พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1508-1513
บทที่ 1508 มีคนที่ถูกใจแล้ว
แน่นอน การแต่งงานกับผู้หญิงของตระกูลโค่วเป็นการรับประกันอย่างหนึ่งจริงๆ สิ่งนี้มีอะไรต้องสงสัย แต่เหมียวอี้ไม่ได้อยากอาศัยบารมีนี้เลย ถ้าเข้าไปอยู่ลึกในตระกูลโค่ว ตัวข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างตระกูลโค่ว กำพืดของเขาก็จะถูกเปิดโปงได้ง่าย ถ้าตระกูลโค่วรู้กำพืดของเขาแล้ว เกรงว่าฝ่ายแรกที่กลัวจะมีส่วนพัวพันและฆ่าปิดปากเขาก็คือตระกูลโค่ว เมื่อเคยโดนหกปราชญ์ทรยศมาแล้ว เขาก็ทำใจเชื่อได้ยากว่าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลโค่วจะยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องเขา!
เหมียวอี้มองดูสีหน้าเฝ้าคอยของโค่วเหวินหลานอย่างนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ความสนิทกับโค่วเหวินหลานก็ส่วนความสนิท ความประพฤติของโค่วเหวินหลานก็นับว่าไม่เลวจริงๆ แต่เขาก็ไม่ลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโค่วเหวินหลานเริ่มสร้างขึ้นมาอย่างไร นั่นเป็นเพราะเขาโดนกดดันจนหมดทางเลือกจึงต้องแบ่งหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงไปแลกมา
เขาเองก็ยังไม่ลืมเรื่องทดสอบที่สถานที่ไร้ชีพในตอนแรกเช่นกัน เพื่อที่จะมีที่ยืนในตระกูล โค่วเหวินหลานกดดันให้พวกเหมียวอี้ไปสู้ตาย ถ้าไม่สามารถทำคะแนนให้โค่วเหวินหลานได้ โค่วเหวินหลานก็บอกไว้ชัดเจนล่วงหน้าแล้ว หลังจากกลับมาก็อย่าคิดว่าจะได้อยู่ดีมีสุขเลย ไม่มีทางเหลือให้เจรจาอะไรทั้งนั้น!
เรื่องพวกนั้นก็ส่วนเรื่องพวกนั้น แต่ถ้าจะให้เหมียวอี้เชื่อว่าโค่วเหวินหลานไม่เสียดายที่จะมอบน้องสาวให้แต่งงานกับเหมียวอี้เพราะคำนึงถึงเหมียวอี้ล้วนๆ เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ทำได้เพียงหัวเราะแห้งแล้ว เชื่อได้เหรอ?
ถ้าเป็นเยี่ยนเป่ยหงกับเหยียนซิวพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อาจจะเชื่อไปแล้ว ถ้าพูดในกรณีที่แย่ที่สุด เมื่อมีอวิ๋นจือชิวอยู่แล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรับการแต่งงานนี้ ผู้หญิงของตระกูลโค่วจะเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร ต่อให้ยินดีจะเป็นอนุภรรยา แต่เกรงว่าตระกูลโค่วคงจะไม่ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวมีชีวิตอยู่ได้นาน ตราบใดที่แต่งงานกับผู้หญิงของตระกูลโค่วแล้ว จุดจบของอวิ๋นจือชิวต่อให้ไม่ตาย แต่ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องแยกทางกับเขา ใครมาเหยียบหัวผู้หญิงตระกูลโค่ว คนนั้นก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีหรอก!
บางครั้งเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ตระกูลโค่วก็อาจจะเสียสละลูกหลานเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่างเช่นกัน แต่ก็ยังให้การรับประกันขั้นพื้นฐานบางอย่างได้ หลักการนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลร่ำรวยตระกูลไหนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลที่ตระกูลโค่วจะเป็นข้อยกเว้นและทำน้อยกว่านั้น
หลังจากตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ที่ในหัวคิดร้อยตลบก็เอียงหน้ามองไปยังโค่วเหวินจื่อที่ดีดฉินอยู่ในศาลามุงจากแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “น้ำใจของพี่โค่วข้ารับไว้แล้ว แต่หนิวรู้จักเจียมตัว ไม่คู่ควรกับน้องสาวของท่านจริงๆ!”
“พูดแบบนี้ไม่ถูกนะ!” โค่วเหวินหลานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จะไม่คู่ควรได้ยังไง? ถึงแม้น้องหนิวจะไม่ได้มีพื้นเพมาจากตระกูลใหญ่? แต่มีตระกูลใหญ่ที่ไหนบ้างที่เกิดมาแล้วใหญ่เลย? พวกท่านปู่ของข้า สี่อ๋องสวรรค์มีใครบางที่ไม่ได้เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ? แต่ไหนแต่ไรมาวีรบุรุษล้วนออกมาจากรากหญ้าทั้งนั้น น้องหนิวชื่อเสียงโด่งดังทั้งใต้หล้า เป็นวีรบุรุษที่โลกรู้จัก ชื่อเสียงบารมีที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน น้องสาวข้ายังเอ่ยชมอยู่บ่อยๆ เลย บอกว่าลูกผู้ชายควรจะเป็นแบบน้องหนิว แล้วจะไม่เหมาะสมกับน้องสาวข้าได้ยังไง? หรือน้องหนิวกังวลว่าคนในครอบครัวข้าจะไม่เห็นด้วย? ถ้ากังวลเรื่องนี้ งั้นก็ไม่จำเป็นแล้ว พ่อแม่ข้าเป็นคนมีความคิดก้าวหน้า แถมท่านปู่ข้าก็ชื่นชมคนหนุ่มที่มีความสามารถที่สุด ขอเพียงน้องหนิวตอบตกลง ที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจเลย ข้าจะรับทุกอย่างไว้เอง รับรองว่าจะเป็นตัวกลางช่วยประสานงานให้เรียบร้อย!”
เหมียวอี้โบกมืออย่างอึดอัด “เจตนาอันงดงามของพี่โค่ว หนิวรับไว้ไม่ไหวจริงๆ เรื่องนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ ขอรับ!”
โค่วเหวินหลานบอกอีกว่า “กังวลทางหน่วยองครักษ์ซ้ายเหรอ? เจ้าวางใจได้ ตราบใดที่กำหนดเรื่องแต่งงานแล้ว ก็จมีข้ออ้างในการย้ายเจ้าออกมาได้อย่างราบรื่นมีสมเหตุสมผล”
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่หนิวไม่เหมาะกับน้องสาวท่านจริงๆ” เหมียวอี้รีบปฏิเสธ
โค่วเหวินหลานแอบร้อนใจนิดหน่อย พ่อแม่บอกไว้ไม่มีผิด ถ้าต้องการให้ผู้หญิงของตระกูลโค่วแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็ไม่สู้ให้แต่งกับน้องสาวของเขาจริงๆ ถ้ามีน้องเขยที่ได้รับความสำคัญจากท่านปู่ ก็จะช่วยเรื่องอนาคตของเขาได้เยอะมาก!
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สำหรับเขาแล้ว ที่จริงเหมียวอี้ไม่ได้สำคัญสำหรับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลโค่วเลย ที่สำคัญคือท่าทีที่อ๋องสวรรค์โค่วมีต่อโค่วเหวินหลานต่างหาก!
“น้องหนิวไม่ถูกใจน้องสาวข้าเหรอ?” โค่วเหวินหลานซักไซ้อีก
“เปล่าๆ!” เหมียวอี้รีบโบกมือปฏเสธ เขามีสิทธิ์ไม่ถูกใจโค่วเหวินจื่อเหรอ ถ้าใครได้ยินคงหัวเราะจนฟันร่วง เขาถอนหายใจแล้วตอบว่า “น้องสาวท่านเหมือนใบหยกที่ต้องหากิ่งทอง ทั้งยังชำนาญฉินฉีซูฮว่า เป็นคนที่สูงส่งสง่างาม หนิวเป็นแค่คนหยาบคนหนึ่ง ไม่คู่ควรหรอก ไม่คู่ควรจริงๆ”
“นี่ไม่ใช่เหตุผล ความสูงสง่ากับฉินฉีซูฮว่ามันเอามากินแทนข้าวหรือใช่เป็นทรัพยากรฝึกตนได้เหรอ? อย่าบอกนะว่าเวลาให้น้องสาวแต่งงานจะต้องเลือกคนที่ได้ฉินฉีซูฮว่า?” โค่วเหวินหลานซักไซ่ต่อ “ได้ยินว่าเฟยหงอนุภรรยาของเจ้าก็หน้าตางดงามมาก หาพบได้ยากมากในโลกนี้ หรือว่าเจอคนสวยจนชินแล้ว รู้สึกว่าน้องสาวข้ายังสวยไม่เข้าตาเจ้า?”
“ไม่ใช่ๆ แม่นางโค่วเป็นสตรีที่งามที่สุดในแผ่นดินแล้ว ขนาดหนิวมองสองครั้งยังกลัวว่าจะเป็นการดูหมื่นเลย มีหรือที่จะกล้ารังเกียจ!” เหมียวอี้โบกมืออย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งฐานะอย่างเขา จะมัวมาให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ได้อย่างไร
แน่นอน ถ้าบอกว่าจะเอาไว้เล่นเฉยๆ เขาก็เลือกเล่นกับคนสวยๆ อยู่แล้ว แต่ประเด็นคือเขาผ่านระดับนั้นมานานแล้ว เขาไม่ใช่เขาในปีนั้นที่เห็นว่าลูกสาวร้านเฒ่าหลี่ขายเต้าหูสวยแล้วไปสู่ขอเพราะอยากได้ ในปีนั้นเหล่าไป๋บอกไว้ไม่มีผิด คนเราเมื่อเดินมาถึงระดับหนึ่งแล้ว เรื่องสุรานารีเอาไว้ตอนว่างก็พอ ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ขาดผู้หญิง และไม่ขาดผู้หญิงสวยเช่นกัน ต่อให้สวยกว่านี้แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาแล้ว อย่างมากก็แค่ยั่วยวนให้เขากระเหี้ยนกระหือรืออยากลองของใหม่ก็เท่านั้นเอง ไม่มีความหมายอะไรมากกว่านี้จริงๆ
เมื่อเห็นว่าโค่วเหวินหลาน ‘จริงใจ’ เกินไปจริงๆ เขาก็จำเป็นต้องพูดอย่างจริงจังจริงใจ “พี่โค่ว ข้ากับน้องสาวท่านไม่เหมาะสมกันจริงๆ! การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะทำแบบเลอะเลือนไม่ได้ ไม่อยากทำให้น้องสาวท่านได้รับความไม่ยุติธรรมด้วย!”
พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว โค่วเหวินหลานก็เงียบแล้วเช่นกัน เขาเข้าใจควมคิดของอีกฝ่าย เรื่องของน้องสาวคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็มาพร้อมภารกิจ ถ้าเป็นตัวกลางทำให้น้องสาวได้แต่งจะดีที่สุด แต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็อย่าทำให้งานเสียเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
หลังจากดื่มสุราเงียบๆ ไปหลายจอก เขาก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “น้องหนิว ข้ากังวลจริงๆ ว่าตระกูลอิ๋งจะทำไม่ดีกับเจ้า ข้าเองก็หวังจะช่วยเจ้าจริงๆ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลโค่วคือวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เจ้าผ่านวิกฤติ ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรจะพิจารณาให้ดี เอาอย่างนี้แล้วกัน ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะกับน้องสาวข้า พี่หญิงรองเหวินหงของบ้านท่านลุงใหญ่แต่งงานไปแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึง แต่พี่หญิงสี่เหวินลวี่บ้านลุงใหญ่กับพี่หญิงห้าเหวินชิงบ้านลุงรองก็ยังไม่ได้แต่งงาน หน้าตาความสวยไม่ได้ด้อยกว่าน้องสาวข้าเลย นิสัยอ่อนโยนกว่าน้องสาวข้าอีก พี่หญิงห้าเหวินชิงของข้า เจ้าเองก็เคยเจอแล้ว น่าจะรู้ว่าข้าไม่ได้พูดซี้ซั้ว ส่วนพี่หญิงสี่เหวินลวี่เจ้าก็ไม่เคยเห็น แต่ถ้าอยากเห็นก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ข้าก็ช่วยนัดเจอให้เจ้าได้ เอาแบบนี้ดีมั้ย?”
เหมียวอี้แทบจะเป็นลมแล้ว สงสัยนอกจากคนที่แต่งงานไปแล้ว ผู้หญิงในรุ่นหลานของตระกูลโค่วจะมาเป็นตัวเลือกให้เขาหมด! ข้าเหมียวอี้กลายเป็นคนมีอำนาจมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? จึงถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ข้าบอกนะพี่โค่ว ความคิดใหญ่โตขนาดนี้ คนในตระกูลท่านรู้หรือเปล่า?”
ก็ย่อมรู้อยู่แล้ว แต่โค่วเหวินหลานไม่ยอมรับแน่นอน ยังพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้วว่าช่วยเจ้า ข้าก็ไม่พูดเรื่อยเปื่อยแน่ ขอเพียงเจ้ารู้สึกว่าเหมาะสม ข้าจะพยายามเป็นพ่อสื่อให้สำเร็จแน่นอน…เรื่องในตระกูลข้าเข้าใจดี ถ้าไม่มั่นใจข้าก็ไม่พูดซี้ซั้วหรอก มีโอกาสมหวังสูงมาก ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ข้ามีวิธีการทำให้สำเร็จแน่นอน!”
เหมียวอี้ถามอย่างสงสัยว่า “พี่โค่ว ท่านมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยใช่มั้ย? ถ้ามีก็บอกมาตรงๆ ได้เลย ถ้าข้าช่วยได้ก็จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด!”
โค่วเหวินหลานพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง จากนั้นถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องหนิว ไม่ใช่ว่าข้ามีเรื่องอะไรหรอก แต่ข้าอยากจะช่วยเจ้าจริงๆ!”
เหมียวอี้เงียบแล้ว ไม่รู้ว่าในนั้นมีลับลมคมในอะไร หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก ก็นั่งอย่างเรียบร้อยและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ก็อย่างที่บอก ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพี่โค่วแล้ว ไม่ใช่ว่าหนิวคนนี้ไม่รู้จักกาลเทศะนะ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าจะบอกให้ขัดเจนเลยก็ได้ ข้ามีคนที่ถูกใจอยู่แล้ว ข้าสาบานได้เลย ว่าฮูหยินเอกจะต้องเป็นนางเท่านั้น ไม่มีทางพิจารณาคนอื่นอีก!”
โค่วเหวินหลานอึ้งทันที แล้วถามว่า “เป็นใครกัน? ข้ารู้จักหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ขออภัยที่ข้าบอกไม่ได้ แต่อีกไม่นานข้าจะเปิดเผยคำตอบแน่นอน!”
