คัมภีร์วิถีเซียน 1498-1499
ตอนที่ 1498 เกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี
ทว่าหานลี่ไม่หวังว่าปัจจัยที่คาดไม่ถึงจะกระทบต่อแผนการของตนเอง ทันใดนั้นจิตสังหารพลันผุดขึ้นมา จิตสัมผัสกวักเรียกแหวนอสูรวิญญาณ
หลังจากเสียงวิญญาณครวญดังขึ้น ลำแสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งออกไปจากท้องฟ้า กระโจนไปด้านข้างประตูวิหาร ส่วนหานลี่พลันร่างกายพลิ้วไหว ร่างล่องหนปรากฎขึ้น แล้วกระโจนไปที่อีกด้านหนึ่ง
“เอ๋”
“ผู้ใด?”
เสียงร้องอุทานสองเสียงดังออกมาจากด้านของประตูวิหาร
พายุทมิฬก่อตัวขึ้นไปกลาง โครงกระดูกยักษ์สองหัวตนหนึ่งปรากฎขึ้น
อีกด้านหนึ่งมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งแผ่ออกมา ผีดิบดวงตาสีแดงโลหิตขนสีขาวตัวหนึ่งปรากฎกายออกมา แผ่นหลังของผีดิบมีปีกสีเขียวคู่หนึ่ง กลิ่นคาวโชยออกมา
ลำแสงสีดำสว่างวาบ วานรยักษ์ตัวหนึ่งปรากฎกายขึ้น จมูกใหญ่ๆ แค่นเสียงหึออกมาโดยไม่ได้กล่าวอะไร พ่นลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งออกมา ม้วนไปทางโครงกระดูกยักษ์สองหัว
ปากของโครงกระดูกเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดๆ ออกมา แขนสองข้างแค่เลือนราง เงากรงเล็บจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้น เสียง “กึกๆ” ดังขึ้น
เห็นได้ชัดว่าภูตระดับสูงตนนี้เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของร่างกายตัวเองมาก คาดไม่ถึงว่าจะอยากใช้กำปั้นเปล่าๆ ฉีกลำแสงดูดวิญญาณ แต่ก็ไม่เหมือนกับภูตหญิงชุดขาวในตอนแรกที่ถอยร่นออกไปไกลด้วยความตกตะลึง
ผลคือเมื่อทั้งสองสัมผัสกัน เงากรงเล็บโครงกระดูกที่หนาแน่นสลายหายไปในทันที ม่านลำแสงกวาดไป กลับห่อหุ้มกรงเล็บโครงกระดูกคู่หนึ่งเอาไว้
ลำแสงสว่างวาบ โครงกระดูกสองหัวร้องคร่ำครวญออกมา แต่เดิมกรงเล็บโครงกระดูกที่ควรจะแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าคู่หนึ่ง กลับกลายเป็นไอสีดำในชั่วพริบตา
ภายใต้ความตกตะลึงของโครงกระดูก ร่างกายที่กำลังลนลานขยับกายพุ่งถอยหลังไป แต่กลับสายไปเสียแล้ว
ลำแสงสีเหลืองสว่างวาบ ม้วนเอาโครงกระดูกทั้งร่างเข้าไปข้างใน
ร่างโครงกระดูกขาวและกรงเล็บคู่นั้นหมุนติ้วๆ ม่านลำแสงกลายเป็นไอสีดำหนาๆ เช่นกัน ถูกอสูรวิญญาณครวญดูดเข้าไปในปาก
อสูรตัวนี้ร้องคำรามออกมาอย่างมีความสุข หันหน้าไปมองหานลี่
ก็มองเห็นหานลี่ลอยอยู่เหนือศีรษะของผีดิบขนสีขาวอย่างพอดิบพอดี มือหนึ่งชี้นิ้วไปยังภูเขาเทวะดูดปราณสูงสิบจั้งเศษ กดภูตเอาไว้ใต้ร่าง
ส่วนเงาลวงตาของเกราะสงครามสีทองของทั้งสองกำลังดึงทวนสีทองและดาบยาวสองเล่มออกมาจากแผ่นหลังของผีดิบ ผิวของทวนมีประจุไฟฟ้าสีทองกระพริบระยิบระยับ ทะลุผ่านหัวใจของผีดิบ ทำให้บริเวณรอบของปากแผลไหม้เกรียม ส่วนดาบยาวสองเล่มนั้นเมื่อชักออกจากแผ่นหลังของผีดิบ ลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ปีกสีเขียวที่มีกลิ่นเหม็นคาวคู่นั้นกลายเป็นผลึกน้ำแข็งแวววาว ท่าทางถูกแช่แข็ง
หานลี่ไม่ได้ปล่อยให้เงาหุ่นเชิดสองตนได้ลงมืออีก ก็สังหารภูตตนนี้ แล้วกวักมือเรียกอสูรวิญญาณครวญที่อยู่ไกลออกไป
อสูรวิญญาณครวญพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เข้าใจเจตนาของหานลี่ ฉับพลันนั้นร่างกายก็เคลื่อนไหวกระโดดขึ้นลงสองสามครั้งมาหาหานลี่
ในจมูกปล่อยม่านลำแสงออกมาอีกครั้ง ทำให้ผีดิบตัวนี้กลายเป็นไอทมิฬทั้งยังเป็นๆ แล้วดูดเข้าไปในปาก
อสูรตัวนี้กัดปาก ใช้สองแขนออกแรงทุบอกด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ภูตสามตนนี้ล้วนเป็นวิญญาณโหดเ**้ยมที่ฝึกตบะมาหลายปีในแม่น้ำอเวจี แน่นอนว่าย่อมเป็นการชดเชยที่ยิ่งใหญ่สำหรับวิญญาณครวญ
หานลี่ยิ้มน้อยๆ ความคิดเคลื่อนไหว ฉับพลันนั้นพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หลังจากพิจารณาอสูรวิญญาณครวญขึ้นลงสองสามครั้ง ทันใดนั้นก็ออกคำสั่งกับอสูรวิญญาณครวญสองสามคำ
