คัมภีร์วิถีเซียน 1507-1509

ตอนที่ 1507 อิฐผลึกชุบไฟ

 

หนึ่งชั่วยามให้หลัง การโคจรของระลอกคลื่นสีดำกลางอากาศเหนือเนินเขาหยุดลงแล้ว


 


 


ลูกบอลสีดำมะเมื่อมเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสิบจั้งค่อยๆ ปรากฏภายในระลอกคลื่นอย่างช้าๆ มีม่านแสงสีดำกวาดออกไปรอบๆ เป็นพักๆ เสริมพลังเข้าไปในธงด้ามใหญ่สองฝั่งที่อยู่เบื้องล่างอย่างบ้าคลั่ง


 


 


พลังบริสุทธิ์แต่ละกลุ่มถูกส่งเข้าไปในจุดตายของเขตอาคมมหึมาด้วยพลังอาคมต้องห้ามของธงมหึมาสองด้าม


 


 


ในตอนนี้ เขตอาคมขนาดเล็กบนส่วนยอดของเนินเขาถูกม่านแสงสีดำปกคลุมอย่างมิดชิด


 


 


พวกหานลี่สามคนต่างก็จมเข้าไปข้างในทั้งหมด พื้นที่ทั้งหมดล้วนเป็นสีดำเปรอะ มองไม่เห็นสถานการณ์ภายในนั้น


 


 


บริเวณใกล้เคียงนอกจากจะมีเสียงเพรียกเบาๆ ของเขตอาคมที่กำลังโคจรดังออกมาเป็นระลอกแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก


 


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำ บอลสีดำมหึมาที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศสูงก็ค่อยๆ มีขนาดเล็กลง


 


 


นี่ย่อมมีสาเหตุมาจากปราณทมิฬบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วแน่นอน


 


 


ทันใดนั้น ภายในเขตอาคมเบื้องล่างก็มีเสียงร้องดังออกมาคราหนึ่ง สะเทือนจนทำให้ม่านแสงสีดำเกิดการสั่นขึ้นระลอกหนึ่ง


 


 


“ปัง!” ลำแสงสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นดวงหนึ่งทะลวงม่านแสงสีดำออกมาด้านนอก แล้วหมุนวนเวียนรอบหนึ่ง คล้ายกับคิดจะพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง


 


 


แต่เมื่อได้ยินเสียงคนแค่นเสียงคราหนึ่ง ลำแสงกระบี่สีทองเล่มหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาจากม่านแสงสีดำ ภายในชั่วพริบตาก็กลายเป็นลำแสงสีทองเจิดจ้าพันธนาการลำแสงสีเขียวไว้ภายใน ก่อนที่จะตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


 


 


หลังจากที่ม่านแสงสีดำเกิดการพลิกตัวระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นเบาบางลง เผยให้เห็นเงาคนนั่งขัดสมาธิสามคนผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้านใน


 


 


ขณะเดียวกัน เสียงดังหึ่งๆ ของเขตอาคมแสงขนาดเล็กก็เงียบไป และหยุดลงชั่วคราว


 


 


“รบกวนสหายทั้งสองแล้ว สัญลักษณ์อันแรกถูกขจัดออกไปแล้ว พวกเรามาเริ่มอันต่อไปกันเถอะ” ครู่ต่อมา เสียงของหานลี่ที่ดูค่อนข้างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็ดังออกมาภายในม่านแสงสีดำ ทว่าภายในน้ำเสียงนั้นกลับมีความฮึกเหิมที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้


 


 


“พี่หาน กระตุ้นปราณทมิฬเข้าไปมากเช่นนี้ ร่างกายของทันจะรับไหวจริงๆ หรือ? พักผ่อนอีกสักหน่อยแล้วค่อยดำเนินการต่อดีหรือไม่?” เสียงอันไพเราะของหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล


 


 


“ขอบคุณสำหรับความหวังดีของแม่นางหยวน แต่เวลาเร่งด่วนมาก จำเป็นต้องเร่งมือขจัดสัญลักษณ์ที่เหลืออีกสามอัน หากช้าจะเกิดเหตุพลิกผันขึ้น” หานลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง


 


 


“ในเมื่อพี่หานรู้สึกว่าไม่มีปัญหา ข้ากับศิษย์น้องก็จะไม่ปรามแล้ว ถ้าสหายทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ แค่บอกล่วงหน้าสักคำก็ได้แล้ว” เสียงของเหยียนลี่ถ่ายทอดมาด้วยน้ำเสียงเคารพ


 


 


“ผู้แซ่หานซาบแล้ว จากนี้พวกเรามาต่อกันเถอะ” หานลี่มีท่าทางคล้ายจะยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับดูไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


 


ดังนั้น ขณะที่หยวนเหยาถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ม่านแสงสีดำภายในเขตอาคมก็เปล่งแสงเจิดจ้า และส่งเสียงดังหึ่งๆ อีกครั้ง


 


 


ภายในม่านแสงสีดำ ร่างเลือนรางของพวกหยวนเหยาสองคนร่ายคาถาปล่อยลำแสงสีดำออกมาทีละสายอีกครั้ง และพากันจมเข้าไปในร่างของหานลี่…


 


 


ในขณะที่หานลี่ขจัดสัญลักษณ์อันแรกออกมาได้ สถานที่ที่ไกลจากพวกหานลี่หลายแสนจั้ง บนภูเขาสูงพันจั้งลูกหนึ่ง เงาร่างสีเขียวสลัวๆ ตลอดทั้งร่างกำลังยืนอยู่บนหินมหึมาก้อนหนึ่ง กำลังจ้องมองไปยังทิศทางที่หานลี่อยู่ด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนฉงนสนเท่ห์


 


 


“เป็นไปไม่ได้ สัญลักษณ์ที่ข้าทิ้งไว้ถูกทำลายแล้ว ตามหลักแล้วสัญลักษณ์เหล่านี้ถ้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไปก็ไม่มีทางขับออกมาได้ หรือว่าจะมียอดฝีมือช่วยเหลือเขา?”


 


 


เงาคนรูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าสะสวย ที่แท้ก็คือมู่ชิง


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหญิงผู้นี้จึงไม่ได้อยู่กับพวกลิ่วจู๋ แต่มาตามหาหานลี่ตามลำพัง


 


 


ในระหว่างทางนั้น นางได้สำแดงเคล็ดวิชาลับกระตุ้นสัญลักษณ์ภายในร่างของหานลี่ ทำให้หานลี่ทำลายสัญลักษณ์ที่นางฝังไว้เป็นอันดับแรกอย่างเลี่ยงมิได้


 


 


“แบบนี้ก็ยุ่งยากแล้ว จากการตอบสนองของสัญลักษณ์ที่ถูกทำลายในตอนท้าย น่าจะมาจากทิศทางนี้ไม่ผิดแน่ แต่พื้นที่กว้างใหญ่เช่นนี้ การจะค้นหาไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องเสี่ยงดวงดูแล้ว” หญิงผู้นี้ขมวดคิ้วแน่นพลางพูดพึมพำสองสามประโยค ก่อนที่ร่างของนางจะพลิ้วไหวอย่างไม่ลังเล กลายเป็นรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพวยพุ่งออกไป


 


 


อีกด้านหนึ่ง บนพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกสีขาว สามคนกับหนึ่งหุ่นเชิดกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ต่างก็คุมเชิงกันอยู่


 


 


“พี่ลิ่วจู๋! ตอนนี้พวกข้าสลัดชาวแมงเม่าผู้นั้นกับอสูรวชิระอเวจีสองตนออกไปแล้ว ท่านควรจะนำน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีออกมาแบ่งกันสามคนเถอะ” คนที่พูดคือชายชุดโลหิตที่ถูกห่อหุ้มด้วยหมอกโลหิต ซึ่งยืนอยู่บนไหล่ของหุ่นเชิดโลหิตม่วง 


 


 


