คัมภีร์วิถีเซียน 1511-1513

ตอนที่ 1511 อาณาจักรแห่งพฤกษา

 

เมื่อไข่มุกส่งเสียงปังออกมาเบาๆ ก็เกิดแสงสีเขียวเจิดจ้าแล้วพ่นม่านแสงออกมา


 


 


ภายในม่านแสงมีสิ่งหนึ่งปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ เมื่อแสงวิญญาณดับลง ก็ปรากกร่างที่แท้จริงออกมา


 


 


คิดไม่ถึงว่าจะมีต้นสนมหึมา ตลอดทั้งต้นเป็นสีดำทมึนต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น


 


 


ต้นไม้ต้นนี้มีขนาดมหึมาผิดปกติ แต่รูปลักษณ์ภายนอกดูมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ที่กลางลำต้นราวกับมีเส้นแบ่งเขตไร้รูปร่างเส้นหนึ่งคั่นอยู่ ครึ่งหนึ่งมีใบไม้เขียวชอุ่มขึ้นอย่างหนาแน่น อีกครึ่งหนึ่งแห้งเ**่ยว ไม่มีใบไม้แม้แต่ใบเดียว ราวกับต้นไม้ที่ตายไปแล้วก็มิปาน


 


 


คิดไม่ถึงว่าจะเป็นร่างจริงที่เป็นพฤกษาวิญญาณของมู่ชิง


 


 


หญิงผู้นี้จ้องมองต้นไม้ต้นนี้ด้วยสีหน้าซับซ้อน พลันดีดนิ้วทั้งสิบอย่างต่อเนื่อง


 


 


คาถาพวยพุ่งออกมาทีละสายอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็พากันจมหายเข้าไปในต้นไม้สีดำ


 


 


ไม้ต้นนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างฉับพลัน ร่วงลงมายังพื้นดินที่อยู่เบื้องล่าง คิดไม่ถึงว่าท่อนล่างจะจมเข้าไปในพื้นดินอย่างมั่นคงไม่ขยับเขยื้อน


 


 


ทว่ามู่ชิงกลับไม่ยั้งมือเพียงเท่านี้ นางอ้าปากออกแล้วพ่นโลหิตบริสุทธิ์สีเขียวขจีออกมาหยดหนึ่ง


 


 


เมื่อโลหิตบริสุทธิ์นี้ถูกกระตุ้น ก็พวยพุ่งไปยังเบื้องหน้าของต้นไม้สีดำ ก่อนที่จะหายวับเข้าไปในส่วนที่นูนขึ้นเล็กน้อยของลำต้นโดยที่ไม่เหลือร่องรอย


 


 


มู่ชิงบริกรรมคาถาจากปาก


 


 


ครั้นสองมือชูขึ้นพร้อมกัน ลำแสงสีเขียวสองสายก็พวยพุ่งออกมาแล้วหายเข้าไปในไม้สีดำอย่างไม่เห็นร่องรอย


 


 


ทว่าในเวลาต่อมา บริเวณที่โลหิตบริสุทธิ์หายเข้าไปก็เกิดม่านแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาอย่างฉับพลัน ท่ามกลางลำแสงเจิดจ้าพร่ามัว พื้นผิวของลำต้นก็บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่าง ปรากฏเป็นใบหน้าไม้แกะสลักที่ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับมีชีวิต


 


 


ใบหน้านี้บิดเบี้ยวไปมาไม่หยุด ปรากฏสีหน้าของความเจ็บปวดทรมานออกมา คล้ายกับมีชีวิต


 


 


แต่เมื่อลองพิจารณารายละเอียด ก็ปรากฏเป็นใบหน้าของวานรแก่จินหลิง


 


 


“ยังไม่รีบตื่นขึ้นมาอีก!” มู่ชิงเลิกคิ้วสองข้างขึ้น เสียงตะคอกดังมาจากกลางอากาศหนหนึ่ง ตามด้วยคาถาที่ซัดออกมาหนึ่งสาย


 


 


เกิดเสียงดังเปรี๊ยะคราหนึ่ง บริเวณเล็กๆ ของลำต้นมหึมาสีดำค่อยๆ ปริแตกจากตรงกลางทีละชุ่นๆ ทันใดนั้นวานรขนทองตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาจากกลางลำต้น


 


 


“คารวะนายท่าน! นายท่านเรียกข้ามา หรือว่าจะ…” เมื่อวานรสีทองตัวนี้ปรากฏกายออกมาก็คุกเข่าคารวะกับพื้นในทันที


 


 


“ตาเฒ่าจิน ลุกขึ้นเถอะ โชคดีที่ตอนออกเดินทางทีแรกนั้น เจ้านำจิตแยกแปลงกายไว้ในร่างจริงของข้า ตอนนี้จิตวิญญาณดั้งเดิมของตาเฒ่าจินก็ร่วงตายแล้ว ตอนนี้เจ้าก็เหลือแต่วิญญาณทองแล้ว” มู่ชิงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง


 


 


“ที่แท้ก็ร่วงตายแล้วจริงๆ ถึงว่าทำไมข้าถึงไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของร่างจริงได้ แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นับจากวันนี้เป็นต้นไปจินหลิงก็ยังทุ่มเทรับใช้นายท่านต่อไปขอรับ! ทว่าตอนนี้นายท่านเรียกข้าออกมาโดยไม่เสียดายโลหิตบริสุทธิ์ คงจะมีเรื่องอะไรต้องการให้จินหลิงไปทำสินะขอรับ” วานรแก่สีหน้าเปลี่ยน แต่ฉับพลันก็กล่าวด้วยความเคารพนอบน้อม


 


 


“อืม สัญลักษณ์ภายในร่างเจ้าเด็กแซ่หานของข้าถูกทำลายแล้ว ทั้งยังคลาดกับเจ้าเด็กนี่อีก เตรียมร่าย “อาณาจักรแห่งพฤกษา” เพื่อหาตำแหน่งของพวกเขาซะ แต่หากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องใช้พลังของร่างจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องการให้เจ้าช่วยคุ้มครองพฤกษาวิญญาณที่เป็นร่างจริงของข้า ตอนนี้ข้าได้เตรียมเขตอาคมพฤกษาขจีคลุมฟ้าในบริเวณใกล้เคียงไว้แล้ว แม้แต่ตัวตนระดับพวกลิ่วจู๋บุกเข้ามาข้างในก็สามารถกักขังได้ในเวลาอันสั้น เพียงพอที่จะให้เจ้าพาร่างจริงของข้าหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย”


 


 


“อาณาเขตแห่งพฤกษา! เคล็ดวิชานี้สิ้นเปลืองแหล่งพลังเดิมของนายท่านสุดๆ เพียงแค่ใช้ครั้งเดียว ภายในหนึ่งพันปีจะไม่สามารถใช้ได้อีกครั้ง นายท่านจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือขอรับ?” วานรทองเผยสีหน้าตกตะลึง


 


 


“เกรงว่าจะต้องทำเช่นนี้แล้ว ไข่มุกที่เห็นในสุสานมารเมื่อครั้งก่อน คิดไม่ถึงว่าพลังที่อยู่ในนั้นจะเหมือนกับแหล่งพลังของข้าอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่ในด้านความบริสุทธิ์และปริมาณกลับมีมากกว่าร่างจริงของข้าสิบกว่าเท่า เพียงแค่ได้สมบัติชิ้นนี้มา ใช้เวลาหน่อยก็สามารถดูดพลังที่อยู่ในนั้นมาได้ทั้งหมด ข้าไม่เพียงแต่สามารถทะลวงระดับในตอนนี้ได้ทันที การจะขึ้นสู่ระดับที่สูงกว่าก็มีความเป็นไปได้มา ในด้านประสิทธิภาพ สำหรับข้านั้นสมบัติชิ้นนี้สำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่าน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีนั่นเสียอีก” มู่ชิงกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง


 


 


“ในเมื่อนายท่านพูดเช่นนี้ จินหลังจะต้องดูแลร่างจริงของนายท่านเป็นอย่างดีแน่นอนขอรับ” หลังจากที่วานรทองฟังจบ รู้ว่ามู่ชิงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงไม่กล่าวเตือนใดๆ อีก แต่กล่าวด้วยสีหน้าหวาดกลัวแทน