หลังจากที่อสูรวิญญาณครวญฟังพร้อมกับเบิกตากว้าง ก็พยักหน้ารัวๆ หลังจากนั้นก็ตีลังกากลับหลังครึ่งหนึ่ง ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นอสูรประหลาดสี่ขาที่มีสายฟ้าไหลเวียนผ่าน มีเขางอกอยู่บนหัวเขาหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าคืออสูรอเวจีอัสนีที่ก่อนหน้านี้เกือบจะกลืนหานลี่ลงไปตัวนั้น แต่แค่ร่างกายเล็กลงเท่าหนึ่ง!
หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา กวักมือเรียกอสูรวิญญาณครวญที่กลายเป็นอสูรอเวจีอัสนี อสูรตัวนี้หดเล็กลงจนมีขนาดสองสามชุ่นทันที พลางพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อ
หยิบยันต์ชำระพิสุทธิ์ออกมาตบลงไปบนร่าง หลังจากนั้นร่างกายของหานลี่พลันล่องหนไปอีกครั้ง พลางบินเข้าไปในประตูวิหาร
วิหารสร้างขึ้นจากวิหารหลักและวิหารข้าง หานลี่จึงตรงเข้าไปยังวิหารใหญ่
ในวิหารช่างสะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ นอกจากเสาหินหนาๆ สิบกว่าต้นแล้ว ก็มีแต่ความว่างเปล่า
หานลี่ไม่ได้สนใจสิ่งนี้เลยสักนิด สายตาล้วนถูกหลุมขนาดใหญ่แผ่ลำแสงสีขาวออกมาตรงกลางวิหารดึงดูดเอาไว้
เข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง และหยุดอยู่ตรงขอบ ยืดตัวออกไปมองด้านล่างแวบหนึ่ง แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี
คิดไม่ถึงว่าหลุมหลุมนี้จะลาดเอียงลงไปด้านล่าง ผนังทั้งสี่เป็นทรงกลมและยิ่งไปกว่านั้นยังเรียบลื่นเป็นพิเศษ ไม่มีขั้นบันไดอะไรสักอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นมองไปปราดเดียว ก็เห็นลำแสงสีขาวอ่อนๆ ด้านล่าง แต่กลับมองไม่เห็นก้นหลุม
หานลี่ขบคิด ร่างกายพลันเคลื่อนไหว โถมตัวเข้าไปในหลุม ร่างกายค่อยๆ ร่อนลงไปด้านล่าง
หลุมนี้ลึกมาก ลงมาทีพันจั้งเศษในอึดใจเดียว แต่ก็ยังไม่ถึงก้นบ่อ แต่มีพายุเย็นยะเยือกพัดโชยมาจากด้านล่าง เห็นได้ชัดว่าด้านในมีแดนวายุอะไรสักอย่าง
หลังจากร่อนลงมาอีกสองสามร้อยจั้ง หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ในหูมีเสียงฟ้าผ่าและเสียงคำรามของอสูรดังแว่วมาเป็นระลอกๆ บางครั้งก็มีเสียงสั่นสะเทือนปะปนมาด้วย ทำให้กำแพงหินรอบด้านสั่นคลอนไปมาไม่หยุด
หานลี่ใจหายวาบลดระดับความเร็วลง เริ่มแผ่จิตสัมผัสลงไปด้านล่าง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ด้านล่างก็มีลำแสงสีขาวเปล่งแสงเจิดจ้า มาถึงทางออกแล้ว
หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไป และไม่พบสิ่งใดซ่อนอยู่ด้านล่าง
ก็ทำให้หาลี่สบายใจ และร่อนลงไปบนพื้นอย่างเงียบเชียบ กวาดสายตามองรอบๆ อย่างรวดเร็ว
ที่นี่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นวิหารยักษ์แห่งหนึ่ง พื้นที่กว้างขวางกว่าวิหารด้านบนหลายเท่า แต่ระดับความวิจิตรงดงามเมื่อเทียบกับด้านบนแล้วช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
บนพื้นไม่เพียงมีหยกขาวที่วิจิตรงดงามเป็นอย่างมากเรียงรายอยู่ รอบด้านและส่วนยอดมีผลึกศิลาขนาดเท่าปากชามเป้นเม็ดๆ ฝังอยู่ ผลึกศิลาเหล่านี้เปล่งแสงสีขาวอ่อนโยน สะท้อนไปทั่วทั้งวิหารจนดูวิจิตรตระการตรา ไอวิญญาณรอบๆ หนาแน่นกว่าด้านบน ต้นหญ้าและหมู่มวลบุปผาหลากสีสันงอกออกมาจากแปลงดอกไม้เล็กๆ ทั้งสองฝั่งของวิหาร ทุกต้นล้วนมีสีสันสดใส แผ่ไอวิญญาณอ่อนๆ ออกมา ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่มากี่หมื่นปีแล้ว
หานลี่มองแล้วกลับขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็ละสายตาออกมาอย่างไม่สนใจ
จากพลังการมองเห็นของเขา แน่นอนว่ามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่ในแปลงดอกไม้เหล่านี้ล้ำค่ามาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นไม้ประดับ ที่มีมูลค่าจริงๆ กลับมีอยู่เพียงไม่กี่ต้น
ทว่าสายตาของหานลี่มองทัศนียภาพในวิหารไปได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าอีกครั้งหนึ่งในครานี้ล้วนถูกหมอกโลหิตหนาๆ และประจุไฟฟ้าที่กระพริบวาบอย่างบ้าคลั่งห่อหุ้มเอาไว้