“ก่อนหน้านี้สหายเอาแต่พูดตลอดว่าไม่สนใจ หรือว่าเกิดความคิดจะฮุบเอาไว้คนเดียวเสียแล้ว พี่ลิ่วจู๋คงไม่ลืมคำสาบานที่พวกเราพูดก่อนเดินทาง และอาคมต้องห้ามที่ใช้เคล็ดวิชาคำสาปโลหิตที่ร่ายใส่กันและกันหรอกนะ หากพวกข้ากระตุ้นอาคมต้องห้ามโดยที่ไม่สนว่าพลังปราณจะบาดเจ็บสาหัส สหายก็จะเสียพลังยุทธ์ไปกว่าครึ่ง” หญิงงามผมขาวที่กำลังเผชิญกับราชาภูตทั้งแปดที่กรูกันเข้ามา ก็กล่าวด้วยสีหน้าน่าสะพรึงกลัวเช่นกัน


 


 


ชายผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ มีดวงตาที่ซับซ้อน จะต้องเป็นลิ่วจู๋อย่างแน่นอน


 


 


ตอนนี้เขาลอยอยู่ฝั่งตรงข้ามของพวกหญิงงามผมขาว สายตากวาดมองไปบนร่างของทั้งสองคน ท้ายที่สุดก็ปริปากอย่างเรียบๆ “ตามเจตนาเดิมของข้า ย่อมคิดที่จะแบ่งน้ำนมเทวะกับสหายทั้งหลายอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายตรงที่ดูเหมือนก่อนหน้านี้ไม่นาน น้ำนมเทวะในสระถูกคนอื่นเก็บไปแล้วครั้งหนึ่ง ที่เหลืออยู่นี้แค่พอให้ข้าใช้ได้คนเดียวเท่านั้น จะแบ่งกับพวกเจ้าได้อย่างไร เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน น้ำนมเทวะทั้งหมดนี้ยกให้ข้า แล้วข้าจะให้สมบัติล้ำค่าจำนวนมากเป็นการแลกเปลี่ยน จะได้ไม่ทำให้พวกเจ้ามาเสียเที่ยว พวกเจ้าสองคิดว่าอย่างไร?”


 


 


“จะมีสมบัติล้ำค่าอะไรที่เทียบเทียมกับน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีได้? นอกจากว่าท่านจะมียาวิญญาณที่ใช้เข้าสู่ระดับมหาเมธี หาไม่แล้ว ต่อให้มีสิ่งของที่ดูล้ำค่าในสายตาผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปมาเรียงกันมากมายแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับผู้ที่มีระดับพลังยุทธ์อย่างพวกข้า” หญิงงามผมขาวสีหน้าหม่นหมอง พลันพูดด้วยความเกรี้ยวโกรธ


 


 


ชายชุดโลหิตได้ยินคำนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายอย่างต่อเนื่องหลายหน ทว่าก็ยังไม่พูดในทันที


 


 


“น้องตี้เซวี่ย เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เมื่อเห็นว่าชายชุดโลหิตไม่ได้กล่าวปฏิเสธ ลิ่วจู๋จึงถามระบุชื่อโดยตรง


 


 


แม้ว่าตรงหน้าจะมีแค่สองคน แต่เพียงแค่หนึ่งในนั้นยอมตกลงเงื่อนไขนี้ อีกคนหนึ่งย่อมไม่อาจคัดค้านได้ ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ของลิ่วจู๋ก็เหนือกว่าทั้งสองคน ถ้าเหลือแค่คนเดียวก็ไม่ใช่คู่มือของเขาแล้ว


 


 


“ตี้เซวี่ย! เจ้าคงไม่ได้แก่จนเลอะเลือน คิดจะตกลงเงื่อนนี้จริงๆ สินะ” หญิงงามผมขาวหันหน้ามามองแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น


 


 


“หากน้ำนมเทวะเหลือแค่หนึ่งส่วน แม้ว่าสหายลิ่วจู๋จะยินดีนำออกมาแบ่งกับพวกเราจริงๆ ปริมาณน้อยเช่นนี้ สำหรับพวกเราก็ไม่มีประโยชน์อะไร หากยังคงเป็นของแค่คนๆ เดียว แล้วจะต่างอะไรกับตอนนี้! หรือว่าสหายหลานคิดว่าตัวเองน่าจะได้ครอบครองน้ำนมเทวะนี้ล่ะ” ชายชุดโลหิตกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ


 


 


“คำพูดของสหายตี้เซวี่ยถูกต้องที่สุด! ข้าน้อยเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” ลิ่วจู๋หัวเราะอึมครึม


 


 


หญิงงามผมขาวตกตะลึงเล็กน้อย แต่ฉับพลันก็ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยขึ้น “ใครจะรู้ว่าในมีเขามีน้ำนมเทวะแค่หนึ่งส่วนจริงหรือไม่ พวกข้ายังไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองเลย”


 


 


“ไม่ผิด! นี่คือสิ่งที่ตัวข้าเองก็ลังเลอยู่เหมือนกัน สหายลิ่วจู๋ ท่านสามารถพิสูจน์คำพูดเมื่อครู่นี้ให้พวกเราดูได้หรือไม่” ชายชุดโลหิตดวงตาปรากฏสีของความเด็ดขาดออกมาปราดหนึ่ง พลันจ้องมองใบหน้าลิ่วจู๋ไม่ละสายตา


 


 


“สรรพคุณของน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีมีผลแค่ตอนใช้ครั้งแรกเท่านั้น หากกินหรืออาบครั้งที่สอง ผลที่ได้มีน้อยมาก ตรงจุดนี้สหายทั้งสองก็น่าจะรู้ดี นอกเสียจากว่าข้าน้อยสมองเลอะเลือน ถึงจะยอมแตกคอกับสหายทั้งสองเพื่อของที่ไม่มีประโยชน์ สหายทั้งสองคงยังไม่รู้ว่าน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีบรรจุอย่างไรสินะ” ลิ่วจู๋เงียบขรึมอยู่พักหนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยถอนหายใจยาวแล้วกล่าว


 


 


“ที่สหายลิ่วจู๋พูดหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าการเก็บน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจี นอกจากจะต้องสอดคล้องกับชีพจรวิญญาณที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังมีความลี้ลับอย่างอื่นอีก” หญิงงามผมขาวถามด้วยความสงสัย


 


 


ดวงตาซับซ้อนของลิ่วจู๋เปล่งแสงสีเขียววูบหนึ่ง เมื่อเขาสั่นแขนเสื้อ ของสิ่งหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาแล้วหล่นลงในฝ่ามือ ก่อนที่จะประคองขึ้นมาอย่างนิ่มนวล


 


 


คิดไม่ถึงว่าจะเป็นก้อนอิฐทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าใสแจ๋วก้อนหนึ่งที่คล้ายทำมาจากผลึก พื้นผิวเรียบลื่นผิดปกติ ใสสะอาดและโปร่งใสสุดๆ


 


 


บริเวณใจกลางของอิฐก้อนนี้ กลับมีของเหลวสีแดงสดขนาดเท่ากำปั้นวงหนึ่งกำลังสั่นไหวอ่อนๆ อยู่ในนั้น แม้ว่าจะถูกกันด้วยผลึกหนึ่งชั้น ก็ยังมีปราณวิญญาณอันน่าสะพรึงแผ่กระจายออกมาจากอิฐและก่อตัวเป็นหมอกวิญญาณสีขาวนวลเป็นเส้นๆ อย่างรวดเร็ว วนรอบบริเวณใกล้เคียงไม่หยุด


 


 


ภายในชั่วพริบตาก็ห่อหุ้มอิฐก้อนนี้ไว้


 


 


