พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1502-1507
บทที่ 1502 ถูกใจหลานสาวท่าน
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยนอแล้วตกใจไม่เบา ลงมือสังหารหัวหน้าภาคของตำหนักสวรรค์สักคนนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
เดิมทีอวิ๋นจือชิวก็ไม่อยากจะทำอย่างนี้ แต่ฉู่จื่อซานดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ นางเลยจำเป็นต้องลงมือ ไม่อย่างนั้นหลังจากเหมียวอี้ออกมาแล้วรู้เรื่องนี้ ก็จะทำให้เหมียวอี้โมโหมาก เหมียวอี้ที่เพิ่งหลุดพ้นจากอันตรายก็จะต้องสู่สถานการณ์อันตรายอีกครั้ง ดังนั้นนางจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้หมดไปโดยสิ้นเชิงก่อนที่เหมียวอี้จะออกมา
“จะลงมือจริงๆ เหรอ?” ผู้คุ้มกันที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม นี่ก็คือผู้เฒ่าฟ่านที่อวิ๋นจือชิวเรียก
อวิ๋นจือชิวหันตัวมองมา “เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ยินแล้ว เจ้าแซ่ฉู่นั่นไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้ข้าเลย อย่าบอกนะว่าข้าจะต้องแต่งงานกับเขาจริงๆ?”
ผู้เฒ่าฟ่านลำบากใจนิดหน่อย และกล่าวอย่างลังเลว่า “ผู้จัดการร้าน การลงมือกับหัวหน้าภาคของตำหนักสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา…หวังว่าผู้จัดการร้านจะไตร่ตรองอีกที!”
อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าก็เลยต้องสยบเขาไว้ไง ต้องขอเวลาครึ่งปี จะได้วางแผนให้ละเอียดได้สะดวก จะได้ไม่ต้องทิ้งปัญหาอะไรไว้”
ผู้เฒ่าฟ่านส่ายหน้า “ผู้จัดการร้าน ต่อให้พวกเราทำอย่างสะอาดเรียบร้อยแค่ไหน แต่เมื่อถึงตอนนั้น ตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีทางปล่อยผู้ต้องสงสัยไว้ เรื่องที่เจ้าแซ่ฉู่นั่นเกาะแกะผู้จัดการร้านไม่เลิกจะต้องอยู่ในขอบเขตการสืบสวนของตำหนักสวรรค์แน่นอน ถึงตอนนั้นจุดประสานงานของพวกเราก็จะต้องทำลายทิ้ง ถ้าอยากจะสร้างจุดประสานงานสักแห่งที่ตลาดสวรรค์โดยไม่ให้คนสงสัยนั้นไม่ง่ายเลย!”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เจ้าแซ่ฉู่นั่นจะก่อเรื่องให้ได้เลย ต่อให้ข้าจะหนีไป แต่ร้านค้าจะหนีได้เหรอ? สมาชิกที่มาติดต่อกับร้านค้าจะต้องเตรียมตัวย้าย สรุปก็คือเก็บเจ้าแซ่ฉู่นั่นไว้ไม่ได้ ส่วนผลที่ตามมาข้าจะรับไว้เองคนเดียว หลังจากจบเรื่องข้าจะอธิบายกับ ‘ที่บ้าน’ เอง เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องกังวล ไปทำตามที่ข้าบอก”
ผู้เฒ่าฟ่านลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้า หันตัวเดินจากไปเงียบๆ
ขณะมองคล้อยหลังเขาจากไป จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มเจื่อน “ในสังคมนี้ ผู้หญิงหน้าตาดีหน่อยก็มีความผิด ข้าไปหาเรื่องใครเสียที่ไหนล่ะ…” พอนึกถึงสายตาเจ้าเล่ห์เหมือนป่าหมาที่ฉู่จื่อซานมองตน นางก็ก้มหน้ามองตัวเอง ดึงกระโปรงตัวเองขึ้นมาดู แล้วก็กางออก ก่อนจะหันกลับมาถามเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “ไปหาชุดที่ไม่แสดงสัดส่วนของข้าหน่อย ต่อไปนี้พวกเจ้าต้องระวังจุดนี้”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกจนใจอยู่บ้าง ที่จริงฮูหยินก็แต่งตัวโดยใช้เสื้อผ้าเหมือนผู้หญิงทั่วไป ไม่ได้มีจุดไหนไม่ได้มาตรฐาน นับว่าแต่งตัวมิดชิดดีแล้ว อย่าบอกนะว่าแม้แต่ความรักสวยรักงามพื้นฐานก็จะตัดทิ้ง?
ทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ทำได้เพียงเอ่ยรับ
จวนอ๋องสวรรค์ดาวหยกงาม หอสามรากฐาน ลูกชายสามคนยืนเรียงแถวรายงานเรื่องที่ตัวเองรู้ให้โค่วหลิงซวีผู้เป็นบิดาฟัง
“เหวินหลานติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ยืนยันแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่ อีกไม่นานก็จะออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว”
ตอนที่โค่วเหมี่ยนลูกชายคนสุดท้องรายงานข่าวสุดท้าย ตอนที่รายงานสถานการณ์นี้ โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ข้างหลังก็อดไม่ได้ที่จะสบตากับผู้เฒ่าถังที่ยืนอยู่ข้างกันอย่างแฝงความหมายล้ำลึก
ผู้เฒ่าถังยิ้มบางๆ “วรยุทธ์บงกชทองโดนขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี ไม่น่าเชื่อว่าจะยังรอดกลับมาได้ เจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ หรือไม่ตอนแรกที่โพ่จวินตอบตกลงให้เขาไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะรอดกลับมาได้?”
“ไม่ว่านี่จะเป็นเหตุผลที่โพ่จวินตอบตกลงให้เขาไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์หรือไม่ แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าเจ้าเด็กนั้นมีจุดที่เหนือกว่าคนอื่นจริงๆ ถึงได้ทำให้โพ่จวินผ่อนปรนได้ ถ้าแค่ครั้งสองครั้งก็ยังพูดได้ว่าเป็นเพราะโชคดี แต่ผ่านด่านยากได้สามครั้งห้าครั้งก็แปลว่าไม่ใช่เพราะโชคช่วยแล้ว ขนาดอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์คนเดียวยังผ่านด่านนั้นมาได้ ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว…” โค่วหลิงซวีเคาะมือบนที่วางมือเบาๆ แล้วเอียงหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ผู้เฒ่าถัง หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายมาหนึ่งครั้ง ตระกูลโค่วเสียหายไปไม่น้อยเลย หญิงสาวของตระกูลโค่วอยู่ในช่วงอายุที่จะแต่งงานได้ตั้งนานแล้ว เจ้าคิดว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับลูกหลานผู้มีอำนาจเป็นอย่างไร?”
เมื่อเรื่องมาถึงตัวลูกสาวของตัวเอง พวกโค่วเจิงก็หันมาสบตากันแวบหนึ่ง
ผู้เฒ่าถังเหมือนจะอ่านอะไรบางอย่างได้จากสายตาของโค่วหลิงซวี แววตาเขาจึงวูบไหวเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ท่านอ๋อง ถ้าเป็นยามปกติ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพวกลูกหลานขุนนางก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่ แต่ตอนนี้มีเค้าลางว่าตำหนักสวรรค์จะเกิดความวุ่นวาย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ก็จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินแน่นอน แต่ละตระกูลจะปกป้องตัวเองก่อน เกรงว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จะไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไรขอรับ ในเวลานี้หากจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จริงๆ ก็ต้องทำไปเพื่อสั่งสมกำลังของตระกูลโค่ว ไม่สู้แต่งงานกับคนที่ทำงานรับใช้ตระกูลโค่วจากสุดจิตสุดใจดีกว่า ยกตัวอย่างหนิวโหย่วเต๋อ เมื่อถึงเวลานั้จะต้องเป็นทหารกล้าคนหนึ่งแน่นอน”
“หนิวโหย่วเต๋อ!” โค่วฉินขมวดคิ้ว “ท่านอาถัง แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่า? ยังไม่ต้องพูดถึงวรยุทธ์กับศักยภาพของว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นอย่างไร จะคู่ควรกับลูกสาวของตระกูลโค่วหรือไม่ ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเรากับตระกูลอิ๋งกำลังร่วมมือกัน ถึงแม้จะแอบสู้กันอยู่ลึกๆ แต่ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต๋อก็เคยตบหน้าอิ๋งจิ่วกวงมาก่อน พวกเราทำแบบนี้อย่างโจ่งแจ้ง จะทำไม่ทำให้ตระกูลอิ๋งอับอายเหรอ”
โค่วหลิงซวีใช้นิ้วทั้งห้าเคาะเบาๆ บนที่วางมือ เงียบงันไม่พูดอะไร แค่มองแต่ไม่พูด
ผู้เฒ่าถังบอกว่า “ที่ร่วมมือกับตระกูลอิ๋งก็เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันชั่วคราว ต่อให้หลานสาวตระกูลโค่วแต่งงานเข้าตระกูลอิ๋ง ถ้าเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นมาจริงๆ ตระกูลอิ๋งไม่เห็นแก่ไมตรีอะไรหรอก แต่หนิวโหย่วเต๋อนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าครั้งนี้เขาไม่รอดชีวิตกลับมาก็ว่าไปอย่าง พอรอดชีวิตกลับมาแล้ว ตระกูลอิ๋งผู้สง่าภูมิฐานจะโดนตบหน้าง่ายๆ ได้ยังไง ต่อให้อิ๋งจิ่วกวงจะไม่พูดอะไร แต่ก็ต้องมีลูกน้องจัดการเรื่องนี้ให้อยู่แล้ว วิธีการชั้นต่ำแบบนี้ โพ่จวินยังจะช่วยต้านทานให้หนิวโหย่วเต๋อได้ทุกครั้งเชียวเหรอ? คนทั่วไปที่อยากจะปกป้องหนิวโหย่วเต๋อก็ยังทำไม่ได้เลย ถ้าตระกูลโค่วลงมือ ตระกูลอิ๋งก็จะต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย ว่ากันว่าถ้าจะเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น[1] ไม่สู้ส่งถ่านให้กลางหิมะ[2]ดีกว่า ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อลำบากที่สุด พวกเราไม่เพียงแค่ช่วยเขา ทั้งยังส่งผู้หญิงของตระกูลโค่วให้แต่งงานกับเขาได้ด้วย เขาจะไม่ซาบซึ้งจนอุทิศตนทำงานให้ตระกูลโค่วได้ยังไง ขุนพลหนึ่งเดียวหายากยิ่ง ความสามารถของหนิวโหย่วเต๋อเป็ฯที่ประจักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ควรค่าที่จะให้ตระกูลโค่วลงทุนเลี้ยงดูมาก คุณชายรอง ซื้อตัวไว้ไม่สู้ซื้อใจไว้ดีกว่า!”
ลูกชายทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ท่านพ่อ
“ที่พูดมานั้นมีเหตุผล!” จู่ๆ โค่วหลิงซวีที่นั่งเงียบก็พยักหน้า สายตามองไปที่ลูกชายของทั้งสาม “เรื่องนี้กำหนดตามนี้แล้วกัน พวกเจ้าสามพี่น้องลองคิดดูซิ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกับกับลูกสาวใคร ก็ให้เป็นลูกเขยคนนั้น พวกเจ้าไม่ต้องออกอะไร เดี๋ยวตระกูลจะออกทรัพยากรช่วยพวกเจ้าเอง”
สามพี่น้องนับว่าเข้าใจแล้ว ท่านอาถังเหมือนท่องแทนท่านพ่อ คำพูดบางคำท่านพ่อไม่สะดวกจะเอ่ยออกมาในฐานะปู่ พอได้ยินคำพูดของท่านพ่ออีกครั้ง ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อทำให้ท่านพ่อถูกใจได้ ถึงกับยอมสละหลานสาวให้แต่งงานด้วย ต้องการจะทุ่มทุนเลี้ยงดู แสดงว่าอนาคตจะต้องน่าจับตามองแน่ เพียงพอที่จะมีฐานะเทียบเท่าลูกชายครึ่งหนึ่ง ตัวเองจะได้ลูกน้องคนสนิทที่มีความสามารถโดยไม่ต้องจ่ายค่าอะไร…สามพี่น้องรู้สึกฮึกเหิมใจทันที
โค่วเจิงบอกว่า “ท่านพ่อ ติดที่ไม่รู้ว่าทางหนิวโหย่วเต๋อจะคิดยังไง ถ้าพวกเรามีไมตรีอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ จะไม่อับอาหรือขอรับ” กล่าวออกมาแบบนี้ก็แสดงว่าเห็นด้วยกับเขาแล้ว
โค่วหลิงซวีเชิดหน้ามองโค่วเหมี่ยน “เจ้าสาม เรื่องพ่อสื่อให้เหวินหลานจัดการแล้วกัน”
“ขอรับ!” โค่วเหมี่ยนเอ่ยรับ
แดนอเวจี ดาวมาร ในตำหนักใหญ่ของประมุขปราชญ์ ประมุขขุนพลเย่สิงคงเอามือไขว้หลังยืนมองไปนอกประตูตำหนักใหญ่ ตานฉิงขุนพลใหญ่ลัทธิมารเดินไปเดินมาเงียบๆ
ผ่านไปสักประเดี๋ยว อวิ๋นอ้าวเทียนก็เร่งเดินออกมาจากตำหนักหลัง โดยมีอวิ๋นเซี่ยวลูกชายของเขาติดตามด้วย
เย่สิงคงกับตานฉิงหันตัวมาพร้อมกัน จากนั้นก็ก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “คารวะประมุขปราชญ์!”
“ไม่ต้องมากพิธี!” อวิ๋นอ้าวเทียนผายมือขึ้น และไม่ได้ขึ้นไปนั่งวางมาดบนบัลลังก์ แต่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง แล้วถามว่า “ประมุขขุนพลมาที่นี่ด้วยธุระอะไร?”
