คัมภีร์วิถีเซียน 1496-1497
ตอนที่ 1496 ยันต์เก้าวังสวรรค์
หานลี่กลับไม่ใช่แค่ยืนอยู่ด้านข้าง ในเวลาเดียวกันสองแขนพลันสะบัดออก ยันต์จำนวนมากบินออกมา วนล้อมรอบขึ้นลงตัวเขาไปมา อักขระสีเงินปรากฎขึ้นลางๆ
เห็นได้ชัดว่ายันต์เหล่านี้พิเศษมาก และมีมากกว่าหนึ่งร้อยแปดใบ
หานลี่พลันใช้สองมือร่ายอาคม ชี้นิ้วไปที่เมฆอัสนีที่อยู่ไกลออกไปด้วยความรวดเร็วสองสามครั้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมาก!
ชั่วขณะนั้นยันต์เหล่านี้พลันกลายเป็นลำแสงสีเงินร้อยกว่าสาย เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปตรงหน้าของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา บนเมฆอัสนียักษ์ก็มีลำแสงสีเงินสว่างวาบ ยันต์หนึ่งร้อยแปดใบเปล่งแสงสว่างวาบ
พวกมันหมุติ้วๆ เรียงกันเป้นลวดลายประหลาดๆ ห่อหุ้มเมฆอัสนีด้านล่างเอาไว้อย่างพอดิบพอดี
ภายใต้การร่ายอาคมของหานลี่ ยันต์ระเบิดออกพร้อมกัน เขตอาคมลำแสงยักษ์สีเงินปรากฎออกมา
ท่ามกลางเขตอาคมลำแสง วิหารขนาดมหึมาหลังหนึ่งปรากฎขึ้นลางๆ ราวกับว่าไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
ตัววิหารเปล่งแสงสีเงินเรืองรอง อักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนหมุนวนโคจรอยู่ด้านบน ในเวลาเดียวกันเสียงไพเราะราวเสียงจากธรรมชาติพลันดังแว่วมาจากตรงใจกลาง ทำให้ผู้คนเห็นรู้สึกผ่อนคลายมีความสุข
แต่หากมีคนตั้งใจอยากฟังตอนสุดท้าย เสียงไพเราะกลับเงียบหายไป
เมื่อหานลี่เห็นเขตอาคมลำแสงก่อต่อขึ้นพลันรู้สึกดีใจ รีบร้อนกระตุ้นเขตอาคม เขตอาคมลำแสงยักษ์ร่อนลงมาด้านล่าง
และในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นเสียงคำรามดังสนั่นดังออกมาจากกลุ่มเมฆอัสนี
หลังจากเสียงอัสนีฟ้าฟาดดังสนั่นขึ้นสองสามครั้ง เมฆอัสนีสีเขียวก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฉับพลันนั้นประจุไฟฟ้าหนาๆ ราวกับถังน้ำสองสามสายพลันทะลวงผ่านเมฆอัสนีพุ่งออกมา
ประจุไฟฟ้านี้มีความหนามาก หมุนวนท่ามกลางหมู่เมฆ แยกเขี้ยวตะปบเล็บอยู่ในก้อนเมฆราวกับมังกรยักษ์
ชั่วครู่เมฆอัสนีขนาดใหญ่พลันถูกกวาดไปท่ามกลางเสียงร้องจนเกลี้ยง
เมฆอัสนีถูกกำจัด ประจุไฟฟ้าพลันสลายหายไป
อสูรอเวจีอัสนีที่อยู่ไกลออกไปพลันปรากฎขึ้น
ครานี้อสูรพลันมีท่าทีจนตรอกเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงเกล็ดบนร่างจะหม่นแสงลงไร้สี จุดที่ไม่ถูกเกล็ดปกคลุมเป็นสีไหม้เกรียม เขาเดี่ยวบนหัวมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ เส้นไหมไฟฟ้าบางๆ ชั้นหนึ่งหมุนวนเป็นเกลียว
เห็นได้ชัดว่าประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ เมื่อครู่ ออกมาจากเขาข้างนี้
แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงก็คือ เมื่ออสูรตัวนี้ปรากฎกายขึ้น ทันใดนั้นก็อ้าปากออก พ่นลำแสงสีโลหิตกลุ่มหนึ่งออกมา
ลำแสงสีทองสว่างวาบขึ้นในลำแสงสีโลหิต แมลงเกราะสามตัวเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา แมลงกลืนทองของเขาโผล่ออกมาอย่างกระทันหัน
คาดไม่ถึงว่าพวกมันจะถูกอสูรใช้พลังลมปราณบีบออกมาจากร่าง
ความสามารถเช่นนี้ทำให้หานลี่รู้สึกเย็นยะเยือก
เมื่อแมลงกลืนทองถูกอสูรตัวนี้กลืนเข้าไปในร่างอย่างคาดไม่ถึง ภายใต้ความดีอกดีใจของเขา ในใจก็อดที่จะมีจิตสังหารแวบหนึ่งมาไม่ได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ถึงได้รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่โง่เขลา โยนความคิดนี้ทิ้งไปในทันที