กลางอากาศต่ำๆ ในวิหาร หมอกโลหิตและสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบตัดสลับกันไปมา หมุนวนแล้วระเบิดออกไม่หยุด ทำให้ทั้งสองเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่ไม่ถูกกันอย่างไรอย่างนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าพลังของประจุไฟฟ้าเหนือกว่าหมอกโลหิต หากไม่ใช่เพราะพายุทมิฬในหมอกโลหิตและเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาช่วยประสานกัน เกรงว่าหมอกโลหิตคงพ่ายแพ้ไม่อาจต้านทานได้ตั้งนานแล้ว
แต่เช่นนั้นประจุไฟฟ้าสีเงินพลันสร้างลูกบอลอัสนีขนาดเท่ากำปั้นเป็นลูกๆ ออกมาท่ามกลางเสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย สาดซัดไปรอบด้าน แล้วทยอยกันระเบิดออกทำให้หมอกโลหิตสลายหายไป ท่าทางเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ในหมอกโลหิตช่างเงียบเชียบ ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยสักนิด แต่น่าจะเป็นสิ่งที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยและพวกร่วมมือกัน ส่วนสายฟ้าที่ทะลักเข้ามาตรงข้าม กลับมีอสูรประหลาดเขาเดี่ยวสองตัวปรากฎขึ้นลางๆ และคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่หยุด คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่ามีอสูรอเวจีอัสนีสองตัวกำลังควบคุมพลังอัสนีโจมตีมาไม่หยุดอีกครั้ง
มิน่าล่ะ เหล่าราชันย์ปีศาจร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้
หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ หลังจากมองการต่อสู้อยู่ชั่วครู่ สายตาพลันกวาดไปด้านล่าง รูม่านตาพลันหดเล็กลง
ด้านล่างฉากการต่อสู้มีบ่อน้ำสีเขียวมรกตขนาดสองสามจั้งปรากฎขึ้น ในบ่อน้ำมีหมอกสีขาวหมุนวน เต็มไปด้วยไอวิญญาณ มีลำแสงสีโลหิตชั้นหนึ่งอยู่ลางๆ
“นี่คือเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี?” หานลี่ขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่บ่อน้ำนี้นานนานนัก พลันมองหารายละเอียดอื่นๆ อยู่รอบด้าน
ผลคือดวงตาทั้งสองข้างของเขาพลันเป็นประกายในทันที ตรงมุมด้านข้างที่รกร้างของวิหารอีกด้านหนึ่งของสนามการต่อสู้ มองเห็นหยวนเหยาและเหยียนลี่ยืนแข็งทื่อไม่ขยับอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าของสตรีทั้งสองแข็งทื่อ เหมือนว่าไม่แยแสการต่อสู้ที่ดุเดือดซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปเลยแม้แต่น้อย
หานลี่เคยเห็นสภาพที่สตรีทั้งสองถูกลงอาคมมาแล้ว แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าสติสัมปชัญญะของพวกนางยังคงอยู่ แค่ร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้ หากเป็นอาคมชนิดนี้ เขาก็มั่นใจว่าจะคลายผนึกอาคมลงได้อยู่สองสามส่วน
มองดูสนามการต่อสู้อันอึกทึกที่ขวางทางอยู่แวบหนึ่ง หานลี่ฝืนระงับความดีอกดีใจเอาไว้ แล้วพิจารณาจุดอื่นๆ ของวิหารอย่างระมัดระวัง
หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ด้านนอกม่านลำแสงสีดำรวมทั้งทางเข้าวิหารมรภูตตนอื่นๆ ปรากฏตัวอยู่ ที่นี่จะต้องมีภูตระดับสูงตนอื่นๆ แอบเข้ามาแน่ เขาไม่อยากถูกนกกระจอกเหลืองรออยู่เบื้องหลัง![1]
หากยังไม่พบภูตที่แอบเข้ามา ก็จะไม่มีทางลงมือง่ายๆ
แผ่จิตสัมผัสออกไปอย่างเงียบเชียบ แต่เมื่อกวาดไปทุกแห่งแล้ว นอกจากสนามการต่อสู้ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
หานลี่พลันขมวดคิ้วแน่น หลังจากที่ความคิดเคลื่อนไหว สายตาก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบแล้วหายวับไป
ในสถานที่ที่อันตรายมากเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าใช้เนตรวิญญาณเต็มอัตรา ทำได้เพียงใช้พลังปราณที่น้อยที่สุดควบคุมจิตสัมผัสกวาดไปอย่างรวดเร็ว
ผลคือในที่สุดก็พบแล้ว
อีกมุมหนึ่งของวิหารตรงจุดที่ห่างจากสนามการต่อสู้มากที่สุด มีไอสีเขียวอ่อนสายหนึ่งปรากฎออกมา ถึงแม้ว่าอยู่ภายใต้ความสามารถของเนตรวิญญาณก็ยังเบาบางมา ราวกับว่ากึ่งโปร่งใสอย่างไรอย่างนั้น
นี่คือภูตที่แอบเข้ามาหรือ?