เย่สิงคงไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังตจากลังเลครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า “เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ ขอรับ เกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวหลานสาวท่านแล้ว”
อวิ๋นอ้าวเทียนหัวใจกระตุกวูบ ถ้าเกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวก็ยุ่งยากแล้ว นางไม่ใช่แค่หลานสาวของตัวเองเท่านั้น ทั้งยังเป็นฮูหยินเอกของเหมียวอี้ด้วย ที่สำคัญก็คือสาเหตุหลัง ถ้าเกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็จะแก้ตัวอธิบายกับทางเหมียวอี้ไม่ได้ แต่จนใจที่ปิดบังเรื่องนี้กับหกลัทธิมาตลอด ไม่ได้บอกถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเหมียวอี้และหลานสาว
อวิ๋นเซี่ยวก็เริ่มกังวลแล้วเช่นกัน มีเรื่องอะไรที่ควรค่าให้ประมุขขุนพลลัทธิมารมาด้วยตัวเองงั้นเหรอ? แต่เขาไม่สะดวกจะพูดแทรกเมื่ออยูต่อหน้าคนเหล่านี้
อวิ๋นอ้าวเทียนเงียบไปสักประเดี๋ยว เมื่อเตรียมใจได้แล้วถึงได้ถามว่า “ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ฉู่จื่อซานหัวหน้าภาคคนใหม่ของน่านฟ้าระกาติงถูกใจหลานสาวท่านแล้ว…” เย่สิงคงอธิบายเรื่องราวให้ฟังช้าๆ
ถึงแม้ผู้เฒ่าฟ่านจะเชื่อฟังคำสั่งของอวิ๋นจือชิว ครั้งนี้รับคำสั่งของอวิ๋นจือชิวมาแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เป็นเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กจริงๆ จึงแอบอวิ๋นจือชิวมารายงานบอกเย่สิงคง
ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นปัญหายุ่งยาก แต่พอได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวยังไม่เป็นอะไร อวิ๋นอ้าวเทียนกับลูกชายก็โล่งใจ ยังไม่เกิดเรื่องขึ้นก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะกู้สถานการณ์คืนได้ยากจริงๆ อวิ๋นอ้าวเทียนถามอย่างลังเลว่า “เรื่องนี้ประมุขขุนพลคิดว่าจะจัดการอย่างไรให้เหมาะสม?”
เย่สิงคงเอียงหน้าเล็กน้อยและส่งสายตาให้ตานฉิง เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะพูด
ตานฉิงเข้าใจ จึงกุมหมัดคารวะตอบว่า “ประมุขปราชญ์ ในหลายปีมานี้ การที่คนของพวกเราจะเข้าไปอยู่ในหน่วยงานของโจรกบฎได้นั้นเป็นเรื่องเพ้อฝัน โดยเฉพาะกองทัพองครักษ์ที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด ฉู่จื่อซานคนนี้ก็มีภูหลังอยู่กองทัพองครักษ์พอดี ถ้าหากจัดการได้เหมาะสม นี่ก็เป็นโอกาสที่ไม่เลว เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลานสาวของประมุขปราชญ์ พวกเราไม่สะดวกจะตัดสินใจโดยพลการ อยากจะฟังความเห็นของประมุขปราชญ์ก่อน”
อวิ๋นอ้าวเทียนเข้าใจความคิดของทั้งสอง จึงถามเสียงเรียบว่า “ทั้งสองอยากจะให้อวิ๋นจือชิวเข็นเรือไปตามน้ำเหรอ?”
เย่สิงคงไม่ตอบ ตานฉิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าเองก็รู้ว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสม แต่เพื่องานใหญ่ พี่น้องลัทธิมารของเราต้องเสียสละไปตั้งเท่าไรแล้วไม่รู้ แน่นอน สิ่งนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประมุขปราชญ์ ไม่มีใครกล้าบังคับแน่นอนขอรับ”
อวิ๋นเซี่ยวหน้าเครียดลงเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็ล้วนฟังออกว่าหมายความว่าอย่างไร นั่นก็คือพวกพี่น้องลัทธิมารเสียสละเพื่องานใหญ่ของลัทธิมารหมดแล้ว ถ้าจะยกเว้นประมุขปราชญ์ก็จะหน้าอับอายนิดหน่อย
แน่นอนว่าอวิ๋นอ้าวเทียนเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย นี่เป็นการกดดันแบบยัดข้อหาใหญ่ แต่เขาเองก็ไม่ได้คัดค้าน เพียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าก็ไม่คัดค้านนะ เพียงแต่เรื่องนี้ ข้าแนะนำให้ฟังความเห็นจากประมุขปราชญ์เหมียวอี้ของลัทธิอู๋เลี่ยงก่อน”
เย่สิงคงกับตานฉิงสบตากันแวบหนึ่ง แล้วตานฉิงก็ถามอย่างแปลกใจว่า “นี่เป็นเรื่องภายในลัทธิมารล้วนๆ และอาจจะมีประโยชน์กับหกลัทธิด้วย ทำไมต้องถามความเห็นของเหมียวอี้ก่อน?”
อวิ๋นอ้าวเทียนถามกลับว่า “ทั้งสองยังไม่รู้อีกเหรอว่าตอนที่อยู่ดาวเทียนหยวน เหมียวอี้ก็มีข่าวลือชู้สาวกับอวิ๋นจือชิวเหมือนกัน แน่นอน จะจริงเท็จอย่างไรข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าก็แนะนำให้ถามความเห็นเหมียวอี้ก่อน เพราะถ้ามีเรื่องแบบนี้จริงๆ เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย”
…………………………
[1] เพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น 锦上添花 ปรุงแต่งในสิ่งที่เดิมทีมีอยู่แล้ว ให้สวยงาม
[2] ส่งถ่านให้กลางหิมะ 雪中送炭 ช่วยเหลือยามลำบาก
บทที่ 1503 รับโทษครบและถูกปล่อยตัว
เย่สิงคงกับตานฉิงทำสีหน้าอึ้งเล็กน้อย เรื่องนี้ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้ยิน รู้สึกเช่นกันว่าทั้งสองกำลังปิดบังฐานะกันและกันอยู่ ไม่คิดว่าเป็นความจริง แต่พออวิ๋นอ้าวเทียนเอ่ยมาแบบนี้ ก็นึกขึ้นได้ว่าในปีนั้นลัทธิมารเสียหายหนักขนาดไหนเพราะความโกรธของเหมียวอี้ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง
สุดท้ายเย่สิงคงก็พยักหน้าบอกว่า “เช่นนั้นก็เชื่อฟังประมุขปราชญ์ ดูว่าเหมียวอี้จะว่าอย่างไรแล้วค่อยตัดสินใจ”
จากนั้นทั้งสองก็กล่าวอำลา อวิ๋นเซี่ยวไปส่งด้วยตัวเอง
หลังจากอวิ๋นเซี่ยวกลับมาที่ตำหนักใหญ่ที่อีกครั้ง ก็เดินมาข้างกายอวิ๋นอ้าวเทียน “ท่านพ่อ เจ้าสองคนนี้…”
อวิ๋นอ้าวเทียนยกมือตัดบท “พวกเขาทำแบบนี้ก็ไม่มีอะไรผิด ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่น ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบตกลง แน่นอน ต่อให้น้องชิวกับเหมียวอี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น ข้าก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี ตระกูลอวิ๋นของข้าไม่ทำเรื่องขายผู้หญิงแลกเกียรติยศหรอก แต่ในเมื่อมีเหมียวอี้บังหน้าให้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเถียงกับพวกเขา ส่งต่อให้เหมียวอี้จัดการเองก็สิ้นเรื่อง”
อวิ๋นเซี่ยวพยักหน้า แต่ก็ถามอย่างสงสัยอีกว่า “ขนาดพวกเรายังไม่รู้เรื่องนี้เลย กลับเป็นพวกเขาที่รู้ก่อน สงสัยคนที่อยู่ข้างกายน้องชิวจะแอบปล่อยข่าว แต่น้องชิวตั้งใจจะปิดบังพวกเรา เกรงว่านางคงจะไม่อยากให้เหมียวอี้รู้เช่นกัน กลัวว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่อง แล้วพวกเราไปบอกเหมียวอี้แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”
อวิ๋นอ้าวเทียนหรี่ตา “น้องชิวเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ ถ้าแม้แต่ผู้หญิงของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว ติดต่อเหมียวอี้หน่อย บอกเรื่องนี้ให้เขารู้ ให้เขาจัดการเองตามเห็นสมควร ส่วนทางด้านน้องชิว ในเมื่อนางไม่ยอมบอกพวกเรา งั้นพวกเราก็แสร้งไม่รู้ก็ได้”
“รับทราบ!” อวิ๋นเซี่ยวเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ตรงนั้นเลย
แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทะเลทรายหินอันกว้าง ประตูใหญ่สุญญะที่มีรอยแยกไม่หยุดยังคงอยู่ เงาร่างอันโดดเดี่ยวเดินออกมาจากจุดลึกของทะเลทรายหินอย่างไม่รีบร้อน บนตัวสวมเกราะรบ ในมือถือทวนเกล็ดย้อน มองข้ามปราณชั่วร้ายที่ลอยไปลอยมา เขาคือเหมียวอี้ที่ซ่อนตัวในทะเลทรายหินแห่งนี้มาหลายเดือนแล้วนั่นเอง
คนที่จะมารับเขารออยู่ข้างนอกแล้ว ทหารยามที่อยู่ข้างนอกได้รับคำสั่งให้ปล่อยตัว ในที่สุดเขาก็รับโทษครบและถูกปล่อยตัวแล้ว
ตอนที่ออกมาจากประตูใหญ่สุญญะได้ประมาณร้อยกว่าจั้ง เหมียวอี้หยุดฝีเท้า หยิบระฆังดาราออกมาแล้วขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นเซี่ยวจะส่งข่าวมา
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร จึงถามกลับไป ตอนยังไม่ถามก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอได้รู้ว่ามีคนอยากได้อวิ๋นจือชิว เขาก็เลิกคิ้วไม่หยุด ถามอีกว่า : ลัทธิมารของพวกเจ้ามีความเห็นยังไงบ้าง?
อวิ๋นเซี่ยว : เรื่องนี้ท่านพ่อย่อมไม่ตอบตกลงอยู่แล้ว ตอนนี้ยังควบคุมได้ ให้มาถามเจ้าว่ามีความเห็นยังไง
เหมียวอี้ : เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวข้าจัดการเอง
หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอก บอกว่าตัวเองมาถึงหน้าประตูแล้ว สามารถออกไปได้แล้ว
รอจนกระทั่งข้างนอกตอบกลับมาแล้ว แจ้งให้เปิดผนึกออกแล้ว จู่ๆ เขาก็เร่งฝีเท้า ถือทวนพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พอเงาร่างกระโจนออกไป ก็บุกเข้าไปในช่องสุญญะที่มีรอยแยกแตกแขนงไม่หยุด
ที่ท้องฟ้าด้านนอก เหยียนซิว หยางเจาชิง สวีถังหราน เฟยหงมาแล้ว รองแม่ทัพภาคตงจิ่วเจินก็มาเช่นกัน ทั้งยังมีผู้บัญชาการใหญ่ของกองมังกรดำอีกหลายคน ทั้งหมดจับจ้องมาที่ประตูใหญ่ในดาราจักรที่เปิดออก
ในช่องสุญญะที่มีสายฟ้ากะพริบวิบวับ จู่ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งวับวาบออกมา แล้วถูกทหารยามด้านนอกสกัดไว้
สวีถังหรานลูบฝ่ามือ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หรูฮูหยิน ท่านแม่ทัพภาคยังคงเกรียงไกรเหมือนเดิม ตอนนี้ท่านก็วางใจได้แล้วนะ” เขาปลาบปลื้มจากใจจริง ขณะเดียวก็ทึ่งจากใจจริง ปล่อยไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดกลับมาได้ ผู้บังคับบัญชาของเขาคนนี้ช่างดวงแข็งจริงๆ ยังไม่มีอุปสรรคไหนที่ผู้บังคับบัญชาท่านนี้ก้าวผ่านไปไม่ได้
เฟยหงที่เงยหน้ามองก็พยักหน้าอย่างปีติยินดี
แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังมองได้แค่ไกลๆ ทหารยามกำลังตรวจค้นตัวเหมียวอี้อยู่ ป้องกันไม่ให้นำของต้องห้ามออกมาจากแดนดึกดำบรรพ์
หลังจากแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างปกติ ทั้งสองฝ่ายส่งหลักฐานให้กันและจัดการตามระเบียบเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ที่ได้รับการปล่อยตัวถึงได้เหาะเข้ามาทางนี้
พวกสวีถังหรานที่ตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบก็กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “คารวะท่านแม่ทัพภาค”
ไม่เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าดีใจที่ได้หลุดออกจากกรงเลย เพียงพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี
ตอนนี้เฟยหงถึงได้ค่อยๆ ด้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วย่อเข่าทำความเคารพอย่างเรียบร้อย เหมียวอี้ยื่นมือข้างหนึ่งไปประคองแขนนาง แล้วกล่าวปลอบใจ “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”
เฟยหงส่ายหน้าเบาๆ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “นายท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ”
เหมียวอี้ให้นางหลบไปยืนอีกข้าง ตอนนี้ตงจิ่วเจินก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “แม่ทัพภาคสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็นับเป็นเรื่องโชคดีของกองมังกรดำแล้ว หัวหน้าภาคอวี่ถ่ายทอดคำสั่งลงมาแล้ว บอกว่าหลายปีมานี้นายท่านลำบาก เตรียมจะให้นายท่านพักผ่อนให้สบายสักหนึ่งปีแล้วค่อยกลับไปรายงานตัว” สายตาไปหยุดอยู่บนสัญลักษณ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ แอบรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะบรรลุระดับบงกชรุ้งแล้ว
ที่จริงคนอื่นก็เห็นแล้วเช่นกัน ตอนนี้มีอารมณ์แตกต่างกันไปก็เท่านั้นเอง
เหมียวอี้พยักหน้า “ในแดนดึกดำบรรพ์มีสิ่งที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อน ในหนึ่งพันปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอย่างวิตกกังวลจริงๆ แทบจะเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง โชคดีจริงๆ ที่ยังไม่ตาย ข้าเองก็อยากพักผ่อนเช่นกัน ในหนึ่งพันปีมานี้คิดถึงสหายเก่าบางคนมาก ในเมื่อออกมาแล้วก็ต้องไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย หัวหน้าภาคอวี่ให้หยุดพักผ่อนพอดีเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าคุ้มกันส่งหรูฮูหยินกลับไป ข้างกายข้าเหลือเหยียนซิวไว้คนเดียวก็พอแล้ว”
เหยียนซิวกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง ส่วนคนที่เหลือก็มองหน้ากันเลิกลั่ก นี่จะให้พวกเรากลับแล้วเหรอ?
ตงจิ่วเจินยิ้มเจื่อน “เมื่อครู่นี้พวกเราเพิ่งจะปรึกษากันเสร็จ เตรียมจะไปจัดงานเลี้ยงต้อนรับนายท่านแถวๆ นี้ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“รอให้ข้ากลับกองมังกรดำก่อนแล้วค่อยเรียกคนอื่นมาร่วมงานด้วยกันเถอะ พวกเจ้ากลับไปก่อน” เหมียวอี้กล่าว
“ให้ข้าอยู่ปรนนิบัตินายท่านมั้ยคะ?” เฟยหงกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลอยู่ข้างๆ
ทุกคนพยักหน้าพร้อมอมยิ้ม คนนี้ควรจะมีเอาไว้ นายท่านอดกลั้นมาหนึ่งพันปี ในเวลานี้ควรจะมีสาวงามอยู่ข้างกายเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายสักหน่อย ถ้าพูดถึงความงดงาม หรูฮูหยินท่านนี้ย่อมไม่มีที่ติอยู่แล้ว
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเหล่ตามองเฟยหงอย่างเย็นเยียบ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ “เชื่อฟังคำสั่ง!”