หานลี่กวาดสายตาไป มองเห็นกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาเล่มนั้นของตนเองลอยอยู่ใต้ร่างอสูรอเวจีอัสนี พลางเปล่งแสงสีทองเรืองๆ
เห็นได้ชัดว่าอสูรอเวจีอัสนีที่ถูกเมฆอัสนีและแมลงกลืนทองโจมตีพร้อมกัน เลยไม่ทันได้สนใจกระบี่เล่มนี้อีก จึงโยนมันทิ้งไปอย่างส่งเดช
ถึงอย่างไรเสียกระบี่นี้ก็ไม่มีท่าทีจะมีภัยคุกคามมันได้
ส่วนอสูรอเวจีอัสนีนั้นกำลังจ้องเขม็งไปยังหานลี่ แววตาโหดเ**้ยมเผยแววไม่ต้องสงสัยออกมา
มันพลันรู้สึกเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ท่าทางอยากจะฉีกหานลี่ออกเป็นชิ้นๆ
แต่หานลี่ไม่รอให้อสูรตัวนี้เคลื่อนไหวใดๆ มือหนึ่งพลันกวักมือเรียก แมลงกลืนทองสามตัวพลันกระโจนออกมาจากลำแสงสีโลหิตแล้วบินกลับมา กระบี่เล่มเล็กสีทองเล่มนั้นสั่นเทาแล้วหายวับไปจากที่เดิม
ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ กระบี่เล่มเล็กเปล่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมาปรากฎขึ้นด้านข้างหานลี่ ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นก็เก็บแมลงกลืนทองที่บินกลับมาเช่นกัน
อสูรอเวจีอัสนีพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็กรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว เสียงกรีดร้องยาวๆ ดังขึ้น หมายจะเคลื่อนไหว
แต่ในครานั้นเหนือหัวพลันมีลำแสงสีเงินสว่างวาบ เขตอาคมลำแสงขนาดยักษ์พลันร่อนลงโดยไม่มีผู้ล่วงรู้
ของชิ้นใหญ่ขนาดนี้มาประชิดศีรษะ ต่อให้ตอนแรกอสูรอเวจีอัสนีไม่ได้สนใจ ตอนนี้ก็ไม่อาจไม่เห็นได้
มันเงยหน้าขึ้น มองไปยังเขตอาคมลำแสง แววตาฉายแววตกตะลึง แต่เขาแหลมๆ บนศีรษะพลันมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นในทันใด ประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ สายหนึ่งโจมตีออกไป
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าพลันโจมตีไปยังเขตอาคมลำแสงด้านล่างอย่างหนาแน่น
แต่เมื่อลำแสงสีเงินสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าหนาๆ ก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าถูกเขตอาคมลำแสงกลืนกินเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
อสูรตัวนี้ถึงได้รู้ว่าแย่แล้ว แขนขาทั้งสี่มีไฟฟ้าสว่างวาบ พุ่งออกไปในทันที หมายจะหนีออกจากที่นี่
สำหรับอสูรตัวนี้กลับสายไปเสียแล้ว
เขตอาคมลำแสงที่อยู่กลางอากาศพลันหมุนวน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
เมื่ออสูรอเวจีอัสนีพุ่งออกไปได้สิบจั้งเศษ ฉับพลันนั้นเบื้องหน้าพลันมีลำแสงสีเงินสว่างวาบ ชั่วครู่ตัวก็อยู่ท่ามกลางหมอกสีขาว กวาดตามองไปรอบๆ มองเห็นกำแพงวิหคที่สูงใหญ่จนมองเห็นได้อยู่ลิบๆ ศาลาพักร้อน หอคอย ภูเขาทอดตัวกันอยู่เต็มไปหมด โดยไม่รู้ว่ามีอยู่เท่าไหร่กันแน่
อสูรตัวนี้พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็มีจิตใจสงบนิ่งดุจสายน้ำ
ไม่รู้ว่ามันใช้ชีวิตมากี่หมื่นปีแล้ว ถูกคนใช้เขตอาคมกักเอาไว้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว จึงไม่สนใจเขตอาคมธรรมดาๆ
มันชูคอขึ้น มองไปบนท้องฟ้าแวบหนึ่ง
ท้องฟ้ามีลำแสงสีเงินพาดผ่าน ดูไม่ออกว่าคือสิ่งใด
อสูรอเวจีอัสนีเอียงคอขบคิดเล็กน้อย ทันใดนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ และตะปบกรงเล็บทั้งสองออกไปกลางอากาศ
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น กรงเล็บลำแสงสีเขียวสิบกว่ากรงเล็บพุ่งออกไป โจมตีไปยังม่านลำแสงสีเงินอย่างแรง
