คัมภีร์วิถีเซียน 1502-1503

ตอนที่ 1502 ตะลุมบอน

 

เสียง “แควก” ดังขึ้น!


 


 


ผ้าคลุมถูกฉีกขาดราวกับกระดาษ ลำแสงเย็นเยียบพุ่งไปปกคลุมเหนือศีรษะของมู่ชิงเอาไว้


 


 


มู่ชิงพลันหน้าเปลี่ยนสี แล้วถึงได้รู้ว่ามีดเล่มนี้แหลมคมถึงเพียงนี้


 


 


คิดจะหลบหลีกอีกครั้ง แต่กลับสายไปเสียแล้ว


 


 


มีดพลิ้วไหวกลางอากาศ กลายเป็นภาพลวงตา เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปกลางอากาศ


 


 


ร้องอุทานว่าแย่แล้วในใจ ร่างของมู่ชิงทำได้เพียงมีเกราะสีเขียวชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น สี่ด้านแปดทิศไม่ไกลนักมีมีดยักษ์เปล่งแสงสีเงินระยิบระยับปรากฎออกมา


 


 


ผิวของมีดยักษ์มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ลำแสงเย็นเยียบดำทมิฬหมุนวนเป็นระลอกๆ โจมตีเข้ามา ปกคลุมมู่ชิงจนไม่เหลือช่องโหว่


 


 


มู่ชิงมีสีหน้าเหยเก ซีดขาวไร้สีโลหิต แต่ทันใดนั้นพลันกัดฟัน สะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง ในมือมีกระบองสั้นสีดำด้ามหนึ่งปรากฎขึ้น


 


 


สตรีผู้นี้สะบัดกระบองเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นเงากระบอกราวกับภูผาปรากฎขึ้นเบื้องหน้า ร่างกายเคลื่อนไหว ตรงไปหาลำแสงเย็นเยียบ


 


 


มู่ชิงรู้ดีกว่าหากตัวเองพลาดโอกาสนี้ รั้งรออยู่ที่เดิมจะมีอันตรายถึงชีวิต


 


 


เสียง “เปรี้ยะๆๆ” ดังราวกับพายุระเบิดฝนกระหน่ำดังขึ้น


 


 


ไม่รู้ว่ากระบองไม้สีดำคู่นั้นคือสมบัติชนิดใด เงากระบองกระทุ้งม่านลำแสงเย็นเยียบอย่างแรง ปกป้องมู่ชิงเข้าไปข้างใน


 


 


แต่ครู่ต่อมาลำแสงเย็นเยียบก็สั่นกระเพื่อม ปรากฏขึ้นราวกับไม่มีที่สิ้นุสด ชั่วพริบตาเงากระบองสีดำเริ่มเลือนราง


 


 


มิคาดเมื่อกระบองสีดำสองส่วนถูกลำแสงเย็นเยียบสับลงมาอย่างรวดเร็ว ก็ชำรุดไม่สมบูรณ์


 


 


มู่ชิงมีสีหน้าตกตะลึง เมื่อคิดจะหดมือหมายสำแดงอิทธิฤทธิ์อื่นนั้น ลำแสงเย็นเฉียบรอบด้านกลับหมุนวนทะลวงออกจากเงากระบองที่ไม่สมบูรณ์ ม้วนเข้ามาที่ร่างของสตรีผู้นี้


 


 


เห็นเพียงเกราะสีเขียวทำได้เพียงกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็ถูกลำแสงเย็นเชียบกลืนกินเข้าไปข้างใน


 


 


หลังจากกรีดร้องออกมาคราหนึ่ง ด้านในก็ไม่มีสุุ้มเสียงใดอีก


 


 


คาดไม่ถึงว่ามู่ชิงจะเพลี้ยงพล้ำไปทั้งอย่างนั้น


 


 


หญิงงามผมขาวตกตะลึงจนตาเบิกโพลง แทบจะไม่เชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น นางรู้ดีว่าอิทธิฤทธิ์ของมู่ชิงไม่มีทางด้อยไปกว่านางแน่


 


 


ครานี้หุ่นเชิดเกราะทองกลับชี้ไปทางลำแสงเย็นเยียบเบาๆ


 


 


ชั่วขณะนั้นลำแสงพลันหม่นแสงลง ลำแสงเย็นเยียบทั้งหมดผนึกรวมกันที่ใจกลาง ผนึกรวมกันกลายเป็นมีดสีเงินอีกครั้ง


 


 


ส่วนด้านล่างของใบมีด ศพของมู่ชิงถูกสับออกเป็นชิ้นๆ ลอยอยู่กลางอากาศ แต่สิ่งพิสดารก็คือ ซากศพเหล่านี้ไม่มีโลหิตไหล่ออกมาแม้แต่หยดเดียว ราวกับไม่ใช่ก้อนเนื้ออย่างไรอย่างนั้น


 


 


แต่หุ่นเชิดเกราะทองแค่กวาดตาไปแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจเรื่องนี้อีก


 


 


จากความสามารถในการวินิจฉัยด้วยสายตาของเขานั้น ดูออกว่าร่างของมู่ชิงคือร่างปีศาจไม้ตั้งนานแล้ว ซากศพกลายเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


 


 


ครานี้เขาพลันหัวเราะอย่างโหดเ**้ยมออกมา มือหนึ่งกระตุ้นอาคม ชั่วขณะนั้นใบมีดพลันหมุนวนแล้วพุ่งออกไปอีกครั้ง


 


 


เป้าหมายคือหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่อยู่ใกล้กัน


 


 


