ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 150-153
ตอนที่ 150 จัดอันดับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่แท้คนที่เข้าไปค้นรังวานรก่อนหน้าเขาก็คือศิษย์พี่ใหญ่แห่งหุบเขาเก้าช่องนี้เอง!
ด้วยเหตุนี้ ทรัพยากรที่เก็บเกี่ยวได้มาทั้งหมดของศิษย์หุบช่องเก้าช่องทั้งสี่คนรวมกัน ก็เท่ากับหินจิตวิญญาณหนึ่งล้านก้อน
มูลค่าจำนวนนี้ทำให้หลวงจีนหลิงอวี้ทำเสียงฮึดฮัดออกมาด้วยความไม่พอใจ
แต่หลังจากที่ศิษย์หอสายธารโลหิต และนิกายวาตอัคคีนำสิ่งของออกมานับดูแล้ว กลับทำให้สีหน้าของหลวงจีนหลิงอวี้ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะทรัพยากรที่ทั้งสองนิกายเก็บเกี่ยวมาได้นั้นสู้ของหุบเขาเก้าช่องไม่ได้
นิกายวาตอัคคีได้มาน้อยสุด ซึ่งเก็บเกี่ยวได้เท่ากับหินจิตวิญญาณเพียงเจ็ดแสนก้อนเท่านั้น และเป็นเพราะเซวี่ยชื่อนำไข่จิตวิญญาณของเหยี่ยวขนเหล็กออกมา จึงทำให้ผลการเก็บเกี่ยวของหอสายธารโลหิตสูงขึ้นไปถึงเก้าแสนก้อนหินจิตวิญญาณ
ผู้อาวุโสระดับผลึกของหอสายธารโลหิตกับชื่อหยางมีสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
ไม่นานก็เหลือเพียงแค่นิกายเอกะกับนิกายปีศาจเท่านั้น
อาจารย์ปู่เยี่ยนเห็นเช่นนี้ก็กระแอมไอเบาๆ ออกมา ประมุขนิกายปีศาจรับรู้ถึงเจตนารีบให้หยางเฉียน หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ อีกสามคนเดินไปข้างหน้าในทันที
หลิ่วหมิงได้ลองตรวจสอบหอยสังข์ย่อส่วนตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่สามารถใช้พลังจิตตรวจสอบได้ และเขาก็ได้นำมันมาซ่อนไว้ใต้ผิวหนังตรงแขนตามที่สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรทำ แต่ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับการตรวจสอบของผู้อาวุโสระดับผลึก เขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ แต่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาทางสีหน้า เขาเพียงแค่เดินไปข้างหน้าแล้วหยิบผ้าย่อส่วนออกมาสะบัดเบาๆ
สิ่งของมากมายได้ปรากฏขึ้นบนพื้น เห็นได้ชัดว่ามันมีกว่าของหยางเฉียน และคนอื่นๆ มาก
สิ่งนี้ทำให้ประมุขนิกายปีศาจอุทานออกมาเบาๆ แม้แต่อาจารย์ปู่เยี่ยนก็อดที่มองดูหลิ่วหมิงไม่ได้
ผู้ที่มีทรัพยากรรองลงมาจากหลิ่วหมิงก็คือหยางเฉียน และในกองสิ่งของของเขาก็มีน้ำเต้าสีเหลืองอ่อนอยู่ใบหนึ่ง
ส่วนของคนอื่นๆ นั้น เห็นได้ชัดว่ามีน้อยกว่าพวกเขาทั้งสองมาก
เกาชงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขากับเฟิงฉานร่วมมือกับคนอื่นๆ เพื่อจัดการอสูรสิงห์พยัคฆ์จนทำให้เสียเวลาไปหลายวัน ไหนเลยจะเก็บเกี่ยวมาได้น้อยถึงเพียงนี้
ผู้อาวุโสหอสายธารโลหิตที่เคยมีประสบการณ์ตรวจสอบไปแล้วหนึ่งรอบ ก็รีบเข้ามาทางด้านหยางเฉียนเพื่อตรวจสอบน้ำเต้าสีเหลืองใบนั้น จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“นี่ก็เป็นสุราจิตวิญญาณ ทั้งยังมีคุณภาพแบบเดียวกับน้ำเต้าใบเมื่อครู่ไม่มีผิด ควรจะให้มูลค่าเท่ากัน”
“ผู้อาวุโสเฉียบแหลมยิ่งนัก สุราจิตวิญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้น้อยกับพี่อวิ๋นไปหามาจากรังของปีศาจวานรด้วยกัน และก็แบ่งกันคนละครึ่ง” หยางเฉียนกล่าวอย่างนอบน้อม
“อืม! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องประเมินมูลค่าของสุราจิตวิญญาณแล้ว ให้หินจิตวิญญาณห้าแสนก้อนเท่ากันละกัน สหายท่านอื่นคงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ใช่ไหม!” ผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านนี้คิดไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนที่กล่าวกับคนอื่นๆ
คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
ต่อมาคนจำนวนหนึ่งก็เริ่มตรวจสอบทรัพยากรที่กองอยู่บนพื้น
เพราะว่าเกาชงและศิษย์อีกสองคนมีทรัพยากรไม่มาก ดังนั้นจึงถูกตรวจสอบก่อน หลังจากตรวจสอบแล้วก็พบว่ามีมูลค่าไม่ถึงสองแสนก้อนหินจิตวิญญาณ ซึ่งเทียบไม่ได้กับศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปของนิกายอื่น
แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ‘บัวพลังวารี’ ที่เจียหลานได้มาจากการฆ่าปีศาจอสูรสามตนที่อยู่ในแดนลึกลับนั้น ก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ในกองสิ่งของด้วย
ไม่รู้ว่าถูกนางกินเข้าไปแล้ว หรือว่าใช้วิธีการอื่นใดเก็บซ่อนไว้
“หินจิตวิญญาณสามแสนห้าหมื่นก้อน”
“หินจิตวิญญาณสามแสนแปดหมื่นก้อน”
ทรัพยากรของหยางเฉียนกับหลิ่วหมิงถูกนับออกมาตามลำดับ ผลลัพธ์คือหลิ่วหมิงมีมูลค่าของหินจิตวิญญาณมากกว่าหยางเฉียนที่มีสุราจิตวิญญาณสามหมื่นก้อน
เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์นี้ทำให้ประมุขนิกายปีศาจและคนจำนวนหนึ่งรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้เมื่อรวมผลการเก็บเกี่ยวของศิษย์นิกายปีศาจทั้งห้าคนเข้าด้วยกันแล้ว ถึงแม้จะสู้ของนิกายจันทราสวรรค์ไม่ได้ แต่ก็อยู่เหนือกว่าหุบเขาเก้าช่อง
ไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนี้!
