พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1495-1501

บทที่ 1495 มวลวิกฤต

 

ที่ตีนเขานอกประตูใหญ่ทิศตะวันออกของถ้ำมังกร บนหินก้อนหนึ่งที่ยืนออกมาบนผิวทะเลสาบหินหนืด ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกกลุ่มหนึ่งที่มีสีขาวกับสีแดง


ตรงผิวทะเลสาบและตีนเขาทางทิศตะวันออก วิญญาณอัคคีทั้งหมดถอยออกไป วิญญาณอัคคีของเขตพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นฝ่ายทำให้ตัวเองว่างเปล่าแล้ว ไม่หนีไปไม่ได้จริงๆ พอเข้าใกล้ตรงนี้ ร่างของวิญญาณอัคคีที่สังเกตเห็นเขาก็มีแนวโน้มที่จะหายไป พวกเขาตกใจจนทนไม่ไหว


วิญญาณอัคคีกลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านบนภูเขาพลันหยุดนิ่ง มีบางคนชี้ลงมาที่ตีนเขา วิญญาณอัคคีบางส่วนสังเกตพบว่าไอหมอกสีขาวแดงที่ปกคลุมอยู่ที่ตีนเขากำลังหดหายไปอย่างรวดเร็ว


เหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนหินที่ยื่นออกมาบนผิวทะเลสาบเริ่มเผยโฉมหน้าที่แท้จริงทีละนิด สัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์รูปดอกบัวดอกหนึ่งที่มีเก้ากลีบตรงหว่างคิ้วมีหนึ่งวง ถ้ามีหนึ่งวงก็คือขั้นหนึ่ง ถ้ามีครบเก้าวงก็คือขั้นเก้า


เหมียวอี้พลันลืมตาสองข้าง ปิดบังสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มดีใจไม่อยู่ บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง ในที่สุดตัวเองก็บรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นหนึ่งแล้ว!


อยู่ที่ตีนเขาถ้ำมังกรของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญมาเป็นเวลาสี่ร้อยกว่าปีแล้ว จุดดาวสีฟ้าและสีแดงที่จับคู่หมุนวนกันอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้นสองร้อยสิบ้ล้านกว่าคู่แล้ว ตอนนี้ความเร็วในการดูดซับยาแก่นเซียนในแต่ละวันของเขาเกือบจะเป็นสามพันเม็ดแล้ว ลองคิดย้อนไปถึงตอนที่เพิ่งบรรลุระดับบงกชทองขั้น ตอนนั้นความเร็วในการดูดซับยาแก่นเซียนคือวันละสามร้อยหกสิบเม็ดเท่านั้น อยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มาเก้าร้อยปี ทำให้ความเร็วในการฝึกตนเพิ่มขึ้นแล้วแปดเท่า


พอลงนับนิ้วคำนวณ คาดว่าถ้าจะบรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นสองก็ต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกแปดร้อยล้านกว่าเม็ด เกือบจะเก้าร้อยล้านเม็ด


ความดีใจเป็นแค่เรื่องชั่วคราว เหลืออีกประมาณยี่สิบปีก็จะครบกำหนดเวลากักขังหนึ่งพันปีแล้ว โอกาสในการฝึกตนแบบนี้หาพบได้ยาก เขาไม่อยากปล่อยทิ้งให้เสียของ


หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ยาแก่นเซียนกลุ่มหนึ่งก็ลอยขึ้นมา วนรอบตัวเขาแล้วระเบิดออก เขาจมอยู่ท่ามกลางพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นอีกครั้ง…


หลังจากนั้นสิบปี เขากลับจำเป็นต้องหยุดฝึกวิชา เพราะใช้ยาแก่นเซียนบนตัวหมดแล้ว


ก็เป็นอย่างที่บอก เขาไม่อยากปล่อยโอกาสในการฝึกตนอันล้ำค่าแบบนี้ไป เมื่อไม่มียาแก่นเซียนแล้วก็ยังใช้อย่างอื่นได้ บนตัวเขายังมีลูกแก้วพลังปรารถนาอีกจำนวนมาก


ถ้าถามว่าบนตัวเขามีลูกแก้วพลังปรารถนาอยู่เท่าไร ก็ตอบได้เลยว่าไม่น้อย เขามีเยอะมาก


ตอนที่เขาเป็นผู้บัญชาการที่ตำหนักสวรรค์ ค่าจ้างของเขาในแต่ละปีก็คือลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงหนึ่งล้านลูก ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงหนึ่งลูกเท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับกลางสิบลูก เท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งร้อยลูก หรือพูดได้อีกอย่างว่าตอนที่เขาเป็นผู้บัญชาการ ในแต่ละปีได้ค่าจ้างเป็นลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งร้อยล้านลูก


ตอนที่เป็นผู้บัญชาการไม่ถือว่าใช้เวลานานสักเท่าไร แต่ตอนที่เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็ถือว่ายาวพอสมควร เป็นเวลาหลายพันปี


ค่าจ้างของตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่กับแม่ทัพภาคก็ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ตำแหน่งผู้บัญชาการจะเทียบคิด นอกจากบางส่วนที่นำมาเป็นรางวัลให้ลูกน้อง ลูกแก้วพลังปรารถนาที่เขาได้มาหลายปีก็แทบจะไม่เคยใช้เลย เมื่อมียาแก่นเซียนเพียงพอแล้ว ใครจะยังไปใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาอีกล่ะ


ตอนนี้ในมือเขายังมีลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงอีกหกพันล้านกว่าลูก เท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหกแสนล้านลูก และลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งแสนลูกก็เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งเม็ด หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในมือเขามีลูกแก้วพลังปรารถนาเกือบเท่ายาแก่นเซียนหกล้านกว่าเม็ด


อาศัยความเร็วในการฝึกวิชาของเขาในตอนนี้ ลูกแก้วพลังปรารถนาพวกนี้ก็เพียงพอจะให้เขาใช้ได้หลายปี


ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงที่ใหญ่เท่าไข่กระทาลอยออกมาอย่างหนาแน่น แล้วก็ถูกเคล็ดวิชาอัคนีดารากลั่นกรองอย่างรวดเร็ว เรียกพลังจิตวิญญาณฟ้าดินท่ามกลางความลี้ลับ


เพียงแต่ใช้ยาแก่นเซียนมาจนชินแล้ว วิธีการที่ต้องกลั่นกรองเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในลูกแก้วพลังปรารถนาอย่างช้าๆ ทำให้เขารำคาญนิดหน่อย


เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว เขากำลังคิดว่ายังไม่ต้องสนใจเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่อยู่ในนั้นหรอก สนใจแค่ดูดซับจิตวิญญาณฟ้าดินรวมทั้งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเข้ามาในร่างกายพร้อมกันก็พอ อาศัยความสามารถในการควบคุมของเคล็ดวิชาอัคนีดาราในตอนนี้ ตอนสุดท้ายค่อยกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทิ้งรวดเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว


เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะได้ผลหรือเปล่า ไม่รู้ถึงความสามารถในการแบกรับของตัวเองหลังจากสะสมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเอาไว้


แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะลองดู หลังจากมีความคิดแบบนี้แล้ว เขาก็เริ่มทดลองอย่างเต็มที่ทันที


ทันใดนั้น ทันใดนั้นพวกวิญญาณอัคคีในภูเขาถ้ำมังกรรวมทั้งในทะเลสาบหินหนืดก็พากันโผล่หัวออกมา แล้วมองไปรอบๆ อย่างตกตะลึง มีบางคนชี้ไปโดยรอบเป็นระยะ


มีไอหมอกลอยขึ้นมาแล้ว!


รวมทั้งในภูเขาถ้ำมังกรด้วย เริ่มมีไอหมอกปกคลุมอย่างช้าๆ ไอหมอกยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ห่างออกไปไม่กี่จั้งก็มองเห็นไม่ชัดเจนแล้ว


“แปลกจัง! หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญมีอุณหภูมิสูงขนาดนี้ เป็นไปได้ยังไงที่จะมีหมอก ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็โดนย่างจนแห้งแล้วสิ?”


“เป็นพลังจิตวิญญาณ! ทุกคนรีบมาดูสิ เป็นพลังจิตวิญญาณ!”


“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน มันคือพลังจิตวิญญาณ เป็นพลังจิตวิญญาณฟ้าดินจริงๆ!”


“เป็นอะไรไปแล้ว? เป็นอะไรไป ทำไมอยู่ดีๆ มีพลังจิตวิญญาณฟ้าดินโผล่มาได้ล่ะ?”


กลุ่มวิญญาณอัคคีส่งเสียงฮือฮาทันที เรียกได้ว่าทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ


“มีพลังจิตวิญญาณมาให้ถึงที่ จะปล่อยให้พลาดได้ยังไง พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นขนาดนี้ ทุกคนดูดซับเพื่อเพิ่มวรยุทธ์ได้พอดีเลย”


“เจ้าโง่เอ๊ย! เกิดเรื่องประหลาดขึ้น ต้องมีเงื่อนงำแน่ รีบไปรายงานสิ!”


ผ่านไปไม่นาน ก็มีวิญญาณอัคคีสองคนรีบวิ่งไปในตำหนักใหญ่ถ้ำมังกร รายงานต่อบ่อเพลิงมังกรที่ลุกโชนโชติช่วงว่า “ผู้อาวุโส พวกข้าน้อยมีเรื่องจะรายงาน”


เปลวเพลิงรูปมังกรเลื้อยกลายเป็นหัวมังกรเพลิงอย่างรวดเร็ว ดวงตาเพลิงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามจ้องลงมา “มีเรื่องอะไร?”


ชายผมแดงคนหนึ่งตอบว่า “จู่ๆ ด้านนอกก็มีพลังจิตวิญญาณโผล่มา เหมือนทะเลหมอกเลย ครอบคลุมภูเขาเอาไว้ทั้งลูกขอรับ”


“ทะเลหมอกพลังจิตวิญญาณปิดภูเขา…ไม่เคยเห็นมานานแล้ว โผล่มาอีกแล้ว เป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวคนนั้นจริงๆ ด้วย!” หัวมังกรเพลิงพึมพำ ดวงตาเพลิงที่ล้ำลึกพลันเปล่งประกายอีกครั้ง จากนั้นก็มีเสียงของหลายคนกล่าวอย่างช้าๆ พร้อมกันว่า “รู้แล้ว บอกทุกคนมาว่าตื่นตูม ต้องดูแล้วว่าใครบางคนจะใจกว้างหรือเปล่า ถ้าใจกว้าง ก็ให้ทุกคนได้ตักตวงผลประโยชน์นี้ไว้สักหน่อย แต่ถ้าไม่ใจกว้าง ก็ให้รีบหายไป” พอพูดจบ เขาเองก็หายไปแล้ว เปลวเพลิงเดือดกลับมาเป็นรูปมังกรเลื้อยเหมือนเดิม


ผ่านไปไม่นาน ทุกที่บนถ้ำมังกรและริมทะเลสาบหินหนืดก็เต็มไปด้วยวิญญาณอัคคีที่กำลังนั่งสมาธิ ดื่มด่ำธาตุไฟและพลังจิตวิญญาณพร้อมกัน


เหมียวอี้ที่ตรงหว่างคิ้วปรากฏภาพมายาบงกชรุ้งขั้นหนึ่งพลันลืมตาขึ้น แล้วมองดูพลังจิตวิญญาณที่ปกคุลมฟ้าดินราวกับหมอก จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อด้วยความอับอาย


หลังจากเขาฝึกตนอย่างเต็มที่ ในขณะที่กลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนากองใหญ่ ผลก็คือพบว่าใช้พลังในการเรียกพลังจิตวิญญาณฟ้าดินแรงเกินไป ตอนนี้พลังจิตวิญญาณฟ้าดินมืดฟ้ามัวดินเข้ามาแล้ว เลยเกิดเป็นหมอกพลังจิตวิญญาณอย่างที่เห็น


เมื่อเห็นว่าตัวเองก่อเรื่องเข้าแล้ว เขาถึงได้รู้ตัว ว่าพลังจิตวิญญาณในยาแก่นเซียนกำลังระเบิดอยู่รอบกายเพื่อให้ตนได้ดูดซับ ลูกแก้วพลังปรารถนาไม่ได้มีพลังจิตวิญญาณแฝงอยู่ แต่อาศัยพลังปรารถนาเรียกพลังจิตวิญญาณ ตัวเองต้องการความไว ครั้งแรกที่ทำแบบนี้จึงไม่ได้ประเมินแรงที่ใช้ลงมือ ใช้แรงเยอะเกินไปในรวดเดียว ความเร็วในการดูดซับของตัวเองก็มีขีดจำกัด ผลจากการยับยั้งครั้งแล้วครั้งเล่าจึงกลายเป็นแบบนี้


ทำแบบนี้สิ้นเปลืองลูกแก้วพลังปรารถนาเกินไปแล้ว เดิมทีก็ยิ่งไม่พอใช้อยู่ ไม่ได้การละ แบบนี้ต้องควบคุมไว้!


เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วค่อยๆ ควบคุมความเร็วในการกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาตามความเร็วในการดูดซับของตัวเอง


ผ่านไปไม่นาน กลุ่มวิญญาณอัคคีที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ทั้งบนทั้งล่างภูเขาก็พลันลืมตาขึ้น พวกเขาพบว่าหมอกพลังจิตวิญญาณตรงหน้าเริ่มบางเบาลงทีละนิด เริ่มมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลๆ ชัดเจนแล้ว


รอจนกระทั่งหมอกพลังจิตวิญญาณหายไปจนหมดสิ้น ทุกคนก็มองเห็นทิศทางสุดท้ายที่หมอกพลังจิตวิญญาณพวกนั้นลอยไปอย่างชัดเจน ทั้งหมดไปรวมอยู่บนตัวชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินที่ยืนออกมา พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นดุจน้ำนมล้อมรอบชายคนนั้นเอาไว้ ในนั้นมีหมอกสีแดงปะปนด้วย


ทั้งล่างทั้งบนภูเขา ทุกคนไม่มีส่วนในพลังจิตวิญญาณแล้ว มีเพียงเหมียวอี้ด้านล่างภูเขาที่ชื่นอกชื่นใจ


“คนที่ผู้อาวุโสพูดถึงคือเขาจริงๆ ด้วย”


“ยังหวังจะให้เขาใจกว้างกว่านี้สักหน่อย งกจริงๆ”


ชายหญิงผมแดงคู่หนึ่งที่นั่งตรงไหล่เขาสุมหัวนินทาอยู่สักพัก แล้วมองยังเหมียวอี้ตรงตีนเขาด้วยแววตาดูถูก


ไม่มีอะไรให้เล่นแล้ว ได้ดีใจเพียงประเดี๋ยวเดียวเอง กลุ่มวิญญาณอัคคีพากันทำสีหน้าผิดหวัง ทยอยกันลุกขึ้นหายไปแล้ว


หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม วิญญาณอัคคีบริเวณถ้ำมังกรก็ทำสีหน้าประหลาดใจอีก พบว่าหมอกพลังจิตวิญญาณที่ค่อยๆ ขยายบริเวณกว้างโผล่มาอีกแล้ว


จนกระทั่งตอนที่กลุ่มวิญญาณอัคคีเตรียมจะอาศัยบารมีอีกครั้ง ก็พบว่าหมอกพลังจิตวิญญาณเจือจางลงอีกแล้ว พวกเขาผิดหวังอีกครั้ง


ที่แปลกเหมือนเห็นผีก็คือ ผ่านไปไม่นานก็เกิดสถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก


ชายหญิงผมแดงบางคู่ที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกเริ่มโมโหแล้ว สงสัยใครบางคนจะกำลังปั่นหัวพวกเขาเล่น แต่โชคดีที่หลังจากทำซ้ำแบบนี้ไม่กี่ครั้ง ก็ไม่เกิดเหตุการณ์นี้อีกแล้ว


ทว่าเหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางหมอกพลังจิตวิญญาณเข้มข้นกลับเบะปากข้างเดียว อดไม่ได้ที่จะยิ้มเบาๆ มุมปากกระตุกเล็กน้อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขาเกือบจะขำออกมาแล้ว


ไม่ได้แล้ว! เขารีบหยุดร่ายอิทธิฤทธิ์ฝึกตน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปตัวเองต้องโดนจิตมารเข้าแทรกแน่นอน


หลังจากหยุดแล้ว เขาก็มองดูพลังจิตวิญญาณรอบกายที่กระจายไปเพราะไม่ถูกควบคุม แต่เขาก็ไม่ปวดใจหรอก กลับยิงฟันขาวอยู่ท่ามกลางไอหมอกด้วยซ้ำ หัวเราะจนตัวกระตุก เรียกได้ว่าหัวเราะเหมือนคนโง่


จะไม่ให้ดีใจคงไม่ได้แล้ว เขาไม่ได้ดีใจเพราะได้แกล้งวิญญาณอัคคีพวกนั้น ความจริงเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังแกล้งวิญญาณอัคคีพวกนั้นอยู่ แต่เขาค้นพบข้อดีในการใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกวิชา


อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ระดับความสามารถเล็กน้อยในการควบคุมเคล็ดวิชาอัคนีดารา เขาพบว่าต่อให้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่แฝงอยู่ในลูกแก้วพลังปรารถนามาสะสมอยู่ในร่างกายเขา แต่ก็จะไม่เกิดผลร้ายอะไรต่อเขาอยู่ดี เมื่อครู่นี้ทดลองดูแล้ว แค่รอบเดียวก็กวาดล้างได้ยอดเยี่ยมมาก กวาดล้างเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมอยู่ในร่างกายเขาจนหมดเกลี้ยง การใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาไม่ส่งผลต่อความเร็วในการฝึกของเขา แค่ปรับขั้นตอนการฝึกตนนิดหน่อยก็พอแล้ว


แน่นอน นี่ไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เขาหัวเราะจนตัวกระตุก ถ้าเรื่องแค่นี้ทำให้หัวเราะได้ นั่นก็แสดงว่าสำหรับเขาแล้ว ลูกแก้วพลังปรารถนากับยาแก่นเซียนมีประสิทธิภาพพอๆ กันเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องแอบหัวเราะเหมือนคนโง่


เป็นเพราะเขาค้นพบความมหัศจรรย์ในการใช้ลูกแก้วพลังปรารถนา ก่อนหน้านี้ตอนใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาแล้วกลั่นกรองเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทีละนิดก็ยังไม่รู้เลย ครั้งนี้พอลองไม่สนใจภัยของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแล้วย่อยลูกแก้วพลังปรารถนาอย่างเต็มที่ เขาก็ค้นพบ ‘มวลวิกฤต[1]’ แล้ว


ทำไมถึงเรียกว่ามวลวิกฤตน่ะเหรอ? ก็เป็นเพราะตอนที่ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาทีละนิดก็จะมีประสิทธิภาพที่ตายตัว แต่พอใช้รวมกันที่ละเยอะๆ ประสิทธิภาพในการเรียกรวมพลังจิตวิญญาณก็ไม่ได้เพิ่มแค่หนึ่งเท่าสองเท่าตามที่จินตนาการไว้ แต่เพิ่มเป็นสามเท่า สี่เท่า ถึงขั้นห้าเท่าเลยด้วยซ้ำ


ตอนที่เรียกพลังปรารถนาออกมาได้เยอะมากพอ พลังจิตวิญญาณที่เกิดจากการตอบสนองก็ไม่ใช่สิ่งที่พลังปรารถนาเล็กน้อยนี้จะเทียบติด นี่ก็คือ ‘มวลวิกฤต’ ที่เขาค้นพบ


เมื่อครู่นี้เขาแค่ทดลองซ้ำนิดหน่อย เขาเชื่อว่าถ้าเพิ่มพลังปรารถนาตอนเรียกอีก การตอบสนองก็จะยิ่งน่าตกใจ สามารถเกิดผลมหัศจรรย์ที่ซ้อนทับกันหลายชั้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด


มีข้อดีมากขนาดนี้ เขาจะไม่หัวเราะเหมือนคนโง่ได้ยังไงล่ะ?


ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงหนึ่งพันลูกสามารถแลกยาแก่นเซียนได้หนึ่งเม็ด ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนานั้นยุ่งยาก ทุกคนล้วนเต็มใจจะแลกลูกแก้วพลังปรารถนาเป็นยาแก่นเซียน กลัวก็แต่ว่าคนที่มียาแก่นเซียนอยู่ในมือจะไม่ยอมแลกกับเขา พอเป็นแบบนี้ ก็จินตนาการได้ถึงผลดีที่อยู่ในนั้นเลย


…………………………


[1] มวลวิกฤต Critical mass มวลน้อยที่สุดของวัสดุที่เกิดการแบ่งแยกนิวเคลียสได้

 

 

 


บทที่ 1496 หน้าตาเหมือนไก่นก

 

สิ่งที่เรียกว่าส่วนต่างราคาคืออะไรล่ะ? ก็นี่ไงส่วนต่างราคา ทั้งยังเป็นส่วนต่างราคาหลายเท่าด้วย!


แบบนี้ก็เท่ากับว่ายาแก่นเซียนหนึ่งเม็ดสามารถเอามาทำเป็นสองเม็ดหรือหลายเม็ดไว้ใช้ได้ ตามวรยุทธ์ที่ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งประหยัดทรัพยากรฝึกตนได้มากเท่านั้น


ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือตอนที่เรียกพลังปรารถนาเพิ่มขึ้น ก็สามารถดึงคนอีกหลายคนมาร่วมฝึกตนด้วยกันได้เลย ตามประสิทธิภาพซ้อนทับที่ไร้ขอบเขตนี้ ยิ่งมีคนมากก็จะยิ่งประหยัดทรัพยากรฝึกตนได้มาก แน่นอน เขาจะไม่ดึงคนที่ไม่ไว้ใจมาร่วมฝึก แต่ถ้าเป็นอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีปัญหาเลย ยกตัวอย่างเช่นถ้าอวิ๋นจือชิวมาฝึกตนด้วยกัน ก็สามารถประหยัดแรงในการกลั่นกรองได้ ถึงแม้จะดูดซับอย่างเต็มที่ แต่ก็สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนให้อวิ๋นจือชิวได้เยอะมาก


แค่จินตนาการก็รู้สึกดีมากแล้ว ตอนนี้รู้สึกจนใจนิดหน่อย เพราะเขากับอวิ๋นจือชิวอยู่แยกกันคนละที่เป็นระยะเวลายาวนาน ไม่สามารถฝึกตนด้วยกันได้


ยังมีความยุ่งยากอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเห็นแต่คนนำลูกแก้วพลังปรารถนาไปแลกเป็นอย่างอื่น ยังไม่เคยได้ยินใครนำอย่างอื่นมาแลกเป็นลูกแก้วพลังปรารถนาเลย ถ้าจะแลกก็แลกเป็นพวกยาเสริมพลังชีวิตกับยาแก่นเซียน ถ้าไม่ใช่เพราะเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่กลั่นออกจากลูกแก้วพลังปรารถนายังมีมูลค่าเสริม ก็คาดว่าคงไม่มีใครอยากแลก


ก็เป็นอย่างที่บอกไว้ การใช้ลูกแก้วพลังปรารถนานั้นยุ่งยาก


พอเป็นแบบนี้ พอจะแลกเป็นจำนวนเยอะๆ เรื่องนี้ก็จะถูกเปิดโปงได้ง่าย จะต้องทำให้คนอื่นสงสัยแน่นอน แลกกับกำลังพลของตัวเองก็ไม่ได้ กับตำหนักสวรรค์ก็ไม่ได้ แต่สามารถทำการค้าลับๆ ที่ตลาดผีได้ เดี๋ยวกลับไปเขาจะให้อวิ๋นจือชิวไปจัดการเรื่องนี้


ใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารากลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพมหัศจรรย์ขนาดนี้ นี่คือสิ่งที่เหมียวอี้ไม่คาดคิดมาก่อน ช่างดีงาม! ต่อให้นอนฝันก็อาจจะยิ้มออกมาได้


เขาหัวเราะเหมือนคนโง่อยู่สักพัก แล้วก็ตั้งสมาธิฝึกตนต่อไป


“วี้ด…วี้ด…”


ไม่กี่วันหลังจากนั้น เสียงนกร้องที่ใสกังวานและอ่อนเยาว์ดังต่อเนื่องกันสองครั้ง เสียงนั้นทะยานสู่ท้องฟ้า แล้วก็เบาลงเหมือนมีเสียงกระบี่ดังอยู่ในหุบเขา


วิญญาณอัคคีในหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญทยอยกันโผล่หน้าออกมา มองไปที่ภูเขาถ้ำมังกร


กลุ่มไอหมอกที่ปกคลุมอยู่ริมทะเลสาบตรงตีนเขาก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เหมียวอี้ที่ปรากฏยืนขึ้นและมองไปบนภูเขาอย่างงุนงง


สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไรกัน? หลังจากงุนงงไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว  เสียงนั้นดังมาจากกลางภูเขา ตรงกลางภูเขายังมีเสียงดังก้อง เขาจึงรีบวิ่งขึ้นภูเขาไป ถลันตัวเข้าไปในตำหนักใหญ่ของถ้ำมังกร


กลุ่มวิญญาณอัคคีที่ปรากฏตัวไม่มีใครกล้าบุกเข้ามา ต่างก็ยืนอึ้งอยู่กับที่ในขณะที่มองตามเขาเดินเข้าไป


ในตำหนักยังคงว่างเปล่า เพียงแต่เปลวเพลิงที่ลุกโชนในบ่อเพลิงมังกรกำลังกระเพื่อมอย่างรุนแรง เพลิงเดือดพลันยืดสูงขึ้น แล้วอีกประเดี๋ยวก็จมหายไป จกานั้นก็แกว่งไกวอย่างถี่กระชั้นกับโดนลมพายุ


นี่คือเหตุการณ์สุดประหลาด เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบวิ่งไปข้างบ่อเพลิงมังกร แทบจะจมมิดเข้าไปในเปลวเพลิงที่โผเข้ามาใส่เกราะหัวอย่างกะทันหัน เขาจึงใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งดัน รีบกันไฟเอาไว้


เปลวเพลิงที่โผเข้ามาครอบเขาชักกลับเข้าไปในบ่อเพลิงมังกรอีกครั้ง เหมียวอี้ถามเสียงต่ำว่า “ผู้อาวุโส เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ เขาก็ตะโกนอีกหลายครั้งติดต่อกัน แต่กลับเป็นเฮยทั่นที่ ‘สูบควัน’ อยู่ในตำหนักใต้ดินที่วิ่งออกมาเพราะโดนรบกวน มันสั่นหัวส่ายหางและถลึงตามองอย่างสงสัย


สุดท้ายก็ยังไม่มีเสียงตอบ เหมียวอี้จึงกระโจนตัวขึ้นไปริมบ่อเพลิง แล้วเพ่งมองลงไปขณะที่ตัวอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง


ทันใดนั้น แสงสว่างในบ่อเพลิงมังกรก็พลันพุ่งออกมา ส่องเหมียวอี้จนต้องรีบยกมือบังหน้า เขารีบถอยหลังกระโดดลงไป แล้วจ้องมองการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในบ่อเพลิงมังกรด้วยสีหน้าจริงจัง


แสงสว่างที่เอ่อล้นออกมายิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ชั่วพริบตาที่แสงสว่างวาบจนแทงตา แสงสว่างก็พลันอ่อนจางลงอีก


เหมียวอี้ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกหลายก้าว ขณะกำลังจะดูอีกครั้งว่าอะไรเป็นอะไร แต่ใครจะคิดว่าเพลิงเดือดในบ่อเพลิงมังกรจะระเบิดอย่างฉับพลัน เพลิงพุ่งตรงขึ้นเพดานโค้ง ในตำหนักใหญ่ที่เดิมทีเย็นสบาย ตอนนี้อุณหภูมิสูงขึ้นหลายเท่า ลำแสงสองสายพุ่งออกมาจากในนั้น นกน้อยขนสีรุ้งน่ารักสองตัวกำลังเปล่งแสงสว่าง กำลังกางปีกกระพืออยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสูง ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าประหลาดเมื่ออยู่ภายใต้การขับดุนของบรรยากาศแบบนี้ ทำให้ดูค่อนข้างสูงส่งด้วย


เหมียวอี้กับเฮยทั่นตะลึงค้างพร้อมกัน ได้แต่มองดูตาปริบๆ


นกหยกรุ้งสองตัวที่มีขนาดเท่าไก่ฟ้าพลันแยกไปทางซ้ายและขวา ต่างก็ลากดึงมังกรเพลิงสายหนึ่งบินวนอยู่ในตำหนักใหญ่ จากนั้นก็ร่ายระบำ เดี๋ยวบินขึ้นเดี๋ยวบินลงอยู่ในตำหนักใหญ่ บินร่อนไปทางซ้ายทีขวาที ลากเปลวเพลิงไว้ข้างหลังไม่หยุด สวยสดงดงามมาก


ในตำหนักใหญ่ที่เย็นสบายเปลี่ยนเป็นเตาไฟทันที ในเปลวไฟในบ่อเพลิงมังกรกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิมแล้ว หัวมังกรเพลิงที่เกิดจากวิญญาณชำรุดรวมตัวกันก็ปรากฏขึ้นที่ด้านบนของบ่อเพลิงมังกรอีกครั้งเช่นกัน ดวงตาเพลิงที่ดุร้ายกลอกกลิ้งจ้องอยู่กับวิถีการบินของนกน้อยขนสีรุ้งเป็นระยะ มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน มีเพียงความเคร่งขรึมจริงจัง ดุร้าย่นากลัว


“ผู้อาวุโส นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เหมียวอี้ที่เหลียวซ้ายแลขวามองตามนกน้อยขนสีรุ้งเหมือนกันถามอย่างประหลาดใจ


หัวมังกรเพลิงไม่ได้ตอบ ตอนนี้เรียกได้ว่ามองข้ามเหมียวอี้ราวกับไม่มีตัวตน กำลังสนใจแค่นกสองตัวนั้น


ตามแสงสว่างบนตัวนกน้อยขนสีรุ้งที่ค่อยๆ เลือนรางไป มังกรเพลิงสองสายที่ลากอยู่ข้างหลังมันก็ หดหายไปทีละนิดเช่นกัน จนกระทั่งหายไปจนหมด อุณหภูมิในห้องนั้นถึงได้กลับมาเป็นปกติอย่างช้าๆ


จู่ๆ นกน้อยขนสีรุ้งสองตัวที่บินวนจนพอแล้วก็บินเข้ามาพร้อมกัน มากระพือปีกอยู่กลางอากาศ หยุดอยู่ตรงข้ามกับบ่อเพลิงมังกร ระดับความสูงเท่ากับหัวมังกรเพลิงที่อยู่เหนือบ่อเพลิงมังกร ทั้งสองฝ่ายสบตากันโดยไม่พูดอะไร ให้ความรู้สึกเหมือนมองตาก็รู้ใจ


เหมียวอี้บังเอิญอยู่ด้านล่างระหว่างทั้งสองฝ่ายพอดี หันซ้ายมองหัวมังกรเพลิง หันขวามองนกน้อยขนสีรุ้งสองตัว


ตอนนี้ถึงได้เห็นลักษณะของนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวนั้นชัดเจน มีขนาดเท่ากับไก่ฟ้าตัวหนึ่ง หน้าตาก็เหมือนไก่ฟ้าเช่นกัน ขนนกที่สว่างสดใสทั้งตัวดูสวยหรูเยือกเย็น เท้าสองข้างเป็นสีทอง ดวงตาทั้งคู่ใสสะอาดดุจกระจกแวววาว มีสง่าราศีเต็มเปี่ยม ลักษณะท่าทางค่อนข้างโอหังและน่าเกรงขาม เผยให้เห็นลักษณะสูงส่งเหนือกว่าสามัญชน


นอกจากนี้ ลักษณะภายนอกก็เหมือนจะไม่ได้มีอะไรยอดเยี่ยมสักเท่าไร รูปร่างเล็กจนไม่สะดุดตา แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เหมียวอี้สงสัย ว่าทำไมถึงมีนกแบบนี้โผล่ขึ้นมาจากบ่อเพลิงมังกรได้? อย่าบอกนะว่าเสียงนกร้องที่เขย่าท้องฟ้าก่อนหน้านี้คือเสียงของพวกมัน?


สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้คิดเชื่อมโยงถึงไข่หินสองใบที่ตัวเองนำมาจากรังนกแล้วโยนลงบ่อเพลิงมังกร กอปรกับความไม่ธรรมดาของที่นี่ เขาอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตกตะลึง “ผู้อาวุโส อย่าบอกนะว่าไข่หินสองใบที่ข้านำมาจากรังนกฟักไข่แล้ว? อย่าบอกนะว่าไข่หินสองใบนั้นคือไข่หงส์เฟิ่งหวง? พวกมันสองตัวคือหงส์เฟิ่งหวงเหรอ?”


นกน้อยขนสีรุ้งสองตัวได้ยินแล้วก้มหน้ามองลงมาข้างล่างพร้อมกัน ดวงตางามใสดุจกระจกจ้องอยู่บนตัวเหมียวอี้ เหมือนกำลังมองประเมินอย่างละเอียด


เฮยทั่นที่หลบอยู่อีกมุมได้ยินแล้วก็กะพริบตาปริบๆ ทำท่าเหมือนสงสัยใคร่รู้


หัวมังกรเพลิงกลับไม่ตอบอะไร เพียงจ้องนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวนั้น “เฮ้อ” แล้วถอนหายใจเบาๆ เสียงที่ทับซ้อนกันฟังดูปลงอนิจจังไร้ที่สิ้นสุ จากนั้นแสงไฟก็กะพริบ เปลวเพลิงเดือดเหนือบ่อเพลิงมังกรกลายเป็นรูปมังกรเลื้อยอีกครั้ง หัวมังกรเพลิงจมหายไปแล้ว


นกน้อยขนสีรุ้งสองตัวเหมือนจะคุ้ยเคยทางที่นี่มาก พอพวกมันกระพือปีกบินข้ามเปลวไฟดุร้ายด้านบนบ่อเพลิงมังกร จากที่นี่บินเป็นคู่ก็จะแยกออกไปทางซ้ายและขวา บินเข้าไปในประตูซ้ายและขวาของเก้าอี้แปดตัวนั้น เข้าตำหนักหลังไปแล้ว


เฮยทั่นที่เงยหน้าตามหันหัวไปข้างหลังและหันตัวตาม แล้วก็วิ่งตามไปแล้ว


เหมียวอี้ก็ถลันตัวตามเข้าไปเช่นกัน รีบเข้าไปในตำหนักหลัง พอได้ยินเสียงเท้าเฮยทั่นวิ่งไปที่ตำหนักใต้ดินแล้ว เขาก็ถลันตัวลงไปเช่นกัน


พอเข้ามาในตำหนักใต้ดิน ก็เห็นเฮยทั่นกำลังส่ายหน้าเงยหน้ามองอยู่บนพื้นที่ว่างระหว่างปราณชั่วร้ายที่พ่นออกมา ส่วนนกน้อยขนสีรุ้งจนสีรุ้งสองตัวนั่นก็บินร่อนข้ามไปมาอยู่ระหว่างปราณชั่วร้ายแปดสายนั้นเช่นกัน หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ถึงได้เห็นนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวนั้นเกาะที่ข้างซ้ายและขวา เกาะข้างปราณชั่วร้ายบนเตียงหินสองตัว จากนั้นหลับตารับปราณชั่วร้ายที่พุ่งขึ้นมาอย่างเงียบๆ เงยหน้าอย่างหยิ่งยโส


ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว กลิ่นหอมอัศจรรย์กลุ่มหนึ่งก็โชยอยู่ในอากาศ เป็นกลิ่นที่ต่างจากเฮยทั่นหลังจากดูดซับปราณชั่วร้าย แต่ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสดชื่นเหมือนกัน ทำให้ได้กลิ่นแล้วผ่อนคลายสบายใจ เพียงแต่กลิ่นไม่เหมือนกันก็เท่านั้นเอง


เหมียวอี้ที่เดินเข้าไปอยู่ระหว่างเตียงแปดหลังนั้นใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง เขาเห็นลำแสงที่เล็กมากจนตาเปล่ามองไม่เห็นลอยกระจายอยู่ท่ามกลางความลี้ลับ


ไม่กลัวปราณชั่วร้าย ทั้งยังกลั่นกรองปราณชั่วร้ายได้อีก เหมียวอี้ที่พยักหน้าเบาๆ แน่ใจแล้ว ว่านกสองตัวนี้น่าจะเป็นลูกนกหงส์เฟิ่งหวงจริงๆ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าไข่สองใบที่ตัวเองนำมาฟักเป็นตัวแล้วหรือเปล่า?