หุ่นเชิดตนนี้มีร่างกายที่ใหญ่โตขนาดนี้ ช่างเป็นเป้าที่ยอดเยี่ยมจริงๆ


 


 


ตามเจตนาเดิมของเขาแน่นอนว่าจะถือโอกาสลอบโจมตีตอนที่พลังปราณของทุกคนใกล้จะหมด เพื่อรวบทุกคนในคราเดียว


 


 


แต่มิคาดลิ่วจู๋กลับแอบเข้ามายังใต้บ่อ และยังรู้จักเคล็ดวิชาตัดชีพจรวิญญาณที่น้อยคนนักจะรู้จักอีกด้วย


 


 


นี่จึงทำให้หุ่นเชิดเกราะทองรู้สึกร้อนใจ


 


 


หากถูกอีกฝ่ายตัดบ่อน้ำกับชีพจรวิญญาณออกจากกันจริงๆ ต่อให้เขาสังหารผู้ที่มาจากภายนอกได้ กลับไปยังเผ่าก็ยังคงต้องรับโทษอยู่ดี


 


 


ดังนั้นหลังจากที่เขารอมาเป็นเวลานาน ก็ไม่อาจทนรอต่อไปได้อีกและชิงลงมือ


 


 


แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ มู่ชิงจะระมัดระวังตัวมากาโดยวางเส้นไหมวิญญาณจำนวนมากดักเอาไว้ ทำให้เขาเผยตัวออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


 


ทว่าสำหรับหุ่นเชิดเกราะสีทองแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่สลักสำคัญอะไร


 


 


มีมีดเบญจมังกรอยู่ในมือ ศัตรูเบื้องหน้าก็เสียพลังปราณไปไม่น้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีการควบคุมของอสูรอเวจีอัสนีอีก เงื่อนไขที่เป็นประโยชน์มากมายเช่นนี้ การกำจัดพวกมันก็เป็นเรื่องมั่นใจได้เก้าในสิบส่วนแล้ว


 


 


ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตยืนอยู่เหนือหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตเห็นสายรุ้งสีเงินบินเข้ามา แววตาพลันฉายแววกริ่งเกรง ไม่ทันได้กล่าวอะไร มือข้างหนึ่งพลันชี้ไปทางสายรุ้งสีเงินที่พุ่งโฉบเข้ามา


 


 


ชั่วขณะนั้นลูกบอลโลหิตยักษ์เบื้องหน้าพลันสั่นเทา กลายเป็นลำแสงสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกไป


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกัน หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่อยู่ใต้ร่างเปล่งแสงสีม่วงออกมา ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็กลายเป็นคนธรรมดา แต่ดวงตาทั้งหกกลับเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นพร้อมกัน เสาลำแสงสีโลหิตหกสายกลายเป็นเส้นไหมตรงๆ พ่นออกไปตามลำดับ ไล่ตามลูกบอลโลหิตไปติดๆ


 


 


ส่วนร่างของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันลอยพลิ้ว ร่อนลงข้างหายของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต


 


 


เสียง “ตูม” ดังขึ้น เมื่อสายรุ้งสีเงินและลูกบอลสีโลหิตสัมผัสกัน ก็จมหายเข้าไปในลูกบอลอย่างเงียบเชียบ


 


 


ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจ


 


 


ลูกบอลโลหิตลูกนี้ของเขาไม่ได้สร้างขึ้นจากโลหิตบริสุทธิ์ธรรมดาๆ แต่ใช้กลิ่นคาวนับเหม็นหมื่นปีหลอมขึ้น สมบัติที่มีกลิ่นเหม็นคาวต่างๆ แทบจะไม่เคยพลาดหลุดมือไปเลย


 


 


แม้นว่าสายรุ้งสีเงินสายนั้นจะทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจไม่มีผลกระทบเลยสักนิดไม่ได้


 


 


ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านไปมาในหัวของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิต


 


 


หลังจากเสียงระเบิดตูมดังขึ้น รอยยิ้มในแววตาของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตก็แข็งค้าง


 


 


ลูกบอลโลหิตลูกนั้นถูกลำแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนทะลวงผ่านผิวไปได้ในพริบตา ปริแตกออกกลายเป็นหมอกโลหิตฉุนกึกกลุ่มหนึ่ง


 


 


หมอกโลหิตนี้แค่ลอยพลิ้วอยู่ชั่วครู่ ก็กลายเป็นไอสีดำเหม็นคาวคละคลุ้ง แล้วสลายหายไป


 


 


และในครานี้มีดเบญจมังกรสายรุ้งสีเงินก็ปะทะกับเสาลำแสงสีโลหิตหกสาย


 


 


จะว่าไปก็แปลก ผิวของสายรุ้งสีเงินดูแหลมคมมากเมื่อสับลงมาที่เสาโลหิต คาดไม่ถึงว่าลำแสงสีเงินจะพลิ้วไหว ความรู้สึกที่พุ่งออกไปไม่นับว่าช้านัก


 


 


ชั่วพริบตาเสาลำแสงสองสามสายก็ไปถึงมันอย่างต่อเนื่อง ทำให้สายรุ้งสีเงินสั่นเทาแล้วเผยร่างเดิมออกมา


 


 


ชุดคลุมสีโลหิต ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย มือหนึ่งร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว


 


 


ชั่วขณะนั้นเสาลำแสงสีโลหิตสองสามสายพลันผนึกรวมกัน กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีโลหิตกระโจนเข้าหามีดแล้วต่อสู้โรมรันกัน


 


 