พูดถึงขั้นนี้แล้ว โค่วเหวินหลานก็เป็นพ่อสื่อต่อไปไม่ได้อีก ถ้าอีกฝ่ายแค่ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร เขาก็อาจจะสงสัยว่าเหมียวอี้หาข้ออ้างหรือเปล่า แต่เหมียวอี้บอกแล้วว่าจะให้คำตอบเร็วๆ นี้ เช่นนั้นก็ไม่ใช่การหลอกตบตาแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการปั่นหัวเขาเล่นแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ทำได้เพียงยินดีด้วย ข้าเองก็อยากจะเห็นว่ายอดหญิงงามคนไหนที่ทำให้น้องหนิวยอมทิ้งอนาคตดีๆ อย่างไม่เสียดายแบบนี้ได้” โค่วเหวินหลานถอนหายใจอย่างเสียดาย สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกอีกว่า “แต่ข้าก็ขอพูดเสริมอีกหน่อย สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ น้องหนิวไปพิจารณาดูอีกทีก็ได้นะ ถ้าเปลี่ยนความคิดเมื่อไร ก็ติดต่อข้ามาได้ทุกเมื่อ”
“ดื่มสุรา!” เหมียวอี้ยกกาสุรารินให้ สื่อความหมายว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
เมื่อเจรจาไม่สำเร็จ โค่วเหวินหลานจะมีอารมณ์ดื่มได้อย่างไร เขาฝืนยิ้มอย่างมีความสุขก็นับว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับเหมียวอี้แล้ว จากนั้นก็บอกว่ามีธุระอยู่ต่อนานๆ ไม่ได้ ก่อนจะพาโค่วเหวินจื่อผู้เป็นน้องสาวจากไป โค่วเหวินจื่อที่น่าสงสารไม่รู้เลยสักนิดว่าเกือบจะโดนพี่ชายตัวเองขายทิ้งเสียแล้ว นางยังมีสีหน้าสำราญบานใจ เหมือนดีใจมากด้วย
ส่วนเหมียวอี้ ก็ยังอยู่ต่อในสวนดอกสาลี่นี้ชั่วคราว ตระกูลโค่วยังไม่ถึงขั้นทิ้งสวนนี้ไปเสียเลย เดี๋ยวก็มีคนจากสมาคมร้านค้าตลาดสวรรค์มารับช่วงต่อเอง เหมียวอี้แค่ยืมใช้ชั่วคราวเท่านั้น
หลังจากนั้นครึ่งวัน สีของท้องฟ้าก็ใกล้ค่ำ เหยียนซิวไปตรวจตราบริเวณนี้อย่างละเอียดรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครก็กลับมารายงาน
เหมียวอี้ให้ให้เขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ระดับที่สูงหน่อย ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้ เสร็จแล้วถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่จวินโหรว
หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วดีใจ ในที่สุดศัตรูคู่แค้นก็มาแล้ว
การอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง จากนั้นก็ปลอมตัว ย่องออกจากตึกเงียบๆ ปิดค่ายกลป้องกันเงียบๆ ปีนข้ามกำแพงของลานบ้านด้านหลังเงียบๆ พอออกจากร้านค้าสมาคมวีรชนแล้วก็เปิดใช้งานค่ายกลป้องกันอีกครั้ง จากนั้นออกจากเขตเมืองตะวันตกไปเขตเมืองตะวันออก ออกจากประตูเมืองตะวันออก และหายเข้าไปในป่าภูเขานอกประตูเมืองตะวันออกเงียบๆ
หลบซ่อนอย่างระมัดระวังตลอดทางจนในที่สุดก็มาถึงสวนที่อยู่ติดภูเขาและแม่น้ำ นางเองก็แปลกใจนิดหน่อย ว่าที่นี่สร้างสวนไว้ด้วยเหรอ?
ตรงประตูก็ไม่มีคนเฝ้า บุกเข้ามาอย่างระมัดระวังตลอดทางแต่ก็ไม่เห็นใคร ตรงมาจนกระทั่งถึงสวนดอกสาลี่ข้างหลัง ถึงได้เห็นเหมียวอี้นั่งจิบชาช้าๆ อยู่ในศาลามุงจาก
เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา ถึงแม้หวงฝู่จวินโหรวจะปลอมตัวมา แต่พอเห็นเงาร่างที่อยู่ใต้แสงจันทร์ก็รู้แล้วว่าใครมา จากนั้นยกจอกน้ำชาขึ้น “ดื่มน้ำชา ข้าต้มรอเจ้าแล้ว”
หวงฝู่จวินโหรวผ่อนคลาย แล้วเดินเข้ามาในศาลา ถอดหน้ากากออก เผยโฉมหน้าจริงอันงดงาม แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดิมอ้อมเข้ามาดอกข้างหลังเหมียวอี้โดยตรง เอามือคล้องคอเหมียวอี้ ก้มศีรษะเกยบนบ่าเขาด้วยสีหน้าปลอบโยน
บทที่ 1509 เปิดโปงชู้รัก
“อยู่ใกล้แค่นี้ทำไมมาช้าขนาดนี้? ข้านึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าระหว่างทางแล้ว” เหมียวอี้ยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้ารูปไข่ของนาง
หวงฝู่จวินโหรวพ่นลมหายใจหอมอยู่ข้างหูเขา “อาบน้ำเสร็จแล้วถึงจะมา น้ำชาเดี๋ยวค่อยดื่มก็ได้ อุ้มข้าเข้าไปข้างในก่อนเถอะ” เสียงพูดค่อนข้างออเซาะ น้ำเสียงเกือบจะอู้อี้ ทำให้คนฟังแทบจะละลาย
ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมาเป็นพันปีแล้ว เหมียวอี้โดนยั่วยวนจนเร่าร้อนใจทันที เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้ยามปกติดูสง่าภูมิฐาน แต่ลับหลังแล้วรุกเก่งมาก ยังคงเร่าร้อนดั่งไฟ ทำให้คนรับไม่ไหวจริงๆ พอนึกถึงบั้นท้ายที่เยี่ยมยอดกว่าใครของผู้หญิงคนนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบยิ่งกว่าเดิม พอดึงแขนลงมา ร่างงามหอมอ่อนนุ่มก็อยู่ในอ้อมกอดตัวเองแล้ว จากนั้นก็อุ้มขึ้นมาและรีบเดินเข้าไปในห้องนอน…
ในถ้ำภูเขานอกเขตเมืองตะวันตก หญิงชราคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลิวซางถลันตัวเข้ามาข้างใน นางคือแม่นมเก่าแก่ข้างกายหวงฝู่ตวนหรง นางปรนนิบัติรับใช้มาตั้งแต่หวงฝู่ตวนหรงยังเป็นเด็กแล้ว
ในตอนนี้แม่นมหลิวเร่งฝีเท้าเดินไปข้างกายหวงฝู่ตวนหรงที่นั่งสมาธิฝึกตนอยู่บนเตียงหินในถ้ำ แล้วรายงานว่า “ผู้จัดการใหญ่ ทางฝั่งคุณหนูมีความเคลื่อนไหวแล้วค่ะ”
หวงฝู่ตวนหรงพลันลืมตา “มีความเคลื่อนไหวอะไร?”
แม่นมหลิวตอบว่า “คุณหนูปลอมตัวปีนกำแพงออกจากร้านค้าไปแล้ว ออกทางประตูเมืองตะวันออก เข้าไปในสวนแห่งหนึ่งที่อยูในภูเขา”
หวงฝู่ตวนหรงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที หย่อนเท้าของข้างลงจากเตียงแล้วยืนขึ้น “เห็นหรือเปล่าว่านางไปเจอใคร?”
แม่นมหลิวส่ายหน้า “คนที่สะกดรอยตามกลัวว่าจะโดนคนที่เฝ้าตรงสวนสังเกตเห็น เลยไม่กล้าเข้าใกล้เกินไปค่ะ ยืนยันได้เพียงว่าคุณหนูเข้าไปแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าไปเจอกับใคร”
หวงฝู่ตวนหรงรีบเดินไปถึงปากถ้ำ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี แสงจันทร์ส่องสว่าง พลางพึมพำในใจว่า “นางหนูเอ๊ย หวังว่าแม่จะเดาผิดนะ ไม่อย่างนั้นลูกลับลอบนัดเจอผู้ชายกลางป่ากลางเขาดึกๆ แบบนี้ จะให้แม่ทนความรู้สึกได้ยังไง?” นางหันกลับไปถามว่า “ถามตำแหน่งที่ตั้งมาชัดเจนหรือยัง!”
แม่นมหลิวหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที หลังจากถามรายละเอียดแล้วก็รายงานตอบ
“สั่งให้คนล้อมบริเวณนั้นไว้ อย่าให้หนีไปได้สักคนเดียว!” หวงฝู่ตวนหรงกล่าว
“รับทราบ!” แม่นมหลิวเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราอีกอันมาติดต่อกับภายนอกเพื่อวางกำลัง แต่ใครจะคิดว่าหวงฝู่ตวนหรงเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ พูดเสริมอีกว่า “เดี๋ยวก่อน บอกทุกคนไว้ ว่าห้ามเข้าใกล้บริเวณนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากข้าก็ห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม”
อย่างไรเสียก็ไม่สะดวกจะให้เรื่องเน่าเหม็นในบ้านโชยไปถึงข้างนอก ถ้าลูกสาวกำลังทำเรื่องน่าอับอายจริงๆ แล้วคนกลุ่มใหญ่จับได้ แบบนั้นชื่อเสียงของลูกสาวก็จะถูกทำลายแล้ว มารดาอย่างนางต้องคำนึงถึงจุดนี้
อีกด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้ ‘ชายชู้’ หนีไป นางพูดเสริมอีกว่า “ถ้าพบว่ามีใครหนีไป ก็ขัดขวางไว้ทันที ต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นใครกันแน่! เอาเป็นว่าถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ก็ห้ามใครทำอะไรซี้ซั้ว!”
แม่นมหลิวรอไปสักประเดี๋ยว เมื่อเห็นว่านางไม่สั่งอะไรเพิ่มเติม ถึงได้เอ่ยรับแล้วไปจัดการ
หลังจากรอได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แม่นมหลิวที่ได้รับการตอบกลับแล้วก็บอกว่า “ผู้จัดการใหญ่ วางกำลังตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้วค่ะ!”
ทั้งสองกระโดดลงหน้าผาตามกันมาทันที เหาะตามแนวภูเขาด้วยท่าเดินไปยังป่าภูเขาทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาไม่นาน แม่นมหลิวก็มาเหยียบลงริมทะเลสาบแล้ว ส่วนหวงฝู่ตวนหรงก็เหาะข้ามผิวทะเลสาบไปยังสวนที่อยู่ติดภูเขาคนเดียว
“ใครกัน?” บนยอดเขาหลังสวนมีเสียงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนถาม เป็นเสียงของเหยียนซิว
บนเตียงในห้องนอน สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียที่กำลังนัวเนียกันอย่างดุเดือดพลันนิ่งชะงัก หวงฝู่จวินโหรวหันกลับมามองเหมียวอี้ คนข้างบนกับคนข้างล่างมองหน้ากันเลิกลั่ก เสียงของเหยียนซิวทำให้ทั้งสองขวัญผวาจริงๆ
เหยียนซิวเหาะลงมาจากยอดเขา ถลันตัวไปเหยียบบนต้นไม้ใหญ่ในสวน มาขวางตรงหน้าหวงฝู่ตวนหรงที่เหาะเข้ามา
หวงฝู่ตวนหรงใช้สายตาคมกริบกวาดมองเหยียนซิวโดยไม่ได้หยุดนิ่ง และสายตาก็มองตรงไปยังห้องนอนที่ปิดสนิท ประการแรกเป็นเพราะนางเห็นเหยียนซิวเพิ่งลงมาจากภูเขา ประการต่อมาเป็นเพราะนางไม่คิดว่าเหยียนซิวจะเป็น ‘ชายชู้’ นางเชื่อว่าลูกสาวของตัวเองไม่ได้ขาดรสนิยมถึงขั้นไปหาคนแก่มอมแมมหน้าตาเหมือนคนตาย
“โหรวโหรว แม่ส่งคนมาล้อมไว้บริเวณนี้หมดแล้ว ไม่ว่าใครก็หนีไปไม่พ้น!” หวงฝู่ตวนหรงร่ายอิทธิฤทธิ์รวมเสียงเข้าไปในห้องนอน
ท่านแม่เหรอ? เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยียนซิวก็มองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างพูดไม่ออก เขาอยู่บนภูเขาจึงมองเห็นทุกอย่างชัดเจน เห็นนายท่านอุ้มหวงฝู่จวินโหรวที่เป็นผู้จัดการร้านค้าสมาคมวีรชนเข้าไปในห้องนอน รู้ว่านายท่านกำลังแอบคบชู้ลับหลังฮูหยิน
ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนที่เรียกตัวเองมา ‘แม่’ โผล่มา อย่าบอกนะว่ามารดาของหวงฝู่จวินโหรวมาจับชู้แล้ว?
ปาดเหงื่อ! ขนาดเขายังอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนนายท่าน เขาย่อมรู้ว่าไปฟ้องฮูหยินไม่ได้ แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วรู้ไปถึงหูฮูหยิน แบบนั้นก็จะเป็นปัญหาใหญ่แล้ว เพราะฮูหยินมีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน
หวงฝู่จวินโหรวที่นอนเหงื่อแตกอยู่บนเตียงตกใจจนขวัญกระเจิง ตอนนี้ไม่มีอารมณ์อะไรแล้ว กล่าวเสียงสั่นว่า “แม่ข้าเอง!”
นางก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ท่านแม่บอกว่าไปแล้วไม่ใช่เหรอ? นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ?
“หา!” เหมียวอี้ข่มเสียงร้องอุทานอย่างตกใจ เขารู้สึกตกใจจนขวัญกระเจิงเช่นกัน
บนเตียงจึงเกิดภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบทันที ทั้งสองแยกกันและรีบดึงเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่อย่างลุกลี้ลุกลย เรียกได้ว่าร้อนรนมาก แทบจะใส่เสื้อผ้าชายหญิงปนกันมั่วหมดแล้ว เหมียวอี้ที่คว้าชุดชั้นในได้โยนออกไป เขางงนิดหน่อย พอจับมาเทียบกันแล้วก็พบว่าไม่รู้ว่าควรนำมาสวมใส่ไว้ตรงไหนบนร่างกาย เพราะไม่เคยใส่มาก่อน! ตอนหลังถึงได้สังเกตเห็นว่านี่ไม่ใช่เสื้อผ้าของตัวเอง แต่เป็นชุดชั้นในของหวงฝู่จวินโหรว ตอนนี้ค่อนข้างเลอะเลือน
แอบถุยเบาๆ เหมียวอี้หยิบชุดชั้นในโยนไปใส่บนศีรษะที่มีผมยุ่งกระเซิงของหวงฝู่จวินโหรว
หวงฝู่จวินโหรวจับมาดู นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ขาดไปตัวหนึ่งก็ไม่เป็นไรหรอก ยังจะใส่ชุดชั้นในอะไรอีก นางใส่เสื้อชั้นนอกแทบจะเสร็จแล้ว จึงจับมันยัดเข้าในกำไลเก็บสมบัติโดยตรง
“ทำยังไงดี?”