ตอนแรกเขาก็ค่อนข้างมั่นใจและรู้สึกว่าน่าจะเป็นแบบนี้ แต่ก็สงสัยอีกว่าถ้าสมมุติเป็นลูกนกหงส์เฟิ่งหวงสองตัที่เพิ่งฟักจริงๆ แล้วทำไมพอเกิดมาถึงคุ้นเคยกับสถานที่นี้แบบนี้ล่ะ สามารถบินตรงมาที่ตำหนักใต้ดินและหาแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายเพื่อกลั่นกรองปราณชั่วร้ายได้เองเลยเหรอ?


ต้องทราบไว้ว่าตอนที่เขาเพิ่งจะมา กว่าจะหาแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายพบก็แทบจะหัวหมุนเหมือนกัน ทั้งยังต้องปีนขึ้น ‘ปล่องควัน’ กว่าจะหาที่นี่พบ เขาอดสงสัยไม่ได้


ถึงแม้เหมียวอี้จะสั่งเฮยทั่นไว้แล้วว่าห้ามอ้าปากพูดโดยไม่รับอนุญาต แต่ตอนนี้เฮยทั่นก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าสองตัวที่หน้าตาไก่นกเป็นหงส์เฟิ่งหวงจริงเหรอ?”


หน้าตาไก่นกอะไรกัน? เหมียวอี้กลอกตามองบน พบว่าเจ้าสัตว์ที่มีคลังศัพท์จำกัดมักจะประดิษฐ์และรวมคำใหม่ขึ้นมาเสมอ ทำให้เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สงสัยที่บอกว่ามันเป็นลูกผสมนอกคอกจะไม่ผิดเลยสักนิด


“น่าจะใช่มั้ง! ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ พวกมันก็ดูดซับปราณชั่วร้ายของพวกมัน เจ้าก็ดูดซับปราณชั่วร้ายของเจ้า ที่นี่มีแปดโพรงไม่เป็นอุปสรรคต่อเจ้าหรอก ใกล้ถึงเวลาที่พวกเราจะได้ออกจากที่นี่แล้ว อย่าสร้างปัญหาให้ข้า” เหมียวอี้จำเป็นต้องเตือนมันสักรอบ เฮยทั่นเป็นประเภทที่ถ้าไม่ได้ก่อเรื่องแล้วจะอยู่ไม่เป็นสุข อย่างน้อยในสายตาเหมียวอี้ก็เป็นแบบนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่พูดได้แล้ว มันก็ต่ำช้าสุดๆ ต้องคอยดึงหูสั่งสอนบ่อยๆ ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอก็อาจจะก่อเรื่องได้


“ไม่หรอก ข้าจะทำเรื่องประเภทรังแกเด็กได้ยังไง” เฮยทั่นก็เงยหน้าอย่างโอหังเลียนแบบนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวนั่นเช่นกัน มันบอกเป็นนัยว่าร่างกายตัวเองใหญ่กว่านกสองตัวนั้น มันหันตัวกระโดดขึ้นไปบนเตียงหินตัวหนึ่ง แล้วหมอบดื่มด่ำกับปราณชั่วร้ายของตัวเองต่อไป ไม่อย่างก็นอนหลับพร้อมกรนเบาๆ แล้ว


เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินกลับมาจ้องประเมินนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวอย่างละเอียด แต่ก็เท่านั้น เพราะใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นหงส์เฟิ่งหวงที่แท้จริงของตำหนักสวรรค์ เมื่อเทียบกับลูกนกสองตัวนี้แล้วถือว่าสวยกว่าเยอะ ไม่มีอะไรน่าดู จึงหันตัวเดินออกไปแล้ว ลงภูเขากลับมาที่ริมทะเลสาบหินหนืด แล้วรีบเร่งฝึกตนต่อไป


อยู่ร่วมห้องด้วยกันตอนไม่กี่วันแรก เฮยทั่นก็ยังจดจำคำพูดเหมียวอี้ได้อยู่ นอนหมอบอยู่อย่างนั้นอย่างซื่อสัตย์


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ตามที่คำพูดของเหมียวอี้ค่อยๆ จางหายไป เฮยทั่นที่นอนหมอบก็เหลือบมองนกสองตัวนั้นเป็นระยะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนรับลมอยู่ท่าเดิมตลอด ไม่ชายตาแลมันเลยสักนิด มันก็เริ่มเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายแล้ว มันเริ่มสร้างเสียงดังไม่หยุด สะบัดหางตีบนเตียงเป็นระยะ


ปรากฏว่าไม่ได้ผล ลูกนกสองตัวนั้นไม่สนใจสิ่งยั่งยุภายนอก ยืนเงียบราวกับเป็นรูปสลักสองตัว


หลังจากนั้นอีกหลายวัน ในที่สุดเฮยทั่นก็กระโดดลงจากเตียงแล้ว มันเดินไปทางซ้ายเดินไปทางขวา เดินช้าๆ ไปอยู่ข้างกายนกสองตัวนั้น แล้วเอ่ยปากถามว่า “พวกเจ้าทั้งสองคือหงส์เฟิ่งหวงเหรอ?”


อีกฝ่ายยังคงทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งเหมือนเดิม ยังคงไม่สะทกสะท้าน เฮยทั่นที่เหลือบซ้ายเหลือบขวาไม่สบอารมณ์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มองข้าตรงๆ โบราณกล่าวไว้ว่า ‘ถ้าคนอื่นไม่ล่วงเกินข้า ข้าก็ไม่ล่วงเกินคนอื่น!’ ดังนั้นคำพูดของมันจึงเริ่มหยาบคายสุดๆ แล้ว “โคตรพ่อเจ้าสิ นอนรังเดียวกับข้าแล้วแท้ๆ แค่เป็นไก่นกอย่างพวกเจ้า บังอาจมาทำตัวสูงส่งต่อหน้าพ่อเหรอ?”


…………………………

Home  พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า  บทที่ 1497 ไม่รู้ว่าเป็นใบ้

 

 

 


บทที่ 1497 ไม่รู้ว่าเป็นใบ้

 

นกสองตัวลืมตาพร้อมกัน หันหน้ากลับมาพร้อมกัน มองมันพร้อมกัน ในดวงตางามที่ใสแจ๋วดุจกระจกฉายแววโกรธเคืองแล้ว เมื่อได้ยินคำว่า ‘นอนรังเดียวกัน’ พวกมันก็มีปฏิกิริยาทันที ในที่สุดเฮยทั่นที่บ่นเป็นชุดก็ทำให้พวกมันตอบสนองได้แล้ว ราวกับกำลังบอกว่า ใครนอนรังเดียวกับเจ้า?


“เอ๋! นั่นมันแววตาอะไรกัร? ขนาดข้ายังไม่โกรธเลยนะ พวกเจ้ายังจะโกรธอีกเหรอ? อย่านึกว่าพวกเจ้าเป็นหงส์เฟิ่งหวงแล้วจะเจ๋งอะไรนักนะ” เฮยทั่นเงยหน้ายืดอก กล่าวอย่างมั่นใจในตัวเองว่า “พ่อก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่ามังกรเหมือนกัน ไม่ได้แย่กว่าพวกเจ้าเลย!”


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ นกสองตัวก็มองเฮยทั่นหัวจดเท้าแวบหนึ่ง ในดวงตางามที่ดูฉลาดเฉลียวของทั้งคู่ฉายแววดูถูกเหยียดหยาม


“หมายความว่ายังไง?” เฮยทั่นถูกสายตาของนกทั้งสองยั่วโมโหแล้ว สาเหตุก็เพราะหัวมังกรเพลิงด่ามันว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน เจอผู้มีพลังแข็งแกร่งแล้วสู้ไม่ชนะ แต่เจอผู้มีพลังอ่อนแอแล้วจะรังแกไม่ได้เชียวเหรอ? กรงเล็บข้างหนึ่งยื่นเข้าไป จิ้มเจาะบนร่างของนกตัวหนึ่งในนั้น นกตัวที่โดนจิ้มถอยหลังติดต่อกัน ส่วนอีกตัวก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน “เจ้าก็ด้วย ยังกล้าชักสีหน้าใส่พ่ออยู่มั้ย!” มันดีดกรงเล็บ พิ้ว! ดีดอีกตัวให้กระเด็นออกไป


นกตัวที่ตกกระแทกบนหัวเตียงลุกขึ้นมา เหมือนมันจะโกรธแล้ว บินตรงเข้ามาหาเฮยทั่นทันที ส่วนอีกด้วยที่เห็นเพื่อนโดนทำร้าย ก็พุ่งเข้ามาเช่นเดียวกัน นกสองตัวโฉบเข้ามา แล้วจิกตาเฮยทั่นพร้อมกัน เรียกได้ว่าให้ความร่วมมือกันแบบมองตาก็รู้ใจ ตัวหนึ่งจิกข้างขวา ตัวหนึ่งจิกข้างซ้าย ไม่เห็นความวุ่นวายไร้ระเบียบเลยสักนิด


ใครจะคิดว่าเฮยทั่นจะใช้เท้าหลังสองข้างนั่งยองๆ ทำให้กรงเล็บของเท้าสองข้างว่าง จากนั้นก็ยื่นกรงเล็บออกไปทางซ้ายและขวาอย่างสบายๆ ดูง่ายราวกับควักหยิบของในกระเป๋า ยื่นกรงเล็บสองข้างไปบีบคอนกสองตัวได้อย่างง่ายดาย


ต่อให้นกสองตัวจะทำงานร่วมกันได้อย่างรู้ใจกัน แต่ก็ยังเป็นลูกนกอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นควมเร็วหรือพลังก็เทียบเฮยทั่นไม่ติดเลย ตกอยู่ในเงื้อมือมารของเฮยทั่นราวกับว่งเข้าใส่กับดักเอง เรียกได้ว่าพ่ายแพ้อย่างปวดใจ โดนบีบคอจนใช้กรงเล็บถีบยันดิ้นรน กระพือปีกสุดชีวิต ไม่มีทางหลุดพ้นได้ เหมือนจะโดนบีบคอตายได้ทุกเมื่อ


“นกไก่! ยังกล้าสู้กับข้าอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หัวมังกรเฒ่า วันนี้ปู่จะจับพวกเจ้าสองตัวย่างกินแน่! ฟังเอาไว้นะ จำไว้ว่าที่นี่ใครมีอำนาจ ถ้ามีครั้งต่อไป ข้าไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!” เฮยทั่นทำเสียงฮึดฮัดสองที แล้วโบกกรงเล็บข้างซ้ายกับข้างขวา ลูกนกขนสีรุ้งสองตัวถูกโยนออกไปทันที มีเสียงดังตุ้บสองครั้ง ทั้งคู่กระแทกผนังแล้วตกลงพื้น


นกสองตัวที่กระพือปีกขึ้นมาอีกครั้งสุมหัวกันกลางอากาศ พวกมันสบตากันแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนยอมถอยเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ จากนั้นรีบบินหนีอย่างรวดเร็ว รีบบินออกนอกวังใต้ดิน


เมื่อเห็นว่าไล่นกสองตัวออกไปได้แล้ว เฮยทั่นก็เหมือนจะภูมิใจพอสมควร รู้สึกว่าหงส์เฟิ่งหวงมันก็เท่านี้เอง แต่ก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาล่อกแล่กไม่สงบ อุทานว่า “แย่แล้ว!”


มันเริ่มหนีด้วยความเร็วปานสายลม กระโดดข้ามเตียงหินหลังหนึ่งไป รีบพุ่งออกจากวังใต้ดินไล่ตามนกสองตัวนั้น


พอเลี้ยวผ่านโถงกั้นของตำหนักหลัง พุ่งเข้าตำหนักหน้า ก็เห็นนกสองตัวนั้นกำลังกระพือปีกร้องจิ๊บๆ อยู่บนฟ้าตรงข้ามกับหัวมังกรเพลิงไมม่หยุด ดูออกเลยว่าโมโหมาก ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ ถึงอย่างไรเฮยทั่นก็ฟังไม่เข้าใจ


แต่ไม่ว่าจะฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เฮยทั่นก็มั่นใจว่าต้องไม่ใช่คำพูดดีๆ แน่นอน มันรีบหยุดอย่างกะทันหัน เบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมาสายไปเสียแล้ว ห้ามไว้ไม่ทันเวลา


หัวมังกรเพลิงหันขวับ ดวงตาเพลิงทั้งคู่จ้องเฮยทั่นอย่างกราดเกรี้ยว ในบ่อเพลิงมังกรมีกรงเล็บมังกรเพลิงที่ดุร้ายน่ากลัวคู่หนึ่งโผล่ออกมา ร่างกายท่อนบนขนาดใหญ่ของมังกรไฟค่อยๆ เผยออกมาทีละนิด


เฮยทั่นไม่พูดพร่ำทำเพลง เลี้ยวหนีทันที


“สัตว์เลื้อยคลาน!” เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดดังสะเทือนฟ้า


เหมียวอี้ที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ริมทะเลสาบหินหนืดได้ยินแล้วตกใจ รีบถลันตัวออกมาจากหมอกที่ปกคลุมร่างกาย


“ไสหัวไป!” มีเสียงตะคอกเดือดดาลดังอีกครั้ง


เหมียวอี้เงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเพียงในประตูใหญ่บนไหล่เขามีแสงของไฟพ่นออกมาจางๆ เงาร่างดำๆ เงาหนึ่งถูกโยนออกมา กระเด็นจากฟ้าสูงและกำลังจะตกกระแทกพื้นเป็นแนววิถีโค้ง


เงาร่างที่ขาทั้งสี่ดิ้นรนอยู่กลางอากาศ ถ้าไม่ใช่เฮยทั่นแล้วจะเป็นใครไปได้? เหมียวอี้ตกใจมาก ในมือมีแสงสว่างวาบ โยนกระจกทองแดงโบราณอันหนึ่งออกไป ผิวกระจกขยายใหญ่ราวกับเป็นถาดใบหนึ่ง รับเฮยทั่นเอาไว้แล้ว ร่างของเฮยทั่นยังไม่จมลงในนั้น


กระจกทองแดงโบราณลอยวนกลับมา จากนั้นพลิกกลางอากาศเพื่อเทเฮยทั่นออกมา หลีกเลี่ยงไม่ให้มันตกจากที่สูงจนเกิดอันตราย


พอเก็บกระจกทองแดงโบราณแล้ว เห็นเฮยทั่นหันกลับไปมองประตูใหญ่ถ้ำมังกรบนไหล่เขาด้วยสีหน้าอับอาย เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “โจรอ้วน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“เอ่อ…” เฮยทั่นหันขวับ สายตาล่อกแล่ก รีบส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีอะไร ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น อยู่ที่นี่จะเกิดเรื่องอะไรได้ล่ะ หัวมังกรเฒ่ากับข้าเล่นกันเฉยๆ สนุกมากเลย”


“ไม่มีอะไรงั้นเหรอ?” เหมียวอี้เลิกคิ้ว คิดว่าเขาโง่นักหรือไง อยู่ที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญไม่ใช่แค่วันสองวัน  ใกล้จะถึงห้าร้อยปีแล้ว ไม่เคยเห็นหัวมังกรเฒ่าเดือดดาลขนาดนี้มาก่อน เพื่อที่จะปิดบังความลับการมีตัวตนอยู่ หัวมังกรเฒ่าไม่เคยให้เสียงตัวเองดังออกมาข้างนอกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคำรามเสียงดังสะเทือนฟ้าแบบนี้


เพื่อที่จะเล่นกับเจ้า คงไม่ถึงขั้นยอมเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้จนเปิดเผยตัวเองหรอกมั้ง? เหมียวอี้อยากจะถามเฮยทั่นมากว่า เจ้านึกว่าเมื่ออยู่ในสายตาอีกฝ่าย ตัวเองมีฐานะสูงส่งขนาดนั้นเชียวเหรอ?


เฮยทั่นยังไม่พูดว่าไม่มีอะไรก็ยังดีๆ อยู่ ตั้งแต่ที่มันพูดภาษาคนได้ ก็คลุกคลีกับมันอยู่เกือบหนึ่งพันปีแล้ว เหมียวอี้ก็พบว่าหลังจากเจ้าสัตว์นี่อ้าปากพูดก็เป็นคนจัญไรดีๆ นี่เอง เป็นประเภทที่วอนเจ็บตัว ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นแล้วยังบอกว่าไม่มีอะไร เหมียวอี้ไม่สงสัยก็แปลกแล้ว


สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เฮยทั่นมีสันดานที่ชอบล้างแค้น เยารั่วเซียนนับว่าอ่านคนออก เขาเรียกมันว่า ‘โจรอ้วน’ ก็ไม่นับว่าผิดเลยสักนิด พออ้าปากพูดได้ก็ยิ่งฉลาดเฉลียว ตอนหลังพอได้รับความไม่ยุติธรรมนิดเดียวก็จะพูดบรรยายเกินจริงหมื่นเท่าเพื่อให้เจ้าช่วยล้างแค้นให้มัน ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง ขอเพียงทำให้มันไม่สบอารมณ์ มันก็จะกัดไม่ปล่อยแน่นอน ถ้าเจอใครที่สู้ด้วยไม่ได้ก็จะด่าลับหลังเหมือนกัน


แค่สันดานแบบนี้ โดนจับโยนออกมาข้างนอกแบบนี้ ยังจะบอกอีกว่าไม่มีอะไร ช่างเหมือนลักษณะของโจรอ้วนเกินไปแล้ว คงจะไม่ใช่ไม่มีเรื่องหรอก แต่ก่อเรื่องแล้วกลัวตนรู้แล้วจะทำโทษมันมากกว่า


แต่จะว่าไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังยื่นมือไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเฮยทั่นไม่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าโดนหัวมังกรเฒ่าทำร้ายจนบาดเจ็บ เช่นนั้นเขาก็จะไม่สนใจว่าเฮยทั่นจะมีเหตุผลหรือไม่ เขาจะไปถามหัวมังกรเฒ่าว่าหมายความว่าอะไร เฮยทั่นก็ไม่สำคัญน้อยกว่าอั้นโยวหลิน เขาควรจะเข้าข้างก็ยังต้องเข้าข้าง เขาเหมียวอี้จะตีเฮยทั่นจนสาหัสก็ไม่เป็นไร แต่จะไม่ยอมให้คนอื่นแตะต้องตามอำเภอใจ


เมื่อตรวจอาการอย่างเต็มที่หมดแล้ว ก็พบว่าไม่เป็นอะไร เขาจึงโล่งใจขึ้นนิดหน่อย เฮยทั่นมีชีวิตตามเขาเข้ามา เขายังอยากให้เฮยทั่นรอดชีวิตออกไป


หลังจากแน่ใจว่าเฮยทั่นไม่บาดเจ็บแล้ว เหมียวอี้ก็อยากจะรู้มากว่าเฮยทั่นก่อเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้หัวมังกรเฒ่าโมโหขนาดนั้น แต่เขาก็พอจะรู้ ว่าเฮยทั่นไม่ซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นจะขัดต่อคำเรียก ‘โจรอ้วน’


ดังนั้นเหมียวอี้จึงพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ไม่เป็นอะไรก็ช่างเถอะ ชายชาตรีเมื่อรู้ว่าเสียเปรียบก็ควรถอย ต่อไปอย่าไปหาเรื่องหัวมังกรเฒ่า พวกเราสู้ไม่ชนะอีกฝ่ายก็ต้องทำตัวซื่อสัตย์หน่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน เข้าไปหลบภัยในกระเป๋าสัตว์ก่อน”


เฮยทั่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ให้เหมียวอี้เก็บตัวเองเข้ากระเป๋าสัตว์อย่างรวดเร็ว


ปิดหูปิดตาไว้แล้ว ตอนนี้หนีไปไม่ได้แล้ว เหมียวอี้มองดูในกระเป๋าสัตว์ครู่หนึ่ง แล้วถลันตัววิ่งขึ้นไปบนภูเขา ไม่นานก็กระโดดเข้าไปในถ้ำใหญ่ของถ้ำมังกร


บรรยากาศในตำหนักใหญ่แปลกนิดหน่อย หัวมังกรเพลิงปรากฏตัวอยู่อย่างนั้นตลอด ลูกหงส์สองตัวกระพือปีกบินอยู่ข้างๆ จ้องเขาที่เดินเข้ามาจากข้างนอกพร้อมกัน เหมือนกำลังรอให้เขาเดินเข้ามา


หลังจากเหมียวอี้กุมหมัดคารวะแล้ว หัวมังกรเพลิงก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ครั้งนี้พวกมันสองตัวเห็นแก่ที่เจ้าลำบากพาพวกมันมาจากรังหงส์ จะไม่สืบสาวเอาเรื่องแล้ว ทางที่ดีอย่าให้เกิดเรื่องแบบวันนี้เป็นครั้งที่สอง ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า!”


