เทพปีศาจหวนคืน 1502-1505

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1502 ขาดแคลนดวงวิญญาณ


แปลโดย iPAT  


 


ทะเลทรายตะวันตก ภายในค่ายกลวิญญาณของตระกูลถัง


 


ฟางหยวนนั่งไขว้ขาปิดเปลือกตาอยู่บนพื้น


 


เขากำลังตรวจสอบจิตวิญญาณของตนเอง รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขาลดลงมาถึงระดับหนึ่งล้านแล้ว


 


‘เมื่อข้าผ่านฉากแรก รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของข้าตกลงจากระดับสิบล้านสู่ระดับหนึ่งล้าน แต่หลังจากผ่านฉากที่สอง มันตกลงจากระดับเก้าสิบล้านมาถึงระดับหนึ่งล้าน!’


 


ฟางหยวนเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างทั้งสองฉาก


 


ฉากที่สองยาวนานกว่าฉากแรก ความรุนแรงในการกัดกร่อนจิตวิญญาณของมันก็เหนือกว่าอย่างมาก


 


ผู้อมตะที่ไม่มีรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณจะไม่สามารถอดทนต่อการกัดกร่อนชนิดนี้ พวกเขาจะไม่สามารถแม้แต่จะผ่านฉากแรก


 


สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความพยายามตลอดหลายปีของถังฟางหมิงไม่ต่างจากการใช้ก้อนหินทุบกำแพงเหล็ก


 


‘แต่ถังฟางหมิงยังสามารถหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝัน คนผู้นี้มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง’


 


ฟางหยวนคิดถึงชีวิตแรกของตน ในเวลานั้นถังฟางหมิงสามารถสร้างท่าไม้ตายอมตะผนึกความฝัน


 


ก่อนหน้านี้ฟางหยวนคิดว่าถังฟางหมิงได้รับความช่วยเหลือจากนิกายเงา แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันเกิดจากพรสวรรค์และความพยายามของถังฟางหมิงเอง


 


ในฉากแรกอาณาจักแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ทำให้ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการโจรกรรมของฟางหยวนก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์


 


ในฉากที่สองเขากลายเป็นกึ่งปรมาจารย์เอก


 


‘ข้าอยู่ห่างจากระดับปรมาจารย์เอกเพียงไม่กี่ก้าว’ ฟางหยวนตระหนักถึงสิ่งนี้


 


‘หากข้าผ่านฉากต่อไป ข้าจะบรรลุระดับปรมาจารย์เอกอย่างแน่นอน’ กระทั่งฟางหยวนก็ไม่สามารถรักษาความสงบเมื่อคิดถึงเรื่องนี้


 


มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างระดับปรมาจารย์และปรมาจารย์เอก


 


ระดับปรมาจารย์ทำให้พวกเขาสามารถใช้เส้นทางของตนเลียนแบบเส้นทางสายอื่น ตัวอย่างเช่นไห่ฟานที่สามารถสร้างท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่ส่งผลกระทบเช่นเดียวกับท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูล


 


ระดับปรมาจารย์เอกทำให้พวกเขาเข้าใจแก่นแท้ของเส้นทางสายนั้น ตัวอย่างเช่นนางมารผลาญสวรรค์ที่เป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งไฟหรือปีศาจอมตะเซี่ยหูที่เป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งหิมะ


 


นางมารผลาญสวรรค์มีความอ่อนไหวอย่างมากต่อร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งไฟ นางสามารถเพิ่มร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งไฟเข้าไปในทรัพยากรอมตะและทำให้ฟางหยวนล้มเหลวในการหลอมรวมวิญญาณโดยที่เขาไม่รู้ตัว


 


ปีศาจอมตะเซี่ยหูสามารถแยกส่วนท่าไม้ตายอมตะทุกประเภท ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน เขาสามารถรื้อถอนท่าไม้ตายเขตแดนอมตะเพื่อจัดการผู้อมตะจากวังสวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว


 


ปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกลสามารถใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากสิ่งแวดล้อมเพื่อจัดตั้งค่ายกลวิญญาณอมตะโดยใช้วิญญาณอมตะและวิญญาณระดับมนุษย์เพียงไม่กี่ดวง


 


เหนือกว่าระดับปรมาจารย์เอกคือระดับปรมาจารย์สูงสุด


 


มันคือจุดสูงสุดของระดับความสำเร็จ หากฟางหยวนกลายเป็นปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งการโจรกรรม เขาจะเข้าใจทุกสิ่งเกี่ยวกับเส้นทางสายนี้


 


กล่าวได้ว่าปรมาจารย์สูงสุดสามารถถอดรหัสทุกสิ่งเกี่ยวกับเส้นทางสายนั้น


 


ปรมาจารย์สูงสุดสามารถคิดค้นและสร้างเส้นทางสายใหม่ให้กับโลกใบนี้


 


โดยปกติแล้วการบรรลุระดับปรมาจารย์ต้องใช้เวลาหลายร้อยปี ในชีวิตแรกของฟางหยวน เขาเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งเลือด


 


ปรมาจารย์เอกมักใช้เวลาสะสมความสำเร็จหลายพันปี ส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับแปดที่จะบรรลุถึงระดับนี้


 


สำหรับปรมาจารย์สูงสุด มันไม่ใช่เพียงการสะสมรากฐาน แต่มันยังเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์และความสามารถตามธรรมชาติของคนผู้นั้น โดยปราศจากพรสวรรค์และความสามารถตามธรรมชาติ แม้ผู้อมตะจะมีชีวิตถึงหมื่นปี พวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุถึงระดับปรมาจารย์สูงสุด


 


ระดับปรมาจารย์สูงสุดหายากมากมาตั้งแต่อดีต


 


นอกจากผู้อมตะระดับเก้า มีตัวละครในตำนานที่บรรลุระดับปรมาจารย์สูงสุดน้อยมาก ตัวอย่างเช่น ปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม บรรพชนผมยาว เฒ่าสายฟ้าเทียนหนาน และผู้อมตะเฒ่ากงเจีย


 


‘ระดับปรมาจารย์และปรมาจารย์เอกสามารถบรรลุถึงได้โดยพึ่งพาอาณาจักรแห่งความฝัน แต่ระดับปรมาจารย์สูงสุดไม่สามารถได้รับจากอาณาจักรแห่งความฝัน’ ฟางหยวนเข้าใจเรื่องนี้


 


มันชัดเจนมาก


 


ปรมาจารย์สูงสุดจำเป็นต้องบุกเบิกเส้นทางสายใหม่จากความว่างเปล่าา ขณะที่อาณาจักรแห่งความฝันเป็นมรดกจากคนรุ่นก่อน ดังนั้นความสำเร็จขั้นสูงสุดที่อาณาจักรแห่งความฝันสามารถมอบให้จึงถูกจำกัดอยู่ในระดับปรมาจารย์เอกเท่านั้น


 


‘เมื่อข้าบรรลุระดับปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งการโจรกรรม แม้ข้าจะสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันต่อไป ความสำเร็จของข้าก็จะไม่เพิ่มขึ้น’


 


นี่คือจุดที่ทำให้ฟางหยวนและตระกูลถังสามารถสร้างความร่วมมือ


 


อาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ใหญ่โตเกินไป ท้องของฟางหยวนมีขีดกำจัด เมื่อเขากินจนอิ่ม ส่วนที่เหลือก็จะเป็นของตระกูลถัง


 


ตระกูลถังยินดีร่วมมือกับฟางหยวนหลังจากเข้าใจเหตุผลข้อนี้อย่างชัดเจน


 


หากอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์เล็กกว่านี้ ฟางหยวนจะกินมันทั้งหมด แล้วตระกูลถังจะร่วมมือกับเขาเพื่อสิ่งใด?