หานลี่พลันใจหายวาบ ขบคิดไปเล็กน้อย ลำแสงสีฟ้าในแววตาระเบิดออก พุ่งออกไปอย่างไม่กลัวเกรงว่าจะเป็นอันตราย หมายจะเห็นร่างเดิมของปีศาจตนนี้ให้ชัดเจน
ผลคือนอกจากลำแสงสีดำในไอสีเขียวแล้ว ก็มองเห็นไข่มุกกลมที่ดูเหมือนผลึกวารีเม็ดหนึ่งลอยอยู่ตรงกลางและหมุนโคจรอยู่อย่างเชื่องช้า
ในเวลาเดียวกันที่หานลี่มองเห็นสิ่งนี้ ไข่มุกกลมก็หยุดหมุนวน ผิวของมันมีลำแสงสีเขียวแผ่ออกมา แต่ก็กระพริบวาบแล้วหายวับไป
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ชั่วพริบตานั้นลำแสงสีฟ้าในแววตาพลันหายวับไป
เขาสัมผัสได้ลึกๆ ว่าในเวลาเดียวกันที่พบไข่มุกกลม ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้จะมีพลังชีวิตที่สัมผัสได้ถึงการจับจ้องของเขาในทันที
ทว่าเขาก็มั่นใจว่าปฏิกิริยาตอบสนองของตนเองนั้นว่องไวพอที่ตัดเนตรวิญญาณออกก่อน โดยไม่ให้อีกฝ่ายจับการกระทำของตนเองได้
ต่อให้ฉีกฝ่ายมีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งขนาดไหน แต่คราวนี้จะกล้าแผ่จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งออกมาตรวจสอบตำแหน่งของเขาได้อย่างไร หากแผ่จิตสัมผัสออกมาอ่อนๆ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมองทะลุยันต์ชำระพิสุทธิ์ได้ หากแกร่งเกินไป เกรงว่าเหล่าราชันย์ปีศาจและอสูรอเวจีอัสนีที่กำลังโรมรันกันในวิหารจะรู้สึกตัวได้
เขาเชื่อว่าภูตตนนี้ไม่มีทางทำเรื่องที่ไม่ชาญฉลาดแน่
ดังคาดหลังจากผ่านไปชั่วครู่ จิตสัมผัสที่บางเบาจนแทบจะมองไม่เห็น ก็กวาดผ่านจุดที่เขายืนอยู่ไป แต่ไม่ได้สัมผัสได้แล้วกวาดมาทางเขาเลยสักนิด
หานลี่รู้สึกผ่อนคลายลง แล้วถึงได้วางใจลงจริงๆ แต่ไม่รอให้เขาได้เริ่มครุ่นคิดว่าจะช่วยสตรีทั้งสองไปเงียบๆ ได้อย่างไร ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นจากหมอกโลหิตในวิหาร การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้น
หมอกสีโลหิตเริ่มหมุนวน ฉับพลันนั้นลำแสงสีม่วงแดงพลันเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา เงาร่างกำยำร่างหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตสูงยี่สิบจั้งเศษหน้าตาโหดเ**้ยมก็ปรากฏออกมาจากหมอกสีโลหิต ร่างกายยังคงขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนตรงไหล่ข้างหนึ่งของหุ่นเชิด มีผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตยืนเอามือไพล่หลังอยู่คนหนึ่ง
——
[1] นกกระจอกเหลืองรออยู่เบื้องหลัง หมายถึง มัวแต่จ้องเหยื่อข้างหน้า ไม่รู้ว่ามีภัยมาที่ข้างหลัง
ตอนที่ 1499 โอกาสทอง
เมื่อหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตปรากฎตัว ดวงตาทั้งหกก็กลอกไปมาพร้อมกัน เปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันตะปบมือออกไป ขวานยักษ์สีโลหิตด้ามหนึ่งพลันปรากฎขึ้นในมือ สับลงมายังฝั่งตรงข้าม
ภายใต้แรงกดดันดังภูเขาขนาดย่อมของขวานยักษ์ ยังไม่รอให้สับโดนอะไร พายุแรงกดที่น่าตกตะลึงกลุ่มหนึ่งก็กรีดร้องขึ้น ทำให้ประจุไฟฟ้าสีเงินที่อยู่ด้านล่างสั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรง ท่าทีเหมือนจะปริแตกออก
เสียงร้องคำรามของอสูรระเบิดออกมาจากลำแสงอัสนี ชั่วพริบตาประจุไฟฟ้าที่อยู่ด้านล่างก็ตัดสลับไปมาราวกับสิ่งมีชีวิต ท่ามกลางเสียงร้องคำรามคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกระบี่อัสนีสีเงินเล่มหนึ่ง กระโจนขึ้นไปกลางอากาศ