สิ่งของในกล่องหยกที่หลิ่วหมิงได้รับจากสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรในตอนหลัง ล้วนเป็นวัตถุจิตวิญญาณที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง ถึงแม้ลำพังแค่ของอย่างเดียวไม่อาจเทียบได้กับสุราจิตวิญญาณ แต่เมื่อรวมกันเจ็ดแปดอย่างขึ้นไปกลับมีมูลค่าสูงกว่าสุราจิตวิญญาณ
นักพรตแซ่จางที่เข้าร่วมตรวจสอบด้วยก็ได้เข้าไปตรวจสอบสิ่งของตรงหน้าหลิ่วหมิงอีกรอบ สุดท้ายถึงพยักหน้ากับประมุขนิกายปีศาจเพื่อแสดงว่าไม่มีข้อผิดพลาด
ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ย่อมมองมาด้วยความดีใจเป็นธรรมดา
อาจารย์ปู่เยี่ยนได้ยินก็กล่าวกับประมุขนิกายปีศาจด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเด็กคนนี้มีนามว่าอะไร อยู่ใต้สาขาของใคร? ครั้งนี้เขาแสดงออกได้ไม่เลว กลับไปจะต้องให้รางวัลเขาอย่างงาม”
“เรียนอาจารย์อา เด็กคนมีนามว่าไป๋ชงเทียน เป็นศิษย์ที่ศิษย์น้องจงแห่งสาขาเก้าทารกเพิ่งจะรับเป็นศิษย์ติดตาม เขาแสดงออกได้โดดเด่นถึงเพียงนี้ เหนือความคาดหมายของศิษย์หลานมาก รอกลับไปแล้วทางนิกายจะต้องตบรางวัลให้เขาอย่างแน่นอน” พอประมุขนิกายปีศาจเห็นอาจารย์อาของตนเองสนใจหลิ่วหมิงก็รีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันเขาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่า กลับไปจะต้องสั่งให้เกาชงห้ามไปยุ่งกับศิษย์นิกายสายนอกอย่างมู่หมิงจูอีก อย่างมากก็แค่หาคนอื่นมาเป็นเตาหลอมพลังให้ก็พอแล้ว
อาจารย์ปู่เยี่ยนได้ยินก็พยักหน้าด้วยความพอใจ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ส่วนเกาชงเมื่อได้ยินจำนวนผลการเก็บเกี่ยวของหลิ่วหมิง สีหน้าก็ค่อยๆ เขียวปั๊ดขึ้นมา
เขารู้อยู่แก่ใจดีว่า ถึงแม้ตนเองจะเป็นที่โปรดปราณของประมุขนิกายปีศาจ แต่ด้วยผลงานของหลิ่วหมิงในตอนนี้ เกรงว่าต่อให้เขาอยากใช้อำนาจในนิกายบีบคั้นฝ่ายตรงข้ามก็คงไม่อาจทำได้แล้ว
แน่นอนถ้าหากเขาก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้ ทุกอย่างก็จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
หลังจากที่เกาชงคิดใคร่ครวญแล้ว ก็คิดที่จะกลับไปหาทุกวิถีทางเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณให้ได้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที
ขณะนี้อาจารย์ปู่เยี่ยนเองก็ใช้พลังจิตตรวจสอบร่างของหลิ่วหมิง และคนอื่นๆ ตามปกติ เพื่อดูว่าพวกเขาจะยังซ่อนอะไรไว้อีกบ้าง
ถึงแม้ว่าบนตัวหลิ่วหมิงจะเคยมียันต์เก็บของสองสามผืน แต่เขาก็ได้เอาออกมาในก่อนหน้านั้นแล้ว และก็ให้คนอื่นๆ ตรวจสอบดูแล้วว่าในนั้นไม่มีสิ่งของใดๆ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เมื่อพลังจิตที่แข็งแกร่งกวาดเข้ามาบนตัวของเขา ก็ทำให้เขาใจเต้นแรงอย่างอดไม่ได้
โชคดีที่แรงกดดันจากพลังจิตที่แข็งแกร่งของผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านี้ก็ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ มีสีหน้าที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่าสีหน้าเขาปกติจะยิ่งน่าสงสัยไปใหญ่
เมื่อพลังจิตทั้งหมดถอนตัวกลับไปหมด และผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นๆ ไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ แล้ว หลิ่วหมิงถึงได้รู้สึกวางใจขึ้นมา
“ที่แท้ก็ไม่มีนิกายไหนได้มังกรแดงตนนั้นไป! สหายมู่หรง ศิษย์นิกายเอกะของท่านก็ไม่มีหรอกหรือ?” ผู้อาวุโสระดับผลึกของหอสายธารโลหิตถามมู่หรงเซวี่ยนอย่างอดไม่ได้
“ฮึ! ศิษย์นิกายพวกท่านไม่เคยเจอมังกรแดงตนนั้น แล้วศิษย์นิกายข้าจะต้องเจอด้วยเหรอ? หรือสหายท่านคิดว่าศิษย์นิกายข้าจะกล้าปิดบังข้า!” มู่หรงเซวี่ยนได้ยินก็กล่าวพร้อมกับทำสายตามองบน
“เฮ่อๆ! สหายทั้งสองใยต้องทะเลาะกันด้วย ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นเดี๋ยวพวกเราก็จะรู้เอง! พี่มู่หรง ให้ศิษย์นิกายท่านนำสิ่งของออกมาเถอะ!” ชื่อหยางกลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“พวกเจ้าเอาสิ่งของออกมาให้หมด ห้ามเหลือสิ่งใดไว้ จะได้ไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจอะไรผิดอีก” มู่หรงเซวี่ยนมีสีหน้าอึมครึม แต่ยังคงหันไปกล่าวเสียงต่ำกับศิษย์นิกายเอกะ
ศิษย์นิกายเอกะทั้งห้าได้ยินเช่นนี้ก็ตอบรับแล้วเดินหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็ค่อยๆ หยิบผ้าย่อส่วนออกมา
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิงอวี้ ชื่อหยาง และคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา
นิกายเอกะเก็บเกี่ยวทรัพยากรมาได้มูลค่าประมาณหินจิตวิญญาณหนึ่งล้านก้อน แต่ไหนเลยจะมีร่องรอยของมังกรแดง
และตั้งแต่ที่ศิษย์แต่ละนิกายออกมาจากแดนลึกลับ ผู้อาวุโสระดับผลึกก็รีบจับสังเกตในทันที และพวกเขาก็ไม่เจอศิษย์คนไหนทำการแอบย้ายสิ่งของที่เก็บเกี่ยวมาได้แต่อย่างใด
ถ้ำนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นพลังจิตของผู้อาวุโสระดับผลึกจึงครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่อยู่แล้ว
และด้วยกลิ่นไอเฉพาะตัวของมังกรแดงตนนั้น ต่อให้จะหยิบเกล็ดมังกรออกจากพื้นที่ของผ้าย่อส่วนก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของพวกเขาไปได้
“เฮ้อ! ดูเหมือนศิษย์ของแต่ละนิกายคงจะไม่มีโชคจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะไม่มีคนได้พบเจอกับมังกรแดงตนนั้น ช่างเป็นเรื่องที่คำนวณผิดพลาดจริงๆ” หลวงจีนหลิงอวี้ถอนหายใจกล่าวออกมา
“มันก็ไม่แน่ เพียงแต่ว่าศิษย์ที่พบเจอกับมันอาจจะเสียชีวิตในเงื้อมมือมันแล้ว” มู่หรงเซวี่ยนหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
“ตอนนี้มาพูดเรื่องนี้จะมีประโยชน์อันใด เฮ่อๆ! ในเมื่อไม่มีใครได้มังกรแดงตนนั้นไป ก็เท่ากับหมดความยุ่งยากไปด้วย แสดงให้เห็นว่าโชคของพวกเรายังมาไม่ถึง” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กลับกล่าว ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก คนอื่นๆ ก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“ใช่สิ! อันดับผลการทดสอบในครั้งนี้ออกมาแล้ว สหายทุกท่านมีข้อคัดค้านใดๆ หรือไม่?” อาจารย์ปู่เยี่ยนตาเป็นประกายแล้วกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! ดูท่าพี่เยี่ยนจะพอใจกับอันดับการทดสอบในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ในเมื่อก่อนหน้านั้นพวกข้าเคยพูดแล้วว่าการทดสอบในครั้งนี้ให้ใช้ผลการเก็บเกี่ยวมาตัดสิน ย่อมไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะกลับคำพูด สหายท่านอื่นๆ คิดเห็นว่าอย่างไร?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่หัวเราะและหันไปถามคนอื่นๆ
สำหรับเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ท่านนี้แล้ว หลายปีมานี้พลังของหอสายธารโลหิตพัฒนารวดเร็วมาก จนเริ่มเป็นภัยคุกคามนิกายจันทราสวรรค์เล็กน้อยแล้ว ดังนั้นนางจึงมีความสุขที่กดดันฝ่ายตรงข้ามได้
“อย่างไรการทดสอบก็เป็นการตัดสินเพื่อจัดอันดับเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น ครั้งหน้าหอสายธารโลหิตของเราจะต้องมาชิงตำแหน่งเดิมกลับมาให้ได้” ถึงแม้เซวี่ยหลิงจะมีสีหน้าอึมครึม แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายอมรับผลการทดสอบในครั้งนี้
ในเมื่อหอสายธารโลหิตที่เป็นรองแค่นิกายจันทราสวรรค์ไม่ได้ผิดคำสัญญา หลวงจีนหลิงอวี้ และคนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าคัดค้านแต่อย่างใด
ดังนั้นเหลิ่งเยวี่ยซือไท่จึงประกาศยืนยันผลการทดสอบในครั้งนี้ทันที ส่วนทรัพยากรที่ได้รับจากการเปลี่ยนแปลงอันดับนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผู้อาวุโสระดับผลึกอย่างพวกเขาต้องมาพะวง
แน่นอนว่าให้อาจารย์จิตวิญญาณของแต่ละนิกายตกลงกันเอง
ครึ่งวันผ่านไป ก็มีเสียงดังกึกก้องขึ้นที่ทะสาบสยบมังกร เรือกระดูกขนาดยักษ์ลำหนึ่งพาหลิ่วหมิง และคนจำนวนหนึ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าไปยังนิกายปีศาจ
……
ครึ่งเดือนผ่านไป ทั่วทั้งนิกายปีศาจต่างก็ฮือฮาขึ้นมา
ศิษย์เกือบทุกคนต่างรู้แล้วว่าการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ ศิษย์ในนิกายแสดงความสามารถได้ยอดเยี่ยม จนชิงอันดับสองมาได้
บรรดาศิษย์ในนิกายต่างก็รู้จักศิษย์ทั้งหมดที่เข้าร่วมการทดสอบ
แต่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงมากสุดกลับไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่อย่างหยางเฉียน แต่เป็นหลิ่วหมิงที่เป็นศิษย์แกนนำคนใหม่
……………………………………….
