คัมภีร์วิถีเซียน 1493-1495
ตอนที่ 1493 มีดเบญจมังกร
ลำแสงสีโลหิต ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่องบนม่านลำแวงราวกับพายุฝนฟ้ากระหน่ำ ทำให้เดี๋ยวสว่างวาบเดี๋ยวมืดสนิท!
ชั่วครู่หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นพันจั้ง มือใหญ่ยักษ์ราวกับเทพแห่งฟ้าดินสองมือหันเป็นแนวขวาง ขวานยักษ์สีม่วงด้ามหนึ่งปรากฎขึ้น สองมือที่ถือขวานโบกสะบัดไปมาจนเป็นผืนลำแสงสีม่วง สับลงมาที่ม่านลำแสงสีดำอย่างแม่นยำ
เสียงอึกทึกราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันเงาขวานจำนวนนับไม่ถ้วนพลันสับลงมาที่จุดเดียวกันบนม่านลำแสง
ส่วนหญิงงามผมขาวกลับแค่กระตุ้นมีดโลหิตในมือ และไม่ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีก
เสียง “ครืน” ดังขึ้น!
แม้ว่าเขตอาคมนี้จะมหัศจรรย์ แต่เมื่อระดับหลอมร่างจำนวนมากร่วมมือกัน ก็ถูกโจมตีจนกลายเป็นรอยแยกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้ง
แม้ว่ารอยแยกจะมีลำแสงสีดำสว่างวาบแล้วผสานกันอีกครั้ง แต่ความล่าช้าแค่นี้กลับเพียงพอสำหรับเหล่าราชันย์ปีศาจแล้ว
“เยี่ยม ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับทำให้ทางเข้านี้มั่นคง!” ลิ่วจู่ยินดียกใหญ่ ยกมือหนึ่งขึ้น ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าแปดกลุ่มพลันพุ่งออกไป ทันใดนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้น
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุธสที่เหมือนกับเสาสีฟ้าแปดต้น จมหายเข้าไปในรอยแยกทั้งหมด
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น
เห็นเพียงลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ปากรอยแยกกลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กำแพงทั้งสี่ด้านล้วนทำมาจากผลึกหินสีฟ้าที่เรียบลื่นราวกับสลักลงไปบนม่านลำแสงเป็นอย่างดี
“เหล่าสหายข้าน้อยขอล่วงหน้าไปก่อน” ลิ่วจู๋หัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา แม้ว่ากายจะกลายเป็นสายรุ้งสีดำ ก็ยังหมุนวนรอบหนึ่งแล้วพุ่งเข้าไป
หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนมองสบตากันแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นหนึ่งในนั้นก็กระโดดลงจากหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต ร่อนลงบนพื้นดิน
อีกคนหนึ่งใช้เท้าข้างหนึ่งตบไปบนหุ่นเชิด
หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จนมีขนาดสองสามจั้ง หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็เข้าไปในม่านลำแสงสีดำพร้อมกับผู้ที่สวมชุดคลุมโลหิตที่เหลือ
ไม่รู้ว่าทั้งสองคิดอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะทิ้งคนไว้คนหนึ่ง
หญิงงามผมขาวเห็นแล้วจึงตกตะลึง
ส่วนมู่ชิงที่อยู่อีกด้านแขนเสื้อยาวทั้งสองพลันเริงระบำ ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากสี่ทิศแปดด้าน ล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ
นางเก็บเขตอาคมที่วางเอาไว้ทั้งหมดจนเกลี้ยง
“พี่หญิงหลัน เจ้าและศิษย์อีกสองคนจะเข้าไปด้วยกันหรือไม่? แม้ว่าอสูรอเวจีอัสนีจะถูกล่อไปแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าด้านในยังมีอันตรายอะไรอีกหรือไม่ พลังยุทธ์ของนางทั้งสองต่ำต้อยขนาดนั้น จะเพลี้ยงพล้ำอยู่ข้างในได้ พี่หญิงคงไม่อยากเสียแรงที่ทุ่มเทมาหรอกกระมัง! จิตวิญญาณทอง เจ้ารักษาการณ์ที่ภายนอกเอาไว้ก็พอ” มู่ชิงเอ่ยเตือนสติหญิงงามผมขาวด้วยรอยยิ้ม แล้วออกคำสั่งกับวานรสีทอง แล้วพลันบินเข้าไปพร้อมกับดอกไม้สีทอง
จิตวิญญาณสีทองค้อมตัวลงเล็กน้อย แล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมดังคาด
หญิงงามผมขาวกลับขมวดคิ้ว สายตามองไปยังหยวนเหยาและเหยียนลี่ที่ยืนนิ่งอยู่ไกลออกไปด้านข้างแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยกับตัวเองพร้อมกับฉีกยิ้มอย่างเย็นชาว่า
“ทิ้งไว้ข้างนอก แม่เฒ่าย่อมไม่วางใจ พวกเจ้าสองคนตามข้าเข้ามา!” สตรีผู้นี้ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ชั่วพริบตาก็ปล่อยพายุทมิฬสีเทาออกมากลุ่มหนึ่ง ห่อหุ้มตนเองและสตรีทั้งสองเอาไว้ จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องแล้วเข้าไปในรอยแยก
ชั่วพริบตาด้านนอกก็เหลือเพียงไม่กี่คน