หลังจากที่เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น ภายใต้การโจมตีจากประจุไฟฟ้าลำแสงสีโลหิต ใบมีดยักษ์ทั้งสองพลันสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกัน แล้วหายวับไป
ลำแสงอัสนีสว่างวาบ กรงเล็บสีเขียวยาวสองสามจั้งสองสามแห่งพลันปรากฎขึ้น พุ่งตรงเข้าไปหาหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต
ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่ยืนอยู่บนบ่าของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตเห็นเช่นนั้น พลันแค่นเสียงหึอย่างเย็นชาออกมา อ้าปากออก พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาจากปาก แล้วพลิกฝ่ามือคว้าเอาไว้พลางขว้างออกไปอีกครั้ง
หยาดโลหิตหมุนคว้าง กลายเป็นทวนยาวสีโลหิตด้ามหนึ่งพุ่งออกไป
หลังจากเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้นสองสามครั้ง ชั่วพริบตาทวนโลหิตก็ทะลุผ่านกรงเล็บลำแสงสองสามสายไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในประจุไฟฟ้าอัสนี
แต่ฉับพลันนั้นลำแสงสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เงาลวงตาหัวข้างหนึ่งของอสูรอเวจีอัสนีขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าจากการถูกอัสนีสะท้อนอสงไป อ้าปากออกกลืนทวนยาวสีโลหิตเข้าไปในปาก จากนั้นก็ขย้อนออกมา ประจุไฟฟ้าหนาๆ สายหนึ่งกลายเป็นมังกรวารีสีเงินตัวหนึ่งพุ่งไปหาผู้สวมชุดคลุมสีโลหิต
ดวงตาสีโลหิตทั้งสองของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตเปล่งประกาย ลำแสงสีโลหิตสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมาในทันีใด โจมตีไปบนมังกรวารีไฟฟ้าอย่างพอดิบพอดี ทั้งสองสลายหายไปในเวลาเดียวกัน
หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตประมือกับอสูรอเวจีอัสนีอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า คาดไม่ถึงว่าจะแยกไม่ออก
แต่ทันใดนั้นเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนในหมอกสีโลหิตก็พุ่งออกไปกลางอากาศ ชั่วพริบตาก็รวมตัวกัน เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นสายหนึ่งปรากฎขึ้นท่ามกลางลำสแงสีเขียวสว่างวาบ เท้าเหยียบอยู่บนดอกไม้สีทอง เห็นได้ชัดว่าคือสตรีนามว่ามู่ชิงผู้นั้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน วายุทมิฬก็ม้วนไปในบริเวณนอบ แล้วเผยเงาร่างของสตรีผู้งดงามเรือนผมสีขาวออกมา
ทั้งสองมีสีหน้าเครง่ขรึมมาก จ้องหัวอสูรตรงข้ามด้วยดวงตาที่ไม่กระพริบ
หัวอสูรอเวจีอัสนีตรงข้ามเห็นเช่นนั้น พลันมีสีหน้าเ**้ยมโหดฉายแวบผ่าน ด้านล่างมีเสียงอัสนีฟ้าฟาดดังขึ้น เขาเดี่ยวบนหัวอีกหัวหนึ่งเผยออกมา ขนาดเล็กกว่าหัวแรกเล็กน้อย และยิ่งไปกว่านั้นเขาเดี่ยวยังค่อนข้างแหลมบางอีกด้วย
เมื่อเห็นหัวอสูรอเวจีอัสนีทั้งสองหัว หญิงงามผมขาวก็มีสีหน้าปั้นยาก เอ่ยพึมพำกับตนเอง
“คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีอสูรอเวจีอัสนีสองตัว ข้าก็ว่าแม้อสูรอเวจีอัสนีจะร้ายกาจ เหตุใดครั้งที่แล้วที่สหายจูบุกเข้ามาถึงได้เพลี้ยงพล้ำไปอย่างง่ายดายเช่นนี้”