ภาคที่ 2 เสวียนจิง ตอนที่ 151 รางวัล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพราะตอนนี้เรื่องราวเกี่ยวกับการทดสอบความเป็นความตายในแดนลึกลับถูกเลื่องลือไปทั่วแล้ว
และหลิ่วหมิงเป็นหนึ่งในสิบศิษย์พี่ใหญ่คนใหม่ ทั้งยังเก็บเกี่ยวทรัพยากรในแดนลึกลับได้มากกว่าหยางเฉียนที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่แต่เดิมอยู่แล้ว สิ่งนี้ย่อมทำให้มีคนอิจฉาเขาไม่น้อย
เมื่อหลิ่วหมิงกลับมาเขาเก้าทารกพร้อมกับประมุขนิกายปีศาจ และหลังจากไปพบกุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองท่านแล้ว เขาก็รีบกลับไปเก็บตัวยังที่พักทันที
ทำให้คนจำนวนมากที่อยากสานสัมพันธ์กับเขาหรือมีความคิดอื่นๆ จำต้องผิดหวังขึ้นมา
ตอนนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง มือทั้งสองก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุดเพื่อทำการปรับแต่งโซ่สีเงินที่พันอยู่ตรงแขน ขณะเดียวกันไอสีดำก็พวยพุ่งออกมาจากร่าง และมองเห็นอย่างลางๆ ว่ามีหนวดสัมผัสโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด
หลังจากที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาก็พ่นลมหายใจยาวออกมา เมื่อเขาเลิกทำท่ามือไอสีดำบนร่างก็ถูกดูดม้วนเข้าไปในร่าง จากนั้นก็ตบลงบนโซ่สีเงินก่อนที่จะมีค่ายกลอักขระโผล่ออกมาสิบเจ็ดชั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ถึงแม้โซ่ปราบปีศาจเส้นนี้จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง แต่ค่ายกลอักขระที่แฝงอยู่บนนั้นเห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างกับอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ดูเหมือนจะซับซ้อนมหัศจรรย์กว่าเท่าตัว ทั้งยังแข็งแกร่งจนยากจะหาที่เปรียบได้ ถึงแม้จะใช้กระบี่จันทราหยกฟันลงไป ก็ไม่สามารถทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ได้เลย และยังมีไอเย็นประหลาดแผ่ออกมาจากบนนั้นด้วย
ดูท่าของชิ้นนี้คงไม่ได้เป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่สามารถควบคุมหัวบินตนนั้นได้
พอหลิ่วหมิงนึกถึงเรื่องหัวปีศาจแล้วสีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
พอเขากลับมาถึงนิกายแล้ว ก็ได้ไปหอเก็บคัมภีร์โบราณเพื่อหาคัมร์ภีร์เกี่ยวกับหัวปีศาจโดยเฉพาะ และศึกษาไปรอบหนึ่ง
และเมื่ออ่านจบเขาถึงเข้าใจว่าที่วันนั้นสามารถปราบหัวบินได้เป็นเรื่องที่โชคดีแค่ไหน
ในประวัติของสาขาเก้าทารก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีศิษย์จิตวิญญาณที่ลองพยายามปราบหัวบินหรือปีศาจประเภทหัวปีศาจนี้ แต่จุดจบของพวกเขาล้วนถูกดูดโลหิตจนเสียชีวิต
และตอนนั้นที่สือชวนสามารถกระตุ้นหัวปีศาจนี้ได้ แท้จริงแล้วกุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองท่านแสดงพลังช่วยหยุดยั้งมันไว้ ประกอบกับมีโซ่ปราบปีศาจเส้นนี้ช่วยอีกแรง ซึ่งโดยแก่นแท้แล้วมันไม่นับว่าเป็นการปราบหัวบินได้อย่างแท้จริง
ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณ แท้จริงแล้วหัวปีศาจทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังงานด้านลบที่มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง เดิมทีไร้รูปไร้ร่าง บ้างก็คล้ายกับวิญญาณปีศาจชั่วร้าย แต่ต่อมาผ่านวิธีการกลืนกินต่างๆ จนค่อยๆ แข็งแกร่งและมีรูปร่างขึ้นมา
เพราะว่าการเติบโตของมันไม่แน่นอน ดังนั้นมันจึงมีรูปร่างแปลกประหลาดร้อยแปดพันเก้ารูปแบบ แต่หัวปีศาจรูปแบบบางอย่างค่อนข้างจะพบได้บ่อย ทั้งยังปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยด้วย ด้วยเหตุนี้ถึงได้ตั้งชื่อให้มัน และยังสามารถแบ่งตามระดับพลังของผู้ฝึกออกเป็นเก้าระดับ
หัวปีศาจระดับหนึ่ง มีพลังพอๆ กับศิษย์จิตวิญญาณระดับต้น
หัวปีศาจระดับสอง มีพลังเท่ากับศิษย์จิตวิญญาณระดับกลาง
หัวปีศาจระดับสาม กลับกระโดดไปมีพลังเท่ากับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ
หัวปีศาจระดับสี่ มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น
หัวปีศาจระดับห้า มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกระดับของเหลวขั้นกลาง
การอนุมานโดยการเปรียบเทียบไปเรื่อยๆ เช่นนี้ พอถึงหัวปีศาจระดับเก้าก็จะสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นสมบูรณ์แบบได้ โดยที่พลังของมันไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
แน่นอนว่าหลังจากที่พลังของหัวปีศาจแข็งแกร่งขึ้น มันยังสามารถก้าวเข้าสู่ในระดับที่สูงขึ้น แต่พอถึงเวลานั้นรูปร่างและชื่อเรียกของมันก็จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
ตามบรรยายในคัมภีร์โบราณ หัวบินเป็นหัวปีศาจระดับสี่ และเก้าทารกที่แข็งแกร่งตามคำเล่าลือของนิกายปีศาจเป็นหัวปีศาจระดับเจ็ด ซึ่งเก้าทารกยังเป็นปีศาจที่พัฒนามาจากหัวบินด้วย
หลังจากที่หลิ่วหมิงอ่านเจอบันทึกเหล่านี้ในคัมภีร์ ย่อมรู้สึกหวาดผวาและงงงัน
แม้ตอนที่อยู่ในแดนลึกลับหัวบินตนนั้นจะดูร้ายกาจ แต่ดูอย่างไรก็ไม่ได้มีพลังระดับอาจารย์วิญญาณ
ระหว่างหัวบินกับเก้าทารกแตกต่างกันถึงสองระดับ หัวบินสามารถกลายเป็นเก้าทารกอันน่ากลัวได้
เรื่องที่เขายังไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่กลับสามารถสื่อสารกับหัวบินได้ ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้
และคำถามเช่นนี้ เขาย่อมไม่โง่ไปถามกุยหรูฉวนและคนอื่นๆ โดยตรง
มิเช่นนั้นถ้าพวกเขารู้ว่าหัวบินกับโซ่ปราบปีศาจอยู่ในมือของเขา มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่พวกเขาจะเรียกมันคืน
สำหรับเขาแล้วของสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สามารถยกระดับขอบเขตพลังของเขาได้ และพลังที่แข็งแกร่งถึงจะเป็นตัวรับรองได้ว่าจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยได้ ดังนั้นเขาย่อมไม่อยากคืนมัน
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ในหัวก็ผุดภาพที่กุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองเรียกพบขึ้นมา
เมื่อทั้งสามรู้ว่าสือชวนยังไม่ออกมาจากแดนลึกลับ และหลิ่วหมิงกลับสร้างชื่อเสียงในการทดสอบความเป็นความตายได้ สุดท้ายยังเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้มากกว่าหยางเฉียนอีก ทำให้พวกเขามีสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาดูเหมือนจะดีใจมากกว่าแปลกใจ
เพราะการแสดงฝีมือของหลิ่วหมิงในครั้งนี้ทำให้สาขาเก้าทารกขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของนิกายได้
พวกเขาทั้งสามพูดให้กำลังใจกับหลิ่วหมิง และมอบโอสถให้จำนวนหนึ่ง ทั้งยังบอกเป็นนัยว่าพวกเขาจะช่วยเรียกคืนทรัพยากรหนึ่งในสิบที่หามาได้ ทำให้เขาไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้