“ทำยังไงดี?”
จู่ๆ ทั้งสองที่ฉุกละหุกใส่เสื้อผ้าก็ถามเป็นเสียงเดียวกัน มองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็ยังลุกลี้ลุกลยต่อไป เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะบ่นนาง “เจ้านี่ยังไงกัน? ทำไมปล่อยให้แม่สะกดรอยตามมาได้?”
หวงฝู่จวินโหรวอยากจะร้องไห้ให้ตายไปเลย “นางไปตั้งนานแล้ว ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่านางจะมาโผล่อยู่ที่นี่?” ผู้หญิงคนหนึ่งโดนคนในครอบครัวจับได้ตอนทำเรื่องแบบนี้ น่าอายยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก อยากจะเอาหัวโขกพื้นให้ตาย
“ยังจะถามอีกเหรอ? นางสะกดรอยตามเจ้ามาแน่นอน แม่เจ้าล้อมบริเวณนี้ไว้หมดแล้ว เจ้าว่าแม่เจ้าพูดจริงหรือขู่พวกเราเล่นล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
“อาศัยอำนาจในการออกคำสั่งของแม่ข้า การระดมคนมาล้อมไว้ไม่ใช่ปัญหาเลย น่าจะ…ไม่ได้ล้อเล่น!” หวงฝู่จวินโหรวตอบ
“แล้วแม่เจ้ารู้จักเหยียนซิวหรือเปล่า?” เหมียวอี้หวาดระแวงกลัว
หวงฝู่จวินโหรวคับแค้นใจนิดหน่อย นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังจะมาถามเรื่องนี้อีก “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง? ถ้าสนใจรวบรวมข้อมูล ก็จำหน้าตาของเหยียนซิวได้ไม่ยากหรอก”
เหมียวอี้หยุดมือ เขางุนงงนิดหน่อย เขายังคิดอยู่เลยว่าถ้าหวงฝู่ตวนหรงไม่รู้ว่าคนข้างในคือใคร เขาก็ยังจะปลอมตัวและฝ่าวงล้อมออกไปได้ แต่ถ้ารู้จักเหยียนซิว คาดว่าถ้าไม่ใช่คนโง่ก็คงรู้ว่าเหยียนซิวเป็นลูกน้องของเขา คนที่สามารถทำให้เหยียนซิวมาเฝ้าประตูเพื่อทำเรื่องแบบนี้ได้ ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าคนในห้องคือใคร
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเขาจับตัวหวงฝู่จวินโหรวไว้ แล้วฝ่าวงล้อมออกไปโดยทิ้งหวงฝู่จวินโหรว แบบนั้นมันใช่เรื่องเหรอ? หรือจะพาหวงฝู่จวินโหรวฝ่าวงล้อมไปด้วยกันล่ะ? มารดาของอีกฝ่ายรู้แล้วว่าลูกสาวตัวเองทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้ ต่อให้หวงฝู่จวินโหรวจะรอดออกจากตรงนี้ไปได้ แต่จะรอดจากตระกูลหวงฝู่และไม่กลับมาอีกเลยได้เชียวเหรอ? สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่ได้แต่งงาน การโดนมารดาซักถามเรื่องแบบนี้ หวงฝู่จวินโหรวที่โดนจับได้คาที่จะไม่แย่หรอกเหรอ?
หวงฝู่จวินโหรวที่รีบร้อนแต่งตัวหันหลังให้เขา “รีบจัดทรงผมให้ข้า”
เหมียวอี้กล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “ถ้าแม่เจ้ารู้จักเหยียนซิวที่อยู่ข้างนอก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าข้าอยู่ข้างใน ยังจะมาจัดแต่งทรงผมบ้าบออะไรอีก! เจ้าทำอะไรของเจ้า มีคนสะกดรอยตามมายังไม่รู้ตัวอีกเหรอ?”
เมื่อครู่นี้หวงฝู่จวินโหรวก็ร้อนรนจนไม่ได้คิดไปทางนั้น พอจัดระเบียบความคิดได้แล้ว นางก็เหม่อทันที รู้ว่าตัวเองจบเห่แล้ว มารดาตัวเองเตรียมตัวมาแล้ว ครั้งนี้…ใช้กระดาษดับไฟไม่ได้หรอก!
ที่จริงทั้งสองกินปูนร้อนท้อง หวงฝู่ตวนหรงยังไม่ทันมองออกเลยว่าเหยียนซิวคือใคร
“โหรวโหรว นี่เจ้าอยากจะให้แม่ออกคำสั่งล้อมโจมตีใช่มั้ย? แม่ไม่ให้ทุกคนเข้าใกล้ เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายอีกเหรอ? หรือว่าการไว้หน้าครั้งสุดท้ายก็ไม่อยากได้แล้ว?” หวงฝู่ตวนหรงตะโกนอย่างเย็นเยียบ
ประตูเปิดออกเสียงดังแกร๊ก หวงฝู่จวินโหรวที่ยังไม่ทันใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยปรากฏตัวตรงประตู นางมัดผมหลวมๆ ไว้ข้างหลัง หน้าแดงเหมือนก้นลิง ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองมารดาตัวเอง นางเดินออกมาช้าๆ
เหยียนซิวที่อยู่บนต้นไม้ถลันตัวออกไปแล้ว เหาะไปเหยียบนอกสวน เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกให้เขาถอยออกไป
ท่ามกลางแสงจันทร์ หวงฝู่ตวนหรงใช้สายตาเย็นเยียบจ้องมองลูกสาวที่กำลังก้มหน้า นางค่อยๆ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ใช้นิ้วสองข้างเสยคางลูกสาวตัวเอง เสยใบหน้าแดงก่ำของลูกสาวตัวเองอย่างช้าๆ
สิ่งที่ยิ่งทำให้หวงฝู่จวินโหรวทนไม่ไหวก็คือ ร่างของหวงฝู่ตวนหรงเอนมาข้างหน้าเล็กน้อย ดมกลิ่นบนร่างกายลูกสาวตัวเอง
ในฐานะที่ผ่านประสบการณ์มาก่อน พอหวงฝู่ตวนหรงดมกลิ่น ก็เข้าใจทันทีว่าลูกสาวเพิ่งทำอะไรมาตอนอยู่ในห้อง นางปล่อยมือจากคางลูกสาว สายตามองไปยังบานประตูที่เปิดออก พร้อมถามเสียงเย็นว่า “คนข้างในยังใส่เสื้อผ้าไม่เสร็จอีกเหรอ?”
ประโยคนี้ถามจนเหมียวอี้เสียหลักล้ม เหมียวอี้ที่นั่งประคองเตียงเรียกได้ว่าสีหน้าเศร้าโศกแล้ว จะให้เขาตอบอย่างไรล่ะ?
เขาพบว่า ทำไมทุกครั้งที่ลักลอบเจอกับหวงฝู่จวินโหรวมักจะอกสั่นขวัญแขวนแบบนี้ ครั้งก่อนก็เกือบจะโดนฮูหยินของตัวเองจับได้ ครั้งนี้โดนแม่ของหวงฝู่จวินโหรวจับได้คาที่แล้ว สงสัยตนจะทำเรื่องที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่สำเร็จจริงๆ
เขาถามฟ้าอย่างพูดไม่ออก ในปีนั้นจะดีจะร้ายเหมียวอี้ก็เป็นชายหนุ่มเลือดร้อน ตอนนี้ทำเรื่องสกปรกไร้ยางอายที่สุด ทำไมถึงตกต่ำถึงขั้นนี้ได้ล่ะ?
หวงฝู่ตวนหรงที่อยู่ข้างนอกกลับแสยะยิ้ม “ทำไมล่ะ? คนในห้องกล้าทำแต่ไม่กล้ารับเหรอ?”
“แค่กๆ!” เหมียวอี้ที่อยู่ในห้องไอแห้งๆ อย่างอึดอัด “เสร็จแล้ว!”
ตอนนี้หวงฝู่ตวนหรงที่อยู่ในสวนถึงได้หยิบระฆังดาราออกมา ส่งข่าวบอกแม่นมหลิว ว่าในนี้ไม่มีเรื่องอะไร เป็นความเข้าใจผิดเท่านั้น ให้คนอื่นถอนกำลังออกไป นางไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องลูกสาวตัวเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ยอดเยี่ยมอะไรนัก
เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว จู่ๆ ก็คว้าข้อมือลูกสาว เรียกได้ว่าลากเข้ามาในห้องเลย
พอเข้ามาในห้อง หวงฝู่ตวนหรงก็กวาดสายตาเย็นเยียบมอง ‘ชายชู้’ ที่กำลังอึดอัดเก้อเขินสุดๆ ทำให้นางตกใจจนดวงตางามเบิกกว่างทันที มองเหมียวอี้อย่างทำใจเชื่อได้ยาก
นางรู้จักเหมียวอี้ ในปีนั้นตอนที่ไปเจรจาการค้าที่ร้านขายของชำซื่อตรง ทั้งสองก็เคยเจอกันหลายครั้งเช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าคนที่ลักลอบคบกับลูกสาวจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อ!
บทที่ 1510 อับอายมาก
สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย คนอื่นไม่รู้แต่นางกลับรู้ ลูกสาวนางกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันสักเท่าไร ถึงขั้นเรียกได้ว่ามีความแค้นต่อกัน เรื่องที่ปีศาจโลหิตฆ่าหนิวโหย่วเต๋อก็ใช่ว่านางจะไม่รู้ ทั้งยังมีเรื่องหุ้นร้านขายของชำซื่อตรงที่ลูกสาวตัวเองกดดันให้หนิวโหย่วเต๋อยอมถอยอีก
หนิวโหย่วเต๋อล้างเลือดตลาดสวรรค์สองครั้ง จับลูกสาวตัวเองเอาไว้สองครั้ง ถึงขั้นกดดันให้ลูกสาวตัวเองนั่งคุกเข่าต่อนหน้าฝูงชนด้วย ตามความคิดของหวงฝู่ตวนหรง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่กังวลภูมิหลังของสมาคมวีรชน เกรงว่าคงจะลงมือสังหารลูกสาวตัวเองไปแล้ว จะมามั่วอยู่กับลูกสาวตัวเองได้อย่างไร
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต่อให้นอนฝันนางก็ไม่มีทางนึกเชื่อมโยงได้ว่าสองคนนี้จะอยู่ด้วยกัน ทว่าความจริงกลับทำให้คนเหนือความคาดหมาย ภาพตรงหน้าทำให้นางสะเทือนใจหลายเท่า สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้ทำงานได้ดีเกินไปเมื่ออยู่ฉากหน้า ไม่น่าเชื่อว่าจะปิดบังมารดาอย่างนางได้แล้ว ทำให้นางที่จับตาดูอย่างเข้มงวดไม่เจอเบาะแสอะไรเลย
ตอนนี้พอมานึกดูให้ละเอียด ก็ใช่ว่าจะไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตามที่เบื้องล่างรายงานมา ลูกสาวนางเหมือนจะเคยติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อแบบผิดปกติจริงๆ แต่นางก็ไม่ได้เก็บมาคิดเป็นเรื่องใหญ่โต หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนที่กุมอำนาจของตลาดสวรรค์ ถ้าจะดำเนินกิจการที่ตลาดสวรรค์ จะไม่แอบติดต่อกันทั้งในที่ลับและที่แจ้งได้อย่างไร
“หนิวโหย่วเต๋อ? เป็นเจ้าเหรอ?” หวงฝู่ตวนหรงอุทาน นางตกใจจนปล่อยมือลูกสาวและต้องถอยสองก้าวถึงจะยืนอย่างมั่นคงได้
ว่ากันตามจริง ต่อให้ตีนางให้ตายนางก็ไม่เคยคิดว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อเลย เพราะสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้เป็นศัตรูกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะสมคบกันทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร? สวรรค์เอ๋ย อย่าเล่นแบบนี้เลยได้มั้ย?
เหมียวอี้เกาหัวอย่างเก้อเขิน แล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้จัดการใหญ่หวงฝู่!”
“หุบปาก!” หวงฝู่ตวนหรงตวาด แล้วส่ายหน้าไม่หยุด นางเคยคิดไปต่างๆ นาๆ แต่ไม่เคยคิดเลยว่า ‘ชายชู้’ จะเป็นเจ้าหมอนี่
เจ้าหมอนี่โดนทำโทษให้อยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปีไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้? ทำไมมาสมคบทำเรื่องแบบนี้กับลูกสาวตัวเองได้?
อ๋อ! นางเข้าใจแล้ว พอลองนับเวลา ก็น่าจะได้รับการปล่อยตัวแล้ว
ชั่วพริบตานี้ จู่ๆ นางก็เข้าใจทุกอย่างชัดเจนแล้ว มิน่าล่ะหลายปีมานี้ถึงสืบไม่เจอตัวว่า ‘ชายชู้’ เป็นใคร สารเลว! ‘ชายชู้’ คนนี้ทำผิดแล้วโดนตำหนักสวรรค์จับไปขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ลูกสาวตัวเองไม่มีทางเจอกับ ‘ชายชู้’ ได้เลย ตัวเองจะสืบเจอได้ก็แปลกแล้ว!
ก่อนหน้านี้หนึ่งพันปีทำไมถึงสืบไม่เจอล่ะ? นางสังเกตได้ตั้งนานแล้วว่าลูกสาวอาจจะเสียตัวไปแล้ว
เป็นเพราะ ‘ชายชู้’ คนนี้ย้ายออกจากตลาดสวรรค์ไปแล้ว ย้ายไปหน่วยองครักษ์ซ้ายของกองทัพองครักษ์ตำหนักสวรรค์ ในระหว่างนั้นถ้ามีการติดต่อกันบ้าง ก็เกรงว่าจะจับสังเกตได้ยาก อย่างไรเสียก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะจับตาดูลูกสาวตัวเองอย่างเข้มงวดตลอดเวลา
แล้วก่อนหน้านี้ตอนที่ ‘ชายชู้’ คนนี้อยู่ที่ตลาดสวรรค์ ทำไมตนถึงสืบไม่เจอล่ะ? เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เผยพิรุธเลย นางคิดไม่ออกเลยสักนิด!
แต่ไม่นานนางก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เรื่องแบบนี้คนอื่นไม่กล้าทำ แต่คนที่มีอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์คงจะกล้าทำ! นางจ้องเหมียวอี้พร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม “เจ้าขุดทางใต้ดินในตลาดสวรรค์ให้เชื่อมไปในร้านค้าสมาคมวีรชนเหรอ?”