 


ในช่วงเวลานี้ฟางหยวนกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ครั้งต่อไป


 


เขาบ่มเพาะจิตวิญญาณเป็นหลัก


 


แต่เขายังแบ่งเวลาสอนความลับเกี่ยวกับเส้นทางแห่งความฝันให้กับถังฟางหมิง


 


ถังฟางหยวนได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์มากมาย


 


แม้ฟางหยวนจะให้ความรู้เพียงผิวเผิน แต่มันก็เหมือนประภาคารที่คอยนำทางให้กับถังฟางหมิง


 


ก้าวแรกมักยากที่สุดเสมอ


 


เมื่อผ่านก้าวแรก ก้าวต่อไปจะง่ายและรวดเร็วขึ้น


 


นอกจากการทำตามข้อตกลงพันธมิตร ฟางหยวนยังจัดเตรียมสิ่งต่างๆสำหรับอนาคต เขากำลังเลียนแบบกลยุทธ์ของเทพปีศาจจิตวิญญาณในการส่งเสริมกองกำลังของทั้งสี่ภูมิภาคเพื่อต่อสู้กับวังสวรรค์


 


ยี่สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของฟางหยวนก้าวเข้าสู่ระดับสิบล้านอีกครั้ง


 


‘ฉากที่สามต้องยากกว่าฉากที่สอง จิตวิญญาณระดับสิบล้านคนยังไม่ปลอดภัย’ หลังจากไตร่ตรอง ฟางหยวนตัดสินใจบ่มเพาะจิตวิญญาณต่อไปโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ระดับหนึ่งร้อยล้าน


 


หากรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณไม่เพียงพอ ดวงวิญญาณของเขาจะถูกกัดกร่อนและสูญสลายไปในที่สุด เขาจะตายแม้ร่างกายจะยังอยู่ก็ตาม


 


‘ข้าควรคิดค้นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งความฝันที่ช่วยลดการกัดกร่อนจิตวิญญาณของอาณาจักรแห่งความฝันหรือไม่?’


 


ฟางหยวนคิดแต่เขาก็ปฏิเสธมันอย่างรวดเร็ว


 


ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งความฝันของฟางหยวนอยู่ในระดับสามัญเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอนุมาน ดังนั้นลืมมันไปซะ


 


ในปัจจุบันมีเพียงวิธีเดียวสำหรับฟางหยวน นั่นคือการบ่มเพาะจิตวิญญาณถึงระดับหนึ่งร้อยล้าน


 


แต่แผนการนี้กลับพบอุปสรรคในไม่ช้า


 


เขาขาดวิญญาณความเด็ดเดี่ยว!


 


ฟางหยวนวางภูเขาตงฮันไว้ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยารับผิดชอบในการผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยว


 


แต่วิญญาณความเด็ดเดี่ยวไม่ได้เกิดจากความว่างเปล่า มันต้องการดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิต


 


ยิ่งดวงวิญญาณมีปริมาณและคุณภาพสูงเท่าใด ภูเขาตงฮันก็ยิ่งผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยวได้มากเท่านั้น


 


นี่คือปัญหา


 


ดวงวิญญาณมีไม่เพียงพอที่จะผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยวได้ตามความต้องการของฟางหยวน


 


ก่อนหน้านี้ฟางหยวนสั่งให้สมาชิกนิกายเงาสำรวจไท่ชิวและฆ่าสัตว์อสูร ด้วยวิธีนี้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวจึงถูกผลิตขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก


 


แต่ตอนนี้สมาชิกนิกายเงาอยู่กับฟางหยวนขณะที่ดวงวิญญาณในคลังของนิกายหลางหยาถูกใช้จนหมดในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา


 


ฟางหยวนคิดและตระหนักว่ามันจะดีกว่าที่เขาจะรวบรวมวัตถุดิบจากบริเวณใกล้เคียงมากกว่าการกลับไปที่ไท่ชิว


 


ทะเลทรายตะวันตกคล้ายคลึงกับภาคเหนือที่ขนาดอันกว้างใหญ่ไพศาลของมัน


 


ทะเลทรายตะวันตกเป็นสถานที่พิเศษและเหมาะสมกับฟางหยวน


 


‘โหยว่ชานตายแล้ว ธุรกิจปลามังกรของข้ายึดครองสวรรค์สีเหลืองทั้งหมด ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะไม่มีผู้ใดที่สามารถแข่งขันกับข้าได้’


 


ฟางหยวนตั้งใจใช้กำไรจากธุรกิจนี้เพื่อจัดการมิติช่องว่างจักรพรรดิและไม่ใช้มันซื้อดวงวิญญาณ


 


การซื้อดวงวิญญาณถือเป็นความสูญเสีย


 


หลังจากคิดได้เช่นนี้ฟางหยวนก็แจ้งถังฟางหมิงเกี่ยวกับสถานการณ์โดยสังเขป จากนั้นเขาก็ออกจากค่ายกลวิญญาณไปพร้อมกับสมาชิกนิกายเงา


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1503 กองทัพอสูรวิญญาณ (อ่านฟรี)


แปลโดย iPAT  


 


ฟางหยวนขี่ก้อนเมฆสีขาวและเคลื่อนที่ผ่านท้องฟ้า


 


มันไม่เร็วมากแต่รอบตัวเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวิญญาณอมตะ


 


เมฆที่เขาขี่ไม่ใช่เมฆธรรมดา มันมีต้นกำเนิดมาจากมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน หลังจากดัดแปลง ฟางหยวนสามารถใช้งานมัน


 


มันถูกเรียกว่าเมฆมงคล


 


เมฆมงคลไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามความต้องการของฟางหยวนแต่มันถูกขับเคลื่อนโดยโชค


 


ฟางหยวนไม่รู้ว่ามันจะนำพาเขาไปที่ใด แต่เขาเข้าใจว่าเมฆมงคลจะนำเขาไปพบกับโชคดี


 