ในถ้ำตรงปากทางเข้าแดนลึกลับในตอนนั้น ทรัพยากรที่ศิษย์ทั้งหลายนำออกมาจากผ้าย่อส่วนล้วนถูกประมุขนิกายปีศาจเก็บไปหมด สำหรับส่วนแบ่งหนึ่งในสิบและของรางวัลอื่นๆ รอกลับมาปรึกษากันในนิกายก่อนแล้วค่อยมอบให้ทีเดียว
หลิ่วหมิงได้ยินย่อมกล่าวขอบคุณอยู่ไม่หยุด
เคล็ดวิชาเกี่ยวกับการสื่อสารจิตวิญญาณปีศาจนั้น เขาก็ตรวจหาจนเจอหลายเคล็ดวิชา แต่ส่วนมากจำเป็นต้องให้กุยหรูฉวนและอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ถ่ายทอดด้วยตนเองถึงจะสามารถฝึกได้
ด้วยเหตุนี้เขาเลยได้แต่สนใจเคล็ดวิชาที่มีชื่อว่า ‘เคล็ดใจปีศาจ’
เคล็ดวิชานี้นับว่าเป็นเคล็ดวิชาสื่อสารปีศาจ และก็พอจะนับได้ว่าเกี่ยวกับจิตวิชาหนึ่ง เวลาที่แสดงมันออกมาไม่เพียงแต่จะสื่อสารกับปีศาจได้เท่านั้น แต่ยังสามารถปกป้องจิตของตนเองได้ในระดับที่แน่นอน ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการโจมตีจากเคล็ดวิชาเกี่ยวกับจิตได้ในขอบเขตที่แน่นอน
เคล็ดวิชาทั้งสองด้านแบบนี้ คนทั่วไปย่อมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียน ดังนั้นเขาจึงใช้แต้มคุณูปการเพื่อแลกกับเคล็ดวิชามาฝึกฝน
แต่ตอนนี้เขาไม่มีแต้มคุณูปการเลย เรื่องนี้จึงต้องระงับไว้ก่อน
หลายวันมานี้ เขาได้แต่รอให้ทางนิกายส่งรางวัลมาให้ กับปรับแต่งโซ่ปราบปีศาจเส้นนี้เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน
สำหรับศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปแล้ว เป็นเพราะว่าไม่ใช่อาจารย์จิตวิญญาณจึงไม่สามารถรวบรวมจิตอีกส่วนได้ ดังนั้นจึงควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้ครั้งละหนึ่งชิ้นเท่านั้น
แต่สำหรับเขาที่มีหนึ่งจิตสองพลังแล้ว การควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้พร้อมกันครั้งละสองชิ้นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ เวลาเขารับมือกับศัตรูก็สามารถควบคุมกระบี่จันทราหยกกับโซ่ปราบปีศาจไปพร้อมๆ กันได้ คาดว่าผู้ฝึกฝนที่อยู่ต่ำกว่าระดับอาจารย์จิตวิญญาณคงยากที่จะมีคนมารับมือเขาได้
ส่วนเข็มเงาหยกนั้น เป็นเพราะว่าจำนวนชั้นจำกัดในการสร้างค่อนข้างต่ำ ในสถานการณ์ทั่วไปสามารถใช้โจมตีศัตรูในขณะที่เผลอ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูโดยตรงล่ะก็ประสิทธิภาพของมันไม่ค่อยสูงนัก
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น ก็มีเสียงอ่อนนุ่มของหญิงสาวดังมาจากนอกที่พัก
“ศิษย์น้องไป๋อยู่ไหม? อาจารย์กุยเรียกเจ้าขึ้นเขาไปพบ ดูเหมือนกับว่าทางนิกายจะส่งรางวัลมาแล้ว”
พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นหู ก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วก็จำได้ในทันที จากนั้นเขาก็รีบตอบกลับไป
“ด้านนอกนั่นใช่ศิษย์พี่กู้หรือไม่ ศิษย์น้องกำลังจะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อพูดจบเขาก็สะบัดแขน ทันใดนั้นโซ่สีเงินที่พันแขนเขาอยู่ก็โบกสะบัดราวกับอสรพิษจิตวิญญาณแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
จากนั้นเขาถึงค่อยลุกขึ้นไปเปิดประตูแล้วเดินออกไป
นอกลานที่พักมีหญิงสาวใบหน้าสวยงามยืนอยู่ นางก็คือกู้เหมยซานหญิงสาวสาขาเก้าทารกที่ค่อนข้างจะเป็นจุดสนใจ
“ศิษย์น้องไป๋ ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าเลย อิอิ! ครั้งศิษย์น้องสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้สาขาเก้าทารกเลย ต่อไปจะต้องมีอนาคตที่ยาวไกลแน่ ไม่แน่อาจารย์กุยอาจจะยกให้เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสาขาเรา” พอหญิงนางนี้เห็นหลิ่วหมิงเดินออกมา นางก็หัวเราะอิอิแล้วกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่สนิทสนม
ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกงงๆ แต่ก็รีบยิ้มให้ และกล่าวอย่างเกรงใจ
“ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นแล้ว ครั้งนี้ศิษย์น้องแค่บังเอิญโชคดีถึงสร้างผลงานมาได้นิดหน่อย ไหนเลยจะกล้าเทียบกับศิษย์พี่ทั้งหลาย”
“ศิษย์น้องไป๋ คำพูดของเจ้าดูไม่ค่อยจะจริงใจเลยนะ อายุยังน้อยแต่ปฏิบัติตนราวกับเป็นคนแก่อายุเจ็ดสิบแปดสิบอย่างนั้นแหละ มันไม่น่าเบื่อไปหน่อยเหรอ” กู้เหมยซานได้ยินก็กะพริบตาปริบๆ แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมา จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
กู้เหมยซานก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ทำตาขวางใส่หลิ่วหมิง จากนั้นนางก็พุ่งขึ้นฟ้าเหาะนำไปยังยอดเขาก่อน
หลิ่วหมิงรีบทำท่ามือและเหาะตามติดไป
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาปรากฏตัวในหอใหญ่ที่อยู่บนยอดเขา
ที่นั่นนอกจากจะมีกุยหรูฉวน นักพรตแซ่จง และจูชื่อแล้ว ยังมีนักพรตแซ่จางจากสาขาพิษจิตวิญญาณก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย
“ศิษย์คารวะอาจารย์ และอาจารย์ลุง อาจารย์อาทุกท่าน!” หลิ่วหมิงโค้งตัวให้กับนักพรตแซ่จงก่อน จากนั้นก็โค้งตัวให้กับคนอื่นๆ
“ชงเทียน เจ้าลุกขึ้นเถอะ ที่ข้าเรียกเจ้ามาครั้งนี้เป็นว่าของรางวัลของพวกเจ้าถูกแจกจ่ายมาแล้ว และอาจารย์อาจางยังนำมาให้ด้วยตนเอง” สายตาของนักพรตแซ่จงที่จ้องมองหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพิ่งจะรับหลิ่วหมิงเป็นศิษย์ติดตามได้ไม่นาน เขาก็สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับนิกายและสาขาเก้าทารกแล้ว ทำให้นางมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก
ภายใต้สถานการณ์ที่นักพรตแซ่จงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมากนั้น สำหรับหลิ่วหมิงแล้วมันทำให้เขารู้สึกสนิทสนมและอบอุ่นใจโดยไม่รู้ตัว
“ศิษย์นิกายเราที่เข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ นับว่าช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับนิกายเราเป็นอย่างมาก คิดว่าศิษย์พี่ท่านประมุขคงจะไม่ขี้เหนียวกับของรางวัลที่จะมอบให้นะ” กุยหรูฉวนกล่าวกับนักพรตวัยกลางคนด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่กุยพูดล้อเล่นแล้ว หลานไป๋เป็นศิษย์ที่อาจารย์อาเยี่ยนระบุชื่อให้เพิ่มรางวัลให้อย่างงาม ศิษย์พี่ท่านประมุขจะไม่ตบรางวัลให้อย่างหนักได้อย่างไร ท่านวางใจเถอะ! ตามที่ข้ารู้มา ของรางวัลของศิษย์หลานไป๋นั้นมีเยอะแยะมากมาย เกรงว่าคงไม่น้อยไปกว่าของศิษย์หลานหยางอย่างแน่นอน” นักพรตวัยกลางคนตอบด้วยสีหน้าที่ดูเป็นปกติ
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าคงต้องขอบคุณศิษย์พี่ท่านประมุขแทนชงเทียนก่อน” นักพรตแซ่จงได้ยินก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา
“เฮ่อๆ! คำพูดขอบคุณนั้นรอให้ศิษย์หลานไป๋เห็นของรางวัลก่อนแล้วค่อยพูดก็ไม่สาย” นักพรตวัยกลางคนหัวเราะเฮ่อๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา
……………………………………….