ความแหลมคมของมีดเบญจมังกรนี้ช่างทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อ แต่ผู้ที่ยืนอยู่บนกระบี่บินสีโลหิตกลับไม่อาจสับออกเป็นสองได้ในทันที มิคาดว่าจะถูกต้านเอาไว้ได้


 


 


หุ่นเชิดเกราะสีทองเห็นเช่นนั้น แววตาพลันฉายแววโหดเ**้ยม ร่ายคาถาที่เกี่ยวข้องในใจ


 


 


ชั่วขณะนั้นมีดเบญจมังกรพลันเปล่งแสงสีเงินออกมา หมุนคว้างรอบหนึ่ง ลำแสงเย็นเยียบจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา


 


 


ในที่สุดเสียง “ปัง” ก็ดังขึ้น กระบี่โลหิตถูกลำแสงเย็นยเยียบสับออกเป็นหลายส่วน กลายเป็นลำแสงสีโลหิตกลุ่มหนึ่ง


 


 


ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนั้น พลันอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา


 


 


จากนั้นโลหิตนี้พลันกลายเป็นตัวอักษรสีโลหิตสองสามตัว ลอยฉวัดเฉวียนอยู่เบื้องหน้าผู้สวมชุดคลุมสีโลหิต แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


ครู่ต่อมาลำแสงโลหิตที่อยู่ไกลออกไปก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นสองสามครั้ง รวมกันที่ใจกลางอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกระบี่บินสีโลหิตอีกเล่มอีกครั้ง


 


 


กระบี่บินนี้เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพันรัดไปบนมีดเบญจมังกร ไม่ปล่อยให้มันบินหนีไป


 


 


หญิงงามผมขาวที่เดิมทีกำลังรู้สึกครั่นครามจากการที่มู่ชิงเพลี้ยงพล้ำไปอย่างคาดไม่ถึง ครานี้เห็นสมบัติชิ้นนี้ถูกกระบี่โลหิตของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตต้านทานเอาไว้ ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา


 


 


นางไม่สนใจอีกว่าเขตอาคมลำแสงสีดำเหนือศีรษะจะเป็นอย่างไร พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว ในมือมีถุงหนังสีดำปรากฎขึ้น แล้วอัญเชิญขึ้นไปกลางอากาศ


 


 


ถุงนี้ลอยพลิ้วกลับหัว ปากถุงทิ่มลงพื้น ไอทมิฬสีเทาทะลักออกมา ด้านในมีทหารภูตเกราะทมิฬติดอาวุธร่างกายสูงใหญ่ร้อยกว่าตนปรากฎขึ้น


 


 


สตรีผู้นี้เก็บทหารภูตสำเร็จรูปกลุ่มนี้เอาไว้มาตลอด


 


 


หญิงงามผมขาวเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา ชี้ไปยังหุ่นเชิดเกราะโลหิตที่อยู่ไกลออกไป


 


 


ทหารภูตชูมีดดาบขึ้นในทันที ควบคุมพายุทมิฬ ตรงไปยังฟาดฟันใส่หุ่นเชิดเกราะทอง


 


 


หุ่นเชิดเกราะทองที่อยู่ไกลออกไปเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลันหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา


 


 


เขาหันหน้าไปเอ่ยถามภูตหน้าม้าร่างคนที่อยู่ด้านข้าง


 


 


“เจ้าพวกนี้มอบให้เจ้าก็แล้วกัน ไม่มีปัญหาสินะ”


 


 


“ใต้เท้าโปรดวางใจ ทว่าภูตระดับเหล่านี้ จะเป็นคู่มือของข้าน้อยได้อย่างไร” ภูตหน้าม้าเรือนกายวาววับ ค้อมตัวลงตอบรับ


 


 


หุ่นเชิดพยักหน้า


 


 


ชั่วขณะนั้นร่างของภูตตนนี้พลันมีลำแสงเคลือบเงาเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นหมอกลำแสงห้าสีกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ มันก็ทะลวงเข้ามาในพายุทมิฬอย่างดุดัน กลายเป็นดาบยาวคู่หนึ่งกลางอากาศ ยืนอยู่กับทหารภูตร้ายกว่าตนเหล่านั้น


 


 


หุ่นเชิดเกราะทองไม่มองการรบราฆ่าฟันด้านนั้น แต่ปากพลันบริกรรมคาถาทันที กระตุ้นมีดเบญจมังกรอีกครั้งอย่างไม่เสียดายจิตสัมผัส


 


 


ชั่วขณะนั้นหลังจากที่สายรุ้งสีเงินโรมรันกับกระบี่โลหิตจนเกิดเปล่งเสียงร้องไพเราะแล้ว ก็แบ่งออกจากหนึ่งเป็นห้า กลายเป็นสายรุ้งหลากสีสันห้าสาย


 


 


หนึ่งในนั้นสู้รบปรบมือกับกระบี่โลหิตต่อ ส่วนอีกสี่สายที่เหลือกลับแยกออกเป็นสองกลุ่ม พุ่งเข้าไปหาผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตและหญิงงามผมขาวด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้า


 


 


หญิงงามผมขาวพลันหน้าเปลี่ยนสี มองม่านลำแสงสีเขียวที่กำลังจะพังแหล่มิพังแหล่ เนื่องจากขาดผู้ช่วยอย่างมู่ชิงไป แล้วมองไปยังหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่อยู่ข้างกายผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตแวบหนึ่ง สีหน้าอดที่จะเคร่งขรึมสลับกับสดใสไปมาไม่ได้


 


 


สตรีผู้นี้เห็นว่าไร้แววจะชนะ ในใจจึงอดที่จะมีความคิดล่าถอยผุดขึ้นมาไม่ได้


 