เหมียวอี้มองไปทางหวงฝู่จวินโหรวโดยจิตใต้สำนึก นางส่ายหน้าเบาๆ บอกใบว่าตัวเองไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้
ปาดเหงื่อ! เดาเรื่องนี้ออกด้วยเหรอ? เหมียวอี้กินปูนร้อนท้อง เอามือลูบจมูก แล้วตอบอย่างเก้อเขินว่า “ทางใต้ดินนั่น ข้าถมทิ้งแล้ว”
ปวดเศียรเวียนเกล้า! หวงฝู่ตวนหรงเอามือลูบหน้าผาก ร่างกายโอนเอน นางมึนหัวนิดหน่อย สงสัยจะขุดทางใต้ดินแล้วจริงๆ ช่างใจกล้ายิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะขุดทางใต้ดินในตลาดสวรรค์ ไม่แปลกใจที่ตัวเองสืบไม่เจอเลย สงสัยคนที่ ‘ไม่เคยก้าวออกนอกประตู’ คู่นี้จะจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว
หลังจากหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้นพักหนึ่ง จู่ๆ หวงฝู่ตวนหรงที่ก้มหน้าเดินช้าๆ มาตรงหน้าลูกสาวก็เงยหน้าขึ้น แล้วลงมืออย่างกระทันหัน “เพี้ยะ” นางตบหน้าหนึ่งครั้งจนเกิดเสียงดังฟังชัด ตบจนหวงฝู่จวินโหรวถอยหลังหลายก้าวพร้อมเอามือปิดหน้า เกือบจะล้มไปแล้ว โชคดีที่เหมียวอี้เข้ามาประคองไว้ทัน
หวงฝู่จวินโหรวเอามือปิดหน้าพลางกัดปาดเงียบๆ แต่เหมียวอี้กลับกล่าวเสียงต่ำว่า “ชายหญิงรักกันเป็นเรื่องปกติ ผู้จัดการใหญ่ก็มีประสบการณ์มาก่อน ทำไมต้องลงไม้ลงมืออย่างไร้เหตุผลแบบนี้?”
“เรื่องในตระกูลพวกเรา เจ้าไม่ต้องเสือก!” หวงฝู่ตวนหรงแทบจะเอานิ้วจิ้มหน้าเหมียวอี้ นางโบกมือชี้ “ไสหัวไปตรงโน้น!”
หวงฝู่จวินโหรวเอามือออกจากใบหน้า แล้วผลักเหมียวอี้เงียบๆ เหมียวอี้ไม่ยอมปล่อยนาง นางจึงผลักซ้ำๆ หลายครั้ง
สุดท้ายเหมียวอี้จึงยอมถอยออกไปอยู่ด้านข้างอย่างช้าๆ แต่ปากกลับเตือนว่า “มีอะไรก็คุยกันดีๆ ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกสาวท่าน มีอะไรก็มาลงที่ข้าเถอะ ไม่จำเป็นต้องตีนาง”
หวงฝู่ตวนหรงไม่สนใจเขาอีก แต่ชี้หน้าลูกสาวตัวเอง ทำสีหน้าเหมือนกำลังด่าทอ “เจ้าบ้าไปแล้วใช่มั้ย? เจ้าจะหาผู้ชาย แม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่จะหาแบบไหนก็ไม่หา ทำไมเจ้ามาหาผู้ชายแบบเขาล่ะ? เจ้าไม่รู้เบื้องหลังของพวกเราเหรอ? เจ้าไม่รู้จักฐานะของเขารึไง? เจ้าไม่รู้เหรอว่าการแต่งงานของคนตระกูลหวงฝู่ไปแตะใครไม่ได้? สมาคมวีรชนมีลักษณะเป็นยังไงเจ้าไม่รู้เหรอ สาเหตุที่พวกขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ละเลยการมีอยู่ของพวกเรา ก็เพราะพวกเราขีดเส้นแบ่งชัดเจน พวกเขาเข้าใจเบื้องหลังของพวกเราก็เลยไม่อยากมาหาเรื่อง แต่เมื่อไรที่พวกเรายื่นมือไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนบางพวก ขุนนางใหญ่พวกนั้นก็จะตัด ‘กรงเล็บ’ อย่างสมาคมวีรชนทันที ทั้งยังเป็นขุนนางของหน่วยองครักษ์ซ้ายอีก หน่วยองครักษ์ซ้ายทำอะไรล่ะ? นั่นคือองครักษ์ของราชันสวรรค์นะ สมาคมวีรชนกล้ายื่นมือเข้ามาในกองทัพองครักษ์โดยไม่รายงานเบื้องบน ทั้งยังปิดบังมาหลายปีขนาดนี้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เจ้ารู้ถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า? เจ้าอยากจะลากทั้งตระกูลตระกูลหวงฝู่ลงหลุมศพไปกับเจ้าด้วยใช่มั้ย? เจ้าบอกมาซิว่าเจ้าบ้าไปแล้วรึเปล่า!”
ในหัวของหวงฝู่จวินโหรวมีน้ำตาคลอ “ท่านแม่ ในปีนั้นตอนนี้พวกเราอยู่ด้วยกัน เขายังไม่ได้เข้าไปอยู่ในตำหนักสวรรค์เลย ไม่อย่างนั้นลูกคงตัดขาดกับเขาไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนหลัง ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึง จะมาเสียใจทีหลังก็สายไปแล้วค่ะ!”
“อะไรนะ?” หวงฝู่ตวนหรงตะลึงค้าง นึกไม่ว่าถึงว่าลูกสาวกับเจ้าเวรนี่จะลักลอบคบกันเร็วกว่าที่นางค้นพบอีก “ตนอเขายังไม่ได้เข้าตำหนักสวรรค์ พวกเจ้าก็อยู่ด้วยกันแล้วเหรอ? เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร?”
หวงฝู่จวินโหรวตอบเสียงเบาอย่างทุกข์ใจว่า “ก่อนที่สมาคมวีรชนจะเอาหุ้นจากร้านขายของชำซื่อตรงไม่นาน”
“อะไรนะ?” หวงฝู่ตวนหรงส่ายหน้า นางไม่เชื่อ “เหลวไหลสิ้นดี! ตอนนั้นเจ้าช่วยปีศาจโลหิตกำจัดเขา เจ้าต้องการจะฆ่าเขา เขาเองก็อยากฆ่าเจ้า ตอนนั้นกำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเจ้ายังมีอารมณ์มาทำเรื่องแบบนี้อีกเหรอ?”
“ลูกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตอนนั้นเลอะเลือนจนมีความสัมพันธ์กันแล้ว” หวงฝู่จวินโหรวตอบ
ไม่ได้สิ! หวงฝู่ตวนหรงทำใจรับไม่ได้จริงๆ รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า เอนตัวไปด้านข้างอย่างช้าๆ เอามือประคองเก้าอี้ไว้แล้วค่อยๆ นั่งลง
เมื่อเห็นมารดามีท่าทีผิดปกติไป หวงฝู่จวินโหรวก็รีบก้าวเข้ามาประคอง หวงฝู่ตวนหรงกลับไม่รับน้ำใจ ผลักนางออกไป แล้วนั่งพิงเก้าอี้พร้อมเอามือนวดหน้าผาก นางหอบหายใจ อัดอั้นตันใจจะตายอยู่แล้ว
นางคิดไม่ตกจริงๆ คู่แค้นที่สู้กันเอาเป็นเอาตาย ยังไม่ทันได้เกลียดกันเลย จะทำแบบนั้นได้อย่างไร? ไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะทำได้เลย!
ไม่ง่ายเลยกว่าจะอาการดีขึ้น หวงฝู่ตวนหรงค่อยๆ ได้สติกลับมา นางเองก็เคยผ่านช่วงที่ยังไม่แต่งงานมาก่อน เข้าใจผู้หญิงในเวลานั้นดี ในด้านความรักไม่ได้ใช้สติปัญญาแยกแยะเลย นางพยายามส่ายหน้า ให้ตัวเองยอมรับความจริงนี้ แล้วกัดฟันพูดอีกว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ในเมื่อตอนนั้นเป็นแบบนั้นไปแล้ว ทำไมเจ้าไม่บอกแม่ ทำไมไม่ฉวยโอกาสบอกแม่ตอนที่เขายังไม่เข้ารับตำแหน่งในตำหนักสวรรค์? ตอนนั้นแม่สามารถช่วยให้พวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันได้อย่างสมเหตุสมผล ทำไมต้องทำให้กลายเป็นแบบนี้?”
“เข้าไม่ยอมแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง จะให้ลูกก้มหน้าขอร้องเขาเหรอ” หวงฝู่จวินโหรวตอบ
เหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ อับอายเกินไปจริงๆ พอนึกถึงเรื่องนี้ ที่จริงตัวเองก็เป็นคนผิด ตอนนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจชัดเจนว่าในตัวเองตอนนั้นรู้สึกอย่างไร ถึงได้ฝืนทำเรื่องแบบนั้นกับหวงฝู่จวินโหรว แน่นอน มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาสงสัย ว่าทำไมตอนนั้นหวงฝู่จวินโหรวถึงไม่ขัดขืน? อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปขืนใจนางเลย จำได้รางๆ เพียงว่าหลังจากจับแขนหวงฝู่จวินโหรวไว้ เรื่องราวทุกอย่างหลังจากนั้นก็เกิดขึ้นเพราะความเลอะเลือนขาดสติแล้ว…
เพี้ยะ! หวงฝู่ตวนหรงตบที่วางมือ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “เขาทำลายความบริสุทธิ์ของเจ้าแล้ว เจ้าบอกแม่ซิ เข้ามีสิทธิ์ไม่แต่งงานเข้าได้เหรอ? ถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ จนกลายเป็นแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? เขาไต่ตเจนถึงตำแหน่งแม่ทัพภาคกองมังกรดำของหน่วยองครักษ์ซ้ายแล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังได้คุมอุทานหลวงของวังสวรรค์ด้วย อารักขาความปลอยภัยของฝ่าบาทและกลุ่มเหนียง การที่คนของสมาคมวีรชนแอบคบกับคนในตำแหน่งสำคัญอย่างแม่ทัพภาคกองทัพองครักษ์แบบนี้ ถือเป็นการยื่นมือไปอยู่ใต้หนังตาฝ่าบาทแล้ว ยื่นมือเข้าไปแทรกข้างกายฝ่าบาท ทั้งยังปิดบังมาหลายพันปี ไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยทั้งนั้นว่าสมาคมวีรชนคิดจะทำอะไรกันแน่? แล้วเจ้าเวรนี่ก็บังเอิญก่อเรื่องในงานรับสนมของฝ่าบาทอีก ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้ล่ะ? ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมา แม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋งก็จะเพ่งเล็งพวกเราเช่นกัน ถึงตอนนั้นต่อให้ตระกูลหวงฝู่อธิบายยังไงก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะอธิบายให้ชัดเจนได้เหรอ? ขนาดแม่ยังไม่เชื่อเหตุผลที่เจ้าบอก เจ้าคิดว่าฝ่าบทจะเชื่อคำอธิบายนี้เหรอ? เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจำเป็นต้องเชื่อมั้ย? พอมีสิ่งที่น่าสงสัยเพียงนิดเดียว เจ้ารู้มั้ยว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ยอมฆ่าผิดตัวดีกว่ายอมปล่อยให้หลุดมือ’? สมาคมวีรชนจะเปลี่ยนให้ใครดูแลก็ดูแลไป เบื้องบนไม่ยอมให้สุนัขรับใช้เสียการควบคุมมาแว้งกัดแน่!”
นางโมโหจะตายอยู่แล้ว ไม่สนใจด้วยว่าเหมียวอี้จะเป็นคนนอกหรือไม่ เปิดโปงกำพืดของสมาคมวีรชนออกมาเสียเลย
หวงฝู่จวินโหรวทำท่าจะร้องไห้ เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ผู้จัดการใหญ่ ก็เพราะพวกเรารู้เรื่องนี้ไง ก็เพราะรู้เลยไม่กล้าทำอย่างเปิดเผย!”
“เหลวไหล! เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่มีดีสักตัว ถ้าไม่ใช่เพราะกามตัณหาขับเคลื่อนความใจกล้าของเจ้า ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าลูกสาวข้าจะไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญแบบนี้!” หวงฝู่ตวนหรงโบกมือชี้แล้วด่าเสียยับเยิน
เหมียวอี้เป็นวัวสันหลังหวะ โดนอีกฝ่ายเปิดโปงเรื่องแบบนี้แล้ว กอปรกับฐานะของอีกฝ่าย เขายังมีความมั่นใจอะไรจเถียงกลับอีกล่ะ ย่อมต้องหุบปากอยู่แล้ว
หวงฝู่ตวนหรงด่าเหมียวอี้จบแล้วก็ชี้หน้าด่าลูกสาวตัวเองอย่างปวดใจ “เจ้ามันโง่! ถ้าพูดในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้เจ้าไม่ได้มีภูมิหลังแบบนี้ แต่เจ้าจะหาใครก็ได้ ทำไมต้องมาเอาเขาด้วย! คนที่ก่อเรื่องตั้งแต่เช้ายันค่ำ กลัวว่าตัวเองจะโดดเด่นไม่พอ สักวันหนึ่งก็ต้องไม่ตายดี เจ้าจะไปพัวพันกับเขาทำไม?” ขณะที่พูด บนใบหน้าก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว ลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “โหรวโหรว เจ้าต้องรู้นะ ว่าระหว่างเจ้ากับเขาเป็นไปไม่ได้ เขาเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งในตำหนักสวรรค์ลึกเกินไป ต่อให้ตอนนี้เขาอยากจะออกจากตำหนักสวรรค์ก็ไม่ทันแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตำหนักสวรรค์จะปล่อยให้เขาออกไปหรือเปล่า ไม่ต้องพูดถึงว่าสมาคมวีรชนจะรับเขาไว้หรือเปล่า ต่อให้เก็บเขาไว้ก็ปกป้องเขาไว้ไม่ได้ เมื่อไรที่เขาไม่มีหน่วยองครักษ์ซ้ายถือหาง ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่!”
บทที่ 1511 ตัดขาดไม่เหลือเยื่อใย
ในดวงตาหวงฝู่จวินโหรวเริ่มฉายแววหวาดกลัว ไม่ใช่เพราะคำพูดของมารดา แต่เป็นเพราะวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเก้าตรงหว่างคิ้วของมารดา มารดาเอียงหน้ามองมาที่นาง นางมองเห็น แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับมองไม่เห็น
จากความดุร้ายที่ฉายอยู่ในดวงตาของมารดา นางก็รู้สึกได้ถึงจิตมุ่งสังหาร อยู่ในฐานะมารดาย่อมไม่ฆ่านางอยู่แล้ว แต่ตรงนี้นอกจากนางแล้วจะมีใครล่ะ…นางเข้าใจในชั่วพริบตาเดียว อธิบายถึงความร้ายแรงขนาดนั้น มารดาต้องการจะฆ่าปิดปาก!