ปากเฟยหงพึมพำนิดหน่อย มีแวบหนึ่งที่ทำสีหน้าน้อยใจ แล้วเอ่ยรับว่า “ค่ะ!”
ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รู้สึกว่าวันนี้นายท่านดูอารมณ์ไม่ปกติ หรูฮูหยินอุตส่าห์มาตั้งไกลเพื่อต้อนรับ แต่นายท่านกลับไม่รับไมตรีเลยสักนิด จะไล่กลับไปอย่างนี้เลยเหรอ? ทุกคนนับว่ามองออกแล้ว ว่านายท่านเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นที่แดนดึกดำบรรพ์
ไม่มีใครอยากซวยในเวลานี้ ย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งอยู่แล้ว จากนั้นก็คุ้มกันส่งเฟยหงจากไปแล้ว
หลังจากเหลือเหยียนซิวอยู่แค่คนเดียว เหมียวอี้ก็หยิบแผนที่ดาวออกมายืนยันทิศทาง พอบอกว่า “ไป” เขาก็นำเหยียนซิวเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
ระหว่างทางเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมา ติดต่อเชียนเอ๋อร์เพื่อถามรายละเอียดเรื่องอวิ๋นจือชิว
เชียนเอ๋อร์นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะรู้แล้ว นางตกใจไม่เบา ทำได้เพียงเล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างซื่อสัตย์ ต่อให้จะบอกอย่างซื่อสัตย์ขนาดนี้ แต่ก็ยังโดนเหมียวอี้ตำหนิไปยกหนึ่ง บอกว่าถ้าครั้งหน้ามีเรื่องปิดบังไม่รายงานอีก ทำผิดกฎของบ้าน ก็ไม่อาจอภัยได้!
“เชียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”
ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา หลังจากอาบน้ำแล้วสวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งบางตัวใหญ่หลวม ยากที่จะปิดบังทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิที่ปรากฏวับๆ แวมๆ ได้ นางเดินออกมาโดยมีเสวี่ยเอ๋อร์ติดตาม พอเห็นเชียนเอ๋อร์หน้าซีด นางก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ
เชียนเอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ยินดีด้วยค่ะฮูหยิน นายท่านเพิ่งจะส่งข่าวมา บอกว่าออกจากแดนดึกดำบรรพ์ได้อย่างปลอดภัยแล้ว”
อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งจะนั่งลงอย่างสบายใจและปล่อยให้เสวี่ยเอ๋อร์หวีผมที่ยาวสยายงงทันที ข่าวดีก็ส่วนข่าวดี แต่ตามหลักการแล้ว หลังจากเหมียวอี้ออกมาก็ควรจะติดต่อตนคนแรกสิ ทำไมถึงติดต่อเชียนเอ๋อร์ก่อนล่ะ? เรื่องนี้ค่อนข้างไม่ชอบมาพากล นางขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าใช่มั้ย?”
เชียนเอ๋อร์ก้มหน้า “ฮูหยิน นายท่านรู้เรื่องฉู่จื่อซานแล้วค่ะ เมื่อครู่นี้ตั้งใจมาถามข้าเรื่องนี้โดยเฉพาะ นายท่านโกรธมากที่ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์ปิดบังเรื่องนี้” พอนางบอกแบบนี้ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน
“เขารู้ได้ยังไง? สงสัยฝั่งท่านปู่จะรู้แล้ว…” อวิ๋นจือชิวพึมพำ แล้วหันไปตีต้นขาเสวี่ยเอ๋อร์ บอกใบ้ให้นางหวีผมต่อไป ก่อนจะยิ้มพร้อมปลอบใจทั้งสอง “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่ตรงนี้ นายท่านไม่กล้าทำอะไรพวกเจ้าหรอก อย่างมากข้าก็ต้องเล่นบทผู้หญิงปากร้ายอีกสักครั้ง รักษาโรคนี้ให้เขาโดยเฉพาะ”
สาวใช้ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เมื่อนางพูดแบบนี้ทั้งสองก็วางใจขึ้นเยอะ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ถ้าฮูหยินปรี๊ดแตกขึ้นมา ต่อให้นายท่านจะมีเหตุผลแต่ก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผล ทั้งบ้านก็มีแค่ฮูหยินคนเดียวที่สยบนายท่านเวลาโมโหร้ายได้
“สิ่งที่ยุ่งยากตอนนี้ก็คือ ข้ากลัวว่าเขาจะโมโหร้ายและทำซี้ซั้ว! กับเรื่องแบบนี้เกรงว่าข้าจะขัดขวางเขาไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีการหน่อย…” อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะถอนหายใจ ระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเหมียวอี้ก็มีข้อความเข้ามาแล้ว พอติดต่อได้ เรื่องแรกที่เหมียวอี้ทำก็คือ บอกว่าตัวเองออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว
เพื่อที่จะไม่ให้เชียนเอ๋อร์ลำบากใจ อวิ๋นจือชิวก็แกล้งทำเหมือนเพิ่งรู้เช่นกัน : กลับมาก็ดีแล้ว ข้าเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เมื่อไรจะมาหาข้าล่ะ?
ในตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์มาคุยกระหนุงกระหนิงกับนาง : เรื่องฉู่จื่อซานนี่ยังไง?
อวิ๋นจือชิว : ท่านปู่ข้าบอกเจ้าเหรอ?
เหมียวอี้ : ข้าถามว่าทำไมเจ้าปิดบังข้า?
อวิ๋นจือชิว : เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้ดีเอง ข้าไม่กล้าสวมเขาให้เจ้าหรอก เจ้าไม่ต้องกังวลไร้สาระ
เหมียวอี้ : จัดการให้ดีเหรอ? เจ้าจะจัดการยังไง? เจ้าโดนกักให้อยู่ในร้านจนออกไปไหนไม่ได้ง่ายๆ แล้ว จะสังหารฝ่าออกมาเหรอ หรือจะวิ่งเข้าใส่กับดักล่ะ?
อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว!
เหมียวอี้พูดไม่ออกไปครู่หหนึ่ง พอนึกขึ้นได้ว่าทิ้งนางไว้หลายปีขนาดนี้ ไฟโกรธก็หายไปครึ่งหนึ่งในชั่วพริบตาเดียว ไม่พูดจารุนแรงขนาดนั้นแล้ว : เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก เจ้ารออยู่ในร้านอย่างสงบใจได้เลย ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง
อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้ว : หนิวเอ้อร์ เจ้าเพิ่งจะออกมา อย่าทำอะไรซี้ซั้วเด็ดขาด
ซี้ซั้วเหร? เหมียวอี้โมโหทันที : ข้าบอกว่าข้าจะจัดการเรื่องนี้ เจ้าจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟัง?
อวิ๋นจือชิว : ถ้าไม่เชื่อฟังแล้วจะทำไม?
เหมียวอี้ : งั้นวาสนาของเราสองคนก็มาถึงจุดจบแล้ว เจ้าคิดเอาเองเถอะว่าต้องทำยังไง!
อวิ๋นจือชิวโวยวายด่าเป็นชุดทันที ผลปรากฏว่าทางนั้นไม่ตอบกลับแล้ว นางโมโหจนขว้างระฆังดาราออกไปทันที
ขณะมองดูระฆังดาราตกลงพื้น เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็มองหน้ากันเลิกลั่ก เชียนเอ๋อร์ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ฮูหยิน นายท่านเป็นยังไงเหรอ?”
“ไอ้คนไม่รักดี ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขา แต่เขาทำเหมือนข้าทำผิดอะไรมาอย่างนั้นแหละ ข้าไม่ได้อยากก่อเรื่องคบชู้กับใครเสียหน่อย…” ปากอวิ๋นจือชิวก็ด่าซ้ำไปซ้ำมา แต่น้ำตาเริ่มคลอเบ้าแล้ว ที่จริงคำพูดเมื่อครู่นี้ของเหมียวอี้ทำร้ายนางเข้าแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไปบอกผู้เฒ่าฟ่าน ว่าให้เขาปล่อยเรื่องนั้นไป”
ส่วนเหมียวอี้ในตอนนี้ หลังจากหยุดติดต่อกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็ติดต่อไปหามู่อวี่เหลียน ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินที่เข้าเวรเฝ้าอุทยานหลวง ออกคำสั่งลับให้มู่อวี่เหลียนแอบย้ายกำลังทหารครึ่งหนึ่งออกจากสวนบรรณาการแต่ละแห่ง แอบรวบรวมทัพใหญ่ห้าหมื่นไปยังดาวจิ่วหวนที่น่านฟ้าระกาติง และสั่งว่าให้กำลังพลมาถึงภายในครึ่งปีนี้ ใครเปิดเผยความรับจะมีโทษหนัก
ไม่จำกัดเวลาคงไม่ได้ สวนบรรณาการมีอยู่ทั่วใต้หล้า มีไกลบ้างใกล้บ้าง ส่วนกำลังพลกองมังกรดำที่เฝ้าอยู่ทางอุทยานหลวง เหมียวอี้ไม่ได้เรียกมาเลยสักคน และไม่ได้บอกข่าวให้รู้ด้วย
บทที่ 1504 ความมั่งคั่งทำใจคนหวั่นไหว
หลังจากนั้นครึ่งวัน ที่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งใกล้ๆ กับทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เหมียวอี้กับเหยียนซิวที่สวมชุดลำลองทั้งตัวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนเรือที่ลอยอยู่บนทะเลกว้าง บนเรือมองไม่เห็นคนขับเรือ ดูกว้างโล่งว่างเปล่า เรือกำลังถูกปล่อยให้ลอยละล่องอยู่ในบนทะเล
เหยียนซิวไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงพาเขามาที่นี่ คาดว่าคงจะอยากประชุมกับใครบางคน ไม่อย่างนั้นคงไม่มาที่นี่ทั้งๆ ที่เพิ่งออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาเองก็มองเห็นว่าบนเรือเหมือนจะมีคน แต่เขาก็ไม่ได้พูดมาก ไม่ได้ถามอะไร แต่ไหนแต่ไรมาเหมียวอี้ให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
หลังจากเหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย เหยียนซิวก็ยืนรออยู่ที่หัวเรือข้างนอก
พอขึ้นตึกเรือ เหมียวอี้แหวกผ้าม่านออก ก็เห็นเทพประจำดาวฟ้าเถาะกำลังนั่งถือถ้วยน้ำชาจิบอย่างช้าๆ ข้างกายเขามีชายชราที่หน้าตาฉลาดหลักแหลมคนหนึ่งยืนอยู่ กำลังจ้องประเมินเหมียวอี้ด้วยใบหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มบางๆ
เหมียวอี้เป็นคนนัดเทพประจำดาวฟ้าเถาะมาเอง เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าการเจอกันลับๆ แบบนี้ เทพประจำดาวฟ้าเถาะยังจะพาคนอื่นมาด้วยอีก
ผังก้วนที่เงยหน้าเล็กน้อยวางถ้วยน้ำชาลง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “มาแล้ว้เหรอ”
“คารวะเทพประจำดาว” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
ผังก้วนยกมือบอกใบ้ให้นั่งลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีอัธยาศัยดีมากว่า “นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรก เจ้าเองก็ไม่ใช่ลูกน้องข้า ไม่ต้องเกรงใจ นั่งลงเถอะ”
เหมียวอี้เองก็ไม่อ้อยอิ่ง ตอนที่เขาเพิ่งจะนั่งลง ผังก้วนก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ใช้ได้เลยนะ! ข้ายังกลัวอยู่เลยว่าเจ้าจะไม่มีทางอยู่ผ่านเวลารับโทษหนึ่งพันปีไปได้ ถึงไม่ถึงว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ถูกเจ้าฝ่าฟันผ่านมาได้แล้วเช่นกัน ข้าไม่เคยเข้าไปที่นั่นมาหลายปีแล้ว ข้าสนใจอยากจะรู้ว่าข้างในเปลี่ยนไปยังไงบ้างแล้ว ถ้าสะดวกก็เล่าให้ฟังสักหน่อย”
เมื่อเห็นเหมียวอี้มองประเมินเฉินหวยจิ่วไม่หยุด เขาก็พูดเสริมอีกว่า “คนเก่าคนแก่ของตระกูลผัง เฉินหวยจิ่ว พ่อบ้านใหญ่ของจวนผัง เป็นคนข้างกายที่ข้าสนิทที่สุด ข้าไม่เคยปิดบังเรื่องอะไรเขาทั้งนั้น”
ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้วางใจ “จะเปลี่ยนเป็นยังไงไปได้ล่ะ ปราณชั่วร้ายขวักไขว่ รุกเกาะกินต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งมีชีวิต ปราณชั่วร้ายมากมายกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย บางตัวก็วรยุทธ์ไม่ต่ำเลย หนึ่งพันปีมานี้ข้าใช้ชีวิตลำบากมาก สู้กับวิญญาณชั่วร้ายในนั้นหลายครั้ง แทบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในนั้นแล้ว หลบซ่อนตัวมาตลอด รอดออกมาได้ก็นับว่าเป็นโชคดีจริงๆ”
เฉินหวยจิ่วที่อยู่ข้างกันรินน้ำชาให้เหมียวอี้ เหมียวอี้กล่าวขอบคุณแล้วยื่นมือรับ
“วิญญาณชั่วร้าย?” ผังก้วนครุ่นคิดเล็กน้อย เห็นเหมียวอี้หยิบน้ำชาที่ทางนี้เตรียมให้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ไม่กังวเลยสักนิดว่าตัวเองวางแผนเล่นไม่ซื่อ เขาก็ยิ้มบางๆ ในใจแอบชื่นชม ว่าช่างเป็นชายหนุ่มที่ใจกว้างจริงๆ เขายิ้มพร้อมถามว่า “ว่ามาเถอะ ครั้งนี้อยากจะพบข้าให้ได้ด้วยธุระอะไร?”
เหมียวอี้พลิกมือหยิบไข่มุกวิญญาณอาฆาตลายสีทองออกมาหนึ่งเม็ด วางไว้บนโต๊ะ แล้วถามว่า “เทพประจำดาวรู้จักสิ่งนี้รึเปล่า?”
แน่นอนว่านี่คือของที่นำออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ไม่กล้านำออกมาเยอะ นำออกมาแค่ไม่กี่เม็ดก็ยังไม่มีปัญหา เป็นสิ่งที่อธิบายแล้วฟังขึ้น บอกว่าตัวเองได้มาจากการฆ่าวิญญาณชั่วร้าย
ผังก้วนเหล่ตามองแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือออกไปหยิบ คลึงเล่นอยู่ที่ปลายนิ้วพร้อมถามว่า “ไข่มุกวิญญาณอาฆาต! เจ้ามาหาข้าเพื่อถามเรื่องนี้น่ะเหรอ?”