พอเห็นลูกหงส์อยู่ตรงนี้ด้วย เหมียวอี้ก็พอจะเดาออกแล้วว่าเกี่ยวอะไรกับพวกมัน ก็บอกแล้วไง ว่าเฮยทั่นเป็นยอดโจรมาก รู้ว่าเอาชนะหัวมังกรเฒ่าไม่ได้ แต่ทำไมยังยั่วโมโหหัวมังกรเฒ่าขนาดนี้อีก แบบนี้ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ


แต่ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย เท่ากับยอมรับแล้วว่าลูกหงส์ฟักออกมาจากไข่สองใบที่ตัวเองนำมาจากรังหงส์จริงๆ


เขายิ้มบางๆ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงทำให้ผู้อาวุโสเดือดดาลขนาดนี้ ให้ข้าน้อยรู้หน่อย จะได้สังสอนได้สะดวก”


“เจ้าสัตว์เลื้อยคลานเหลวไหลเกินไปแล้ว…” หัวมังกรเพลิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังทันที


เหมียวอี้ฟังจนหนังตากระตุก ในใจกำลังปาดเหงื่อด้วยความอับอาย


หลังจากแน่ใจแล้วว่าสองตัวนั้นคือหงส์เฟิ่งหวง เขาก็รู้แล้วว่าหงส์เฟิ่งหวงสองตัวนี้มีความสำคัญต่อเผ่าหงส์และเผ่ามังกร นี่เป็นการปิดบังตำหนักสวรรค์ว่าที่นี่กำลังสร้างเทพสตรีเผ่าหงส์รุ่นที่สองขึ้นมาเพื่อต่อต้านตำหนักสวรรค์ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแผนการใหญ่ในการเลิกเเป็นทาสตำหนักสวรรค์ ถ้าไข่ที่เพิ่งฟักโดนเฮยทั่นบีบคอตายจริงๆ ก็เท่ากับว่าทำให้เผ่าหงส์และเผ่ามังกรไม่มีทางกลับตัวได้อีกต่อไป แบบนั้นหัวมังกรเฒ่าไม่โมโหก็แปลกแล้ว


เหมียวอี้ไม่พูดพร่พทำเพลง เรียกเฮยทั่นออกมาจากกระเป๋าสัตว์แล้ว


พอเฮยทั่นโผล่หน้ามาก็พบว่าตัวเองอยู่ในตำหนักใหญ่ของถ้ำมังกร หัวมังกรเพลิงกับลูกหงส์คู่นั้นก็อยู่ ทำให้มันงุนงงทันที หันหน้าช้าๆ ไปมองทางเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววหวาดกลัว เหมือนกำลังถามว่า เจ้าบอกว่าจะให้ข้าหลบภัยไม่ใช่เหรอ? เจ้าหลอกข้า!


“ในวังใต้ดิน…” เหมียวอี้พูดสิ่งที่หัวมังกรเพลิงพูดเมื่อครู่นี้อีกรอบ จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย พวกมันพูดอะไรใส่ร้ายเจ้ามั้ย? ห้ามโกหกนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะหักขาเจ้าซะ!”


เฮยทั่นลังเลครู่หนึ่ง ผลปรากฏว่าเห็นเหมียวอี้หรี่ตา ในร่องตาฉายแววเย็นเยียบดุร้าย หัวใจมันกระตุกวูบทันที พูดแบบตะกุกตะกักว่า “ข้าก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ไก่นกสองตัวนี้รังแกข้าเกินไปแล้ว ข้าพูดกับพวกมัน อยากจะคุยกับพวกมันสักหน่อย แต่พวกมันไม่แยแสข้า ข้าโมโหสุดๆ…”


“เจ้าโมโหสุดๆ เหรอ?” ยังไม่ทันรอให้เหมียวอ้าปากพูด หัวมังกรเพลิงก็คำรามอย่างกราดเกรี้ยวแล้วว่า “พวกมันเพิ่งจะออกจากไข่ ยังพูดไม่ได้ จะให้คุยบ้าอะไรกับเจ้าล่ะ เจ้ายังจะบังคับให้นกใบ้พูดอีกเหรอ?”


เฮยทั่นกล่าวเสียงอ่อนว่า “ข้าจะไปรู้เหรอว่าพวกมันเป็นใบ้ ข้าก็นึกว่าพวกมันแกล้งวางมาดสูงส่ง!”


เหมียวอี้ยกมือขึ้น ห้ามไม่ให้หัวมังกรเพลิงพูดอะไรอีก แล้วจ้องไปที่เฮยทั่นพร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “หรือพูดได้อีกอย่างว่า พวกมันไม่ได้ใส่ร้ายเจ้าใช่มั้ย?” อีกมือหนึ่งถือทวนเกล็ดย้อนขึ้นมาแล้ว เฮยทั่นเป็นพวกที่ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ ในบางด้านเหมียวอี้ไม่อยากจะให้ท้ายมัน ถ้าตอนนี้คุมไม่ได้ ในภายหลังจะก่อเรื่องแหกกฎอะไรก็ยังไม่รู้เลย


เฮยทั่นจ้องทวนเกล็ดย้อนในมือเข้าวยแววตาตะลึงค้างเล็กน้อย สุดท้ายก็ครางออกมาอย่างรู้สึกไม่ยุติธรรม หมอบลงไปแล้ว ใช้กรงเล็บสองข้างปิดตาไว้ รู้ว่าต้องโดนตีสักยกอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงรีบให้เหมียวอี้ตีให้เสร็จไว้ๆ เพียงแต่ดวงตาที่อยู่ในซอกกรงเล็บแอบมองลูกหงส์ทั้งสอง ในแววตาสื่อความหมายชัดเจนมาก เหมือนกำลังพูดว่า รอพ่อก่อนเถอะ เรื่องนี้ยังไม่จบหรอก!


…………………………

 

 

 


บทที่ 1498 อยู่ต่อ

 

เมื่อเห็นมันยินดียอมรับโทษ เหมียวอี้ก็บอกว่า “ในเมื่อมันรับผิดแล้ว เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะให้คำอธิบายกับผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสอยากจะลงโทษมันยังไง”


หัวมังกรเพลิงแสยะยิ้ม “ผู้เสียหายทั้งสองไม่เอาเรื่องแล้ว เจ้าจำไว้ว่าต้องควบคุมันให้ดีก็พอ ถ้ามีครั้งหน้าไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!”


“ไม่ต้องหรอก!” เหมียวอี้ยกมือขึ้น “เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น อีกประเดี๋ยวถ้าผู้อาวุโสรู้สึกว่าระบายความโกรธพอแล้วก็ให้บอก” พอพูดจบ ‘กระบอง’ ด้ามนั้นก็ยกขึ้นพร้อมเสียงฟ้าลม แล้วฟาดบนตัวเฮยทั่นอย่างแรง เรียกได้ว่าตีจริงๆ ไม่มีการเสแสร้งแกล้งทำ


ตามติดด้วยเงากระบองที่ฟาดไม่หยุด ตีจนเฮยทั่นร้องโอดครวญ อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ การฟาดมันเจ็บกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก โชคดีที่ผ่านมาพันปีแล้วมันก็ไม่ได้อ่อนด้อยเหมือนกัน ทนไม้ทนมือได้เยอะกว่าดิม


หลังจากผ่านไปสักพัก ยังไม่เห็นเหมียวอี้มีท่าทีว่าจะหยุดลงมือ เหมือนจะรอให้อีกฝ่ายตะโกนบอกก่อนถึงจะหยุด เป็นการลงมืออย่างไร้ความปรานีจริงๆ หัวมังกรเพลิงกับลูกหงส์สองตัวดูจนอกสั่นขวัญแขวน ตอนหลังลูกหงส์ก็ส่งเสียงร้อง “จีจี” สองครั้ง หัวมังกรเพลิงเองก็ทนมองไม่ไหวแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นเหมียวอี้ให้คำอธิบายอย่างจริงใจขนาดนี้ เขาก็เอ่ยปากห้ามแล้ว “พอแล้ว ในเมื่อได้รับโทษแล้ว ก็ถือว่าเรื่องนี้ผ่านไป”


วูบ! สิ่งที่เหมียวอี้รอก็คือประโยคนี้ เขาหยุดใช้ทวนเกล็ดย้อน แล้วก็เตะเฮยทั่นด้วยความแค้นใจที่เลี้ยงไม่ได้ดี จากนั้นเอาทวนค้ำพื้นมองขึ้นข้างบน แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “มันทำผิด ข้าก็ลงโทษมันให้พวกท่านแล้ว นี่คือสิง่ที่สมควรทำ ตอนนี้ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่สมควรทำดูบ้าง ถึงยังไงมันก็เป็นคนของข้า ครั้งหน้าถ้าใครจะลงมือกับมันอีก ก็รบกวนบอกข้าก่อนสักคำ ถ้าจะต้องลงโทษก็ไม่ถึงคราวของคนอื่นหรอก ข้าย่อมจัดการเองได้ ก็เหมือนที่ผู้อาวุโสบอก ทางที่ดีอย่าให้เรื่องแบบวันนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าแปรพักตร์ไม่ไว้หน้า!”


เขาลงมือทำโทษสั่งสอนเอง อย่างน้อยก็ยังรู้หนักเบา ถ้าให้คนอื่นลงมือจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร


“…” หัวมังกรเพลิงพูดไม่ออก การลงโทษแบบนี้ช่างดีจริงๆ


“มัวแกล้งตายอะไรของเจ้า!” เหมียวอี้หันกลับมาเตะเฮยทั่น ก่อนจะหันตัวเดินข้างไป


เฮยทั่นดีดตัวลุกขึ้นมา หันหน้าหนีและเดินตามไปแล้ว เพียงแต่เดินกะเผลก ครั้งนี้โดนตีแรงจริงๆ เพียงพอที่จะทำให้มันจดจำไปได้สักพัก


ขณะที่มองตามหนึ่งคนกับหนึ่งตัวเดินออกจากตำหนักใหญ่ไป หัวมังกรเพลิงก็เหมือนจะพึมพำกับตัวเองว่า “เข้าข้างกันจริงๆ!”


เหมียวอี้กำลังเดินออกจากตำหนักใหญ่ลงภูเขามา เขาหันไปมองเฮยทั่นที่หมดอาลัยตายอยาก พร้อมถามว่า “เป็นอะไรไป รู้สึกไม่ยอมเหรอ?”


เฮยทั่นหันขวับ แล้วบอกคำเดียวว่า “เจ็บ!”


“เจ้ารู้จักเจ็บเป็นด้วยเหรอ? แค่ไม่หักขาเจ้าก็นับว่าเจ้าโชคดีแล้ว! ถ้าเจ้าทำหงส์เฟิ่งหวงสองตัวนั้นตายจริงๆ ข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้นะ”


“ไก่นกสองตัวนั้นมีอะไรยอดเยี่ยมนักหนา”


“มีอะไรยอดเยี่ยมงั้นเหรอ? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับหงส์เฟิ่งหวงสองตัวนั้น หัวมังกรเฒ่าเอาเจ้าตายแน่! ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้งนะ ถ้าไม่อยากตายก็อย่าไปหาเรื่องหงส์เฟิ่งหวงสองตัวนั้น นั่นคือชีวิตจิตใจของเผ่าหงส์และมังกร!”


เตือนก็ส่วนเตือน เหมียวอี้ยังไม่วางใจนิสัยของเฮยทั่น ก่อนหน้านี้ก็เคยเตือนไปแล้ว ผลก็คือเฮยทั่นยังหาเรื่องลูกหงส์สองตัวนั่นอีก ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เหมียวอี้ก็ไม่อนุญาตให้เฮยทั่นไปที่วังใต้ดินอีกแล้ว ถ้าอยากจะดูดซับปราณชั่วร้ายก็พอได้ แต่ให้ไปรอบนยอดเข้าที่มีควันโผล่มา แยกมันออกจากลูกหงส์สองตัวนั้นโดยสิ้นเชิง


หลังจากจบเรื่องนั้น เฮยทั่นก็แอบไปปัสสาวะใส่ใน ‘ปล่องควัน’ แต่ใครจะคิดว่าลมที่ตีขึ้นมาจะแรงไปหน่อย ปัสสาวะสาดกลับมาบนร่างกายตัวเองแล้ว…


หลังจากคลื่นลมครั้งนี้ผ่านไป เขาก็อยู่อย่างสงบปลอดภัยมาตลอดจนเต็มเวลาลงโทษหนึ่งพันปี


เหวินเจ๋อที่คุมกองมังกรดำชั่วคราวติดต่อมาหาเหมียวอี้ล่วงหน้าหนึ่งปี สาเหตุที่ติดต่อมาล่วงหน้าก็เพราะอยากจะให้เหมียวอี้เตรียมตัวเอาไว้ เมื่อเวลานั้นมาถึงให้เหมียวอี้กลับมาที่จุดทางออกให้ทันเวลา บอกว่าทางกองมังกรดำจะส่งคนไปรับเขาให้ตรงเวลา เห็นได้ชัดเจนมาก ไม่เหมือนตอนมาที่มีบุคคลระดับสูง ‘ส่ง’ เขามา ตอนกลับไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนั้นแล้ว


ระหว่างทางกลับจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้เลย ระหว่างทางคาดว่าต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี ดังนั้นเหมียวอี้จึงตัดสินใจที่จะออกเดินทางล่วงหน้า


เก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ริมฝั่งทะเลสาบหินหนืดตรงตีนเขาลุกขึ้นยืน แล้วมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ แวบหนึ่ง


แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ฝึกตนหนึ่งพันปี ตอนนี้ความเร้วในการย่อยยาแก่นเซียนของเพิ่มเป็นวันละสามพันสามร้อยเม็ดแล้ว คาดว่าการบรรลุบงกชรุ้งขั้นสองจะต้องใช้เวลาอีกเจ็ดร้อยกว่าปี


ทันใดนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือ เผยฝ่ามือขึ้นฟ้า เพลิงล่องหนวูบไหวอยู่บนมือ แล้วก่อตัวกลายเป็นกระบี่ยาวผลึกใสด้ามหนึ่ง หยินหยางรวมกันทะลุร่างหกายและวิญญาณ หมุนวนช้าอยู่บนฝ่ามือเขา ระดับการก่อตัวของเพลิงจิตในวันนี้ไม่เหมือนวันเก่าๆ แล้ว ถ้าเทียบกับตอนแรกที่มาแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า


พอสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที กระบี่ยาวผลึกใสก็ยิงวูบออกมา บึ้ม! หินก้อนใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบหินหนืดระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า กระบี่ยาวผลึกใสที่ระเบิดออกกลายเป็นกระบี่เล็กเพลิงจิตหลายร้อยเล่มกลับมาราวกับห่าฝน


พอสะบัดแขนเสื้อ ฝนกระบี่ก็เข้ามาอยู่ในร่างกาย แล้วหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง เหมียวอี้หันตัวมาอย่างสบายใจ แล้วเดินขึ้นเขาไปอย่างเอ้อระเหยแบบที่พบเห็นได้ยาก


พอเข้ามาในตำหนักใหญ่ถ้ำมังกรก็เห็นหัวมังกรเพลิงแล้ว เขากล่าวอำลา ทั้งยังขอคำชี้แนะวิธีวิธีการออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย


หัวมังกรเพลิงไม่กังวลเลยสักนิด “ที่นี่เตรียมส่งวิญญาณอัคคีหนึ่งร้อยคนให้คุ้มกันส่งเจ้าแล้ว พอเห็นวิญญาณชั่วร้ายก็ย่อมหายไป,คงจะไม่มีใครมารบกวน”


ถ้าทำแบบนี้ได้ก็ย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว เหมียวอี้กล่าวขอบคุณ ขณะเดียวกันก็เสนอว่าจะให้เฮยทั่นอยู่ที่นี่ สาเหตุก็ย่อมเป็นเพราะหวังดีต่อเฮยทั่น


หลังจากวรยุทธ์ของเขาบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว ประโยชน์ในด้านความเร็วของสัตว์พาหนะโดยทั่วไปก็ไม่ได้เยอะสำหรับเขาแล้ว นอกเสียจากจะได้สัตว์เทพสักตัวมาเป็นสัตว์พาหนะ ยกตัวอย่างเช่นพวกหงส์และมังกร ข้างนอกยังมีห่วงและเรื่องราวมากมายที่ไม่มีทางตัดขาดได้ กอปรกับใช้ทรัพยาการฝึกตนบนตัวใกล้จะหมดแล้ว ไม่ออกไปไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะอยากออกจากสถานที่ที่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนไปได้อย่างไร