“ท่านแม่!” หวงฝู่จวินโหรวก้าวขึ้นมากอดแขนมารดาตัวเองเอาไว้ “ไม่นะ! อย่าฆ่าเขา! ลูกขอร้องท่านเถอะ อย่านะ!” นางหันกลับมามองเหมียวอี้ “ไป! เจ้ารีบหนีไปสิ!”
เหมียวอี้ก็ได้ยินสิ่งที่พูดเมื่อครู่นี้แล้ว เข้าใจความหมายแล้วเหมือนกัน เห็นเพียงหวงฝู่ตวนหรงหันขวับมองมา เห็นสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วชัดเจน เขาก็ยิ่งแน่ใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว
“หนีเหรอ? ถ้าข้าจะหนี ข้าคงทิ้งเจ้าหนีไปแล้ว ยังต้องรอจนถึงตอนนี้อีกเหรอ? หนึ่งคนทำหนึ่งคนรับ จวินโหรว ไม่มีเหตุผบที่จะให้เจ้าแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียว เจ้าไปยืนทางนั้น ข้าจะอธิบายกับแม่เจ้าเอง!” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ให้นางปล่อยมารดา สีหน้าอับอายบนใบหน้าเริ่มสงบเยือกเย็นลง
ในแววตาเย็นเยียบของหวงฝู่ตวนหรงเจือด้วยความประหลาดใจแบบที่สังเกตเห็นได้ยาก ความหมายของอีกฝ่ายชัดเจนมาก ว่าไม่มีทางทิ้งลูกสาวนางหนีไปคนเดียว!
“อธิบายอะไร? เจ้ารีบหนีไปสิ!” หวงฝู่จวินโหรวร้อนใจจนแทบจะร้องไห้แล้ว นางกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น
สิง่ที่ทำให้นางร้อนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตรงหว่างเหมียวอี้ปรากฏสัญลักษณ์วรยุทธ์เช่นกัน เป็นบงกชรุ้งขั้นหนึ่ง
หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? นางเป็นแม่ข้านะ!” ถ้าทั้งสองสู้กันขึ้นมา นางควรจะช่วยฝั่งไหนล่ะ? กับเรื่องแบบนี้ คนที่อยู่ตรงกลางอย่างนางทรมานที่สุด
“หึหึ!” หวงฝู่ตวนหรงแสยะหัวเราะ ยิ้มมุมปากล้อเลียน “ข้าก็นึกว่าเอาความกล้ามาจากไหน ที่แท้วรยุทธ์ก็บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้วนี่เอง ความเร็วนี้ยังไม่ธรรมดา หรือเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้า?” นางใช้มืออีกข้างลงมืออย่างกะทันหัน ควบคุมหวงฝู่จวินโหรวเอาไว้ แล้วเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์ จะได้ไม่เป็นอุปสรรค
เหมียวอี้รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ถึงขั้นทำอะไรลูกสาวตัวเอง ดังนั้นจึงไม่กังวลแล้วว่าจะเกิดเรื่องกับหวงฝู่จวินโหรว จึงกล่าวด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นว่า “ข้าจะใช่คู่ต่อสู้ของท่านหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ข้ารับประกันได้เลย ว่าไม่ว่าข้าที่อยู่ในห้อง หรือลูกน้องข้าที่อยู่ข้างนอก ไม่ว่าท่านจะเก็บใครไว้สักคนก็คงยาก เพราะไม่ว่าใครจะหนีไปได้สักคน แต่ท่านก็รับข้อหาที่ลงมือกับแม่ทัพภาคอุทานหลวงมาไหวหรอก!”
“เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?” หวงฝู่ตวนหรงถาม
เหมียวอี้บอกว่า “ข้าไม่ได้ยากขู่ท่าน แค่เห็นแก่ที่ท่านเป็นมารดาของจวินโหรว ถ้าไม่ถึงที่สุดแล้วจริงๆ ข้าก็ไม่อยากลงมือกับท่านหรอก ข้าเพียงหวังให้ท่านเข้าใจ ว่าข้ากล้าบุกเดี่ยวฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านตอนทดสอบที่แดนอเวจี…ข้าไม่ปิดบังท่านนะ ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีคนเก่งกว่าท่านตั้งเยอะ แต่ก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี ถ้าท่านดึงดันจะลงมือให้ได้ ข้าก็ไม่นั่งรอความตายเฉยๆ หรอก ทำไมผู้จัดการใหญ่ต้องลำบากทำให้สะเทือนไปถึงคนเฝ้าตลาดสวรรค์ต้องมาดูล่ะ?”
หวงฝู่ตวนหรงจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของอีกฝ่ายมีผลหรือเปล่า เอาเป็นว่าสัญลักษณ์วรยุทธ์ตรงกว่างคิ้วค่อยๆ เลือนหายไป แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปแล้ว เจ้าเองก็ได้ยินแล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ข้าให้พวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเจ้าหวังดีกับนางจริงๆ ก็อย่ามาเจอกับนางอีก!”
เดิมทีนางนึกว่าต้องเปลืองคำพูดอีกมากมาย แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพยักหน้าตอบว่า “ได้เลย!”
หวงฝู่ตวนหรงอึ้งทันที ก่อนหน้านี้ยังเห็นเขาไม่ยอมหนีไปคนเดียวเพราะลูกสาวตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ เป็นเพราะถึงอย่างไรก็เคยเล่นไปแล้ว ก็เลยไม่ขาดทุนใช่มั้ย? นางอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้อีก ถ้าเจ้าไม่ปิดปากให้สนิท ตระกูลหวงฝู่ของข้าก็ไม่ได้อ่อนด้อยเช่นกัน ต่อให้ตระกูลหวงฝู่จะซวย แต่ก็ลากให้เจ้ามารับกรรมได้เหมือนกัน!”
“ท่านคิดจะจัดการจวินโหรวยังไง?” เหมียวอี้ถาม
หวงฝู่ตวนหรงบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าเป็นห่วงลูกสาวตัวเองยิ่งกว่าใคร!” สายตานางกวาดมองเตียงที่ยับยู่ยี่ กอปรกับกลิ่นประหลาดที่หลงเหลืออยู่ในห้อง ทำให้นางรู้สึกเหมือนมีไฟลุกในใจ ลูกสาวแสนสวยของนางต้องเสียเปรียบให้คนสารเลวคนนี้ ทั้งชีวิตลูกสาวนับว่าพังหมดแล้ว นางไม่อยากจะอยู่ตรงนี้ต่อแม้สักวินาทีเดียว แสยะยิ้มแล้วหันตัวจากไปเลย
รอจนกระทั่งตอนที่เหมียวอี้ออกมาจากห้องอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเงาของนางแล้ว มีเพียงแสงจันทร์ที่อ้างว้าง
เหยียนซิวเหาะมาเหยียบลงข้างกายเขา แล้วถามด้วยเสียงเย็นวังเวงว่า “นายท่านเป็นอะไรมั้ย?”
เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่เป็นอะไร เพียงแต่เงยหน้ามองพระจันทร์แล้วถอนหายใจ ยังไม่ทันเสพสุขกับหวงฝู่จวินโหรวเสร็จก็เจอเรื่องแบบนี้แล้ว นี่มันเรียกว่าอะไรกัน?
แต่เขาก็ต้องยอมรับเช่นกัน ว่านี่อาจจะเป็นจุดจบที่ดีที่สุดระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรว ไม่อย่างนั้นก็เขาก็ไม่มีทางอธิบายเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับหวงฝู่จวินโหรวได้เลย ตัดขาดแล้วก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่เขารู้สึกผิดกับผู้หยิงคนนั้น!
เขาไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกว่า “เรื่องนี้มีแค่เจ้าที่รู้ จะให้ฮูหยินรู้ไม่ได้เด็ดขาด”
เหยียนซิวพยักหน้า รู้ว่าถ้าให้ฮูหยินรู้เรื่องนี้นายท่านจะต้องแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่นอน ทั้งตระกูลเหมียวมีใครบ้างที่ไม่กลัวฮูหยิน?
นายท่านเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!
ที่ประตูเขตเมืองตะวันออก แม่นมหลิวที่เหาะลงจากฟ้าเดินตามหลังหวงฝู่ตวนหรงเข้ามาจนกระทั่งกลับถึงร้านค้าสมาคมวีรชน
พอเข้ามาในลานบ้านด้านใน ก็ทิ้งแม่นมหลิวเอาไว้ข้างนอก หวงฝู่ตวนหรงเดินเข้ามาในตึกคนเดียว เข้ามาในห้องนอนลูกสาวแล้วปิดประตู ก่อนจะโบกมือเรียกหวงฝู่จวินโหรวออกมา
หวงฝู่จวินโหรวมองไปรอบๆ พบว่ากลับมาถึงห้องนอนตัวเองแล้ว จึงดึงแขนมารดาด้วยสีหน้าตกใจกลัวทันที “ท่านแม่ ท่านทำอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ?”
หวงฝู่ตวนหรงสะบัดลูกสาวออก แล้วตอบด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ไม่ได้ทำอะไร เห็นแก่หน้าเจ้า แม่ไม่อยากให้เจ้าปวดใจ เลยปล่อยเข้าไปแล้ว!”
“จริงเหรอ!” หวงฝู่จวินโหรวดีใจเหนือความคาดหมาย
“เป็นความจริงอยู่แล้ว แต่แม่เจรจากับเขาดีๆ เขาตอบตกลงแล้ว วางตั้งแต่นี้ไปจะตัดขาดกับเจ้าแบบไม่เหลือเยื่อใย และรับปากด้วยว่าจะรักษาความลับ ข้าคิดว่าเขาคงไม่หลอกข้า ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ไม่ส่งผลดีอะไรกับเจ้า” หวงฝู่ตวนหรงกล่าว
ตัดขาดแบบไม่เหลือเยื่อใยเหรอ? หวงฝู่จวินโหรวตกใจ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีทาง!”
หวงฝู่ตวนหรงคว้าแขนนางไว้ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์คลายผนึกวรยุทธ์บนตัวนาง แล้วก็ผลักนาง “แม่จำเป็นต้องหลอกเจ้าด้วยเหรอ? ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ติดต่อกับเขาเพื่อยืนยันได้เลย ดูซิว่าแม่พูดผิดหรือเปล่า!”
หวงฝู่จวินโหรวเห็นนางแน่ใจขนาดนี้ ในใจก็พรั่งพรูไปด้วยความสิ้นหวัง นางยังตัดใจไม่ได้ รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ เตรียมจะถามเหมียวอี้ใช้ชัดเจน
แต่ใครจะคิดว่าภาพตรงหน้าจะพร่ามัว รู้สึกตึงที่ข้อมือ หวงฝู่ตวนหรงคว้าข้อมือนางไว้แล้ว ก่อนจะรีบลงมือผนึกวรยุทธ์ของนางอีก แย่งระฆังดาราออกมาจากมือนางแล้ว
หวงฝู่จวินโหรวได้แต่มองดู มองดูหวงฝู่ตวนหรงร่ายอิทธิฤทธิ์ลบบนระฆังดารา ลบตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ที่อยู่บนระฆังดารา
ชั่วพริบตานั้น หวงฝู่จวินโหรวก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางมารดา
สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย บนตัวนางมีระฆังดารามากมาย มารดาไม่สามารถรู้ได้ว่าตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราอันไหนเป็นของเหมียวอี้ ถ้าต้องเทียบระฆังดารามากมายขนาดนั้นก็ยุ่งยาก สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาว่าของอันไหนที่เหมียวอี้ทิ้งตราอิทธิฤทธิ์ไว้บ้าง แต่ถ้าทำแบบนั้นไปทั่วก็จะทำให้คนสงสัย มารดาจึงใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ ให้ตัวเองเป็นฝ่าบนำระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเหมียวอี้ออกมาเอง จะได้ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก
“ท่านแม่! นี่ท่านทำอะไร ท่านจะให้ข้ายืนยันกับเขาไม่ใช่เหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้าอย่างเศร้าโศก “เพราะอะไรคะ? ทำไมคะ?”
หวงฝู่ตวนหรงพลิกมือเก็บระฆังดาราอันนั้น สายตาที่มองลูกสาวเริ่มอ่อนโยนขึ้นทีละนิด นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ยืนยันหรือไม่ยืนยันก็ไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือแม่ไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อตอบตกลงที่จะตัดขาดกับเจ้าแล้วจริงๆ ทั้งยังรับประกันด้วยว่าจะไม่มาเจอเจ้าอีก ทำแบบนี้ดีต่อเจ้าา และดีต่อเขาด้วย ให้เรื่องนี้จบลงตรงนี้เถอะ ถ้าเจ้ายังพัวพันกับเขาต่อไป ก็จะลากให้ตระกูลหวงฝู่ประสบหายนะแบบไม่มีทางฟื้นคืนได้อีกตลอดไป เจ้าทนเห็นพ่อกับแม่เจ้าโดนตำหนักสวรรค์ลากไปประหารได้เหรอ? เจ้าทนเห็นพ่อกับแม่หัวร่วงลงพื้นได้ใช่มั้ย? เลิกเพ้อฝันโง่เง่าได้แล้ว กลับตัวเถอะ กลับตัวตอนนี้ยังไม่สาย”
หวงฝู่จวินโหรวยังคงหน้าซีด ยังคงผมเผ้ายุ่งเหยิง นางโซเซถอยหลัง แล้วส่ายหน้าอย่างเสร้าสลด นางรู้ว่าสิ่งที่มารดาพูดนั้นถูกต้อง นางรู้ว่าสิ่งตัวเองทำมันผิด แต่ในใจนางปล่อยวางคนคนนั้นไม่ได้จริงๆ แต่นางก็ไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบากไปด้วย นางพึมพำไม่หยุดว่า “แล้วข้าจะไปทางไหนดี…”
หวงฝู่ตวนหรงจึงบอกว่า “ขอเพียงเจ้าตัดขาดการติดต่อกับเขา ก็เลือกไม่ยากหรอกว่าจะไปทางไหนดี! ข้าจะส่งคนมารับช่วงต่อร้านค้าที่นี่ ต่อไปนี้เจ้าอยู่ข้างกายแม่ แล้วแม่จะหาผู้ชายดีๆ ให้เจ้าสักคน เลิกกับหนิวโหย่วเต๋อเจ้าก็ยังใช้ชีวิตได้สบายดีเหมือนเดิม”
หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มน่าเวทนา “ร่างกายข้าเป็นของหนิวโหย่วเต๋อตั้งนานแล้ว ท่านจะให้ข้าหาผู้ชายที่ไหนได้อีก? ใครจะอยากได้รองเท้าขาดชำรุดอย่างข้า?”
