเ**ยน
เสี่ยวเอ้อถูกชกเข้าที่ใบหน้า ส่งเสียงร้องโหยหวน สะบัดบังเ**ยนทิ้ง กุมใบหน้าถอยหลังไปหลายก้าว จนไปชนซุนวั่ง
ซุนวั่งไม่คิดว่าเมิ่งเสียนจะกล้าลงมือ ตกใจจนลืมถอยหลบ ถูกเสี่ยวเอ้อที่ถอยกรูดชนล้มไปกับพื้น
ส่วนเสี่ยวเอ้อคนอื่นสะดุ้งตกใจ เดินหน้าคิดจะประคองเขาลุกขึ้น
ซุนวั่งโมโหถีบเสี่ยวเอ้อที่ถอยมาชนตัวเอง ตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างโมโหเดือดดาล พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ไปเรียกคนมา วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าพวกเหิมเกริมทั้งสองคนนี้”
เสี่ยวเอ้อรับคำรีบวิ่งเข้าไปด้านใน
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งสบายอารมณ์อยู่บนคานรถ มองเขาอย่างดูแคลน
เมิ่งเสียนเหม่อลอยมองมือตัวเอง
ไกลออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาดื่มชา เห็นเหตุการณ์ก็ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “น้องซุนวั่ง เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
ซุนวั่งชี้เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “นังตัวดีคนนี้ขโมยบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของข้าไป ข้าไม่ไปหานาง นางกลับรนหาที่มาถึงที่นี่ วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนพวกมันให้รู้สำนึก ให้พวกมันรู้ว่าตำบลชิงซีนี้ใครเป็นใหญ่”
คนเหล่านี้ล้วนเป็นเพื่อนไม่เอาถ่านของซุนวั่ง ปกติยามว่างมักจะมาให้ซุนวั่งเลี้ยงพวกเขาดื่มชาพูดคุย เรื่องในบ้านซุนวั่งย่อมรู้อย่างชัดแจ้ง ตอนนี้คนทั้งหมดได้ยินซุนวั่งพูดเช่นนี้ ต่างก็มองประเมินเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความประหลาดใจ เห็นนางเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบเอ็ดสิบสองปี พูดเยาะหยัน “น้องซุนวั่ง ไม่ใช่มั้ง เจ้าถูกเด็กสาวตัวกระเปี๊ยกแค่นี้ตบหน้า ถ้าเรื่องแพร่กระจายออกไปเจ้าจะอยู่ตำบลชิงซีต่อไปได้อย่างไร?”
ซุนวั่งที่เดิมก็อารมณ์พลุ่งพล่านแล้ว ตอนนี้ถูกพวกเขาหัวเราะเยาะหยัน หัวร้อนวูบ แผดเสียงตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อที่ล้อมรถม้า “พวกเจ้าทั้งหมดยืนเซ่อทำไม? ยังไม่รีบสั่งสอนพวกมันให้เข็ดหลาบ”
บรรดาเสี่ยวเอ้อไม่กล้ารอช้า หันไปตะลุมบอนใส่เมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพลิกตัวหลบการจู่โจมของเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งคว้าบังเ**ยนมาไว้ในมือตัวเอง พูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านรับมือพวกเขา”
เมิ่งเสียนชกไปหมัดหนึ่ง เห็นเสี่ยวเอ้อร้องโอดครวญล้มไปนอนกับพื้น ก็รู้สึกผิดจนพูดไม่ออก ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่กล้าลงมือ บรรดาเสี่ยวเอ้อเห็นเช่นนั้น อ้อมคานรถม้า เข้ารุมทำร้ายเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวจับบังเ**ยนไม่หลบไม่หลีก หมัดของเสี่ยวเอ้อกำลังจะโดนตัวเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว กลุ่มคนที่ล้อมเข้ามาดูเรื่องสนุกส่งเสียงร้องอุทานพร้อมกัน
เมิ่งเสียนไม่ลังเลอีก ยื่นมือออกไปคว้าหมัดเสี่ยวเอ้อไว้ พร้อมบิดเต็มแรง เสี่ยวเอ้อเจ็บปวดร้องโหยหวน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดชมเชยด้วยความปิติ “พี่ใหญ่ ทำได้ดี!”