“พวกเรารักษาการณ์อยู่ภายนอกสักครู่เถิด หากราบรื่นล่ะก็ อีกเดี๋ยวพวกเราก็จะได้เกษียรเทวะกลับมาแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตที่เหลืออยู่ผู้นั้นเอ่ยกับจิตวิญญาณสีทอง
“ชนรุ่นหลังก็หวังเช่นนั้นขอรับ เรื่องนี้ต้องพึ่งท่านอาวุโสแล้ว!” จิตวิญญาณสีทองแสดงท่าทีอ่อนน้อมกับผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเป็นอย่างมาก
“หึๆ กำลังสงสัยว่าข้าคือเทพตี้เสวี่ย หรือว่าเป็นแค่ร่างแปลงเท่านั้นใช่หรือไม่” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตแววตาเปล่งประกาย พลางหัวเราะหึๆ ออกมา
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว นายท่านเคยกล่าวว่า ท่านอาวุโสตี้เสวี่ยฝึกฝนความสามารถแยกร่าง ทั้งสองร่างล้วนกล่าวได้ว่าเป็นร่างหลักและเป็นร่างแปลงของท่านอาวุโสตี้เสวี่ย” ใบหน้าที่มีขนปกคลุมของจิตวิญญาณทองพลันเปลี่ยนสี ตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“เซียนมู่รู้เรื่องราวของตาเฒ่าไม่น้อยจริงๆ!” คำพูดของจิตวิญญาณทองทำให้ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตตกตะลึง ทันใดนั้นก็หัวร่อออกมา สายตากวาดไปรอบๆ
ครานี้ด้านนอกนอกจากสองคนแล้ว ยังมีปีศาจระดับสูงเหลืออยู่อีกสามตน
ปีศาจทั้งสามตนล้วนสามารถแปลงกายเป็นคนได้ กำลังยืนอยู่นิ่งอย่างเชื่อฟังอยู่ไกลออกไป
หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตกวาดสายตาไปที่สองสามคนนั้นแล้ว คราที่แววตาเปล่งประกายกำลังจะเอ่ยอะไรนั้น แต่รูม่านตาของเขาพลันหดเล็กลง ยกมือหนึ่งขึ้นด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า ตะปบไปกลางอากาศใกล้ๆ อย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน
ชั่วขณะนั้นมือยักษ์สีแดงโลหิตข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดคละคลุ้งพลันปรากฎขึ้นกลางอากาศ ขยายขนาดจนมีขนาดหลายหมู่ ตะปบลงไปด้านล่างอย่างรุนแรง
เสียง “ปัง” ดังขึ้น กลางอากาศมีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะสับมือยักษ์สีโลหิตออกเป็นสองส่วน
จากนั้นเงาร่างคนที่อยู่ใกล้ๆ พลันพลิ้วไหว ภายใต้ลำแสงสีเงินพลันมีผู้ที่สวมชุดเกราะสีแดงโลหิตคนหนึ่งปรากฎออกมา มองมาทางผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตด้วยแววตาไร้ความรู้สึก
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดเกราะโลหิต!
“ระวังหน่อย! ไม่ใช่หุ่นเชิดเกราะโลหิตธรรมดาๆ! เป็นสิ่งที่ถูกชนชั้นสูงของเผ่าแมลงเม่าสิงอยู่” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่อยู่ด้านข้างกลับร้องอุทานด้วยความตกตะลึง
การโจมตีเมื่อครู่ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่อีกฝ่ายถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็ยังทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก
เขาอดที่จะหรี่ตาสองข้างลงไม่ได้ จ้องเขม็งไปยังลำแสงสีเงินที่เลือนรางไม่ชัดเจน
ลำแสงสีเงินสายนี้เปล่งประกายอย่างผิดปกติ จากพลังการมองของเขาล้วนไม่อาจมองเห็นอะไรได้ นี่จึงทำให้เขารู้สึกระวังตัวขึ้นมา จ้องเขม็งไปยังลำแสงสีเงินด้วยดวงตาที่ไม่กระพริบ ไม่กล้าดึงระยะห่างแม้แต่ครึ่งก้าว
จิตวิญญาณทองได้ยินคำเตือนของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต และเห็นสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ก็รู้สึกใจหายวาบ สายตาเปล่งแสงสีทองขณะทอดมองไป
แม้แต่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตยังไม่อาจมองเห็นลำแสงสีเงินได้ชัดเจน ขณะที่จิตวิญญาณทองใช้ความสามารถของเนตรวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เห็นเพียงกลางลำแสงสีเงินขุ่นๆ มังกรวารีสีเงินอ่อนสายหนึ่งกำลังหมุนวนโคจรอยู่ในนั้น เห็นได้ชัดว่าดูมหัศจรรย์มาก
“นี่คือ…”
จิตวิญญาณทองพลันขมวดคิ้ว ยังไม่ทันรู้ว่าคือสมบัติชนิดใด ทว่ากว่าครึ่งน่าจะเป็นสมบัติประเภทดาบหรือกระบี่ มิเช่นนั้นคงไม่อาจสับการโจมตีของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตได้
“เจ้าน่าจะเป็นปลาที่หลุดรอดแหของเผ่าแมลงเม่าสินะ ในเมื่อสามารถตบตาพวกเราได้ ไม่ไปมั่วโลกีย์ที่อื่นล่ะ โผล่มาตอนนี้หรือว่าเบื่อการใช้ชีวิตแล้ว อยากให้พวกเราส่งเจ้าไปตายหรือ?” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยปากหัวเราะอย่างเย็นชา น้ำเสียงแหลมสูงเป็นอย่างมาก