ตอนที่ 152 กำแพงเก็บเงากับนี่โห่ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากนั้นนักพรตวันกลางคนก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น พร้อมกับหยิบกล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือออกมาสองใบ และส่งให้หลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณ แล้วรีบรับกล่องหยกมาอย่างใจจดใจจ่อก่อนที่จะเปิดฝาของมันออกในทันที
กล่องหยกใบหนึ่งบรรจุขวดหยกสีดำราวกับหมึก ส่วนกล่องหยกอีกใบกลับบรรจุแผ่นป้ายสีเงินจางๆ บนนั้นมีอักษรคำว่า “จิตวิญญาณ” สลักไว้
“นี่คือ…” หลิ่วหมิงแสดงสีหน้างงงวยอย่างอดไม่ได้
กุยหรูฉวนเห็นเช่นนี้กลับยิ้มน้อยๆ และอธิบายออกมา
“ศิษย์หลานไป๋ ของทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องใช้ในตอนที่ทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ ถ้าหากใช้แต้มคุณูปการแลกล่ะก็ต้องมีถึงหลักหมื่นแต้ม ไม่อย่างนั้นก็อย่าแม้แต่จะคิดที่จะได้มันมาครอบครอง ในขวดหยกสีดำนี้คือไอปีศาจบริสุทธิ์ ถ้าอยากจะควบแน่นไอปีศาจบริสุทธิ์ให้เป็นปราณแข็งแกร่ง แล้วกลั่นปราณแข็งแกร่งที่ปกป้องร่างออกมาเพื่อเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณจะขาดของสิ่งนี้ไปไม่ได้ ส่วนแผ่นป้ายนั้นเป็นสิ่งที่ใช้ในการเข้าบ่อจิตวิญญาณของนิกายเรา ในเมื่อมันเป็นแผ่นป้ายสีเงินก็แสดงว่าเจ้าสามารถเข้าไปในนั้นได้หนึ่งเดือน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณอาจารย์อาจาง!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาเก็บของทั้งสองสิ่งเข้าไปอย่างระมัดระวัง
“ศิษย์น้องจาง สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้เข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายต้องได้รับอยู่แล้ว มันคนละอันกับของรางวัลที่เจ้าว่าใช่ไหม” จูชื่อยิ้มและกล่าวแทรกขึ้นมา
“ศิษย์น้องจูอย่างเพิ่งใจร้อนไป นอกจากของเหล่านี้แล้วย่อมมีของรางวัลอื่นๆ อีก สำหรับศิษย์หลานไป๋ นิกายเรายังมอบแต้มคุณูปการเป็นรางวัลให้เจ้าสามพันแต้มกับให้โอกาสทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาที่หอบูรพาจารย์อีกหนึ่งคืน” นักพรตวัยกลางคนกล่าวแบบไม่รีบร้อน
“อะไรนะ! มีโอกาสทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาหนึ่งคืน” ครั้งนี้กุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองคนต่างก็รู้สึกตกตะลึง และนักพรตแซ่จงก็เผลอหลุดปากพูดออกมา
“ศิษย์พี่กุย พวกท่านก็รู้ว่ากำแพงเก็บเงาที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ในปีนั้นมีพลังไม่มากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้ศิษย์หลานไป๋กับศิษย์หลานหยางสร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงล่ะก็ อาจารย์อาเยี่ยนคงจะไม่ตอบรับคำขอนี้จากศิษย์พี่ท่านประมุขอย่างแน่นอน” นักพรตแซ่จางเองก็กล่าวด้วยความอิจฉา
หลิ่วหมิงกลับจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้ว่ากำแพงเก็บเงานั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร
แต่ในเมื่อนักพรตแซ่จงไม่พูดถึงแต้มคุณูปการสามพันแต้ม ประจักษ์ชัดว่าสิ่งของอย่างหลังคงมีมูลค่าสูงกว่ามาก
“ดูท่าครั้งนี้ท่านประมุขคงจะตบรางวัลให้พวกเขาอย่างงามจริงๆ กำแพงเก็บเงานั้นอาจารย์อาเยี่ยนเป็นผู้ดูแลด้วยตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ตามกฎแล้วมีเพียงแค่ศิษย์ที่ก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณเท่านั้น ที่ท่านยอมแหกกฎให้ไปทำความเข้าใจได้หนึ่งคืน เรื่องราวเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงาอีกเดี๋ยวศิษย์น้องจะชี้แนะศิษย์หลานไป๋ด้วยตนเองใช่ไหม อย่าให้โอกาสอันดีนี้สูญเปล่าล่ะ” หลังจากที่สีหน้าตกตะลึงของกุยหรูฉวนหายไปแล้วก็ได้กล่าวกับนักพรตแซ่จงด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงาให้เขาฟังอย่างละเอียดเอง ชงเทียน เย็นนี้เจ้าไปยังที่พักข้าสักครา ข้ายังมีเรื่องอื่นๆ จะคุยกับเจ้า ตอนนี้หยิบป้ายประจำตัวออกมาให้อาจารย์อาจางใส่แต้มคุณูปการสามพันแต้มให้เจ้าก่อนเถอะ” นักพรตแซ่จงพยักหน้าด้วยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็หันไปสั่งหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าและขานตอบรับ จากนั้นก็ดึงป้ายประจำตัวที่อยู่ตรงคอออกมายื่นให้นักพรตแซ่จาง
นักพรตแซ่จางหยิบกระบองสั้นสีทองมาแตะลงบนแผ่นป้ายสองสามครั้ง และส่งคืนให้หลิ่วหมิงพร้อมกับกล่าวว่า
“สองก่อนหน้าทั้งหมดนี้เป็นรางวัลจากนิกายเรา และของรางวัลจากแต่ละนิกายที่เข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายก็คือหนึ่งในสิบของทรัพยากรที่เจ้านำมาจากแดนลึกลับ ตอนนี้ทางนิกายมีตัวเลือกให้เจ้าสองตัวเลือก อย่างแรกคือไม่ว่าวัตถุจิตวิญญาณใดๆ ก็ตามที่เจ้าได้มาจากแดนลึกลับจะตกเป็นของเจ้าหนึ่งในสิบ แต่ถ้ามีของที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ก็ให้คิดเป็นหินจิตวิญญาณแทน อย่างที่สองคือเปลี่ยนทรัพยากรเหล่านี้เป็นหินจิตวิญญาณให้หมดแล้วมอบให้เจ้า โดยที่ราคามันจะสูงกว่าท้องตลาดในตอนนี้ถึงหนึ่งในสิบส่วน ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกอย่างหลังจะดีกว่า เพราะว่าวัตถุจิตวิญญาณเหล่านั้นต่างก็เป็นสิ่งที่นิกายต้องกายเป็นอย่างยิ่ง และก็มีเพียงแค่นิกายเท่านั้นที่สามารถทำให้มันสำแดงผลลัพธ์ที่แท้จริงออกมาได้ อีกอย่างถ้าวัตถุจิตวิญญาณเหล่านี้ตกอยู่ในมือของเจ้าล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้”
“ฮึ! หรือว่าในนิกายยังมีคนคิดไม่ดีต่อศิษย์ของข้ารึ?” พอนักพรตแซ่จงได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“เฮ่อๆ! มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าคนนอกนิกายล่ะก็พูดยาก อีกอย่างศิษย์หลานหยางและคนอื่นๆ ต่างก็เลือกเอาหินจิตวิญญาณ ถ้าหากว่ามีศิษย์หลานไป๋คนเดียวที่เลือกเอาพืชจิตวิญญาณล่ะก็ เกรงว่ามันจะดูไม่ค่อยดีนัก” นักพรตวัยกลางคนฝืนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ช่างเถอะ! ในเมื่อศิษย์น้องจางพูดขนาดนี้แล้ว ก็ให้ศิษย์หลานไป๋เลือกหินจิตวิญญาณเถอะ!” กุยหรูฉวนขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่พูดขนาดนี้ ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ชงเทียน เจ้าว่าอย่างไร?” นักพรตแซ่จงถอนหายใจแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิง
“ศิษย์ขอทำตามคำสั่งอาจารย์!” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“เฮ่อๆ! ดีมาก นี่คือหินจิตวิญญาณสี่หมื่นสองพันก้อน ศิษย์หลานไป๋ เจ้ารับมันไปเถอะ!” นักพรตวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา จากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมาจากอกแล้วโยนให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยื่นมือไปรับถุง และเปิดดูข้างในเล็กน้อย ในนั้นมีหินจิตวิญญาณระดับกลางอยู่ยี่สิบก้อนกับหินจิตวิญญาณสีขาวราวกับหยก พื้นผิวของมันเกลี้ยงเกลาเป็นอย่างมาก และแผ่กลิ่นไอพลังอันน่าตกใจมากกว่าหินจิตวิญญาณระดับกลางมาก
“นี่คือหินจิตวิญญาณระดับสูง!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นหินจิตวิญญาณระดับนี้ เขาจ้องมองมันด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นถึงปิดถุงผ้าแล้วเก็บเข้าไป
“ดี! เสร็จเรื่องแล้วข้าขอลาก่อน” นักพรตวัยกลางคนกล่าวลาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
กุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็ลุกไปส่ง
เมื่อพวกเขากลับเข้ามาหลิ่วหมิงก็กล่าวลาเช่นกัน
เมื่อร่างหลิ่วหมิงหายลับไปจากประตูใหญ่ จูชื่อก็ละสายตาพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ถ้าหากว่าสามารถใช้หินจิตวิญญาณแลกกับพืชจิตวิญญาณของศิษย์หลานไป๋ได้ล่ะก็ ข้าคงใช้หินจิตวิญญาณของตนเองแลกไปแล้ว ใยต้องส่งคืนให้ทางนิกายด้วยเล่า ข้าเคยเห็นพืชจิตวิญญาณที่ศิษย์หลานไป๋นำออกมาจากแดนลึกลับ ในนั้นมีพืชจิตวิญญาณจำนวนมากที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเรา ถึงแม้จะมีแค่หนึ่งในสิบส่วน แต่ก็ไม่แน่ว่ามันอาจช่วยพวกเราให้ทะลวงปัญหาคอขวดที่ต้องเผชิญได้”
“ช่างเถอะ! พืชจิตวิญญาณที่ศิษย์หลายไป๋นำออกมานี้เป็นของล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง อาจารย์อาเยี่ยนกับศิษย์พี่ท่านประมุขคงไม่ยอมให้ของเหล่านี้ตกอยู่ในสาขาหรอก ในทางตรงกันข้ามถ้าหากนิกายเราใช้ทรัพยากรชุดนี้จริงๆ ก็ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีโอกาสได้รับผลประโยชน์จากมัน” กุยหรูฉวนได้ยินกลับส่ายหน้ากล่าวออกมา
“หวังว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้น แต่ผลงานของศิษย์หลานไป๋ในนั้นครั้งนี้ทำให้สาขาของเราเข้าไปอยู่ห้าอันดับแรกของสาขาต่างๆ แล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปอีกหลายปีทรัพยากรที่สาขาเราได้รับก็จะมากกว่าแต่ก่อนอย่างน้อยเท่าตัว พวกเราก็เองก็โล่งใจไปเปราะหนึ่งด้วย น่าเสียดายที่ศิษย์หลานสือไม่ได้ออกมาจากแดนลึกลับ มิเช่นนั้นอันดับของสาขาเราคงสูงขึ้นอีกขั้น” จูชื่อพลันพูดถึงสือชวนขึ้นมา
“ในเมื่อเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายย่อมมีคนตายเป็นธรรมดา คิดเสียว่าสือชวนมีวาสนาไม่มากพอ แต่ครั้งนี้หัวบินก็ได้หายไปด้วย มันเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับศิษย์น้องจงมาก เดิมทีข้ากะรอให้พลังของหัวบินตนนี้ฟื้นฟูแล้วค่อยมอบให้ศิษย์น้องควบคุมมัน” กุยหรูฉวนได้ยินสีหน้าก็หม่นหมองขึ้นมา แต่ก็กล่าวกับนักพรตแซ่จงด้วยความรู้สึกเสียใจ
“ไม่เป็นไรหรอก! ในปีนั้นหัวบินตนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังถูกปิดผนึกมานานหลายปี พลังมันคงอยู่ต่ำกว่าระดับของเหลวจิตวิญญาณแล้ว ถ้ารอมันฟื้นฟูมาได้ล่ะก็ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่กล้ามอบมันให้ศิษย์หลานสือใช้หรอก” นักพรตแซ่จงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ต่อให้พลังของหัวบินตนนี้จะลดลงไปอย่างมาก แต่มันก็ยังเป็นหัวปีศาจระดับสี่ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีพลังแฝงในการเปลี่ยนเป็นเก้าทารกได้ด้วย มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าพูดหรอก เอาอย่างนี้เถอะ! กลับไปข้ากับศิษย์น้องจูจะลองคลายผนึกนี่โห่วตนนั้น ถึงแม้ว่าพลังของมันจะสู้หัวบินไม่ได้ แต่มันก็เป็นหัวปีศาจระดับสี่เหมือนกัน แต่การคลายผนึกคงต้องใช้เวลานิดหน่อย และตอนที่ปราบมันศิษย์น้องก็ต้องเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก” กุยหรูฉวนลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวกับนักพรตแซ่จง
“อะไรนะ! ศิษย์พี่ไม่เสียดายที่จะมอบหัวปีศาจตนนี้ให้ข้า!” นักพรตแซ่จงได้ยินก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
“นี่ไม่ใช่เรื่องเสียดายหรือไม่เสียดาย มันไม่ง่ายที่ตอนนี้สาขาเราสามารถหลุดพ้นจากจุดต่ำสุดได้ ผู้อาวุโสอย่างพวกเราทั้งสามก็จำเป็นต้องเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งโดยเร็ว แบบนี้ถึงจะสามารถรักษาอันดับไว้ได้ และในสาขาเราผู้ที่สามารถควบคุมหัวปีศาจระดับสี่ได้ก็มีแค่ข้ากับศิษย์น้องเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่ข้าไม่ยอมมอบนี่โห่วนี้ให้เจ้า ก็เพราะกลัวว่าระดับการฝึกฝนของเจ้ายังไม่เพียงพอซึ่งเจ้าอาจถูกทำร้ายได้” กุยหรูฉวนยิ้มขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ! ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่กล้าพูดว่าสามารถสยบนี่โห่วได้อย่างแน่นอน แต่ก็พอจะเชื่อมั่นได้เจ็ดในสิบส่วนขึ้นไป” นักพรตแซ่จงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องมั่นใจเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เอาล่ะ! เรื่องเกี่ยวกับศิษย์หลานไป๋ให้ศิษย์น้องไปจัดการก็แล้วกัน ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้คาดหวังให้เขามีศักยภาพก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ แต่อย่างไรเขาก็สร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กับนิกายเรา ฉะนั้นศิษย์น้องต้องให้กำลังใจเขาหน่อย” จูชื่อกล่าว
“เรื่องนี้ศิษย์พี่ไม่พูด ข้าก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร” นักพรตแซ่จงกล่าวโดยไม่ต้องคิด
……
ตอนเย็น หลิ่วหมิงออกไปจากที่พักเพื่อไปยังยอดเขาอีกครั้ง และมุ่งไปยังหอที่งดงามละเอียดอ่อนแห่งหนึ่ง
ยังไม่ทันที่เขาจะไปเคาะประตู ก็มีเสียงราบเรียบของนักพรตแซ่จงดังมาจากข้างใน
“ชงเทียนมาถึงแล้วใช่ไหม เข้ามาเถอะ ข้าได้คลายผนึกจำกัดตรงประตูแล้ว”
“ทราบ! อาจารย์!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นยะเยือก และกล่าวออกไปอย่างนอบน้อม
จากนั้นเขาก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
นักพรตแซ่จงกำลังถือคัมภีร์หนังโบราณสีขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางห้องโถงชั้นแรก ดูเหมือนกับว่านางนั่งรออยู่นานแล้ว
……………………………………….