 


 


“อืม ตาเฒ่าจินพูดเช่นนี้ก็ดีแล้ว กายเนื้อเดิมของเจ้าถูกทำลายแล้ว แม้ว่าร่างกายในตอนนี้จะยืมพลังของร่างจริงข้าที่กลายเป็นวานรพฤกษา แต่พลังยุทธ์กลับมีแค่ระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น แค่อ่อนแอลงเล็กน้อย เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้เจ้า” หลังจากที่มู่ชิงลังเลเล็กน้อย จู่ๆ ก็อ้าปากออกแล้วพ่นกระจกสีเขียวสลัวๆ ออกมาบานหนึ่ง


 


 


มีขนาดเพียงฝ่ามือเท่านั้น ที่ด้านหลังกระจกเป็นลายไม้สีเขียวมรกต เมื่อพลิ้วไหวเล็กน้อยกลางอากาศ ม่านแสงหมื่นสายก็พุ่งทยานขึ้นสู่ฟ้า


 


 


ดูแล้วของสิ่งนี้จะต้องเป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ


 


 


“นี่มันกระจกพฤกษานภาของนายท่านไม่ใช่รึ! นับตั้งแต่ที่นายท่านได้สมบัติชิ้นนี้มา ก็หลอมสมบัตินี้มาโดยตลอดจนถึงวันนี้ ผุ้น้อยจะรับไว้ได้อย่างไร! นายท่านต้องการไปที่สุสานมาร จำเป็นต้องใช้สมบัตินี้ป้องกันตัวและหนีจากศัตรู” จินหลิงเห็นกระจกบานนี้ กลับรีบโบกมือถี่ๆ ไม่หยุด


 


 


“หากไม่คุ้มครองร่างจริงไว้ แล้วข้าจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร อีกอย่างใช่ว่าตาเฒ่าจินจะไม่รู้ หลายปีก่อนข้าได้สมบัติวิญญาณมาอีกชิ้นหนึ่ง อานุภาพไม่ด้อยไปกว่ากระจกนี้เลย อีกทั้งในด้านการต้านทานปราณมาณยังมีประโยชน์มากกว่ากระจกบานนี้” มู่ชิงกลับพูดออกมาเช่นนี้


 


 


ได้ยินมู่ชิงกล่าวเช่นนี้ จินหลิงก็ลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ตอบตกลง


 


 


ขณะที่เขายื่นมือไปแตะกระจกทีหนึ่ง ทันใดนั้นของสิ่งนี้ก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งจมหายเข้าไปในร่าง


 


 


“นอกจากกระจอกพฤกษานภาแล้ว กระบี่วิญญาณพฤกษามรกตสองเล่มนี้ก็เหนือกว่าสองเล่มก่อนหน้ามาก เจ้าก็รับไว้ซะ” มู่ชิงคิดครู่หนึ่ง ก็ยื่นมือหนึ่งตะปบไปในอากาศเหนือต้นไม้มหึมา


 


 


กิ่งไม้สองกิ่งสั่นไหวคราหนึ่งแล้วร่วงลงมา คิดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสีเขียวแล้วกลายเป็นกระบี่สีเขียวเปล่งแสงเย็นเยือกสองเล่มร่วงลงมา


 


 


ใบหน้าของจินหลิงเผยความดีใจออกมา คราวนี้กลับไม่มีเจตนาจะบอกปัด พลันกระโดดสุดตัวขึ้นไปแล้วคว้ากระบี่บินสองเล่มลงมา หลังจากมองดูครู่หนึ่ง ก็นำไปพาดไว้บนหลังอย่างคล่องแคล่ว


 


 


หลังจากเตรียมการสิ่งเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย มู่ชิงจึงค่อยผ่อนคลายอิริยาบถ ครั้นกำชับจินหลิงอีกสองสามประโยค ก็สัมผัสกับร่างพฤกษาครึ่งร่างของตนแล้วกลับคืนสู่ร่างเดิม


 


 


ต่อมา รุ้งสีเขียวสายหนึ่งก็พวยพุ่งทะลวงอากาศออกมาจากหุบเขา เพียงแค่พุ่งปราดไม่กี่หนก็ออกจากหุบเขาไปแล้ว


 


 


แต่เมื่อมู่ชิงออกจากที่นี่ไม่นาน จินหลิงก็กระตุ้นอาคมต้องห้ามที่มู่ชิงเตรียมไว้


 


 


อากาศบริเวณรอบด้านของหุบเขาเกิดการบิดเบี้ยวและเลือนราง คิดไม่ถึงว่าจกลายเป็นทิวทัศน์ที่ว่างโหรงเหรงราวกับผิวน้ำที่กระเพื่อม เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็มองไม่เห็นช่องโหว่แม้แต่น้อย


 


 


มู่ชิงเหาะทยานอย่างไม่ลนลาน บริเวณรอบๆ พลันปรากฏเป็นทิวทัศน์แปลกประหลาด


 


 


เห็นเพียงตัวนางในตอนนี้ ภายในรัศมีสิบจั้งล้วนเป็นแสงสีเขียวระยิบระยับ เงาลวงตาหมู่ไม้และมวลบุปผาพลันปรากฏโลดแล่นออกมา พร้อมทั้งแผ่ปราณวิญญาณพฤกษาที่บริสุทธิ์ผิดปกติออกมา


 


 


บนร่างของมู่ชิงเปล่งแสงสีเขียวกระจ่างใส เงาลวงตาต้นไม้มหึมาสีเขียวขจีต้นหนึ่งปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ ที่ด้านหลัง ทำให้นางดูคล้ายกับเทพธิดาแห่งป่าไม้


 


 


ราวกับภายในแสงสีเขียวนั้นกลายเป็นดินแดนเล็กๆ อีกแห่งหนึ่ง


 


 


ภายในเวลาชั่วครู่เดียว มู่ชิงก็กลับมายังบริเวณเนินเขาที่พบร่องรอยของหานลี่ในตอนแรก หลังจากที่ลำแสงหลีกหนีร่อนลงมา ก็ยืนอยู่บนยอดเขา


 


 


สองมือชูขึ้นคราหนึ่ง ทันใดนั้นอาณาเขตที่แสงสีเขียวโดยรอบปกคลุมก็แผ่กว้างขึ้น ภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจ ก็ปกคลุมเนินเขานี้ไว้ภายในทั้งหมด


 


 


เงาลวงตาป่าไม้เหล่านั้น ภายในชั่วพริบตาก็กลายสภาพเป็นวัตถุกายภาพทั้งหมด ก่อนที่จะพากันหยั่งรากลงดิน พลิ้วไหวไปตามสายลม


 


 


คิดไม่ถึงว่าครู่ต่อมาบริเวณใกล้เคียงของเนินเขาจะกลายเป็นดินแดนของต้นไม้ใบหญ้าไปแล้ว


 


 


ในขณะเดียวกัน บริเวณรากของต้นไม้ใหญ่ที่เบื้องหลังของมู่ชิง จู่ๆ รากทั้งหลายก็กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมา


 


 


บ้างก็จมหายเข้าไปในพุ่มไม้อย่างไร้ร่องรอย บ้างก็พุ่งปราดแล้วหายวับเข้าไปในพื้นดิน


 


 


ในตอนนี้ หญิงสาวผู้นี้กำลังหลับตาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าอันงดงามขมวดคิ้วแน่น คล้ายกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง


 


 


หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ทันใดนั้นนางก็ลืมตาขึ้นแล้วกล่าวพึมพำ “ที่แท้ก็ยืมพลังศิษย์หญิงสองคนของแม่เฒ่าภูตขจัดสัญลักษณ์ออกไป ดูเหมือนแม้แต่แม่เฒ่าภูตก็ไม่รู้ว่าศิษย์ตัวเองรู้เคล็ดวิชาลับนี้ แต่ในเมื่อรู้ทิศทางหลบหนีของพวกเขาแล้ว ก็ต้องหาพวกเขาสามคนเจอแน่”


 


 