“มั่วโลกีย์? หากพวกเราไม่ได้ใช้ร่างของหุ่นเชิดสู้กับพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าจะสังหารพวกเราได้ง่ายๆ หรือ ทว่าตอนนี้ก็ไม่จำเป็นแล้ว นอกจากพวกเจ้าแล้ว คนที่เหลือก็เข้าไปในบ่อเทวะแล้ว เช่นนั้นก็สามารถจับตะพาบในไห[1] และสังหารพวกเจ้าทั้งหมดได้แล้ว” หุ่นเชิดเกราะโลหิตเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา
“สังหารพวกเรา เจ้าคนเดียวหน่ะหรือ?” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตแบะปาก ไม่ได้โกรธขึง กลับหัวเราะอย่างเ**้ยมโหดออกมา
“ใช่แล้ว มีข้าเพียงคนเดียวและยังมีมีดเบญจมังกรด้วย!” ฉับพลันนั้นเสียงของหุ่นเชิดเกราะโลหิตพลันเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
จากนั้นพลันยกมือหนึ่งขึ้นกวักเรียกไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นเสียงคำรามของมังกรพลันดังขึ้น มีดสีเงินแวววาวดุจกระจกร่อนลงมาจากกลางอากาศ ถูกหุ่นเชิดรับเอาไว้ และจับขวางมาเบื้องหน้าอย่างคล่องแคล่ว
“มีดเบญจมังกร! ดูเหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตจ้องมีดเล่มนั้นเขม็ง แววตาฉายแววตกตะลึงเล็กๆ ออกมา
“งั้นหรือ แต่มันไม่สำคัญหรอก พวกเจ้ากำลังจะเพลี้ยงพล้ำให้กับสมบัติชิ้นนี้แล้ว”
เอ่ยจบหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตก็ดูเหมือนว่าจะไม่อยากเอ่ยอะไรอีก ฉับพลันนั้นพลันชูมือขึ้น มือหนึ่งถือมีดกวัดแกว่งไปยังฝั่งตรงข้าม
จิตวิญญาณสีทองและผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเห็นเช่นนั้น ร่างกายก็พลิ้วไหวตามจิตสำนึกทันที บินออกทั้งซ้ายและขวา
เสียง “ฉับ” ดังขึ้นสามครั้ง เงามีดสีอื่นสามสายร่อนลงมา เป้าหมายก็คือปีศาจรระดับสูงที่อยู่ไกลออกไป
“เอ๋…” แม้ว่าปีศาจระดับสูงสามตนจะเตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว แต่เงาลวงตาก็เปล่งแสงสว่างวาบอย่างรวดเร็วเกินไป
หลังจากกระพริบวาบ ปีศาจสามตนก็ล้มลงกับพื้นอย่างไม่อาจต้านทานได้ร่างกายถูกแยกออกเป็นสองส่วน
จากนั้นหลังจากกระพริบวาบอีกครั้ง เงามีดสามชนิดหายไปอย่างแปลกประหลาด
จิตวิญญาณสีทองและผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตต่างพากันตกตะลึง ร่างของจิตวิญญาณสีทองหมุนติ้วๆ หมายจะพวยพุ่งหนีขึ้นไปกลางอากาศ
ส่วนผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตนั้นพลันสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ต้องคิด หมอกสีโลหิตเป็นกลุ่มๆ ปรากฎขึ้น
แต่หุ่นเชิดเกราะโลหิตที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม กลับเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา แค่ตวัดมีดในมืออีกครั้ง
เงามีดสี่สายก็ร่อนลงมาทางศีรษะของเขาพร้อมกัน
ครั้งนี้เงาลวงตาดูเหมือนจะไม่รวดเร็วนัก แต่กลับลางเลือน แล้วมาอยู่ใกล้ทั้งสองแค่คืบ
ภายใต้ความตกตะลึงจนหน้าถอดสีของจิตวิญญาณสีทอง ไหล่พลันพลิ้วไหว กระบี่สั้นสองเล่มที่แต่เดิมสะพายอยู่บนไหล่กลายเป็นสายรุ้งสองสายพุ่งออกไปรับเงามีดสองสองสายเอาไว้
ผลคือเสียง “ครืด” ดังขึ้น ชั่วพริบตากระบี่สั้นสองเล่มพลันกลายเป็นสี่ส่วนแล้วร่อนลงมาด้านล่างฃ
เงาลวงตาสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วลดระดับลง!
“แย่แล้ว!” จิตวิญญาณสีทองร้องอุทานออกมาในใจด้วยความตกตะลึง ร่างกายรางเลือนอย่างรวดเร็ว
เงามีดเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นวานรตัวนั้นพลันกลายเป็นสองส่วน แต่ทันใดนั้นศพก็สลายหายไป
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงเงาลวงตาสายหนึ่งเท่านั้น
ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ลำแสงสีทองสว่างวาบ ร่างของจิตวิญญาณทองปรากฎชัดเจนขึ้น
แต่ไม่รอให้ร่างของเขาปรากฎออกมาอย่างชัดเจน วานรสีททองตัวนั้นก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างจ้า เงามีดอีกสายกระโจนเข้ามาในเวลาที่เหมาะเจาะพอดี มันจึงไม่อาจหลบหลีกได้
เสียง “ฉับ” ดังขึ้น หัวขนาดยักษ์ถูกตัดออก ศพวานรสีทองไร้หัวสั่นเทา แล้วล้มตึงลงกับพื้น
ส่วนหุ่นเชิดเกราะโลหิตที่ยืนอยู่ไกลออกไป กลับพลิกมีดสีเงินที่อยู่ในมือ คาดไม่ถึงว่าจะมีเพลิงสีเขียวกลุ่มหนึ่งปรากฎออกมา ด้านในห่อหุ้มวานรน้ยอสีทองขนาดจิ๋วเอาไว้ สีหน้าตกตะลึงและลนลาน
หัวเราะอย่างเย็นชา สมบัติในมือหุ่นเชิดเกราะโลหิตสั่นเทา
ชั่วขณะนั้นผิวของมีดพลันเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ วานรน้อยร้องอย่างน่าเวทนาออกมา เพลิงสีเขียวกลายเป็นกลุ่มควันท่ามกลางลำแสงวิญญาณ