เหมียวอี้เห็นว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้เลยสักนิด ก็เลยถามอย่างแปลกใจว่า “ไม่น่าเชื่อว่าเทพประจำดาวจะไม่โดนพลังวิญญาณอาฆาตในนี้รุกก่อกวน?”
“เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงได้เฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่ะ? ข้าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ เดาว่าเจ้าก็คงจะเหมือนกันใช่มั้ย?” ผังก้วนถาม
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง!” เหมียวอี้เข้าใจทันที แล้วถามอีกว่า “สงสัยเทพประจำดาวจะเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน”
ผังก้วนตอบว่า “ในปีก่อนๆ ที่ปราบแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ยังไม่เคยเห็นว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะมีสิ่งนี้นะ ตอนหลังกองทัพองครักษ์กวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์สองครั้ง ถึงได้รู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ ถ้าใส่สิ่งนี้เข้าไปในอาวุธ ก็จะเป็นอาวุธที่มีประโยชน์มาก ทางตำหนักสวรรค์รวบรวมสิ่งนี้ไว้ไม่น้อยเลย แต่จนใจที่นักพรตทั่วไปไม่สามารถต้านทานพลังวิญญาณอาฆาตที่อยู่ในนั้นได้ ต่อให้มีอาวุธประเภทนี้อยู่ในมือก้ใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นฝ่าบาทจึงเก็บไว้ให้คนส่วนน้อยใช้งาน”
“ยังมีคนใช้อาวุธไข่มุกวิญญาณด้วยเหรอ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ?” เหมียวอี้แปลกใจ
ผังก้วนอึ้งเล็กน้อย เหมือนรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ได้ปิดบัง “ข้างกายฝ่าบาทมีหน่วยกล้าตายอยู่ส่วนหนึ่ง ไม่เปิดเผยโฉมหน้าง่ายๆ ดังนั้นคนที่รู้เรื่องขึงมีไม่เยอะ แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทก็ให้คนพวกนี้ไปทำภารกิจลับที่บอกใครไม่ได้มาตลอด หน่วยกล้าตายพวกนี้ทีนามว่า ‘หน่วยองครักษ์เงา’ พวกเขาไม่ได้ฝึกวิชามารชั่วร้ายอะไรด้วย แต่วรยุทธ์เพิ่มเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นอาวุธไม้ตายในมือฝ่าบาท ที่พิเศษที่สุดก็คือ ‘หน่วยองครักษ์เงา’ พวกนี้เหมือจะไม่กลัวของประเภทเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ไม่กลัวปราณชั่วร้ายพวกนี้ด้วย ดังนั้น ‘หน่วยองครักษ์เงา’ พวกนี้จึงใช้อาวุธไข่มุกวิญญาณ”
“อย่าบอกนะว่าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟเหมือนกัน?” เหมียวอี้ตกใจ
ผังก้วนตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่วรยุทธ์เพิ่มขึ้นเร็วมาก ได้ยินว่าคนรู้จักบางคนในนั้น เดิมทียังวรยุทธ์บงกชม่วงอยู่เลย ตอนหลังพอประมือกันถึงได้รู้ ว่าใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองฟันปี วรยุทธ์ของคนคนนั้นก็อยู่ระดับบงกชกลายขั้นกลางแล้ว”
“ไวขนาดนั้นเชียว?” เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ถามหยั่งเชิงไปว่า “เคล็ดวิชาของหน่วยองครักษ์เงาพวกนี้มีข้อเสียอะไรรึเปล่า?”
ผังก้วนพยักหน้า “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ แต่ก็มีคนไม่น้อยคาดเดาเอาไว้แบบนี้ ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทมีเคล็ดวิชาที่เพิ่มวรยุทธ์ได้เร็วขนาดนี้อยู่ในมือ แล้วทำไมถึงไม่ฝึกเองล่ะ? ประการต่อมา เคล็ดวิชาที่น่าหวาดกลัวแบบนี้ ฝ่าบาทคงไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในมือคนอื่นง่ายๆ การที่ฝ่าบาทสามารถวางใจมอบเคล็ดวิชาให้คนกลุ่มนี้ได้ ก็แปลว่าจะต้องมีวิธีควบคุมคนพวกนี้แน่นอน คนส่วนใหญ่เดาว่าเคล็ดวิชานี้อาจจะมีปัญหาบางอย่าง”
เหมียวอี้เงียบงัน ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไร
ผังก้วนวางไข่มุกวิญญาณอาฆาตในมือลง แล้วนั่งพิงบนเก้าอี้ เอียงหน้ามองเขาแล้วถามว่า “คุยธุระหลักเถอะ เรียกข้ามาด้วยธุระอะไร?”
เหมียวอี้เรียกสติกลับมาแล้ว ชี้ไปยังไข่มุกวิญญาณอาฆาตที่เพิ่งวางลง “ข้าก็มาเพื่อสิ่งนี้นั่นแหละ! ข้าจะพูดให้ชัดเจนก็ได้ ตอนอยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ข้าได้สิ่งนี้มาเยอะมาก แต่น่าเสียดายที่เอาออกมาไม่ได้ ซ่อนเอาไว้ในนั้นชั่วคราว ตอนหลังข้าอยากจะเอาของพวกนั้นออกมา”
ผังก้วนยิ้มบางๆ พอจะเข้าใจเจตนาของเหมียวอี้แล้ว “เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้ข้าแอบเปิดประตูแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อปล่อยเจ้าเข้าไปหรอกใช่มั้ย? ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป ข้ารับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ”
เหมียวอี้หยิบไข่มุกวิญญาณอาฆาตขึ้นมาถาม “เทพประจำดาวไม่กลัวของสิ่งนี้ ไม่อยากจะได้เอาไว้สักหน่อยเชียวเหรอ?”
ผังก้วนตอบว่า “ถ้าในมือข้ามีอาวุธแบบนี้ ถ้าข่าวหลุดออกไป แล้วคนที่เฝ้าประตูแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างข้าจะอธิบายกับตำหนักสวรรค์ยังไงล่ะ? จะไม่ให้คนอื่นสงสัยว่าข้าขโมยทรัพย์สินที่ตัวเองมีหน้าที่เฝ้าหรอกก็คงยาก คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างข้า โดยทั่วไปเรื่องเข่นฆ่ากันยังไม่ถึงคราวของข้าหรอก ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของข้าก็คือความขัดแย้งจากเบื้องบน” ขณะที่พูดก็ชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ถ้าอยากจะเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีก ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากเทพประจำดาวฟ้าเถาะก็ไม่มีทางสำเร็จได้เลย ถึงได้โยนเหยื่อล่ออีคครั้ง “เทพประจำดาวไม่สนใจสิ่งนี้ แต่จะไม่สนใจทรัพย์สมบัติที่อยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เชียวเหรอ?”
ผังก้วนหัวเราะเบาๆ แล้วถามอย่างสงสัย “ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เคยมีทรัพย์สมบัติอยู่ไม่น้อยจริงๆ แต่จากที่ข้ารู้มา โดนตำหนักสวรรค์เก้บรวบรวมไว้เกือบหมดแล้ว ว่ามาเถอะ ที่เจ้าอยากจะเข้าไปในนั้น เพราะอยากจะทำอะไรกันแน่?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “เกรงว่าเทพประจำดาวจะเข้าใจผิดแล้ว เป็นไปได้สูงว่าตำหนักสวรรค์ก็คงไม่รู้เหมือนกัน ทรัพย์สมบัติที่ตำหนักสวรรค์เก็บยึดไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากทั้งหมดในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เท่านั้นเอง ครั้งนี้ข้าไปสืบมา พบว่าในนั้นมีทรัพย์สมบัติเยอะจนน่าทึ่ง!”
“ที่ตำหนักสวรรค์เก็บยึดได้เป็นแค่ส่วนเดียวเหรอ?” เสียงของผังก้วนดังขึ้นหลายส่วน น้ำเสียงเผยความตกตะลึง ร่างกายก็นั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน มองเหมียวอี้อย่างหนักแน่นมาก
เขาย่อมรู้ว่าตอนที่เพิ่งก่อตั้งตำหนักสวรรค์แล้วขาดเงินทอง ตอนนั้นกวาดสมบัติมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่น้อยเลย คาดเดาจำนวนได้ยาก เอาเป็นว่าสามารถก่อโครงสร้างในตอนเริ่มแรกให้ตำหนักสวรรค์ได้อย่างราบรื่น ทรัพย์สินจำนวนมากขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แบบนี้ก็แปลว่าทรัพย์สมบัติที่เหลือจะต้องมีตัวเลขที่น่าตกตะลึงน่ะสิ
เฉินหวยจิ่วที่นั่งอยู่ข้างกันก็มองเหมียวอี้อย่างประหลาดใจสงสัยเช่นกัน
เหมียวอี้พยักหน้ายืนยัน “ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาแต่คิดจะกลับเข้าไปในสถานที่บ้าๆ นั่นทำไมอีก”
ผังก้วนถามซักไซ่ “ถ้าตำหนักสวรรค์รู้เข้า ก็ไม่มีทางที่จะไม่ไปเอา ขนาดตำหนักสวรรค์ยังไม่รู้เลย ทรัพย์สมบัติพวกนั้นซ่อนอยู่ตรงไหนของแดนมรณะดึกดำบรรพ์?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า นิ่งเงียบไม่พูดแล้ว ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบช้าๆ แทน
ผังก้วนชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเบาๆ รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถามฟังดูบุ่มบ่ามไปหน่อย ตัวเองเป็นคนเฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถ้าให้รู้จริงๆ ว่าทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่ตรงไหน ใครจะกล้ารับประกันว่าตัวเองจะไม่ฮุบไว้คนเดียว ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะกังวลก็ได้ว่าตัวเองจะฆ่าปิดปากหรือเปล่า ย่อมไม่บอกอยู่แล้ว “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ต่อให้ข้าส่งกำลังผลที่ไว้ใจได้ไปเฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ก็ไม่กล้าเปิดทางเข้าออกง่ายๆ หรอก ใครจะกล้ารับประกันว่าในนั้นมีสายลับหรือเปล่า ถ้าให้ตำหนักสวรรค์รู้เข้า แบบนั้นก็หนีพ้นโทษตายได้ยากแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประหารล้างตระกูล!”
เหมียวอี้ตอบว่า “คิดหาทางย้ายข้าเข้าไปเป็นลูกน้องท่านสิ ให้ข้าไปเฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ข้าจะคิดหาทางเอง”
ผังก้วนลูบหนวดพลางพึมพำว่า “เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ชื่อเสียงเจ้าฉาวโฉ่ บวกกับเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย อยู่ดีๆ ข้าจะย้ายเจ้าเข้ามาได้ยังไง เกรงว่าจะต้องรอโอกาสอย่างช้าๆ”
เหมียวอี้ “เทพประจำดาวพูดก็มีเหตุผล รีบร้อนไม่ได้จริงๆ ครั้งนี้นัดเทพประจำดาวมาก็เพื่อจะบอก เพียงอยากจะให้เทพประจำดาวเตรียมใจไว้ก่อน ถึงตอนนั้นเมื่อโอกาสมาถึงจะได้ไม่พลาด”
ผังก้วนพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็หันไปมองเฉินหวยจิ่ว “ด้วยฐานะอย่างข้า ไม่สะดวกจะมาเจอเจ้าเป็นการส่วนตัวบ่อยๆ ต่อไปนี้ถ้ามีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องเจรจา เฒ่าเฉินจะเป็นตัวแทนข้ามาเจรจากับเจ้า”
เหมียวอี้ลุกขึ้นกุมหมัดคารวะเฉินหวยจิ่ว “เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”
“เป็นสิ่งที่สมควรทำ” เฉินหวยจิ่วพยักหน้าอย่างสุภาพ
ผังก้วนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องตลาดผีครั้งก่อนก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วย ไม่อย่างนั้นข้าคงจะมีปัญหายุ่งยากไม่น้อยเลย ตรงขอขอบคุณตรงนี้” เขากุมหมัดคารวะ
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วขอยืมคำของเฉินหวยจิ่วมาพูด “เป็นสิ่งที่สมควรทำ”
ผังก้วนก็หัวเราะเบาๆ เช่นกัน จากนั้นก็บอกด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อย่าประมาทเกินไปนัก ครั้งก่อนเจ้าตบหน้าตระกูลอิ๋งเร็วเกินไป ที่สำคัญคือตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งในงานนั้น ครั้งนี้เจ้ารอดกลับมาได้ เกรงว่าตระกูลอิ๋งคงจะไม่ปล่อยเจ้าไป แตะต้องเจ้าแบบโจ่งแจ้งอาจจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ระวังจะมีคนใช้วิธีต่ำทราม สิ่งที่มีเยอะที่สุดในใต้หล้าก็มีคนต่ำช้าที่ประจบสอพลอเอาใจเจ้านายนี่แหละ!”
“ข้าจะจดจำคำชี้แนะไว้! เหมียวอี้รับไมตรีนี้ไว้
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผังก้วนก็กล่าวอำลา แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปทางท้ายเรือ เฉินหวยจิ่วรีบก้าวขึ้นไปแหวกม่านไข่มุก แล้วทั้งสองก็ถลันตัวดำลงไปในทะเลกว้างอย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้ตามหลังไปแหวกมม่านไข่มุกดู เห็นผิวทะเลเงียบสงบ ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองหายไปทางไหนแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เรือก็แตกกระจายอยู่บนผิวน้ำพร้อมเสียงระเบิด ถูกทำลายกลบร่องรอยแล้ว เหมียวอี้กับเหยียนซิวเพิ่งจะพุ่งขึ้นฟ้า แต่ใครจะคิดว่าตรงหน้าจะมีเงาคนคนหนึ่งลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า มาขวางทั้งสองเอาไว้ กำลังมองมาข้างล่างด้วยสายตาเย็นเยียบ
จู่ๆ คนคนนี้ก็ปรากฏตัว เรียกได้ว่าทำให้เหมียวอี้กับเหยียนซิวตกตะลึงพรึงเพริด
บทที่ 1505 บังเอิญเจอเกาก้วน
ผู้ที่มาสวมหมวกทรงสูงสีดำ สวมผ้าคลุมบ่าสีดำ สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย
เหมียวอี้เรียกได้ว่าคุ้นเคยกับคนคนนี้จนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรแล้ว คาดว่าต่อให้มีคนปลอมตัวมา แต่ก็ปลอมลักษณะท่าทางที่พิเศษของคนคนนี้ไม่ได้ เป็นคนที่ทำให้รู้สึกว่าคำว่า ‘เย็นชา’ แทรกซึมถึงในกระดูก เกาก้วน ทูตขวาหน่วยตรวจการตำหนักสวรรค์!