หลังจากที่มู่ชิงพูดพึมพำคนเดียวเสร็จ นางก็ตั้งท่าร่ายคาถาอย่างฉับพลัน ม่านแสงสีเขียวที่กระจายรอบทิศก็หดกลับเข้ามาจากบริเวณใกล้เคียงของเนินเขา ซึ่งบริเวณที่ม่านแสงถอยออกมานั้น ทั้งหมดที่กลายเป็นต้นไม้ใบหญ้าก็พากันสลายหายไป


 


 


ขณะที่ทุกสิ่งในบริเวณใกล้เคียงของเนินเขากลับสู่สภาพเดิมนั้น หญิงผู้นี้ก็เหาะทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า คิดไม่ถึงว่าจะไล่ตามไปทางที่หานลี่จากไปในตอนแรก


 


 



 


 


หานลี่ย่อมไม่รู้ว่ามู่ชิงกับพวกลิ่วจู๋ต่างก็พุ่งเป้ามาที่เขาในเวลาเดียวกัน แต่เพื่อที่จะป้องกันเหตุไม่ขาดฝัน หลังจากที่เขาพาหญิงสาวทั้งสองออกจากเนินเขาแล้ว ระหว่างทางได้เปลี่ยนทิศทางที่มุ่งหน้าไปไม่หยุด


 


 


สำหรับเขานั้น แม้ว่าจะยังมีร่องรอยหรือช่องโหว่อะไรหลงเหลืออยู่ ก็ไม่พอที่จะทำให้เป็นกังวลแล้ว


 


 


ดูเหมือนว่าเขาจะประมาทในอิทธิฤทธิ์ของราชาปีศาจเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ในตอนนี้ หานลี่กำลังพาหญิงสาวทั้งสองเหาะทยานอยู่กลางอากาศเหนือดินแดนที่เต็มไปด้วยทรายสีเหลืองทั้งผืน ขณะที่กำลังเหาะอยู่ ก็พูดอะไรบางอย่างกับพวกหยวนเหยา


 


 


“อะไรนะ พี่หานคิดจะหาจุดเชื่อมต่อมิติเพื่อกลับแดนวิญญาณรึ!” เสียงอุทานดังมาจากปากของเหยียนลี่ ดูเหมือนจะตกตะลึงเป็นอย่างมาก


 


 


“ไม่ผิด จากการที่ข้าค้นคว้าเรื่องศาสตร์ของช่องว่างมิติของแดนมนุษย์กับแดนวิญญาณ ได้พบมานานแล้วว่า ไม่ว่าช่องว่างมิติจะเล็กหรือใหญ่ ช่องว่างมิติใดๆ ก็ล้วนแต่มีจุดเชื่อมต่ออยู่ และยิ่งช่องว่างมิติมีขนาดเล็ก จุดเชื่อมต่อของมิตินั้นก็จะยังพบได้ง่าย สำหรับสิ่งที่เรียกว่ารอยแยกมิติ ที่จริงแล้วเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงชนิดหนึ่งของจุดเชื่อมต่อมิติเท่านั้น เพียงแค่พวกเราสามารถตามหาจุดเชื่อมต่อมิติของแม่น้ำอเวจีจนเจอได้ หากลองเสี่ยงดูสักหน่อย ก็น่าจะมีโอกาสได้กลับไปยังแดนมนุษย์สูงมาก” น้ำเสียงสงบนิ่งผิดปกติของหานลี่ส่งมาจากกลางอากาศอย่างช้าๆ


 


 


“แต่พี่หาน แม้ว่าจุดเชื่อมต่อมิติจะไม่มาก แต่ข้ากับศิษย์น้องเคยได้ยินเรื่องความอันตรายของมัน ในนั้นไม่เพียงแต่เกิดมรสุมมิติอยู่บ่อยๆ บริเวณทางออกของจุดเชื่อมต่อก็ยิ่งไม่สามารถควบคุมได้ ความอันตรายออกจะมากเกินไปหน่อยกระมัง” หยวนเหยาเองก็กล่าวด้วยความลังเลเช่นกัน


 


 


“ความเสี่ยงย่อมมีอยู่บ้าง แต่หากมีข้าคอยนำทาง อย่างน้อยก็มั่นใจได้เจ็ดแปดส่วนว่าจะสามารถผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ถึงอย่างไรแม่น้ำอเวจีก็เป็นแค่แดนมิติบริวารของแดนวิญญาณที่ใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ดินแดนที่แท้จริง นอกเสียจากว่าสหายทั้งสองไม่คิดจะออกไป อยากจะอาศัยอยู่ที่แม่น้ำอเวจีแห่งนี้เป็นเวลายาวนานจริงๆ” หานลี่ขมวดคิ้วกล่าว


 


 


“ที่จริงแล้วพวกเราซ่อนตัวอยู่ที่ก่อนสักระยะหนึ่ง รอให้คนพวกนั้นออกไปแล้ว ฝึกฝนอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวก็ไม่เสียหาย ปราณทมิฬในที่แห่งนี้ก็อุดมสมบูรณ์สุดๆ มีประโยชน์กับการฝึกฝนของพวกข้าเป็นอย่างมาก” เหยียนลี่กะพริบตางามๆ ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี พลันยิ้มหวานแล้วกล่าว


 


 


“เรื่องนี้เกรงว่าจะทำไม่ได้! หรือว่าแม่นางเหยียนจะลืมคนของเผ่าแมงเม่าไปแล้ว ใครจะรู้ว่ากำลังเสริมของหุ่นเชิดพวกนั้นจะทะลวงดินแดนมาที่นี่เมื่อใด แม้แต่พวกมู่ชิง แม่เฒ่าภูตก็ยังหวาดกลัวเผ่าแมงเม่านี้สุดๆ เห็นได้ว่าเผ่านี้น่ากลัวมาก และในเมื่อแม่น้ำอเวจีแห่งนี้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่านี้ พวกเข้าจะต้องรู้จักที่แห่งนี้ดีกว่าพวกเรามาก ต่อให้ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับแค่ไหนก็ยังไม่ปลอดภัย และยังมีอีกเรื่องหนึ่ง สหายทั้งสองไม่คิดจะกลับเผ่ามนุษย์แล้วหาทางคืนร่างมนุษย์แล้วหรือ?” หานลี่หรี่ตาลง พลันพูดวิเคราะห์อย่างช้าๆ 

 

 


ตอนที่ 1512 หมอกภูตปรากฏอีกครั้ง

 

ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ พวกหยวนเหยาสองคนก็หันมาสบตากันทีหนึ่ง ต่างก็มีสีหน้าลังเลขึ้นมา


 


 


พวกนางสองคนย่อมไม่มีทางละทิ้งความคิดที่จะฟื้นฟูร่างเป็นปกติอย่างแน่นอน


 


 


“ข้าพิจารณาไม่รอบคอบแล้ว ฟังจากคำพูดก่อนหน้าของพี่หาน ดูเหมือนเมื่อก่อนจะเคยลุยผ่านจุดเชื่อมต่อมิติมาแล้ว หากเป็นเช่นนี้ สามารถหาจุดเชื่อมต่อที่ค่อนข้างเสถียรและเหมาะสมได้จริงๆ ข้ากับศิษย์น้องย่อมคาดหวังที่จะออกไปจากที่นี่ แต่การจะค้นหาจุดเชื่อมต่ออย่างไรนั้น ข้าสองคนกลับไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย”


 


 


“ตรงจุดนี้สหายทั้งสองสบายใจได้ ในด้านนี้ข้าน้อยมีวิธีการที่ค่อนข้างเฉพาะตัวอยู่ แค่ต้องออกไปตามหาจริงๆ แต่ต้องรอเวลาสักระยะหนึ่ง หลังจากหลบการค้นหาของพวกแม่เฒ่าภูตแล้วจึงจะทำได้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาเหล่านั้นจะได้ของที่ต้องการหรือไม่ แต่เพราะมีเผ่าแมงเม่าอยู่ จึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานเกินไป ช่วงเวลาระหว่างที่พวกเขาออกจากแม่น้ำอเวจี และก่อนที่คนของเผ่าแมงเม่าจะมาถึง จึงจะเป็นโอกาสดีที่สุดที่พวกเราจะตามหาจุดเชื่อมต่อรอบๆ แล้วหนีออกไป ตอนนี้พวกเราหาสถานที่ลับตาสุดๆ สักแห่งหนึ่ง หลบซ่อนชั่วคราวสักระยะหนึ่งค่อยว่ากันเถอะ” หานลี่พูดอย่างช้าๆ ดูเหมือนจะมั่นใจตัวเองในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง


 


 


หลังจากที่หยวนเหยากับเหยียนลี่ได้ฟัง ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก จึงพยักหน้าถี่ๆ โดยพลัน


 


 


ดังนั้น หลังจากที่ทั้งสามคนหารือกันจบ ลำแสงหลีกหนีก็ไม่หยุดลงแม้แต่น้อย พุ่งทยานออกจากกกลางอากาศบริเวณใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็ลับหายไปในฟากฟ้า


 


 


หลายวันต่อมา พวกหานลี่มาปรากฏตัวที่กลางอากาศเหนือผิวน้ำแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง


 


 


ใต้ผิวน้ำสีครามปรากฏเป็นสีดำอีกหนึ่งชั้น มีหมอกสีดำจางๆ ลอยเป็นเกลียวขึ้นมา!