แต่เฮยทั่นนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อมีโอกาสในการฝึกตนที่ดีขนาดนี้แล้ว เขาก็ย่อมต้องช่วยช่วงชิงให้เฮยทั่นสักหน่อย


หัวมังกรเพลิงไม่ยอม แต่ภายใต้การขอร้องซ้ำๆ ของเหมียวอี้ ขณะเดียวกันก็บอกว่าหลังจากกลับตำหนักสวรรค์ไปแล้วมีปัจจัยเหมาะสม ก็จะไปมาหาสู่กับหงส์และมังกรที่โดนตำหนักสวรรค์กักกันบ่อยๆ


แบบนี้เท่ากับเป็นการเตือนกลายๆ ในนั้นแฝงความหมายที่ล้ำลึกเอาไว้ จะบอกว่าเป็นคำขู่ที่คลุมเครือก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป จะเข้าใจว่าให้เฮยทั่นอยู่เป็น ‘ตัวประกัน’ ที่นี่ก็ไม่ได้


แน่นอน เหมียวอี้ไม่ได้พูดจาไม่น่าฟังขนาดนั้น เขาบอกว่าถ้าถ้ำมังกรไม่รับไว้ เขาก็จะส่งเฮยทั่นไปที่รังหงส์


สุดท้ายหัวมังกรเพลิงก็ตอบตกลงแล้ว แต่กลับบอกเอาไว้ก่อนว่า ถ้าเฮยทั่นกล้าก่อเรื่องที่นี่ เขาก็จะไม่ให้อภัยง่ายๆ


วิญญาณอัคคีหนึ่งร้อยคนเตรียมตัวเสร็จเร็วมาก เหมียวอี้กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ขึ้นไปหาเฮยทั่นบนยอดเขา บอกเรื่องที่เขาจะออกไปจากที่นี่และจะให้มันอยู่ที่นี่ต่อให้ฟัง


ขณะเดียวกันเขาก็ส่งกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งไว้ให้เฮยทั่นดูแลรักษา ในนี้ล้วนเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากตัวพวกอวี้ซา ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ ถ้าโดนทหารยามที่เฝ้าทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ตรวจเจอ ก็จะนำปัญหาใหญ่มาสู่ตนได้


ถึงแม้เฮยทั่นจะตัดใจทิ้งแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่นี่ไม่ลง แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะอยู่ที่นี่คนเดียว อยากจะไปกับเหมียวอี้มากกว่า


“อยู่ต่อ!” เหมียวอี้ตัดสินใจแทนมันด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมปฏิเสธ จากนั้นหันหลังให้ปราณชั่วร้ายที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า มองปที่ขอบฟ้าไกลๆ เสื้อผ้าปลิวสะบัดอย่างรุนแรง ใบหน้าเผยความรู้สึกกังวลยากจะลืมเลือน “เฮยทั่น พวกเราผ่านอันตรายที่ถึงเป็นถึงตายมาด้วยกันตั้งเท่าไร กว่าจะเดินมาด้วยกันได้จนถึงวันนี้ อยู่ระหว่างความเป็นความตายมาตลอด มีแต่ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น ถ้าไม่มีศักยภาพก็ไม่มีอนาคต ข้าต้องพยายามก้าวไปข้างหน้า ถ้าเจ้าอยากจะก้าวไปข้างหน้าให้ทันข้า จะเกียจคร้านเฉื่อยชาไม่ได้ เจ้ากับข้าแทบจะเอาชีวิตไม่รอดกว่าจะมาที่ถ้ำมังกรรังหงส์ได้ มีโอกาสที่ดีกับเจ้าขนาดนี้ เจ้าจะปล่อยไปง่ายๆ เหรอ? เชื่อฟังข้า อยู่ต่อ!”


เฮยทั่นย่อมรู้อยู่แล้วว่ารสชาติของการตามเหมียวอี้ไม่ทันเป็นอย่างไร นึกถึงตอนนั้นที่เหมียวอี้ใช้งานมันไม่ได้ มันก็ได้แต่อยู่บนพื้นมองเหมียวอี้เหาะเหินอยู่บนฟ้า ต่อให้ร้อนใจแต่ก็ทำได้แค่วิ่งบนพื้นอย่างสุดชีวิต อย่าตามทันได้อย่างไร


เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าอย่างผิดหวังนิดหน่อย “การเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์นั้นไม่ง่ายเลย”


เหมียวอี้เอียงหน้าเหล่ตามองมัน “แยกกันชั่วคราวก็เพื่อการพบกันใหม่ที่ดีกว่าในอนาคต! เจ้าไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องกลับมาพาเจ้าออกไปแน่นอน!” จากนั้นก็ค่อยๆ มองไปยังขอบฟ้าแสนไกลด้วยแววตาล้ำลึก “ถ้าข้าตายแล้ว กลับมาไม่ได้ จะต้องมีคนที่รอดชีวิตมาล้างแค้นให้ข้าอยู่แล้ว! ถึงยังไงเจ้าก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องนี้มอบหมายให้เจ้าแล้วกัน! จำไว้นะ ถ้าอยากจะเพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง ก็ต้องใจอยู่ที่นี่ต่อไป อย่าก่อเรื่องนี้ พอข้าไปก็ไม่มีใครปกป้องเจ้าอีกแล้ว!”


ไม่ได้พูดอะไรมากอีก พูดจบก็กระโจนตัวลงไปเลย กางแขนสองข้างเหาะลงเขาไป


เฮยทั่นหายใจถี่กระชั้นอยู่บนยอดเขา ดวงตาสองข้างเปลี่ยนเป็นสีแดง เดินไปเดินมาและใช้กรงเล็บตะกุยพื้นไม่หยุด


“อ๋าว…อ๋าว…อ๋าว…” จู่ๆ บนยอดเขาก็มีเสียงคำรามยาวอันดุเดือด


นกเพลิงหลายสิบตัวบินออกมาจากทะเลสาบหินหนืด เหมียวอี้ที่กระโดดขึ้นหลังนกเพลิงใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป เห็นเฮยทั่นกำลังคำรามลากเสียงยาวอยู่บนยอดเขา


ตามที่นกเพลิงกระพือปีกอย่างรวดเร็ว จุดดำบนยอดเขาก็เล็กลงเรื่อยๆ เหมียวอี้หันกลับมามองข้างหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา…


บรรยากาศเป็นมงคล ดาราจักรที่เปล่งประกาย วังสวรรค์อันสูงส่ง


ในวังหลัง ตำหนักนารีสวรรค์สูงสุดในวังหลัง เรียกว่าตำหนักหลัก,ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ถูกเรียกว่าเหนียงเหนียงตำหนักหลัก และตอนนี้ราชันสวรรค์ก็สร้างตำหนักบูรพาแยกอีกแห่งหนึ่ง สะท้อนกันอยู่ไกลๆ แข่งกันโดดเด่น เหนียงเหนียงของตำหนักบูรพาก็คือสนมสวรรค์จ้านหรูอี้นั่นเอง


ประมุขชิงใส่ชุดลำลองเดินออกมาจากตำหนักนอนของตำหนักบูรพาด้วยสีหน้าเบิกบานใจ มุมปากยิ้มค้างอยู่นานมาก


จำเป็นต้องพูด ว่าทุกครั้งที่ตำหนักบูรพาล้วนทำให้เขาอารมณ์ดี ถึงแม้ผู้หญิงที่ตำหนักบูรพามักจะเชื่อฟังเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา แต่ก็ทำให้เขาชอบอย่างไม่มีเหตุผล ตั้งแต่พบกันครั้งแรกที่สวนท้อเขาก็ใจสั่นแล้ว ตอนแรกเขายังนึกว่าตัวเองหวั่นไหวไปชั่ววูบ แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว เขาพบว่าลึกๆ ในใจเขาชอบผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่สร้างวังหลังขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย วังหลังมียอดหญิงงามากมาย ที่สวยกว่านางก็ยิ่งมีนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบนาง


ความโปรดปรานนี้ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ คนที่อยู่ในตำแหน่งแบบเขา ถ้าชอบใครก็แสดงออกมาเกินไปไม่ได้ เพราะอาจจะไม่เป็นผลดีกับผู้หญิงคนนั้น


ซ่างก่วนชิง ผู้การใหญ่วังสวรรค์ที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักบูรพาเข้ามาทำความเคารพ “ฝ่าบาท!”


ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ เดินไปพลางถามไปพลางว่า “ช่วงนี้มีเรื่องอะไร?”


“ก็ไม่มีเรื่องอะไรขอรับ ล้วนเป็นเรื่องเก่าที่กำลังดำเนินต่อไป ใช่แล้ว…” ซ่างก่วนชิงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะรายงานว่า “เหวินเจ๋อที่รับหน้าที่แม่ทัพภาคอุทยานหลวงชั่วคราวส่งข่าวมาขอรับ ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะยังมีชีวิตอยู่ โทษกักกันในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ใกล้จะครบหนึ่งพันปีแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าเขากำลังจะรอดกลับมาขอรับ อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาแล้วสามารถรอดอยู่ในแดนดึกดดำบรรพ์มาได้จนตอนนี้ ช่างมหัศจรรย์จริงๆ ขอรับ!”


“เจ้าคิดว่าทำไมโพ่จวินจึงตอบตกลงที่จะให้เขาไปที่แดนดึกดำบรรพ์ล่ะ? เกรงว่าเจ้าจะยังไม่รู้สินะ เขาคือศิษย์ของอสุราอัคนีจอมเผด็จการในปีนั้น รอดกลับมาจากแดนดึกดำบรรพ์ได้ก็ไม่แปลกอะไร” ประมุขชิงที่อารมณ์ค่อนข้างดีกล่าวกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้ว “เจ้าลูกลิงตัวนี้มีความขัดแย้งกับสนมสวรรค์ เขารอดชีวิตกลับมาแล้ว เกรงว่าสนมสวรรค์จะไม่พอใจเสียแล้ว!”


…………………………

 

 

 


บทที่ 1499 คดีใหญ่

 

“อสุราอัคนี? อสุราอัคนีไหนขอรับ?” ซ่างก่วนชิงเหมือนตะลึงมาก สายตาที่เหล่มองประมุขชิงเล็กน้อยกลับดูแปลกๆ


ที่จริงแล้วความสนใจของเขาอยู่ที่คำพูดตอนหลังของประมุขชิง เพียงแต่ไม่อยากให้ประมุขชิงรู้สึกว่าเขากำลังสนใจความพูดในตอนท้ายของประมุขชิง จึงจงใจพูดแบบนี้กลบเกลื่อนก็เท่านั้นเอง


คนอื่นอาจจะไม่รู้ชัด แต่พ่อบ้านวังหลังอย่างเข้าจะไม่รู้กระจ่างเชียวหรือ? ประมุขชิงเคยกังวลเสียที่ไหนกันว่าผู้หญิงในวังหลังจะไม่พอใจและไม่สนใจเรื่องงานของตำหนักสวรรค์? นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่ากังวลว่าสนมสวรรค์จะไม่พอใจเพราะหนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตกลับมา เขาสงสัยนิดหน่อยว่าประมุขชิงรักท่านนั้นที่ตำหนักบูรพาเข้าจริงๆ แล้วหรือเปล่า


ที่จริงเขาก็สังเกตได้ตั้งนานแล้วว่าประมุขชิงปฏิบัติกับท่านนั้นของตำหนักบูรพาแบบไม่ค่อยปกติธรรมดา ที่วังหลังมีสนมสวยๆ เกลื่อนเหมือนเมฆ แต่ประมุขชิงไปตำหนักบูรพาค่อนข้างถี่ ตอนแรกยังนึกว่าประมุขชิงจงใจจะข่มฝั่งราชินีสวรรค์ แต่ตอนหลังเริ่มสังเกตเห็นทีละนิดว่ารสชาติเปลี่ยนไป กอปรกับจู่ๆ พูดประโยคนี้ออกมา ทำให้ซ่างก่วนชิงฉุกใจแล้วนิดหน่อย


เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองประตูใหญ่ของตำหนักบูรพาที่อยู่ด้านหลังเงียบๆ


ประมุขชิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “จะเป็นอสุราอัคนีไหนไปได้ล่ะ ก็อสุราอัคนีที่ตายด้วยน้ำมือเจ้าสามไป๋ไงล่ะ นั่นนับว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุค เพียงแต่สิ้นชีพไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าในใต้หล้าจะมีคนจำได้สักกี่คน”


ซ่างก่วนชิงเข้าใจในทันที แล้วถามอย่างตกใจนิดหน่อยว่า “อสุราอัคนีตายไปหลายปีแล้ว หนิวโหย่วเต๋อจะเป็นลูกศิษย์ของเขาได้ยังไงขอรับ?”


ประมุขชิงตอบว่า “จากที่สืบมาน่าจะเป็นเพราะโชคชะตานำพาให้ได้รับมรดกตกทอดของอสุราอัคนี ในปีนั้นหลังจากอสุราอัคนีแอบฝึกตนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ พอออกมาแล้วก็มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ต่างยุคของเขาจะได้รับการถ่ายทอดวิชาที่แท้จริงจากอาจารย์ผู้อาวุโสของตัวเองสักกี่ส่วน  ข้าค่อนข้างตั้งตารอดู”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” ซ่างก่วนชิงพยักหน้าเบาๆ ที่จริงก็ยังแปลกใจอยู่บ้าง


ตำหนักนารีสวรรค์ หลังโต๊ะยาวในตำหนักหลัก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันลุกขึ้นยืน ตอนนี้กำลังทีหน้าเย็นเยียบ ตวาดถามเสียงแหลมว่า “สองวันเหรอ? เจ้าบอกว่าฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักบูรพาสองวันเต็มๆ กว่าจะออกมาเหรอ?”


“เพคะ ถามกระจ่างแล้ว เมื่อวันซืนหลังจากฝ่าบาทเข้าไปในตำหนักบูรพาก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย เพิ่งจะปรากฏตัวและออกไปเมื่อครู่นี้เพคะ” เอ้อเหมยที่ยืนอยู่เบื้องล่างพยักหน้าอย่างกังวล


ไม่ให้กังวลคงไม่ได้ ตั้งแต่ท่านนั้นของตำหนักบูรพาเข้าวังมา สนมที่ถูกส่งมาจากตระกูลอิ๋ง ตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงก็แทบจะยืนฝั่งนั้นหมด พอคนของสี่ตระกูลยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน สนมที่พวกจอมพล เทพประจำดาวส่งเข้าวังก็แทบจะยืนฝั่งตำหนักบูรพากันหมดในทันที คนที่ยามปกติสนิทสนมเป็นเรียกพี่เรียกน้องกับราชินีสวรรค์ล้วนรักษาระยะห่างกับราชินีสวรรค์หมดแล้ว


พอจ้านหรูอี้เข้าวังมาคนเดียว ชั่วพริบตาเดียวก็แทบจะทำให้สถานการณ์ในวังหลังของตำหนักสวรรค์พลิกเป็นอีกแบบ ถ้าจะพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือ แทบจะปล้นอำนาจราชินีสวรรค์อย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไปหมดแล้ว ที่จริงทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่จ้านหรูอี้ แต่เป็นตระกูลอิ๋งที่อยู่ข้างหลังจ้านหรูอี้ อำนาจที่ตระกูลอิ๋งรวบรวมได้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว สามารถสร้างผลกระทบต่อใต้หล้าได้โดยผ่านวังหลัง ทั้งยังสร้างผลกระทบต่อวังหลังได้โดยผ่านใต้หล้าด้วย


หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ สถานการณ์ของวังหลังส่งผลเกี่ยวโยงถึงสถานการณ์ในใต้หล้า สถานการณ์ในใต้หล้าก็ต้องบงการสถานการณ์ที่วังหลังได้เช่นกัน ใครด้เปรียบใครเสียเปรียบก็จะแสดงออกในวังหลังนี่แหละ ถ้าไม่ใช่เพราะในมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังกุมอำนาจของราชินีสวรรค์อยู่ จะลงโทษหรือไม่ลงโทษใครในวังหลังล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง สามารถปกป้องคนของตัวเองได้ แล้วค่อยใช้อำนาจในมือโจมตีคนของฝ่ายตรงข้าม สามารถขู่ให้คนกลัวได้ ไม่อย่างนั้นก็คงจะโดนปล้นอำนาจในตำแหน่งไปหมดแล้วจริงๆ


แต่ใช่ว่าจะไร้เหตุผลกับทุกเรื่องบนโลกนี้ได้ ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอำนาจได้ตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นสักวันก็จะต้องรับผลกรรมเอง ด้วยเหตุนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จึงเริ่มกลัวแล้วนิดหน่อย นางรู้ดีมากว่าจุดจบของการสูญเสียอำนาจในวังหลังเป็นอย่างไร ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นคนที่ไม่ค่อยมีหน้ามีตาในวังหลังก็จะพากันกล้าเหยียบนางหมด นางอยู่อย่างสูงส่งมาหลายปีขนาดนี้ จะทนรับความอัปยศแบบนั้นได้อย่างไร นางจึงไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซี่ยโห้วด้วยความวิตกกังวล


เซี่ยโห้วท่า นายท่านแห่งตระกูลเซี่ยโห้วปลอบใจว่า : ไม่ต้องกังวล ขอเพียงจับจุดอ่อนของใครในวังหลังได้ ตอนนี้ปู่ขอแนะนำเจ้าว่าให้ลงมือได้อย่างไม่ต้องปรานี เล่นงานให้ถึงตายไปเลย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ปู่จะหนุนอยู่ข้างหลังเจ้าเอง! ก็อย่างที่บอกไว้ ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้ม ใครก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้!