 


แต่ในตอนนั้นเอง ฉับพลันนั้นในเขตอาคมลำแสงสีทองด้านล่างกรงสีเขียว เสียงกู่ร้องยาวๆ ต่ำๆ พลันดังขึ้น จากนั้นผิวของเขตอาคมลำแสงพลันสั่นกระเพื่อม ทำให้พื้นดินในบริเวณรอบสั่นเป็นระยะๆ


 


 


“สหายลิ่วจู๋จะลงมือแล้ว” ฉับพลันนั้นข้างหูของหญิงงามผมขาวพลันมีเสียงเย็นชาของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตดังขึ้น


 


 


ภายใต้ความตกตะลึงของสตรีผู้งดงาม พลันมีสีหน้าลังเลไปเล็กน้อย ลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นที่เบื้องหน้า สายรุ้งสองสายเข้าไปประชิดอย่างรวดเร็วจนหาที่เปรียบมิได้


 


 


ภายใต้ความจนปัญญาแผ่นหลังของหญิงงามผมขาวพลันมีเงาร่างภูตผมยุ่งเหยิงปรากฎขึ้น สองมือตะปบออกไปเบื้องหน้า ชั่วขณะนั้นมือภูตยักษ์สีดำสองข้างก็ปรากฎขึ้นเหนือสายรุ้ง ตะปบลงมาด้านล่าง


 


 


ในเวลาเดียวกันหญิงงามพลันพลิกฝ่ามือฝ่ามือหนึ่ง ในมือมีธงกระดูกขาวด้ามเล่มปรากฎขึ้น โบกสะบัดเล็กน้อย หมอกลำแสงสีเทาทะลักออกมา แล้วม้วนไปทางสายรุ้ง


 


 


ขณะที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตและหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตร่วมมือกันอยู่อีกด้าน ก็ถูกสายรุ้งอีกสองสายล้อมเอาไว้ ตกอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือด


 


 


ในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นสตรีผู้งดงามผมขาวพลันเอะใจ อดที่จะหันไปมองตรงมุมของวิหารแวบหนึ่งไม่ได้


 


 


ผลคือชั่วพริบตาสตรีผู้นั้นพลันหน้าเขียวคล้ำ!


 


 


เห็นเพียงตรงมุมของวิหารด้านนั้น ข้างกายของหยวนเหยาและเหยียนลี่ที่แต่เดิมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฎขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คนผู้นี้ใช้สองมือกดลงไปที่หัวไหล่ของสตรีทั้งสอง ประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนแล่นเปรี๊ยะๆ พุ่งออกมาจากฝ่ามือ ทะลักเข้าไปในร่างของสตรีทั้งสอง


 


 


แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นั้นก็คือหานลี่


 


 


หยวนเหยาและเหยียนลี่ที่แต่เดิมมีสีหน้าแข็งทื่อพลันร่างกายสั่นเทา เส้นไหมสีโลหิตเป็นสายๆ ถูกบีบออกจากร่าง ใบหน้าเผยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสออกมา


 


 


“เจ้าหัวขโมย บังอาจ?” อารมตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวของหญิงงามผมขาวพลันร้องตะโกนเสียงกร้าวออกมา


 


 


หานลี่กลับทำเป็นไม่ได้ยินเสียงตะโกนของสตรีคนงาม ชั่วพริบตาฝ่ามือก็มีประจุไฟฟ้าสีทองทะลักออกมามากกว่าเดิมสองสามส่วน ทำให้เส้นไหมสีโลหิตเหล่านั้นถูกบีบออกจากร่างไปชั่วคราว ถูกอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายทำให้หายไป


 


 


ร่างของสตรีทั้งสองอ่อนยวบ ทรุดลงกับพื้น


 


 


ร่างหานลี่เปล่งแสงสีเขียวออกมา ม้วนเอาสตรีทั้งสองเข้าไปข้างใน จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งไปยังปากทางเข้าวิหาร 

 

 


ตอนที่ 1503 คาดไม่ถึงครั้งแล้วครั้งเล่า

 

หญิงงามผมขาวต้านทานการโจมตีของรุ้งสีเงินสองสายอย่างยากลำบาก พลางใช้พลังยุทธ์สนับสนุนอาคมต้องห้ามที่อยู่เหนือศีรษะ เพื่อชะลอความเร็วในการตกลงมาของเขตอาคมแสงสีดำ ทำให้ไม่สามารถพุ่งตัวออกไปไล่ตามได้


 


 


แต่ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของหญิงผู้นี้ ก็ยังกัดฟันกรอดแล้วเหวี่ยงมือไปตบที่รุ้งสีเขียวอย่างฉับพลัน


 


 


และในขณะที่กำลังแบ่งสมาธินั้น ทำให้เขตอาคมแสงที่อยู่เหนือศีรษะเกือบจวนร่วงลงมาถึงจั้งกว่าแล้ว


 


 


หญิงงามรู้สึกตื่นตะลึง ไม่สนที่จะดูผลลัพธ์ของการโจมตี รีบกระตุ้นค้อนประหลาดที่อยู่กลางอากาศ เพิ่มขนาดเพลิงสีเขียวที่ฝูงหัวกะโหลกพ่นออกมา จึงพอทำให้ความเร็วในการตกลงมาของเขตอาคมแสงหยุดชะงักลงครู่หนึ่ง


 


 