หลังจากที่เสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลำแสงสีเงินและลำแสงสีเขียวตัดสลับกันไปมา ม่านลำแสงสีเงินพลิ้วไหว แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม
อสูรอเวจีอัสนีไม่เพียงร่างกายหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
เขตอาคมที่กักมันไว้มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เขตอาคมธรรมดาๆ
แน่นอนว่าอสูรอเวจีอัสนีตัวนี้ไม่รู้ว่า เขตอาคมลำแสงที่มันอยู่นั้นคือ ‘ยันต์เก้าสวรรค์’ ที่หานลี่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ถึงจะหลอมขึ้นมาได้
ยันต์ชนิดนี้มีทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดแผ่น เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก กักศัตรูเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม
แน่นอนว่านี่ยังต้องดูว่าเขตอาคมนี้กักสิ่งใดเอาไว้
จากพลังยุทธ์ของหานลี่ ไม่ต้องพูดอสูรอเวจีอัสนีที่อยู่เบื้องหน้า แม้แต่ระดับเทพแปลงคนหนึ่งก็ยังไม่อาจกักเอาไว้ได้จริงๆ
การโจมตีที่อสูรตัวนี้ปล่อยออกมา ทำให้หานลี่ที่ยืนอยู่ภาบนอกเขตอาคมลำแสง กำลังใช้มือหนึ่งกดไปบนยันต์วิเศษแผ่นหนึ่งพลางใส่ลมปราณเข้าไป ฉับพลันนั้นพลันสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาล ร่างกายสั่นเทาแล้วถอนร่นไปสองก้าว
หน้าพลันเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง!
โชคดีที่ลมปราณในร่างของเขาพลันหมุนวน ท่าทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เห็นได้ชัดว่าหากถูกอสูรตัวนี้โจมตีต่อไป เขตอาคมนี้ก็ไม่อาจต้านทานได้นานนัก ถึงอย่างไรเสียพลังยุทธ์ของเขาและอสูรอเวจีอัสนีตัวนี้ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
ทว่าเขาสำแดงเขตอาคมยันต์ชุดนี้ไป แต่เดิมก็ไม่ได้คิดเช่นนี้ ขอแค่ดึงเวลาให้เขาได้สักหน่อยเท่านั้น
เมื่อเห็นเขตอาคมยันต์กักอีกฝ่ายได้ชั่วคราว หานลี่พลันเก็บมือข้างหนึ่ง ปีกที่แผ่นหลังกระพือออกในทันที กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งหันหัวหนีไป
เป้าหมายก็คือทิศทางที่มา
หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง หานลี่ก็ไปอยู่ที่ขอบฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอีกครั้ง
และในตอนนั้นเองฉับพลันนั้นหานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ชูมือหนึ่งขึ้น เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กระบี่เล่มเล็กสีทองยี่สิบสามสิบเล่มระเบิดออกพุ่งออกไป ทะลวงผ่านอากาศใกล้ๆ ไป
ทำให้ฉากที่น่าประหลาดใจพลันปรากฎขึ้น
จุุดที่กระบี่เล่มเล็กสีทองพุ่งออกไป ลำแสงสีขาวสว่างวาบ ฉับพลันนั้นเงาร่างหญิงสาวชุดคลุมสีขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แขนข้างหนึ่งรวมทั้งแขนเสื้อหายวับไป
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นภูตหญิงนามว่า ‘ภูตขาว’
สตรีผู้นี้ถูกหานลี่บีบออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง สายตาของเขาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าอยากจะเอ่ยอะไรออกมา
แต่หานลี่กลับมีสีหน้าเย็นชาครอบใบหน้าอยู่ แขนข้างหนึ่งมีเสียงร้องครวญดังขึ้น ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกไป หมุนวนบนพื้น เผยวานรน้อยสีดำตัวหนึ่งออกมา
นั่นก็คืออสูรวิญญาณครวญ
ครานี้การหนีเอาชีวิตรอดของหานลี่สำคัญที่สุด จึงไม่อยากพัวพันกับอีกฝ่าย คาดไม่ถึงว่าจะลงมือเรียกอสูรร้ายที่กินภูตผีออกมาโดยเฉพาะ