เขาใช้เวลาหลายวันเพื่อมาที่นี่


 


มันคือทะเลทรายผีเขียว


 


มันเป็นสถานที่อันตรายของทะเลทรายตะวันตก ในช่วงแสนปีที่ผ่านมามีผู้อมตะจำนวนมากเสียชีวิตอยู่ที่นี่


 


ท้องฟ้าของทะเลทรายผีเขียวปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆสีดำตลอดทั้งปี แสงแดดแทบไม่สามารถสาดส่องลงมา


 


ทะเลทรายแห่งนี้เต็มไปด้วยพืชพรรณ


 


มันเป็นต้นไม้ที่ดูราวกับภูตผีกำลังร้องไห้ ทุกครั้งที่ลมพัดผ่าน มันจะเกิดการสั่นสะเทือนและส่งเสียงโหยหวนออกมา


 


ต้นไม้เหล่านี้กำลังร้องไห้คร่ำครวญขณะที่อสูรวิญญาณสัญจรไปมาอยู่อย่างเงียบๆ


 


อสูรวิญญาณที่ดูคล้ายแมลงสาบแต่มีหางยาวเหมือนอสรพิษกำลังคืบคลานเข้ามาด้านหลังฟางหยวน


 


แต่ดูเหมือนฟางหยวนจะไม่รู้สึกถึงมัน มันยกแขนเคียวทั้งสองขึ้นและฟาดมาที่ฟางหยวน


 


ผลลัพธ์ถูกกำหนดไว้แล้ว


 


ร่างของอสูรวิญญาณแข็งค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะล้มลงบนพื้น


 


ฟางหยวนโบกมือเบาๆขณะที่ศพของอสูรวิญญาณลอยขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเขา


 


ศพของอสูรวิญญาณกลายเป็นควันสีเทาเข้มและสลายไปกับสายลม หลังจากนั้นมีเพียงแก่นกลางที่ดูเหมือนลูกแก้วของมันวางอยู่ในมือของเขา


 


ลูกแก้วสีฟ้าค่อนข้างมีน้ำหนัก ฟางหยวนรู้สึกราวกับกำลังถือถังสุราเอาไว้ในมือ


 


นี่เป็นทรัพยากรอมตะระดับหก


 


แก่นแท้อสูรวิญญาณ


 


เช่นเดียวกับอสูรโคลนที่จะทิ้งแก่นแท้ของพวกมันเอาไว้หลังจากความตาย


 


อสูรวิญญาณ อสูรโคลน อสูรโลหิต และสัตว์อสูรประเภทภูตผีจะเก็บร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าเอาไว้ในแกนกลางของพวกมัน


 


หลังจากยืนยันว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ ฟางหยวนก็โยนมันเข้าไปในมิติช่องว่างของเขา


 


ในมิติช่องว่างจักรพรรดิมีแก่นแท้อสูรวิญญาณอยู่เล็กน้อย


 


ส่วนใหญ่เป็นแก่นแท้อสูรวิญญาณระดับหก มีระดับเจ็ดบางส่วน แต่ไม่มีระดับแปด


 


ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฟางหยวน มันเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะสังหารอสูรวิญญาณเดียวดายและอสูรวิญญาณบรรพกาล


 


หลังจากมาถึงทะเลทรายผีเขียว อสูรวิญญาณเดียวดายและอสูรวิญญาณบรรพกาลจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาหาเขา


 


แม้ฟางหยวนจะมีผนึกภูตผีและอาภรณ์วิญญาณ แต่เมฆมงคลไม่ได้ปกปิดกลิ่นอาย เป้าหมายของอสูรวิญญาณเหล่านั้นก็คือเมฆมงคล แต่น่าเสียดายที่พวกมันตกลงสู่หลุมพรางที่ชั่วร้ายของฟางหยวน


 


การถือกำเนิดของอสูรวิญญาณเกี่ยวกับเทพปีศาจสองคน


 


หนึ่งคือเทพปีศาจบัวแดง เขาทำลายวิญญาณชะตากรรม นั่นทำให้รูปแบบชีวิตมากมายสามารถหลบหนีจากโซ่ตรวนของโชคชะตา หลังจากตกตาย ดวงวิญญาณของพวกมันสามารถหลบหนีออกมาจากประตูแห่งชีวิตและความตาย


 


สองคือเทพปีศาจจิตวิญญาณ เขาสร้างเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ นั่นทำให้ดวงวิญญาณสามารถเปลี่ยนเป็นอสูรวิญญาณ


 


แต่ในปัจจุบันส่วนหนึ่งของอสูรวิญญาณสามารถถือกำเนิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติในสถานที่ที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณที่หนาแน่น


 


เวลาเปลี่ยนไป สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนแปลง


 


จากอดีตจนถึงปัจจุบันโลกของผู้ใช้วิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน


 


ด้วยเหตุผลดังกล่าว แก่นแท้อสูรวิญญาณสามารถใช้ทดแทนดวงวิญญาณเพื่อเป็นอาหารให้กับภูเขาตงฮัน


 


แต่คุณภาพของแก่นแท้อสูรวิญญาณยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับดวงวิญญาณของผู้อมตะ มันเทียบได้กับดวงวิญญาณของสัตว์อสูรหรือพืชอสูรเท่านั้น


 


‘ตั้งแต่ข้าเข้ามาในทะเลทรายผีเขียว ข้าได้รับแก่นแท้อสูรวิญญาณมามากมาย ข้าหวังว่าข้าจะสามารถยึดครองสถานที่แห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์’ ฟางหยวนคิดกับตนเอง


 


หากเขาสามารถยึดครองสถานที่แห่งนี้ มันก็เหมือนกับเขาสามารถผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยวได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


มันสามารถผลักดันรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเขา


 


ขณะที่ฟางหยวนกำลังครุ่นคิด เสียงที่แหลมสูงก็ดังมาจากด้านหลังทางซ้าย


 


แมงป่องยักษ์กำลังบินเข้ามาหาเขา


 


รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลงทันทีเมื่อเขาชำเลืองมอง


 


แมงป่องสีดำที่มีร่างกายแบนราวกับจานทรงกลมพุ่งเข้ามาหาฟางหยวนด้วยความดุร้าย


 


‘นี่คือแมงป่องจานบินแรกกำเนิด มันเป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งปัญญา อาหารของมันคืออสูรวิญญาณ!’ ข้อมูลของมันปรากฏขึ้นในใจของฟางหยวนอย่างรวดเร็ว


 


ผนึกภูตผีสามารถซ่อนฟางหยวนจากการรับรู้ของอสูรวิญญาณแต่มันไม่มีผลกับสัตว์อสูรตัวนี้


 


ฟางหยวนกระโดดออกจากเมฆมงคลและหลบหนี


 