ตรงนี้เพิ่งจะประชุมลับกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนแล้วแยกกัน จู่ๆ เกาก้วนก็มาโผล่อยู่ตรงนี้ ทำให้เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ อย่าบอกนะว่าโดนผู้พิพากษาหน้าตายคนนี้จับได้แล้ว?
ชั่วขณะนั้น ท่านขุนนางเหมียวก็เรียกได้ว่าจิตใจว้าวุ่นกระวนกระวายแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนดี เป็นเพราะไม่มีทางรับมือกับคนคนนี้ได้เลยจริงๆ คนที่สามารถใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ของทูตตรวจการขวาตำหนักสวรรค์ได้ มีหรือที่จะอ่อนด้อยด้อยฝีมือ
“หนิวโหย่วเต๋อ เป็นเจ้าเหรอ?” เกาก้วนเหลือบมองซากเรือที่ถูกทำลายลอยอยู่บนผิวทะเล
ฟังจากคำพูดที่เหนือความคาดหมายของอีกฝ่าย ก็เหมือนจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้อยู่ที่นี่ เหมียวอี้พยายามควบคุมอารมณ์กระวนกระวายของตัวเองเอาไว้ นำเหยียนซิวลอยขึ้นมาบนฟ้าอย่างช้าๆ หลังจากมาอยู่ตรงข้ามในระดับเดียวกันแล้ว ก็กุมหมัดคารวะ “คารวะทูตขวาเกา ไม่ทราบว่าทูตขวาเกามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
เกาก้วนตอบว่า “มีธุระผ่านมาทางนี้พอดี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิด เลยมาดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งจะออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทำไมไม่กลับไปรายงานตัว มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
สงสัยจะบังเอิญแล้วจริงๆ ที่แท้ก็มาเพราะได้ยืนเสียงระเบิดนี่เอง! เหมียวอี้สงบใจลงหลายส่วน แล้วรับมืออย่างระมัดระวัง “ตอนนี้ยังไม่ต้องไปรายงานตัวขอรับ หัวหน้าภาคอวี่อนุญาตให้ลาพักได้หนึ่งปี เพิ่งจะออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เลยมาผ่อนคลายบนดาวเคราะห์แถวๆ นี้สักหน่อย เพิ่งจะผ่อนคลายได้สักประเดี๋ยวแล้วเตรียมจะไป นึกไม่ถึงว่าเสียงความเคลื่อนไหวจะบังเอิญดังไปรบกวนทูตขวาเกา”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ และไม่ได้ซักไซ้ถามเรื่องนี้อีก เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “ข้าไม่ได้เข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าในนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ถ้าสะดวกก็เล่าสถานการณ์ของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ในปัจจุบันให้ข้าฟังสักหน่อย” พูดจบก็สะบัดผ้าคลุมแล้วหันตัว พุ่งไปยังจุดดำจุดหนึ่งบนผิวทะเลที่อยู่ไกลๆ
เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง พบว่าเป็นเกาะแห่งหนึ่ง อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้ทูตขวาเกาอยู่บนเกาะนี้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้เข้าใกล้มากเกินไป ไม่อย่างนั้นเรื่องที่แอบมาเจอกับผังก้วนเป็นการส่วนตัวก็จะโดนจับได้คาหนังคาเขา แบบนั้นก็คงจะแย่แล้ว
แต่อีกฝ่ายก็เย็นชาดุร้ายเกินไปจริงๆ ไม่ว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงหรือไม่ อีกฝ่ายก็พูดทิ้งท้ายแล้วเหาะนำไปเลย เหมือนไม่กลัวสักนิดว่าเหมียวอี้จะไม่ตอบตกลง
แต่จะว่าไปแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่อาจตบก้นหนีไปโดยไม่สนใจอีกฝ่ายได้ จึงพาเหยียนซิวตามไปแล้ว
พอเหยียบลงบนเกาะแห่งนั้น ถึงได้พบว่าบนเกาะมีค่ายภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง ที่ค่ายนั้นระเกะระกะ เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ศพเกลื่อนพื้น ในอากาศอบอวบไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ดูจากศพกาแต่งตัวของที่เกลื่อนอยู่บนพื้นก็เหมือนจะเป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งหมด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเหมือนโจรสลัดมนุษย์ธรรมดา ที่นี่เหมือนจะเป็นรังของโจรสลัด
รอบข้างมองไม่เห็นคนอื่น เห็นเพียงเงาร่างอันโดดเดี่ยวของเกาก้วนยืนรับลมทะเลอยู่บนเนินเขา ผ้าคลุมบนบ่าปลิวสะบัดอย่างรุนแรง
เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย อย่าบอกนะว่าเกาก้วนอยู่ที่นี่คนเดียว? โจรสลัดพวกนี้โดนเกาก้วนฆ่าทิ้งหมดเหรอ? อาศัยสถานะของเกาก้วน ทำไมถึงไปมีเรื่องกับโจรสลัดพวกนี้ได้ล่ะ?
แต่ในจุดนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร เกาก้วนบังเอิญอยู่ที่นี่และถูกดึงดูดมาเพราะเสียงระเบิดจริงๆ ไม่ได้ค้นพบความลับอะไรของเหมียวอี้
พอบอกใบ้ให้เหยียนซิวรออยู่ที่เดิมแล้ว เหมียวอี้ก็ถลันตัวลอยไปเหยียบบนเนินเขาในค่ายภูเขา มายืนข้างกายเกาก้วนแล้วกุมหมัดคารวะ “ทูตขวาเกา”
เกาก้วนเอียงหน้าเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง “สถานการณ์ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นอย่างไร ว่ามา”
“ปราณชั่วร้ายขวักไขว่ ต้นไม้ใบหญ้าไม่มีสักต้น…” เหมียวอี้เล่าสภาพแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้ฟังคร่าวๆ โดยเลี่ยงบางอย่างไป
เกาก้วนฟังจบแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ยังจำอสุราอัคนี อาจารย์ต่างยุคของเจ้าได้มั้ย?”
“…” เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย แน่นอนว่าจำได้อยู่แล้ว ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะทูตขวาเกาเอ่ยถึง เกรงว่าเขาก็คงจะไม่รู้จักกตัวละครนี้แล้วจริงๆ
เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเกาก้วนเป็นฝ่ายเอ่ยถึงก่อน ต่อให้คนอื่นจะรู้จักอสุราอัคนีนั่นเหมือนกัน แต่คนที่ซ่อนมันไว้ในความทรงจำส่วนลึก ถ้าไม่ถามถึงแล้วจะยังมีใครเอ่ยขึ้นมาอีก
“จำได้อยู่แล้วขอรับ” เหมียวอี้ตอบอย่างคลุมเครือ ไม่รู้ว่าการที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงอสุราอัคนีนั้นหมายความว่าอะไร
เกาก้วนตอบเสียงเรียบว่า “ในปีนั้นอาจารย์ของเจ้าก็เคยเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมือนกัน ครั้งแรกที่เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ คนที่รอดชีวิตออกมาได้มีไม่เยอะ ก่อนจะเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ อสุราอัคนียังไม่ได้มีชื่อเสียงมากขนาดนั้น แต่หลังจากฝึกวิชาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้สักระยะแล้วออกมา ก็ไม่รูเหมือนกันว่าบังเอิญเจอความพิเศษอะไร ศักยภาพเพิ่มขึ้นเร็วมาก อาศัยวิชาควบคุมไฟโลดแล่นอยู่ในใต้หล้า วิชาคุมไฟของเขาไม่เหมือนคนอื่น สิ่งที่เขาควบคุมคือแหล่งกำเนิดของไฟ สิ่งที่ควบคุมคือธาตุไฟ ถ้าโดนขาโจมตีบาดเจ็บก็จะไฟพิษโจมตีหัวใจแน่นอน ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจะทรมานจนแทบทนไม่ไหว อสุราอัคนีสามารถรวมไฟให้เป็นปราณ เป็นการรวมกันระหว่างความแข็งและอ่อนนุ่ม อาศัยฝีมือที่พิเศษไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าวางอำนาจบาตรใหญ่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง”
ควบคุมธาตุไฟ? รวมไฟให้เป็นปราณ? เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจไม่เบา แบบนี้ไม่เหมือนเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ตนฝึกหรอกเหรอ? อย่าบอกนะว่าสิ่งที่ตัวเองสงสัยก่อนหน้านี้ผิดพลาด หรือว่าตนจะเป็นลูกศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีจริงๆ?
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เรื่องบางเรื่องก็อธิบายไม่ได้ เหมียวอี้ถามว่า “ธาตุไฟแบ่งเป็นหยินกับหยาง ไม่ทราบวิ่งที่ ‘อาจารย์’ ของข้าควบคุมคือไฟหยางหรือว่าไฟหยิน?”
เกาก้วนตอบว่า “อันนี้ข้าก็ไม่รู้ชัดเท่าไร รู้ว่าเพียงว่าสิ่งที่ควบคุมคือเพลงเดือดสีแดง ตอนที่รวมไฟให้เป็นปราณราวกับดาบทวนก็แป็นสีแดงเช่นกัน คาดว่าคงเป็นไฟหยาง สำหรับสิ่งนี้ ลูกศิษย์อย่างเจ้าน่าจะรู้ชัดที่สุดสิ มาถามข้าทำไม?”
เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ ถ้าพูดอย่างนี้จริงๆ ก็แสดงว่าอสุราอัคนีควบคุมไฟหยาง เพียงแต่วิธีการควบคุมนี้เหมือนเคล็ดวิชาอัคนีดาราสุดๆ สิ่งที่แตกต่างก็คือไฟหยาง อีกอย่างก็คือเพลิงจิตที่โปร่งแสงไร้สี ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ อสุราอัคนีนั่นควบคุมได้แค่ไฟหยาง แต่เคล็ดวิชาอัคนีดารากลับควบคุมได้ทั้งไฟหยินและไฟหยาง แต่ก็เหมือนจะมีจุดเหมือนในความแตกต่าง อย่าบอกนะว่าระหว่างอสุราอัคนีกับเคล็ดวิชาอัคนีดารามีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ?
เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไรไปสักพัก เกาก้วนก็เหล่ตามถาม “พออสุราอัคนีเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์รอบเดียว ศักยภาพก็เพิ่มขึ้นเร็วมาก ไม่รู้ว่าหลังจากเจ้าเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วพบความมหัศจรรย์อะไรหรือเปล่า?”
“เอ่อ…” เหมียวอี้อึ้งทันที ยังไม่ต้องพูดถึงเลย ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งสงสัยว่าอสุราอัคนีกับเคล็ดวิชาอัคนีดารามีความเกี่ยวข้องกัน อสุราอัคนีเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ววรยุทธ์เพิ่มเร็วมาก แล้วเขาจะไม่เป็นแบบนั้นได้อย่างไร
ขณะเดียวกันก็ถูกเกาก้วนเรียกสติในชั่วพริบตาเดียว ก่อนหน้านี้เขากังวลเรื่องบางเรื่องมาตลอด นั่นก็คือวรยุทธ์ของตัวเองเพิ่มเร็วเกินไปแล้วไม่สามารถอธิบายได้ ตอนนี้ตัวเองเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนี มีโชคชะตาเหมือนอสุราอัคนี แล้วทำไมวรยุทธ์จะเพิ่มเร็วบ้างไม่ได้? สามารถอธิบายให้ฟังขึ้นได้เลย!
นอกจากนี้ เคล็ดวิชาและวิธีการลงมือของอสุราอัคนีก็มีจุดที่ทั้งเหมือนและต่างกับเขา ความต่างอยู่ที่สีสันและภายในที่คนนอกไม่รู้เท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้เขากังวลจึงไม่กล้าใช้เคล็ดวิชาอัคนีดาราอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ตอนนี้สงสัยจะมีวิธีการอธิบายแล้ว
พอคิดเรื่องพวกนี้ได้ เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าดีใจมาก นึกไม่ถึงว่าการบังเอิญเจอเกาก้วนจะทำให้ความกังวลที่อยู่ในใจเขาหายไปโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว
แน่นอน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแสดงความดีใจ เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบว่า “ไม่นับว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญขอรับ วรยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นบ้าง ตอนนี้บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้วขอรับ”
“อ้อ!” เกาก้วนทำท่าประหลาดใจ แล้วหันตัวมาบอกว่า “เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งพันปีก็บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้ว นั่นเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ! ก่อนหน้านี้ข้ายังสงสัย พอมาดูตอนนี้แล้ว เจ้าก็เป็นศิษย์ของอสุราอัคนีจริงๆ สงสัยแดนดึกดำบรรพ์จะมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ก็แค่โชคดีเท่านั้นเองขอรับ” เหมียวอี้ถ่อมตัว
เกาก้วนกลับไม่เกรงใจตามเขา “ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เจ้าก็ไปได้ กำลังพลของหน่วยตรวจการขวากำลังจะมาตรวจสอบ ข้าไม่หวังให้คนนอกมารบกวนที่นี่”
เหมียวอี้พูดไม่ออก คนที่เรียกข้ามาก็คือเจ้าไงล่ะ คนที่ไล่ข้าไปก็คือเจ้า เล่นอะไรของเจ้า
อยากจะด่าแต่ก็ด่าได้เพียงในใจ เขากุมหมัดคารวะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ขอตัวก่อนขอรับ”
“อืม” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ
จากนั้นเหมียวอี้ก็ถลันตัวจากไป พาเหยียนซิวเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ดำหายไปในจุดลึกของดาราจักร เร่งไปยังตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน
สาเหตุที่ไปตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ก็ไม่ใช่เพราะตั้งใจไปหาคนรักเก่าอย่างหวงฝู่จวินโหรวหรือว่าพวกฝูชิง แต่เป็นเพราะโค่วเหวินหลาน บอกว่าต้องการจะเลี้ยงต้อนรับผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ เหมียวอี้เดาว่าเจ้าหมอนั่นคงจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง ดังนั้นจึงกำหนดสถานที่นัดพบเป็นตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน
กำหนดสถานที่นัดพบเป็นดาวเทียนหยวน สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะจะถือโอกาสไปหาคนรักเก่าสักหน่อย อีกฝ่ายย้ำแล้วย้ำอีกว่าคิดถึงอยากเจอหน้า จะได้ถือโอกาสแก้ไขปัญหาเรื่องนี้พอดี
พอนึกถึงหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็ปวดประสาทนิดหน่อย ตอนแรกคนที่ขืนใจหวงฝู่จวินโหรวก็คือเขา ตอนหลังคนที่ทิ้งหวงฝู่จวินโหรวก็คือเขา จากนั้นคนที่เป็นฝ่ายขอคืนดีอีกครั้งก็คือเขา ตอนนี้อยากจะสลัดทิ้งแต่ก็ไม่มีทางทำได้แล้วจริงๆ ทั้งยังสาบานกับอวิ๋นจือชิวแล้วว่าตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ความจริงเลย บวกกับหวงฝู่จวินโหรวมีภูมิหลังเป็นสุนัขรับใช้ให้ราชันสวรรค์ นี่เป็นสิ่งที่ตัดไม่ขาดทั้งยังยุ่งเหยิงอีกด้วย ขนาดเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตอนสุดท้ายเขากับหวงฝู่จวินโหรวจะกลายเป็นอย่างไร
ส่วนหวงฝู่จวินโหรวในตอนนี้ก็อยู่ที่ร้านค้าสมาคมวีรชนที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ตอนนี้นางกำลังเหม่อลอยอยู่ในอ่างอาบน้ำ ใช้นิ้วเขี่ยดอกไม้ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างเบื่อหน่าย บางครั้งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
หนิวโหย่วเต๋อคนรักของนางรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้แล้ว ที่จริงที่คือเรื่องดี หนิวโหย่วเต๋อก็บอกแล้วว่าจะมาหานางทันที นางดีใจสุดๆ แต่ใครจะคิดว่าในเวลานี้คนที่นางกลัวที่สุดและไม่ควรจะมาดันมาแล้ว มารดาของนาง หวงฝู่ตวนหรง!