ส่วนหานลี่ในตอนนี้ ขณะที่เห็นว่าแค่ขับเคลื่อนรุ้งสีเขียวพุ่งทยานไปหลายสิบจั้งก็ใกล้จะถึงปากทางออกของวิหารใหญ่แล้ว จู่ๆ หน้าก็เปลี่ยนสียกใหญ่ ลำแสงหลีกหนีพลันเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งแฉลบไปยังทิศทางอื่น


 


 


ผลลัพธ์คือ บริเวณเหนือศีรษะในตอนแรกนั้น ปราณทมิฬได้ก่อตัวขึ้น ก่อนที่กรงเล็บภูตสีเทาข้างหนึ่งจะปรากฏออกมาแล้วตะปบลงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ


 


 


กรงเล็บนี้มีขนาดราวๆ จั้งกว่า ห้านิ้วเป็นสีดำทมึน มีเปลวไฟลุกเป็นเกลียวอยู่ด้านบน ทุกหนทุกแห่งที่กรงเล็บภูตนี้ผ่าน สามารถทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของอากาศในบริเวณใกล้เคียงได้


 


 


หากไม่ใช่เพราะหานลี่เห็นสถานการณ์ได้เร็วพอ หลบออกมาล่วงหน้า ครู่ต่อมาคงได้ถูกกรงเล็บนี้กุมเอาไว้แน่


 


 


แม้ว่ากรงเล็บนี้จะทรงอานุภาพมาก ก็ยังมีพลังในการโจมตีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น


 


 


หลังจากที่กรงภูตนี้พลาดเป้า ก็เกิดเสียงปังเบาๆ คราหนึ่ง ทันใดนั้นก็สลายหายไป


 


 


หานลี่รู้สึกดีใจเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดจะพุ่งไปยังปากทางเข้าด้วยอารมณ์ฮึกเหิม ที่เบื้องล่างกลับมีเสียงร้องแหลมและเศร้ากำสรดดังขึ้น


 


 


ด้วยความเร็วของเสียงนี้ ขณะที่เสียงดังขึ้น ก็มีสายลมที่แหลมคมกลุ่มหนึ่งพัดมาถึงบริเวณใกล้เคียงที่ด้านหลัง


 


 


หานลี่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ลำแสงหลีกหนีเลือนรางอย่างฉับพลัน ก่อนที่จะพุ่งปราดแล้วปรากฏตัวยังที่ที่ไกลออกไปหลายจั้ง


 


 


ในตอนนี้เอง ลำแสงสีเขียวมรกตสายหนึ่งแผดเสียงก้องพร้อมกับพุ่งออกจากตำแหน่งแรกของมัน แต่ทันใดนั้นก็แตกสลายหายไป


 


 


หานลี่ไม่หันหน้ากลับไปมอง พลันใช้มือหนึ่งตั้งท่าร่ายคาถา ส่วนอีกมือหนึ่งสั่นแขนเสื้อไปยังด้านหลัง


 


 


เบื้องล่างเกิดแสงสีทองสว่างพร่าง ปรากฏเป็นเงาลวงตาสามเศียรหกกรสีทองเงาหนึ่ง แขนทั้งหกก็ซัดไปยังเบื้องล่างพร้อมกันอย่างไม่ปรานี


 


 


เมื่อเงาปั้นเหวี่ยงออกไป ก็มีพายุสีทองโอบล้อมไว้


 


 


ภายในแขนเสื้อมีลูกแก้วสิบกว่าลูกพวยพุ่งออกมา พริบตาก็กลายเป็นดวงแสงสีเขียวหมุนโคจรแล้วพุ่งออกไป


 


 


ในขณะเดียวกัน ภายใต้การโคจรเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์จนถึงขั้นสุดยอด บนร่างพลันปรากฏ แผ่นเกล็ดราวกับทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ขึ้นมาหนึ่งชั้น ครู่ต่อมาบน บนร่างก็มีปราณสีดำลอยเป็นเกลียวขึ้น กลายเป็นเกราะสังหารสีดำอีกหนึ่งชั้น


 


 


พริบตาที่เกราะสีดำปรากฏออกมา ก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสื้อคลุมยาวสีทองที่ปกคลุมร่างไว้อีกหนึ่งชั้น


 


 


คิดไม่ถึงว่าภายในชั่วพริบตา หานลี่จะเสริมการป้องกันให้ตัวเองถึงสามชั้น


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหานลี่จึงค่อยรู้สึกโล่งใจแล้วหันกลับไปมองที่ด้านหลัง


 


 


ทว่าเขายังไม่ทันได้เห็นอะไรชัดเจน ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นที่เบื้องหลัง ตามด้วยกลุ่มคลื่นอากาศที่ถาโถมเข้ามา


 


 


เห็นเพียงเบื้องหลังที่ไกลออกไปสามสิบจั้ง ม่านแสงสีทองกับแสงสีเขียวกำลังผสานกันท่ามกลางพายุหมุนสูงเสียดฟ้า ภายในนั้นมีเงาคนสีเขียวตะคุ่มๆ


 


 


หานลี่นัยน์ตาเปล่งประกายสีน้ำเงินวาบหหนึ่ง พลันสำแดงอิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณออกมา จึงค่อยมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเงาคนที่อยู่ในพายุหมุนอย่างชัดเจน


 


 


ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้สีหน้าเปลี่ยนเป็นอารมณ์ยากที่จะเชื่อ


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร!”