“ครานี้กล่าวอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ของเหลวเทวะกับชีพจรวิญญาณที่นี่เชื่อมโยงกัน คิดจะตัดสายสัมพันธ์ของทั้งสองออกแล้วเอาพวกมันไป ก็จำต้องยื้อเวลาให้เขาสักหน่อย พวกเราสามคนต้องทุ่มสุดตัวแล้ว” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตแค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา พลางเอ่ยอย่างเย็นเยียบ ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
มู่ชิงและหญิงงามผมขาวเห็นเช่นนั้นก็มองสบตากันแวบหนึ่ง
ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตไม่ได้เผยสีหน้าแปลกใจอะไรออกมา ไม่ว่าผู้ใดที่รู้ว่าร่างแยกที่ตนเองทิ้งเอาไว้ข้างนอกถูกสังหาร ไม่โกรธจนเนื้อเต้นก็บ้าแล้ว
“สหายตี้เสวี่ย ร่างแยกที่รออยู่ภายนอกของเจ้าถูกกำจัดไปสักพักแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่อสูรอเวจีอัสนีอีกตนจะกลับมา ดูแแล้วที่นี่นอกอสูรอเวจีอัสสองตัวนี้ ก็น่าจะมีอะไรอย่างอื่นอีก พวกมันไม่เตรียมดักซุ่มโจมตีพวกเราอยู่ด้านนอก ก็คงแอบเข้ามาในนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังดูการต่อสู้ของพวกเรากับอสูรอเวจีอัสนีสองตัวนี้อยู่ก็ได้” มู่ชิงแววตาฉายแววเย็นเยียบ พลางเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วยังไง? อสูรอเวจีอัสนีสองหัวนี่ก็รับมือยากอยู่แล้ว ไหนเลยจะไปสนใจสิ่งอื่นได้ แต่ข้าสัมผัสผนึกของเจ้าเด็กแซ่หานไม่ได้เลย ดูแล้วเขาคงถูกอสูรอเวจีอัสนีอีกตัวสังหารไปแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ” หญิงงามผมขาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ในเมื่ออสูรอเวจีอัสนีกลับมาอย่างว่องไวเช่นนี้ เจ้าเด็กหานคงรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้แน่ แต่อสูรอเวจีอัสนีตรงหน้านั้นสำคัญกว่า! แม้ว่าอสูรเ**้ยมสองหัวนี้จะมีสติปัญญาไม่สูงส่ง แต่อิทธิฤทธิ์ธาตุอัสนีนั้น ก็เป็นต่อพวกเราไปกว่าครึ่งแล้ว มีเพียงสหายลิ่วจู๋ที่สามารถต่อกรกับศัตรูได้ แต่มีแค่เขาที่ตัดชีพจรวิญญาณได้ ไม่อาจแยกร่างออกมาได้ ดูแล้วพวกเราก็มีเพียงต้องพยายามดูสักตั้งแล้ว ส่วนผู้ที่สังหารร่างแยกของข้าที่ภายนอกนั้น ในเมื่อตอนนี้ไม่กล้าเผยตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังไม่พอให้หวาดกลัว ขอแค่ระวังตัวมากขึ้นหน่อย ไม่ให้อีกฝ่ายลอบโจมตีได้ก็พอแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยปากทันที
เงาหัวลวงตาตรงข้ามที่ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ หัวหนึ่งอ้าปากออกหมายจะเขมือบทั้งสามคน อีกหัวหนึ่งกลับก้มหน้า เขาบนหัวมีสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะๆ ออกมา เจิดจ้าจนแสบตา ประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ สองสามสายฟาดเปรี้ยงๆ ลงมาพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
ร่างอสูรอเวจีอัสนีทั้งสองที่อยู่ด้านล่างพลันควบคุมพลังอัสนีพร้อมกัน สร้างลูกบอลอัสนีสีเงินจำนวนนมากออกมา ทะลักไปทางหมอกสีโลหิตฝั่งตรงข้าม
หญิงงามผมขาวมีสีหน้าเคร่งขรึม สะบัดหัวไหล่ บนหัวมีเงาร่างภูตหัวโล้นปรากฎขึ้น พายุทมิฬสีเทากลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากปากของเงาภูต
ร่างของมู่ชิงเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา และไม่กล้าดูแคลน!