“ของสิ่งนี้เรียกว่าอิฐผลึกชุบไฟ เป็นสิ่งที่เผ่าแมงเม่าหลอมขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ดูดซับและกักเก็บน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีโดยเฉพาะ ปกติแล้วของสิ่งนี้จะอยู่ใต้สระของพระราชวังใหญ่ใต้ดินแห่งนั้น และจะหลอมรวมกับชีพจรวิญญาณเป็นเนื้อเดียวกันในทันที คิดจะเก็บออกมานั้นลำบากยากยิ่ง น้ำนมเทวะเมื่อถูกดูดซับเข้าไปในของสิ่งนี้แล้ว นอกจากจะต้องมีอักขระลับชนิดหนึ่งที่เผ่าแมงเม่าสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ หาไม่แล้ว ภายในระยะเวลาอันสั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่สามารถเก็บน้ำนมเทวะนี้ออกมาได้แม้แต่เสี้ยวเดียว นอกจากว่าผู้บำเพ็ญเพียรอย่างข้าจะใช้เพลิงแท้ภายในร่างหลอมสิ่งนี้เป็นเวลานานสิบกว่าปี จึงจะสามารถหลอมอิฐก้อนนี้ได้ ตอนนี้น้ำนมเทวะมีปริมาณเท่าไหร่ สหายทั้งสองสามารถแยกแยะด้วยตัวเองได้” ลิ่วจู๋กล่าวด้วยท่าทางสงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“กลิ่นอายของสมบัติชิ้นนี้เหมือนกับกลิ่นอายของหมอกวิญญาณในสระนั้นไม่มีผิดเพี้ยน น่าจะเป็นน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีไม่ผิดแน่ แต่บอกว่าพวกข้าไม่สำมารถทำลายของสิ่งนี้ได้ สหายไม่รู้สึกว่าคุยโวไปหน่อยหรือ?” ชายชุดโลหิตกวาดมองอิฐผลึกก้อนนั้นอยู่หลายรอบ สายตาเผยความละโมบออกมาเสี้ยวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แต่ปากก็บอกว่าไม่เชื่อในเวลาเดียวกัน


 


 


“ดูเหมือนพูดปากเปล่าจะไม่มีน้ำหนัก เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ข้าจะวางของสิ่งนี้ไว้กลางอากาศเหนือศีรษะ สหายทั้งสองสามารถโจมตีของสิ่งนี้อย่างสุดกำลังได้หนึ่งครั้ง หากสามารถทำให้ของสิ่งนี้เสียหายได้ถึงครึ่งส่วน ข้าจะมอบน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีให้ทันที หากไม่สามารถทำได้ ของสิ่งนี้ก็ตกเป็นของข้า และข้าจะมอบสมบัติอย่างอื่นให้เป็นการชดเชยสหายทั้งสอง? ไม่เช่นนั้น แม้ว่าสหายทั้งหลายจะกระตุ้นเคล็ดวิชาคำสาปโลหิต ก็คงไม่ดีไปกว่าข้าน้อยเสียเท่าไหร่ มิหนำซ้ำก็อาจจะอำนวยความสะดวกให้ผู้อื่นในที่แห่งนี้ฉวยโอกาสได้” ลิ่วจู๋ลังเลครู่หนึ่ คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวออกมาเช่นนี้


 


 


“คำพูดนี้เป็นจริงแน่นะ?” หญิงงามผมขาวสองตาเปล่งประกาย พลันเกิดแรงจูงใจขึ้นมา


 


 


“ข้าก็อยู่ตรงนี้ มีสิ่งใดให้โกหกเล่า” ลิ่วจู๋หัวเราะหึๆ คราหนึ่ง


 


 


“ดี เช่นนี้ก็เป็นอันตกลง” หญิงงามผมขาวกล่าวตกลง เห็นได้ชัดว่ามีความเชื่อมันในตัวเองอยู่บ้าง


 


 


“หากข้าไม่สามารถทำลายสมบัติชิ้นนี้ได้ ข้าก็จะไม่แลกเปลี่ยนของอื่นใดอีก ข้าแค่อยากให้พี่ลิ่วจู๋ไปที่สุสานมารเป็นเพื่อนกับข้าสักหน ช่วยนำสมบัติสองชิ้นออกมาก็พอแล้ว” ชายชุดโลหิตดวงตาเปล่งประกายอยู่หลายหน คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวเช่นนี้


 


 


“ไปที่สุสานมาร? แม้ว่ากายของมารนอกดินแดนเหล่านั้นจะตายไปไม่รู้กี่ปีแล้ว แต่ศาสตรามารเหล่านั้นก็เชื่อมวิญญาณและเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว เทียบกับสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าทั่วไปยังร้ายกาจกว่าหลายส่วน บวกกับส่วนลึกของที่นั่นปราณมารและปราณทมิฬผสมผสานกันอย่างหนาแน่นผิดปกติ คนธรรมดาอยู่ในนั้นยากที่จะเดินเหินได้แม้แต่ครึ่งก้าว ครั้งก่อนสหายมู่ชิงกับพวกเจ้าเคยบุกไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็คว้าน้ำเหลวกลับมาไม่ใช่รึ?” ลิ่วจู๋ขมวดคิ้วคราหนึ่ง ดูเหมือนจะไม่ยินยอมกับเรื่องนี้สุดๆ


 


 


“ไยสหายลิ่วจู๋ต้องถามให้แน่ชัดด้วย ในเมื่อเจ้าหนูแซ่หานยังไม่ตาย มีอัสนีปัดเป่าภยันตรายของเขาเป็นตัวบุกเบิกแล้ว หากมีพี่ลิ่วจู๋คอยช่วยเหลือ การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่มีปัญหา จู่ๆ สหายมู่ชิงก็แยกตัวออกไปกลางทาง ไม่แน่ว่าคงจะไปตามหาแล้ว” 

 

 


ตอนที่ 1508 พลังของหานลี่

 

ได้ยินชายชุดโลหิตกล่าวเช่นนี้ หญิงงามผมขาวก็ขมวดคิ้วคราหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกายไม่หยุด


 


 


“หากไปที่สุสานมาร เกรงว่าจะต้องเสียเวลาไม่น้อย ถ้าเกิดกองกำลังเสริมของเผ่าแมงเม่ามาถึงอย่างกะทันหัน ไม่ว่าใครก็หนีไม่พน” น้ำเสียงของลิ่วจู๋กลับไม่ได้เด็ดขาดเช่นนั้น


 


 


“หึๆ หากเผ่าแมงเม่าสามารถเข้ามาในช่องว่างมิตินี้ได้รวดเร็วขนาดนั้น แล้วทำไมเผ่าแมงเม่าที่สิงร่างหุ่นเชิดที่เหลืออยู่จะต้องทุ่มสุดชีวิตกับพวกเราเพียงนี้ด้วย แค่รอกำลังเสริมอย่างเดียว จะมีอะไรดีขึ้นอย่างนั้นหรือ ภายในระยะเวลาอันสั้น ลำพังเผ่าแมงเม่าไม่น่าจะมีใครเข้ามาในดินแดนนี้ได้ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่พี่ลิ่วจู๋ได้รับน้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีไปคนเดียวแล้ว จะเสี่ยงเพื่อพวกข้าหน่อยก็น่าจะเป็นเรื่องสมควรแล้วกระมัง” ชายชุดโลหิตหัวเราะหึๆ คราหนึ่ง


 


 


ใบหน้าของลิ่วจู๋ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ทว่าดวงตาที่ซับซ้อนของเขากลอกไปมาครู่หนึ่ง กำลังแอบชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียอยู่ ผ่านไปพักหนึ่ง จึงค่อยเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ได้ ข้าไปที่สุสานมารเป็นเพื่อนพวกเจ้าได้ แต่ทำได้แค่ช่วยพวกเจ้าเก็บศาสตรามารสองชิ้นเท่านั้น ถ้าอยากได้สมบัติมากกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของตัวสหายเองแล้ว”


 


 


“ฮ่าๆ คำไหนคำนั้น! สำหรับเรื่องของอิฐผลึกชุบไฟ ข้าน้อยเชื่อคำพูดของพี่ลิ่วจู๋ ไม่จำเป็นต้องลงมือแล้ว” ชายชุดโลหิตหัวเราะดังลั่น พลันขยับร่างพลิ้วไหว คิดไม่ถึงว่าจะลอยไปด้านหลังหลายจั้งอย่างช้าๆ


 


 


ที่ด้านข้าง หุ่นเชิดโลหิตม่วงที่เปลี่ยนสภาพเหมือนคนปกติไม่ผิดเพี้ยนก็ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างซึมกะทือเช่นเดียวกัน


 


 


“สหายหลาน ความเห็นของเจ้าล่ะ?” เมื่อเห็นว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยตกลงเงื่อนไขแล้ว ลิ่วจู๋ก็กลอกตาทีหนึ่ง ดวงตาที่ซับซ้อนจ้องมองหญิงงามผมขาว ปรากฏความเย็นยะเยือกออกมาลางๆ