เสี่ยวเอ้อข้างๆ เห็นเข้า ต่างรุมเข้ามาสู้กับเมิ่งเสียน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยีจับบังเ**ยนมองเมิ่งเสียนซ้อมกลับคนพวกนั้น
เสี่ยวเอ้อที่เข้าไปเรียกคนในหอชาพาเสี่ยวเอ้ออีกสิบกว่าคนดาหน้าออกมา พอเห็นว่าเริ่มต่อสู้แล้ว ก็ตรงเข้าลงมือกับคนทั้งสองอย่างไม่ลังเล
หลงจู๊ของหอชาเพิ่งจะไปห้องบัญชี กลับมาไม่เห็นเสี่ยวเอ้อต้อนรับลูกค้าแม้แต่คนเดียว พลันงุ่นง่านใจ กำลังจะร้องเรียกคน กลับได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก รีบวิ่งออกไปดู เห็นเสี่ยวเอ้อมากมายกำลังล้อมแม่นางน้อยที่ครั้งก่อนถูกนายท่านเชิญมา ตกตะลึงร้องตะโกนเสียงดังลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้!”
หลงจู๊เป็นคนที่ซุนซ่านเหรินเชิญมา ตั้งแต่วันที่หอชาเปิดทำการก็เป็นหลงจู๊ของหอชานี้มาตลอด หลายปีมานี้ สร้างบารมีความน่าเชื่อถือต่อเสี่ยวเอ้อทั้งหลาย ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเขา เสี่ยวเอ้อต่างรามือโดยพร้อมเพรียง
หลงจู๊ประสานมือ กำลังจะพูดบางอย่างกับเมิ่งเชี่ยนโยว เสียงโกรธเกรี้ยวของซุนวั่งก็ดังขึ้น “อย่าไปฟังเขา จัดการพวกมันให้น่วม จนกว่าพวกมันจะร้องขอชีวิต”
พวกเสี่ยวเอ้อได้ยินเช่นนั้น ตั้งท่าต่อสู้เตรียมจะบุกเข้าไป
หลงจู๊ร้องตวาด “ข้าดูสิว่าพวกเจ้าใครกล้า?”
พวกเสี่ยวเอ้อที่ตั้งท่าแล้วไม่มีใครกล้าขยับตัวจริงๆ
ปกติซุนวั่งให้ความเคารพหลงจู๊เป็นอย่างดี เพราะเขารู้ว่าถ้าไม่มีหลงจู๊ หอชาอยู่ในมือตัวเอง เปิดได้ไม่กี่วันก็ต้องปิดตัว แต่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าคนมากมาย หลงจู๊ก็เอาแต่เป็นปรปักษ์กับเขา โมโหเดือดดาล พูดกับหลงจู๊ “เจ้าเกลือเป็นหนอน ปกติเห็นแก่หน้าท่านพ่อ ข้าถึงอ่อนน้อมยอมให้ เจ้ากลับสำคัญตัวผิด ข้าไม่ว่ากระไรก็เอาใหญ่ คิดจะแต่ขัดขวางข้าร่ำไป ข้าจะบอกให้ ตอนนี้เจ้าม้วนเสื่อแล้วไสหัวออกไปซะ”
หลงจู๊อยู่ที่หอชาแห่งนี้มาหลายปี ไม่เคยมีใครพูดเช่นนี้กับเขามาก่อน แม้แต่ซุนซ่านเหรินก็ยังถ้อยทีถ้อยอาศัยกับเขา ตอนนี้กลับถูกซุนวั่งชี้หน้าด่ากราดต่อหน้าคนมากมาย พลันเลือดขึ้นหน้า เกือบจะหมดสติไป ชี้ซุนวั่งปากสั่นพูดอะไรไม่ออก
ซุนวั่งหันไปตวาดพวกเสี่ยวเอ้อ “ยังไม่ลงมือ จะรอให้ถูกไล่ออกหรือไง?”
พวกเสี่ยวเอ้อเห็นหลงจู๊ถูกด่าจนพูดไม่ออกแล้ว ไม่ลังเลอีก ตั้งท่าต่อสู้ เข้าสู้กับเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนอีกครั้ง
ครู่ใหญ่หลงจู๊ถึงได้สติกลับมา มองซุนวั่งที่โมโหโทโส แล้วมองพวกเสี่ยวเอ้อที่รุมต่อสู้ทั้งสองคนสุดชีวิต ถอนหายใจ รีบเดินเข้าหลังร้าน สั่งเสี่ยวเอ้อต้มน้ำไปส่งข่าวบอกซุนซ่านเหริน
เมิ่งเสียนไม่ใจอ่อนแล้ว เสี่ยวเอ้อที่เข้ามาต่างถูกตีหมอบไปกับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมิ่งเชี่ยนโยวจับบังเ**ยนแน่น ด้านหนึ่งรับมือเสี่ยวเอ้อที่พุ่งเข้ามาอย่างสบายอารมณ์ ด้านหนึ่งแบ่งสมาธิตรวจสอบการเคลื่อนไหวของเมิ่งเสียน เห็นเมิ่งเสียนไม่ออมมือจัดการเสี่ยวเอ้อจนหมอบราบคาบ ส่งเสียงร้องชื่นชม “พี่ใหญ่ ทำได้ดี”
ซุนวั่งได้ยินเสียงตะโกนของนาง โมโหจนจมูกเบี้ยว พูดกับเสี่ยวเอ้อที่ถูกตีล้มหมอบไปกับพื้น “เจ้าพวกหน้าโง่ ยังไม่รีบเข้าไปเอาอาวุธมา?”