“ทำไมต้องมาเวลานี้ด้วยนะ…” หวงฝู่จวินโหรวบ่นพึมพำพลางฉีกกลับดอกไม้อย่างไม่พอใจ
“โหรวโหรว!” จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตู ทั้งยังมีเสียงผู้หญิงที่ชัดใสทว่าแฝงความนิ่งสงบ
“ค่ะ!” หวงฝู่จวินโหรวได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าเป็นใคร รีบบอกไปว่า “ท่านแม่ ข้ากำลังอาบน้ำ”
ที่พูดแบบนี้ก็เพื่อจะหยุดยั้งไม่ให้เข้ามา แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะร่ายอิทธิฤทธิ์สะเดาะกลอนประตู สตรีวัยกลางคนหน้าตาสวยแพรวพราวแต่งกายสง่างามคนหนึ่งผลึกประตูเข้ามา จากนั้นก็ปิดประตู แหวกม่านมุ้งที่บังห้องข้างในเอาไว้ออก ในอ่างอาบน้ำมีไอน้ำหอมโชยขึ้นมา
“ท่านแม่ ข้ากำลังอาบน้ำอยู่นะ ท่านเข้ามาได้ยังไง มีเรื่องอะไรรอสักประเดี๋ยวไม่ได้เหรอคะ…” หวงฝู่จวินโหรวที่งอเข่ากอดอกเสียงเบาลงเรื่อยๆ เพราะถูกแววตาคมกริบของมารดามองมาจนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
สายตาของหวงฝู่ตวนหรงจับจ้องไปบนใบหน้างามพริ้งที่ถูกชำระล้างจนสะอาดของลูกสาว เครื่องประทินโฉมถูกลบไปแล้ว อาศัยที่นางเป็นคนมีประสบการณ์ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าลูกสาวเสียพรหมจรรย์ เคยผ่านเรื่องสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมาตั้งนานแล้ว
บทที่ 1506 ลูกสาวโตแล้วไม่เชื่อฟังมารดา
ที่จริงก็พอจะสังเกตได้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้มองเห็นชัดเจนเหมือนตอนที่ลูกสาวอาบน้ำล้างเครื่องประทินโฉมออกจนหมดอย่างในครั้งนี้
หลังจากที่นางสังเกตเห็น ก็แอบสืบมาตลอดว่าใครกันแน่ที่แอบลักลอบอยู่กับลูกสาว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ลูกสาวตัวเองปิดบังเรื่องแบบนี้กับครอบครัวมาตลอด เรื่องที่ชายหญิงสมัครใจรักใคร่กัน มารดาอย่างนางก็ไม่ขัดอะไร ถ้าลูกสาวได้ตกลงปลงใจเรื่องแต่งงานเร็วๆ นางเองก็อยากจะเห็นความสำเร็จในเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรเสียลูกสาวก็อยู่ในช่วงอายุที่จะมีความรักตั้งนานแล้ว ดื่มด่ำความสุขระหว่างชายหญิงก็ไม่ใช่เรื่องไม่เหมาะสม เพียงแต่การแอบลักลอบแบบนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะสม
นางจะอยากจะบีบว่าที่ ‘ลูกเขย’ ให้ปรากฏตัวออกมาจริงๆ อยากจะเห็นว่าเป็นใครกันแน่
ทว่าที่แปลกก็คือ ใช้หมดทุกวิธีการแล้ว อาศัยความสามารถของสมาคมวีรชน ในหนึ่งพันปีนี้ก็ยังสืบไม่เจอว่ามีผู้ชายคนไหนไปมาหาสู่กับลูกสาวเป็นพิเศษ ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ถ้ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ภายในหนึ่งพันปีหญิงชายจะไม่พบหน้ากัน?
นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตัวเองตัดสินผิดผิดพลาดหรือเปล่า?
แต่ก็มีพิรุธบางอย่างที่ทำให้นางจำเป็นต้องสงสัยต่อไป ยกตัวอย่างเช่นตอนที่แนะนำชายหนุ่มที่มีความสามารถจำนวนหนึ่งให้ ลูกสาวก็ไม่สนใจที่จะติดต่อคบค้าเลยสักนิด ถ้าเป็นเหมือนก่อนหน้านี้มีเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานก่อกวนก็ว่าไปอย่าง ตอนนี้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตายแล้ว โค่วเหวินหลานเองก็ไม่ได้มีท่าทีจะเข้ามายุ่งวุ่นวาย ต่อให้เมื่อก่อนจะมีสองคนนั้นก่อกวน แต่อย่างน้อยลูกสาวก็ยินดีที่จะไปเจอหน้ากับคนที่แนะนำให้ แต่ตอนนี้ไม่มีคนก่อกวนแล้ว ทำไมถึงไม่แม้แต่จะไปเจอหน้าด้วยซ้ำล่ะ?มีปัญหา มีปัญหาแน่นอน!
นอกจากนี้ หลายครั้งที่อยากจะให้ลูกสาวเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนให้มาอยู่ใกล้กับตระกูลหวงฝู่สักหน่อย นางหนูกลับหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ มาปฏิเสธ แค่เพราะไม่อยากออกไปจากที่นี่ แบบนี้แสดงว่ามีปัญหา
ดังนั้นนางจึงสงสัยว่าคนที่ลูกสาวแอบคบอยู่ที่ดาวเทียนหยวน หรือไม่ก็อยู่ในที่ที่ไม่ไกลจากดาวเทียนหยวน
แต่เบาะแสบางอย่างที่เจอในการมาตรวจสอบบัญชีครั้งนี้ก็ทำให้นางระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม ปกติตอนมาตรวจสอบบัญชี ถึงแม้ลูกสาวจะเคารพยำเกรงแต่กลับไม่มีอย่างอื่น แต่ครั้งนี้กลับอยากจะให้ตนออกไปเร็วๆ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?ความผิดปกติแบบนี้ทำให้นางหาข้ออ้างที่จะอยู่ต่อไป ผลปรากฏว่าเริ่มสังเกตได้ทีละนิดว่าลูกสาวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยิ่งพิสูจน์สิ่งที่นางสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อจ้องลูกสาวที่ผิวขาวดุจหิมะแช่อยู่น้ำครู่หนึ่ง หวงฝู่ตวนหรงก็ยกมือขึ้นสองข้าง ม้วนแขนเสื้อสองข้างขึ้น เผยให้เห็นแขนสองข้างที่ขาวละเอียดอ่อน แล้วเดินไปข้างหลังหวงฝู่จวินโหรวที่กำลังพิงขอบอ่างอาบน้ำ ช่วยลูกสาวเกลี่ยผมงามมาไว้ตรงหน้าอก แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งมาจุ่มน้ำ ช่วยลูกขัดหลังให้ลูกสาวขัดหลังอย่างช้าๆ
“คิคิ…” หวงฝู่จวินโหรวจั๊กกะจี้จนบิดตัวเล็กน้อย “ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะคะ ข้าทำเองก็ได้”
“ใช่แล้ว!” หวงฝู่ตวนหรงมองเรือนร่างที่ทำให้คนเลือดลมสูบฉีดของลูกสาว แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว เติบโตแล้ว ตอนนี้รู้จักอายแล้ว”
“มีอะไรน่าอาย”
“แม่ก็ไม่ใช่คนนอกสักหน่อย ถ้าไม่อายแล้วทำไมกอดอกไม่ปล่อยล่ะ?”
หวงฝู่จวินโหรวปล่อยมือจากหน้าอกอย่างช้าๆ แล้วใช้มือนวดคลึงต้นขาที่อยู่ในน้ำอย่างเขินอาย
“โหรวโหรว เจ้ามีผู้ชายที่ถูกใจหรือยัง?” หวงฝู่ตวนหรงที่กำลังขัดหลังให้ลูกสาวเอ่ยถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
คำพูดแบบนี้มารดาไม่ได้ถามเป็นครั้งแล้ว หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ”
หวงฝู่ตวนหรงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ถ้ามีคนชอบแล้วก็บอกมาได้เลย ถ้าหากเหมาะสม แม่จะออกหน้าจัดการให้เอง ไม่มีอะไรน่าอาย ชายหญิงเติบโตแล้วก็ควรจะแต่งงาน เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ถึงแม้ตระกูลหวงฝู่ของเราจะรักษากฎลำบากไปหน่อย แต่อาศัยศักยภาพของสมาคมวีรชน อาศัยความงามที่พบเจอเพียงหนึ่งในพันของโหรวโหรว ถ้าไปชอบใครก็คือวาสนาของคนนั้น แล้วอีกอย่าง ภูมิหลังของตระกูลเราก็สูงทะลุฟ้าเช่นกัน ต่อให้ไม่มีผลานแต่ก็ทำงานอย่างยากลำบาก ถ้าลูกสาวข้าถูกใจใคร แค่เบื้องบนเอ่ยปากคำเดียว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สำเร็จ เจ้ายังมีอะไรน่ากังวลอีก?”
หวงฝู่จวินโหรวตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านแม่ ข้าบอกไปหลายรอบแล้ว ไม่มีจริงๆ ค่ะ ถ้าข้าเจอแล้วก็ย่อมบอกท่านแม่เอง”
หวงฝู่ตวนหรงแววตาวูบไหว “ในเมื่อยังไม่มี งั้นแม่จะก็จะแนะนำคนดีๆ ให้เจ้าสักคน หลานชายของนายท่านจินของคฤหาสน์จินหู แม่เคยเจอมาแล้ว หน้าตาดีมีความสามารถจริงๆ สง่างามดุจต้นอวี้ซู่ลู่ลม วรยุทธ์ก็ไม่ได้แย่…เจ้าอย่าเพิ่งปฏิเสธนะ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ลองไปเจอกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าถูกใจขึ้นมาล่ะ? อาศัยความงามของลูกสาวข้า ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ชอบเจ้า”
หวงฝู่จวินโหรวก้มหน้า ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านแม่ คนที่ท่านแม่บอกข้าเคยเจอแล้ว เคยมาซื้อของที่ร้านค้า ทั้งยังบอกด้วยว่าจะเจอข้า บอกว่ารู้จักกับท่าน ถ้าลูกเดาไม่ผิด ท่านแม่บอกใบ้ให้เขามาใช่มั้ยคะ?”
หวงฝู่ตวนหรงตอบว่า “ข้าแนะนำให้เขามาแล้วยังไงล่ะ? อีกฝ่ายเคยเห็นเจ้าก็แปลว่ายอมรับแล้ว แค่อให้เจ้าตอบตกลงเท่านั้น ในเมื่อเจ้าเคยเห็นแล้ว ก็น่าจะรู้นะว่าแม่ไม่ได้พูดซี้ซั้ว คนหนุ่มนั่นหน้าตาดีจริงๆ ใช่มั้นล่ะ?”
หวงฝู่จวินโหรวบ่นว่า “เป็นหนุ่มน้อยหน้าขาวที่แต่งหน้าจัด หน้าตาดีตรงไหน ข้าเห็นแล้วสะอิดสะเอียน”
หวงฝู่ตวนหรงจงบอกว่า “เจ้าสำนักไท่อี้ก็มีหลานชายคนหนึ่ง มีความเป็นชายเต็มเปี่ยม หน้าตาบุคลิกองอาจห้าวหาญ วรยุทธ์ก็โดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกัน คนนี้ไม่ใช่หนุ่มน้อยหน้าขาวแน่นอน ไปดูสักหน่อยว่าถูกปากเจ้าหรือเปล่า”
“เชอะ! ยังจะมาถูกปากไม่ถูกปากอะไรอีก? ท่านแม่ นี่ไม่ใช่การดูอาหารเตรียมใช้ตะเกียบคีบเสียหน่อย องอาจอ้าวหาญอะไรกัน ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นเจ้านั่น ข้างกายมีบ่าวหญิงสองคนสวมชุดขาวถือกระบี่ทำวางมาด ก็แค่อาศัยว่ามีตระกูลหนุนหลัง คนทั่วไปก็เลยไม่กล้าหาเรื่องเขาเฉยๆ หรอก เลยทำตัวหยิ่งผยองอยู่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นคงถูกตำหนักสวรรค์เรียกตัวไปรับตำแหน่งตั้งนานแล้ว ถ้ามีความสามารถก็ลองให้เขาไปทำตัวหยิ่งผยองที่ตลาดผีคนเดียวดูสิ ดูว่าเขาจะรอดกลับมาได้หรือเปล่าแล้วค่อยว่ากัน…ท่านแม่ อย่าบอกนะว่าท่านก็ให้เขามาที่ร้านข้าด้วยเหมือนกัน?”
“คนนี้เจ้าก็ไม่ชอบ คนนั้นเจ้าก็ไม่ชอบ แล้วเจ้าชอบแบบไหนกันแน่?”
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยจริงๆ”
“ไม่ต้องกังวลเหรอ? สหายของเจ้าคนนั้น เจ้ารู้จักมั้ยสนมสวรรค์คนปัจจุบันน่ะ?”
“ท่านแม่ ทำไมโยงไปถึงหรูอี้อีกแล้ว?”