ภุตหญิงชุดขาวเห็นเช่นนั้น ฉับพลันนั้นในลำคอพลันมีเสียงกรีดร้องแหลมๆ ดังขึ้น ใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนลนลาน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นไอสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกไป
แต่การเคลื่อนไหวของอสูรวิญญาณครวญกลับรวดเร็วฉับไว ชั่วพริบตาร่างกายก็พลิ้วไห กลายเป็นวานรยักษ์สูงสองสามจั้ง ส่งเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก หมอกสีเหลืองพุ่งออกมา ชั่วครู่ก็ปกคลุมลำแสงสีขาวเอาไว้ และม้วนดึงกลับมา
ลำแสงสีขาวหม่นแสงลง เงาร่างภูตหญิงชุดขาวปรากฎขึ้นอีกครั้ง
ภายใต้ความตกตะลึงระคนลนลานของสตรีผู้นี้ ชุดคลุมสีขาวบนร่างพลันกลายเป็นม่านลำแสงสีขาวบริสุทธิ์ชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ ปกป้องร่างของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา โดยไม่รู้ว่าชุดคลุมสีขาวคือสมบัติชิ้นใดกันแน่ คาดไม่ถึงว่าลำแสงดูดวิญญาณของวิญญาณครวญจะไม่อาจเขย่าม่านลำแสงได้เลยสักนิด
วิญญาณครวญเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา คำรามเสียงต่ำๆ ออกมาจากในลำคอ วายุทมิฬปรากฎขึ้นรอบด้าน สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้น ร่างของวานรยักษ์ขยายใหญ่ขึ้น ขนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ตรงหน้าผากมีเขาหงิกงอสามเขางอกออกมา หว่างคิ้วมีรอยแยกปริแตก ดวงตาปีศาจสีแดงโลหิตปรากฎออกมา
ในเวลาเดียวกันใบหน้าของอสูรตัวนี้พลันยืดยาว เผยเขี้ยวแหลมคมออกมา แผ่นหลังมีหนามกระดูกสีดำยาวสองสามชุ่นสามหนาม ด้านบนมีไอสีดำหมุนวน ไอทมิฬกดดันจนน่าอึดอัด
เมื่อเห็นการกลายพันธุ์ของวิญญาณครวญ ภูตหญิงชุดขาวพลันยิ่งเผยความตกตะลึงระคนหวาดกลัวออกมา ฉับพลันนั้นปากพลันเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ยาวๆ ออกมา คลื่นเสียงที่ไร้รูปร่างโผเข้ามาหาวิญญาณครวญและหานลี่
แต่หานลี่กลับเตรียมการป้องกันสิ่งนี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว มือหนึ่งลูบไปที่ศีรษะ ม่านลำสแงสีเทาและเปลวเพลิงลำแสงห้าสีม้วนวน ปกป้องตนเองรวมทั้งอสูรวิญญาณครวญเอาไว้ข้างใน
เช่นนั้นจิตสัมผัสของหานลี่พลันรู้สึกเจ็บปวดไปเล็กน้อย แต่ก็มีท่าทีไม่เป็นอะไร
ส่วนอสูรวิญญาณครวญยิ่งไม่มีผลกระทบเลยสักนิด กลับมีสีหน้าโหดเ**้ยมฉายแวบผ่าน ดวงตาปีศาจตรงหว่างคิ้วเบิกขึ้น เสียง “ปัง” ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าหนาเท่าปากชามสายหนึ่งถูกพ่นออกมา
คาดไม่ถึงว่าประจุไฟฟ้าสีแดงสดนี้จะดูเหมือนสีโลหิต ชั่วครู่ก็ทะลวงผ่านลำแสงดูดวิญญาณเข้ามาหาร่างของภูตหญิงชุดขาวที่ไม่อาจขยับกายได้เลยสักนิด ลำแสงสีขาวที่ปกป้องร่างอยู่ไม่อาจยับยั้งประจุไฟฟ้าสีโลหิตได้เลยสักนิด
ภายใต้เสียงร้องคร่ำครวญของภูตหญิง ประจุไฟฟ้าสีโลหิตพลันพัวพันราวกับอสรพิษวิญญาณ รัดภูตตนนั้นเอาไว้แน่น จากนั้นก็ดึงกลับมา ภูตหญิงถูกม้วนเข้าไป และหดเล็กลงท่ามกลางประจุไฟฟ้า พลิ้วไหวคราหนึ่ง ก็มาอยู่ตรงหน้าปากที่เป็นดั่งอ่างโลหิต ถูกอสูรวิญญาณครวญกลืนลงไปอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด!
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ของเช่นเดียวกันถูกพ่นออกมาจากหัวคิ้วของอสูรวิญญาณครวญ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแผ่นป้ายหยกสีดำสนิท
หานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบเอาไว้ ของสิ่งนี้ถูกดูดเข้ามาในมือทันที พลิกไปมาพิจารณารอบหนึ่ง
“ยันต์หมื่นลี้!”