อิ๋ง โค่ว ฮ่าว ก่วง สี่ตระกูลนี้เผยไพ่ต่อตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว พวกเขาต้องการจะแทรกแซงอำนาจใต้ดิน ตระกูลเซี่ยโห้วไม่แม้แต่จะแยด้วยซ้ำ


สี่ตระกูลนั้นไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดไปหรอก ขนาดยินดีจะตัดแบ่งอำนาจในตำหนักสวรรค์มาแลกกับอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังไม่แยแสเลย


การเจรจาการค้าล้วนเป็นการเสนอราคาที่สูงไร้ขีดจำกัดไว้ก่อน คุยไปคุยมาราคาก็ย่อมลดลงเองอย่างช้าๆ สุดท้ายก็ต้องให้ฝั่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปิดตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ยอมให้สี่ตระกูลยัดคนเข้าไปในตลาดสวรรค์ นี่คือขั้นตอนของการควบคุมตลาดสวรรค์ใหม่อีกครั้ง


เดิมทีก็เป็นราชันสวรรค์ที่ปล่อยอำนาจของตลาดสวรรค์ให้ตระกูลเซี่ยโห้ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ตักตวงผลประโยชน์ในตลาดสวรรค์เยอะสักเท่าไรนัก เรื่องบางเรื่องจะมีหรือไม่มีก็ได้ ทว่าตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วกลับเหมือนเต่าที่กินลูกตุ้มมา ใจแข็งสุดๆ ใจแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่มีการเจรจาใดๆ ทั้งนั้น แน่วแน่ว่าจะไม่ยอมถอยอะไรทั้งสิ้น!


ฉีกหน้ากันไปแล้ว เดินมาถึงขั้นนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องดูความสามารถแล้ว ถ้าไม่สร้างผลลัพธ์ขึ้นมาก็ไม่มีใครยอมถอย ทั้งสี่ตระกูลถูกทำให้เดือดดาลแล้ว ตัดสินใจที่จะใช้ไม้แข็ง ลงมือกับตำแหน่งของตระกูลเซี่ยโห้วที่มีอยู่ในเยอะในตำหนักสวรรค์ ทั้งยังส่งทัพใหญ่ไปล้างเลือดสถานที่ที่เกี่ยวโยงกับอำนาจใต้ดินซ้ำแล้วซ้ำอีก คนกลุ่มหนึ่งตำหนิชี้ความผิดว่าราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ใช้อำนาจในทางที่ผิดที่วังหลัง เสียงร้องขอให้ถอดราชินีสวรรค์ออกจากตำแหน่งดังขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าในราชสำนักไม่มีคนของตระกูลเซี่ยโห้วคอยออกเสียงให้ ถ้าแม้แต่สัญลักษณ์ของตระกูลเซี่ยโห้วในตำหนักสวรรค์ก็ถูกถอดทิ้งไปเหมือนกัน แล้วถ้าตระกูลเซี่ยโห้วกุมอำนาจใต้ดินไว้แต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ยอมปล่อยอีก แบบนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องแบบไหนกัน อยากจะตั้งตนเป็นอิสระอยู่นอกตำหนักสวรรค์งั้นหรือ? ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วเป็นแบบนั้น ตำหนักสวรรค์จะปล่อยเขาไว้เหรอ?


ตระกูลเซี่ยโห้วสั่งสอนกลับทันที ในราชสำนักมีคนโยนหลักฐานการทำผิดของคนบางคนในตำหนักสวรรค์ไม่หยุด ยกตัวอย่างเช่นครอบครองและขายของผิดกฏหมาย วางแผนทำร้ายเพื่อนร่วมงาน แอบรับสนมที่ตำหนักสวรรค์ถอดออกจากตำแหน่งแล้วเอาไว้เป็นผู้หญิงของตัวเอง ถึงขั้นมีคนแอบสมคบก่อกบฎด้วย


เมื่อโยนหลักฐานที่แน่นหนาดุจขุนเขาออกมาเรื่อยๆ แค่คิดจะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ยังทำไม่ได้เลย ทำให้ประมุขชิงเดือดดาลราวกับฟ้าผ่า


ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปี ตั้งแต่ข้างล่างจนถึงข้างบนของตำหนักสวรรค์ เริ่มมีขุนนางถูกถอดไปนับพันคนแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะกดดันไปทางขุนนางใหญ่ทุกคนในราชสำนักด้วย เป็นการขู่เตือนแบบโจ่งแจ้งจริงๆ


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่อยู่ในวังหลังก็ไม่หยุดพักเช่นกัน ลงมืออย่างโหดเหี้ยมถี่มาก สาวงามในวังหลังมักจะโดนเปิดโปงเรื่องน่าไม่อายบ่อยๆ ถ้าไม่โดนตีก็โดนซ้อมตายทั้งเป็นๆ ยอดหญิงงามหลายร้อยตายไปแบบนั้นแล้ว ในจำนวนนั้นมีหลายคนที่เป็นญาตกับขุนนางใหญ่ราชสำนัก


ตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ราชสำนักอ่างสงบเสงี่ยมมาตลอดหลายสมัย ในที่สุดตอนนี้ก็เผยด้านที่ดุร้ายออกมาแล้ว เจ้าตัวไม่จำเป็นต้องใช้กำลังอะไรมากเลย ความน่ากลัวของตระกูลนี้เพียงพอที่จะทำให้คนตัวสั่นได้! นี่เป็นเพียงการเผยหนึ่งมุมของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น แค่ก็ทำให้คนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นแล้ว นี่เป็นการเตือนทุกคนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ว่าตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้แตะต้องได้ง่ายๆ ขนาดนั้น!


คนที่อยู่ระดับล่าง คนสองคนก็ปกป้องไม่ได้ คนหลายสิบคนก็ปกป้องไม่ได้ กลายเป็นคนนับร้อยนับพันที่ปกป้องไม่ได้ การโจมตีกลับรอบด้านในวงกว้างขนาดนี้กดดันให้สี่อ๋องสวรรค์ค่อนข้างฉุกละหุก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปพวกลูกน้องคงไม่กล้าอยู่กับพวกเขาแน่ เกรงว่าอีกไม่นานก็จะวิ่งไปกอดขาตระกูลเซี่ยโห้วเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองกันหมด


วิธีการเดียวก็คือกำจัดตระกูลเซี่ยโห้วให้สิ้นซาก แต่อำนาจในที่แจ้งกับอำนาจในที่ลับของตระกูลเซี่ยโห้วไม่เคยวางไว้ที่เดียวกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในมือสี่อ๋องสวรรค์มีกำลังทหารเยอะแล้วอย่างไรล่ะ ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ชัดว่าตระกูลเซี่ยโห้วซ่อนอะไรเอาไว้บ้างในที่ลับ ต่อให้เจ้าฆ่าทั้งตระกูลเซี่ยโห้วตายหมดรวมทั้งเซี่ยโห้วท่าแล้วอย่างไรล่ะ เกรงว่าจะยิ่งก่อให้เกิดการล้างแค้นที่บ้าระห่ำมากกว่าน่ะสิ!


ถ้าทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างนี้ต่อไป ผลที่ตามมาก็ไม่มีใครรับไหว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปทุกคนคงเล่นจนหมดตัว มีแค่คนเดียวที่จะได้ประโยชน์ นั่นก็คือประมุขชิง!


คนที่อยู่ในตำแหน่งแต่ละคนถูกโค่นล้ม ในขณะที่ประมุขชิงแสดงออกถึงความเดือดดาล แต่อีกด้านหนึ่งก็ย้ายคนจากกองทัพองครักษ์มาเติมในตำแหน่งอย่างไม่ทุกข์ร้อน เรื่องที่ประมุขชิงจัดการได้ยกาก่อนหน้านี้ พอทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างหนักหน่วง ก็ช่วยให้ประมุขชิงทำงานสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เกรงว่านี่คงจะเป็นสิ่งที่ประมุขชิงอยากจะเห็น


วุ่นวายจนแพ้และเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย ตระกูลเซี่ยโห้วรักษาเส้นตายเอาไว้ไม่ยอมอ่อนข้อ สุดท้ายก็มีแต่สี่อ๋องสวรรค์ที่จัดงานเลี้ยงแล้วเชิญเซี่ยโห้วท่ามาร่วมงาน


หลังจากจบงานเลี้ยง การต่อสู้กันดุเดือดของทั้งสองฝ่ายก็สงบลงอย่างรวดเร็ว


เพียงแต่หลังจากจบเรื่องนั้นแล้ว คลื่นพลังที่เหลือของพวกพี่ใหญ่นั้นยังอยู่ ถูกสี่อ๋องสวรรค์ใช้วิธีการ ‘ฆ่าผิดตัวดีกว่าปล่อยผ่านไป’ ส่งกำลังพลไปก่อความวุ่นวายยังจุดที่เกี่ยวของอำนาจใต้ดินอีกครั้ง ภายนอกตระกูลเซี่ยโห้วดูเหมือนใจแข็ง แต่ความจริงก็เสียหายยับเยินเช่นกัน เชือกที่โดนดึง บ้างก็ขาดบ้างก็พันกันยุ่ง ดังนั้นตอนนี้อำนาจใต้ดินจึงค่อนข้างยุ่งเหยิง ไม่ได้กลับไปเป็นเหมือนเดิมง่ายๆ ภายในเร็วๆ นี้


นี่ก็คือจุดที่ตระกูลเซี่ยโห้วเสียเปรียบ ถ้าไม่สามารถกุมกำลังพลทัพใหญ่ไว้ในมือตัวเองอย่างสง่าผ่าเผยได้ ก็ไม่สามารถใช้กำลังปะทะตรงๆ อย่างโจ่งแจ้งได้ ไม่สามารถต่อต้านแบบซึ่งๆ หน้าได้เลย กำลังพลส่วนใหญ่ในใต้หล้ารวมอยู่ในมือสี่อ๋องสวรรค์ ถ้าเทียบเรื่องกำลังพล ใครจะไปแข่งกับพวกเขาสี่คนได้ล่ะ? ยามเผชิญหน้ากับการที่สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกันใช้กำลังทหารล้อมปราบ ต่อให้ใช้ยอดฝีมือจำนวนหนึ่งมาต้านทานก็ต้านทานไม่ไหว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เสียหายอย่างหนัก


สองจอมพล แปดเทพประจำดาว สิบสองโหวโดนโค่น ทั้งยังมีคนตำแหน่งต่ำกว่านั้นอีกนับพันที่ตกม้า ล้วนเป็นผลงานจากการต่อสู้อันดุเดือดทั้งนั้น ประมุขชิงฉวยโอกาสตอนที่ทั้งสองฝ่ายกำลังงัดกัน ใช้มือข้างหนึ่งแทรกเข้ามาในตาข่ายที่อำนาจท้องถิ่นถักทอมาหลายปี ฉีกแหวกรูโหว่จนเลือดไหลนอง


สี่อ๋องสวรรค์ล้อมปราบโดยอ้างข้อหากบฎ รวบรวมทัพใหญ่และทุ่มเทใช้วิธีการ ‘ยอมฆ่าผิดตัวดีกว่าปล่อยผ่าน’ หมายจะถอนรากถอนโคนตระกูลเซี่ยโห้วให้สิ้นซากในรวดเดียว ผลปรากฏว่าทำไม่สำเร็จ และตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่กล้าคว่ำกระดานตำหนักสวรรค์โดนไม่สนใจอะไรเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสียหายอย่างหนัก ทั้งสองฝ่ายล้วนกำลังทบทวนความผิดพลาดของตัวเอง


การต่อสู้อันดุเดือดนี้เป็นคดีใหญ่ที่เกิดขึ้นหลังจากเหมียวอี้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เรียกได้ว่าส่งผลกระทบไกลและลึกซึ้ง สั่นสะเทือนใต้หล้า


และในตอนนี้…


เพล้ง! เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โบกแขนเสื้อสองข้าง ของที่อยู่บนโต๊ะยาวแตกกระจายตกพื้น นางโมโหจนหอบหายใจและหน้าซีด จ้องไปนอกตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าดุร้ายพร้อมตวาดว่า “นางตัวดี! สองวัน! ไม่น่าเชื่อว่าจะรั้งฝ่าบาทไว้สองวัน ไม่รู้รึไงว่าเวลาสองวันทำให้ฝ่าบาทเสียงานใหญ่ขนาดไหน? วังหลังมีผู้หญิงดอกทองแบบนี้โผล่มา ไม่ช้าก็เร็วจะต้องสร้างหายนะต่อใต้หล้าแน่! ไป ไปเรียกนางตัวดีมาให้ข้า ข้าจะสั่งสอนคุณธรรมของสนมให้นางรู้สักหน่อย !”


เอ้อเหมยย่อมรู้ว่านางกำลังถูกความริษยาโจมตีหัวใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ยังคงต้องเอ่ยรับและเดินออกไป


ณ ตำหนักบูรพา หลังจากประมุขชิงออกไปแล้ว ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งในตำหนักนอน จ้านหรูอี้ผมยาวสยายคลุมบ่า สวมชุดกระโปรงยาวตัวโคร่งใหญ่สีเงิน กำลังนั่งมองตัวเองในกระจกเงียบๆ แววตานิ่งสงบ สีหน้าเฉยชาไม่สะทกสะท้าน ไม่ดีใจ ไม่กังวล ไม่หวาดกลัว


หญิงแกร่งมากความสามารถผู้หยิ่งทระนง หญิงที่ฮึกเหิมมีชีวิตชีวาและมีอุดมการณ์เต็มเปี่ยมในปีนั้นออกห่างจากตัวนางไปไกลแล้ว ไม่มีทางเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานในใต้หล้าได้อีก กำแพงวังสูงที่หรูหราได้ตัดขาดอำนาจในการมีอิสระทุกอย่างไปหมดแล้ว


หยินซวง ไป๋เสวี่ยหวีผมให้นางอย่างพิถีพิถัน ทั้งสองคือสาวใช้ที่แต่งงานเข้าวังมาด้วย ตามหลักแล้วนี่คือชะตาของสาวใช้ แต่ตอนนี้กลับเป็นห่วงเจ้านาย


ก็ช่วยไม่ได้ เพราะนายหญิงท่านนี้เย็นชาเกินไปจริงๆ ราวกับทุกเรื่องล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง ทุกครั้งที่ฝ่าบาทมาที่นางก็ทำไม่รู้ร้อนรู้หนาวตลอด ไม่เคยสนใจจะถามเรื่องการต่อสู้อันสะท้านฟ้าสะเทือนดินข้างนอกเลย ราวกับว่าพอได้รับคำสั่งให้แต่งงานเข้าวังมาก็เสร็จงานแล้ว ทำเอาตระกูลอิ๋งเดือดดาลมาก โดนกดดันแทบแย่ ทั้งสองทำได้เพียงช่วยนางจัดการทุกอย่างตามที่ได้รับคำสั่งมา


แต่ก็ยังต้องรายงานทุกเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกภายในให้นางฟัง ทั้งสองผลัดกันรายงานสถานการณ์ข้างนอก เรียกได้ว่าเล่าทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ พอพูดไปเยอะพอสมควรแล้ว สองสาวก็ส่งสายตาให้กัน สังเกตปฏิกิริยาของจ้านหรูอี้ หยินซวงพูดเบาๆ ว่า “นึกออกแล้ว เหนียงเหนียง ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อที่โดนทำโทษให้ไปอยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ยังไม่ตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีชีวิตอยู่”


…………………………

 

 

 


บทที่ 1500 เกาะแกะไม่เลิก

 

จ้านหรูอี้ยังคงนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน เพียงแต่สายตาที่จ้องตัวเองในกระจกเบี่ยงหลบเล็กน้อยแล้ว


หลังจากสังเกตเห็น สาวใช้ทั้งสองก็สบตากันอีกครั้ง ว่ากันว่าเหนียงเหนียงได้รับความอัปยศใหญ่หลวงด้วยน้ำมืออีกฝ่าย เคยโดนคนจับแขวนบนเสาธงให้อับอาย แค้นใหญ่ขนาดนี้ สงสัยจะไม่ได้ลืมได้ง่ายๆ ขนาดนั้น


ไป๋เสวี่ยพูดต่อไปว่า “ได้ยินว่าการทำโทษหนึ่งพันปีใกล้จะจบลงแล้วเพคะ ทางจวนแม่ทัพภาคอุทยานหลวงส่งคนไปรับแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่าเขามีโอกาสที่จะรอดชีวิตกลับมาจริงๆ แดนมรณะดึกดำบรรพ์เชียวนะเพคะ ขนาดคนทั่วไปยังหวาดกลัวเลย นักพรตบงกชทองอย่างเขาโดนขังอยู่ในนั้นหนึ่งพันปี ไม่น่าเชื่อว่าจะยังรอดชีวิตกลับมาได้อีก”


หยินซวงบอกว่า “ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายดวงแข็งพอสมควรเพคะ ได้ยินว่าเจ้าหนุ่มนั่นหนีรอดจากความตายมาได้หลายครั้งแล้ว ครั้งนี้แล้วยังไงล่ะ ไม่รู้ว่าจะทำตัวกำเริบเสิบสานไปถึงเมื่อไร”


“กองมังกรดำประจำการที่อุทยานหลวงมานานพอสมควรแล้ว หลังจากเขากลับมาแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่ากองมังกรดำจะย้ายเขาออกไป แต่ตอนที่เขายังอยู่อุทยานหลวง ก็ยังต้องดูแลอยู่ในอาณาเขตของวังสวรรค์เป็นประจำทุกวัน ถ้าออกไปเมื่อไร แบบนั้นก็จะกลายเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายแบบเต็มตัวแล้ว ขนาดฝ่าบาทยังต้องไว้หน้าผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์ซ้ายเลย ถ้าคิดจะลงมือตอนนั้นก็เกรงว่าจะไม่ง่ายแล้ว เหนียงเหนียง จะหาโอกาสกำจัดเขาทิ้งดีมั้ยเพคะ” ไป๋เสวี่ยพูดต่อ


ทั้งสองกำลังรอคำตอบของจ้านหรูอี้


แววตาของจ้านหรูอี้ที่มองตัวเองในกระจกวูบไหวเล็กน้อย เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องที่โดนใครบางคนจับแขวนบนเสาธงในปีนั้น เรื่องที่ถอดเสื้อผ้าเปลือยอกต่อหน้าใครบางคน นางไม่จำเป็นต้องมองว่าเรื่องพวกนั้นอัปยศอดสูอีกแล้ว


แต่กลับมีบางภาพที่มักปรากฏอยู่ในหัวนาง เป็นภาพที่ใครบางคนทำท่าอยากจะชักกระบี่อยู่ตรงตีนบันได ภาพที่ใครบางคนโดนควบคุมตัวไปหลังจากที่จบเรื่องนั้น นั่นคือภาพความทรงจำที่ลึกซึ้งสำหรับนาง


คนคนนั้นทำเรื่องโง่เง่าอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต่างอะไรกับการทำลายอนาคตตัวเอง บุ่มบ่ามจนทำให้ตัวเองตายได้เลย ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ?