 


 


ที่ยิ่งแปลกก็คือ ท่ามกลางผืนน้ำที่ไม่สิ้นซึ่งไม่รู้ว่าเป็นทะเลหรือทะเลสาบแห่งนี้ มีหมู่เกาะน้อยใหญ่กระจัดกระจายไปทั่วราวกับดวงดาวที่ดารดาษอยู่เต็มท้องฟ้า


 


 


พวกหานลี่ดำลึกเข้าไปในนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่พักผ่อน ยังคงมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดแม้แต่น้อย


 


 


“พวกเราซ่อนตัวอยู่ที่นี่กันเถอะ ผืนน้ำแห่งนี้กว้างใหญ่โพศาลขนาดนี้ เกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่ามหาสมุทรทั่วไป คิดว่าราชาปีศาจพวกนั้นมาตามหาก็ไม่มีทางหาพวกเราเจอในระยะเวลาอันสั้นเป็นอันขาด อีกทั้งข้าสัมผัสได้ลางๆ ว่าส่วนลึกของก้นน้ำนี้ดูเหมือนจะมีสิ่งที่น่ากลัวซ่อนอยู่ในมุมมืดไม่น้อย หากมีของบางอย่างอยู่ พวกแม่เฒ่าภูตคงไม่กล้าใช้จิตสัมผัสค้นหาตามอำเภอใจเกินไป และยังทำหน้าที่เป็นม่านกำบังในระดับที่แน่นอนให้พวกเราอีกด้วย” หานลี่ที่นำหน้าหยุดลำแสงหลีกหนีลง ดวงตาเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่ง สายตากวาดมองไปในม่านหมอกสีดำหนาแน่นผิดปกติผืนใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง พลางพูดอย่างช้าๆ


 


 


กลุ่มหมอกที่เกาะตัวกันอย่างหนาทึบเช่นนี้ ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเขาต่างก็พบเห็นไม่น้อย ทว่าม่านหมอกที่อยู่ภายใต้เนตรวิญญาณนั้น ปรากฏรูปร่างลักษณะของเกาะเล็กๆ ที่ซ่อนภายในความมืดอยู่ลางๆ


 


 


แม้ว่าพวกหยวนเหยาสองคนจะไม่สามารถมองเห็นหมู่เกาะภายในหมอกสีดำนี้ได้ แต่ในเมื่อหานลี่กล่าวเช่นนี้ พวกนางสองคนก็ตกลงอย่างฉับพลันโดยไม่ลังเลใดๆ แล้วตามหานลี่ลงไปในหมอกสีดำเบื้องล่าง


 


 


เหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสามคนตื่นตะลึงพลันปรากฏขึ้น


 


 


หมอกสีดำเหล่านี้ดูเหมือนจะปกติทั่วไป แต่เมื่อทั้งสามคนเหาะเข้าไปในนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกเพียงหมอกสีดำรอบด้านเกิดการพลิกตัวระลอกหนึ่งแล้วกระโจนเข้าใส่ร่าง ทำให้ปราณวิญญาณทั่วทั้งร่างสลายไปอย่างฉับพลัน คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ลำแสงหลีกหนีของทั้งสามแตกสลายหายไปในชั่วพริบตา


 


 


“หา”


 


 


หยวนเหยากับเหยียนลี่ตกตะลึงยกใหญ่ หลุดเสียงร้องออกมาด้วยใบหน้าถอดสี บนร่างพวกนางเปล่งแสงวิญญาณชนิดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทว่าร่างกายยังคงดิ่งลงไปยังส่วนลึกของหมอก


 


 


หานลี่รู้สึกตกตะลึงในใจเช่นนี้ แต่โชคดีที่เขาเคยประสบกับเหตุการณ์คับขันที่เกิดขึ้นกะทันหันมานับไม่ถ้วนแล้ว ภายในร่างเปลี่ยนแปลงคาถาหลายชนิดอย่างต่อเนื่องในชั่วพริบตา แสงเทวะดูดปราณ วิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ และวิชาอื่นๆ ต่างก็โคจรพร้อมกัน แต่ก็ไม่สามารถดึงพลังวิญญาณขึ้นมาให้เพียงพอได้ แต่ในขณะที่เกิดไหวพริบร่ายคาถาแปลงกายเป็นวิหคมัจฉาท่ามกลางความฉุกละหุก บนร่างก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างอย่างฉับพลัน กลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวแล้วฟื้นคืนพลังยุทธ์กลับมาทั้งหมด


 


 


ภายใต้ความดีอกดีใจยกใหญ่ของหานลี่ เขากากปีกสองข้างออก ร่างก็ขยายขึ้นหลายเท่าอย่างรวดเร็ว ครั้นขยับร่าง ก็ใช้กรงเล็บคว้าร่างของหญิงสาวทั้งสองไว้ แล้วพุ่งทยานขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศสูง


 


 


หลังจากพุ่งปราดเปรียวไม่กี่หน วิหคยักษ์สีเขียวก็ทยานออกมาจากม่านหมอก ปรากฏตัวบริเวณที่สูงกว่าก่อนหน้านี้


 


 


แสงสีเขียวดับลง ร่างของวิหคยักษ์ก็หายไป หานลี่กลับมาปรากฏกายกลางอากาศด้วยร่างมนุษย์อีกครั้ง ขณะเดียวกันพวกหยวนเหยาและเหยียนลี่ในตอนนี้ต่างก็ได้พลังยุทธ์ฟื้นคืนกลับมาแล้ว ต่างก็ลอยคว้างอยู่กลางอากาศด้วยใบหน้าซีดเผือด


 


 


“เกิดอะไรขึ้น ทำไมหมอกสีดำนี้ถึงได้น่ากลัวเช่นนี้? หากไม่ใช่เพราะพี่หานยื่นมื่อมาช่วย เกรงว่าพวกเราคงประสบเคราะห์ใหญ่แล้ว” เหยียนลี่กล่าวพึมพำด้วยใบหน้าซีดขาว


 


 


หยวนเหยาก็มีสีหน้าซีดเช่นกัน แต่เมื่อดวงตาของนางเปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง ก็เผยอารมณ์ประหลาดใจออกมาเล็กน้อย


 


 


หานลี่เอามือไพล่หลัง พลางจ้องมองหมอกสีดำที่ตลบฟุ้งอยู่เบื้องล่างอย่างละเอียด และเผยสีหน้าลังเลออกมา


 


 


“ที่แท้ก็มีความลึกล้ำบางอย่าง แต่ความรู้สึกเช่นนี้… สหายหยวน เจ้าเองก็มีความรู้สึกที่คุ้นเคยมากเหมือนกันใช่หรือไม่!” หานลี่หันหน้าไปถามหยวนเหยา


 


 


“พี่หานพูดถูกแล้ว เมื่อก่อนพวกเราเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่งที่แดนมนุษย์จริงๆ ก็คือที่มหาสมุทรดาวคลั่งตอนที่ถูกหมอกภูตนั่นปิดล้อมแล้วเข้าไปในอเวจีทมิฬนั่นแหละ”