เสี่ยวเอ้อบนพื้นได้ยินคำพูดเขา ลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหลังร้าน หยิบท่อนไม้จำนวนหนึ่งออกมา ยื่นให้เสี่ยวเอ้อที่เหลือ
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บอาการเอ้อระเหย หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ มาอยู่ข้างข้า”
เมิ่งเสียนจ้องพวกเสี่ยวเอ้อที่ถือท่อนไม้ในมือ ย้ายมาอยู่ข้างเมิ่งเชี่ยนโยว
ซุนวั่งหัวเราะคลุ้มคลั่ง “นังตัวดี รู้จักกลัวแล้วใช่ไหม จะบอกให้นะ คนที่ข้ายั่วโมโหข้าไม่เคยมีจุดจบที่ดี”
พูดจบหันไปสะบัดมือให้พวกเสี่ยวเอ้อ “จัดการเอาพวกมันให้ถึงตาย ถ้าตายได้ข้ามีรางวัลให้”
พวกเสี่ยวเอ้อเริ่มมีเรี่ยวแรง ควงท่อนไม้แล้วดาหน้าเข้ามา
เมิ่งเสียนขวางเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ระวังโดนท่อนไม้ของเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งฟาดเข้า แค่นเสียงร้องหึเบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหแล้ว ดึงเมิ่งเสียนไปด้านหลัง ถีบใส่เสี่ยวเอ้อที่ตีโดนเมิ่งเสียน เสี่ยวเอ้อถูกถีบลงไปนอนแอ้งแม้งเท้าชี้ฟ้า เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่หายแค้น ปล่อยบังเ**ยน เข้าไปแย่งท่อนไม้จากเขา ฟาดเขาไม่ยั้งหลายครั้ง เสี่ยวเอ้อร้องโหยหวนลั่น เกลือกกลิ้งไปมากับพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวชั่งน้ำหนักท่อนไม้ในมือ พูดอย่างกระหายเลือด “ยังมีใครไม่กลัวตาย ให้รีบเข้ามา”
พวกเสี่ยวเอ้อตกใจกับท่าทีกระหายเลือดนี้ ถอยกรูกันเป็นแถบ
ซุนวั่งก็เพิ่งเคยเห็นท่าทีเช่นนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นครั้งแรก ตกใจถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เพื่อนเกเรของซุนวั่งเห็นท่าทีหวาดกลัวของเขา หัวเราะเยาะเย้ย “น้องซุนวั่ง แค่เด็กสาวตัวกระเปี๊ยกก็ทำเจ้าสั่นกลัวได้ถึงขั้นนี้ เจ้าช่างอ่อนเสียจริงๆ”
ซุนวั่งเสแสร้งวางตัวทำต่อหน้าคนกลุ่มนี้มาจนชิน ตอนนี้มาได้ยินพวกเขาหัวเราะเยาะหยัน รับไม่ได้ฉับพลัน หันไปตะโกนด่าพวกเสี่ยวเอ้ออย่างคลุ้มคลั่ง “ตี ตีพวกมันให้ตาย ใครตีพวกมันตายได้ข้าจะให้รางวัลหนึ่งร้อยตำลึง”
พวกเสี่ยวเอ้อได้ยิน เข้ารุมสู้กับเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
รถม้าคันหนึ่งรีบเร่งแล่นเข้ามา ซุนซ่านเหรินที่เปิดม่านบังรถมองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าแต่ไกลหัวใจหล่นวูบ แผดเสียงร้องตะคอก “หยุดเดี๋ยวนี้!”