 


 


หานลี่หลุดปากร้องออกมา


 


 


เงาคนสะบัดแขนเสื้อสองข้างทีหนึ่งแล้วหนีออกมาจากพายุหมุน ทว่าลำแสงสีเขียวสิบกว่าดวงก็มาถึงตรงหน้าแล้ว


 


 


เงาคนแค่นเสียงคราหนึ่ง ครั้นสั่นแขนเสื้อ ก็มีม่านแสงปรากฏออกมา คิดจะกวาดแสงสีเขียวที่ไม่สะดุดตานี้ออกไปเช่นกัน


 


 


แต่นางย่อมมองพลาด เพราะดูถูกอานุภาพของลูกแก้วอัสนีเหล่านี้เกินไป


 


 


พริบตาที่ม่านแสงสัมผัสกับลูกแก้วอัสนี ดวงแสงสีเขียวก็เกิดการหดขยายขึ้น ก่อนที่จะพากันกลายเป็นขนาดเท่าล้อรถ แล้วกลิ้งบนร่างของคนผู้นี้อย่างพร้อมเพรียง


 


 


เกิดเสียงอัสนีบาตดังก้อง ดวงแสงทั้งหมดพลันระเบิดออก เมฆสายฟ้าสีเขียวก็ทยอยปรากฏออกมา พร้อมกับอักขระที่หมุนวนไปรอบๆ ภายในชั่วพริบตาก็เข้าปกคลุมเงาคนไว้เบื้องล่างอย่างไม่ทันตั้งตัว


 


 


เงาคนร่างนั้นตกตะลึง พลันเปล่งแสงวิญญาณบนร่าง เงาลวงตาต้นไม้สีเขียวขจีต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนร่าง


 


 


และแล้วพลังอัสนีอันเกรี้ยวกราดก็สะกัดเงาพฤกษาไว้ภายนอก


 


 


คนผู้นี้สีหน้าดูย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง กำลังจ้องมองหานลี่ที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาเยือกเย็นจากภายในเมฆสายฟ้า


 


 


คิดไม่ถึงว่าจะเป็นมู่ชิงที่น่าจะร่วงตายไปแล้ว


 


 


หญิงผู้นี้ไม่รู้ว่าใช้เคล็ดวิชาลับตัวตายตัวแทนอะไร สามารถหนีเอาชีวิตรอดจากการตัดของห้ามังกรได้ ทั้งยังหลบอยู่ข้างๆ อย่างปลอดภัยมาโดยตลอด


 


 


ทว่าตอนที่หานลี่ปรากฏตัวและคิดจะหนีลอยนวลไปนั้น หญิงผู้นี้ก็ไม่อาจระงับอารมณ์ที่จะลงมือจู่โจมอย่างฉับพลันได้อีก แต่นางก็ประมาทไปชั่วครู่ ทำให้ถูกเมฆสายฟ้าสีเขียวกักไว้ภายใน


 


 


แม้ว่าเมฆสายฟ้านี้จะไม่สามารถทำให้บาดเจ็บถึงชีวิตได้ แต่มู่ชิงก็ไม่สามารถหนีออกจากที่เดิมได้ในชั่วขณะหนึ่ง


 


 


ขณะที่หานลี่ถูกสายตาของหญิงผู้นี้จ้องมอง ในใจก็รู้สึกหนาวยะเยือก แต่เมื่อขยับร่างอีกที ร่างของเขาก็มาปรากฏที่เบื้องล่างของปากทางเข้าวิหารใหญ่แล้ว


 


 


ม่านแสงสีเขียวได้ม้วนหยวนเหยาและเหยียนลี่ที่นอนสลบยังไม่ได้สติเอาไว้


 


 


หานลี่กวักมือสองข้างอย่างรวดเร็ว ม่านแสงก็พุ่งทยานกลับมา


 


 


แขนข้างหนึ่งยื่นออกไปแล้วโอบเอวของหญิงสาวผู้หนึ่งไว้


 


 


เขาสูดหายใจลึกคราหนึ่ง แผ่นหลังเกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้น พลันกางปีกสองข้างทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วหนีออกจากที่อันตรายแห่งนี้


 


 


ในตอนนี้ เหตุพลิกผันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง


 


 


ด้านข้างเกิดคลื่นอากาศขึ้น หมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งพลันระเบิดกระจายออก ภายในม่านหมอกมีเสียงหัวเราะประหลาดดังออกมาคราหนึ่ง ทันใดนั้นมือใหญ่ที่แผ่กลิ่นคาวเลือดข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากในอากาศ แล้วตะปบหานลี่อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ


 


 


มือโลหิตปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาด แทบจะประชิดตัวของหานลี่อยู่รอมร่อ


 


 


แม้ว่าร่างกายของหานลี่จะว่องไว แต่จะหลบก็หลบไม่พ้น ได้แต่หน้าถอดสี ก่อนที่จะเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าบนร่าง เพื่ออาศัยพลังป้องกันของตัวเองในการฝืนต้านรับ


 


 


เกิดเสียงตูมดังสะเทือนเลือนลั่น


 


 


แสงโลหิตบนนิ้วทั้งห้าของมือโลหิตพลันม้วนลงมา เพียงแค่ตะปบทีเดียวก็ทะลวงการป้องกันสองชั้นจากเสื้อคลุมอัสนีและเกราะศึกสีดำจนตะปบโดนบ่าของหานลี่โดยตรง


 


 


เห็นได้ชัดว่าเจตนาของเจ้าของมือโลหิตนั้นไม่คิดจะสังหารหานลี่ เพียงแค่คิดจะขวางเขาไว้เท่านั้น


 


 


แต่คนผู้นี้ก็ประเมินความสามารถในการป้องกันของแผ่นเกล็ดสีทองบนร่างของหานลี่ต่ำไป พริบตาเพลิงโลหิตกับเสื้อคลุมสีเขียวสัมผัสถูกกัน ก็อันตรธานหายไป ทว่าในขณะที่นิ้วทั้งห้าตะปบลงบนแผ่นเกล็ดสีทอง กลับรู้สึกถึงความหนาวยะเยือกผิดปกติจากปลายนิ้ว ทั้งยังถูกทำให้แฉลบออก ไม่สามารถตะปบผิวหนังของหานลี่ได้