ฟางหยวนมีพลังการต่อสู้ระดับแปด เขาไม่ได้หวาดกลัว อย่างไรก็ตามเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้กับแมงป่องจานบินแรกกำเนิด แต่เพื่อรวบรวมแก่นแท้อสูรวิญญาณให้ได้มากที่สุด


 


ฟางหยวนล่าถอยแต่แมงป่องจานบินแรกกำเนิดไม่ยอมปล่อยเขาไป แต่หลังจากชั่วระยะเวลาหนึ่ง ฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จในการหลบหนี


 


อันตรายแฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่งในทะเลทรายผีเขียว กระทั่งฟางหยวนก็ไม่ปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่


 


ฟางหยวนออกล่าอสูรวิญญาณและบ่มเพาะจิตวิญญาณไปพร้อมกัน หากพบสัตว์อสูรเช่นแมงป่องจานบินแรกกำเนิด ฟางหยวนจะพยายามหลบหนี


 


ฟางหยวนไม่ใช่คนเดียวที่ออกล่า สมาชิกนิกายเงาก็ทำเช่นเดียวกัน


 


แก่นแท้อสูรวิญญาณทั้งหมดที่พวกเขาได้รับถูกส่งมอบให้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเพื่อผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยว


 


ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน รากฐานของฟางหยวนก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง


 


‘รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของข้าเพียงพอแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนกลยุทธ์แล้ว’ ฟางหยวนออกคำสั่งให้สมาชิกนิกายเงาหยุดสังหารอสูรวิญญาณแต่เปลี่ยนเป็นจับและสะกดข่มพวกมัน


 


ฟางหยวนมีมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณ เขามีวิธีการมากมายในการกดขี่อสูรวิญญาณ


 


สิ่งเดียวที่เขาไม่มีคือวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณและเส้นทางแห่งทาส


 


ภายใต้ความพยายามของทุกคน ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้รับทาสอสูรวิญญาณฝูงใหญ่ ท่ามกลางพวกมันมีอสูรวิญญาณเดียวดายหกสิบตนและมีอสูรวิญญาณบรรพกาลอีกยี่สิบตน


 


อสูรวิญญาณมีรูปร่างพิสดารทุกประเภท มันกลายเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ที่ออกอาละวาดอยู่ในทะเลทรายผีเขียว


 


เมื่อพวกเขาพบอสูรวิญญาณที่อยู่เพียงลำพังหรือฝูงอสูรวิญญาณ ฟางหยวนจะสั่งให้ทาสอสูรวิญญาณของเขาโจมตีพวกมัน อสูรวิญญาณตัวที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมจะถูกสังหารเพื่อรับแก่นแท้อสูรวิญญาณ อสูรวิญญาณที่เหลือจะกลายเป็นทาสของฟางหยวนและคนอื่นๆ


 


ผ่านไปสิบกว่าวัน กองทัพทาสอสูรวิญญาณก็เติบโตขึ้นถึงสามเท่า


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1504 พบผู้มีพระคุณ


แปลโดย iPAT  


 


ในทะเลทรายผีเขียว ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำหนาทึก แสงแดดแทบไม่สามารถสาดส่องลงมา


 


ฝูงอสูรวิญญาณกลุ่มเล็กๆกำลังเคลื่อนที่อยู่ในทะเลทราย


 


มีผู้อมตะสามคนอยู่ท่ามกลางพวกมัน


 


สองคนถูกจับเป็นเชลยขณะที่อีกหนึ่งเป็นเจ้านายของฝูงอสูรวิญญาณ


 


“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าสองคนจากตระกูลฟางคิดว่าสามารถผ่านไปได้งั้นหรือ?” ผู้อมตะในชุดคลุมสีเทากล่าว เขามีจมูกแหลม ตาบาง และมีเคราแพะ เขานั่งอยู่บนแผ่นหลังของอสูรวิญญาณบรรพกาลร่างกระทิง


 


ฟางเล้งและฟางหยุนเป็นผู้อมตะระดับหก พวกเขาดูสะอาดและเรียบร้อย แต่ในความเป็นจริงดวงวิญญาณของพวกเขาถูกผูกมัดด้วยโซ่วิญญาณสีเทาและไม่สามารถขยับเขยื้อน


 


ฟางเล้งอายุมากกว่าฟางหยุนเล็กน้อย เขาเงียบและไม่ตอบคำถาม


 


ฟางหยุนอยู่ในร่างเด็กหนุ่มที่หล่อเหลา เขาเป็นคนมีชีวิตชีวา เขาตอบ “ผีเฒ่าไป่จุน ไม่ใช่ว่าเราไม่สามารถเขียนจดหมายถึงตระกูลของเรา แต่เจ้ามัดพวกเราเอาไว้ พวกเราไม่แม้แต่จะสามารถใช้วิธีการสื่อสาร คลายโซ่ลงเล็กน้อยเพื่อให้ข้าส่งจดหมาย”


 


ผีเฒ่าไป่จุนเย้ยหยัน “เจ้ากล้าหลอกลวงข้างั้นหรือ? หากข้าทำเช่นนั้นเจ้าจะหลบหนีทันที มันไม่ง่ายที่ข้าจะตามจับเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะหลงกลจริงๆงั้นหรือ?”


 


ฟางหยุนเร่งกล่าว “ข้าจะกล้าหลอกผู้อาวุโสได้อย่างไร? สิ่งที่ข้ากล่าวคือความจริง เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามัน…อา…”


 


ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค ฟางหยุนก็กรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวช


 


ผีเฒ่าไป่จุนหัวเราะขณะที่ฟางเล้งตะโกนด้วยความโกรธ “หยุด อย่าทำร้ายน้องชายของข้า!”


 


ผีเฒ่าไป่จุนรู้สึกรำคาญ “ดูเหมือนพวกเจ้าจะชอบการแสดง พวกเจ้ายังไม่รู้สถานการณ์ของตนเองอีกงั้นหรือ? ฮืม! งั้นข้าจะมอบบทเรียนให้พวกเจ้า!”