นางจดจำได้อย่างชัดเจน ว่าตอนที่ตัวเองกำลังจะก้าวเท้าขึ้นไปบนเกี้ยวหงส์รับเจ้าสาว มือของใครคนนั้นที่กดกระบี่ไว้แทบจะชักกระบี่ออกมาแล้ว


ดังนั้นนางจึงได้คำตอบหนึ่งที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด ถึงแม้ในตอนนั้นนางจะเตรียมตัวไว้แล้ว ว่าขอเพียงให้คนคนนั้นชักกระบี่ นางก็ยินดีที่จะร่วมเป็นร่วมตายไปกับเขาโดยไม่สนใจอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าคนคนนั้นไม่อยากทำให้นางลำบากไปด้วย ดังนั้นก็ไม่ใช่ว่าเขาจะหลบเลี่ยงนางหรอก เขาแค่ไม่อยากทำให้นางลำบากก็เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นตอนหลังก็ไม่ขำเป็นต้องทำเรื่องอย่างนั้นเลย


แต่นางไม่เข้าใจ ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ยังพอจะมีหวังอยู่บ้าง ทำไมเขาถึงไม่ไปกับนาง อย่าบอกนะว่าคิดว่านางชินกับชีวิตที่ร่ำรวยมีเกียรติ แล้วใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนไม่ได้?


เรื่องบางเรื่องไม่มีทางย้อนกลับไปได้อีกแล้ว การไปซักไซ้เรื่องในปีนั้นไม่มีความหมายอะไรต่อนางอีก เพียงแต่การกระทำที่ขัดแย้งกันของคนคนนั้นกลายเป็นปริศนาอย่างหนึ่งในใจนาง เดิมทีก็ถูกการกระทำของอีกฝ่ายทำร้ายจิตใจอยู่แล้ว จึงตัดสินใจว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่เศร้าและไม่เกลียดชังอีก แต่กลับถูกการกระทำในตอนหลังของเขากระตุ้นให้เกิดความเจ็บปวดที่คลุมเครืออยู่ในใจ กลายเป็นความเสียใจเสียดายที่ไม่มีวันลืมตลอดไป


ไม่ว่าตัวนางในตอนนี้จะสงบเยือกเย็นเพียงใด แต่ในใจผู้หญิงก็ล้วนฝันที่จะมีความรักสักครั้งหนึ่ง ต่อให้ไม่เคยได้รับ แต่ก็หวังว่าจะเคยมีสักครั้ง ดังนั้นนางอยากจะรู้คำตอบของเรื่องบางเรื่อง ว่าทำไมในปีนั้นเขาถึงทำแบบนั้น เป็นเพราะทำเพื่อนางหรือเปล่า?


พอสาวใช้ทั้งสองช่วยเกล้าผมให้เงียบๆ เสร็จแล้ว จ้านหรูอี้ก็ลุกขึ้นยืนเบาๆ แล้วเดินลากกระโปรงยาวออกไป หยินซวง ไป๋เสวี่ยมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ได้รับคำตอบใดๆ…


น่านฟ้าระกาติง ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน หออวิ๋นฮว๋า เดิมทีเป็นโรงรับจำนำแห่งหนึ่ง ตอนนี้ขายเครื่องประดับควบด้วย


ผู้จัดการร้านไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอวิ๋นจือชิวนั่นเอง และหออวิ๋นฮว๋านี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนชื่อเพราะอวิ๋นจือชิวมาที่นี่ แต่เป็นเพราะป้ายร้านกับอวิ๋นจือชิวมีจุดที่ตรงกันพอดี ลัทธิมารถึงได้ส่งนางมาที่นี่


ในร้านค้า ชายหนุ่มเสื้อแพรคนหนึ่งที่ค่อนข้างดูมีสง่าราศีกำลังเอามือไขว้หลังเดินเล่นชมเครื่องประดับอยู่ระหว่างตู้แสดงสินค้า เมื่อเห็นของสวยงามก็พยักหน้าเบาๆ ชื่นชม ข้างหลังมีลูกน้องคนหนึ่งติดตาม


ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหัวหน้าภาคคนใหม่ของน่านฟ้าระกาติง ชื่อว่าฉู่จื่อซาน เดิมทีเป็นแม่ทัพภาคคนหนึ่งของน่านฟ้าระกาติง เป็นแม่ทัพภาคคนหนึ่งที่ถูกย้ายมาจากหน่วยองครักษ์ขวา สาเหตุที่เลื่อนเป็นหัวหน้าภาคอย่างรวดเร็วก็เหมือนกับเนี่ยอู๋เซี่ยว หลายปีมานี้มีคนของกองทัพองครักษ์ย้ายมาที่อำนาจท้องถิ่นไม่น้อยเลย และถูกเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว


ยามคนงานในร้านเผชิญหน้ากับหัวหน้าภาคคนนี้ ก็ย่อมต้องสุภาพเกรงใจอยู่แล้ว


ผ่านไปครู่เดียว เชียนเอ๋อร์สาวใช้ประจำตัวอวิ๋นจือชิวก็เดินออกมาจาโถงด้านหลังโดยมีคนงานคนหนึ่งนำทาง นางรีบก้าวขึ้นมาคำนับอย่างรวดเร็ว “คำนับท่านหัวหน้าภาค”


ฉู่จื่อซานที่กำลังเอามือไขว้หลังเหล่ตามองแวบหนึ่ง “ผู้จัดการอวิ๋นล่ะ?”


เชียนเอ๋อร์อมยิ้มพร้อมตอบว่า “บังเอิญจริงๆ ค่ะ ผู้จัดการร้านมีธุระออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าภาคมีอะไรจะกำชับคะ เดี่ยวผู้น้อยจะบอกต่อให้แน่นอน”


ฉู่จื่อซานแสยะยิ้ม “ช่างบังเอิญจริงๆ ข้ามาด้วยตัวเองถึงสามรอบ แต่ผู้จัดการอวิ๋นก็บังเอิญมีธุระออกไปข้างนอกทุกรอบ ครั้งที่สี่ต้องทุ่มเทความคิดไปนิดเหน่อย ให้คนมาดูลาดเลาก่อน เหมือนเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนยังเห็นผู้จัดการอวิ๋นกลับมาที่ร้านอยู่เลยนะ ยังไม่เห็นออกไปด้วย ทำไมพอข้ามาผู้จัดการอวิ๋นก็หายไปแล้วล่ะ?”


“ท่านหัวหน้าภาคเข้าใจผิดแน่ๆ คะ ผู้จัดการร้านออกไปข้างนอกแล้วจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้ออกทางประตูหลักก็เท่านั้นเอง” เชียนเอ๋อร์ยังคงมีใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิม แต่ในใจกลับแอบร้อง


นางเองก็เข้าใจเช่นกัน จะไม่ให้อวิ๋นจือชิวหลบคงไม่ได้ เป็นเพราะโดนคนคนนี้เกาะแกะไม่เลิกจริงๆ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือโดนอีกฝ่ายจับตามองแล้ว


ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่วันที่ฉู่จื่อซานเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาค มีคนไม่น้อยไปร่วมแสดงความยินดี ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็อยู่ในอาณาเขตการควบคุมของฉู่จื่อซานเช่นกัน ไม่ว่าตลาดสวรรค์กับอำนาจท้องถิ่นจะมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ในเขตน่านฟ้าระกาติง คงไม่ดีหากหออวิ๋นฮว๋าจะต้องใครก็ได้ไปทำตัวเสียมารยาท อวิ๋นจือชิวจึงนำของขวัญไปมอบให้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงทั้งนั้น ว่าการที่อวิ๋นจือชิวไปครั้งนี้จะโดนฉู่จื่อซานจับตามองแล้ว ตอนหลังจึงค่อนข้างยุ่งยากมีปัญหา เพราะไม่สะดวกจะขัดใจอีกฝ่าย จึงทำได้เพียงหลบเลี่ยง


“ไม่ได้ออกไปทางประตูหลักเหรอ? ข้าจะพูดให้ชัดเจนเลยก็ได้ ว่าข้าส่งคนมาเฝ้าไว้รอบๆ หออวิ๋นฮว๋าหมดแล้ว ไม่ทราบว่าผู้จัดการอวิ๋นออกไปผ่านประตูไหนเหรอ? อย่าบอกนะว่าแอบขุดหลุมใต้ดินเอาไว้ส่วนตัว?” ฉู่จื่อซานก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง กดดันจนเชียนเอ๋อร์รีบถอยหลัง แล้วกล่าวด้วยแววตาดุร้ายว่า “กลับไปบอกผู้จัดการอวิ๋น ว่านี่ไม่ใช่หลักการในการต้อนรับแขก ถ้าสหายกลายเป็นศัตรูกันก็จะไม่สนุกแล้วนะ ถึงแม้ข้าจะแทรกแทซงที่ตลาดสวรรค์นี้ไม่ได้ แต่ถ้าอยากจะทำให้หออวิ๋นฮว๋าเปิดต่อไปไม่ได้ แบบนั้นก็ไม่มีปัญหา นอกเสียจากคนของหออวิ๋นฮว๋าจะอยากหลบอยู่ในตลาดสวรรค์ตลอดไป!”


“ท่านหัวหน้าภาค…” เชียนเอ๋อร์ยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉู่จื่อซานโบกมือตัดบท “ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะมาบ่น เจ้าไปบอกผู้จัดการอวิ๋น ถ้าวันนี้ไม่เห็นตัวก็อย่าหาว่าข้าตั้งตัวเป็นศัตรูก็แล้วกัน ไป!”


เชียนเอ๋อร์เดือดดาลในใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงถอยไปเงียบๆ


ผ่านไปครู่เดียว อวิ๋นจือชิวก็รีบก้าวเข้ามา โดยมีเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ตามอยู่ข้างหลัง ทั้งยังมีชายชราที่สีหน้าเรียบเฉยคนหนึ่งด้วย


“เอ๋! ท่านหัวหน้าภาคมาได้ยังไงคะ?” อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเป็นกันเองมาตั้งแต่ไกลๆ


พอเห็นอวิ๋นจือชิว ฉู่จื่อซานก็เลิกทำหน้าอารมณ์เสียทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตากลอกกลิ้งบนเรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งของอวิ๋นจือชิวสองครั้ง ถึงแม้ภายนอกจะมีเสื้อผ้าบังอยู่ แต่ก็ยากที่จะปิดบังจินตนาการของทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิข้างในได้ ในใจเขาแอบชมว่า ช่างเป็นหญิงงามยั่วราคะที่หาพบได้ยากจริงๆ


ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจออวิ๋นจือชิว เขาก็ใจเต้นทันที ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะไม่นับว่าสวยเลิศเลอ แต่เขามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีเรือนร่างยั่วราคะแบบที่หาพบได้ยาก จากคนที่มีประสบการณ์มาก่อน เรื่องบางเรื่องนั้นยากจะปิดบังได้ เขาจึงจดจำไว้ในใจมาตลอด


เขาใช้สายตาสกปรกไล่มองตั้งแต่หน้าอกอวบอิ่มไปจนถึงใบหน้ารูปไข่อันสง่างามทว่าแฝงความหยาดเยิ้มของอวิ๋นจือชิว แล้วกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ผู้จัดการอวิ๋น หัวหน้าภาคผู้นี้อยากจะพบหน้าเจ้าสักครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ!”


อวิ๋นจือชิวค่อนข้างรับไม่ได้กับสายตาที่โจ่งแจ้งของคนคนนี้ ในปีนั้นตอนที่อยู่พิภพเล็ก นางก็เจอสายตาประเภทนี้มาเยอะมาก เพียงแต่ทุกคนกลัวคนที่หนุนหลังนางอยู่ จึงไม่มีใครกล้าเปิดเผยขนาดนี้ แต่หลังจากมาที่พิภพใหญ่และอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เนื่องจากความสัมพันธ์กับ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้เช่นกัน ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเจอคนที่สลัดออกยากแล้ว


ถ้าเมื่อก่อนเป็นแบบนี้ ด้วยลักษณะท่าทางของนางก็จะไม่แยแสเช่นกัน แต่งตัวเปิดเผยขนาดนั้นจะห้ามสายตาคนอื่นได้เหรอ?  แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ถึงอย่างไรก็แต่งงานแล้ว ดังนั้นจึงแต่งตัวมิดชิด ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก อย่างน้อยนางก็คำนึงถึงความรู้สึกของเหมียวอี้


หลังจากออกจากดาวเทียนหยวนแล้ว นางก็รู้ว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว นางพยายามออกจากบ้านและเผยโฉมให้น้อยที่สุด แต่ใครจะคิดว่าเรื่องบางเรื่อง ต่อให้จะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น แค่ออกไปส่งของขวัญก็โดนจับตามองแล้ว


ในใจนางค่อนข้างร้อนรน เพราะเหมียวอี้กำลังจะออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ถ้าเขารู้เรื่องนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางรู้จักนิสัยของผู้ชายตัวเองดีเกินไป ถ้าความโกรธพุ่งขึ้นหัวเมื่อไร ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น


ด้วยเหตุนี้ นางจำต้องสั่งพวกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ซ้ำอีก ว่าห้ามให้เหมียวอี้รู้เรื่องนี้เด็ดขาด เรื่องนี้นางคิดหาทางแก้ปัญหาเองได้ ไม่อย่างนั้นด้วยพลังของเหมียวอี้ที่ขนาดอยู่ในแดนดึกดำบรรพ์แล้วยังเขย่าหกลัทธิได้ ก็จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน


ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ว่าไปอย่าง ถ้าเล่นงานหัวหน้าภาคตายขึ้นมา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว และอำนาจที่หนุนหลังหัวหน้าภาคก็คือหน่วยองครักษ์ขวาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพองครักษ์แห่งราชันสวรรค์ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็เดาได้ไม่ยาก คนอย่างเหมียวอี้ถ้าโมโหขึ้นมาก็ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาแน่นอน


อวิ๋นจือชิวย่อมรู้ถึงเจตนาตำหนิในคำพูดของอีกฝ่าย นางทำสีหน้าโกรธเคืองพร้อมกล่าวว่า “เป็นหญิงรับใช้ของข้าที่ตัดสินใจโดยพลการ รู้ว่าข้ากำลังฝึกวิชา ไม่อยากให้ใครรบกวน นึกไม่ถึงว่าจะเสียมารยาทกับหัวหน้าภาคแล้ว อวิ๋นจือชิวขออภัยไว้ ณ ตรงนี้!”


“ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าคนอื่น แต่ก็ต้องเห็นแก่หน้าผู้จัดการอวิ๋น” ฉู่จื่อซานกล่าวกลั้วหัวเราะแล้วโบกมือ บอกใบ้ว่าปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปอย่างใจกว้าง จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “ผู้จัดการอวิ๋นคงจะไม่รับแขกหัวหน้าภาคตรงนี้หรอกใช่มั้ย?”


“เชิญที่ห้องรับแขก!” อวิ๋นจือชิวรีบหลีกทางแล้วยื่นมือเชิญ


หลังจากพกเขาเดินเข้ามาในห้องรับแขก ฉู่จื่อซานก็เห็นว่านอกม่านไข่มุกคือร้านค้าที่มีคนเข้าออกเป็นปกติ ไม่ค่อยสะดวกให้เขาทำเรื่องที่อยากทำสักเท่าไร จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมบอกว่า “ผู้จัดการอวิ๋น ที่นี่ไม่ค่อยสงบเลย ขึ้นไปข้างบนเถอะ”


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ข้าเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ไม่สะดวกจะอยู่กับชายสองต่อสอง ต่อให้อยู่ที่นี่ ข้างกายก็ยังต้องให้มีคนอื่นอยู่ด้วยค่ะ หัวหน้าภาคได้โปรดคำนึงถึงความบริสุทธิ์ของข้าด้วย” ขณะเดียวกันก็เป็นการบอกให้ชัดเจนว่าไม่ให้คนที่อยู่ข้างกายถอยออกไป


โดนนางพูดตรงๆ ใส่จนขยับตัวทำอะไรไม่ได้แล้ว ฉู่จื่อซานไม่สะดวกจะบังคับอีก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ที่เขามาครั้งนี้ก็เพื่อจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเด็ดขาด ไม่มีทางยอมถอย ไม่ช้าก็เร็วที่ผู้หญิงคนนี้จะต้องมาสนุกในห้องนอนของเขา ไม่รีบทำตอนนี้หรอก

 

 

 


บทที่ 1501 สู่ขอ

 

สำหรับอวิ๋นจือชิวแล้ว คำดูหมิ่นของเยว่เหยาในปีนั้นยังคงดังอยู่ข้างหู ถึงแม้สิ่งที่พูดจะไม่ไพเราะ แต่ในบางด้านก็เป็นเรื่องจริง ในปีนั้นที่อยู่ทะเลทรายม่านเมฆา ให้ผู้ชายเข้าออกห้องนางบ่อยๆ นั้นไม่เหมาะสมจริงๆ ต่อให้เยว่เหยาจะไม่พูด แต่หลังจากอยู่กับเหมียวอี้นางก็สนใจจุดนี้แล้ว ก่อนหน้านี้นางไม่ถือสาอะไร ไม่ว่าคนอื่นอยากจะพูดอย่างไร ถ้านางตัวตรงก็ย่อมไม่กลัวเงาเอียงอยู่แล้ว แต่หลังจากแต่งงานกับเหมียวอี้ จะไม่ให้นางแยแสเรื่องนี้ก็คงยาก


เหมียวอี้ไม่ถือสาเรื่องในอดีตระหว่างนางกับเฟิงเสวียนได้ ถึงแม้ปากนางจะไม่พูด แต่ในใจถือสาเรื่องนี้มาก ถ้าพูดโดยมองจากบางมุม นั่นก็คือจุดด่างพร้อยที่สมควรให้คนอื่นตำหนิ ดังนั้นนางจึงปล่อยให้คนพูดถึงเรื่องแบบนี้ไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการอาศัยความใจกว้างของเหมียวอี้มาทำเรื่องที่ไม่รับผิดชอบต่อเหมียวอี้ หลังจากแต่งงานกับเหมียวอี้แล้ว ขอเพียงต้องไปพบกับผู้ชายคนอื่นนอกจากเหมียวอี้ ข้างกายนางก็ต้องมีผู้หญิงอยู่ด้วยเสมอ เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์จะต้องมีใครสักคนอยู่ข้างกายนาง ถ้าทั้งสองไม่อยู่นางก็จะดึงคนอื่นมา ไม่อย่างนั้นนางก็ยอมปฏิเสธเรื่องนี้จะดีกว่า


ดังนั้นนางจะพบกับฉู่จื่อซานเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนางก็รู้แล้วด้วยว่าฉู่จื่อซานมีเจตนาไม่ซื่อ


และสำหรับฉู่จื่อซาน การอาศัยตำแหน่งฐานะของตัวเองจัดดการผู้หญิงสักคนก็ไม่ยากเลย ตัวเองออกหน้าเองแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจแต่ก็หลบไม่พ้น


เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆ หลังจากนั่งลงแล้วก็พยักหน้าบอกว่า “การรักษาความบริสุทธิ์ของผู้จัดการอวิ๋นช่างน่านับถือ เป็นข้าเองที่ผลีผลามไป”


หลังจากอวิ๋นจือชิวโบกมือให้นำน้ำชามาวาง และนั่งลงตรงข้าม ชายชราสีหน้าเรียบเฉยก็มายืนอยู่ข้างหลังนาง เป็นยอดฝีมือที่ลัทธิมารส่งมาคุ้มครองนาง นางจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ฉู่จื่อซานทำซี้ซั้ว “ท่านหัวหน้าภาคมาเยือนด้วยตัวเอง ทำไมไม่เห็นคนของตำหนักคุ้มเมืองมาด้วยล่ะคะ?”