 


 


“เงื่อนไขของข้าก็เหมือนกับสหายตี้เซวี่ย ทว่าข้ายังต้องลองดูสักหน่อยว่าอิฐผลึกชุบไฟนี้แข็งแรงไม่มีทางหักจริงๆ” รูม่านตาของหญิงงามผมขาวหดเล็กลง นางลังเลอยู่พักหนึ่ง จึงค่อยกล่าวอย่างเยือกเย็น


 


 


“ได้สิ สหายลงมือโจมตีเถอะ” ลิ่วจู๋กลับแสดงท่าทีเด็ดขาด หลังจากรับปาก ก็ชูมือขึ้นคราหนึ่ง ทันใดนั้นอิฐผลึกชุบไฟก้อนนั้นก็ลอยขึ้นไปในอากาศเหนือศีรษะเจ็ดแปดจั้ง แล้วลอยคว้างไม่ขยับเขยื้อน


 


 


หญิงงามผมข้าวจ้องมองอิฐผลึก นัยน์ตาเผยจิตใจต่อสู้อันร้อนแรงออกมาแวบหนึ่ง ครั้นสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง ราชาภูตแปดตนที่อยู่เบื้องหลังก็กระโจนเข้าใส่ร่างของนางในชั่วพริบตา


 


 


ขณะที่แสงสีดำเปล่งประกาย หญิงงามผมขาวก็สวมชุดเกราะสีดำขลับอีกครั้ง ในมือพลันปรากฏค้อนประหลาดด้ามหนึ่ง


 


 


มือข้างหนึ่งสั่นเบาๆ ทันใดนั้นเสียงประหลาดก็ดังออกมาจากค้อนระลอกหนึ่ง เงาลวงตาหัวกะโหลกทั้งแปดหัวก็ปรากฏออกมาโลดเต้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง


 


 


หลังจากที่ลิ่วจู๋กวาดสายตามองไปที่ค้อนด้ามนั้น ก็เอ่ยขึ้นโดยที่น้ำเสียงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย “แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้ของสหายจะมีอิทธิฤทธิ์ไม่เบา แต่คิดจะทำลายอิฐผลึกชุบไฟนั้นไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ขอเตือนไว้ก่อน ทางที่ดีสหายหลานแค่โจมตีอิฐผลึกชุบไฟอย่างเดียวเท่านั้น หากคิดจะเล่นลูกไม้อื่นๆ ในขณะที่โจมตี ก็อย่าหาว่าข้าน้อยไร้น้ำใจไมตรีเลย”


 


 


“จะแข็งแรงไม่มีทางหักได้จริงๆ หรือไม่ ลองดูแล้วค่อยว่ากันทีหลังเถอะ” หญิงงามผมขาวไม่สนใจคำพูดวางมาดของลิ่วจู๋ที่อยู่ด้านหลังแม้แต่น้อย พลันโยนค้อนประหลาดในมือไปตรงหน้า


 


 


ภายในชั่วพริบตา ปราณภูตอันน่าสะพรึงกลัวก็ก่อตัวเป็นพายุทมิฬรุนแรง! ครู่ต่อมาค้อนประหลาดก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า หัวกะโหลกทั้งแปดที่ฝังอยู่บนพื้นผิวของค้อนเลื้อยขยุกขยิกไม่หยุดนิ่ง ในปากส่งเสียงขบเคี้ยวและเสียงร้องประหลาดไม่หยุด


 


 


จากนั้นเพลิงสีเขียวแต่ละกองก็ปรากฏออกมาในบริเวณใกล้เคียงของค้อนด้ามนี้อย่างไร้สาเหตุ ทำให้ค้อนกลายเป็นลูกไฟขนาดมหึมาลูกหนึ่ง


 


 


เพลิงสีเขียวเหล่านี้ดูเหมือนจะมีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ ภายใต้การลุกไหม้อย่างดุดัน แม้กระทั่งอากาศในบริเวณใกล้เคียงยังกลายเป็นภาพเลือนรางไม่ชัดเจน คล้ายกับถูกทำให้บิดเบี้ยวก็มิปาน


 


 


ลิ่วจู๋ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ เพียงแค่ยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น รอดูหญิงงามผมขาวลงมือ


 


 


ชายชุดโลหิตได้ประจักษ์กับอานุภาพของค้อนประหลาดด้ามนี้ กลับหรี่ตาลงคราหนึ่ง ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายในลำแสงโลหิตเผยให้เห็นถึงอารมณ์ที่รู้สึกเหลือเชื่อ


 


 


ปากของหญิงงามส่งเสียงร้องดังลั่น!


 


 


ค้อนประหลาดหมุนเคว้งรอบหนึ่ง ก่อนที่จะทุบลงบนอิฐผลึกที่มีขนาดราวๆ ฉื่อกว่าเท่านั้น


 


 


ทว่าขณะที่ค้อนกำลังร่วงลงมานั้น ตัวค้อนก็สั่นสะเทือนอย่างฉับพลัน เพลิงสีเขียวก่อตัวสูงขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเงาค้อนจำนวนนับไม่ถ้วน โจมตีอิฐผลึกจากสี่ทิศแปดทางพร้อมกัน


 


 


การโจมตีนี้แทบจะเท่ากับการโจมตีร้อยกว่าทีในครั้งเดียว


 


 


ดวงตาของลิ่วจู๋แสดงความตกตะลึงเล็กน้อย แต่มุมปากก็เผยรอยยิ้มเยาะออกมา


 


 


กลางอากาศเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นอย่างไม่ขาดสาย ราวกับมีอัสนีบาตนับร้อยผ่าลงมาจากท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน ทำให้อากาศในบริเวณใกล้เคียงส่งเสียงสะท้อนอื้ออึงไม่หยุด


 


 


ชายชุดโลหิตสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


 


ขณะที่ค้อนด้ามนี้กำลังต้านกับเขตอาคมแสงสีดำภายในพระราชวังใหญ่ใต้ดินนั้น ก็ยังดูไม่ออกว่ามีอานุภาพเพียงใด แต่การโจมตีของจริงแค่ครั้งเดียว คิดไม่ถึงว่าจะทรงอานุภาพเช่นนี้!


 


 


สำหรับอิฐผลึกชุบไฟก้อนนั้น ได้ถูกลำแสงสีเขียวเจิดจ้าห่อหุ้มไว้ข้างในก่อนแล้ว จึงยังมองไม่ออกชั่วครู่


 


 


ครู่ต่อมา หญิงงามผมขาวก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าไปในอากาศ


 


 


ทันใดนั้น เงาค้อนทั้งหมดก็สลายหายไป เหลือเพียงตัวค้อนประหลาดที่กลายเป็นดวงแสงสีเขียวพุ่งทยานกลับมา


 


 


จากนั้นหญิงผู้นี้ก็จ้องมองไปที่อิฐผลึก สีหน้าดูย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง


 


 


คาดไม่ถึงว่าภายใต้การโจมตีอันรุนแรงเช่นนี้ อิฐผลึกชุบไฟก้อนนั้นจะคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย พื้นผิวเรียบลื่นผิดปกติ แม้แต่รอยเว้าหรือร่องของการปริแตกก็ไม่มี


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้สหายหลานคงจะเชื่อคำพูดของข้าน้อยแล้วสินะ น้ำนมเทวะแม่น้ำอเวจีนี้ข้าน้อยเองก็ไม่สามารถเก็บมาได้ในระหว่างทาง ต้องใช้วิธีขโมยสับเปลี่ยน” ลิ่วจู๋กล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง


 


 


“เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด น้ำเทวะเป็นของท่านแล้ว ท่านต้องไปที่สุสานมารเป็นเพื่อนพวกเราสองคนด้วย” หญิงงามถอนหายใจยาวคราหนึ่งแล้วกล่าว ราวกับจะพ่นความกลัดกลุ้มภายในใจออกไปให้หมด


 


 


ต่อมาหญิงผู้นี้ก็ตั้งท่าร่ายคาถาสองมือ เกราะศึกบนร่างกับค้อนประหลาดในมือก็สลายหายไปอีกครั้ง กลายเป็นเงาสีดำแปดเงาเรียงรายอยู่ข้างหลัง