 


 


“อเวจีทมิฬ แม่น้ำอเวจี หึๆ สองที่นี่ฟังดูแล้วก็คล้ายกันจริงๆ อีกทั้งหมอกประหลาดที่ทำให้ผู้คนสูญเสียพลังยุทธ์เช่นนี้ น่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกระมัง” หานลี่เอามือลูบๆ คราง พลางพินิจพิจารณาแล้วกล่าว


 


 


“แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน รู้สึกว่าประสิทธิภาพในการช่วงชิงพลังวิญญาณผู้คนของหมอกในที่แห่งนี้ดูเหมือนจะด้อยกว่าหมอกภูตในแดนมนุษย์เล็กน้อย แม้ว่าจะไม่สามารถดึงพลังยุทธ์ขึ้นมาได้ แต่ก็ยังสามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพลังวิญญาณได้อยู่ แต่วันนั้น ตอนที่ถูกหมอกภูตหอบเข้าไปในนั้น สภาพก็ไม่ต่างจากปุถุชนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย” หยวนเหยามีท่าทีไม่ค่อยยอมรับ


 


 


“ข้าก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน สาเหตุที่รูปธรรมนั้น น่าจะเพราะหมอกประหลาดของที่นี่เทียบกับแดนมนุษย์ไม่ได้ หรืออาจะเป็นเพราะหลังจากที่พลังยุทธ์ของพวกเราพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด หมอกภูตจึงเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ทั้งสองแห่งนี้ก็ยังไม่เหมือนกัน หมอกภูตของแดนมนุษย์ดูเหมือนจะมีชีวิตกว่า สามารถเข้ามากลืนกินผู้บำเพ็ญเพียรในบริเวณใกล้เคียงด้วยเองได้ และสำหรับที่นี่…” หานลี่ส่ายศีรษะ พลันพูดจี้ถูกจุดสำคัญของความแตกต่างระหว่างสองสิ่ง


 


 


“เหมือนอย่างที่พี่หานพูดจริงๆ นั่นแหละ หมอกดำในที่แห่งนี้ไม่ได้มีวี่แววว่าจะเข้ามากลืนกินด้วยตัวเอง แต่หมอกภูตที่แดนมนุษย์สามารถหอบคนเข้ามาในแม่น้ำอเวจีได้ หมอกนี้คงไม่ได้เชื่อมต่อกับดินแดนหรือมิติอื่นหรอกนะ” หยวนเหยาสองตาเปล่งประกาย พลันพูดขึ้นมาด้วยอารมณ์คึกคัก


 


 


“เรื่องนี้ก็ไม่แน่ใจนัก! ถึงอย่างไรหมอกภูตของแดนมนุษย์กับอเวจีทมิฬ พวกเราก็ยังไม่สามารถเข้าใจที่มาของมันมาโดยตลอด” หานลี่ถอนหายใจคราหนึ่ง แล้วกล่าวออกมาเช่นนี้


 


 


“ข้าว่าหมอกสีดำในบริเวณใกล้เคียงนี้ก็พอๆ หมอกตรงที่อื่นๆ ก็คงจะร้ายกาจเช่นนี้เหมือนกันสินะ” เหยียนลี่ที่ฟังอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด จู่ๆ ดวงตาก็เปล่งประกายวาบหนึ่งแล้วถามโพล่งขึ้นมา


 


 


“เรื่องนี้ผู้แซ่หานไม่เคยสังเกตมาก่อนจริงๆ! สหายทั้งสองรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปดูสักหน่อย เดี๋ยวก็กลับมา” หานลี่ตกตะลึง แต่ก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวในทันที


 


 


ร่างของเขาเปล่งแสงสีเขียววาบหนึ่ง กลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวอีกครั้ง ครั้นสยายปี ก็พวยพุ่งออกไปไกลสิบจั้งเศษอย่างฉับพลัน แล้วเหาะทยานจากไปไกลลับตา


 


 


เหลือเพียงหญิงสาวสองคนที่หันมามองหน้ากันและกัน


 


 


“ศิษย์น้องหยวน อิทธิฤทธิ์ที่สหายหานฝึกมีไม่น้อยจริงๆ คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เคล็ดวิชาลับแปลงกายของเผ่าวิญญาณเหาะเหินชนิดนี้ก็ได้ร่ำเรียนมาด้วย” เหยียนลี่กล่าวชมออกมา


 


 


“หรือว่าศิษย์พี่จะลืมไปแล้ว พี่หานสามารถเข้ามาในเหวพสุธษด้วยฐานะของบุตรสวรรค์เผ่าวิญญาณเหาะเหินได้ การที่รู้เคล็ดวิชาลับชนิดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร” หยวนเหยากลับยิ้มแล้วกล่าว


 


 


“ศิษย์น้องคงยังไม่รู้ บุตรสวรรค์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินใช่ว่าใครจะสามารถตบตาปะปนเข้ามาได้ ข้าเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้จากปากของคนอื่นมา สาขาบุตรสวรรค์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินไม่เพียงแต่จำเป็นต้องมีโลหิตบริสุทธิ์และวิญญาณเที่ยงแท้ของสาขาวิญญาณเหาะเหินแล้ว ยังมีข้อจำที่ทารุณโหดร้ายต่างๆ อยู่อีก แม้แต่การที่คนในเผ่าวิญญาณเหาะเหินจะสามารถเป็นบุตรสวรรค์ได้ก็เป็นเรื่องที่ลำบากยากยิ่ง ไม่รู้ว่าสหายหานทำได้อย่างไร และยังได้เรียนอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ด้วย” เหยียนลี่ยิ้มกล่าว


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หยวนเหยาพยักหน้า แต่สายตาจ้องมองไปยังทิศทางที่หานลี่เลือนหายไป


 


 


เหยียนลี่เห็นสีหน้าของหยวนเหยาเป็นเช่นนี้ ดวงตาอันงดงามก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจปราดหนึ่ง ฉับพลันก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เทียบกับเรื่องนี้ ข้ารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เหตุใดพอพี่หานแปลงกายเป็นวิหคยักษ์แล้วถึงไม่กลัวหมอกภูตนี้ในทันที”


 


 


“ค่อนค้างแปลกประหลาด แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ หรือว่าเคล็ดวิชาลับแปลงกายของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน ยังมีอิทธิฤทธิ์อย่างอื่นที่ไม่รู้อยู่อีก?” หยวนเหยาถูกคำถามนี้รบกวนสมาธิ จึงดึงสายตากลับมา แล้วเผยสีหน้างุนงงสงสัย


 


 


“เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่ใจ อีกเดี๋ยวค่อยถามสหายหานกันเถอะ บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้” เหยียนลี่เม้มปากยิ้มคราหนึ่ง


 


 


“ไม่ค่อยดีกระมัง เรื่องที่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์และเคล็ดวิชาเช่นนี้ พวกเราสองคนออกจะไม่สะดวกที่จะซักถามเขาโดยตรงเท่าไหร่” หยวนเหยาได้ยินคำนี้ กลับมีท่าทีลังเลขึ้นมา


 


 


“เหอะๆ ด้วยมิตรภาพของศิษย์น้องและสหายหานเมื่อปีนั้น เรื่องเล็กแค่นี้ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้คิดจะสืบหาคำร่ายเคล็ดวิชาของเขา เพียงแต่หมอกภูตนี้ช่างแปลกประหลาด แค่อยากจะดูว่ามีวิธีอะไรบ้างที่สามารถยับยั้งจากภายใน แต่ข้ากับสหายหานไม่ได้สนิทสนมกันนัก ให้ศิษย์น้องเป็นฝ่ายถามจึงดูค่อนข้างเหมาะสม” เหยียนลี่พูดอย่างไม่หนักหนาอะไร


 


 


หยวนเหยาได้ยินคำนี้ก็ขมวดคิ้วคราหนึ่ง หลังจากคิดแล้วคิดอีกจึงค่อยพยักหน้าไม่ส่งเสียง


 


 


เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม บนขอบฟ้ามีแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงเพรียกกระจ่างใส วิหคยักษ์สีเขียวก็พุ่งทยานกลับมาอีกครั้ง


 


 


เพียงแค่พวยพุ่งสองสามหน ก็เกิดพายุก่อตัวขึ้นอย่างบ้าคลั่งระลอกหนึ่ง วิหคยักษ์พลันปรากฏตัวที่เบื้องหน้าหญิงสาวทั้งสอง เมื่อแสงสีเขียวดับวูบลง ร่างของวิหคยักษ์ก็หายไป ปรากฏเป็นร่างของหานลี่แทน


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง หมอกสีดำพวกนั้นมีความแปลกประหลาดเช่นกันหรือไม่?” เหยียนลี่อดไม่ได้ที่จะชิงถามขึ้นมาก่อน


 


 


“ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งที่อยู่ในนั้นสามารถกลืนกินพลังวิญญาณได้ อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นหมอกที่เกาะตัวเป็นบริเวณค่อนข้างกว้าง และค่อนข้างหนาแน่น” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


ได้ยินหานลี่ตอบกลับเช่นนี้ หญิงสาวทั้งสองก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา


 


 


“เช่นนั้นควรเข้าไปในหมอกสีดำเพื่อค้นหาสาเหตุหรือไม่?” เหยียนลี่ถอนหายใจยาวคราหนึ่งแล้วเอ่ยถาม


 


 


“พูดตามหลักแล้ว พวกเราต่างก็มีความยุ่งยากติดตัวอยู่แล้ว ให้ค้นหาสาเหตุเรื่องนี้อีกดูไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ หมอกสีดำเหล่านี้สามารถกักขังและส่งผลกระทบต่อจิตสัมผัสได้ หากพวกเราเข้าไปในนั้น ต่อให้ราชาปีศาจเหล่านั้นทรงอิทธิฤทธิ์แค่ไหนก็ไม่อาจตามหาพวกเราได้อย่างแน่นอน สิ่งที่กังวลเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ส่วนลึกของหมอกสีดำเหล่านี้ไม่รู้ว่ามีอันตรายอะไรอยู่หรืออไม่” หานลี่ลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าว


 


 


“เพียงแค่สามารถหลบหลีกการค้นหาของพวกแม่เฒ่าภูตได้ ต่อให้เสี่ยงอันตรายสักหน่อยก็คุ้มค่า จะว่าไปแล้วพี่หาน ไม่ใช่ว่าท่านแปลงกายเป็นวิหคมัจฉาแล้วไม่กลัวหมอกภูตนี้หรอกรึ?” เหยียนลี่กลับยิ้มกล่าว


 


 


หานลี่ยิ้มจางๆ คราหนึ่ง ขณะที่ยังไม่ทันคิดว่าจะพูดอะไร หยวนเหยาที่ลังเลอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “พี่หาน เคล็ดวิชาลับแปลงกายของท่านคงจะมาจากเผ่าวิญญาณเหาะเหินสินะ เหตุใดหลังจากที่แปลงกายแล้วจึงไม่กลัวการจำกัดพลังวิญญาณของหมอกประหลาดนี้ล่ะ แสดงว่ารู้สาเหตุบางอย่างบ้างแล้วสินะ?  พวกเราสองคนก็มีวิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้สูญเสียพลังยุทธ์ทั้งหกภายในหมอกนี้ใช่หรือไม่?” 

 

 


ตอนที่ 1513 ปริศนาแห่งหลัวโหว

 

“ที่จริงแล้วเคล็ดวิชาแปลงกายวิหคมัจฉาได้มาจากสาขาย่อยของวิหคสวรรค์ สำหรับการที่แปลงกายแล้วไม่กลัวผลกระทบของหมอกนั้น ข้ากลับไม่รู้สาเหตุจริงๆ แต่ระหว่างทางข้าได้ไตร่ตรองอยู่หนหนึ่ง ในใจมีความคาดเดาที่ไม่แน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่” หานลี่ได้ยินคำถามนี้ของหยวนเหยา ก็คิดครู่หนึ่งแล้วตอบกลับอย่างระมัดระวัง


 


 


“พี่หานมีความคิดอะไร สามารถพูดได้โดยตรง หรือว่าเห็นข้าสองคนเป็นคนนอก?” ขณะที่เหยียนลี่กรอกตา นางก็ยิ้มขึ้น


 


 


หานลี่มีสีหน้าอึดอัดใจ เขาถอนหายใจคราหนึ่งแล้วกล่าว “ในเมื่อสหายทั้งสองฝึกฝนอยู่ในอเวจีทมิฬที่แดนมนุษย์มาหลายปีเช่นนี้ คิดว่าน่าจะรู้คำร่ำลือบางอย่างเกี่ยวกับที่แห่งนี้”


 


 


“พี่หานหมายถึงข้อคิดเรื่องแดนยมโลกกับอสูรหลัวโหวรึ?” หยวนเหยามีสีหน้าเปลี่ยน พลันเอ่ยถาม


 


 


“ไม่ผิด เดิมทีแดนยมโลกก็เป็นสถานที่ที่เลือนรางว่างเปล่ามาก ไม่ใครสามารถยืนยันได้ถูกต้องจริงๆ แต่อสูรหลัวโหวนั้น ข้าน้อยเคยเห็นกับตาตัวเองที่แดนมนุษย์มาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ว่าส่วนที่มองเห็นจะไม่ถึงหนึ่งในสิบล้านส่วนของมัน แต่สถานการณ์ตอนที่ปรากฏกายกับหมอภูตนี้ดูคล้ายกันมาก”


 


 


“พี่หานพูดก็หมายความว่าอเวจีทมิฬในแดนมนุษย์เกิดขึ้นมาจากร่างกายของหลัวโหวจริงๆ สิ!” หยวนเหยาอ้าปากด้วยความตกตะลึง


 


 


“แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอย่างอื่น แต่ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้อย่างน้อยสามถึงสี่ส่วนเชียวล่ะ ส่วนวิหคมัจฉาวิญญาณเที่ยงแท้นั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตโดยกำเนิดของอสูรหลัวโหว หลังจากที่ข้ากลายร่างเป็นวิหคสวรรค์ อาศัยโลหิตแท้ของวิหคมัจฉาจึงทำให้สามารถยืมพลังของวิหคมัจฉาได้มาก หากหมอกของที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับหมอกภูตจริงๆ สามารถยกเว้นอาคมต้องห้ามภายในนั้นได้ ก็พอที่จะสมเหตุสมผลอยู่บ้าง” หานลี่กล่าวเช่นนี้


 


 


“หรือว่าสถานที่ที่เรียกว่าแม่น้ำอเวจีนี้จะเป็นร่างกายของอสูรหลัวโหวจริงๆ แต่เรื่องที่หมอกประหลาดเหล่านี้แตกต่างจากแดนมนุษย์จะอธิบายอย่างไรดี” เหยียนลี่อดไม่ได้ที่จะแทรกขึ้นมา


 


 


“แม่น้ำอเวจีแห่งนี้เป็นภายในร่างของหลัวโหวจริงๆ หรือสหายเหยียนเข้าใจว่าหลัวโหวตนนี้คือหลัวโหวตนนั้นล่ะ?” หานลี่ไม่ได้ตอบกลับโดยตรง พลันย้อนถามด้วยรอยยิ้มจางๆ


 


 


“พี่หานหมายความว่า ที่นี่กับแดนมนุษย์น่าจะเป็นอสูรหลัวโหวสองตนที่แตกต่างกัน! หากสองตนนี้มีร่างกายที่ไม่เหมือนกัน ทำให้หมอกสีดำมีความแตกต่างกันบ้างก็ฟังมีเหตุผล ได้ยินว่าร่างกายของหลัวโหวใหญ่โตจนน่าสะพรึง สามารถกลืนตะวันจันทราได้ เกิดมาก็สามารถสร้างช่องว่างมิติเฉพาะตัวภายในร่างได้ เห็นได้ชัดว่าแม่น้ำอเวจีนี้ใหญ่กว่าอเวจีทมิฬมาก นี่น่าจะเป็นอสูรหลัวโหวตนหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์และร่างกายเหนือกว่าที่แดนมนุษย์มาก” เหยียนลี่กล่าวด้วยสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย


 


 


“เกรงว่าไม่เพียงเท่านี้” หานลี่กลับส่ายหน้า


 


 


“หืม พี่หานยังมีความเห็นอะไรอีกรึ?” หยวนเหยาถามด้วยความสงสัย


 


 


“หมอกของที่แห่งนี้หนักหน่วงเช่นนี้ อสูรหลัวโหวตนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ก็ยังไม่แน่ ข้าเคยอ่านเจอในตำราบางเล่มกล่าวถึงอสูรหลัวโหวว่า หากอายุขัยมาถึงแล้ว ช่องว่างมิติที่สร้างขึ้นภายในร่างก็จะไม่พังทลาย ยังสามารถดำรงอยู่ได้ยืนยาวไม่ดับสลาย”


 


 


“พี่หานคิดว่าที่นี่ก็คือช่องว่างมิติที่สร้างขึ้นภายในร่างศพของอสูรหลัวโหวที่ตายไปแล้วตนหนึ่ง!” หยวนเหยาตะลึงงัน


 


 


“เหอะๆ นี่ก็ยังเป็นแค่คำพูดคาดเดาของข้า สถานการณ์เป็นอย่างไรก็ยังไม่แน่ชัด” หานลี่ยิ้มแล้วยิ้มอีก ไม่ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก


 


 


“ข้ากลับคิดว่าการคาดเดาของพี่หานใกล้เคียงกับความเป็นจริงสุดๆ หากเป็นเช่นนี้ หลายๆ เรื่องก็สามารถอธิบายชัดเจนแล้ว และเป็นเพราะอสูรหลัวโหวตนนี้ร่วงตายแล้ว ดังนั้นปราณของอเวจีทมิฬที่สร้างขึ้นภายในร่างจึงเหนือกว่าที่อยู่ในแดนมนุษย์ตนนั้น ทำให้เกิดเป็นภูตผีระดับสูงออกมาจำนวนมากเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าราชาปีศาจเหล่านั้นรู้หรือคาดเดาสถานที่นี้ได้หรือไม่ มีสิ่งเดียวที่ไม่เข้าใจคือ ปราณวิญญาณกับชีพจรวิญญาณของที่แห่งนี้จะอธิบายอย่างไร ภายในอเวจีทมิฬของแดนมนุษย์ไม่มีปราณวิญญาณอยู่เลยแม้แต่น้อย และเมื่ออยู่ในช่องว่างมิตินี้ก็ไม่สามารถโคจรพลังยุทธ์” เหยียนลู่พูดด้วยดวงตาเป็นประกาย


 


 


“เรื่องนี้ใครจะไปรู้ล่ะ! บางทีตอนที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ในเผ่าแมงเม่าพบสถานที่นี้อาจจะใช้วิธีการอะไรบางอย่างกับช่องว่างมิตินี้ก็ได้ หรือพออสูรหลัวโหวร่วงตายแล้ว เดิมทีช่องว่างมิติที่สร้างขึ้นภายในร่างจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วก็ได้ เพียงแต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานะที่พวกเราเป็นอยู่ในตอนนี้มากนัก จึงไม่จำเป็นต้องค้นหาสาเหตุอะไร ตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวที่ข้าสนใจคือ หมอกสีดำเหล่านี้สามารถพาพวกเราออกจากแม่น้ำอเวจีได้จริงหรือไม่ เพียงแค่มันมีตัวตนเหมือนกับอเวจีทมิฬ จะต้องมีสิ่งที่คล้ายกับทางออกแน่นอน ซึ่งทางออกนี้ปลอดภัยกว่าจุดเชื่อมต่อมิติที่ข้าคิดไว้ก่อนหน้ามาก” หานลี่พูดพลางเปล่งแสงบริสุทธิ์จากดวงตาพุ่งไปรอบๆ


 


 


“คำพูดของพี่หานมีเหตุผล ก่อนหน้านี้ในหมอกประหลาดอื่นๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่?” เหยียนลี่ถามคล้ายกับคาดคิดไว้แล้ว


 


 


“ไม่เลย! ภายในหมอกสีดำอื่นๆ นอกจากจะสามารถจำกัดอิทธิฤทธิ์และพลังยุทธ์เช่นเดียวกันแล้ว ข้าก็ไม่พบบริเวณที่แปลกประหลาดเป็นพิเศษ แน่นอนว่าข้าแค่ค้นหาบริเวณใกล้เคียงแค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น ในเมื่อหมอกดำเหล่านี้อยู่ที่นี่ ทางออกก็น่าจะอยู่ที่ผืนน้ำถึงจะถูก ตอนนี้พวกเรารีบหาทางออก แล้วทำตามแผนเดิม หลบซ่อนสักระยะหนึ่งแล้วค่อยว่ากัน” หานลี่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง


 


 


“ในเมื่อทางออกน่าจะอยู่บริเวณใกล้เคียง พวกเราก็น่าจะใช้เวลาค้นหาดูสักหน่อยเถอะ ไม่แน่เพียงแค่วันสองวันก็สามารถหาทางออกเจอแล้ว หากเป็นเช่นนี้ จะไม่ยิ่งปลอดภัยกว่าคอยหลบซ่อนเชียวหรือ” เหยียนลี่พูดขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที


 


 


“ศิษย์พี่พูดก็มีเหตุผล ถ้าหลบซ่อนตามแถนเดิม เป็นไปได้ว่าราชาปีศาจอาจจะเดินทางช้า และกองกำลังเสริมของเผ่าแมงเม่ามาถึงที่นี่เร็วไปก้าวหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ของพวกเราก็จะย่ำแย่กว่าเดิม” หยวนเหยาลังเลพักหนึ่ง ก็เห็นด้วยกับความเห็นของเหยียนลี่


 


 


หานลี่ได้ยินคำนี้ ก็ครุ่นคิดไม่พูดไม่จาขึ้นมา


 


 


แม้ว่าหญิงสาวทั้งสองจะพูดได้มีเหตุผลสุดๆ แต่เขากลับรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างแปลกประหลาดอยู่ลางๆ


 


 


ทำให้เขาค่อนข้างลังเลขึ้นมา


 


 


หลังจากพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่พักใหญ่ เขาจึงค่อยเอ่ยปากขึ้นอย่างช้าๆ “สามารถอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งตามที่พวกเจ้าพูด แล้วหาดูว่ามีทางออกจริงหรือไม่ แต่อย่างมากพวกเราเสียเวลาได้แค่สองวันเท่านั้น พอถึงสองวันแล้ว จะต้องหลบซ่อนในทันที ภายในสองวันนี้ พวกเราน่าจะยังปลอดภัยอยู่”


 


 


หานลี่คิดวิธีประนีประนอมขึ้นมาได้


 


 


ได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ หยวนเหยากับเหยียนลี่ก็หันมาสบตากันคราหนึ่ง รู้สึกว่าทำเช่นนี้เป็นแผนที่ดีกับทั้งสองฝ่าย จึงพากันพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยอย่างฉับพลัน


 


 


“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรามาลองสำรวจหมอกดำข้างล่างนี้กันก่อนเถอะ แม้ว่าจะไม่มีเบาะแสของทางออก ข้าก็จะเตรียมที่ค้างแรมไว้ในนั้นก่อน หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเราก็จะหลบเข้าไปในนี้ก่อน พลังของวิหคมัจฉาสามารถยกเว้นอาคมต้องห้ามของหมอกดำได้ ข้ามีวิธีบางอย่างสามารถทำให้สหายทั้งสองไม่ได้รับผลกระทบจากหมอกนี้ได้” หานลี่ยิ้มแล้วกล่าว


 


 


“พี่หานมีวิธีนี้จริงๆ หรือ?” หยวนเหยากับเหยียนลี่ต่างก็ดีใจกันยกใหญ่


 


 


หานลี่ยิ้มจางๆ คราหนึ่ง ทันใดนั้นแผ่นหลังก็เกิดเสียงอัสนีบาตรขึ้น ปรากฏเป็นปีกคู่หนึ่งออกมา เมื่อปีกสองข้างสั่นครู่หนึ่ง สีของมันก็เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน


 


 


ปีกข้างาหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียวสลัวๆ ส่วนอีกข้างหนึ่งกลายเป็นม่านแสงห้าสีเปล่งประกายไม่หยุด ปีกทั้งสองข้างต่างก็แวววาวกระจ่างใส เปล่งแสงเรืองรองนับไม่ถ้วน


 


 


คาดไม่ถึงว่าหานลี่ที่ใช้ปีกวายุอัสนีกลายเป็นปีกของเผ่าวิหคสวรรค์มาโดยตลอด จะปรากฏร่างเดิมทีเป็นสมบัติวิญญาณออกมา


 


 


หญิงสาวทั้งสองได้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของปีกวายุอัสนีเป็นครั้งแรก ต่างก็พากันตกตะลึง


 


 


รูปลักษณ์ภายนอกของปีกวิญญาณคู่นี้ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก บนปีกนั้นแผ่แรงกดวิญญาณอันน่าสะพรึงออกมา ยิ่งทำให้หญิงสาวทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


 


ในขณะนี้เอง เพียงแค่ปีกสีเขียวบนแผ่นหลังของหานลี่โบกไหวคราหนึ่ง ทันใดนั้นขนนกสีเขียวแวววาวสองเส้นก็พวยพุ่งหายวับไปในพริบตา และแบ่งกันหยุดตรงหน้าของหญิงสาวทั้งสอง


 


 


“สหายทั้งสองสามารถลองดูได้ ของสิ่งนี้สร้างขึ้นมาจากการรวมตัวของลมหายใจวิหคมัจฉา ไม่แน่ว่าจะได้ผลน่าอัศจรรย์บางอย่าง!” หานลี่พูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


หยวนเหยากับเหยียนลี่สบตากันทีหนึ่ง ต่างก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


 


 


ทว่าเหยียนลี่ก็ใช้มือหนึ่งคว้าออกไปในทันที เมื่อขนนกสีเขียวที่อยู่เบื้องหน้าคว้ามาอยู่ในมือแล้ว ก็ใช้พลังยุทธ์ทั่วร่างกระตุ้นเข้าไปภายในนั้น


 


 


“ปัง!” รัศมีแสงสีเขียวสลัวๆ ดวงหนึ่งกระจายออกแล้วห่อหุ้มร่างของหญิงสาวผู้นี้ไว้ภายใน


 


 


“อ๋อ ดูเหมือนจะมีความมหัศจรรย์บางอย่างจริงๆ ด้วย ข้าขอลองก่อน หากไม่ได้ พี่หานคงต้องจูงน้องสาวไปด้วยแล้ว” เหยียนลี่ยิ้มหวานให้กับหานลี่


 


 


“เหอะๆ เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว ผู้แซ่หานจะปกป้องสหายเหยียนอยู่ข้างๆ เอง!” หานลี่กล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เมื่อร่างพลิ้วไหว ก็กลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวอีกครั้ง แล้วรุดหน้าบินเข้าไปในหมอกสีดำก่อน


 


 


เหยียนลี่โบกขนนกสีเขียวในมือคราหนึ่ง บนร่างเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้า คิดจะพุ่งออกไปยังเบื้องล่าง


 


 


“ศิษย์พี่ระวังหน่อย!” หยวนเหยาอดไม่ได้ที่จะกล่าวกำชับ


 


 


“ศิษย์น้องวางใจ มีสหายหานอยู่ข้างๆ ทั้งคน จะเกิดปัญหาได้อย่างไร” เหยียนลี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วตอบกลับ พลางร่วงลงไปข้างล่างอย่างช้าๆ โดยที่มีแสงสีเขียวปกคลุมร่างไว้


 


 


หยวนเหยาจ้องมองเงาร่างของหญิงผู้นี้อย่างไม่กะพริบตา


 


 


หานลี่ที่แปลงกายเป็นวิหคสีเขียวได้ลอยคว้างอยู่บริเวณขอบของหมอกสีดำอยู่นานแล้ว กำลังรอเหยียนลี่ร่วงลงมาอย่างเงียบๆ


 


 


ในที่สุดแสงสีเขียวก็จมเข้าไปในหมอกสีดำ ผลลัพธ์ที่ได้คือ มีเสียงดีอกดีใจของเหยียนลี่ดังมาจากข้างใน “ได้ผลจริงๆ ด้วย แม้ว่ายังมีพลังวิญญาณส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถโคจรได้ แต่เมื่อเหาะทยานเต็มที่แล้ว ก็เหมือนกับการกระตุ้นเคล็ดวิชาและสมบัติทั่วไป ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น”


 


 


“หึๆ เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว แม่นางหยวนก็ลงมาเถอะ พวกเราจะได้สำรวจข้างนี้กันดีๆ” เสียงของหานลี่ดังออกมาจากวหิคยักษ์สีเขียว ค้ลายกับคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว


 


 


หยวนเหยาที่อยู่กลางอากาศสูงได้ยินทั้งสองคนก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะใหญ่ นางยิ้มหวานแล้วขานรับทีหนึ่ง คิดจะโบกขนนกสีเขียวในมือแล้วเหาะลงไปบ้าง


 


 


แต่แล้วในเวลานี้ก็เกิดเหตุพลิกผันขึ้น!


 


 


หมอกสีดำที่ตอนแรกดูเงียบสงบผิดปกติ จู่ๆ ก็เกิดการพลิกตัวอย่างชุลมุนวุ่นวายขึ้น ตามด้วยพายุหมุนประหลาดที่แผดเสียงแหลมออกมาจากเบื้องล่าง ภายในชั่วพริบตาหมอกสีดำผืนใหญ่ก็กลายเป็นระลอกคลื่นมหึมา เสียงคร่ำครวญของภูตผีดังก้องไปทั่ว


 


 


หานลี่ที่กลายร่างเป็นวิหคยักษ์รู้สึกตกตะลึง!


 


 


แม้ว่าพายุนี้จะเกิดขึ้นอย่างดุดัน อีกทั้งเบื้องล่างยังส่งแรงดูดอันมหาศาลออกมา แต่ก็ยังไม่สามารถกักขังเขาไว้ได้ อย่างมากก็แค่ทำให้ร่างของเขาเคลื่อนไหวช้าลงสองสามส่วนเท่านั้น


 


 


เขาสะบัดปีกสองข้างอย่างฉับพลัน พุ่งปราดไปที่ข้างลำตัวของเหยียนลี่แล้วใช้มือคว้านางไว้ ก่อนที่ปีกสีเขียวคู่นั้นจะขยับอีกครั้ง เพื่อหลบหลีกหมอภูตที่เกิดการเปลี่ยนแปลง


 


 


แต่ในตอนนี้เอง จู่ๆ ภายในระลอกคลื่นก็เกิดเสียงอัสนีบาตรดังลั่น สายฟ้าสีดำทมึนราวกับน้ำหมึกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาอย่างหนาแน่นและถี่ยิบ


 


 


หานลี่รู้สึกหนักใจ ฉากนี้ดูคุ้นเคยยิ่งนัก


 


 


สายฟ้าสีดำปรากฏออกมาอย่างฉับไว การเคลื่อนไหวของเขาไม่สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วเมื่ออยู่ภายใต้พลังมหาศาลอันน่าประหลาดนี้


 


 


เบื้องหน้าเปล่งแสงสีดำวูบหนึ่ง คาดไม่ถึงวิหคยักษ์สีเขียวกับเหยียนลี่ที่คว้าไว้ในกำมือจะหายไปในระลอกคลื่นอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หยวนเหยาที่อยู่กลางอากาศสูงได้เห็นทั้งหมดนี้ด้วยตาตัวเอง ก็รู้สึกหวาดผวาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รอให้นางได้คิดหาวิธีอะไร ระลอกคลื่นสีดำก็ซัดกระจายมาจากสี่ทิศแปดทางอย่างฉับพลัน


 


 


เหยียนเหยาถูกหอบเข้าไปข้างในโดยที่หลบออกมาไม่ทัน แล้วหายไปอย่างน่าประหลาดท่ามกลางสายฟ้าสีดำที่เปล่งประกายวูบวาบหลายดวง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)