 


จากนั้นเขาก็เริ่มทรมานฟางเล้งเช่นกัน


 


คิ้วของเขาขมวดแน่น แต่เขาไม่เปล่งเสียงใดๆออกมา เว้นเพียงร่างกายที่สั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


ผีเฒ่าไป่จุนทรมานพวกเขาชั่วขณะก่อนจะหยุด


 


เขาขมวดคิ้วคิด ‘หากเป็นผู้อมตะทั่วไปข้าสามารถสังหารพวกเขาได้โดยไม่ต้องคิด แต่สองคนนี้มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ตระกูลฟางเป็นกองกำลังใหญ่ของทะเลทรายตะวันตก หากข้าฆ่าพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตระกูลฟางจะตามล่าข้า ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของตระกูลฟาง ฟางตี้เฉิงเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่มีชื่อเสียงของทะเลทรายตะวันตก นอกจากนี้หากตระกูลฟางมาที่ทะเลทรายผีเขียว มันจะขัดขวางแผนการของนายท่าน’


 


‘แต่หากข้าปล่อยพวกเขาไปและนายท่านถามข้าในภายหลัง เขาอาจตำหนิว่าข้าขี้ขลาด สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ตอนนี้คือจับคนทั้งสองไปเรียกค่าไถ่ ด้วยวิธีนี้ข้าจะทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจ’ ผีเฒ่าไป่จุนครุ่นคิดและมองเชลยทั้งสองอีกครั้ง


 


ฟางเล้งและฟางหยุนหอบหายใจอย่างหนักหน่วงและทรุดตัวลงบนแผ่นหลังอสูรวิญญาณจากการถูกทรมาน


 


ผีเฒ่าไป่จุนเย้ยหยัน “กระทั่งมนุษย์เหล็กไหลก็ไม่สามารถอดทนต่อการทรมานของข้า เป็นอย่างไร พวกเจ้าต้องการทดลองอีกครั้งหรือไม่?”


 


ฟางเล้งกัดฟันกล่าว “ผีเฒ่า ฆ่าพวกเราซะ!”


 


ฟางหยุนตะโกน “อย่า อย่า ข้าจะติดต่อตระกูล!”


 


ผีเฒ่าไป่จุนมองฟางหยุนและหัวเราะ “หากเจ้ายอมจำนนตั้งแต่แรก เจ้าคงไม่ต้องพบกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้”


 


ฟางหยุนตะโกนด้วยความโศกเศร้า “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้หลอกลวง หากไม่คลายโซ่ลงเล็กน้อย ผู้เยาว์จะไม่สามารถส่งจดหมายกลับไปที่ตระกูล”


 


ผีเฒ่าไป่จุนคำราม “ยังจะแก้ตัวอีก!”


 


เขาทรมานผู้อมตะทั้งสองอีกครั้ง


 


หลังจากทรมาน ฟางเล้งและฟางหยุนไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ทั้งสองทรุดตัวลงบนหลังอสูรวิญญาณราวกับซากศพ


 


“คิดได้หรือยัง?” ผีเฒ่าไป่จุนเย้ยหยัน


 


ฟางหยุนกล่าว “คิดได้แล้ว แต่ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสคิดดีแล้วเช่นนั้นหรือ?”


 


“ข้า? ข้าต้องคิดสิ่งใด?” ผีเฒ่าไป่จุนถามด้วยความประหลาดใจ


 


“ผู้อาวุโส พวกเราเป็นสมาชิกตระกูลฟาง ขณะที่ผู้อาวุโสเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ หากท่านยั่วยุตระกูลฟาง ชีวิตของท่านอาจวุ่นวายมิใช่หรือ? เหตุใดท่านไม่ปล่อยพวกเราไปและสร้างสายสันพันธ์ที่ดีกับตระกูลฟาง ไม่ใช่ว่าวิธีนี้จะดีกว่างั้นหรือ?” ฟางหยุนยิ้ม


 


ผีเฒ่าไป่จุนโกรธมาก “เจ้าคิดว่าข้ากลัวตระกูลฟางของเจ้างั้นหรือ? ฮืม! หากข้ากลัวตระกูลฟางของเจ้า ข้าจะจับพวกเจ้ามาเรียกค่าไถ่งั้นหรือ?”


 


“ผู้อาวุโสกำลังคิดที่จะทำสัญญาไม่รุกรานกับตระกูลฟางของเรา ผู้เยาว์ยอมรับว่าเรื่องของวันนี้เป็นความผิดของพวกเรา เราทำให้ผู้อาวุโสขุ่นเคือง เรากระทำความผิดอันใหญ่หลวง แต่โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย” ฟางหยุนกล่าวอย่างอ่อนแรง


 


“ฮืม! ตอนนี้เจ้ายอมรับแล้วงั้นหรือ? ก่อนหน้านี้เจ้าสร้างปัญหาให้ข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วสำหรับเรื่องนั้น!” ผีเฒ่าไป่จุนกล่าวด้วยเสียงที่มั่นคงแต่หัวใจของเขาลอบสั่นไหว


 


ความตั้งใจของเขาถูกคาดเดาโดยผู้อมตะตระกูลฟางทั้งสอง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะบังคับให้พวกเขายอมจำนน


 


ฟางหยุนยังโน้มน้าวต่อ “ผู้อาวุโสสามารถลงโทษข้าและข้าจะยอมรับการลงโทษ แท้จริงแล้วข้ามีสมบัติจำนวนมาก ตราบเท่าที่ผู้อาวุโสปล่อยพวกเราไป เราจะทำข้อตกลงไม่รุกรานได้ทันที นอกจากนั้นเรายังจะมอบค่าชดเชยกับให้ผู้อาวุโส เราไม่จำเป็นต้องแจ้งตระกูล”


 


ผีเฒ่าไป่จุนเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าพึ่งเกิดเมื่อวานนี้งั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าฟางเล้งพี่ชายของเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์และเป็นผู้สืบทอดตระกูลฟางงั้นหรือ?”


 


หัวใจของฟางหยุนจมดิ่งลง เขาไม่ได้คาดหวังว่าผีเฒ่าไป่จุนจะรู้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับพวกเขา


 


แต่เขายังกล่าวต่อ “หากไม่แก้ปัญหานี้เป็นการส่วนตัว ตอนจบมันอาจไม่ดีนัก”


 


ผีเฒ่าไป่จุนส่ายศีรษะ “ไม่ ข้าจะคุยกับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลฟางเท่านั้น นอกจากค่าชดเชย พวกเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้ามาในทะเลทรายผีเขียวไปอีกหลายร้อยปี!”


 


การแสดงออกของฟางเลิ้งและฟางหยุนเปลี่ยนไป


 


ฟางเล้งกล่าว “ผีเฒ่าไป่จุน ความอยากอาหารของเจ้าใหญ่โตเกินไป ระวังท้องเจ้าจะระเบิด!”


 


ผีเฒ่าไป่จุนหัวเราะ “แม้ข้าจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดแต่ข้าก็เข้าใกล้ระดับแปดแล้ว”


 


ฟางเล้งส่ายศีรษะ “แล้วอย่างไร? เจ้ากล้าเผชิญหน้ากับภัยพิบัติงั้นหรือ?”


 


ผีเฒ่าไป่จุนลูบเคราแพะของตน “แน่นอน ข้าไม่กล้าในตอนนี้แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่กล้าในอนาคต”


 


เขาลังเลก่อนจะตัดสินใจ


 


“เอาล่ะ ข้าจะทำลายความหวังทั้งหมดของพวกเจ้า จงดูว่านี่คือสิ่งใด?”