 


 


“เรื่องนี้เป็นอันตกลง จากที่นี้ไปยังสุสานมารนั้นไม่ได้ใกล้เลย ต่อให้พวกเราเร็วแค่ไหนก็ต้องเสียเวลานานถึงครึ่งเดือน ทว่าก่อนที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ควรหาคนๆ หนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากันใช่หรือไม่” ลิ่วจู๋ผงกศีรษะเล็กน้อย พลันกวัดมือไปในอากาศคราหนึ่งแล้วกล่าว


 


 


อิฐผลึกชุบไฟพลิ้วไหวคราหนึ่ง แล้วอันตรธานหายไปอย่างไร้สาเหตุ


 


 


แม้แต่สองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ดูไม่ออกว่าสมบัติชิ้นนี้ถูกลิ่วจู๋เก็บไปได้อย่างไร หลังจากที่หญิงงามกับชายชุดโลหิตหันมาสบตากันทีหนึ่ง จิตใจที่หวาดกลัวลิ่วจู๋ก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


“ภายในร่างของเจ้าเด็กแซ่หานมีสัญลักษณ์ที่พวกเราฝังไว้อยู่ แม้ว่าจะอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็อย่าได้คิดว่าพวกเราจะไม่รับรู้ อีกเดี๋ยวข้าจะกระตุ้นสัญลักษณ์สักหน่อย ดูซิว่าเจ้าเด็กนี่หนีไปที่ใด คนผู้นี้ใจกล้าพอสมควร กล้าฉวยโอกาสตอนชุลมุนลักพาตัวศิษย์ของข้าไป” เมื่อหญิงงามผมขาวพูดถึงหานลี่ขึ้นมา ใบหน้าก็ปรากฏไอสังหารออกมาชั้นหนึ่ง


 


 


“เหอะๆ! สหายหลาน เจ้าก็รู้ดีว่าเจ้าเด็กแซ่หานกับศิษย์หญิงทั้งสองของเจ้ามีความสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่แน่ชัด ยังจะวางแผดดูดปราณทมิฬของพวกนาง ก็ไม่แปลกที่เขาจะช่วยหญิงงามหนีไป ข้ากลับรู้สึกนับถือเจ้าเด็กนี่มาก ไม่เพียงแต่หนีรอดออกมาจากปากของอสูรวชิระอเวจีได้อย่างปลอดภัย ยังกล้าแย่งคนไปต่อหน้าต่อตาพวกเราอย่างโจ่งแจ้งอีก จุ๊ๆ แม้แต่หุ่นเชิดโลหิตแปลงกายที่ข้าพากเพียรฝึกฝนมาหลายปีก็ยังไม่สามารถขวางเอาไว้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้เยาว์ทั่วไปจะกล้าทำได้!” ชายชุดโลหิตกลับหัวเราะประหลาดคราหนึ่ง แล้วเอ่ยปากชมขึ้นมา


 


 


“หึ! ตัวประหลาดเฒ่า เจ้าเห็นเด็กนี่ดีขนาดนี้ ไยไม่รับเป็นศิษย์เสียเลยล่ะ ดีไม่ดีต่อไปศิษย์อาจจะเก่งกว่าครูเสียด้วยซ้ำ!” หญิงงามผมขาวสีหน้ามืดครึ้ม พลันพูดอย่างไม่เกรงใจ


 


 


“ที่ผู้เฒ่าฝึกเป็นศาสตร์แห่งโลหิต นอกเสียจากว่าเจ้าเด็กนี่ยินดีที่จะถูกดัดเอ็นเปลี่ยนโลหิต ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้คิดเลย อีกทั้งผู้เฒ่าก็เป็นผู้สันโดษมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยคิดจะถ่ายทอดอิทธิฤทธิ์ของตัวเองให้ผู้ใด ยังจะต้องการลูกศิษย์อะไรอีก?” ตี้เซวี่ยหัวเราะเยาะคราหนึ่ง


 


 


“แม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าเด็กนั่นไม่นับว่าสูงมาก แต่เกรงว่าจะมีความลับอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังกล้าเลือกเส้นทางฝึกฝนของคู่บำเพ็ญเพียร แต่ยังสามารถฝึกฝนจนถึงขั้นนี้ได้ ไม่ว่าจะอิทธิฤทธิ์หรือพลังยุทธ์ก็เหนือกว่าระดับเดียวกันอย่างลิบลับ หากมีวันหนึ่ง เขาสามารถเข้าสู่ระดับเดียวกับพวกเราได้จริงๆ เกรงว่าพวกเราทั้งหลายร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขา ดังนั้นนี่จึงทำให้คนผู้นี้สามารถฝึกฝนมาถึงแค่ขั้นนี้เท่านั้น ความยากในการทะลวงระดับของคู่บำเพ็ญเพียร เหนือกว่าวิธีการฝึกฝนทั่วไปหลายเท่า” ลิ่วจู๋กล่าวอย่างช้าๆ


 


 


“คู่บำเพ็ญเพียร? สหายคงไม่ได้มองผิดหรอกนะ รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” เสียงอุทานเบาๆ ดังมาจากปากของหญิงงามผมขาว นางรู้สึกค่อนข้างตกตะลึง


 


 


ชายชุดโลหิตได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งแสงโลหิตออกมาวาบหนึ่ง คล้ายจะตะลึงเช่นกัน


 


 


“ไม่มีอะไรมาก ข้าน้อยมีอิทธิฤทธิ์ฟ้าประทานชนิดหนึ่ง ซึ่งบังเอิญสามารถมองทะลุระดับความแข็งแกร่งคร่าวๆ ของกายเนื้อคนๆ หนึ่งได้ เจ้าเด็กคนนี้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่มาจากมุมอันไกลโพ้นของทวีปเทียนหยวน ไม่ใช่คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินอะไรหรอก เพียงแต่ไม่รู้ว่าปะปนเข้ามาในการทดสอบของบุตรสวรรค์เผ่าวิญญาณเหาะเหินได้อย่างไร เท่าที่ข้ารู้มา เผ่ามนุษย์เป็นหนึ่งในไม่กี่เผ่าในทวีปเทียนหยวนที่กายเนื้ออ่อนแอที่สุด แต่กายเนื้อของเจ้าเด็กคนนี้แข็งแกร่ง ถึงขั้นที่ไม่ด้อยไปกว่าพวกเราเลย สมบัติศาสตราแหลมคมทั่วไปเกรงว่าก็ไม่สามารถตัดกายเนื้อของเขาลงได้อย่างง่ายดาย ในด้านอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริง น่าจะสามารถต่อกรตัวตนระดับผู้บำบัญชาการวิญญาณขั้นปลายได้ ยิ่งกว่านั้น หากคนผู้นี้ยังมีอิทธิฤทธิ์ที่พิเศษอะไรอีก เป็นไปได้มากว่าระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นปลายทั่วไปก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขา” ลิ่วจู๋พูดด้วยจิตใจเยือกเย็น ราวกับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของหานลี่เป็นอย่างดี


 


 


ได้ยินลิ่วจู๋ประเมินหานลี่สูงเช่นนี้ หญิงงามผมขาวกับชายชุดโลหิตก็สมตากันทีหนึ่ง ต่างก็เห็นอาการตกตะลึงพรึงเพลิดของอีกฝ่าย


 


 


แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าหานลี่ไม่ใช่ตัวตนระดับทั่วไป แต่ก็ไม่มีทางมองเขาสูงถึงขั้นนี้เป็นอันขาด อย่างมากก็มองว่าเขาเป็นตัวตนระดับผู้บัญชาการวิญญาณขั้นต้นหรือขั้นปลายเท่านั้น แต่ได้ยินคำพูดของลิ่วจู๋ในตอนนี้ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนขั้นสุดยอดที่รอลงมาจากระดับผสานอินทรีย์ไปแล้ว


 


 


“ระดับแม่ทัพวิญญาณขั้นปลายก็สามารถต่อกรระดับผู้บัญชากรวิญญาณขั้นปลาย! แม้ว่าในโลกนี้จะมีอิทธิฤทธิ์ที่ฝืนธรรมชาติอยู่จริงๆ แต่บอกว่าพลังของคนผู้นี้ทยานระดับได้สามสี่ขั้น นี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว” หญิงงามผมขาวพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อ