หวงฝู่ตวนหรงเลิกคิ้ว “ตอนนี้รู้จักนึกเสียใจทีหลังแล้วเหรอ? อย่างมากก็ไม่ต้องแต่งงาน! ต่อให้แต่งงานแล้วยังไงล่ะ? คานไม้ของตระกูลหวงฝู่ก็เห็นๆ กันอยู่ มีคนอยากแต่งงานเข้ามาในตระกูลหวงฝู่ของข้าอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาอยู่ในตระกูลหวงฝู่แล้ว เขาคนนั้นยังจะมีสิทธิ์มาชักสีหน้าใส่เจ้าอีกเหรอ? สามารถหาฮูหยินที่สวยขนาดลูกสาวข้าได้ เขาต้องแอบดีใจดี มีสิทธิ์อะไรมาเรื่องมากเลือกเยอะ! โหรวโหรว แม่จะบอกความจริงให้เจ้ารู้ก็ได้ ก่อนที่พ่อเจ้าจะแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ แม่ก็เคยผ่านผู้ชายคนอื่นมาแล้ว เคยติดหนึบอยู่ด้วยกัน เคยรักกันจนยากจะแยกจาก เพียงแต่คนคนนั้นไม่ยอมแต่งงานเข้าตระกูลเรา สุดท้ายก็ทำได้เพียงจบกัน เมื่อก่อนแม่ก็เคยกังวลเหมือนเจ้า แต่ตอนนี้แม่กับพ่อของเจ้าก็อยู่กันสบายดีไม่ใช่เหรอ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องมันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด!” ขณะที่พูดสิ่งนี้ดวงตาก็เหลือบต่ำลง ถ้าไม่ใช่เพื่อปลอบใจลูกสาว คาดว่าทั้งชีวิตนี้นางคงไม่บอกเรื่องนี้กับลูกสาว
หวงฝู่จวินโหรวสงบลงทันที เบิกตากว้างมองนาง…
“ได้ยินว่าท่านโหวเทียนหยวนลงจากตำแหน่งแล้วเหรอ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“จะเป็นยังไงได้ล่ะ? ตอนนี้เขากำลังทำงานที่จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง…”
จวนแม่ทัพภาคตงหัว เมื่อกันคนนอกออกไปหมดแล้ว เหมียวอี้ที่มาเยี่ยมเจ้านายเก่าก็ก็นั่งคุยกับปี้เยว่ฮูหยินในสวนดอกไม้ด้านหลัง ประเด็นสนทนาโยงไปถึงท่านโหวเทียนหยวน ไห่ยวนเค่อและไห่ผิงซินอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังจากขอบคุณที่เหมียวอี้ดูแลไห่ผิงซินแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็ทำสีหน้าหดหู่ใจ แล้วบอกว่า “ถึงแม้จะไม่เจอกัน แต่ข้ากับไห่ยวนเค่อก็ติดต่อกันบ่อยๆ ทางเทียนหยวนข้าก็ติดต่อบ่อยเหมือนกัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองทำอะไรอยู่ ตอนนี้ก็เจอลูกสาวไม่ได้ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเวรกรรมตามสนองข้า…”
เรื่องบางเรื่องไม่มีใครสามารถรับฟังนางได้ ตอนนี้ก็มีเพียงคนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกอย่างเหมียวอี้แล้ว หลังจากพูดเรื่องนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็พร่ำบ่นไม่หยุด
เหมียวอี้สังเกตเห็นว่าผู้หญิงที่เคยสวยหยาดเยิ้มมีสง่าราศี ตอนนี้ตรงหว่างคิ้วมีความระทมทุกข์ให้เห็นรางๆ หลังจากทนฟังนางบ่นได้พอสมควรแล้ว ก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ “ปี้เยว่ ให้ข้าขอยืมปีศาจจิ้งจอกพันหน้าตัวนั้นหน่อยได้มั้ย?”
บทที่ 1512 ภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ของหนิว...
“ปีศาจจิ้งจอกพันหน้า?” ปี้เยว่ฮูหยินตะลึงงัน ทำไมจู่ๆ ถึงโยงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าจะยืมมันไปทำอะไร?”
“มีเรื่องนิดหน่อย สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ท่านวางใจเถอะ ขอยืมไปไม่นาน เดี๋ยวจะเอามาคืนท่าน” เหมียวอี้ตอบ
ปี้เยว่ฮูหยินแสดงอาการลังเลนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขี้งก แต่ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าตัวนี้เกี่ยวข้องกับความลับใหญ่ของนาง ถ้าปีศาจจิ้งจอกปากไม่มีหูรูดขึ้นมา นางจะไม่อับอายแย่เหรอ นางเคยให้ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าแปลงร่างเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ด้วย
ถึงแม้หลังจากออกจากแดนอเวจีแล้ว นางจะให้ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าทำเรื่องแบบนั้นน้อยมาก แต่ก็ยังกังวลใจจริงๆ! หลายครั้งที่นางอยากจะฆ่าปิดปากปีศาจจิ้งจอกพันหน้า แต่สุดท้ายก็ยังทำใจไม่ได้
เหมียวอี้เห็นแบบนั้นก็เดาความกังวลของนางออกแล้ว เดิมทีอยากจะเปิดเผยว่าตัวเองรู้เรื่องนี้แล้ว แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่ได้พูด มีใครบางที่ไม่มีเรื่องลับส่วนตัวเลย? และเรื่องลับส่วนตัวของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน มิหนำซ้ำอีกฝ่ายก็ว่างเปล่าเดียวดาย เรื่องนี้พอจะเข้าใจได้ ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายเปิดเผบเรื่องนี้ เขาจึงรอต่อไปเงียบๆ
หลังจากเงียบไปนาน ปี้เยว่ฮูหยินก็อึกอักบอกว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะให้ยืมนะ แต่ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ไม่ซื่อสัตย์จริงๆ ช่างมันดีกว่ามั้ย”
เหมียวอี้ยกจอกสุราขึ้นมาจ่อตรงปากอย่างช้าๆ “หวังว่าฮูหยินจะช่วยให้สมปรารถนา หลังจากจบเรื่องจะส่งกลับมาให้ทันเวลาแน่นอน!”
เขาดึงดันจะเอาไปให้ได้ ปี้เยว่ฮูหยินจึงไม่สะดวกจะปฏิเสธแล้ว สุดท้ายก็พยักหน้าตอบรับ
ดังนั้นตอนที่เหมียวอี้ออกไป ในอ้อมอกจึงอุ้มจิ้งจอกสีชมพูที่ทำท่าทางเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรมตัวหนึ่งไปด้วย
ที่อุทานหลวง หยางชิ่งที่ยืนอยู่ในศาลาบนไหล่เขาทอดสายตามองไปยังจวนแม่ทัพภาคที่อยู่บนภูเขาตรงข้าม เขาถอนหายใจในขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล “น่าเสียดายที่ไม่ใช่เวยเวย อวิ๋นจือชิวมีคุณธรรมหรือความมสามารถอะไร มีสามีแบบนี้ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว เฮ้อ!”
เขาเองก็ทำอะไรกับเหมียวอี้ไม่ได้แล้วเช่นกัน
ที่จริงพอเหมียวอี้ออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ติดต่อเขาทันที ให้เขาและลูกน้องคนสนิทอย่างพวกหยางเจาชิงปลอมตัวไปสืบยังดาวเคราะห์ที่ครอบครัวพักอาศัยอยู่ ให้นำครอบครัวถอนกำลังออกไป เตรียมทิ้งกิจการที่พิภพใหญ่ ให้ถอนกำลังกลับพิภพเล็กก่อน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด!
ให้ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หยางชิ่งตกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ย่อมต้องสอบถามซ้ำๆ อยู่แล้ว เหมียวอี้เองก็รู้เช่นกันว่าปิดบังเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้ ถึงได้บอกความจริงเขา ตอนนี้หยางชิ่งถึงได้รู้ว่ามีคนจ้องอยากได้อวิ๋นจือชิวจนยั่วโมโหเหมียวอี้ และคนบ้าอย่างเหมียวอี้ก็ต้องการจะเคลื่อนพลโจมตีจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงโดยตรง สาบานว่าจะล้างเลือดจวนหัวหน้าภาคและสับร่างโจรสุนัขอย่างฉู่จื่อเซียนสักหมื่นดาบพันดาบ!
ขณะที่หยางชิ่งตกตะลึงพรึงเพริด ก็นับว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘เดือดดาลจนหัวตั้งเพราะสาวงาม!’
เขาได้รับรู้ถึงนิสัยของเหมียวอี้ยามทุ่มสุดตัวอีกครั้ง ไม่ได้คำนึงถึงผลที่ตามมาอะไรทั้งนั้น!
เขาย่อมแนะนำให้เหมียวอี้ไตร่ตรองให้ดี บัญชีของฉู่จื่อเซียนเอาไว้ชำระทีหลัง ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะประกาศความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับอวิ๋นจือชิว ก็สามารถชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบได้เลย ชิงอวิ๋นจือชิวมาไว้ในมือแล้วทำให้อยู่ในฐานะที่ถูกต้อง จากนั้นฉู่จื่อเซียนก็จะทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องดึงตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ทว่าเรื่องบางเรื่องเหมียวอี้สามารถทนได้ แต่เรื่องบางเรื่องเหมียวอี้ทนไม่ได้ ไม่ฟังที่เขาเกลี้ยกล่อมเลย แน่นอน การที่หมียวอี้ทำแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ในเมื่อเขาออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว แต่เกรงว่าฝั่งตระกูลอิ๋งจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ ประจวบเหมาะกับเกิดเรื่องของอวิ๋นจือชิวพอดี ก็ไม่สู้ชิงก่อกบฏก่อนให้สิ้นเรื่อง
สุดท้ายก็เป็นหยางชิ่งที่เกลี้ยกล่อมซ้ำอีก บอกว่าตัวเองอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้แล้ว พอจะเข้าใจสถานการณ์ทางนี้คร่าวๆ จึงทำงานอย่างระมัดระวัง เรื่องราวไม่ได้แย่เหมือนที่เหมียวอี้คิด จึงเสนอแผนการดีๆ ที่จะทำให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย สามารถทำให้เหมียวอี้บรรลุเป้าหมาย ทั้งยังปกป้องกิจการที่อยู่ทางนี้ได้ทั้งหมดด้วย ตอนนี้ถึงได้ทำให้เหมียวอี้สงบลง
ตอนหลังเหมียวอี้ถึงได้ไปพบกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะและคนอื่นๆ ตามแผนที่วางไว้
แน่นอน เหมียวอี้เปลี่ยนแปลงแผนการของหยางชิ่งอีกแล้ว อย่างน้อยหยางชิ่งก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ยืมตัวปีศาจจิ้งจอกพันหน้ามา ที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ก็เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จ
“เขาปฏิเสธเหรอ?” เฒ่าถังแปลกใจ
ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ โค่วเหวินหลานที่กลับมายังไม่ทันเจอท่านปู่ของตัวเอง โค่วหลิงซวีเองก็ไม่คุยธุระกับคนรุ่นหลานเช่นกัน กลับเป็นบ่าวชราข้างกายโค่วหลิงซวีที่มาถามสถานการณ์ที่จวนคุณชายสามโค่วเหมี่ยนด้วยตัวเอง คุณชายใหญ่โค่วเจิงกับคุณชายรองโค่วฉินก็มาแล้ว โค่วเหมี่ยนก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยเช่นกัน
ที่จริงเรื่องบางเรื่องก็บอกผ่านระฆังดาราได้ แต่โค่วเหมี่ยนอยากจะอาศัยโอกาสนี้ให้ลูกชายตัวเองคลุกคลีกับผู้ใหญ่มากๆ หน่อย เพราะการอยู่ห่างไกลกันนานๆ ไม่ใช่เรื่องดีอะไร จึงสั่งให้ลูกชายรีบกลับมารายงานแบบต่อหน้า
ถึงแม้ตัวเองจะเป็นนายน้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อบ้านเก่าแก่ที่ท่านปู่ไว้ใจที่สุด โค่วเหวินหลานก็ไม่กล้าวางมาดใส่ ยังตอบอย่างเคารพว่า “เป็นข้าที่จัดการเรื่องนี้ได้ไม่ราบรื่น ทำให้เขาตอบตกลงไม่ได้ แต่จนใจที่ท่านพ่อสั่งไว้ล่วงหน้าว่าเรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้”
“คุณชายสามพูดไม่ผิดหรอก ไม่มีเหตุผลที่จะฝืนยัดหลานสาวของตระกูลโค่วให้คนอื่น” เฒ่าถังที่ขมวดคิ้วพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ถามต่อว่า “คุณชายน้อย ได้ถามให้ชัดเจนหรือไม่ว่าทำไมเขาปฏิเสธ?”
โค่วเหวินหลานตอบอย่างเคารพว่า “เขาบอกว่าเขามีคนที่ถูกใจอยู่แล้ว บอกว่าอีกไม่นานก็จะได้รู้”
“อย่างนี้เหรอ…” เฒ่าถังลูบเครา
โค่วฉินแสยะยิ้ม “ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์จริงๆ สำคัญตัวเองจริงๆ”
เฒ่าถังเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามต่อว่า “คุณชายน้อย เขาได้บอกมั้ยว่าคนที่ชอบคือใคร? เล่าถึงสถานการณ์ตอนนั้นมาให้ละเอียดก็ได้”
โค่วเหวินหลานตอบว่า “เขาไม่ยอมบอก…” เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ โดยปิดบังเรื่องที่ตัวเองวางแผนกับน้องสาวตัวเอง
เมื่อเห็นเฒ่าถังตกอยู่ในอาการครุ่นคิด โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ก็ถามอีกว่า “ท่านอาถังคิดว่าในนั้นมีเรื่องปิดบังอยู่เหรอ”
เฒ่าถังส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าเป็นแค่คนที่ถูกใจทั่วไปก็ว่าไปอย่าง ที่เขาไม่ยอมบอก ก็เพราะกลัวว่าจะมีคนชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ มาแซงอยู่ตรงหน้าพวกเรา ถึงอย่างไรตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงก็ไม่ได้อ่อนด้อยเหมือนกัน อาจจะเป็นข้าที่คิดมากไป”
“ท่านอาถังไตร่ตรองรอบด้านไม่ผิดพลาด แต่ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ยังจะดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อต่อไปเหรอ?” โค่วเจิงถาม
เฒ่าถังบอกว่า “ถ้าข้าคิดมากไป ก็ย่อมต้องดึงตัวเขามาให้ได้ เพียงแต่ถ้าไม่สามารถแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้ ถ้าขาดความสัมพันธ์ระดับการแต่งงานไปแล้ว ต่อให้ดึงตัวมาได้ ความใกล้ชิดและห่างเหินก็จะไม่เหมือนกัน…ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
โค่วเจิงพยักหน้า “นึกไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อจะเพิ่มไวขนาดนี้ ใช้เวลาไม่นานก็บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้ว ในวันข้างหน้าจะต้องได้เป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญแน่นอน จะว่าไปแล้ว ต้องโทษที่ตอนแรกข้าจิตใจคับแคบเกินไป มีตาหามีแววไม่ ในปีนั้นท่านอาถังอุตส่าห์ตั้งใจเตือนให้ข้าสนใจเขามากๆ เรื่องที่เดิมทีลงทุนนิดหน่อยก็จะทำสำเร็จ แต่ข้ากลับทำให้มันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เป็นความผิดพลาดของข้าเอง”
เฒ่าถังมองเขาอย่างชื่นชม สามารถยอมรับผิดและตำหนิตัวเองได้ นี่สิความใจกว้างของผู้สืบทอดตระกูลโค่วในอนาคต ถ้าฝึกฝนอย่างหนักเพิ่ม ตระกูลโค่วก็มีผู้สืบทอดแล้ว จึงพูดปลอบใจว่า “เรื่องบางเรื่องต่างเวลาก็ต่างสถานการณ์ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงทำเหมือนกัน คุณชายใหญ่ไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง”
โค่วฉินไม่พอใจสายตาชื่นชมที่เฒ่าถังมองพี่ใหญ่ของตัวเอง จึงพูดแขวะว่า “ตำหนิตัวเองเพื่อหนิวโหย่วเต๋อที่ต่ำต้อยแบบนี้ พี่ใหญ่ทำเกินไปแล้วมั้ง” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือพี่ใหญ่จงใจดัดจริต และอยากจะเตือนเฒ่าถังให้สังเกต อย่าได้โดนตบตา
คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศในห้องเริ่มละเอียดอ่อนทันที ในใจพี่ใหญ่โค่วเจิงจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่สีหน้ายังไม่แสดงความผิดปกติอะไร เอียงหน้าช้าๆ มองไปที่โค่วฉิน แล้วถามว่า “น้องงรอง เจ้าต้องรู้ไว้นะว่าอาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อคือใคร?”
“อาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” โค่วฉินงุนงง โดนคำถามนี้ทำให้อึ้ง ถามกลับอย่างมึนงงว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับอาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อ?”
“เรื่องนี้ก็ไม่แปลกเช่นกัน ถ้าเจ้ารู้ว่าอาจารย์ของเขาคือใคร เกรงว่าเจ้าคงจะไม่พูดอย่างนี้” โค่วเจิงตอบเสียงเรียบ
“อาจารย์เขาคือใคร? ทำให้พี่ใหญ่ให้ความสำคัญขนาดนี้ได้ อย่าบอกนะว่าอาจารย์เขาคือฝ่าบาทราชันสวรรค์?” โค่วฉินสงสัย
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” โค่วเจิงส่ายหน้า แล้วกล่าวเบาๆ อย่างอ่อนโยนว่า “ช่วงนี้ภายนอกมีข่าวลือมาจากไหนก็ไม่รู้ บอกว่าอาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อคืออสุราอัคนี!”
“อสุราอัคนี?” โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยน สองพี่น้องอุทานตกใจพร้อมกัน
โค่วเหวินหลานยังงุนงง ไม่ได้เคยได้ยินชื่อบุคคลนี้มาก่อน แต่พอเห็นท่าทางของบิดากับลุงรองแล้ว ก็เหมือนจะตกตะลึงไม่เบา พอมองไปที่เฒ่าถังอีกครั้ง ก็พบว่ายังมีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ ไม่ประหลาดใจเลยสักนิด ราวกับรู้อะไรบางอย่างมา
“พี่ใหญ่ อสุราอัคนีไหน?” โค่วฉินทั้งประหลาดใจทั้งสงสัย
โค่วเจิงตอบว่า “เจ้าคิดว่ามีหลายอสุราอัคนีรึไงล่ะ? ก็ต้องเป็นอสุราอัคนีที่อยู่ในยุคโจรกบฏหกปราชญ์อยู่แล้ว!”
“เป็นเขาเหรอ!” สองพี่น้องอุทานอย่างตกใจอีกครั้ง
คนของยุคหกปราชญ์เหรอ? โค่วเหวินหลานอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านพ่อ อสุราอัคนีนี่เป็นคนยังไงเหรอ?”
โค่วเหมี่ยนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ในยุคหกปราชญ์จะมีคนอยู่คนหนึ่งที่ถูกหกปราชญ์ดึงตัว แต่ก็ไม่ยอมรับการควบคุมจากหกปราชญ์ อาศัยพลังอันแข็งแกร่งของตัวเองไปไหนมาไหนตามลำพัง นิสัยใจร้อนไม่ชอบถูกควบคุม วางอำนาจบาตรใหญ่ ไปมาอย่างอิสระในใต้หล้า แต่หกปราชญ์ก็ดันทำอะไรเขาไม่ได้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าเขามีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน”
โค่วเหวินหลานแอบตกใจ คนที่ยอดเยี่ยมระดับนี้เป็นอาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ หนิวโหย่วเต๋อมีภูมิหลังแบบนี้ด้วยเหรอ? เขาอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง “แล้วตอนนี้อาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหนขอรับ?”
โค่วเหมี่ยนถอนหายใจ “ตอนหลังไม่รู้ว่าคนคนนี้ไปทำอะไรผิด ยั่วโมโหประมุขไป๋เข้าแล้ว ประมุขไป๋ไล่ฆ่าไม่หยุด สุดท้ายก็กำจัดเขาได้! ก่อนหน้านี้ประมุขไป๋ยังเป็นคนที่ไม่โด่งดัง เรื่องแรกที่ทำหลังจากออกมาเผชิญโลกนี้ก็คือกำจัดอสุราอัคนี เพราะศึกนี้นี่แหละ ถึงได้ทำให้คนในใต้หล้ารู้จักตัวละครสำคัญอย่างประมุขไป๋!” พูดจบก็หันไปถามโค่วเจิง “พี่ใหญ่ แน่ใจได้ยังไงว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี? ข่าวลือผิดพลาดหรือเปล่า?”
โค่วเจิงไม่ตอบ แต่มองไปที่เฒ่าถังแทน
เฒ่าถังยิ้มบางๆ ถึงแม้จะอธิบายตอบแล้ว แต่กลับยังพูดไม่ละเอียดพอ “เกรงว่าทางฝ่าบาทคงจะสืบเจอแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อคือศิษย์ของอสุราอัคนี ไม่อย่างนั้นโพ่จวินที่ปกป้องหนิวโหย่วเต๋อคงไม่ตอบตกลงให้หนิวโหย่วเต๋อไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์หลังจากเข้าวังไปรอบหนึ่งหรอก เกรงว่าโพ่จวินก็คงจะรู้กำพืดของหนิวโหย่วเต๋อแล้วเช่นกัน อสุราอัคนีก็คือคนส่วนน้อยในปีนั้นที่สามารถเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อย่างอิสระ หลังจากเขาฝึกตนอยู่ในแดนดึกดำบรรพ์แล้วออกมา เขาถึงได้มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อเข้าไปในแดนดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปีแล้วออกมาอย่างปลอดภัย ทำให้คนตกตะลึงจริงๆ ไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน”
เพี้ยะ! โค่วฉินพลันปรบมือ ถอนหายใจอย่างสะเทือนอารมณ์ “ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าเสียดายแล้วจริงๆ!” ในใจเจ็บปวดยิ่งกว่าที่แสดงออกมาเสียอีก หนิวโหย่วเต๋อมีประวัติภูมิหลังแบบนี้ ฐานะตัวตนสูงขึ้นมาในรวดเดียว ถ้าให้คู่กับเหวินชิงลูกสาวตัวเองก็ไม่ถือว่าเกาะผู้หญิงกิน ถ้าสามารถหาลูกเขยแบบนี้ได้ ในภายหลังตัวเองก็จะมีแรงสนับสนุนเยอะแล้ว น่าเสียดาย ไม่น่าเชื่อว่าจะพลาดไปแบบนี้แล้ว!
โค่วเจิงกับโค่วเหมี่ยนจะไม่รู้สึกเสียดายเหมือนกันได้อย่างไร
โค่วเหวินหลานถามเบาๆ ว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ก็เกรงว่าจะมีคนไม่น้อยที่จ้องอยากได้วิชาฝึกตนของหนิวโหย่วเต๋อ”
เฒ่าถังส่ายหน้าเบาๆ “คุณชายน้อยอาจจะไม่รู้ ในชื่อเสียงของอสุราอัคนีมีคำว่า ‘ไฟ’ อยู่ด้วย เป็นเพราะเคล็ดวิชาที่เขาฝึกเป็นเคล็ดวิชาธาตุไฟ เคล็ดวิชาธาตุไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ ยิ่งระดับสูงก็ยิ่งเน้น ต่อให้ฝึกเคล็ดวิชาทั่วไป แต่ความสำเร็จในขั้นสุดท้ายก็ต่างกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละคนเช่นกัน ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทรู้กำพืดของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว มีหรือที่จะปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อมีชีวิตรอดมาจนตอนนี้ได้”
บทที่ 1513 อานุภาพยังหลงเหลือ
ตอนนี้โค่วเหวินหลานเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะแค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวถึงทำให้พ่อบ้านมาที่นี่ด้วยตัวเองได้ นึกถึงตอนแรกที่หนิวโหย่วเต๋อได้รับความสนใจจากตระกูลโค่ว พ่อบ้านก็แค่ถามคำเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้ปฏิบัติด้วยเหมือนมีเรื่องสำคัญแบบนี้
พอนึกถึงภูมิหลังของเหมียวอี้ ในใจเขาก็รู้สึกทอดถอนใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะมีประวัติความเป็นมาอย่างนี้ อาจารย์ของอีกฝ่ายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าก่อนที่ประมุขไป๋จะโด่งดังเสียอีก! พอคำนวณดูแล้ว เกรงว่าตอนนั้นราชันสวรรค์คงจะยังไม่เก่งเท่าไร ในตอนนั้นท่านปู่ตัวเองก็ไม่มีใครชายตาแลเช่นกัน
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ ลุงรองโค่วฉินก็เรียกเขา “เหวินหลาน ทำไมข้าได้ยินว่าตอนไปเจอหนิวโหย่วเต๋อครั้งนี้ เจ้าพาเหวินจื่อน้องสาวเจ้าไปด้วยล่ะ? ไม่ใช่ว่านิสัยเจ้าอารมณ์ของเหวินจื่อยั่วให้หนิวโหย่วเต๋อต้องคอยเคารพอยู่ห่างๆ หรอกใช่มั้ย?”
ในตอนนี้เรื่องที่โค่วเหวินหลานปิดบังถูกเปิดโปงแล้ว เท่ากับเป็นการเปิดโปงจิตใจที่เห็นแก่ตัวของบ้านลูกชายคนที่สาม มีความหมายที่ลึกซึ้งแบบนั้น
หางตาโค่วเจิงชำเลืองมองเฒ่าถัง โค่วเหมี่ยนเองก็ขมวดคิ้วสังเกตปฏิริยาของเฒ่าถังเงียบๆ
โค่วเหวินหลานตอบอย่างไม่ลนลานว่า “ลุงรอง ท่านเองก็รู้จักนิสัยของเหวินจื่อ นางเกาะแกะจะออกไปเที่ยวเล่นกับข้าให้ได้ พี่ชายอย่างข้าก็ขัดนางไม่ไหว แต่ข้ารับรองได้ว่าครั้งนี้เหวินจื่อไม่ได้คุยกับหนิวโหย่วเต๋อเลย เรื่องนี้พังพราะเหวินหลานคนเดียว ไม่เกี่ยวกับน้องขอรับ ถ้าลุงรองไม่เชื่อก็ไปสืบถามลูกน้องที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนได้เลย พวกเขาเห็นทุกอย่างกับตาแล้ว”
“เจ้าเด็กคนนี้ จะร้อนรนอะไร ข้าก็แค่ถามส่งเดชไปอย่างนั้น จะให้ไปสืบอะไรจากลูกน้องก็เกินไปแล้ว คิดว่าลุงรองจะไม่เชื่อเจ้าเหรอ” โค่วฉินกล่าวกลั้วหัวเราะ พร้อมทั้งใช้สายตาชำเลืองเฒ่าถังอย่างแนบเนียน
สีหน้าของเฒ่าถังสงบเยือกเย็น กล่าวพร้อมรอยยิ้มจืดๆ ว่า “พวกท่านคุยกันไปเถอะ บ่าวยังมีธุระอีกนิดหน่อย” เขากุมหมัดคารวะโดยไม่สนใจว่าคนพวกนี้จะยินยอมหรือไม่ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร หันตัวเดินจากไป เขาเหมือนจะรู้ชัดว่าสามพี่น้องแอบต่อสู้แย่งชิงกันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ไม่คิดจะเข้าไปมีส่วนรวม และไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย เพราะการที่สามพี่น้องไม่สามัคคีกันคือสิ่งที่อ๋องสวรรค์โค่วไม่อยากเห็น เขาไม่มีทางไปเติมเชื้อไฟใส่ในนั้น
สามพี่น้องรวมทั้งโค่วเหวินหลานกุมหมัดคารวะส่งพร้อมกัน
หลังจากวางมือลงแล้ว โค่วฉินก็ผิดหวังอยู่บ้าง พูดจาชัดเจนขนาดนั้นแล้ว แต่ผลปรากฏว่าเฒ่าถังไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรสักนิด เฒ่าถังเป็นคนที่ฉลาดขนาดนั้น เขาไม่เชื่อหรอกว่าเฒ่าถังจะฟังไม่เข้าใจ แต่เห็นได้ชัดว่าตาแก่นี่แกล้งโง่ ที่จริงเขาหวังให้เฒ่าถังสืบให้ละเอียดว่าโค่วเหวินหลานทำอะไรไว้แล้วไปรายงานท่านพ่อ ในบรรดาสามพี่น้อง ลูกชายเขาสูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรของตระกูลไปแล้ว จะให้เขายอมแพ้ได้อย่างไร
โค่วเจิงกับโค่วเหมี่ยนพากันกวาดตามองเขาอย่างแฝงความหมายล้ำลึก ทั้งสองต่างรู้ว่าตัวเองโดนเจ้ารองโดนวางกับดักแล้ว แต่เรื่องบางเรื่องก็เก็บไว้เพียงในใจ ไม่สามารถฉีกหน้ากันได้ ไม่อย่างนั้นถ้ายั่วให้ท่านพ่อโมโห ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย สิ่งที่ท่านพ่อไม่พอใจที่สุดก็คือการที่พวกเขาสาพี่น้องไม่สามัคคีกัน
“น้องรอง น้องสาม พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ” พี่ใหญ่โค่วเจิงพยักหน้าบอก แล้วตัวเองก็หันตัวเดินจากไป
บรรยาไม่ชอบมาพากล โค่วฉินไม่อยากจะอยู่ต่ออีก สุดท้ายก็กล่าวอำลาแล้ว
รอจนคนเดินออกไปแล้ว โค่วเหวินหลานก็ถามอย่างโมโหนิดหน่อย “ท่านพ่อ ลุงรองทำแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
โค่วฉินกล่าวเสียงเรียบว่า “บังอาจ! ข้าสอนเจ้าไว้ว่ายังไง? ข้าให้เจ้านินทาผู้ใหญ่ลับหลังแบบนี้เหรอ? มิหนำซ้ำลุงรองก็พูดไม่ผิด ถึงยังไงครั้งนี้พวกเราสองพ่อลูกก็ซ่อนความเห็นแก่ตัวเอาไว้ มีอะไรน่าโมโหล่ะ? เขาใจกว้างไม่ซักไซ้ต่อแล้ว ถ้าเจ้ายังวุ่นวายอีกก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวแล้ว พอแล้ว เรื่องผ่านไปแล้ว มีอะไรไม่พอใจก็ปล่อยให้ย่อยลงท้องไป เมื่อเจอลุงรองอีกครั้งเจ้าก็ทำสิ่งที่ผู้น้อยควรจะทำ ถ้ากล้าเสียมารยาทแม้แต่นิดเดียว ข้าจะตดขาเจ้า ไปได้แล้ว!”