ส่วนผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่ดวงตาทั้งหกของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตใต้ฝ่าเท้าพลันลืมตาขึ้น พ่นเสาลำแสงสีแดงสดหกสายออกมา ในเวลาเดียวกันด้านล่างสุดของหมอกโลหิตมีเสียงอื้ออึงดังขึ้น ม้วนไปทางลูกบอลอัสนีทั้งหมดอย่างไม่ยอมสำแดงความอ่อนแอออกมา
ชั่วพริบตาราชันย์ปีศาจทั้งสามและอสูรอเวจีอัสนีสองตัวก็ระเบิดการต่อสู้ที่ดุเดือดออกมา
เห็นเพียงหมอกสีโลหิตหมุนวน เสียงอัสนีฟ้าฟาดดังขึ้น ชั่วพริบตาปรากฎการณ์น่าอัศจรรย์นี้ก็ม้วนมู่ชิงและพวกเข้าไปข้างในอีกครั้ง
หานลี่ยืนอยู่ตรงบริเวณทางเข้าอย่างเงียบๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ใช้สมาธิขบคิดอย่างหนักว่าจะช่วยหยวนเหยาและสตรีทั้งสองอย่างไร
หากไม่มีไอสีเขียวสายนั้น ทุกอย่างก็จะง่ายดาย ขอแค่เขาถือโอกาสที่เหล่าราชันย์ปีศาจกำลังต่อสู้กับอสูรอเวจีอัสนีอย่างดุเดือดที่สุดจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ ก็จะลงมือพาสตรีทั้งสองหนีไปทันทีเพื่อเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี กว่าครึ่งสตรีผู้งดงามผมขาวและพวกคงไม่ละทิ้งคู่ต่อสู้มาไล่ล่าเขาแน่
แต่ครานี้มีไอสีเขียวที่ไม่รู้ที่มาเพิ่มเข้ามา หากเขาถูกสกัดกั้นตอนที่ลงมือ เขาจะไม่โชคร้ายหรือ!
หานลี่ไม่มีทางยอมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ง่ายๆ แน่
แววตาของหานลี่เปล่งประกายไม่หยุด ความคิดต่างๆ เคลื่อนคล้อยไปมาไม่หยุด
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป อสูรอเวจีอัสนีและเหล่าหญิงงามผมขาวที่กำลังต่อสู้ต่างก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ออกมา ความร้อนแรงยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ อสูรอเวจีอัสนีสองตัวดูเหมือนจะรู้ว่าหากยื้อเวลาต่อไปจะส่งผลไม่ดีกับพวกมัน จึงสำแดงความโหดร้ายออกมาด้วยความร้อนลนไม่สบายใจ และเสียงคำรามของอสูร เสียงการต่อสู้ก็รุนแรงเป็นอย่างมาก
ร่างของอสูรทั้งสองมีประจุไฟฟ้านับหมื่นสาย เขาเดี่ยวบนหัวหนาขึ้นสองสามเท่า ไฟฟ้าที่พุ่งออกมาจากด้านบนทุกสายดูราวกกับหอกเทวะที่พุ่งออกมาจากนอกท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น เมื่อโจมตีผ่านไป แน่นอนว่าย่อมทำให้ราชันย์ปีศาจทั้งสามถอยร่นไปสองสามก้าว เห็นได้ชัดว่าอสูรทั้งสองเป็นฝ่ายได้เปรียบ กดดันมู่ชิงและเหล่าปีศาจทั้งสาม
แต่หากจะทำให้เหล่าราชันย์ปีศาจทั้งสามเพลี้ยงไปในทันที กำจัดพวกเขาออกจากบ่อน้ำด้านล่างภายในระยะเวลาสั้นๆ กลับดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
หานลี่มองดูสถานการณ์นี้ ดวงตาทั้งสองหรี่ลง ร่างลวงตาเคลื่อนย้ายออกไปไกลออกไปอย่างช้าๆ
ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ไปอยู่ข้างกายหยวนเหยาและเหยียนลี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันไปตามสถานการณ์ เขาต้องช่วยคนให้ได้
เพราะกลัวว่าผู้คนที่กำลังต่อสู้กับอสูรอเวจีอัสนีจะพบตนเข้า ขั้นตอนการเคลื่อนย้ายของหานลี่จึงเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ทุกตนที่อยู่ในตำหนักหลักน่าจะเป็นผู้ที่มีระดับพลังยุทธ์สูงกว่าเขา แม้ว่าจะใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ หากระดับหลอมร่างแผ่จิตสัมผัสเต็มอตรามา ก็ยังคงมีมีอัตราที่จะถูกพบตัวอยู่ไม่น้อย โชคดีที่คนเหล่านั้นยอมสู้กันแบบตายกันไปข้างหนึ่ง ในสถานการณ์ปกติคงไม่มีทางแบ่งความสนใจมาทางนี้แน่
ครั้นเมื่อหานลี่พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดคนก็อ้อมสนามการต่อสู้ไปยังอีกด้านของวิหาร มาถึงข้างกายของสตรีทั้งสอง
สายตากวาดไปบนเรือนร่างของหยวนเหยาอย่างรวดเร็ว
ระยะใกล้ขนาดนี้ หานลี่จึงมองเห็นเส้นไหมโลหิตเป้นเส้นๆ ที่ปรากฎขึ้นลางๆ บนใบหน้าของสตรีผู้นี้ เส้นเลือดเหล่านี้บางเฉียบดุจเส้นผม หากไม่ได้อยู่ระยะประชิดถึงเพียงนี้และมีเนตรวิญญาณคอยช่วยเสริม คนธรรมดาก็ไม่อาจมองออกได้เลยสักนิด
หานลี่พลันขมวดคิ้ว