 


 


“หึๆ สหายหลาน คำพูดของพี่ลิ่วจู๋ข้ากลับเชื่อ ในอดีตข้าก็เคยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ระดับหลอมสูญคนหนึ่งมาเหมือนกัน ผลลัพธ์คือ คนผู้นี้อาศัยเพียงเขตอาคมกระบี่ชุดหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับตัวตนระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นอย่างทรหดได้ แม้ว่าเผ่ามนุษย์จะอ่อนแอ แต่ก็มีอิทธิฤทธิ์และวิชาแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย ไม่อาจดูถูกได้เชียวล่ะ” ดวงตาของชายชุดโลหิตเปล่งแสงประหลาดระยิบระยับ คิดไม่ถึงว่าจะพูดออกมาเช่นนี้


 


 


หญิงงามผมขาวแค่นเสียงคราหนึ่ง ใบหน้าปรากฏสีหน้าลังเลออกมาเช่นกัน นางไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดของสองคนนี้ได้จริงๆ หรือไม่


 


 


“เอาล่ะ แม้ว่าเจ้าเด็กนี่จะมีความลับอยู่ไม่น้อย พลังแฝงก็ไม่น้อยจริงๆ และทำให้เขาสามารถเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการตามหาคนผู้นี้ก่อน ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไร คิดไม่ถึงว่าจะปิดการรับรู้ของพวกเราได้ แต่ถ้าหากกระตุ้นสัญลักษณ์พร้อมกัน การอำพรางเช่นนี้ก็ไม่สามารถทนทานต่อไปได้นานนัก คิดจะไปที่สุสานมารโดยเร็วที่สุด สหายทั้งสองก็ควรรีบร่ายคาถากันเถอะ” ลิ่วจู๋กล่าวอย่างเยือกเย็น


 


 


“คำพูดของพี่ลิ่วจู๋จริงที่สุด สหายหลาน พวกเรา…แย่แล้ว! สัญลักษณ์ของข้าถูกทำลายได้อย่างไร” ชายชุดโลหิตหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง พลันพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่คิดจะพูดบางอย่างกับหญิงงาม จู่ๆ หมอกโลหิตรอบกายก็สั่นสะเทือนขึ้น ในปากก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกตะลึงระคนเกรี้ยวโกรธอย่างฉับพลัน


 


 


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? เดี๋ยวข้าลองดูบ้าง!” หญิงงามผมขาวตกตะลึง รีบหลับตาทั้งสองข้างลง พลางบริกรรมคาถาเพื่อกระตุ้นสัญลักษณ์


 


 


ผลลัพธ์ที่ได้คือ หลังจากผ่านไปชั่วคณู่หนึ่ง หญิงงามก็ลืมตาขึ้น พลันพูดด้วยใบหน้าดุร้าย “สัญลักษณ์ของข้ายังอยู่ แค่ถูกปิดบังอย่างหนาแน่น ภายในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถทะลวงสัญลักษณ์ได้ พี่ลิ่วจู๋ เราสองคนมาลองกระตุ้นพร้อมกันดูเถอะ”


 


 


“กระตุ้นพร้อมกัน เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ก่อนหน้าสหายตี้เซวี่ย สัญลักษณ์ของข้าก็หายไปตั้งนานแล้ว” ลิ่วจู๋พูดน้ำเสียงราบเรียบ


 


 


“อะไรนะ!”


 


 


หญิงงามผมขาวกับชายชุดโลหิตได้ยินวาจานี้ ถึงกับเบิกตาโต 

 

 


ตอนที่ 1509 ศิลาทิวาราตรี

 

“พูดเช่นนี้ แสดงว่าตอนนี้คงมีแค่สัญลักษณ์ของข้าที่ยังอยู่ในร่างของเจ้าเด็กนั่นแล้ว” หญิงงามผมขาวสีหน้าค่อนข้างเคียวคล้ำ


 


 


การเดินทางมายังแม่น้ำอเวจีในครั้งนี้ หากไม่ได้น้ำนมเทวะมาครอบครอง และแม้แต่ศาสตรามารก็ยังไม่สามารถนำมาได้ เช่นนั้นก็จะเป็นการเสี่ยงภัยใหญ่โดยที่ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ


 


 


ที่น่าแปลกคือ ถึงแม้ว่าลิ่วจู๋จะสงบนิ่งผิดปกติก็ตาม แต่หลังจากที่ชายชุดโลหิตตกตะลึงระคนเกรี้ยวโกรธ ก็กลับมาสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว


 


 


เพียงแต่ในดวงตาของเขาเปล่งแสงบริสุทธิ์ไม่หยุดนิ่ง คล้ายกับกำลังพินิจพิจารณาอะไรบางอย่าง


 


 


หญิงงามผมขาวกลับไม่สนใจที่จะพูดอะไรอีก พลันนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ราชาภูตทั้งแปดตนที่อยู่เบื้องหลังต่างก็กลายเป็นปราณทมิฬเข้มข้นพร้อมกัน พริบตาก็ห่อหุ้มร่างของหญิงผู้นี้ไว้ภายใน เพื่อช่วยเพิ่มพลังยุทธ์ให้นางทะลวงการปิดบังสัญลักษณ์ของหานลี่


 


 


เห็นเพียงปราณทมิฬที่ตลบฟุ้งไม่หยุด ภายในนั้นมีเสียงคร่ำครวญของภูตผีดังออกมาเป็นพักๆ


 


 


ชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกขนพองสยองเกล้า


 


 


เห็นได้ชัดว่าหญิงงามผมขาวใช้พลังทั้งหมดแล้ว!


 


 


เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย ชั่วพริบตาก็ผ่านมาค่อนชั่วยามแล้ว


 


 


ภายในหมอกภูตยังคงไม่มีข่าวคร่าวที่หญิงงามผมขาวทำสำเร็จส่งออกมา


 


 


ลิ่วจู๋กับชายชุดโลหิตต่างก็มีความอดทน รออย่างเงียบๆ กลางอากาศอยู่ตลอด ไม่มีใครเอ่ยปากเร่งเร้าใดๆ


 


 


หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดเสียงเกรี้ยวโกรธของหญิงงามผมขาวก็ดังออกมา “สัญลักษณ์ของข้าก็ถูกทำลายเช่นกัน เจ้าเด็กนี่ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้ด้วยตัวเองแน่ หรือว่ามู่ชิงจะทำเรื่องงามหน้าไว้!”


 


 


ไอหมอกสีดำกระจายหายไปจากรอบด้าน พลันปรากฏร่างของหญิงงามที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ


 


 


“สำหรับสหายมู่ เรื่องนี้ก็ยังสรุปไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนนางจะให้ความสำคัญกับสมบัติในสุสานมารมากกว่าน้ำนมเทวะอยู่หลายส่วน” ชายชุดโลหิตเอามือลูบๆ คาง พลางกล่าวเหมือนคาดคิดไว้แล้ว


 


 


แม้ว่าแต่ละคนที่อยู่ตรงนี้จะเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกหยวนเหยาสองคนจะรู้เคล็ดวิชาลับรวบรวมปราณทมิฬ และใช้เคล็ดวิชานี้ขจัดสัญลักษณ์ภายในร่างของหานลี่ไปทีละอัน


 


 


ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เคล็ดวิชาสายภูตที่หญิงสาวทั้งสองคนนั้นมีความเฉพาะทางอย่างแท้จริง


 


 


“ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของใคร หากข้ารู้แล้ว ก็จะไม่ยอมเลิกราโดยดีเป็นอันขาด ทว่าพี่ตี้เซวี่ย ดูเหมือนศาสตรามารชิ้นนั้นจะมีประโยชน์กับเจ้ามากสินะ เจ้าระงับอารมณ์ไว้เช่นนี้ หรือว่าจะมีทางหนีทีไล่อย่างอื่น” ดูเหมือนหญิงงามจะนึกอะไรบางอย่างออก พลันจ้องมองสีหน้าท่าทีสงบนิ่งของชายชุดโลหิต