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง สวนโบราณ เมฆหมอกลอยวนเวียน อิ๋งจิ่วกวงอ๋องสวรรค์อิ๋งนั่งลงหมากอย่างช้าๆ อยู่ตรงหน้ากระดานหมากล้อม บนกระดานแบ่งแยกฝั่งขาวดำชัดเจน แต่กลับไร้คู่ต่อสู้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเล่นหมากล้อมกับตัวเอง
หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามา เป็นบ่าวรับใช้เก่าแก่ข้างกายนั่นเอง เป็นผู้ดูแลบ้านจั่วเอ๋อร์ของจวนอ๋องสวรรค์
จั่วเอ๋อร์เรียกเบาๆ อยู่ข้างกายเขา “ท่านอ๋อง!”
อิ๋งจิ่วกวงถือหมากค้างไว้ สายตายังไม่ย้ายออกจากกระดาน ถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “มีเรื่องอะไร?”
จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ข้างนอกมีข่าวลือค่ะ ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี!”
“อสุราอัคนี…” หลังจากอิ๋งจิ่วกวงที่กำลังถือหมากขบคิดตาม ดวงตาสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นหลายเท่า หันกลับมาอย่างสะเทือนใจเล็กน้อย “ยืนยันข่าวหรือยัง?”
“ไม่ทราบเหมือนกันว่าข่าวมาจากไหน ไม่มีทางยืนยันได้ค่ะ” จั่วเอ๋อร์ตอบ
สายตาของอิ๋งจิ่วกวงเหลือบซ้ายเหลือบขวา กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย มือที่คีบตัวหมาตบลงบนกระดานพร้อมเสียงดังปั้ง แล้วจู่ๆ ก็ยืนขึ้น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ประมุขชิง โพ่จวิน รังแกกันเกินไปแล้ว! เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้กำพืดหนิวโหย่วเต๋อตั้งแต่แรกแล้ว ก็เลยส่งหนิวโหย่วเต๋อเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างไม่กลัวอะไรเพื่อจะให้คำอธิบายกับข้าเท่านั้น ปั่นหวัข้าเหมือนคนโง่จริงๆ น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!” ส่วนมืออีกข้างที่กำหมากล้อมไว้หลายเม็ดก็บีบจนมีเสียงดังแกร๊ก
ในขณะที่หมากหลายเม็ดกำลังจะโดนบีบแตก จู่ๆ เขาก็คลายมือออก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์…ถ้าไม่มีมูลหมาไม่ขี้จริงๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าเสียดายแล้ว”
จั่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเขาหมายความถึงด้านไหน “น่าเสียดายเหรอ?”
อิ๋งจิ่วกวงพยักหน้าเบาๆ “เป็นคนมีฝีมือที่หาพบได้ยาก! ถ้ารู้แต่แรกคงยุให้หรูอี้แต่งงานกับเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่ในเมื่อประมุขชิงถูกใจหรูอี้แล้ว ข้าก็ทำอะไรไมได้เหมือนกัน จั่วเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าในบรรดาหลานสาวข้ามีใครที่หน้าตาและคุณสมบัติดีบ้าง?”
จั่วเอ๋อร์อึ้งไปครู่หนึ่ง พอจะเดาความคิดเขาออกแล้ว เพียงแต่ไม่สะดวกจะตอบ ได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “หลานสาวท่านอ๋องก็ย่อมมีหน้าตาและคุณสมบัติดีทุกคนอยู่แล้ว”
อิ๋งจิ่วกวงหัวเราะเบาๆ รู้ว่านางไม่กล้าบอก จึงโบกมือแล้วบอกว่า “ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อย มีหรือที่จะไม่รู้จักความคิดของคนในสังคม กลุ่มเด็กสาวที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เกิด แต่ละคนจะมีทั้งหน้าตาและคุณสมบัติได้ยังไง แค่ไม่เจ้ากี้เจ้าการก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว เจ้าไม่อยากพูดข้าก็ไม่บังคับหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะส่งเรื่องนี้ให้เจ้าคิดต่อ เลือกคนดีๆ มาสักคน พยายามเลือกคนที่สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อใจสั่นหวั่นไหวได้”
จั่วเอ๋อร์รู้ว่าเขาต้องการจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จึงเตือนว่า “ท่านอ๋อง ตอนแรกเขาก่อเรื่องแบบนั้นที่อุทยานหลวง ทำแบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”
อิ๋งจิ่วกวงโยนหมากที่เหลือกลับไปบนกระดาน มีเสียงกระเด็นเปาะแปะอยู่พักหนึ่ง “ถ้าสามารถรับศิษย์ของอสุราอัคนีมาเก็บไว้ได้ แค่โดนตบหน้านิดหน่อยจะสำคัญอะไร วันหลังที่เขากลายเป็นหลานเขยที่คุกเข่าหมอบกราบเรียกข้าว่าท่านปู่ แค่นั้นก็กู้หน้ากลับมาได้ทุกอย่างแล้ว เออใช่ ออกคำสั่งลงไปบอกพวกลูกน้องด้วย ว่าอย่าคิดสั้นทำอะไรซี้ซั้ว”
จั่วเอ๋อร์เข้าใจเจตนาของเขา หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ลูกน้องที่อยู่ระดับล่างของตระกูลอิ๋งจะต้องมีคนแสดงผลงานแน่นอน นางจึงพยักหน้ารับคำสั่ง “บ่าวเข้าใจแล้ว”
จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวที่ถูกปกคลุมด้วยละอองฝน ใต้ชายคาของเรือนพักที่งดงาม อ๋องสวรรค์ฮ่าวเต๋อฟางที่สวมชุดหรูหราทั้งตัวกำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงรั้ว ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แล้วพยักหน้าบอกว่า “เรื่องนี้อธิบายชัดเจนแล้ว ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมโพ่จวินปกป้องแล้วแต่ยังตอบตกลงให้ส่งเจ้าเด็กนั่นไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ สงสัยประมุขชิงจะมีแผนการในใจตั้งนานแล้ว การที่เจ้าเด็กนั่นรอดชีวิตออกมาจากแดนดึกดำบรรพ์ได้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานยืนยันแล้ว เฒ่าซู ศิษย์ของอสุราอัคนีเชียวนะ ถ้าในอนาคตมีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของอสุราอัคนี แบบนั้นก็จะช่วยพวกเราได้เยอะ ข้าอยากได้ตัวเขามาอยู่ฝ่ายเรา แต่คงจะไม่ได้มีแค่ตระกูลเราที่อยากได้เขา เจ้าคิดว่าจะฉวยโอกาสก่อนยังไงดี?”
เฒ่าซูคือสตรีวัยกลางคนหน้าสวยที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตชาย ชื่อว่าซูอวิ้น ทำหน้าที่เหมือนพ่อบ้านของจวนอ๋องสวรรค์ แต่ไม่เหมือนกับพ่อบ้านของจวนอ๋องสวรรค์อื่นๆ ซูอวิ้นไม่ใช่บ่าวรับใช้ของตระกูลฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางเคารพนางมาตลอด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ซูอวิ้นเป็นหญิงงามรู้ใจของฮ่าวเต๋อฟาง ทั้งสองเคยมีความรักอันน่าซาบซึ้งใจต่อกัน เพียงแต่คู่รักในโลกนี้อาจจะไม่ได้ครองเรือนอยู่ด้วยกันเสียทั้งหมด ด้วยความที่ต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ต่อให้เป็นอ๋องสวรรค์ฮ่าวในตอนนี้ แต่ปีนั้นก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้เลยต้องแต่งงานกับอีกคนเช่นกัน ก่อนที่ฮูหยินของเขาจะตาย นางก็พะวงเรื่องหนึ่งมาตลอดจนไม่ยอมตายตาหลับ ฮ่าวเต๋อฟางไม่เข้าใจ แต่ซูอวิ้นกลับเข้าใจ ซูอวิ้นจึงสาบานตรงนั้นว่าทั้งชาตินี้จะไม่แต่งงานกับฮ่าวเต๋อฟาง ถึงได้ทำให้ฮูหยินของฮ่าวเต๋อฟางยอมตายตาหลับ
ตั้งแต่นั้นมา ซูอวิ้นกับฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่แสดงความรู้สึกต่อกันอย่างเกินขอบเขต ต่อให้จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต แต่ก็ไม่เคยล้ำเส้นแม้เพียงครึ่งก้าว ทั้งยังเป็นฝ่ายวางแผนเรื่องการแต่งงานให้ฮ่าวเต๋อฟางเองด้วย ส่วนฮ่าวเต๋อฟางถึงแม้จะรับอนุภรรยาไว้เพื่อสืบทายาท แต่กลับไม่แต่งงานอีกเลยตลอดชีวิต ตำแหน่งฮูหยินเอกจึงว่างมาตลอด
ซูอวิ้นกล่าวอย่างลังเลว่า “ประเด็นสำคัญของปัญญานี้ก็คือ ประมุขชิงรู้เบื้องลึกของเขาแล้ว จะยอมปล่อยมือง่ายๆ เหรอคะ?”
“เรื่องนี้เอาไว้จัดการอีกทีก็ได้ ข้าอยากได้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เจ้าคิดว่ายังไง?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม
ซูอวิ้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “พวกเราก็ไม่มีจุดอ่อนอะไรมาควบคุมเขา ตอนนี้มีเพียงการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่จะผูกมัดเขาไว้ได้ เป็นวิธีการที่มั่นคงปลอดภัยที่สุดแล้ว เพียงแต่ทำแบบนี้อาจจะต้องเสียสละผู้หญิงของตระกูลฮ่าวสักคน ท่านอ๋องคิดไว้หรือยังว่าจะเลือกใคร?”
ฮ่าวเต๋อฟางตอบว่า “ไม่นับว่าเสียสละหรอก หนิวโหย่วเต๋อนั่นหน้าตาไม่ได้แย่ ความสามารถก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย สักวันหนึ่งลูกสาวหลานสาวของตระกูลฮ่าวก็จะต้องแต่งงาน แต่งออกไปอาจจะไม่ได้เจอคนที่ดีกว่าหนิวโหย่วเต๋อก็ได้ มิหนำซ้ำหลังจากจบเรื่องนี้ข้าก็ไม่เสียเปรียบแน่นอน ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ในบรรดาคนที่ยังไม่แต่งงาน เจ้าว่าใครสวยที่สุด?”
ซูอวิ้นยิ้มเจื่อนๆ แบบนี้แปลว่าต้องการจะลงทุนเยอะ นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ชายหนุ่มมากฝีมือที่ตามจีบเยี่ยนจื่อมีเยอะที่สุด”
“ข้าก็คิดว่าเป็นนางเหมือนกัน งั้นก็เยี่ยนจื่อแล้วกัน เจ้าไปจัดการเถอะ” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าว
“รับทราบ!” ซูอวิ้นที่แต่งตัวเป็นชายกุมหมัดคารวะ จากนั้นหันตัวจากไป บางทีอาจจะเป็นเพราะเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นเกินไป ชุดบัณฑิตที่อยู่บนตัวจึงดูหลวมโคร่ง
ถึงแม้จะยังมีสง่าราศีอยู่ แต่ฮ่าวเต๋อฟางที่หัวหงอกแล้วก็หันตัวไปมองเงาหลังของนาง ในดวงตาสื่ออารมณ์ซับซ้อน พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้ายังมีช่วงวัยที่งดงาม แต่ข้าแก่แล้ว ไม่ได้คาดหวังอย่างอื่น โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ได้แต่หวังว่าจะปกป้องให้เจ้าอยู่อย่างสงบสุขตลอดชีวิตได้…”
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในสวนหยก มีเสียงหัวเราะพูดคุยดังจ้อกแจ้กจอแจ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่สดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิกำลังเต้นแข่งกันอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม ด้านนอกมีคนล้อมไว้วงหนึ่ง ตรงกลางสลับกันจับคู่ขึ้นไปเต้นไม่หยุด
บนตึกที่อยู่ด้านข้าง โต๊ะและเก้าอี้อยู่ท่ามกลางการปรนนิบัติจากสาวใช้ ด้านหลังโต๊ะยาวที่วางผลไม้หลากสีสันเอาไว้เต็ม อ๋องสวรรค์ก่วงลิ่งกงกำลังมองข้างล่างพลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน
สตรีวัยกลางคนที่นั่งแอบอิงอยู่ข้างเขาเรียกได้ว่าหยาดเยิ้มออดอ้อนไร้ที่เปรียบจริงๆ หายากมากในใต้หล้า หน้าอกแบบนั้น บั้นท้ายแบบนั้น ทั้งยังมีเอวที่เพรียวบาง จุดที่อวบอัดก็ทำให้คนใจเต้นแรง จุดที่เพรียวบางก็ทำให้คนมองปราดเดียวแล้วเพ้อฝัน ดวงตางามที่อ่อนโยนราวกับน้ำนั่นเหมือนจะชุ่มฉ่ำออดอ้อนอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มยั่วเย้ากระชากวิญญาณให้คนเหม่อลอยได้ ย่อมไม่ต้องพูดถึงความงามแล้ว ถ้าพูดถึงท่วงท่าออดอ้อนเย้ายวนของนาง ในใต้หล้าก็ไร้เทียมทาน และการที่นางสามารถนั่งเทียบเสมอกัยอ๋องสวรรค์ก่วงได้ก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน
ในปีแรกๆ ที่สี่อ๋องสวรรค์ติดตามประมุขชิงบุกยึดใต้หล้า คนในครอบครัวก็ล้มตายไปเกือบหมด คนที่แต่งงานรับฮูหยินเอกมีเพียงก่วงลิ่งกง นางก็คือผู้หญิงที่อยู่ข้างกายนี่เอง ชื่อก็มความหมายเหมือนกับตัวนาง ชื่อว่าเม่ยเหนียง เดิมทีผ่านลมผ่านฝนมามากมาย ก่วงลิ่งกงไม่ได้มีเจตนาจะแต่งงานอีก แต่ตอนหลังเมื่อลูกน้องนำเม่ยเหนียงมามอบให้ อ๋องสวรรค์ก่วงก็ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ทุนเม่ยเหนียงบ่นไม่ไหว เลยช่วยให้เม่ยเหนียงสมปรารถนาแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น