 


 


ทว่าสถานการณ์ของหานลี่ก็ไม่ได้ดีนัก


 


 


เพียงแค่เขาถูกมือโลหิตโจมตีครั้งเดียว ร่างของเขาก็เซจนแทบจะปลิวออกไปแล้ว


 


 


แต่โชคดีที่วิชาอาคมของหานลี่นั้นผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปไม่อาจเทียบได้ ร่างของเขาเพียงแค่บิดงออย่างประหลาดคราหนึ่ง ก็ดูเลือนร่างเล็กน้อย กลายเป็นเงาลวงตาภาพหนึ่งแล้วหายไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย ไม่มอบโอกาสให้กรงเล็บโลหิตลงมือเป็นครั้งที่สอง


 


 


ในตอนนี้ กลางอากาศในบริเวณใกล้เคียงเกิดแสงโลหิตเจิดจ้า เงาคนสีโลหิตสลัวๆ พลันพุ่งออกมา การแต่งกายของเงานี้ดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ที่แท้ก็คือหุ่นเชิดโลหิตตัวหนึ่ง


 


 


เพียงระดับความร้ายกาจของหุ่นเชิดโลหิตตัวนี้ไม่ต่ำกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์


 


 


ซึ่งหุ่นเชิดโลหิตสองตัวที่หานลี่สังหารไปในตอนแรกนั้นไม่อาจเทียบได้


 


 


หุ่นเชิดโลหิตที่อยู่ไกลออกไปนั้น ขณะที่มันกำลังใช้ตาทั้งหกพ่นลำแสงโลหิตออกมาต้านทานรุ้งสีเงินสองสายที่ตัดกันของมังกรทั้งห้าไม่หยุด ก็กลอกตาสองข้างที่อยู่ด้านหลังอย่างน่าประหลาด พลันจ้องมองหานลี่อย่างซึมกะทือ


 


 


ดูจากท่าทางไม่ได้มีคนควบคุมแม้แต่น้อย


 


 


หานลี่ย่อมไม่รู้สาเหตุทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน แต่ก็รู้ดีว่าตนจะถูกหุ่นเชิดโลหิตที่ปรากฎตัวเบื้องหน้าอย่างเหนือความคาดหมายพัวพันไม่ได้เด็ดขาด


 


 


ไม่เช่นนั้น เพียงแค่พวกราชาปีศาจอย่างมู่ชิงที่อยู่ภายในวิหารมีคนใดคนหนึ่งลงมือ ต่อให้ตนติดปีกก็ยากที่จะบินหนีไปได้


 


 


โดยเฉพาะเขตอาคมแสงที่ผนึกสระมรกตนั้นส่งเสียงระเบิดอย่างไม่ขาดสาย เป็นไปได้มากว่าลิ่วจู๋ที่น่ากลัวที่สุดใกล้จะทะลวงออกมาจากผนึกแล้ว


 


 


ในตอนนี้เอง หุ่นเชิดโลหิตหมันกายคราหนึ่ง สายตาจ้องมองหานลี่อย่างไร้ซึ่งอารมณ์ พลางชูมือสองข้างขึ้นช้าๆ


 


 


ลำแสงโลหิตที่อยู่เหนือปลายนิ้วทั้งห้าหลายชุ่น เปล่งประกายวูบวาบไม่หยุด


 


 


ในใจหานลี่รู้สึกหวาดผวาอย่างหนัก ในปากเปล่งเสียงร้องเบาๆ คราหนึ่ง พลางขยับตัวพลิ้วไหว กลายเป็นเงาลวงตาจำนวนนับไม่ถ้วน พวยพุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดทางพร้อมกัน


 


 


ในมือของเงาลวงตาทั้งหมดต่างก็โอบร่างของหญิงสาวสองคนไว้ ลักษณะท่าทางเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน


 


 


หุ่นเชิดโลหิตดวงตาเปล่งแสงโลหิตวูบหนึ่ง เมื่อกวาดตามองสักพัก ทันใดนั้นก็จ้องมองเงาลวงตาภาพหนึ่งที่กำลังพุ่งประชิดกับพื้นดินแล้วส่งเสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวออกมา ก่อนที่ร่างจะพลิ้วไหวแล้วหายไปในม่านแสงสีโลหิตอย่างไร้ร่องรอย


 


 


ครู่ต่อมา ด้านข้างของเงาลวงตาที่ถูกจ้องก็มีแสงโลหิตสว่างวาบ หุ่นเชิดโลหิตปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง พลันโบกสองมืออย่างไม่เกรงใจ


 


 


ลำแสงกรงเล็บสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงก้อง พริบตาก็ปกคลุมเงาลวงตาไว้เบื้องล่างอย่างหนาแน่น


 


 


เงาลวงตาที่อยู่เบื้องล่างนี้จะต้องเป็นหานลี่อย่างแน่นอน ทว่าในขณะที่เขาเห็นว่าไม่สามารถตบตาหุ่นเชิดนี้ได้นั้น ใบหน้ากลับดูเงียบสงบอย่างผิดปกติ พลันขยับสองมือขึ้น


 


 


ในมือข้างหนึ่งเกิดแสงสีดำขึ้น ภูเขาจิ๋วสีดำลูกหนึ่งก็ขยายตัวออกมากันเบื้องหน้า ส่วนมืออีกข้างหนึ่งสะบัดแขนทีหนึ่ง กลับมีกรรไกรสีเขียวพุ่งออกมาเล่มหนึ่ง