แม้ว่าจะไม่เหมือนกับเผ่ามนุษย์เท่าใดนัก แต่หานลี่ก็ยังรู้ประโยชน์ใช้สอยของมันได้ในปราดเดียว หลังจากที่ใบหน้ามีสีหน้าตกตะลึงฉายแวบผ่านไป ก็เผยสีหน้ามีขบคิดออกมา
ฉับพลันนั้นเขตอาคมลำแสงที่อยู่ไกลออกไปพลันมีเสียงตึงตังดังขึ้น ด้านในมีเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังมา
ร่างของเขาสั่นระริก กวักมือไปทางอสูรวิญญาณครวญอย่างร้อนรน
ชั่วขณะนั้นร่างของอสูรตัวนั้นพลันหดเล็กลง กลายเป็นลำสแงสีดำสายหนึ่งจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่
ในเวลาเดียวกันหานลี่พลันกระทืบเท้า ร่างกายพลันกลิ้งไปทางพื้นดิน กลายเป็นวิหคยักษ์สีเขียวตัวหนึ่ง บินออกไปราวกับสายฟ้า
ตอนที่ 1497 ยันต์เกราะเอก
วิหคที่อยู่กลางอากาศกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่ง กระพือปีกทั้งสอง พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง ความเร็วรวดเร็วดุจสายฟ้า
แต่ในร่างกายของหานลี่ที่แปลงกายเป็นวิหคนั้นพลันมีคาถาขับเคลื่อนโคจรไปมาอย่างบ้าคลั่ง ใช้จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งห่อหุ้มผนึกที่แข็งแกร่งของสี่ราชันย์ปีศาจเอาไว้
ทว่าผนึกราชันย์ปีศาจเหล่านี้ช่างแข็งแกร่งนัก ถึงแม้ว่าเขาจะสำแดงคาถาขับเคลื่อนออกมาสองสามครั้ง และในเวลาเดียวกันก็ยังอาศัยพลังการแปลงกายของวิหค แต่ก็ผนึกมันได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เดาว่ามากสุดหนึ่งวันหนึ่งคืนผนึกนี้ก็จะทลายผนึกออกมาได้อีกครั้ง
หานลี่ทำเช่นนี้แน่นอนว่าเพราะจะอยากให้ลิ่วจู๋และเหล่าราชันย์ปีศาจคิดว่าเขาเพลี้ยงพล้ำไปแล้ว เพื่อจะได้ดำเนินแผนต่อไปได้สะดวก
สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือพยายามช่วยหยวนเหยาและพวกทั้งสองคนออกมาจากแม่เฒ่าภูต จากนั้นก็ตามหาสถานที่ที่มีไอทมิฬหนาแน่น ให้สตรีทั้งสองกำจัดผนึกของเขาทิ้ง เช่นนั้นเขาถึงจะนับว่ากำจัดปัญหาในใจไปได้
ภายใต้สถานการณ์ปกติแน่นอนว่าหานลี่ยอมไม่อาจทำเรื่องนี้ได้ ทว่ามีอสูรอเวจีอัสนีคอยคุ้มครอง แน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนกัน
คำนวณเวลาที่เขายื้อให้เหล่าราชันย์ปีศาจ ก็ไม่นับว่านานนัก พวกเขาน่าจะเข้าไปยังสิ่งที่เรียกว่า ‘บ่อเทวะ’ ไม่นานนัก ต่อให้รู้ว่าอสูรตัวนี้กลับไปแล้ว จากการให้ความสำคัญต่อเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจีของพวกเขา ก็ไม่มีทางล้มเลิกสิ่งที่ก่อนหน้าแล้วถอยกลับอย่างร้อนรนแน่
ส่วนอสูรอเวจีอัสนีที่ถูกกักเอาไว้ในยันต์เก้าวังสวรรค์ ก็กลับไปยังรังของมันโดยความโกรธเกรี้ยว น่าจะไปหาเหล่าราชันย์ปีศาจพอดี
ถึงคราที่กำลังเกิดภัยพิบัตินั้น ขอแค่เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับลิ่วจู๋ มู่ชิงและพวกตัวต่อตัว ก็มีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะช่วยหยวนเหยาและพวกทั้งสองออกมาได้
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วในใจ ร่างที่แปลงเป็นวิหคพุ่งตรงกลับไปยังทางที่มาด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า
มองเห็นเขาเข้าไปในเทือกเขาสีเทาอีกครั้ง ฉับพลันนั้นเสียงอึกทึกก็ดังออกมาจากร่างของวิหค
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่วิหคพลันกลายร่างเป็นมนุษย์
หานลี่สะบัดแขนเสื้อ แผ่นป้ายหยกสีขาวแผ่นหนุ่งพุ่งออกไป หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็ร่อนลงในมือ
บนแผ่นป้ายหยกสลักรูปเก้าวิหารขนาดใหญ่เอาไว้ แต่ครานี้กลับแตกออกเป็นริ้วๆ จากตรงใจกลาง
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี มองไทปางด้านหลังตามความรู้สึกแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็เก็บแผ่นป้ายหยกเข้าไป
อีกมือหนึ่งปัดไปบนกำไลเก็บของ ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ยันต์สีม่วงที่มีอักขระลึกลับแผ่นหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางปรากฎขึ้นในมือ
นั่นก็คือยันต์ชำระพิสุทธิ์!