 


 


ล่วจู๋ก็หันมามองชายชุดโลหิตเช่นกัน พลันเผยอารมณ์คล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มออกมา


 


 


ชายชุดโลหิตหัวเราะแห้งสองสามครา หลังจากพิจารณาครู่หนึ่ง จึงค่อยกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ที่จริงแล้วผู้เฒ่าใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ บางอย่างบนร่างของเจ้าเด็กแซ่หาน แต่หากจะค้นหาตำแหน่งเขาได้อย่างถูกต้อง ยังต้องทำด้วยความเหนื่อยยาก แต่ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนกับสัญลักษณ์ก่อนหน้านี้ ทว่าการคาดคะเนทิศทางคร่าวๆ ของเขานั้นไม่เป็นปัญหา เจ้าเด็กนี่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก หลังจากที่เก็บวิญญาณรับใช้ของข้าไปหนึ่งชุดแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะอดกลั้นไม่ยอมลองเรียกออกมาแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกเคล็ดวิชาลับของข้าไปแล้ว ไหนเลยจะก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ขึ้นมาได้”


 


 


ได้ยินชายชุดโลหิตกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของหญิงงามผมขาวกลับปรากฏสีหน้าประหลาดออกมาปราดหนึ่ง พลันย่นคิ้ว “สหายคงไม่ได้พูดล้อเล่นหรอกนะ! จิตสัมผัสของเจ้าเด็กนั่นก็ไม่ได้อ่อนแอ เจ้าใช้ลูกไม้กับวิญญาณรับใช้ เขาจะมองไม่ออกเลยเชียวหรือ”


 


 


“ฮ่าๆ สหายหลานไม่รู้อะไรแล้ว ตัววิญญาณรับใช้ของข้านั้นไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร ประเด็นสำคัญคือมหายุทธ์สัญญาโลหิตชักนำฝัน วิชาที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษที่ใส่เข้าไปในวิญญาณรับใช้ เพียงแค่เขาใช้จิตสัมผัสเข้าไปในวิญญาณรับใช้เพื่อใช้งานด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากกลลวงของเคล็ดวิชาลับนี้เป็นอันขาด และหากคิดจะใช้ครั้งที่สอง หรือครั้งที่สามอีก สุดท้ายก็จะตกหลุมพรางโดยที่ไม่รู้ตัว แต่น่าเสียดาย ตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงตอนนี้ เจ้าเด็กนี่ก็ยังไม่เคยใช้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นทางฝั่งข้าจะต้องรับรู้และควบคุมเขาได้โดยปริยายแล้ว”ดูเหมือนชายชุดโลหิตรู้สึกว่าใกล้จะได้เข้าไปในสุสานมารแล้ว จะปิดบังตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย จึงอธิบายทางหนีทีไล่คร่าวๆ ของตนเองออกมาโดยตรง


 


 


หญิงงามผมขาวหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พูดไม่ออกไปชั่วขณะ


 


 


ดวงตาที่ซับซ้อนของลิ่วจู๋เปล่งประกายหลายหน ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเช่นกัน


 


 


“ในเมื่อเจ้าเด็กแซ่หานไม่ติดกับเจ้า เจ้าจะเสาะหาตำแหน่งของเขาในตอนนี้อย่างไร” หญิงงามซักไซ้อีกประโยค


 


 


“เรื่องนี้ง่ายมาก ข้าได้นำศิลาทิวาราตรีผสมเข้าไปในวิญญาณรับใช้ที่ข้ามอบให้เขา” ชายชุดโลหิตยิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัวคราหนึ่ง


 


 


“ศิลาพลับพลึง! ศิลาประหลาดชนิดหนึ่งที่เมื่อถึงเวลาเที่ยงสองชั่วยามก็จะกลายเป็นธาตุตะวัน และตอบสนองหากันได้ แสดงว่าในมือของสหายจะต้องมีอีกก้อนหนึ่งอย่างแน่นอน และมีแค่แม่น้ำอเวจี สถานที่ที่มีปราณทมิฬหนาแน่นสุดๆ เช่นนี้เท่านั้น การตอบสนองของวัตถุดิบชนิดนี้จึงจะได้ผล หากมาอยู่ในสภาพแวดล้อมทั่วไป แม้แต่พวกเราก็ไม่สามารถสังเกตเห็นการตอบสนองระหว่างพวกมันได้ และบังเอิญจริงๆ ที่สหายหาของไม่มีค่าชนิดนี้เจอ ตามที่ข้ารู้ ศิลาชนิดนี้ไม่เกิดขึ้นในทวีปของพวกเรา แม้ว่าบนทวีปที่เหลืออีกสองทวีปก็มีจำนวนน้อยสุดๆ และยังมีประโยชน์ใช้สอยน้อยมากสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเรา” คราวนี้ลิ่วจู๋อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม


 


 


“ของสิ่งนี้ข้าไม่ได้เป็นคนไปตามหามาเอง แต่ได้มาจากคนบนทวีปอื่นคนหนึ่งที่สังหารไปตอนที่ฝึกฝนเมื่อหลายปีก่อน และเป็นเพราะมันมีขนาดเล็ก จึงผสมเข้าไปในวิญญาณรับใช้เหล่านั้นได้ทั้งหมด แม้ว่าจะใช้ตอนนี้ ทั้งสองฝั่งก็ตอบสนองกันแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ต่อให้เจ้าเด็กแซ่หานใช้อาคมต้องห้ามอะไรมาผนึกวิญญาณรับใช้พวกนั้น ก็ไม่สามารถตัดขาดการเชื่อมต่อชนิดนี้ได้ อีกอย่างตัวเขานั้นไม่ได้มีศิลาทิวาราตรี ยิ่งทำให้ไม่สามารถมองออกถึงความลี้ลับนี้ได้” ชายชุดโลหิตพูดอย่างเจ้าเล่ห์


 


 


“ฮ่าๆ เป็นเช่นนี้ก็ดีเลยทีเดียว พวกเราไล่ตามไปยังทิศทางสุดท้ายที่สัญลักษณ์หายไปกันก่อนเถอะ ตอนนี้ก็จวนจะถึงเวลาเที่ยงวันแล้ว ถึงเวลานั้นถ้ามีการตอบสนองสักสองสามทีก็น่าจะเข้าใกล้เจ้าเด็กนี่แล้ว ทว่าในระหว่างทางก็ยังต้องระวังเจ้าเด็กเผ่าแมงเม่าที่มีสมบัติวิญญาณผู้นั้น ดูเหมือนว่าสมบัติวิญญาณในมือของคนผู้นั้นจะเป็นกรรไกรห้ามังกร สมบัติชิ้นนี้เป็นถึงอันดับต้นๆ ในบรรดาสมบัติวิญญาณ ทางที่ดีพวกเราอย่าได้ปะทะกับศัตรูจะดีกว่า ส่วนอสูรวชิระเอวเจีสองตนนั้นคงไม่มีทางออกห่างจากรังของมันไกลมาก ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว”


 


 


“จะว่าไปแล้ว ข้าสองคนก็ไม่เคยคาดคิดจริงๆ ว่าสหายลิ่วจู๋จะมีวิธีที่สามารถต้านทานสมบัติวิเศษอย่างกรรไกรห้ามังกรและยังไล่หุ่นเชิดตัวนั้นให้ล่าถอยไปได้”


 


 


“สหายหลานชมเกินไปแล้ว! หุ่นเชิดตัวนั้นไม่ได้ถูกข้าขับไล่ แต่พลังยุทธ์ของเขาไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนกรรไกรห้ามังกรเป็นเวลานานเกินไป จึงถอยออกไปเอง ไม่เช่นนั้นหากเวลานานขึ้นอีกหน่อย ข้าน้อยก็คงต้องร่วงตายด้วยสมบัติชิ้นนี้แล้ว” ลิ่วจู๋กลับสายหน้า ภายในดวงตาปรากฏความหวาดกลัวออกมาแวบหนึ่ง


 


 


หญิงงามกับชายชุดโลหิตสมตากันทีหนึ่ง พลันนึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่หานลี่ออกจากพระราชวังใหญ่ในวันนั้น ก็มีสีหน้าซีดขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