พวกเสี่ยวเอ้อได้ยินเสียงตะโกนของเขา ถึงรามือ
ซุนวั่งเห็นซุนซ่านเหรินเข้ามา โมโหร้องคำราม “ใครส่งข่าวแก่บิดาข้า ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
รถม้าวิ่งมาถึงหน้าหอชา ไม่รอให้รถม้าจอดสนิท ซุนซ่านเหรินก็รีบร้อนลงจากรถม้า มาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างเป็นกังวล “แม่นางเมิ่ง เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชักสีหน้า ส่ายหน้า
ซุนซ่านเหรินโมโหเดินไปตรงหน้าซุนวั่ง ถีบใส่เขาเต็มแรง “เจ้าลูกไม่ได้ความ ใครให้เจ้าทำร้ายแม่นางเมิ่ง”
ซุนวั่งล้มไปกับพื้น พูดอย่างไม่ยอม “ท่านพ่อ ท่านเตะข้าทำไม? พวกเขาที่เข้ามาหาเรื่องก่อน”
ซุนซ่านเหรินโมโหถีบเขาไปอีกครั้ง ร้องด่า “หุบปากเดี๋ยวนี้ คอยดูอีกเดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
ซุนวั่งเบะปาก ไม่กล้าเถียงอีก
ซุนซ่านเหรินเดินกลับไปข้างเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวขอโทษขอโพย “แม่นางเมิ่ง ขอโทษด้วย กลับไปข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าสารเลวนี่ให้หนัก ระบายแค้นแทนเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายสีหน้า โบกมือพูด “ไม่เป็นไร ซุนซ่านเหรินไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
ซุนซ่านเหรินตวาดพวกเสี่ยวเอ้อ “ยังไม่รีบไสหัวไป!”
พวกเสี่ยวเอ้อไม่เคยเห็นซุนซ่านเหรินโมโหมาก่อน ตกใจวิ่งเผ่นแน่บเข้าไปในร้าน แม้แต่เสี่ยวเอ้อที่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวฟาดลงไปนอนเกลือกกลิ้งก็รีบลุกขึ้นมา ก็วิ่งโกยอ้าวไม่เห็นฝุ่นเข้าไป
ซุนซ่านเหรินประสานมือ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง “แม่นางเมิ่ง ต้องขอโทษจริงๆ เพราะข้าไม่อบรมสั่งสอนเสี่ยวเอ้อให้ดี ทำให้เจ้าตกใจแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร
ซุนซ่านเหรินพูดขึ้น “ไม่ทราบว่าแม่นางเมิ่งมาหาข้ามีธุระอันใด? พวกเราเข้าไปค่อยพูดค่อยจากันในหอชา”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า หยิบกุนเชียงที่เตรียมมาออกจากในรถม้าส่งมอบให้กับมือซุนซ่านเหริน พูดว่า “ครั้งก่อนเพราะได้ท่านมาช่วยไกล่เกลี่ย พวกเราคนบ้านนอกก็ไม่มีของดีอะไร นี่เป็นกุนเชียงที่ครอบครัวพวกเราผลิตเอง นำมาให้ท่านลองชิม พวกเราไม่เข้าไปนั่งในหอชาแล้ว อี้เซวียนและเหลียงไฉน่าจะเลิกเรียนแล้ว พวกเรายังต้องไปรับพวกเขา”
ซุนซ่านเหรินมองกุนเชียงในมือ ละอายใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรอีก ให้เมิ่งเสียนหักเลี้ยวหัวรถม้า มุ่งหน้าไปทางโรงเรียน
ตอนที่ 152.3
ถงเซิงระดับอำเภอ
รอจนพวกเขาไปแล้ว ซุนซ่านเหรินเดินเข้าหอชาไปพลางพูดตะคอกซุนวั่ง “เจ้าลูกสารเลว ตามข้าเข้ามา”
เพื่อนเกเรของซุนวั่งเห็นซุนซ่านเหรินโมโหเดือดดาล พูดกับซุนวั่งอย่างร้อนตัว “น้องซุนวั่ง เมื่อเจ้ามีธุระ เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน”
ซุนซ่านเหรินได้ยินหยุดชะงักฝีเท้า หันกลับมาพูด “หยุดก่อน!”
ได้ยินเสียงตะโกนของเขา คนทั้งหมดที่เพิ่งจะก้าวขาออกถึงกับหยุดชะงัก
ซุนซ่านเหรินมองประเมินพวกเขาหลายครั้งถามขึ้น “พวกเจ้าก็คือเพื่อนกินไม่เป็นโล้เป็นพายพวกนั้น?”