สตรีทั้งสองถูกตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวยี่ใช้ยันต์โลหิตประหลาดๆ กักเอาไว้ เจ้าสิ่งนี้แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นเคล็ดวิชาสายมารที่ร้ายกาจ ใช้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายหรือเพลิงกลืนวิญญาณก็น่าจะได้ผล ทว่าวิหคเพลิงกลืนวิญญาณถูกเขาเก็บเอาไว้ในปาก หากจะทลายอาคมล่ะก็มีเพียงต้องใช้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแล้ว
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่โอกาสทองในการลมือ เมื่ออาคมนี้ถูกทำลาย ไม่เพียงตนเองจะเผยร่างออกมา ตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยก็จะสัมผัสได้ในทันที
หานลี่ขบคิดเช่นนี้ในใจ ถอนสายตาออกมา มองไปทางไอสีเขียวแวบหนึ่งอีกครั้ง
เจ้าสิ่งนี้ต้องเกี่ยวจ้องกับภูตที่อยู่ด้านอกแน่ เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะแค่มองไม่ลงมือ ครานี้ไม่ใช่โอกาสที่เขาจะลงมือ มีเพียงต้องทดสอบความอดทนกับอีกฝ่ายแล้ว
ความคิดนับร้อยฉายแวบผ่านไปมาในหัวของหานลี่ แล้วทำได้เพียงตัดสินใจอย่างหัวโบราณเช่นนี้
และยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุหลักที่เขาทำเช่นนี้ ก็เพราะว่าครานี้ลิ่วจู๋ที่มีความสามารถที่สุดในเหล่าราชันย์ปีศาจแห่งเหวพสุธาหายตัวไป
ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของอีกฝ่าย เขาไม่กล้าลงมือง่ายๆ แน่
ทว่าเมื่อหานลี่ถอนสายตาออกจากไอสีเขียว แล้วมองการต่อสู้ใต้บ่อน้ำนั้น ในใจก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าราชันย์ปีศาจลิ่วจู๋ผู้นี้กำลังซ่อนตัวอยู่ใต้นั้นหรือไม่
ถึงอย่างไรเสียวิหารหลังนี้ก็กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ นอกจากบ่อน้ำแล้ว ก็ไม่มีที่ใดที่สามารถหลบซ่อนตัวได้อีก
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ไอหมอกที่ลอยอยู่ในบ่อน้ำมีประสิทธิภาพในการกีดกันจิตสัมผัส หลังจากที่หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปเบาๆ แล้ว ก็ไม่อาจสอดแทรกเข้าไปได้ แค่รู้สึกว่าหมอกวิญญาณสีขาวเหล่านี้มีไอวิญญาณบริสุทธิ์ที่เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกผสมอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าหากสูดหมอกสีขาวนี้เข้าไปเฮือกหนึ่งก็จะทำให้เขาร่นระยะเวลาการฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วงไปได้สองสามวัน
นี่คือสาเหตุที่หานลี่มองไปปราดเดียวก็มั่นใจว่าเจ้าสิ่งนี้คือเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี
คราแรกหานลี่รู้สึกประหลาดใจมาก เหตุใดมู่ชิงและพวกทั้งสามถึงไปตักน้ำในบ่อไปในทันที แม้ว่าอสูรอเวจีอัสนีสองตัวจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ถึงกลับจะทำให้ทั้งสามคนไม่มีโอกาสแม้แต่จะขโมยเกษียรเทวะมา
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ทั้งสามคนยึดครองท้องฟ้าของบ่อสีเขียวเอาไว้ ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยาก
ต่อมาเมื่อขบคิดอย่างละเอียด หานลี่ก็เข้าใจขึ้นมา ไม่ใช่ว่าในบ่อเขียวมีอาคมที่ร้ายกาจอะไรสักอย่างทำให้ราชันย์ปีศาจทั้งสามไม่กล้าเสี่ยงลงมือ ก็คือวิธีที่จะเอาเกษียรเทวะมาได้ต้องมีความพิเศษอะไรสักอย่าง พวกมันจึงไม่อาจลงมือได้อย่างง่ายดาย
ไม่แน่ว่าการที่ลิ่วจู๋ไม่ยอมปรากฎตัวอาจจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้
เขายืนอยู่ด้านข้างสตรีทั้งสองอย่างซื่อๆ รอให้การต่อสู้กลางอากาศเหนือบ่อสีเขียวได้ผลตัดสินผู้แพ้ชนะ หรือว่าไอสีเขียวสายนั้นเกิดอะไรสักอย่างขึ้น
แม้ว่าผนึกในร่างของเขาจะไม่อาจประคับประคองไปได้นานนัก แต่ระดับความรุนแรงในการต่อสู้กลางอากาศและความเกรี้ยวกราดของอสูรอเวจีอัสนี ก็ไม่อาจยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้กันต่อไปได้ตลอด อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ดังคาดหานลี่คาดเดาเอาไว้ไม่ผิด หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ในที่สุดอสูรอเวจีอัสนีสองตัวก็ทนไม่ไหว พยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิต
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น