 


 


แม้ว่าลำแสงกรงเล็บของหุ่นเชิดโลหิตจะร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ก็ไม่สามารถตะปบยอดเขาจิตสัมผัสแม่เหล็กที่มีพลังของจิตสัมผัสแม่เหล็กได้อย่างแน่นอน


 


 


เห็นเพียงลำแสงโลหิตทยอยระเบิดบนพื้นผิวของภูเขาจิ๋วอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ภูเขาจิ๋วสั่นสะเทือนพร้อมส่งเสียงเราเบาๆ อย่างต่อเนื่อง ทว่าสุดท้ายแล้วก็รับการโจมตีทั้งหมดได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน


 


 


ดวงตาของหุ่นเชิดโลหิตเปล่งแสงประหลาดออกมาวาบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เหนือความคาดหมายของมันเป็นอย่างมาก


 


 


ในตอนนี้ กรรไกรสีเขียวที่ถูกหานลี่เรียกออกมาได้พุ่งมาถึงเบื้องหน้าของหุ่นเชิด พลันเปล่งประกายอัสนีเจิดจ้า กลายเป็นมังกรอัสนีสีเขียวสองตัว ส่งเสียงคำรามลากยาวพร้อมพุ่งกระโจนไขว้กันบนร่างของหุ่นเชิดโลหิต


 


 


ที่แท้ก็คือกรรไกรมังกรอัสนีของเผ่าวิหคสวรรค์เล่มนั้น!


 


 


หุ่นเชิดโลหิตใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ พลันชูสองแขนกลับไปด้านหลัง คิดไม่ถึงว่าจะใช้สองมือตะปบมังกรสองตัวนี้โดยตรง


 


 


หานลี่เห็นฉากนี้ ใบหน้าก็มีสีของความประหลาดใจสายหนึ่งพาดผ่าน พลันถอยหลังสองก้าว


 


 


ปีสองข้างบนแผ่นหลังพลันเคลื่อนไหวพร้อมกับเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้า คิดไม่ถึงว่าจะพาหยวนเหยากับเหยียนลี่ที่กลายเป็นเส้นไหมผลึกไปด้วย ก่อนที่จะจมหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หุ่นเชิดโลหิตแผดเสียงคำรามต่ำคราหนึ่ง สองมือที่คิดจะตะปบก็เปลี่ยนเป็นตบเบาๆ อย่างฉับพลัน


 


 


หลังจากเกิดเสียงตูมสองครั้ง ม่านโลหิตก็กวาดไปยังรอบด้าน ดีดมังกรสองตัวออก ขณะเดียวกันร่างของหุ่นเชิดโลหิตก็เปล่งแสงวาบหนึ่ง คิดจะขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีเพื่อไล่ตาม


 


 


ในชั่วพริบตา บนพื้นเบื้องล่างก็มีแสงสีทองสว่างวาบ ปราณกระบี่สีทองสายหนึ่ง ลำแสงมีดสว่างไสวสองสายพวยพุ่งทะลวงออกมาจากพื้นดิน เพียงชั่วพริบตาก็เข้าประชิดเบื้องล่างของหุ่นเชิดโลหิตในระยะใกล้เพียงลัดนิ้วมือ ก่อนที่จะฟันขึ้นด้านบน


 


 


หุ่นเชิดโลหิตตกตะลึง พลันเปลี่ยนทิศทางลำแสงหลีกหนี เหวี่ยงตัวไกลออกไปด้านข้างหลายจั้ง เพื่อ หลบการจู่โจมทีเผลอ พร้อมกับกวาดมองไปยังเบื้องล่างด้วยความตกตะลึง


 


 


เห็นเพียงบนพื้นดินที่อยู่เบื้องล่าง มีเงาคนสีทองสองร่างปรากฏขึ้น


 


 


ทั้งสองคนมีร่างสูงจั้งกว่า ต่างก็สวมชุดเกราะศึกสีทองตลอดทั้งตัว ร่างหนึ่งถือหอกยาวสีทองด้ามหนึ่ง ส่วนอีกร่างหนึ่งในมือถือดาบยาวข้างละหนึ่งเล่ม


 


 


คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนักรบสวมเกราะใบหน้าสีม่วงทองสองคนที่มีดวงตาซึมกะทือ


 


 


หุ่นเชิดโลหิตดวงตาเปล่งประกายวูบหนึ่ง พลันเงยหน้ามองไปในอากาศ ก็เห็นว่าในชั่วพริบตาที่ล่าช้าไปนั้น หานลี่มาปรากฏตัวที่ปากทางเข้าอีกครั้ง และกลายเป็นรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไปแล้ว


 


 


มีเสียงคนแค่นเสียงคราหนึ่ง


 


 


ขณะที่หุ่นเชิดเพิ่งคิดที่จะเคลื่อนไหว ร่างของนักรบสวมเกราะสองคนที่อยู่เบื้องล่างกลับดูเลือนราง ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวขนาบสองข้างของหุ่นเชิดโลหิต


 


 


หอกยาวพลันขยับคราหนึ่ง กลายเป็นงูเหลือมมหึมาสีทองตัวพุ่งกระโจนออกไปอย่างดุร้าย ขณะเดียวกันดาบคู่ที่อยู่บนมือของนักรบอีกคนหนึ่งก็เริ่มร่ายรำ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงทะลวงอากาศดังลั่น พร้อมกับคมมีดวายุสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งกวาดไปรอบๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)