คนทั้งหมดหันสบตากัน รีบร้อนประสานมือทำความเคารพซุนซ่านเหริน ร้องเรียกพร้อมกัน “ท่านลุง”
ซุนซ่านเหรินไม่ขานรับ หันไปพูดกับเสี่ยวเอ้อ “ไปเรียนหลงจู๊ออกมา”
เสี่ยวเอ้อรับคำ รีบวิ่งเข้าไปร้องเรียกหลงจู๊
คนทั้งหมดมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าซุนซ่านเหรินจะทำอะไร
หลงจู๊ออกมาอยู่ตรงหน้าซุนซ่านเหรินโดยเร็ว ร้องเรียกอย่างนบนอบ “นายท่าน”
ซุนซ่านเหรินชี้เพื่อนทั้งหมดของซุนวั่งพูดกับหลงจู๊ “เหล่าหลิว เจ้าดูให้ดี ต่อไปห้ามคนพวกนี้เข้ามาในหอชาของพวกเราอีก ถ้าจะฝืนบุกเข้ามา ก็ให้เสี่ยวเอ้อตีพวกเขาออกไป”
คนทั้งหมดมาที่หอชาทุกวัน ใช้ห้องรับรองที่ดีที่สุด ดื่มใบชาชั้นดีที่สุด ทั้งยังนำใบชาชั้นดีติดมือกลับไปบ่อยครั้ง กลับไม่เคยจ่ายเงินแม้แต่อีแปะเดียว หลงจู๊ชิงชังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนานแล้ว ได้ยินซุนซ่านเหรินพูดเช่นนี้ พลันรับคำเสียงกังวานทันที
ซุนวั่งพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อ ท่านปฏิบัติกับเพื่อนข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ซุนซ่านเหรินโมโหคิดจะถีบเขาอีก ครั้งนี้ซุนวั่งเตรียมการป้องกัน หลีกตัวถอยหลบ
คนทั้งหมดเห็นเช่นนั้น ก้มหน้าวิ่งแผ่นแน่บ
ซุนซ่านเหรินหันหลังกลับเข้าหอชา ซุนวั่งเดินตามหลังไปอย่างไม่แยแส
เข้ามาในห้องรับรองหนึ่ง ซุนซ่านเหรินวางกุนเชียงในมือลง ถามซุนวั่ง “วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ซุนวั่งร้องโวยวาย “จะมีเรื่องอะไรได้? ท่านไม่เห็นท่าทีหยิ่งผยองของนังตัวดีนั่นหรือ แน่นอนว่าจะต้องมาหาเรื่อง”
ซุนซ่านเหรินโมโหขว้างถ้วยชาในมือออกไป ร้องด่า “เจ้าสารเลว จนถึงตอนนี้ยังไม่พูดความจริง วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
ซุนวั่งเบี่ยงศีรษะหลบ พูดเดือดดาล “ข้าไม่พูดความจริงอย่างไร ไม่เชื่อท่านถามเสี่ยวเอ้อ ข้ากำลังรอเพื่อนๆ มาหาในห้องรับรองชั้นบน เสี่ยวเอ้อเข้ามาบอกว่ามีคนมาหาข้า ข้าลงไปดู เห็นนังตัวดีและพี่ชายนางยืนอยู่หน้าประตู ข้าถามนางดีๆ ว่ามาทำอะไร นางกลับไม่สนใจข้า จะเรียกหาแต่หลงจู๊ให้ได้ ท่านว่านางไม่ได้มาหาเรื่องแล้วมาทำอะไร?”
ฟังเขาพูดจบ ซุนซ่านเหรินโมโหเขวี้ยงถ้วยชาอีกใบออกไป
ครั้งนี้ซุนวั่งหลบไม่พ้น ถ้วยชาฟาดเข้ามาที่หน้าผากเขาพอดี เลือดสดๆ ไหลเป็นทางลงมาพลัน
รู้สึกได้ว่ามีของเหลวอุ่นๆ ไหลย้อยที่ใบหน้า ซุนวั่งใช้มือแตะดู มือเต็มไปด้วยเลือด ตกใจตัวโยน อ่อนระทวยนั่งไปกับพื้น
หลงจู๊ก็ตกใจไม่แพ้กัน รีบร้อนพูด “ข้าจะไปเชิญหมอ” พูดจบยกเท้าก้าวออกไปข้างนอก
ซุนซ่านเหรินร้องเรียกเขา “ไม่ต้องแล้ว แผลเล็กแค่นี้ไม่ถึงตาย”
หลงจู๊เห็นซุนซ่านเหรินโมโหจริงๆ หลบไปยืนอีกด้านอย่างเชื่อฟัง ไม่พูดอะไร
ซุนวั่งได้ยินซุนซ่านเหรินพูดเช่นนี้ เพลิงโทสะในใจก็พวยพลุ่งออกมา ร้องถามเสียงหลง “ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่านจริงหรือเปล่า ท่านถึงกลับลงมือกับข้ารุนแรงเช่นนี้?”