หานลี่ไม่ได้ลังเลนัก มือหนึ่งปัดไปเบื้องหน้า ทันใดนั้นก็คลายนิ้วออก
ยันต์สีม่วงระเบิดออก อักขระสีเงินสองสามตัวปรากฎออกมา บินวนล้อมรอบหานลี่
หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นเบาๆ อักขระนี้ก็กลายเป็นหมอกสีเงิน ชั่วพริบตาก็กลืนกินร่างของเขาเข้าไปข้างใน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หมอกสีเงินก็สลายหายไป ที่เดิมไร้ซึ่งผู้คน
ร่างของหานลี่กลายเป็นภาพมายา และกำลังร่อนลงด้านล่าง สุดท้ายก็ซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังกลางอากาศไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ขอบฟ้าก็มีเสียงฟ้าร้องดังแว่วมา
หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าก็มีอัสนีสว่างวาบ อสูรอเวจีอัสนีที่มีประจุไฟฟ้าห่อหุ้มร่าง บินแฉลบผ่านไปในบริเวณนั้น ไม่รู้สึกถึงหานลี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาด้านล่างเลยสักนิด
หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ประจุไฟฟ้าสีเงินก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยที่ปลายฟ้า
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ยังคงรักษาสภาวะการหายตัวเอาไว้ รออยู่ใต้ต้นไม้ไม่ขยับเขยื้อน
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ หานลี่ก็ดูเหมือนจะรู้สึกว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว ถึงได้ยักไหล่ ลำแสงสีเงินสว่างวาบ ร่างกายค่อยๆ ปรากฎออกมา
อักขระสีเงินบินออกมาจากในร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง รวมตัวกันกลายเป็นยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งกลางอากาศ พลางปลิวไสวร่อนลงมาอย่างแผ่วเบา
หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักออกไป ยันต์สีม่วงกลายเป็นลำแสงสีม่วงสายหนึ่งจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ .
จากนั้นบนร่างของเขาพลันมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งไปยังขอบฟ้าอีกครั้ง ดูจากทิศทางแล้วคือเส้นทางเดียวกันกับที่อสูรอเวจีอัสนีบินไป!
ไม่นานนัก หานลี่ก็กลับมายังม่านลำแสงสีดำที่เดิม
เมื่อลำแสงหลีกหนีของเขาหม่นแสงลง ลอยอยู่กลางอากาศพลางกวาดตามองไปด้านล่าง พลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เห็นเพียงด้านล่างมีกลิ่นไหม้เกรียมลอยขึ้นมา ซากภูตมากมายจนนับไม่ได้กองอยู่เต็มพื้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีดำสนิท ท่าทางเหมือนถูกอัสนีกวาดผ่านไป รอบด้านมีพายุทมิฬหมุนวน ระลอกคลื่นของเขตอาคมอันแข็งแกร่งยังคงหลงเหลืออยู่ ดูเหมือนว่าเพิ่งจะวางได้ครึ่งหนึ่งก็ถูกคนฝืนทลายออกไปอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่มีสีตกตะลึงฉายแวบผ่าน ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมาสองสามส่วน
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้ว่า มีกลุ่มหุ่นเชิดเกราะโลหิตอยู่ด้านหลัง ส่วนหลังจากที่อสูรวิญญาณครวญกลืนกินภูตหญิงชุดขาวไปแล้ว ภูตเหล่านี้ที่ไม่รู้ว่าอสูรอเวจีอัสนีกลับมาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ขณะที่ไม่ทันได้หลบหลีก แน่นอนว่าย่อมถูกอสูรที่กำลังโกรธเกรี้ยว ใช้อัสนีจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดใส่จนกลายเป็นผุยผง