ตอนที่ 153 ไอปีศาจบริสุทธิ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วโค้งคารวะ จากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างเรียบร้อย
“ดีมาก! นับว่าเจ้ามาได้ค่อนข้างเร็ว ที่ข้าเรียกเจ้ามาครั้งนี้นอกจากจะพูดเรื่องเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงาแล้ว ยังอยากคุยเรื่องการเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณกับเจ้าด้วย พวกเราหลายคนต่างก็มองออกว่าเจ้าคงได้รับของดีอย่างอื่นจากแดนลึกลับ ระดับการฝึกฝนถึงได้เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านั้นมาก ด้วยพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมายังไม่มั่นคงจึงยังไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ”
“อาจารย์ปราดเปรื่องยิ่งนัก ศิษย์เคยทานผลไม้จิตวิญญาณจำนวนหนึ่งในตอนที่อยู่แดนลึกลับจนพลังเวทย์เพิ่มถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ผลไม้จิตวิญญาณเหล่านี้พอเด็ดลงมาแล้วผลลัพธ์ของมันจะค่อยๆ ลดลง ศิษย์จึงไม่อาจนำออกมานอกแดนลึกลับได้” หลิ่วหมิงรีบตอบกลับไป
“เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องอธิบายหรอก! เจ้าได้รับผลประโยชน์อันดีใดในแดนลึกลับล้วนเป็นวาสนาของเจ้า ผู้อาวุโสอย่างพวกเราไม่ไปขุดคุ้ยเรื่องเหล่านี้หรอก นี่เป็นสิ่งที่แต่ละนิกายต่างก็ยอมรับโดยปริยาย อย่างไรซะการที่พวกเจ้าเข้าทดสอบความเป็นความตายเดิมทีก็เป็นเรื่องที่มีอันตรายต่อชีวิตเป็นอย่างสูงอยู่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ ทางที่ดีควรจะรออีกสักหน่อย เพื่อให้พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่มั่นคงเสียก่อน จากนั้นค่อยทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ” นักพรตแซ่จงโบกมือกล่าวออกมา
“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ ศิษย์รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร” หลิ่วหมิงตอบกลับไปอย่างนอบน้อม และรู้สึกผ่อนคลายไปมาก
“เอาล่ะ! เรื่องเกี่ยวกับการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ อีกสักครู่ข้าค่อยคุยกับเจ้าอย่างละเอียด ตอนนี้จะพูดเรื่องกำแพงเก็บเงากับเจ้าก่อน ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเห็นของสิ่งนี้หรือไม่?” นักพรตแซ่จงถามโดยไม่เร่งรีบ
“เรียนอาจารย์ ศิษย์ได้ยินเป็นครั้งแรกว่านิกายของเรามีของสิ่งนี้ด้วย” หลิ่วหมิงกะพริบตาแล้วตอบกลับไป
“อืม! มันเป็นเรื่องปกติ คนในนิกายที่รู้เรื่องการมีอยู่ของกำแพงเก็บเงานั้น นอกจากผู้อาวุโสอย่างพวกข้าแล้ว ศิษย์ทั่วไปคงมีไม่ถึงสิบคน และแต่ละคนก็ถูกสั่งให้เก็บเป็นความลับ เมื่ออาจารย์เล่าเรื่องกำแพงเก็บเงาให้เจ้าฟังโดยละเอียดแล้ว เจ้าอย่าไปเล่าให้ใครฟังล่ะ มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษตามกฎของนิกาย” นักพรตแซ่จงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ทราบ! ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นยะเยือก
“ดี! ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะเล่าความเป็นมาของกำแพงเก็บเงาให้เจ้าฟัง ของสิ่งนี้เดิมทีเป็นหินมหัศจรรย์จากทะเลลึกที่ไม่ทราบชื่อ ต่อมาถูกเผ่าเจ้าสมุทรช้อนขึ้นมาจากก้นทะเล แล้วถึงมาตกอยู่ในมือของปรมาจารย์ลิ่วยิน ว่ากันว่าปรมาจารย์ลิ่วยินต้องเก็บตัวหลายปี ในที่สุดก็สามารถหาประโยชน์ใช้สอยของมันได้ และยังไปหาผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนั้นทำการประทับชั้นจำกัดลี้ลับมหัศจรรย์ไว้บนหินก้อนนี้ด้วย จากนั้นก็นำมันมาเก็บไว้ในห้องลับที่ใช้ในการฝึกฝน และไม่นำมันออกสู่สายตาผู้คนอีก จนเมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ปรมาจารย์ลิ่วยินก็ถึงใกล้ถึงเวลาสิ้นอายุขัย ท่านจึงเรียกศิษย์ทั้งหลายมารวมตัวต่อหน้า แล้วบอกเล่าประวัติของตนเองกับวิธีการใช้ประโยชน์จากกำแพงเก็บเงาก้อนนั้น “ นักพรตแซ่จงกล่าวถึงจุดนี้แล้วก็หยุดเล็กน้อย
“ประวัติของปรมาจารย์กับประโยชน์ของกำแพงเก็บเงาก้อนนี้?” หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์ออกมา
“ไม่ผิด! ตามที่อาจารย์ปู่บอก แท้จริงแล้วท่านเป็นศิษย์มาจากนิกายใหญ่ในแผ่นดินอื่น แต่เป็นเพราะเหตุผลพิเศษบางอย่างทำให้ท่านต้องระเหเร่ร่อนมายังแผ่นดินอวิ๋นชวน และก็ไม่สามารถกลับนิกายของตนเองได้ ทำได้เพียงแต่ก่อตั้งนิกาย และวิชาที่ถ่ายทอดในแต่ก่อนก็เป็นวิชานอกรีตเท่านั้น แต่เมื่อวาระสุดท้ายของท่านมาถึง ท่านก็ไม่อยากที่จะให้วิชาที่ท่านเรียนมาทั้งหมดถูกฝังไปกับท่าน จึงได้มีกำแพงเก็บเงาก้อนนี้ขึ้นมา ท่านอาศัยกำแพงเก็บเงากับชั้นจำกัดพิเศษที่อยู่บนนั้น นำเคล็ดวิชาต่างๆ ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดมาเก็บไว้บนนั้น ภายหน้าถ้าศิษย์คนใดมีวาสนาก็จะสามารถทำความเข้าใจกับกำแพงเก็บเงา และได้รับถ่ายทอดบางส่วนไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่นับว่าอาจารย์ทำลายคำปฏิญาณของตนเอง ตอนนี้เจ้าเข้าใจมูลค่าของกำแพงเก็บเงาก้อนนี้แล้วใช่ไหม!” นักพรตแซ่จงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่แท้ปรมาจารย์ท่านเป็นคนจากแผ่นดินอื่น! แต่ก่อนหน้านั้นอาจารย์ก็คงจะเคยทำความเข้าใจกับกำแพงเก็บเงาแล้วใช่ไหม ไม่ทราบว่าได้สิ่งใดมาบ้าง” หลิ่วหมิงตกตะลึงอยู่พักหนึ่งแล้วถึงถามออกไป
“ตามกฎของนิกาย กำแพงเก็บเงานี้มีแต่ผู้ฝึกในระดับสูงในนิกายเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ และตามกฎที่อาจารย์ปู่ตั้งไว้ในปีนั้น นอกจากศิษย์ที่กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณหรือสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้นิกายแล้ว นอกนั้นก็ไม่สิทธิ์ทำความเข้าใจกับกำแพงเก็บเงานี้ เพราะว่ากำแพงเก็บเงานี้ก็เป็นสิ่งของสิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่กระตุ้นมันพลังบางอย่างในนั้นก็จะหายไป เมื่อพลังทั้งหมดหายไปจนหมดสิ้นก็จะเป็นวันที่ของสิ่งนี้พังสลายไปด้วย และผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พลังในกำแพงคงมีไม่ค่อยมากแล้ว ส่วนมันจะพังทลายลงมาเมื่อใดนั้น เรื่องนี้คงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ ไม่แน่ว่าหลังจากที่เจ้ากับหยางเฉียนไปดูมันแล้วมันก็จะอาจจะพังทลายไปเลยก็ได้ ในปีนั้นที่อาจารย์ก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณก็เคยไปดูกำแพงเก็บเงานี้หนึ่งคืน แต่นอกจากจะเห็นเงาพร่ามัวเคลื่อนไหวอยู่บนนั้น และรู้สึกจิตปลอดโปร่งในเช้าวันที่สองแล้ว ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย และหลังจากที่อาจารย์ลุงจูของเจ้าไปดูในปีนั้นก็ได้ผลลัพธ์ออกมาพอๆ กัน แต่เมื่ออาจารย์ลุงกุยของเจ้าดูเสร็จก็เข้าใจอะไรบางอย่าง และสามารถคลี่คลายปัญหาใหญ่ในการฝึกฝนของตนเองได้ ส่วนคนอื่นๆ ในนิกายส่วนใหญ่ก็ได้ผลเหมือนกับอาจารย์ ซึ่งเห็นเพียงแค่เงาแปลกๆ บนกำแพง และบางส่วนกลับได้เคล็ดสั้นๆ มา และใช้แก้ปัญหาบางอย่างในการฝึกฝนได้ ตั้งแต่วันที่กำแพงเก็บเงาถ่ายทอดวิชามาจนถึงตอนนี้ มีคนเข้าใจวิชาทั้งชุดจริงๆ แค่สามสี่คนเท่านั้น และเคล็ดวิชาที่พวกเขาได้รับต่างก็ถูกจัดอยู่ในเคล็ดวิชาระดับสูงของนิกาย มีคนเพียงไม่กี่คนในแต่ละรุ่นที่สามารถแบ่งแยกกันฝึกหนึ่งในวิชาเหล่านั้นได้ แม้แต่สามสุดยอดเคล็ดวิชาของนิกายก็ไม่อาจเทียบได้ ดังนั้นพอถึงเวลาเจ้าจะได้อะไรจากกำแพงเก็บเงาบ้างล้วนต้องพึ่งวาสนาของเจ้าแล้ว” นักพรตแซ่จงกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างรอบคอบ