ซุนวั่งยิ่งโมโหหนัก ก่นด่า “สารเลว เจ้าทำผิดยังไม่รู้สำนึก วันนี้ข้าตีเจ้าให้ตายก็ไม่เกินไป”
ซุนวั่งร่ำร้องพูด “ข้าทำผิดตรงไหน นังตัวดีนั่นเข้ามาหาเรื่องก่อนชัดๆ ท่านไม่ช่วยข้าจัดการนาง ยังมาตีข้า มีพ่อที่ไหนเห็นคนอื่นดีกว่าลูกในไส้ได้เช่นท่านอีก”
ซุนซ่านเหรินโมโหสั่นไปทั้งตัว พูดเกรี้ยวกราด “เหล่าหลิว เจ้าไปเรียกเสี่ยวเอ้อที่เฝ้าประตูวันนี้มา ให้เขามาพูดว่าเกิดอะไรขึ้น ฟังความจบ ข้าจะดูว่าเจ้ายังกล้าปากแข็งอีกไหม?”
หลงจู๊รับคำออกไป ไม่นานก็เรียกตัวเสี่ยวเอ้อที่เฝ้าประตูขึ้นมา
ซุนซ่านเหรินให้เขาเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบออกมา
เสี่ยวเอ้อไม่กล้าปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาตามความจริง
พอได้ยินว่าซุนวั่งกล้ากล่าววาจาไร้มารยาทกับหลงจู๊ ซุนซ่านเหรินโมโหจนทนไม่ไหว ร้องด่าเขา “เจ้าสาระเลวไม่ได้ความ เหล่าหลิวอยู่กับข้ามาหลายปี เจ้ากลับกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ นับจากนี้ไป เจ้าไสหัวกลับไปอยู่บ้าน เรื่องในหอชาไม่ต้องแทรกแซงอีก”
“ซวบ” ซุนวั่งผุดลุกขึ้นมาทันควัน “ไม่ได้ ในมือข้ามีเพียงหอชานี้ ถ้าท่านไม่ให้ข้าดูแล ต่อไปข้าและเพื่อนจะไปสังสรรค์กันที่ไหน ท่านจะปฏิบัติกับลูกในไส้อย่างข้าเพราะคนนอกสองคนนั้นเช่นนี้ไม่ได้”
ซุนซ่านเหรินโมโหจนเส้นเลือดที่หน้าผากโป่งพอง พูดกับหลงจู๊ “เหล่าหลิว เจ้าไปตามเสี่ยวเอ้ออีกสองสามคนขึ้นมา จับเจ้าลูกทรพีนี่ส่งไปให้พ่อบ้านที่บ้านข้า บอกเขาว่า นับจากนี้ไปหากไม่มีคำอนุญาตจากข้า ห้ามไม่ให้เจ้าสารเลวนี่ก้าวออกจากประตูแม้เพียงก้าวเดียว”
หลงจู๊รับคำ เรียกเสี่ยวเอ้อสองสามคนเข้ามา นำตัวซุนวั่งที่ร้องเอ็ดตะโรไม่หยุดกลับไป
รอจนไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของซุนวั่งแล้ว ซุนซ่านเหรินถึงพูดกับหลงจู๊อย่างรู้สึกผิด “เหล่าหลิว วันนี้ผิดต่อเจ้าแล้ว ข้าขอโทษเจ้าแทนเจ้าลูกทรพีนั่นด้วย หวังว่าเจ้าจะไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ”
หลงจู๊ตอบด้วยความนบนอบ “นายท่านพูดเกินไปแล้ว คุณชายไม่ได้มีเจตนา เรื่องนี้ข้าไม่มีทางนำมาใส่ใจ”
ซุนซ่านเหรินพูดอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบใจที่เจ้าไม่คิดหยุมหยิมกับเขา เจ้าวางใจ ข้ารับประกันกับเจ้า ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก”
หลงจู๊กล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง
ซุนซ่านเหรินหันไปพูดกับเสี่ยวเอ้อเฝ้าประตู “แม่นางเมิ่งพูดกับเจ้าชัดแจ้งว่ามาหาหลงจู๊ เจ้ากลับไปรายงานคุณชาย เรื่องนี้เจ้าก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ แต่เห็นกับที่เจ้าไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดมาก่อน ครั้งนี้จะแค่หักเงินเดือนเจ้าครึ่งเดือน หากยังมีครั้งหน้าอีก เจ้าไปหางานใหม่เถอะ”