หากหุ่นเชิดเกราะโลหิตรู้ว่าเครื่องมือสังหารที่ทิ้งเอาไว้ด้านนอกถูกกวาดไปจนเกลี้ยง แน่นอนว่าย่อมต้องโกรธจนเนื้อเต้น หากภูตหญิงชุดขาวยังอยู่แล้วใช้ยันต์หมื่นลี้รายงานมาก่อน ภูตเหล่านี้ก็คงหลบอสูรอเวจีอัสนี แล้วกลับไปวางเขตอาคมกันต่อ เขาทำให้ภูตระดับสูงคนหนึ่งจับตาดูร่องรอยของหานลี่และอสูรอเวจีอัสนีเอาไว้ แต่เดิมก็เพราะเจตนานี้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับถูกหานลี่ทำลายลง
หานลี่หมุนวนอยู่กลางอากาศต่ำๆ รอบหนึ่ง ไม่พบภูตที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าทั้งหมดถูกอสูรอเวจีอัสนีสังหาร หรือว่าภูตที่ยังรอดชีวิตอยู่หนีเตลิดไปแล้วกันแน่
หานลี่ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้นัก เมื่อหางคิ้วกระตุกก็หยุดร่างกายลงอีกครั้ง สายตาตกไปอยู่ตรงทางเดินที่มีเปล่งแสงสีฟ้าระยิบระยับ
หานลี่ลูบใต้คางพลางครุ่นคิด
แต่หลังจากที่แววตาเปล่งประกาย ก็สะบัดแขนเสื้อ ยันต์สีเงินเป็นตั้งๆ บินออกมาจากร่าง อักขระกระพริบวาบ ยันต์เก้าวังสวรรค์ชุดหนึ่งปรากฎขึ้น
เพราะว่าหลอมได้ไม่ง่าย หานลี่จึงหลอมยันต์ชนิดนี้เอาไว้แค่สองชุด ชุดแรกใช้ไปแล้ว แน่นอนว่านี่จึงเป็นยันต์เก้าวังสวรรค์ชุดสุดท้ายแล้ว
สองมือของหานลี่พลันร่ายอาคมไทปางยันต์เหล่านี้
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎออกมา
ภายใต้การกระตุ้นของหานลี่ ยันต์สีเงินทยอยกันพุ่งไปยังทางเข้า แต่บรรยากาศรอบๆ กลับสลายหายไป
ดูเหมือนว่าจะถูกหานลี่สำแดงเคล็ดวิชาอะไรสักอย่าง อำพรางยันต์ชุดนี้เอาไว้
หานลี่เก็บมือที่ร่ายอาคม แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบพลางพิจารณาจุดที่ซ่อนอยู่ในยันต์เหล่านี้ แล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พลิกฝ่ามืออีกครั้ง ยันต์สีเงินอีกสองแผ่นปรากฎออกมา
แต่แค่ยันต์เหล่านี้กลับแตกต่างกันกับยันต์เก้าวังสวรรค์ก่อนหน้า ด้านบนไม่มีอักขระอะไรกระพริบวาบๆ อยู่ กลับแยกออกเป็นเงาร่างคนจางๆ สายหนึ่งสลักอยู่ วังทั้งห้าล้วนลางเลือน เรือนกายสวมชุดเกราะสีทอง
เงาร่างคนบนยันต์สีเงินแผ่นหนึ่งถือปืนยาวสีทองด้ามหนึ่งเอาไว้ อีกแผ่นหนึ่งกลับถือมีดเอาไว้ด้วยมือทั้งสองมือ
สิ่งที่แปลกก็คือเงาร่างคนสองสายพลิ้วไหวอยู่บนแผ่นยันต์ บางครั้งก็โบกสะบัดมีดอาวุธในมือ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากที่ยันต์แผ่นนี้เปล่งประกาย หานลี่ก็ประกบพวกมันเข้าในมือทั้งสองอ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินพลันเปล่งประกายสว่างวาบ เงาลวงตาสีทองทั้งสองสายพลันพุ่งออกไปในทันที หลังจากนั้นพลันหมุนวนอยู่รอบๆ แล้วทยอยกันพุ่งไปหาพื้นดินราวกับสายรุ้ง
คาดไม่ถึงว่าจะจมหายเข้าไปในพื้นดิน เงาร่างของหานลี่จึงสะท้อนกับพื้นดิน
ถึงแม้ว่าหานลี่จะลอยตัวอยู่กลางอากาศไม่สูงนัก แต่เงาที่สะท้อนกับพื้นดินกลับลางเลือนจนหาที่เปรียบมิได้ แต่เช่นนั้นเงาลวงตาสีทองของยันต์สองสายก็จมหายเข้าไป หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที
นี่คือยันต์อีกชนิดหนึ่งจากหน้ากระดาษที่ฉีกขาดที่หานลี่เขียนขึ้น ‘ยันต์เกราะเอก’
ยันต์ชนิดนี้เขาเองก็เคยหลอมสำเร็จแค่สามใบ เมื่อครู่ใช้ไปแล้วสองใบ เห็นได้ชัดว่าเป็นการให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากฃ
นั่นก็ไม่แปลกสิ่งที่อยู่ในม่านลำแสงสีดำ ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับหลอมร่างขึ้นไป ทุกตนไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต่อกรด้วยได้ เตรียมตัวเอาไว้มากหน่อยก็ดีกว่าเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้น