“ปู่เจ้าก็รู้เรื่องนี้มาบ้างแล้ว ท่านวางแผนเพื่อตระกูล ตั้งใจจะส่งเจ้าเข้าวังไปเป็นสนม เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อเบื้องบน”
“หา!” หวงฝู่จวินโหรวร้องตกใจมาก พลันหันตัวมานั่งคุกเข่า ร่างกายท่อนบนเปิดเผยออกมาจนหมด ราวกับบัวขาวโผล่พ้นน้ำ มีหยดน้ำที่เหมือนเม็ดไข่มุกกระเพื่อมสั่นไหว งดงามเย้ายวนใจมาก นางจับมือสองข้างของมารดา “ท่านแม่ ท่านตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่อยากเข้าวังไปเป็นสนม!”
หวงฝู่ตวนหรงแกะมือสองข้างของนางออก “แม่ก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว ย่อมไม่อยากให้เจ้าไปทนทุกข์อยู่แล้ว ก็เลยพยายามจะให้เจ้าหลุดพ้น แต่จะว่าไปแล้ว คนที่ตระกูลเอามาให้เจ้าเลือกก็มีไม่เยอะเท่าไร ถ้าเจ้าถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไป แม่ก็ไม่กล้ารับประกันนะว่าวันไหนจะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับเจ้า!”
หวงฝู่จวินโหรวถอนหายใจแรงๆ หันตัวกลับมานั่งลงในขณะที่ใจยังหวาดกลัวอยู่
หลังจากคุยเล่นกันไปสักพัก หวงฝู่จวินโหรวก็เอ่ยเหมือนเดิมว่า “ท่านแม่ ตรวจสอบบัญชีทางนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว ท่านจะกลับไปเมื่อไรเหรอ?”
หวงฝู่ตวนหรงตอบเสียงเรียบว่า “เราสองแม่ลูกไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเลย ทั้งยังอยู่ไกลกัน ครั้งนี้แม่เตรียมจะอยู่กับเจ้านานๆ หน่อย เดี๋ยวกลับไปจัดแจงของในห้องสักหน่อย แม่จะอยู่กับเจ้าที่นี่ชั่วคราว”
หวงฝู่จวินโหรวเลยบอกว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหรอกค่ะ ในมือข้ามีงานเยอะมาก อย่าทำให้งานของตระกูลล้าช้าเสียหาย…”
บางทีอาจจะเป็นเพราะเชื่อฟังคำโน้มน้าวขอลูกสาว วันต่อมาหวงฝู่ตวนหรงก็เร่งให้ลูกน้องรีบตรวจสอบบัญชี หลังจากนั้นสามวันก็พาคนออกไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวออกมาส่งนอกเมืองด้วยตัวเอง ขณะมองส่งมารดาจากไป เมื่อเห็นว่าส่งมารดาที่ ‘น่ากลัว’ ไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ดีใจไม่หยุด เพราะอีกไม่นานก็จะได้เจอกับเจ้าคนไม่รักดีคนนั้นแล้ว
หารู้ไม่ว่าหวงฝู่ตวนหรงออกไปแล้วก็กลับมาอีก เพียงแต่ไม่ได้เข้าเมือง แต่พักชั่วคราวอยู่ในภูเขาทางตะวันตกของเมือง
สำหรับคนส่วนใหญ่ เรื่องบางเรื่องอาจจะเรียกว่าคนรวยพูดเสียงดังกว่าคนอื่น สำหรับบางคนกลับเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นในป่าภูเขาทางทิศตะวันออกของเมือง ที่ดินดีๆ ผืนหนึ่งที่ติดภูเขาและแหล่งน้ำ โค่วเหวินหลานที่มารอล่วงหน้าสั่งให้คนสร้างสวนที่เรียบง่ายทว่าเผยความหรูหราเสร็จภายในไม่กี่วัน
เหมียวอี้นำเหยียนซิวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงที่ประตูสวน
“น้องหนิว!” โค่วเหวินหลานที่มายืนต้อนรับตรงประตูกุมหมัดทักทายเสียงดัง ข้างกายมีสตรีชุดม่วงคนหนึ่งที่สูงสง่า หน้าตางดงามดุจดอกไม้ บุคลิกสุภาพสง่างาม แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงจากครอบครัวธรรมดา
“พี่โค่ว” เหมียวอี้เพิ่งจะกุมหมัดคารวะ สตรีชุดม่วงคนนั้นก็ตะโกนเรียกด้วยเสียงใสพร้อมรอยยิ้มที่เป็นกันเองแล้ว “หนิวโหย่วเต๋อ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”
“เอ่อ…” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ รู้สึกว่าคนนี้ค่อนข้างคุ้นตา เหมือนจะเคยเจอแต่ก็ไม่เคยเจอ อย่าบอกนะว่าน้องสาวคนนั้นของโค่วเหวินหลาน? เขาไม่กล้าแน่ใจเกินไป
โค่วเหวินหลานพูดคลายปริศนา “อาจจะเป็นเพราะเวาผ่านมานานมากแล้ว น้องหนิวลืมไปแล้ว นี่คือโค่วเหวินจื่อน้องสาวข้า ในปีนั้นเคยมาที่ตลาดสวรรค์ พวกเจ้าเคยเจอกัน”
“อ้อ!” เหมียวอี้เข้าใจทันที นึกออกแล้ว ในปีนั้นที่เจอกันยังเป็นแม่นางน้อยอยู่เลย ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว หลุดจากความเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาแล้ว เต็มไปด้วยลักษณะของตรีที่โตเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งนับวันก็ยิ่งสวย เขาจึงรีบกุมหมัดขออภัย “แม่นางโค่วยิ่งนับวันยิ่งสวย หนิวเกือบจะจำไม่ได้ ล่วงเกินแล้ว ล่วงเกินแล้ว!”
“เชอะ! พอสูงส่งแล้วคงจะลืมมิตรภาพเก่าๆ แล้วล่ะสิ? กล้าก่อเรื่องในงานรับสนมของฝ่าบาท เก่งขนาดไหนกันล่ะ มีหรือที่จะเห็นข้าอยู่ในสายตา” โค่วเหวินจื่อทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
โค่วเหวินหลานทำหน้าเข้มทันที “เหวินจื่อ ทำไมพูดจาอย่างนั้น? เจ้าอยากตามข้ามาเองนะ อยากจะให้ข้าไล่กลับไปใช่มั้ย?”
เขามาครั้งนี้เพราะได้รับภารกิจ มาเพื่อเป็นพ่อสื่อ บิดาอธิบายรายละเอียดของเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว ว่าท่านปู่ตัดสินใจจะให้หลานสาวแต่งงงานเชื่อมสัมพันธ์กับเหมียวอี้ เตรียมจะรับเหมียวอี้เข้ามาเป็นลูกน้องในตระกูลโค่ว ส่วนจะเลือกใครให้แต่งงานก็ยังไม่แน่นอน สำหรับตระกูลโค่วแล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานกับคนไหนก็ถือว่าแต่งงานเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่จะมาเลือกที่รักมักที่ชัง เพียงดูว่าเหมียวอี้ถูกใจคนไหน สรุปก็คือต้องพยายามประสานงานเรื่องนี้ให้สำเร็จให้ได้ แต่บิดาของเขาแอบซ่อนจิตใตที่นึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวเอาไว้ นับว่าตั้งใจจะสนับสนุนลูกชายตัวเองเช่นกัน จึงบอกกับลูกชายไว้ชัดเจน ว่านี่คือคนที่ท่านปู่ชอบและคิดจะเลี้ยงดูฝึกฝน ต่อไปอาจจะมีอนาคตยาวไกลไร้ขอบเขต ถ้าได้น้องเขยที่ท่านปู่เล็งเห็นความสำคัญช่วยเหลือ ก็จะได้ประโยชน์จากเรื่องอำนาจในตระกูลไม่น้อยเลย
สิ่งที่เรียกว่าจิตใจที่เห็นแก่ตัวนั้นจะแสดงออกมากเกินไปไม่ได้ เพียงแต่ถือโอกาสให้โค่วเหวินหลานพาน้องสาวตัวเองมาด้วยก็เท่านั้นเอง จะได้ได้เปรียบที่มีโอกาสเจอก่อน คุยกันแบบเห็นตัวก็ดีกว่าเจรจาแบบไม่เห็นตัว ยิ่งไปกว่านั้นโค่วเหวินจื่อก็หน้าตางดงามมากจริงๆ หน้าตาก็ดี รูปร่างก็ดี เชื่อว่าทำให้ผู้ชายทุกคนหวั่นไหวได้ง่ายๆ กอปรกับมีตระกูลชนชั้นสูงอย่างตระกูลโค่วช่วยเหลือ โอกาสที่จะตอบตกลงก็มีเยอะมาก
บทที่ 1507 เป็นพ่อสื่อในสวนสาลี่
ดังนั้นที่บอกว่าโค่วเหวินจื่อเป็นฝ่ายขอตามมาเอง เป็นเพราะโค่วเหวินจื่อเลอะเลือนจนไม่รู้ว่าตัวเองโดนดึงเข้ามาในแผนการ คนในบ้านเข้าใจนางดีที่สุด ถ้ามีโอกาสออกไปเที่ยวเล่น แล้วนางไม่เป็นฝ่ายขอออกไปเองก็แปลกแล้ว แค่ปล่อยข่าวให้รู้นิดหน่อยก็ทำให้นางติดเบ็ดแล้ว
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ โค่วเหวินจื่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำอะไรที่นี่กันแน่ กำลังจะโดนขายแล้วยังไม่รู้ตัวราวกับคนโง่
เพียงแต่ข้อเสียอย่างเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือ นิสัยของโค่วเหวินจื่อซุกซนไปหน่อย นางเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลโค่ว ยามปกติโดนคนในตระกูลตามใจจนเหลิงไปหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นตลอดทางที่มารวมทั้งหลังจากมาถึงแล้ว โค่วเหวินหลานจึงกำชับตลอดว่า ต้องทำตัวเป็นผู้หญิงเรียบร้อย! ต้องทำตัวเป็นผู้หญิงเรียบร้อย!
ถ้าตำหนิตอนนี้ก็กลัวว่าโค่วเหวินจื่อจะทำเสียเรื่อง ถ้าทำให้หนิวโหย่วเต๋อรำคาญ ความพยายามของเขาก็จะสูญเปล่าแล้ว
ที่จริงโค่วเหวินหลานไม่เต็มใจทำเรื่องแบบนี้เอามากๆ ในใจรู้สึกเซ็ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ ประการแรกเป็นเพราะนี่คือเรื่องที่ท่านปู่เห็นด้วย ประการต่อมาเป็นเพราะเกิดในตระกูลแบบนี้ เรื่องบางเรื่องจึงทำตามใจตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่ขึ้นข้างบนก็ต้องอยู่ข้างล่าง ผู้ที่มีความสามารถจะได้อยู่ข้างบน มันก็เรียบง่ายอย่างนี้! ขอถามคำเดียวว่าอยากจะเงยหน้าไม่ขึ้นในตระกูลหรือเปล่า ถ้าไม่อยากก็ต้องพยายามเอาแล้วกัน!