เสี่ยวเอ้อก็รู้ว่าตัวเองก่อเรื่อง นึกว่าจะถูกไล่ออก ไม่คิดว่าจะแค่ถูกหักเงินเดือนครึ่งเดือน กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายท่าน”
ซุนซ่านเหรินโบกมือ เสี่ยวเอ้อถอยออกไป
ซุนซ่านเหรินสูดลมหายใจเข้าลึก พูดกับหลงจู๊ “เหล่าหลิว ข้าเคยบอกแม่นางเมิ่งไว้ ภายหน้าหากนางมีเรื่องอันใดให้มาหาข้าที่หอชา เจ้าจงไปสั่งกำชับเสี่ยวเอ้อ ภายหน้าหากแม่นางเมิ่งมาอีก ไม่ว่าใครจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างพินอบพิเทา ห้ามให้เกิดเรื่องผิดพลาดอีก”
หลงจู๊รับคำ “ทราบแล้ว นายท่าน ข้าจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้”
เมื่อสั่งการเรื่องทั้งหมดเสร็จ ซุนซ่านเหรินหยิบกุนเชียงบนโต๊ะขึ้น สาวเท้าเดินออกไป
มาถึงหน้าประตูโรงเรียน เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงทำหน้าบึ้งตึง เมิ่งเสียนเตือนนาง “น้องสาว ข้าไม่เป็นไร เจ้าเป็นแบบนี้ อีกประเดี๋ยวอี้เซวียนกับเหลียงไฉออกมาจะตกใจได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจยาว พูดอย่างรู้สึกผิด “พี่ใหญ่ ขอโทษนะ ข้าทำให้ท่านได้รับบาดเจ็บ”
เมิ่งเสียนยิ้มพูด “ไม่เป็นไร พี่ใหญ่หนังหนาหยาบกระด้าง แค่โดนท่อนไม้ฟาดไม่ใช่เป็นอะไรดอก ขอเพียงเจ้าไม่เป็นอะไรก็พอ แต่วันนี้พี่ใหญ่เพิ่งค้นพบเรื่องหนึ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างประหลาดใจ
เมิ่งเสียนพูดอย่างตื่นเต้น “พี่ใหญ่พบว่าการต่อสู้มันสะใจดีจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรืด สีหน้าเคร่งเครียดสลายไปจากใบหน้า
เมิ่งเสียนแลบลิ้นปลิ้นตาให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งหัวเราะเสียงดังลั่น
ประตูใหญ่โรงเรียนเปิดแล้ว เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเดินตามนักเรียนออกมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งริมรถม้า ต่างดีใจวิ่งเข้ามา
ซุนเหลียงไฉพูดด้วยความดีใจก่อน “ท่านพี่ วันนี้ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้อีกสามใบ”
ได้ยินคำเรียกของเขา เมิ่งเสียนตะลึงงัน เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปแลบลิ้นใส่เขาอย่างซุกซน เมิ่งเสียนพลันเข้าใจ ยิ้มแล้วส่ายหน้า
เมิ่งอี้เซวียนก็ตกตะลึง แต่ใบหน้าก็แย้มบานขึ้นมาทันใด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดชมเชย “เหลียงไฉใช้ได้เลย มุมานะอย่างไม่ย่อท้อ พยายามขายกระเป๋านักเรียนให้ได้มากขึ้น”
ซุนเหลียงไฉพยักหน้าสุดพลัง
เมิ่งอี้เซวียนก็พูดกับนางอย่างดีใจ “ข้าก็มีข่าวดีจะบอกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ข่าวดีอะไร?”