ครานี้สายตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตถึงได้กวาดไปอีกด้าน
เห็นเพียงผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่อยู่ทางนั้นปล่อยหมอกโลหิตขนาดสองสามหมู่ออกมา ปกคลุมตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา
แม้ว่าเงามีดสองสายจะสับไปมาไม่หยุด กลับยังคงถูกผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตหลบหลีกได้อย่างแปลกประหลาด
แววตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา ฉับพลันนั้นพลันโยนมีดในมือขึ้นไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นมีดพลันเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันมีเงามีดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาอย่างหนาแน่นอย่างไร้จุดสิ้นสุด
ครานี้ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตที่แต่เดิมมีสีหน้าเยือกเย็นก็ตกตะลึงจนหน้าซีดเผือด
รีบกระตุ้นเมฆโลหิตอย่างไม่ต้องคิด คิดจะพุ่งไปหาทางเดินสีฟ้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
เห็นได้ชัดว่ามันรู้แล้วว่ามีดที่อีกฝ่ายถืออยู่ ไม่ใช่สิ่งที่มันจะต้านทานได้
แต่สิ่งที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตคิดไม่ถึงก็คือ มาถึงครานี้แล้ว มีดเบญจมังกรเพิ่งจะเริ่มเผยเขี้ยวเล็บที่แท้จริงออกมา
หุ่นเชิดเกราะโลหิตใช้สองมือร่ายอาคม ฉับพลันนั้นเงามีดในมือพลันสลายหายไป มีดสีเงินพลันกลายเป็นกรงเล็บมังกรห้ากรงที่มีสีสันแตกต่างกันท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง
หลังจากที่พวกมันหมุนตัวกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นใบมีดยักษ์ห้าใบ สั่นเทาแล้วหายวับไปจากที่เดิม
และครู่ต่อมาด้านบนทางเข้าทางเดินสีฟ้า ใบมีดยักษ์ห้าใบก็ปรากฎขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็ตกลงมา
ด้านล่างก็คือเมฆโลหิตที่เพิ่งจะบินมาถึง
——
[1] จับตะพาบในไห หมายถึง ทำสิ่งที่ทำได้อย่างง่ายดาย
ตอนที่ 1494 แผนการหลุดพ้น
ผู้สวมชุดสีโลหิตเห็นมีดยักษ์มาประชิดพลันหน้าเปลี่ยนสี ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ เตรียมจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรสักอย่างออกมา
แต่ในตอนนั้นเองมีดยักษ์ห้าเล่มก็บิดออกไปด้านนอก หายวับไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมามีดยักษ์ห้าเล่มที่ดูเหมือนประตูไม้ห้าบานลพันปรากฎขึ้นตรงขอบของเมฆโลหิต
จากนั้นผิวของมันพลันเปล่งลำแสงสว่างวาบ ม่านลำแสงห้าผืนแผ่ออกมาราวกับจักรวาล
ท่ามกลางลำแสงที่เย็นเยียบ ชั่วครู่เมฆสีโลหิตก็ทยอยกันสลายหายไป ท่าทางไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตมีหน้าหวาดกลัวฉายแวบผ่าน ชั่วขณะนั้นก็ไม่สนใจจะสำแดงเคล็ดวิชาอะไรอีก สะบัดแขนเสื้ออย่างรีบร้อน อ้าปากออกอีกครั้งในเวลาเดียวกัน
โล่เล็กๆ สีเขียวโล่หนึ่ง ผ้าโปร่งบางสีโลหิตผืนนั้น และบาตรกลมๆ ใบหนึ่งถูกพ่นออกมาจากร่างพร้อมกัน
สมบัติสามชิ้นเปล่งแสงนับหมื่นสาย ท่าทางน่าตกตะลึง แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่สมบัติธรรมดาๆ
เมื่อพวกมันถูกปล่อยออกมา ก็กลายเป็นม่านลำแสงหลากสีสันสามสี ห่อหุ้มผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเอาไว้ข้างใน
และผู้สวมชุดคลุมโลหิตไม่ได้ทำแค่นั้น เขาสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปเฮือกหนึ่ง อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาสองสามครั้ง จากนั้นพลันยกมือขึ้น ยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบจนหายเข้าไปท่ามกลางกลุ่มโลหิต
เสียง “ปัง” ดังขึ้น กลุ่มโลหิตระเบิดออก กลายเป็นหมอกโลหิตปกคลุมร่างของเขาเอาไว้
เกราะสงครามชิ้นหนึ่งปรากฎขึ้นบนเรือนร่าง
เกราะสงครามชิ้นนี้ดูวิจิตรงดงามมาก ผิวของมันมีประจุไฟฟ้าไหลเวียนผ่าน ราวกับไม่ใช่ของในยุทธภพอย่างไรอย่างนั้น
ครานี้ลำแสงเย็นเยียบได้สับหมอกโลหิตทั้งหมดออก จนมาอยู่เบื้องหน้าของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต
หลังจากที่เสียงไพเราะดังขึ้นสองสามครั้ง ม่านลำแสงม้วนผ่านไป พลันถูกฉีกออกราวกับกระดาษสามชั้น สับลงบนร่างของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตอย่างแรง
เสียง “ปังๆๆ” ดังสนั่นขึ้น เกราะสงครามสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ ในที่สุดก็ทำให้ลำแสงเย็นเยียบโดยรอบหยุดลงชั่วคราว
แต่ก็ทำได้เพียงหยุดชะงักเท่านั้น!