เมื่อโดนตำหนิ โค่วเหวินจื่อก็เถียงกลับสองสามคำ แต่พอนึกถึงผลประโยชน์ที่พี่ชายตอบตกลงว่าจะให้ นางก็เม้มปาก ได้แต่แสร้งยอมรับคำตำหนิเหมือนผู้หญิงว่านอนสอนง่าย
“ไม่เป็นไรหรอก!” เหมียวอี้กลับหัวเราะเบาๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่เลย อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับโค่วเหวินหลาน อาศัยที่โค่วเหวินหลานช่วยเขาไว้หลายครั้ง เขาไม่ถึงขั้นถือสาน้องสาวของโค่วเหวินหลานเพราะเรื่องแค่นี้หรอก ลูกสาวของตระกูลใหญ่จะนิสัยเย่อหยิ่งไปหน่อยก็พอเข้าใจได้
พอเห็นว่าเขาไม่ถือสาแล้วจริงๆ โค่วเหวินหลานก็เบี่ยงตัวหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญ “น้องหนิว เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเดินเคียงเขาเข้าไป
โค่วเหวินจื่อเบะปากใส่เงาหลังเขา แต่ไม่นานความสนใจก็ไปหยุดอยู่ที่เหยียนซิวที่ตามมาข้างหลัง นางมองประเมิน ‘ใบหน้าคนตาย’ ของเหยียนซิวอย่างประหลาดใจนิดหน่อย พบว่าผู้ติดตามของเหมียวอี้หน้าตาน่ากลัวจนทำให้คนเห็นรู้สึกหนาว
พอเข้ามาถึงลานบ้านด้านใน สองข้างทางเดินหินเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม ทั้งหมดเป็นดอกสาลี่สีขาวที่ถูกเร่งให้ออกดอก พอเดินอยู่ท่ามกลางแดนที่สง่างาม ก็ทำให้คนรู้สึกสดชื่นจริงๆ รู้สึกอิสระผ่อนคลายยิ่งกว่าตอนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ใบหญ้าที่แปลกตาอีก
เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วถามอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้เหมือนตรงนี้จะไม่มีสิ่งปลูกสร้างใช่มั้ย?” เขามีอำนาจอยู่ที่ดาวเทียนหยวนมาหลายปี ย่อมรู้จักสภาพภูมิประเทศรอบๆ ตลาดสวรรค์เป็นอย่างดี
โค่วเหวินหลานตอบไปส่งเดชว่า “ในเมื่อน้องหนิวไม่อยากเข้าไปพักในเมือง ข้าก็เลยสั่งให้คนสร้างที่พักเมื่อไม่นานมานี้”
ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากพูดคุยเรื่องแบบนั้นตอนอยู่ในเมือง ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าก็จะน่าอับอาย การที่เหมียวอี้ไปอยากเข้าไปในเมืองก็ตรงกับที่ใจเขาต้องการพอดี และที่สร้างสวนไว้ที่นี่ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงความจริงจัง เหตุผลรองลงมาก็คือเตรียมการอย่างอื่นไว้
ส่วนเหมียวอี้ สาเหตุที่เขาไม่อยากเข้าเมืองก็เพราะไม่อยากรบกวนพวกฝูชิง พวกฝูชิงอยู่ในอาณาเขตของอิ๋งจิ่วกวง เขาล่วงเกินตระกูลอิ๋งไว้หนักเกินไป ไม่อยากเข้าใกล้พวกฝูชิงมากเกินไปจนทำให้พวกฝูชิงเดือดร้อน สาเหตุรองลงมาก็คือ ถ้าแอบเจอกับหวงฝู่จวินโหรวในเมืองก็จะโดนเปิดโปงได้ง่าย เจอกันข้างนอกจะเหมาะสมกว่า
สรุปก็คือเรียกได้ว่าต่างคนก็ต่างมีเจตนาต่างกัน ดังนั้นเหมียวอี้จึงมองไปที่โค่วเหวินหลานโดยจิตใต้สำนึก สร้างสวนขึ้นมาชั่วคราวงั้นเหรอ? แค่จัดงานเลี้ยงต้อนรับตน ถึงกับต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรอ สงสัยจะมีเรื่องอะไรจริงๆ
ในสวนดอกสาลี่ ทิวทัศน์ดอกไม่โปรยปรายงดงาม มีกระท่อมปะปนอยู่สองสามหลัง ทั้งสองเดินเข้าไปในศาลามุงจากหลังที่ใหญ่ที่สุด มีบ่าวรับใช้นำสุราอาหารมาวางตั้งนานแล้ว กำลังยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ
“เชิญ!” โค่วเหวินหลานยื่นมือเชิญให้นั่ง หลังจากตัวเองนั่งลงแล้ว ก็เอียงหน้าบอกข้างๆ ว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”
บรรดาบ่าวรับใช้รีบออกไป จากนั้นเขาก็จ้องไปที่เหยียนซิว
ตั้งกันซ้ายขวาออกไปให้หมด สงสัยมีเรื่องสำคัญจะเจรจาจริงๆ! เหมียวอี้ที่เข้าใจความหมายก็เอียงหน้าบอกเหยียนซิวเช่นกัน เหยียนซิวถอยออกไปทันที ไปยืนเฝ้าในประตูลานบ้านโดยหันหลังมาทางนี้
โค่วเหวินจื่อเข้ามานั่งลงด้วยอย่างใจกว้างตรงไปตรงมา แต่ใครจะคิดว่าโค่วเหวินหลานสะบัดหน้ามาบอกว่า “พี่มีเรื่องจะคุยกับน้องหนิว ในศาลาทางนั้นมีฉินให้ดีด ไปแสดงฝีมือสร้างความบันเทิงให้พวกเราสักหน่อยไป”
โค่วเหวินจื่อถลึงดวงตางามใส่ทันที แต่ก็เข้าใจความหมายแฝงลึกๆ ในแววตาที่อีกฝ่ายมองกลับมา
พอนึกถึงผลประโยชน์ที่พี่ชายสัญญาว่าจะให้ โค่วเหวินจื่อก็กัดฟัน เตรียมจะอดทนสักครั้ง รอให้ผลประโยชน์มาถึงมือก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีทีหลัง นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เข้าไปในศาลามุงจากอีกหลังที่อยู่ลึกในสวนสาลี่ แล้วก็นั่งลงตรงหน้าฉินแล้ว
เหมียวอี้ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน ความสนใจไปอยู่ที่โค่วเหวินหลาน ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีเรื่องอะไรกันแน่
โค่วเหวินหลานเพิ่งจะยกกาสุรารินให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงฉินที่ไพเราะงดงามลอยมาแล้ว ไพเราะเสนาะจับใจมาก เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยความอึ้ง แต่หลังจากเห็นกลีบดอกสาลีโปรยปรายในบางครั้ง โค่วเหวินจื่อที่นั่งอยู่ในศาลามุงจากก็เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นิ้วเรียวยาวกำลังยกขึ้นดีดลงอย่างสง่างาม ดีดเสียงฉินอันไพเราะออกมา
มุมนี้สามารถมองเห็นสภาพในศาลามุงจากทางนั้นได้พอดี บวกกับกลีบดอกสาลี่โปรยปรายขับบรรยากาศให้โดเด่น ทั้งยังมีเสียงดนตรีอันไพเราะชั้นสูง ก็ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่บรรยายเป็นคำพูดได้ยากจริงๆ โค่วเหวินจื่อที่ยกแขนเสื้อขึ้นลงก็ราวกับเป็นคนในภาพวาด สง่างามสุดๆ เสียงพิณที่เกิดขึ้นจากนิ้วเรียวสวยก็ไพเราะเช่นกัน ราวกับเป็นเสียงจากธรรมชาติ
พอเห็นเหมียวอี้มองจนเหม่อลอยเล็กน้อย โค่วเหวินหลานก็แอบยิ้มอย่างขื่นขม ไม่เสียแรงที่ตนพยายามทุ่มเทวางแผนจัดสถานที่ เพียงแต่ผู้หญิงของตระกูลโค่วจำเป็นต้องมาดัดจริตแบบนี้ถึงจะขายออกตั้งแต่เมื่อไรกัน? คนที่อยากจะแต่งงานกับลูกสาวบ้านนี้ต้องต่อแถวยาวเท่าไรก็ยังไม่รู้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เตรียมการไว้เยอะเกินไปหรือเปล่า
“น้องหนิว เชิญดื่ม”
พอเสียงของโค่วเหวินหลานเอ่ยเชิญ ก็ทำให้เหมียวอี้ได้สติกลับมา รีบยกจอกสุราขึ้นดื่มพร้อมกัน พอวางจอกสุราลงก็กล่าวชมว่า “นึกไม่ถึงว่าน้องสาวของท่านจะดีดฉินได้เก่ง”
“เป็นเพราะอาจารย์สอนดีก็เท่านั้นเอง ตระกูลโค่วหายอดอาจารย์ฉินในใต้หล้ามาให้ก็ไม่มีปัญหา นางเล่นเก่งตั้งแต่เด็กแล้ว พูดไปน้องหนิวก็อาจจะไม่เชื่อ น้องสาวข้าอาจจะไม่มีฝีมือด้านอื่น แต่ฉินฉีซูฮว่า[1]นั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่ได้ซุกซนเหมือนอ่ยางที่เห็นภายนอก” โค่วเหวินหลานเอ่ยชม แล้วถามอีกว่า “ไม่รู้ว่าฉินฉีซูฮว่าของน้องหนิวเป็นยังไงบ้าง ถ้าสนใจก็ประลองกับน้องสาวข้าสักหน่อยมั้ย”
ปาดเหงื่อ! ตอนยังไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอเอ่ยถึง เหมียวอี้ก็รีบโบกมือ “ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อย ตอนเด็กแค่จะกินให้อิ่มยังลำบากเลย ไม่ได้มีความภูมิฐานแบบนั้นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือฉินฉีซูฮว่า จะมีคุณสมบัติอะไรไปประลองกับน้องสาวท่านล่ะ”
เขาไม่ได้พูดเพราะเกรงใจ เรื่องดีดฉินกับเขียนพู่กัน เขาไม่ชำนาญเลยสักนิด ส่วนการเขียนตัวอักษร ถ้าไม่ใช่เพราะถูกอวิ๋นจือชิวบังคับให้คัด ตัวหนังสือที่ออกมาจากมือเขาก็ไม่มีหน้าไปเจอใครได้เลย ตอนนี้เขานับว่าเขาใจความลำบากหวังดีของอวิ๋นจือชิวในตอนแรกแล้ว อยู่ในตำแหน่งระดับนี้แล้ว ถ้ายังเขียนคำสั่งด้วยตัวอักษรบิดเบี้ยวอยู่ คาดว่าลูกน้องที่ได้อ่านคำสั่งคงจะแอบหัวเราะเยาะ แต่ตอนนี้เนื่องจากอยู่ห่างจากอวิ๋นจือชิวเป็นเวลานานแล้ว ต่อให้อวิ๋นจือชิวอยากจะควบคุมให้เขาฝึกเขียน แต่ก็ควบคุมไม่ไหวอยู่ดี แต่ตัวหนังสือของเขาในตอนนี้ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนหัวเราะเยาะแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งเช่นกัน เจตนาเดิมของอวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่เพื่อกดดันให้เขากลายเป็นนักวรรณกรรมอะไร แค่เขียนได้ไม่แย่ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องเล่นหมากล้อม นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย นิสัยแย่ๆ ตอนเล่นโดนอวิ๋นจือชิวถือกระบี่แก้ให้หมดแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเล่นหมากล้อมแย่ๆ เหมือนในตอนแรก ตอนหลังก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เหอะๆ ดื่มสุรา!”
โค่วเหวินหลานรินสุราให้เขาดื่มจอกหนึ่ง หลังจากดื่มไปจอกหนึ่งแล้ว เจ้าตุ้งติ้งก็ออกอาการเดิม สะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดมุมปากด้วยมาดผู้ดี
ผิวหนังใต้ร่มผ้าของเหมียวอี้แอบมีขนลุก แล้วก็เป็นฝ่ายแย่งจอกสุรามาช่วยรินเอง ก่อนจะไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “พี่โค่ว ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องมีอะไรอ้อมค้อม มีอะไรจะสั่งก็บอกมาตรงๆ ได้เลย ขอเพียงหนิวคนนี้ทำได้ ก็จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด!” นี่กำลังเป็นการบอกให้เขาคุยธุระหลัก
โค่วเหวินหลานเงียบไปครู่หนึ่ง จัดระเบียบความคิดเล็กน้อย มองไปยังโค่วเหวินจื่อที่กำลังดีดฉิน พร้อมถามว่า “น้องหนิว เจ้ารู้สึกว่าน้องสาวข้าเป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้าตอบว่า “ก็เหมือนอย่างที่พี่โค่วบอก เชี่ยวชาญฉินฉีซูฮว่า บวกกับหน้าตางดงามปานเทพธิดา ก็ย่อมไม่เลวอยู่แล้ว”
“ถ้าให้แต่งเป็นภรรยาของน้องหนิวดีมั้ย?” โค่วเหวินหลานถามพร้อมรอยยิ้ม
“เอ่อ…” เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก นึกว่าตัวเองฟังผิดไป รีบโบกมือบอกว่า “พี่โค่ว อย่าล้อเล่นแบบนี้เด็ดขาด หนิวเป็นคนไร้สติปัญญา จะไปคู่ควรกับน้องสาวท่านได้ยังไง”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ!” โค่วเหวินหลานส่ายหน้าอย่างจริงจัง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “น้องหนิวมาตั้งตัวที่ตลาดสวรรค์ตัวเปล่า เริ่มก้าวขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นทีละก้าวยังไงบ้าง ในใจข้ารู้ดี ความสัมพันธ์ของเจ้ากับข้าก็เริ่มแน่นหนาขึ้นทีละนิด ข้าชื่นชมน้องหนิวมาก หลังจากน้องหนิวมีเรื่องกับอ๋องสวรรค์อิ๋ง ข้าก็เริ่มกังวลกับอนาคตของน้องหนิว พอได้รู้ว่าน้องหนิวกำลังจะหลุดพ้นจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ข้าก็ยิ่งกังวลกว่าเดิมอีก ตระกูลอิ๋งไม่ได้มีเรื่องด้วยง่ายๆ ขนาดนั้นนะ ไม่ได้ปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไปง่ายๆ หรอก ต่อให้ตระกูลอิ๋งไม่เอาเรื่องต่อ คนระดับล่างของตระกูลอิ๋งก็อาจจะไม่ปล่อยน้องหนิวไป ข้าจะช่วยน้องหนิวยังไงดีนะ ข้าครุ่นคิดมานานมาก อาศัยความสามารถอย่างข้า ถ้าอย่างจะต่อต้านตระกูลอิ๋งก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน ตอนหลังพอข้าเห็นน้องสาว ตรงหน้าข้าก็มีแสดงสว่างแล้ว คนอื่นเชื่อถือไม่ได้ แต่ข้าเชื่อในการความประพฤติของน้องหนิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าในอนาคตข้าต้องฝากน้องสาวไว้กับคนผิด ไม่สู้ทำให้น้องหนิวสมความปรารถนาดีกว่า ขอเพียงน้องหนิวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ตระกูลโค่ว ตระกูลอิ๋งก็จะไม่พุ่งเป้ามาที่น้องหนิวอีกแล้ว พวกเขาจะชั่งน้ำหนัก อย่างน้อยคนชั่วก็จะไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ อีกด้านหนึ่งก็ย่อมมีตระกูลโค่วออกหน้าให้ ไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลอิ๋งมาทำซี้ซั้วกับน้องหนิง!”
เขาไม่ได้บอกตรงๆ ว่านี่คือความคิดของท่านปู่อ๋องสวรรค์โค่ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องรู้จักแบ่งแยกเวลา ตอนที่เหมียวอี้ก่อเรื่องที่อุทยานหลวงจนแทบจะหัวตกพื้น อ๋องสวรรค์โค่วก็สามารถพูดได้เลยว่าเหมียวอี้คือหลานเขยตัวเองเพื่อเป็นการปกป้องชีวิตเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็มีแต่จะขอบคุณทราบซึ้ง แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าจะให้อ๋องสวรรค์โค่วกดเสียงต่ำมาขอร้องให้เหมียวอี้แต่งงานกับหลานสาวตัวเอง นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นก็มีแต่ต้องให้โค่วเหวินหลานออกหน้ารับช่วงต่อไว้ที่ตัวเองทั้งหมด
เมื่ออยู่ในฐานะระดับนั้นของตระกูลโค่ว เวลาทำเรื่องอะไรก็ย่อมต้องมีกลยุทธ์ ถ้าเปลี่ยนวิธีการทำงาน ต่อให้ทำงานพัง ต่อให้เหมียวอี้ไม่ตอบตกลง แต่นั่นก็จะไม่ทำให้ตระกูลโค่วเสียหน้า โค่วเหวินหลานที่เหมาเรื่องนี้ไว้ที่ตัวเองทั้งหมดแสดงความจริงใจขนาดนี้ ต่อไปไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จรือไม่ เหมียวอี้ก็ยังจะจดจำน้ำใจนี้ของโค่วเหวินหลานได้อยู่ดี แบบนี้พอตระกูลโค่วเอ่ยปากก็จะไม่มีความเสียหายอะไร ถ้าอ้างอ๋องสวรรค์โค่วโดยตรง แล้วเรื่องนี้ทำไม่สำเร็จ แบบนั้นจะให้อ๋องสวรรค์โค่วเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ขอให้เจ้าแต่งงานกับหลานสาวข้า แต่เจ้ายังไม่เอาอีกเหรอ? ทั้งสองฝ่ายได้แปรพักตร์ต่อกันแน่!
คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้ได้ยินแล้วซาบซึ้งอยู่สักพัก ถ้าเป็นเหมียวอี้ในปีก่อนๆ เกรงว่าคงจะซาบซึ้งสุดๆ แต่เหมียวอี้ในวันนี้ผ่านลมผ่านฝนมามากมาย ผ่านความเป็นความตายมามากมาย โดนญาติที่เกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงานทรยศจนแทบเอาชีวิตไม่รอดก็เคยมาแล้ว ทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย ญาติที่เกี่ยวดองกันหกฝ่ายทรยศเขาทั้งหมด ทั้งหมดล้วนจะเอาชีวิตเขา ดังนั้นที่บอกว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือการรับประกันอะไรนั่น ในสมองเขาอดไม่ได้ที่จะคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ เขาสงบเยือกเย็นขึ้นหลายส่วนแล้ว
…………………………
[1] ฉินฉีซูฮว่า 琴棋书画 คือศิลปะสี่แขนงที่ปัญญาชนร่ำเรียน ได้แก่ กู่ฉิน หมากล้อม(โกะ) การเขียนอักษรจีนและการวาดพู่กันจีน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น