อิทธิฤทธิ์ของกรรไกรห้ามังกรที่สำแดงออกมาในภายหลังนั้น เป็นสิ่งที่คาดคิดไม่ถึงจริงๆ หากหุ่นเชิดตัวนั้นปลดปล่อยอานุภาพของสมบัติชิ้นนี้ออกมาทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม ไม่แน่ว่าพวกเขาสองคนคงร่วงตายตรงนั้นไปตั้งนานแล้ว


 


 


“แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้จนเกินไป แม้ว่าในตอนสุดท้ายหุ่นเชิดตัวนั้นจะสำแดงอานุภาพของกรรไกรห้ามังกรออกมาทั้งหมด แต่ก็การเบิกทดรองจิตสัมผัสของตนเอง จะหวนกลับมาอีกหรือไม่ก็ยังไม่แน่ชัด เพียงแค่พวกเราระมัดระวัง ไม่แตกกลุ่มกันให้เขาจัดการทีละคนก็ได้แล้ว” ท่าทางของลิ่วจู๋กลับมาสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง


 


 


เมื่อได้ยินวาจานี้ของลิ่วจู๋ หญิงงามกับชายชุดโลหิตต่างก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย


 


 


ในเวลาต่อมา ทั้งสามคนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก หลังจากหารือกันเล็กน้อย ก็พากันขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีออกไปไกล


 


 



 


 


ส่วนลึกของแม่น้ำอเวจี เบื้องหน้าถ้ำหินที่ชีพจรภูเขาสีขาวมีแสงโลหิตสว่างขึ้นวาบหนึ่ง หุ่นเชิดเกราะโลหิตตัวหนึ่งก็ปรากฏกายอย่างซวนเซออกมาจากในอากาศ เพิ่งคิดจะยกขาเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว จู่ๆ ร่างก็เปล่งแสงวิญญาณอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาสองสามที ก่อนที่จะล้มลงบนพื้นดังตุบ


 


 


ตามด้วยเสียงหึ่งๆ ดังขึ้นบนร่างของหุ่นเชิดทีหนึ่ง รุ้งสีเงินสายหนึ่งพลันพวยพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ก็จมหายเข้าไปในถ้ำอย่างไร้ร่องรอย


 


 


“ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นสภาพจนมุมเช่นนี้! หรือว่าอานุภาพของกรรไกรห้ามังกรของผู้เฒ่าไม่มากพอ?” ไม่นานนัก ภายในถ้ำก็มีเสียงของชายชราดังขึ้น น้ำเสียงยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม


 


 


ในโลกนี้มีแค่ไม่กี่เรื่องจริงๆ ที่ทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาได้


 


 


“อานุภาพของกรรไกรห้ามังกรไม่ด้อยจริงๆ เป็นชนรุ่นหลังที่ไม่เอาไหนเองขอรับ จู่ๆ พอถึงตอนสุดท้ายจิตสัมผัสก็ไม่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นก็เกือบจะรวบพวกเขาทั้งหมดได้ในทีเดียวแล้ว” สองตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตเปล่งแสงสีเขียววาบหนึ่ง จึงค่อยลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ทว่าน้ำเสียงยังคงเคารพนอบนอมเช่นเดิม


 


 


“จิตสัมผัสไม่เพียงพอ! เจ้าใช้กรรไกรห้ามังกรไปสองครั้งและใช้นานเกินไปหน่อยใช่หรือไม่” เสียงของชายชราฟังแล้วราวกับไม่รู้สึกอะไร ราวกับแค่กำลังอธิบายเรื่องหนึ่งที่เล็กน้อยไม่มีค่าพอที่จะเอ่ย


 


 


“ชนรุ่นหลังละโมบเกินไป ตั้งแต่เริ่มไม่ได้ใช้อานุภาพของกรรไกรห้ามังกรออกมาทั้งหมด แต่คิดจะหลอกล่อคนนอกพวกนั้นออกมาทั้งหมดแล้วสังหารพร้อมกันทีเดียว แต่คาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง ในบรรดาคนพวกนั้น คนทรยศเผ่าเราคนหนึ่งได้ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งบังเอิญสามารถต้านท้านกรรไกรห้ามังกรได้ในชั่วพริบตา แต่แผนที่ชนรุ่นหลังเตรียมการไว้ก่อนหน้าก็ถูกคนอื่นทำลายอย่างเหนือความคาดหมายเช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เรือล่มเมื่อจอด” หุ่นเชิดเกราะโลหิตตอบกลับด้วยความใจฝ่อผิดปกติ


 


 


“อืม ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เสียงของชายชราที่อยู่ในถ้ำกล่าวอืมคำเดียว จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมาอีก


 


 


“อาวุโสเจียง ชนรุ่นหลังยังมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องขอรับ!” จู่ๆ ดวงตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตก็เปล่งแสงโลหิตเจิดจ้า เสียงพูดดังขึ้นมาหลายส่วน


 


 


“ขอร้อง? ข้าจำได้ว่าทำข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าเสร็จสิ้นไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องมาคาดหวังเลยว่าข้าจะลงมือเพื่อเผ่าแมงเม่าของพวกเจ้า” เสียงของชายชราดูเยือกเย็นลง


 


 


“ชนรุ่นหลังจะกล้าเพ้อฝันเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ข้าน้อยแค่อยากขอร้องให้อาวุโสเจียงใช้เศษเสี้ยวความคิดของข้าน้อยมาเป็นตัวชักนำ ใช้เคล็ดวิชาทะลวงดินแดนนำพาให้ร่างจริงของชนรุ่นหลังมาที่แม่น้ำอเวจี คนพวกนั้นแย่งชิงน้ำนมเทวะไปแล้ว หากไม่แย่งสมบัตินี้กลับคืนมา ฆ่าคนพวกนี้ โทษของชนรุ่นหลังก็ยากที่จะเบาลง” คิดไม่ถึงว่าหุ่นเชิดเกราะโลหิตจะกล่าวเช่นนี้


 


 


“ให้ร่างจริงของเจ้ามาที่นี่ สมองเจ้าคงไม่ได้เลอะเลือนสินะ เผ่าแมงเม่าของพวกเจ้าไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่แม่น้ำอเวจีได้นานมาก อย่างมากก็ปีกว่า อย่างน้อยก็หลายเดือน พวกเจ้าก็จะถูกปราณทมิฬกัดเซาะพลังยุทธ์จนลดลงไปมาก อีกทั้งฟังจากคำพูดของเจ้า พลังยุทธ์ของคนพวกนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอ อย่างมากให้ร่างจริงของเจ้ามาก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเขาในเวลาที่พวกเขาร่วมมือกัน หรือว่ายังคิดที่จะยืมกรรไกรห้ามังกรของผู้เฒ่าอีกครั้ง?” ในที่สุดเสียงของชายชราก็ดูประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


“สำหรับกรรไกรห้ามังกร ชนรุ่นหลังย่อมคิดที่จะยืมอีกครั้งอยู่แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจำเป็นต้องใช้มันจริงๆ ร่างจริงของชนรุ่นหลังจะลงมาที่ดินแดนแห่งนี้พร้อมกับรังเทวะรังหนึ่งขอรับ” หุ่นเชิดเกราะโลหิตกัดฟันแล้วกล่าว


 


 


“รังเทวะ! หึๆ ข้าคงไม่ได้ฟังผิดหรอกนะ! เพื่อตัวตนระดับแมงเม่าทองคำไม่กี่คน คิดไม่ถึงว่าจะใช้ของสิ่งนี้ อีกอย่างเจ้าจะมีอำนาจใช้ของสิ่งนี้ได้อย่างไร หากข้าจำไม่ผิด ของเหล่านี้อยู่ในกำมือของเจ้าพวกตาแก่หงำเหงือกไม่กี่คนในเผ่าของพวกเจ้ามาโดยตลอด หากเผ่าของพวกเจ้าไม่ถึงช่วงคอขาดบาดตาย ก็ไม่มีทางยอมใช้เครื่องมือสังหารใหญ่นี้เป็นอันขาด” คราวนี้น้ำเสียงของชายชราดูสนใจเป็นอย่างมากจริงๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)