หานลี่ที่สำแดงยันต์เกราะเอกออกมายังไม่ได้โบกมือ ก็อ้าปากออกพ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา หมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศ กลายเป็นวิหคเพลิงกลืนวิญญาณที่ตัวใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นหานลี่พลันชูมือขึ้น ไข่มุกอัสนีสีเขียวสิบกว่าเม็ดพุ่งออกมา ถูกวิหคเพลิงสีเงินอ้าปากกลืนลงไปในท้องทั้งหมด
ทันใดนั้นวิหคเพลิงตัวนี้ก็หมุนวน และทะลวงเข้าไปยังต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง หายวับไปอย่างไร้เงา
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว หานลี่พลันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลังจากได้สติแล้วมือหนึ่งก็ขยับ หว่างนิ้วมียันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งปรากฎขึ้น พลิ้วไหวเล็กน้อย ร่างกายหายวับไปท่ามกลางกลุ่มหมอก
หานลี่มองทางเข้าสีฟ้าที่ดูเหมือนแหล่งที่เต็มไปด้วยอันตราย พลางเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อม่านลำแสงสีดำปรากฎขึ้น หานลี่พลันกวาดสายตาไป แล้วอดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
รอบด้านเป็นสีดำสนิท ช่างมืดมนนัก
มีเพียงจุดที่ไกลบ้างใกล้บ้างที่มีก้อนหินสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบเรืองๆ ทำให้หานลี่เกือบจะคิดว่าตนเองกลับไปยังเหวพสุธาอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าจากเนตรวิญญาณของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจสิ่งเหล่านี้
ภายใต้สายตาที่หรี่เล็กลงของหานลี่ จึงมองเห็นทุกอย่างในบริเวณรอบได้อย่างชัดเจน
รอบๆ ดูเหมือนว่าจะรกร้างมาก บนพื้นดินนอกจากก้อนหินน้อยใหญ่แตกต่างกันไปแล้ว ก็ไม่มีทัศนียภาพใดๆ อีก
แม้กระทั่งมองไกลๆ ออกไป ต้นไม้สูงใหญ่สักตนก็ยังไม่ปรากฎอยู่ในสายตา บางครั้งก็มีต้นหญ้าขึ้นอยู่เล็กน้อย แต่ก็เป็นแค่กอเตี้ยๆ เท่านั้น
หานลี่สูดลมหายใจเข้าสองสามเฮือก สัมผัสได้ถึงไอวิญญาณที่หนาแน่นในบริเวณรอบ แล้วพลันรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ลึกๆ ไม่ได้
ทว่าเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ทางเข้านานัก ร่างกายบินตรงออกไปข้างหน้า
แม้จะไม่รู้ว่าบ่อเทวะที่เรียกนี้คือสิ่งใด แต่โดยปกติแล้วไปตรวจสอบตรงใจกลางของเขตอาคมก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิด
แม้ว่าจะเป็นร่างล่องหน แต่จากความเร็วของหานลี่ก็ยังคงไม่เชื่องช้า ระยะทางสิบกว่าลี้ก็มาถึงได้ในชั่วพริบตา
ผลคือดวงตาทั้งสองของหานลี่เปล่งประกาย ท่ามกลางความมืดมิดสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนวิหารปรากฎขึ้น
สิ่งปลูกสร้างนี้ไม่นับว่าสูงใหญ่นัก มีขนาดแค่ยี่สิบสามสิบจั้งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นดูแล้วยังใช้ก้อนหินธรรมดาๆ หยาบๆ สร้างขึ้น แต่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขามาถูกที่แล้ว
ทันใดนั้นหานลี่พลันร่ายอาคม บินไปยังวิหารนั้นอย่างรวดเร็ว
ทางเข้าของวิหารเป็นประตูวิหารสี่เหลี่ยมสูงสิบจั้งเศษ ประตุหินสีดำบานหนึ่งเปิดออกมาสู่ภายนอก
หานลี่กวาดสายตาไปในบริเวณของประตูใหญ่ตามความรู้สึก ฉับพลันนั้นแววตาพลันฉายแววประหลาดใจ ร่างกายหยุดลง
ทั้งสองฝั่งของประตูหินบานนั้นมีไอทมิฬที่แข็งแกร่งอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีภูตระดับสูงสองตนซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น
หานลี่พลันรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่เมื่อคิดอีกที ภูตที่อยู่ตรงทางเข้าถูกสังหารไปนับพันตน ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น