“เป็นธุระส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องทำให้ตำหนักคุ้มเมืองแตกตื่นหรอก” ฉู่จื่อซานว่าอย่างนั้น


ถึงแม้อำนาจของตลาดสวรรค์กับอำนาจท้องถิ่นจะแยกออกจากกันแล้ว แต่ในฉากหน้าทุกคนก็จะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ได้ ยังต้องอยู่ร่วมกันอีก มิหนำซ้ำถึงแม้ตลาดสวรรค์ในตอนนี้จะอยู่ในการควบคุมของราชินีสวรรค์ แต่ความจริงกลับอยู่ในมือของราชันสวรรค์ และเบื้องหลังของฉู่จื่อซานก็คือกองทัพองครักษ์ตำหนักสวรรค์ ถือเป็นกำลังพลสายตรงของราชันสวรรค์เช่นกัน จะให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายแย่เกินไปไม่ได้ เป็นเพราะฉู่จื่อซานมีเจตนาไม่ซื่อ จึงไม่อยากให้สะเทือนไปถึงฝ่ายตลาดสวรรค์


อวิ๋นจือชิวย่อมเดาออกแล้วว่าเขามีเจตนาไม่ดี นี่ก็คือจุดที่นางกังวลเช่นกัน ถ้าไปมีเรื่องกับฉู่จื่อซาน จุดเชื่อมต่อที่ลัทธิมารสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็อาจจะดำเนินกิจการต่อไปไม่ได้ นางรู้อยู่แก่ใจแต่ยังแสร้งถามว่า “ท่านหัวหน้าภาคมาที่นี่มีอะไรจะกำชับหรือคะ?”


“ข้าชื่นชมผู้จัดการอวิ๋น จะกล้ากำชับอะไรผู้จัดการอวิ๋นได้ล่ะ” ฉู่จื่อซานพูดปนหัวเราะ แต่สายตากวาดมองบนเรือนร่างอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นจือชิว แล้วพูดตรงๆ เลยว่า “แต่ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับผู้จัดการอวิ๋นจริงๆ ข้าพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ครั้งแรกที่เห็นผู้จัดการอวิ๋นข้าก็ใจเต้นแรงแล้ว ข้าถึงได้มารบกวนหลายรอบ ที่จริงครั้งนี้อดทนต่อความรักที่มีต่อผู้จัดการอวิ๋นไม่ไหว ก็เลยมาสู่ขอผู้จัดการอวิ๋นต่อหน้าเลย หวังว่าผู้จัดการอวิ๋นจะแต่งงานกับฉู่คนนี้”


ในที่สุดก็เปิดเผยเรื่องราวแล้ว เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองค่อนข้างกังวล เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อฟังฮูหยินแล้วปิดบังนายท่านต่อไปหรือเปล่า ทั้งสองเชื่อฟังอวิ๋นจือชิวก็เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่อวิ๋นจือชิวพูดมีเหตุผลจริงๆ ไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้อีก แต่พอวุ่นวายจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว หลังจากจบเรื่องแล้วถ้าให้นายท่านรู้เรื่องนี้ ก็เกรงว่าตนจะทนรับความพิโรธปานอัสนีบาตนั้นไม่ไหว


อวิ๋นจือชิวเอามือป้องปากหัวเราะ “หัวหน้าภาคล้อเล่นแล้ว จือชิวเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว ไม่สามารถรับคำเชื้อเชิญของนายท่านได้ค่ะ”


กับเรื่องบางเรื่องถ้าถูกใจขึ้นมาก็ช่วยไม่ได้แล้ว การหัวเราะแบบนี้ทำให้ฉู่จื่อซานร้อนวูบวาบในใจ ทุกรอยยิ้มและการกระทำบวกกับเรือนร่างอ่อนช้อยอวบอัด ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็หวั่นไหวเหมือนมีน้ำกระเพื่อมในใจ อยากจะอุ้มสาวงามกลับไปเสียตอนนี้ แต่เขารู้ว่าชายชราที่อยู่ข้างหลังสาวงามคงจะไม่ใช่เล่นๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้คุ้มกัน จึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ได้พูดเล่น ข้าเคยตรวจสอบภูมิหลังของเจ้ามาแล้วจือชิว ทราบมาว่าสามีของเจ้าจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้เจ้าครองตัวเป็นหม้าย ถ้าจะแต่งงานอีกสักครั้งก็เป็นเรื่องปกติ ทำไมจะทำไม่ได้?”


จู่ๆ ก็เปลี่ยนจาก ‘ผู้จัดการอวิ๋น’ กลายเป็น ‘จือชิว’ ทำให้อวิ๋นจือชิวสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก อีกฝ่ายพูดเปิดอกเรื่องนี้แล้ว ชัดเจนแล้วว่าถ้าไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่เลิก อยากจะหลบก็หลบไม่พ้น นางจำเป็นต้องถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไม่ปิดบังท่านหัวหน้าภาค ตอนนี้ข้าครองตัวเป็นหม้ายจริงๆ เพียงแต่ข้าคำสัญญากับคนคนหนึ่งไว้นานแล้ว ว่าทั้งชาตินี้จะไม่แต่งงานกับใครอีก ถ้าจะแต่งงานอีกครั้ง ก็ต้องพิจารณาเขาก่อน”


“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” ฉู่จื่อซานพยักหน้าแสดงออกว่าเชื่อ คาดว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังหาเหตุผลข้ออ้างมาปฏิเสธ จึงหรี่ตาบอกว่า “ไม่ทราบว่าเขาคือใครเหรอ ลองพูดให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ จะได้ทำให้ฉู่คนนี้ตัดใจได้ง่ายๆ หน่อย?”


อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อท่านหัวหน้าภาคเคยตรวจสอบประวัติของข้าแล้ว คาดว่าคงจะรู้ว่าตอนที่ข้าเคยเปิดร้านที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ตอนนั้นมีคนคนหนึ่งเอ็นดูจือชิวเหมือนกับท่านหัวหน้าภาคนี่แหละค่ะ ข้าเป็นคนที่มีสามีแล้ว มีหรือที่จะตอบตกลง ตอนหลังตระกูลข้าประสบหายนะจนข้าเป็นหม้าย คนคนนั้นจึงขอข้าแต่งงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าก็เลยให้สัญญากับเขาเอาไว้ ถามหน่อยว่าถ้าข้าผิดสัญญาต่อเขา คนคนนั้นที่กล้าไม่ไว้หน้าแม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋ง เกรงว่าคงจะเกิดปัญหาใหญ่แน่นอน หวังว่าท่านหัวหน้าภาคจะเข้าใจ”


เดิมทีนางไม่อยากจะอ้างชื่อเหมียวอี้ แต่ตอนนี้หมดหนทางแล้ว จำเป็นต้องอ้างเหมียวอี้มาขัดขวางสักหน่อย


“…” ฉู่จื่อซานนิ่งชะงัก หันกลับไปมองลูกน้องข้างหลัง คนข้างหลังถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน คงจเป็นหนิวโหย่วเต๋อขอรับ!”


ฉู่จื่อซานย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ พอสืบประวัติของอวิ๋นจือชิว ถ้าจะไม่รู้ข่าวลือของทั้งสองคนก็คงยาก นึกไม่ถึงว่ายังจะมีคำสัญญานี้อยู่ด้วย จึงถามว่า “จือชิวหมายถึงหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “เป็นนายท่านหนิวโหย่วเต๋อค่ะ”


“เหอะๆ!” ฉู่จื่อซานยิ้มพลางส่ายหน้า ตอนนี้เขาก็ได้ยินข่าวของหนิวโหย่วเต๋อมาเช่นกัน จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “อย่าบอกนะว่าจือชิวไม่ได้ข่าวว่าเขาโดนทำโทษให้ไปอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์? เกรงว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้ยากแล้ว เจ้านั่นนับเป็นคนเก่งกาจในกองทัพองครักษ์ของพวกเขาเหมือนกัน ถ้าตายแล้วก็น่าเสียดายจริงๆ ทว่าเรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ก่อกรรมเองก็ไม่รอดหรอก”


อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ข้ากำลังติดต่อกับดาวเทียนหยวนอยู่บ้าง ไม่นานก่อนหน้านี้สหายของดาวเทียนหยวนบอกว่า นายท่านหนิวยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังใกล้จะครบเวลาลงโทษแล้ว อีกไม่นานก็จะออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว”


“ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?” ฉู่จื่อซานแอบสูดหายใจอย่างตกตะลึง ขนาดอยู่สถานที่ผีๆ นั่นหนึ่งพันปียังรอดกลับมาได้อีก เจ้าหมอนั่นมันใช้ได้จริงๆ


ถึงแม้จะได้ยินข่าวของหนิวโหย่วเต๋อมาบ้าง แต่จะว่าไปแล้ว เขากับหนิวโหย่วเต๋อก็อยู่ห่างไกลกันมาก ทั้งชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะได้มาเจอกันหรือเปล่า เรื่องบางเรื่องก็แค่ฟังไว้เฉยๆ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ารู้หรือเปล่าว่าหนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่หนิวโหย่วเต๋อโดนควบคุมตัวไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์เมื่อไรเขาก็ยังลืมไปแล้วเลย จะจำได้อย่างไรว่าจะครบกำหนดเวลาลงโทษหนึ่งพันปีของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ได้ยินว่าลูกน้องเก่าของนายท่านหนิวไปรับแล้ว คาดว่าข่าวคงจะไม่ผิดพลาด”


“จือชิวคิดมากไปแล้ว ต่อให้รอดชีวิตกลับมาได้ แต่เรื่องของเขาข้าก็สามารถแบกรับได้อยู่แล้ว ต่อให้เขาจะมีความเห็นแย้งอะไรจริงๆ แต่ข้าก็จะให้เบื้องบนของกองทัพองครักษ์ออกหน้าแก้ไขปัญหาให้ได้ เจ้าไม่ต้องกังวลเลย สามารถแต่งงานกับฉู่ได้อย่างสงบใจ!” ฉู่จื่อซานยิ้มบางๆ ไม่มีท่าทีว่าจะกังวลเรื่องนี้เลยสักนิด


ถ้าพูดถึงชื่อเสียง ตัวเองก็เทียบหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้จริงๆ คนนั้นกล้าล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์หลายครั้ง กล้าลบหลู่งานรับสนมของราชันสวรรค์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปยั่วโมโหหนิวโหย่วเต๋อเลยจริงๆ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน อาณาเขตของตัวเองกับหนิวโหย่วเต๋ออยู่ห่างไกลและไม่เกี่ยวข้องกัน ตัวเองแต่งงานกับคนในอาณาเขตของตัวเอง เรื่องของอวิ๋นจือชิวกับหนิวโหย่วเต๋อไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกล้ามาก่อเรื่อง กล้ามาเสียมารยาทก่อนจริงๆ แบบนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตาย ตัวเองฆ่าไปก็เปล่าประโยชน์ มิหนำซ้ำตัวเองก็รู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวปฏิเสธได้อย่างน่าสงสัยมาก ตามที่เขาสืบมา หนิวโหย่วเต๋อเลิกติดต่อกับอวิ๋นจือชิวนานแล้ว นางแค่อยากจะอ้างเรื่องนี้มาตบตาเขา


อีกอย่างก็เป็นอย่างที่เขาบอก ว่าต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะไม่พอใจจริงๆ แต่เบื้องบนของกองทัพองครักษ์ก็คงจะไม่ทนมองเห็นคนของตัวเองบีบคอกันเอง จะต้องแทรกแซงแน่นอน หรือพูดอีกอย่างก็คือ ใครได้ผู้หญิงคนนี้ก่อนก็ถือว่าเหนือกว่าในด้านเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่เบื้องบนจะกดดันให้เขาจากไปและให้อวิ๋นจือชิวแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋ออีก


เมื่อเห็นว่าอ้างเหมียวอี้แล้วขู่เขาไม่ได้ อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงปฏิเสธว่า “นายท่านมีอนาคตไกล จือชิวเป็นแม่หม้ายคนหนึ่ง ไม่คู่ควรกับนายท่านค่ะ”


ฉู่จื่อซานไม่ยอมถอย กล่าวพร้อมสายตาเร่าร้อนฮึกเหิม “ข้าไม่ถือสาหรอก ทำไมต้องถือสา ขอเพียงเจ้าเต็มใจ ข้าก็ยินดีจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจ ในภายหลังก็อาจจะเลื่อนจากอนุภรรยาให้เป็นฮูหยินเอกก็ได้”


อวิ๋นจือชิวรู้อยู่แล้วว่าเขาอยากจะรับนางเป็นอนุภรรยา แค่อยากจะเก็บนางเป็นเนื้อที่คนอื่นห้ามแตะต้อง ที่บอกว่าในภายหลังจะตั้งให้ ‘หญิงหม้าย’ อย่างนางเป็นฮูหยินเอกอะไรนั่น มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ เมื่อได้คนมาอยู่ในมือแล้ว เล่นจนเบื่อแล้ว ยังจะมีเรื่องในภายหลังอะไรได้อีก พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว คงจะตบตาต่อไปไม่ได้ นางจึงปฏิเสธตรงๆ เลยว่า “จือชิวไม่ได้อยากแต่งงานอีกแล้วจริงๆ หวังว่าหัวหน้าภาคจะเข้าใจ”


ฉู่จื่อซานหน้าเครียดขรึมทันที “จือชิว นี่เป็นเรื่องที่งดงามแท้ๆ ถ้าทำร้ายความรู้สึกกันจนแตกคอก็จะไม่สนุกแล้วนะ ขอเพียงเจ้าแต่งงานกับข้า ต่อไปนี้ทั้งน่านฟ้าระกาติงก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของพวกลูกน้องข้า เกรงว่าจะกล้าทำเรื่องที่เกินเลยได้ง่ายๆ ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ ถ้าฝืนอยู่ด้วยกันก็จะไม่สนุกแล้ว” ชัดเจนว่ากำลังขู่คุกคาม กำลังบอกอวิ๋นจือชิวว่าปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ยังต้องอยู่ด้วยกัน ทำไม่ต้องทำให้วุ่นวายไม่มีความสุข


อวิ๋นจือชิวจ้องตาเขาตรงๆ ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ให้เวลาข้าพิจารณาสักครึ่งปีเป็นอย่างไร?”


ฉู่จื่อซานกล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องแต่งงานกับฉู่คนนี้อยู่ดี ทำไมต้องรออีกครึ่งปีด้วยล่ะ”


อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะเป็นหม้าย แต่ถึงอย่างไรก็มีตระกูลสามีอยู่ ขนาดร้านนี้ยังเป็นกิจการของบ้านสามีเลย ถ้าจะแต่งงานอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าแม้แต่ผลที่ตามมาขั้นพื้นฐานยังรับมือไม่ได้ ต่อให้แต่งงานกับหัวหน้าภาคไป ข้าสามารถละทิ้งชื่อเสียงได้ แต่หัวหน้าภาคจะไม่แยแสอนาคตเชียวหรือ?”


ฉู่จื่อซานเงียบไปครู่หนึ่ง จะว่าไปก็มีเหตุผบ บังคับหญิงหม้ายเพื่อฮุบกิจการของตระกูลหญิงหม้ายนั้นฟังดูไม่ไพเราะ เมื่อก่อนเขาไม่ได้พิจารณาในจุดนี้ ที่ผ่านไม่เคยใช้วิธีแข็งกร้าว ก็เพราะว่าการบังคับนั้นไม่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ ต้องทราบไว้ว่าก่อนหน้านี้ในตำหนักสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน มีคนไม่น้อยที่ถูกโค่นลงแบบนี้ เขาเองก็ค่อยๆ ยืนขึ้นมาได้เช่นกัน เขาจึงพยักหน้าบอกว่า “ถ้าตระกูลสามีของเจ้ามีจุดไหนที่ลำบากใจ ก็บอกข้ามาได้เลย ข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง กำหนดเรื่องนี้ไว้ตามนี้แล้วกัน อีกครึ่งปีข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้าน!” ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายพิจารณาเลย กำหนดเรื่องนี้ให้ตายตัวเสียเลย


จากนั้นก็หันกลับมากำชับลูกน้องว่า “ให้พวกพี่น้องมาจับตาดูหออวิ๋นฮว๋าไว้ให้ดี ถ้าผู้จัดการอวิ๋นจะออกไปข้างนอก ก็ต้องให้คนของพวกเราคุ้มครอง ถ้าขนหายไปแม้แต่เส้นตัว ข้าจะเอาเรื่องเจ้า” นี่เป็นการป้องกันไม่ให้อวิ๋นจือชิวเล่นตุกติก


“ขอรับ!” ลูกน้องของเขากุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง


ฉู่จื่อซานหันกลับมา สายตามองเรือนร่างอวบอัดของอวิ๋นจือชิว แล้วกล่าวชมในใจอีกครั้ง ช่างเป็นของหายากจริงๆ!


จากนั้นก็หันตัวเดินออกไป


หลังจากส่งเขากลับไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็หันตัวกลับมาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ แล้วรีบนำคนเดินเข้ามาในลานบ้านด้านใน พอเข้ามาในศาลาที่ลานบ้านด้านหลัง ก็ออกคำสั่งเลยว่า “ผู้เฒ่าฟ่าน ติดต่อลูกน้องหน่อย กำจัดเจ้าแซ่ฉู่นั่นทิ้งซะ ทำให้เรียบร้อยหน่อยนะ อย่าทิ้งปัญหาอะไรไว้”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)