 


ฟางหยุนและฟางเล้งเงยหน้าขึ้นและเห็นวิญญาณดวงหนึ่งอยู่ในมือของผีเฒ่าไป่จุน


 


หัวใจของทั้งสองสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก


 


“มันคือวิญญาณอมตะระดับแปด!” ฟางหยุนอุทานออกมาด้วยความตกใจ


 


ผีเฒ่าไป่จุนกล่าวด้วยความยินดี “ให้ข้าบอกเจ้า ชื่อของมันคือป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ มันสามารถสะกดข่นอสูรวิญญาณได้โดยตรง วิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณระดับแปดสามารถสะกดข่มอสูรวิญญาณแรกกำเนิด สิ่งสำคัญคือมันไม่ต้องการพลังงานอมตะระดับแปด พวกเจ้าเข้าใจความหมายนี้หรือไม่?”


 


ฟางเล้งและฟางหยุนมองหน้ากับด้วยความตกใจ


 


ด้วยวิญญาณอมตะระดับแปดดวงนี้ ผีเฒ่าไป่จุนสามารถสร้างกองทัพอสูรวิญญาณขนาดใหญ่หรือกระทั่งสามารถครอบครองทะเลทรายผีเขียวทั้งหมด


 


ทะเลทรายผีเขียวมีอสูรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน นี่เป็นสถานที่อันตรายสำหรับคนอื่นๆ แต่มันเป็นสวรรค์สำหรับผีเฒ่าไป่จุน


 


“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ามีความทะเยอทะยานเช่นนี้ เจ้าต้องการยึดครองทะเลทรายผีเขียวและใช้อสูรวิญญาณเพื่อช่วยเจ้าก้าวข้ามภัยพิบัติและก้าวเข้าสู่ระดับแปด” เสียงของฟางเล้งแหบแห้ง


 


ฟางหยุนเร่งกล่าว “แต่ตระกูลฟางของเราเป็นกองกำลังใหญ่ที่อยู่ใกล้ทะเลทรายผีเขียว ตราบเท่าที่ผู้อาวุโสบรรลุข้อตกลงกับพวกเรา ท่านจะได้รับสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการบ่มเพาะ”


 


“นั่นเป็นเรื่องจริง ข้ารู้ดี” ดวงตาของผีเฒ่าไป่จุนส่องประกายขึ้น “แท้จริงแล้วข้าต้องขอบคุณพวกเจ้าทั้งสองที่มาในเวลาที่เหมาะสม หนึ่งเป็นเหลนสายตรงของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลฟาง อีกหนึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สอง แม้พวกเจ้าจะเป็นผู้อมตะระดับหก แต่พวกเจ้าก็มีค่าเพียงพอที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจา”


 


ฟางเล้งและฟางหยุนเงียบ


 


ฟางเล้งคิด ‘ผีเฒ่าไป่จุนผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์นัก ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะวิญญาณอมตะป้ายคำสั่งอสูรวิญญาณ ด้วยการคงอยู่ของวิญญาณอมตะดวงนี้ ผีเฒ่าไป่จุนจะได้รับการปฏิบัติในฐานะกึ่งผู้อมตะระดับแปด ตระกูลต้องรับมือเขาอย่างรอบคอบ สิ่งสำคัญคือพวกเราตกเป็นเชลยของเขา เห้อ…หากข้ารู้มาก่อน ข้าจะไม่มาที่นี่ตามคำขอของน้องชาย’


 


ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้ เสียงตะโกนของฟางหยุนกลับดังขึ้น “พี่ใหญ่ ดูนั่น!”


 


ฟางเล้งมองไปข้างหน้าด้วยความสงสัย เขาเห็นเมฆสีขาวบินผ่านกลุ่มก้อนเมฆสีดำที่ปกคลุมทะเลทรายผีเขียว


 


ฟางเล้งชะงักงันไปเล็กน้อยขณะที่เขาคิดถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ของฟางหยุน


 


ในเวลานั้นฟางเล้งกล่าว “เจ้าช่างน่าหาญนัก เจ้าอยากไปผจญภัยที่ทะเลทรายผีเขียวงั้นหรือ?”


 


ฟางหยุนหัวเราะ “อย่ากังวล ข้าขอให้ท่านพ่ออนุมานการผจญภัยครั้งนี้มาแล้ว ท่านสรุปว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีอันตรายแต่มันก็ไม่อันตราย เราจะได้พบกับผู้มีพระคุณและสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากมาย”


 


ฟางเล้งขมวดคิ้ว “แม้เราจะพบบางคนที่ทะเลทรายผีเขียว แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้มีพระคุณุ?”


 


ฟางหยุนตบไหล่ฟางเล้ง “ข้าถามท่านพ่อมาแล้ว ท่านบอกว่าผู้มีพระคุณจะมาพร้อมกับเมฆสีขาว”


 


ฟางเล้งมึนงงก่อนจะเย้ยหยัน “เมฆสีขาว? ทุกคนรู้ว่าทะเลทรายผีเขียวถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำ มันจะมีเมฆสีขาวได้อย่างไร?”


 


เมื่อคิดถึงบทสนทนานี้ ช่วยไม่ได้ที่ฟางเล้งจะคิดว่า ‘อาจเป็นผู้มีพระคุณที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองกล่าวไว้?’


 


ผีเฒ่าไป่จุนมองเมฆสีขาวด้วยการแสดงออกที่มืดครึ้ม “เมฆสีขาวนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายบนเส้นทางแห่งโชค แต่มันไม่ใช่เพียงเส้นทางแห่งโชค เห็นได้ชัดว่ามันเป็นท่าไม้ตายอมตะ ผู้ใดเป็นเจ้าของสิ่งนี้?”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1505 โจมตีโดยตรง


แปลโดย iPAT  


กองทัพอสูรวิญญาณฝูงใหญ่เคลื่อนตัวผ่านทะเลทรายผีเขียวและทำให้ฝุ่นทรายลอยคละคลุ้งขึ้นสู่อากาศ


ด้านหน้าของกองทัพอสูรวิญญาณ ก้อนเมฆสีขาวกำลังลอยไปอย่างช้าๆ


เมฆสีมงคลสีขาวเกิดจากท่าไม้ตายอมตะสายเคลื่อนที่ของฟางหยวน มันจะนำฟางหยวนเคลื่อนที่ไปพบกับโชคลาภด้วยตัวของมันเอง


ในช่วงเวลาที่ผ่านมามันทำให้ฟางหยวนสามารถรวบรวมอสูรวิญญาณได้เป็นจำนวนมาก


‘ตอนนี้ถึงขีดจำกัดแล้ว’ ฟางหยวนคิด


การควบคุมอสูรวิญญาณจำนวนมากทำให้ฟางหยวนถึงขีดจำกัด


ด้านหนึ่งการควบคุมอสูรวิญญาณต้องพึ่งพารากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ อีกด้านหนึ่งฟางหยวนมีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณน้อยเกินไป เขามีเพียงวิญญาณอมตะเปลี่ยนวิญญาณระดับเจ็ดและวิญญาณอมตะล้างใจระดับหกเท่านั้น