ครู่ต่อมาลำแสงเย็นเยียบห้ากลุ่มก็หมุนวนอยู่รอบเกราะเกราะนั้น ด้านในมีเสียงมังกรคำรามดังออกมา
เสียง “ฉับ” ดังขึ้น เกราะสงครามสีม่วงถูกสับออกตั้งแต่เอว
แม้ว่าผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตจะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย เมื่อเผชิญหน้ากับลำแสงเย็นเยียบที่ดูเหมือนจะอยู่ยงคงกะรพัน ก็ไม่อาจทำอะไรได้
เกราะสงครามสีม่วงคืออิทธิฤทธิ์การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาสำแดงออกมาแล้ว
แววตาสิ้นหวังฉายแวบผ่าน บนร่างของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตมียันต์นับร้อนสายพุ่งออกมารวมทั้งยุทธภัณฑ์สมบัติหลากหลายชนิดอีกสิบชิ้น แต่เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ของเหล่านี้ก็ทยอยกันถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางลำแสงเย็นเยียบ
หลังจากเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้น ร่างของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตก็ถูกลำแสงเย็นเยียบห้าสีกลืนกิน จนแม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ไม่อาจหนีออกมาได้เลยสักนิด
หุ่นเชิดเกราะโลหิตที่อยู่ไกลออกไปเห็นฉากนี้ สายตาเย็นเยียบพลันฉายแววสว่างวาบ เอ่ยพึมพำกับตนเอง
“อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมีดเบญจมังกรคือความแหลมคมที่ไร้ที่เปรียบ คาดไม่ถึงว่าจะอยากใช้สมบัติต้านทานอานุภาพของมีดเล่มนี้ ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ”
เอ่ยจบ มันก็ใช้มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ
หลังจากที่ใบมีดยักษ์ห้ามเล่มที่อยู่ไกลออกไปเปล่งเสียงร้องครวญขึ้น ก็กลายเป็นมังกรวารีลำแสงห้าตัวพุ่งกลับไป
สุดท้ายเงามังกรห้าตัวพลันรวมตัวกันที่เหนือศีรษะของหุ่นเชิด เปล่งแสงเจิดจรัสออกมาแล้วรวมตัวกันกลายเป็นมีดสีเงินแวววาว สับลงมา
แววตาของหุ่นเชิดสีโลหิตฉายแววดีใจ ยกมือขึ้นรับมีดเล่มนั้นเอาไว้ แต่ฉับลพันนั้นแววตาพลันหม่นแสงลง ร่างกายสั่นเทาสองสามครั้ง จนเกือบจะร่วงลงจากท้องฟ้า
แต่เมื่อลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายก็กลับมายืนอย่างมั่นคงได้ในทันที แต่สายตาของเขากลับเผยแววสิ้นหวังออกมา หลังจากถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก็ยื่นมือไปคว้ามีดสีเงินที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเอาไว้
มือข้างหนึ่งปัดไปบนผิวที่เกลี้ยงเกลาของมีด ชั่วขณะนั้นเสียงร้องครวญพลันดังขึ้น
“สมบัติชิ้นนี้มีอานุภาพที่น่าอัศจรรย์นัก แต่จิตสัมผัสที่สูญเสียไปก็ไม่ธรรมดาจริงๆ! ดูแล้วการลงมือครั้งหน้าคงต้องรีบสู้รีบจบแล้ว” หุ่นเชิดเอ่ยกับตนเองอย่างมีแผนการ
ครานี้ท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปพลันมีพายุทมิฬก่อตัวขึ้น เมฆสีดำที่อยู่ท่ามกลางพายุกดทับลงมา
ชั่วพริบตา เมฆสีดำที่ปกคลุมกว่าครึ่งของท้องฟ้าก็มาอยู่ตรงหน้าหานลี่
ปีศาจระดับสูงสองสามตนกำลังขับเคลื่อนพายทมิฬเป็นกลุ่มๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้า ยืนอยู่ด้านหน้าหุ่นเชิด แล้วทยอยกันเผยท่าทีนอบน้อมออกมา
“เรื่องที่ข้าให้พวกเจ้าไปทำ สำเร็จหรือยัง?” มีดในมือของหุ่นเชิดพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วอ้าปากเอ่ยถาม
“ใต้เท้าโปรดวางใจ พวกเราจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว รอแค่ใต้เท้าเข้าไปข้างใน ก็สามารถใช้เขตอาคมใหญ่ปิดตายบริเวณนี้ได้แล้ว แม้แต่คนภายนอกที่โชคดีหนีรอดพ้นจากเงื้อมมือของใต้เท้าไป ก็ยังไม่อาจหนีไปไหนได้ในทันที ต้องติดอยู่ในนี้อยู่สักพัก” ภูตระดับสูงที่ดูเหมือนผีดิบเอ่ยอย่างระมัดระวังออกมา
“ครึ่งหนึ่งตามข้ามา อีกครึ่งหนึ่งวางเขตอาคมทันที แม้ว่าคนเหล่านั้นจะล่ออสูรอเวจีอัสนีไป แต่คงคิดไม่ถึงว่า อสูรที่คุ้มครองเกษียรเทวะอยู่ไม่ได้มีเพียงตนเดียว แต่อยู่กันเป็นคู่ผัวเมีย” หุ่นเชิดเกราะโลหิตเงยหน้าขึ้นมองไปยังเมฆทะมึนบนท้องฟ้าแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา
“แม้ว่าอสูรอเวจีอัสนีจะเป็นสิ่งที่อาวุโสของเผ่าเราทิ้งไว้ให้ดูแล แต่หากไม่มีป้ายเทียบเชิญให้เข้าไป เกรงว่าพวกเราก็ถูกอสูรตัวนี้โจมตีเช่นกัน” ภูตตนนี้ดูเหมือนว่าจะมีสติปัญญาไม่ต่ำต้อย พลางเอ่ยอย่างลังเลออกมา
“วางใจ ในเมื่อคนเหล่านั้นเดินมาอยู่ตรงหน้า ต่อให้อสูรอเวจีอัสนีด้านในทำการโจมตี ก็น่าจะโจมตีพวกเขาก่อน พวกเราแค่แอบตามไป ลงมืออย่างลับๆ ก็พอแล้ว เดิมทีมีแค่มีดเบญจมังกร ข้าก็มั่นใจว่าจะต่อกรคนเหล่านั้นได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้มีอสูรอเวจีอัสนีคอยช่วย หากพวกเขาหนีรอดไปได้ คงจะเป็นเรื่องแปลกมากกว่า ส่วนอสูรอเวจีอัสนีอีกตัวนั้นถูกล่อไปก็ล่อไปเถิด หากไม่เป็นเช่นนั้น คนเหล่านี้จะเข้าไปยังแดนแห่งความตายของตนเองได้อย่างไร หากลงมือภายนอก การโจมตีให้พวกเขาพ่ายแพ้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่หากจะสังหารทั้งหมดจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ยากแสนยาก” หุ่นเชิดหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
ภูตคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้น ชั่วขณะนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
“อสูรอเวจีอัสนีที่ไล่ตามไปตัวนั้นก็ไม่อาจมองข้ามได้ ส่งคนตามไปลับๆ ซะ หากคนผู้นั้นถูกกลืนเร็วไปหน่อย หรือว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรที่ทำให้อสูรอเวจีอัสนีกลับมา ก็ใช้ยันต์หมื่นลี้เตือนพวกเราในทันที” หุ่นเชิดเกราะโลหิตดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น
“ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าได้ส่งภูตขาวที่เชี่ยวชาญการอำพรางกายและเคล็ดวิชาหลีกหนีที่สุดในบรรดาพวกเราตามเขาไปอยู่ไกลๆ แล้ว ไม่มีทางมีอะไรผิดพลาดแน่” ภูตระดับสูงตนนั้นเอ่ยอย่างร้อนรน
“ภูตขาว! คือผู้ที่เผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่มาจากภายนอก แล้วสูญเสียแขนไปแค่ข้างหนึ่งน่ะหรือ” หุ่นเชิดเกราะโลหิตดูเหมือนว่าจะตกตะลึง
“ใช่ นางนั่นแหล่ะ”
“อืม หากเป็นนาง ก็คงไม่มีปัญหาอะไร พวกเราลงมือกันเถิด ผู้ที่มาจากภายนอกน่าจะเข้าไปในวังใต้ดินของบ่อเทวะแล้ว” หุ่นเชิดเกราะโลหิตพยักหน้า แล้วออกคำสั่ง
ภูตทั้งหมดเปล่งเสียงร้องประสานตอบรับ!
ชั่วขณะนั้นท่ามกลางภูตสองสามตน ทั้งสามก็ตามหุ่นเชิดเกราะโลหิตเข้าไปในทางเดินสีฟ้า และภูตระดับสูงที่เหลือก็แหงนหน้ากู่ร้องคำราม แล้วทยอยกันมีเงาโครงกระดูกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากเมฆสีดำรอบๆ เสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้น
……
หานลี่ใช้มือหนึ่งโบกไปมา ชั่วขณะนั้นประจุไฟฟ้าสีทองเจ็ดแปดสายพลันพุ่งออกมาจากหลังจากที่มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายก็คือผู้ที่ไล่ตามเข้ามาอยู่ด้านหลังห่างออกไปร้อยจั้งเศษ
ตรงนั้นคือประจุไฟฟ้าสีเงินกลุ่มหนึ่งที่กำลังเปล่งแสงระยิบระยับ นั่นก็คืออสูรอเวจีอัสนีที่ไล่ตามมาตั้งไม่รู้กี่หมื่นลี้แล้ว
อสูรตัวนี้เห็นประจุไฟฟ้าสีทองโจมตีเข้ามา ไม่เพียงจะไม่โกรธเกรี้ยวกลับเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมา อ้าปากออก ชั่วขณะนั้นพลันม้วนม่านลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา
อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายสองสามสายสัมผัสกับหมอกสีเงิน ถูกม้วนเข้าไปข้างในอย่างเงียบเชียบทันที จากนั้นอสูรอเวจีอัสนีก็อ้าปากออกสูดกลับเข้าไป
แลบลิ้นเลียริมฝีปาก เสียง “ครืนๆ” ต่ำๆ ดังออกมาจากท้องของอสูรตัวนี้ อสูรอเวจีอัสนีกลับเผยสีหน้ายินดีออกมา ราวกับว่าได้กลิ่นอะไรที่เอ็ดอร่อยอย่างไรอย่างนั้น
และด้วยเหตุนี้ หานลี่พลันถือโอกาสนี้ออกแรงสะบัดปีกที่แผ่นหลัง กลายเป็นผลึกเส้นไหมสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้งก็ปรากฎห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ดึงระยะห่างออกจากอสูรตนนี้ได้ชั่วคราว
ส่วนอสูรอเวจีอัสนีเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รีบร้อน หลังจากเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา แขนขาทั้งสี่ก็มีประจุไฟฟ้าสีเงินวนล้อมรอบอยู่ แล้วถึงได้ไล่ตามไปอย่างเต็มกำลัง
หานลี่ไม่ต้องหันหัวกลับมา ก็รู้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของอสูรตัวนี้
ระหว่างทางอสูรตัวนี้กระทำเช่นเดิมมาไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้ว
ความเร็วของอสูรตัวนี้เหลือว่าการที่เขาออกบินเต็มกำลังเสียอีก
แม้ว่าจะดึงระยะห่างออกมาขนาดนี้ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยน้ำชา ก็ถูกมันไล่ตามมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ จากนั้นอสูรตัวนี้ก็เริ่มการโจมตีอย่างไม่เกรงใจ
ตอนแรกอสูรตัวนี้อ้าปากออกพ่นประจุไฟฟ้าอัสนีสีเงินเป็นสายๆ ออกมา อานุภาพน่าตกตะลึง แต่หานลี่ที่มีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายและชุดคลุมอัสนีปกป้องร่าง ก็รับเอาไว้ได้อย่างสบายๆ
อสูรอเวจีอัสนีเห็นฉากนี้ ทันใดนั้นก็หยุดอัสนีในปาก ปล่อยกรงเล็บลำแสงสีเขียวเป็นสายๆ ออกมา
ตอนแรกกรงเล็บลำแสงเหล่านี้มีขนาดแค่หนึ่งฝ่ามือ แต่เมื่อออกจากกรงเล็บของอสูรได้ไม่นานนัก ก็กลายเป็นมีขนาดสองสามจั้งกลางอากาศ
กรงเล็บลำแสงสองสามสายตะปบลงมา แม้กระทั่งอากาศรอบๆ ก็ยังถูกดูดเข้าไปจนหมด ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจจะหลบยังไงก็หลบไม่พ้น!