หลิ่วหมิงฟังจนรู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่พอคิดไปคิดมาแล้วก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ในเมื่อผู้อาวุโสจำนวนมากต่างก็เคยดูกำแพงเก็บเงาแล้ว และยังมีคนได้อะไรบางอย่างออกมาด้วย คงจะต้องมีกฏเกณฑ์ในการค้นหาสินะ”
“นี่คือสิ่งที่ข้าจะบอกเจ้า ผ่านการดูจากคนจำนวนมากเช่นนี้เรื่องกฎเกณฑ์ไม่ต้องพูดถึง แต่จะมีวิธีการที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปของผู้ที่สามารถเข้าไปดูกำแพงเก็บเงาได้ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเข้าใจได้มากขึ้น วิธีการเหล่านี้เจ้าจะต้องจำไว้ให้ดี ข้อหนึ่ง ก่อนดูกำแพงเก็บเงาให้รักษาร่างกายและจิตใจให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ถ้าหากตั้งใจสักหน่อยล่ะก็ให้อาบน้ำและอดอาหารล่วงหน้าสามวัน ข้อสอง…” นักพรตแซ่จงบอกเล่าวิธีการดูกำแพงเก็บเงาให้ได้ผลสูงสุดตามคำร่ำลือให้กับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่เฉียบขาด
“…สุดท้าย ถ้าหากเจ้าได้เคล็ดวิชาอะไรมาจากกำแพงเก็บเงาจริงๆ และในระหว่างที่ตนเองยังฝึกฝนไม่สำเร็จนั้นก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้คนในนิกายรู้” คำพูดสุดท้ายของนักพรตแซ่จงทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก
“เพราะเหตุใดกัน?” เขาถามด้วยความแปลกใจ
“เพราะว่าแต่ก่อนก็เคยมีคนที่ดูกำแพงเก็บเงาแล้วถูกธาตุไฟเข้าแทรกอยู่บ่อยๆ สิ่งที่ได้มาเหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถฝึกฝนได้ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะได้อะไรมาจากกำแพงเก็บเงา ก็จะไม่มีคนเค้นเอาความจริงจากเจ้าในทันที จนเมื่อเจ้ายืนยันได้ว่ามันคุ้มค่าจริงๆ และยอมมอบมันให้กับนิกายเอง แน่นอนว่ามันสามารถใช้เป็นของแลกเปลี่ยนได้ นั่นก็คือเจ้าสามารถฝึกวิชาอื่นๆ ที่มาจากกำแพงเก็บเงาได้” นักพรตแซ่จงอธิบาย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินแล้วถึงเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เอาล่ะ เรื่องกำแพงเก็บเงาพูดไว้เพียงเท่านี้ ตอนนี้อาจารย์ควรจะพูดเรื่องทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณกับเจ้าแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับการทำปราณแท้ให้เป็นของเหลวกับการควบแน่นไอปีศาจบริสุทธิ์ให้กลายเป็นปราณแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด?” นักพรตแซ่จงพยักหน้าก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“การทำปราณแท้ให้เป็นของเหลวนั้น ศิษย์เคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณมาบ้าง ดูเหมือนว่าจะเป็นการทำปราณแท้ในทะเลจิตวิญญาณจากไอเป็นของเหลว เป็นเหตุให้ขีดจำกัดของพลังเวทย์เพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ส่วนการควบแน่นไอปีศาจบริสุทธิ์ให้กลายเป็นปราณแข็งแกร่งนั้น เป็นหนึ่งในวิธีของการทำให้ปราณแท้กลายเป็นของเหลว เพียงนำไอปีศาจบริสุทธิ์ละลายเข้าไปในปราณแท้ของตนเอง จากนั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนปราณแท้จากไอให้กลายเป็นของเหลวได้ ด้วยเหตุนี้มันก็จะให้กำเนิดปราณแข็งแกร่งออกมา และปราณแข็งแกร่งก็เป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวที่เห็นได้ชัดที่สุด” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วก็เล่าเรื่องที่ตัวเองรู้คร่าวๆ ออกมา
“อืม! ถึงแม้เจ้าจะพูดออกมาไม่มากแต่มันก็ลึกซึ้งยิ่งนัก พอที่จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านั้นเจ้าก็ใช้เวลากับมันไปไม่น้อย แต่เจ้ารู้ไหมว่าอะไรคือไอปีศาจบริสุทธิ์ และมันแบ่งออกเป็นกี่ชนิด?” นักพรตแซ่จงได้ยินก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้…ศิษย์ยังไม่รู้ชัดแจ้ง” หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกตามตรง
“ไอปีศาจบริสุทธิ์ แท้จริงแล้วควรจะเรียกว่าไออัปมงคล เดิมทีมันเกิดจากไอชั่วร้ายบางอย่างที่อยู่ใต้พิภพ มันมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงแตกต่างกันหลายแบบ ทั้งยังสามารถแบ่งชนิดได้ร้อยแปดพันเก้า และที่ละลายเข้าไปในปราณแท้กดอัดพลังเวทย์นั้นเป็นแค่ผลลัพธ์ที่ใช้โดยทั่วไปของไอปีศาจบริสุทธิ์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้มันจึงแตกต่างจากการละลายไอปีศาจบริสุทธิ์ของเจ้า สุดท้ายปราณแข็งแกร่งที่เจ้าควบแน่นออกมาก็จะแตกต่างกันอย่างมาก และยังมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ปราณแข็งแกร่งบางอย่างเมื่อควบแน่นออกมาแล้วจะมีพลังการป้องกันมากกว่าปราณแข็งแกร่งทั่วไปมาก ปราณแข็งแกร่งบางอย่างมีประสิทธิภาพในการสึกกร่อนปราณแข็งแกร่งอื่นๆ โดยกำเนิด ปราณแข็งแกร่งบางอย่างยังมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของวิชาบางวิชา แม้กระทั่งปราณแข็งแกร่งพลิกฟ้าที่ข้ารู้มา มันสามารถชะลอการทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์ได้ และยังมีผลลัพธ์ที่ช่วยในเรื่องของการฝึกฝนอย่างคาดไม่ถึง” นักพรตแซ่จงกล่าวด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
เป็นธรรมดาที่หลิ่วหมิงจะฟังจนตกตะลึงตาค้าง
“ถึงแม้ไอปีศาจบริสุทธิ์จะมีหลายชนิด แต่ที่หาได้ในโลกใบนี้นั้นกลับมีน้อยมาก และพอใช้มันหมดแล้วอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นพันปีถึงกำเนิดใหม่ได้ และไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ควบแน่นแล้วมีผลลัพธ์แข็งแกร่งนั้นยิ่งมีน้อยขึ้นไปอีก สถานที่ที่สามารถกำเนิดไอปีศาจบริสุทธิ์ได้นั้น โดยทั่วไปจะเรียกว่าหลุมปีศาจ และตอนที่นิกายเราเลือกเขาเพื่อก่อตั้งนิกายนั้น แท้จริงแล้วมักจะเลือกก่อตั้งอยู่บนหลุมปีศาจบางอย่าง เช่นนี้ถึงจะสามารถรับรองได้ว่านิกายจะเจริญรุ่งเรืองได้ยาวนาน” นักพรตแซ่จงอธิบาย
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น