วิญญาณอมตะเปลี่ยนวิญญาณเป็นไพ่ตายสำหรับการสลับวิญญาณและไม่สามารถใช้งานได้โดยง่าย สำหรับวิญญาณอมตะล้างใจ มันมีประโยชน์มากมาย นอกจากมันจะสามารถใช้เป็นแกนกลางของท่าไม้ตายอมตะหมื่นตัวตนและช่วยในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ ตอนนี้ฟางหยวนยังใช้มันในการควบคุมอสูรวิญญาณ แต่ประสิทธิภาพของมันยังไม่น่าพอใจนัก


‘ข้าต้องการวิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ’


การหลอมรวมวิญญาณเป็นเรื่องยาก


แม้มันจะดึงดูดใจแต่ฟางหยวนขาดทรัพยากรและไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่าย ท้ายที่สุดเขาก็ลงทุนไปกับหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในแง่ของรายได้ เพียงธุรกิจปลามังกรยังไม่เพียงพอ


‘ข้ามีวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาอยู่มากมาย ข้าสามารถใช้พวกมันทดแทนโดยการดัดแปลงท่าไม้ตาย หลังจากกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ข้าจะใช้แสงแห่งปัญญาเพื่อแก้ไขท่าไม้ตายที่เหมาะสม’


ฟางหยวนยังวางแผนของเขาต่อไป


สมาชิกนิกายเงาช่วยควบคุมกองทัพอสูรวิญญาณอยู่ทั้งสี่มุม


ทะเลทรายผีเขียวมีอสูรวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน อสูรวิญญาณเป็นทรัพยากรที่ฟางหยวนต้องการในเวลานี้


‘ตอนนี้รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของข้าอยู่ในระดับเก้าสิบล้าน แก่นแท้อสูรวิญญาณที่เก็บเกี่ยวได้ในครั้งนี้เพียงพอที่จะยกระดับจิตวิญญาณของข้าสู่ระดับหนึ่งร้อยล้าน’


‘แต่กระทั่งหนึ่งร้อยล้าน มันก็ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดตามบันทึกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ’


ในอดีตจิตวิญญาณหลักร้อยล้านคือจุดสูงสุดที่มนุษย์จะสามารถบ่มเพาะได้ แต่หลังจากเทพปีศาจบัวแดงทำลายวิญญาณชะตากรรม ขีดจำกัดนี้จึงถูกทำลาย


มนุษย์สามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณได้ต่อไป


เมื่อเทพปีศาจจิตวิญญาณสร้างเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ เขาสร้างแนวคิดใหม่เกี่ยวกับระดับของจิตวิญญาณด้วยความสำเร็จบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณระดับปรมาจารย์สูงสุดของเขา


ตามบันทึกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่เหนือกว่าหลักร้อยล้านคนคือระดับจิตวิญญาณเดียวดาย


หลักร้อยล้านคือระดับจิตวิญญาณมนุษย์ แม้มันจะทำให้ดวงวิญญาณของพวกเขากลายเป็นร่างกายภาพ แต่มันก็ยังเปราะบาง


นี่คือข้อบกพร่องของมนุษย์


มนุษย์เป็นจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและมีสติปัญญาสูงที่สุด แต่ร่างกายและจิตวิญญาณของพวกเขายังด้อยกว่าสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่น


อย่างไรก็ตามเมื่อมนุษย์บ่มเพาะจิตวิญญาณและก้าวข้ามหลักร้อยล้านสู่หลักพันล้าน พวกเขาจะบรรลุระดับจิตวิญญาณเดียวดาย ด้วยวิธีนี้จิตวิญญาณของพวกเขาจะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับสัตว์อสูรเดียวดาย


การบ่มเพาะระดับจิตวิญญาณเดียวดายมีขีดจำกัดเช่นกัน นั่นคือจิตวิญญาณเดียวดายหลักร้อยล้าน


นี่เป็นระดับสูงสุดของการบ่มเพาะจิตวิญญาณและเป็นขีดจำกัดของโลกใบนี้


ฟางหยวนเคยเห็นระดับนี้มาก่อน มันคือดวงวิญญาณของเทพปีศาจจิตวิญญาณที่มีสามเศียรพันกร


การบรรลุถึงระดับนี้หมายถึงพลังการต่อสู้ระดับเก้า ดวงวิญญาณสามารถต่อต้านภัยพิบัติได้โดยตรง มันสามารถท้าทายสวรรค์ เหยียบย่ำปฐพี สังหารทวยเทพ และทำให้โลกตกตะลึง


ดังนั้นฟงหยวนจึงต้องการวิญญาณความเด็ดเดี่ยวจำนวนมหาศาล


แก่นแท้อสูรวิญญาณที่เขาได้รับจากการเดินทางในทะเลทรายผีเขียวสามารถผลักดันให้เขาบรรลุระดับจิตวิญญาณมนุษย์หนึ่งร้อยล้าน แต่หลังจากนั้น?


หากฟางหยวนต้องการบ่มเพาะต่อไป เขาต้องการมากกว่านั้นและต้องจัดหาแก่นแท้อสูรวิญญาณอย่างไม่หยุดยั้ง


‘วิธีที่ดีที่สุดคือการยึดครองทะเลทรายผีเขียวแห่งนี้’


การยึดครองพื้นที่คือการทำให้ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่เหล่านั้นกลายเป็นทรัพย์สินของตนเอง เพื่อบรรลุเรื่องนี้ พลังการต่อสู้เป็นสิ่งจำเป็น


ด้วยพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของฟางหยวน เขามีคุณสมบัติที่จะยึดครองสถานที่แแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทะเลทรายผีเขียวเป็นดินแดนที่ไร้เจ้าของ


แต่ยังมีปัญหา


‘หากข้าเปิดเผยตัวตนและเข้ายึดครองสถานที่แห่งนี้ มันจะเหมือนกับการขอให้วังสวรรค์โจมตีข้า’


‘เกราะหวนคืนไม่สามารถลอกเลียนแบบ หมื่นมังกรก็เช่นกัน ข้าทำได้เพียงปิดบังตนเองและใช้พลังการต่อสู้ระดับเจ็ดเพื่อยึดครองสถานที่แห่งนี้เท่านั้น’


‘หลังจากยึดครองทะเลทรายผีเขียว ข้าจะให้อิงอู๋เซี่ยประจำการอยู่ที่นี่และให้เขาจัดหาแก่นแท้อสูรวิญญาณให้ข้า’


ท่ามกลางผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด อิงอู๋เซี่ยเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด


‘เพื่อทำสิ่งนี้ ข้าต้องการวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณมากขึ้นและต้องยกระดับจิตวิญญาณของอิงอู๋เซี่ยเช่นกัน’