หากไม่ใช่เพราะปีกวายุอัสนีที่แผ่นหลังของหานลี่ไม่ธรรมดา สามารถรวมเคล็ดวิชาหลีกหนีวายุและอัสนีสองชนิดเข้าด้วยกันได้ในระยะเวลาอันสั้น
เกรงว่าภายใต้การโจมตีนี้ กว่าครึ่งก็คงต้องเสียชีวิตน้อยๆ ไปแล้ว
แต่เช่นนั้น เขาก็ยังรู้สึกหวาดเสียว ภายใต้การโจมตีด้วยกรงเล็บลำแสงที่เปลี่ยนแปลงไปมากนั้น ก็เกือบจะบีบเข้ามาประชิดอยู่หลายครั้ง แม้กระทั่งการโจมตีครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ แค่ถูกกรงเล็บลำแสงนั้นกวาดไปนิดหน่อย ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดไม่น้อยในทันที
ต้องขอบคุณหญิงงามผมขาวที่มอบธงเฉียนคุนซึ่งมีอานุภาพมหัศจรรย์ให้เขา มันสร้างภาพขนาดยักษ์ขึ้นดูดรับการโจมตีกว่าครึ่งเอาไว้
แต่เช่นนั้นก็ทำให้เขาถูกโจมตีจนเกราะปริแตก ชุดคลุมอัสนีสลายหายไป ปราณแท้ในร่างเสียหายไปเล็กน้อย
เช่นนั้นหานลี่ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้อสูรตัวนี้เข้าใกล้อีก ทำได้เพียงปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาเป็นบางครั้งระวห่างที่อีกฝ่ายใกล้จะตามทัน ชะลอการไล่ล่าของอีกฝ่ายเอาไว้
ส่วนอสูรอเวจีอัสนีที่กลืนกินอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายไปไม่หยุดนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่รีบร้อนสังหารหานลี่ แค่เพียรพยามไล่ตามไปอย่างไม่ลดละเท่านั้น
ครานี้ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หานลี่ก็พาอสูรตัวนี้บินออกจากเทือกเขาสีเทาแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังหนีออกไปไกลเรื่อยๆ
นี่ก็เพราะเขามีลมปราณเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ประกอบกับที่เคล็ดวิชาหลีกหนี และมีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจำนวนมาก
เปลี่ยนเป็นระดับเทพแปลงคนหนึ่งหรือแม้กระทั่งระดับหลอมสูญ ก็คงถูกอสูรตัวนี้ไล่ตามทันแล้วกลืนกินลงไปแล้ว
มิน่าล่ะลิ่วจู๋และพวกต่างก็คิดว่าการที่เขาเป็นเหยื่อล่อคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี
เพื่อทลายเขตอาคมของแม่น้ำอเวจีเบื้องหน้า หานลี่จึงใช้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายไปไม่น้อย
และหากไม่มีอัสนีเทวานี้ตรึงเอาไว้ ลิ่วจู๋และพวกย่อมคิดว่าเขาไม่อาจต้านทานได้นานนัก
หานลี่ระวังอสูรอเวจีอัสนีที่อยู่ด้านหลังไม่หยุดไปพลาง ขบคิดว่าพวกลิ่วจู๋น่าจะทลายเขตอาคมออกและไม่มีเวลามาสนใจตนเองไปพลาง เริ่มขบคิดหาวิธีการหลบหนี
วิธีธรรมดาๆ ไม่มีทางสลัดปีศาจอสูรที่น่ากลัวมากด้านหลังได้ สิ่งเดียวที่เขาพึ่งได้มีเพียงไข่มุกอัสนียี่สิบกว่าเม็ดบนร่าง ยันต์วิเศษที่เขียนขึ้นใหม่สองชนิด รวมทั้งวิธีการสังหารของแมลงกลืนทองโตเต็มวัย
สองชนิดแรกล้วนเป็นของที่ใช้แล้วหมดไป ซึ่งเดิมทีเตรียมเอาไว้ใช้กับลิ่วจู๋และพวก อย่างหลังหากใช้จะสูญเสียจิตสัมผัสไปเป็นจำนวนมาก หากไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ก็จะไม่นำออกมาใช้เช่นกัน
แววตาของหานลี่เปล่งแสงระยิบระยับ ความคิดวิ่งวนไปมาอย่างรวดเร็ว
แมลงกลืนทองนับร้อยนับพันตัว เขาไม่อาจควบคุมให้โจมตีศัตรูได้ แต่หากปล่อยออกมาสองสามตัวเพื่อรบกวนอสูรอเวจีอัสนีที่อยู่ด้านหลัง ก็พอจะลองทดสอบดูได้
เขาเองไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับอสูรตัวนี้ ขอแค่ให้มันลดความเร็วลง ก็สามารถหนีรอดพ้นได้แล้ว เพื่อความปลอดภัย ใช้ยันต์ผสานไปด้วย โอกาสที่จะทำสำเร็จก็น่าจะมากขึ้นแล้ว
ภายใต้การขบคิดอย่างหนักของหานลี่ ในที่่สุดก็คิดวิธีการที่พอจะไปไหวออก ทันใดนั้นก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ชั่วพริบตาจิตสัมผัสก็เชื่อมประสานกับกำไลเก็บอสูรวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่าง
ตอนที่ 1495 การต่อสู้กับอสูรอเวจีอัสนี
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้นสองสามครั้ง หานลี่ก็ปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาอีกครั้ง อสูรอเวจีอัสนีหยุดชะงักไปชั่วครู่ สะบัดแขนเสื้อ ดอกไม้สีทองสามดอกพุ่งออกมา
นั่นก็คือแมลงกลืนทองโตเต็มวัยสามตัว!