เมิ่งอี้เซวียนยิ้มตอบ “วันนี้อาจารย์บอกข้าว่า วันมะรืนให้ข้าไปเข้าสอบถงเซิงในตัวอำเภอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนถามอย่างดีใจระคนตกใจพร้อมกัน “จริงหรือ”
ซุนซ่านเหรินพยักหน้า
เมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเป็นยิ่งนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจลูบหัวเมิ่งอี้เซวียน ถามเสียงละมุน “วันนี้อยากกินอะไร? ข้าจะทำให้กิน”
ซุนเหลียงไฉไม่ยอม พูดอย่างไม่พอใจ “ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้เยอะเช่นนี้ ทำไมเจ้าไม่ทำของอร่อยให้ข้าบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโอ๋ “ได้ๆๆ ทำของอร่อยให้เจ้าด้วย”
ซุนเหลียงไฉถึงหัวเราะลั่น
ซุนซ่านเหรินนั่งรถม้ารีบร้อนมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ได้เห็นภาพแสนอบอุ่นนี้พอดี ความกลัดกลุ้มตลอดทางถึงวางลงได้ สั่งห้ามคนรถไปข้างหน้า แอบมองคนทั้งหมดอยู่ห่างๆ กระทั่งคนทั้งหมดนั่งรถม้าไปไกลแล้ว ถึงให้คนรถบังคับรถม้ากลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวและคนทั้งหมดมาถึงบ้าน เมิ่งเสียนหยุดรถม้า รีบเดินเข้าไปในลานบ้าน ร้องตะโกนอย่างดีใจ “ท่านแม่ ท่านรีบออกมา ข้ามีข่าวดีจะบอก”
เมิ่งชื่อได้ยินเสียงตะโกนของเขา รีบวางในมือแล้วเดินออกมา ถามขึ้น “ข่าวดีอะไร”
เมิ่งเสียนพูดด้วยความตื่นเต้น “อาจารย์ให้อี้เซวียนไปสอบถงเซิงแล้ว”
เมิ่งชื่อปิติยินดีจนน้ำตาเกือบไหล
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า รวบบังเ**ยนในมือ ยิ้มมองทั้งสองคนที่ตื่นเต้นยินดีในลานบ้าน
เหล่าหญิงสาวที่เย็บกระเป๋านักเรียนในบ้านได้ยินข่าวนี้ ต่างออกมากล่าวแสดงความยินดี
ตกค่ำตอนที่เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมากินข้าว ได้ยินข่าวดีนี้ ไม่สนใจแม้แต่จะกินข้าว วิ่งอ้าวไปบ้านใหญ่ บอกข่าวดีนี้กับเมิ่งจงจวี่
เมิ่งจงจวี่ลูกเคราอย่างปลาบปลื้มปิติ เอาแต่พูดว่าดี
หญิงชราเมิ่งดีใจจนน้ำตาไหล พูดว่า “หากอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ ต่อไปเมื่อเข้าสอบเคอจวี่จะต้องได้เป็นจองหงวนกลับมา ถึงตอนนั้นโยวเอ๋อร์ของเราก็สุขสบายแล้ว”
ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้าเห็นพ้อง
เมิ่งชื่อตาโตอ้าปากค้างมองเมิ่งเอ้ออิ๋นที่วิ่งหายลับไป ครู่หนึ่งถึงพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “สวรรค์ แม่แต่งงานกับพ่อเจ้าแต่งงานมาหลายปี เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาวิ่งเร็วเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
เมิ่งชื่อถึงรู้สึกตัวว่าตนเองพูดอะไรออกไป พลันหน้าแดงเรื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวอีกครั้ง หัวเราะครืน
ทั้งครอบครัวต่างดีอกดีใจจนนอนไม่หลับ นั่งล้อมวงหารือกันว่าใครจะพาเมิ่งอี้เซวียนไปเข้าสอบถงเซิงระดับอำเภอ ในท้ายที่สุดมติเป็นเอกฉันท์ พรุ่งนี้ให้เมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยวพาเขาไป
ซุนเหลียงไฉต้องหยุดพักอยู่บ้านก่อนสองวัน
ได้ยินการตัดสินใจนี้ ซุนเหลียงไฉย่อมดีใจลิงโลด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดบั่นทอน “ข้าจะทิ้งการบ้านไว้ให้ เมื่อข้ากลับมาจะมาตรวจสอบ ถ้าเจ้าทำไม่เสร็จ ภายในสองวันไม่ต้องข้าวกิน”
ซุนเหลียงไฉร้องโอดโอย คอตกฟุบไปบนเตียงเตา
ทั้งครอบครัวหัวเราะครืนใหญ่
[1] ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงแบ่งการสอบขุนนางออกเป็น 3 ระดับ(ในที่นี้จะกล่าวถึงแค่ระดับต้น) ได้แก่ระดับต้น เรียกว่าถงเซิง รับสมัครผู้เข้าสอบตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น โดยเป็นการสอบในท้องถิ่น แบ่งระดับชั้นการสอบได้อีก 3 ลำดับ คือ เซี่ยนซื่อ(อำเภอ) ฝู่ซื่อ(จังหวัด) และย่วนซื่อ(คนของราชสำนักมาคุมการสอบเอง)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น