‘จุดสำคัญคือตระกูลฟาง’


‘พวกเขาเป็นกองกำลังใหญ่ที่อยู่ใกล้ทะเลทรายผีเขียวมากที่สุด หากข้ายึดครองสถานที่แห่งนี้ ตระกูลฟางจะทำให้ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวไปรอบๆ’


การกำจัดตระกูลฟางไม่สามารถทำได้


ในปัจจุบันฟางหยวนสามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปด แต่การเอาชนะเป็นเรื่องยาก นอกจากนั้นไม่เพียงผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลฟางจะเป็นผู้อมตะระดับแปดแต่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของตระกูลฟางยังเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่มีชื่อเสียง ฟางตี้เฉิงเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งปัญญาที่นิกายเงายังต้องจับตามอง


ดังนั้นฟางหยวนจึงมีเพียงวิธีเดียว


‘ปลอมตัวเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลฟาง…’


ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยึดครองแหล่งทรัพยากร มีหลายสิ่งที่ต้องพิจารณา โชคดีที่ทะเลทรายผีเขียวค่อนข้างพิเศษ เนื่องจากผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตกไม่มีวิธีเก็บเกี่ยวทรัพยากร ดังนั้นฟางหยวนจึงมีโอกาสค่อนข้างมาก


อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่ตั้งใจยึดครองสถานที่แห่งนี้


‘หือ มีคนอยู่ข้างหน้า?’ การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน วิธีตรวจสอบของเขาไม่เหมือนก่อนหน้า เขาสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของผีเฒ่าไป่จุนและคนอื่นๆได้อย่างรวดเร็ว


‘ผู้มีพระคุณกำลังมา’ ฟางหยุนรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ


ฟางเล้งก็คาดหวังเช่นกัน


สายตาของผีเฒ่าไป่จุนกลายเป็นเย็นชา เมื่อเขาตระหนักถึงเมฆสีขาว เขาเริ่มระวังตัวมากขึ้น


ในไม่ช้าผู้อมตะทั้งสามก็รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของพื้นทราย


จากนั้นกองทัพอสูรวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในมุมมองสายตาของพวกเขา


อสูรวิญญาณจำนวนมหาศาลทำให้การแสดงออกของผู้อมตะทั้งสามเปลี่ยนแปลงไป


“นี่!” ผีเฒ่าไป่จุนรู้สึกพูดไม่ออก เขาคิดว่าฝูงอสูรวิญญาณของเขาใหญ่โตมากแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับค้นพบว่ามันไม่แม้แต่จะสามารถเปรียบเทียบกับกองทัพอสูรวิญญาณของฟางหยวน


ผู้อมตะนิกายเงาเข้าไปในมิติช่องว่างของฟางหยวนขณะที่เขาเปลี่ยนอัตลักษณ์ของตนเอง


เขาอยู่ในรูปลักษณ์ของชายวัยกลางคนผอมเพรียว ผมขาว นัยต์ตาสีดำที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และความทะเยอทะยาน สายตาของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม


ฟางหยวนสวมชุดคลุมดำและยืนมือไพล่หลังอยู่บนแผ่นหลังของอสูรวิญญาณพร้อมทั้งปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา


ร่างกายของผีเฒ่าไป่จุนและอีกสองคนสั่นเทา พวกเขากลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว


ฟางเล้งมองฟางหยุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาคิดว่าเหตุใดผู้มีพระคุณถึงให้ความรู้สึกน่ากลัวยิ่งกว่าผีเฒ่าไป่จุน


ฟางหยุนกลอกตา ความหมายของเขาคือเจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามผู้ใด? บางทีเราอาจไม่สามารถตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอก บางทีเขาอาจเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะ


ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเพื่อปลอมตัว ดังนั้นมันจึงไม่มีข้อบกพร่อง


ผีเฒ่าไป่จุนรู้สึกถึงกลิ่นอายที่น่ากลัวของฟางหยวน ดังนั้นเขาจึงเริ่มทักทาย “ยินดีที่ได้พบ ไม่ทราบว่าท่านคือผู้ใด?”


สายตาของฟางหยวนกวาดมองผู้อมตะทั้งสาม หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านขึ้น เขาไม่ตอบแต่โบกมือ


“โฮก…”


กองทัพอสูรวิญญาณคำรามเสียงดัง


จากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าไปหากลุ่มของผีเฒ่าไป่จุนราวกับคลื่นยักษ์


คำกล่าวที่ขัดหูเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เกิดการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย แต่ฟางหยวนไม่ได้กล่าวสิ่งใดเลย เขาโจมตีด้วยเจตนาสังหารทันที


หัวใจของผู้อมตะทั้งสามจมดิ่งลง


ฟางเล้งมองฟางหยุนราวกับต้องการตะโกนว่า “ผู้มีพระคุณของเจ้ากำลังจะปลิดชีพพวกเรา!”


ฟางหยุนมองฟางเล็งอย่างไร้เดียงสาราวกับต้องการตอบกลับไปว่า “เหตุใดจึงกล่าวโทษข้า? ข้าก็ไม่รู้เรื่องราวเช่นกัน!”


ผีเฒ่าไป่จุนตกตะลึงและโกรธจัด


เขาคิดว่า ‘ข้ากำลังใช้วิธีที่สันติเพื่อไม่สร้างปัญหาให้กับแผนการของนายท่าน แต่ข้าไม่คิดว่าคนบ้าผู้นี้จะโจมตีโดยไม่แม้แต่จะพูดคุย! เขามาจากที่ใด? เขาไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกกลั่นแกล้งได้โดยง่าย!’


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผีเฒ่าไป่จุนก็คำรามและบินออกไป


“มาสู้กัน!” เขายกฝ่ามือขึ้นและส่งคลื่นแสงสีดำสองสายพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนราวกับอสรพิษสีดำ


ฟางหยวนชี้นิ้วออกไป


ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาความคิดอุกกาบาตเพลิง!


“บึม!”


คลื่นแสงสีดำไม่สามารถต่อต้านความคิดอุกกาบาตเพลิงและแตกสลายไปในอากาศ


พลังอำนาจของความคิดอุกกาบาตเพลิงลดลงครึ่งหนึ่งแต่มันยังตกกระแทกพื้นและทำให้ฝูงอสูรวิญญาณของผีเฒ่าไป่จุนได้รับบาดเจ็บล้มตายและตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช


ผีเฒ่าไป่จุนตกใจมาก “แข็งแกร่งนัก!”


“เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญางั้นหรือ?” ฟางเล้งประหลาดใจ


“อย่าฆ่าเรา เราเป็นผู้อมตะตระกูลฟาง เราเป็นศัตรูของผีเฒ่าไป่จุนผู้นั้น เขาไม่ใช่สหายของเรา!” ฟางหยุนตะโกนเสียงดัง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)