อสูรอเวจีอัสนีเพิ่งจะยินดีกับการกลืนกินประจุไฟฟ้าสีทองสองสามสาย เห็นแมลงเกราะทองสามตัวบินมา พลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็อ้าปากออกอย่างไม่ใส่ใจ
พ่นประจุไฟฟ้าสีเงินออกมาสายหนึ่ง พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นประจุไฟฟ้าสีสามสายพุ่งออกมา แยกกันโจมตีร่างของแมลงทอง
ผลคือหลังจากที่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นสามครั้ง แมลงทองก็ถูกลำแสงอัสนีกลืนกิน
แต่ครู่ต่อมาลูกตาสีทองของอสูรอเวจีอัสนีคู่นั้นพลันฉายแววตะลึงงัน
เห็นเพียงหลังจากที่ลำแสงอัสนีหม่นแสงลง แมลงวิญญาณสามตัวไม่เพียงจะไม่ได้กลายเป็นเถ้าถ่าน ร่างกายกลับขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า กระโจนเข้าหาอสูรตัวนั้นอย่างดุดัน
แม้ว่าสติปัญญาของอสูรอเวจีอัสนีจะไม่เท่ากับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ฝึกบำเพ็ญเพียรมาจนถึงขั้นนี้ได้ สติปัญญาย่อมไม่มีทางต่ำเตี้ยแน่
เมื่อมันเห็นแมลงประหลาดเหล่านี้ ทันใดนั้นก็ไม่ประมาทอีก กรงเล็บข้างหนึ่งที่มีประจุไฟฟ้าพัวพันตบออกไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นกรงเล็บลำแสงสีเขียวสามสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งออกไป หลังจากขยายใหญ่ขึ้น ก็สับลงมาหาแมลงทองที่ดาหน้าเข้ามา
หลังจากเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังขึ้น กรงเล็บลำแสงพลันระเบิดออก ลำแสงสีเขียวห่อหุ้มร่างของแมลงทองเอาไว้ข้างใน
พายุวิญญาณที่น่าตกตะลึงเป็นกลุ่มๆ แผ่กระจายออก พลังปราณฟ้าดินถูกดูดเข้าไป บรรยากาศรอบๆ ราวกับเหมือนพังทลายลงอย่างไรอย่างนั้น
อสูรอเวจีอัสนีดูเหมือนว่าจะมั่นใจในการโจมตีนี้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่สนใจมองผลของการโจมตีอีก ประจุไฟฟ้าสีเงินบนร่างเปล่งแสงสว่างวาบ หมายจะดีดตัวพุ่งออกไปอีกครั้ง เพื่อไล่ตามหานลี่ไป
แต่หลังจากที่มีเสียงหึ่งๆ ดังออกมาจากลำแสงสีเขียว ก็ทำให้อสูรตนนั้นมีสีหน้าตะลึงงัน เผยแววตาไม่อยากจะเชื่อออกมา
เห็นเพียงจุดลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบในลำแสงสีเขียว แมลงทองสามตัวบินออกมา กระพริบวาบแล้วกระโจนเข้าไปอยู่ห่างจากอสูรอเวจีอัสนีสองสามจั้ง
ร่างของพวกมันเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ ไหนเลยจะมีท่าทีบาดเจ็บ
อสูรอเวจีอัสนีพลันตกตะลึง แต่ก็กระตุ้นความเ**้ยมโหดในใของมันขึ้นมาสองสามส่วน!
อสูรตัวนี้อ้าปากออกอย่างไม่ต้องขบคิด ม่านลำแสงสีเงินพวยพุ่งออกมา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มแมลงทองสามตัวเอาไว้ข้างใน
แม้ว่าแมลงกลืนทองจะเป็นสิ่งที่กัดกินได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่อาจกัดทะลวงม่านหมอกสีเงินได้
ดังนั้นหลังจากที่อสูรตัวนี้สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ลำแสงสีเงินพลันม้วนออกไป แมลงกลืนทองสามตัวถูกม้วนเข้าไปในปาก
อสูรตัวนี้อ้าปากกว้างๆ ออก เขี้ยวที่เรียงอยู่เต็มปากออกแรงเคี้ยวอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด จากนั้นก็กลืนลงไปในท้องทั้งหมด
จากนั้นร่างของมั่นก็เตี้ยลง แขนขาทั้งสี่มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินสายหนึ่งหายไจปากที่เดิม
หานลี่ถือโอกาสนี้ไล่ตามออกไปไกลถึงพันจั้งเศษ หันกลับมามองสถานการณ์นี้ ใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน ปีกที่แผ่นหลังคู่นั้นพลันกระพือโดยไม่ได้ปริปากใดๆ กลายเป็นผลึกเส้นไหมเส้นหนึ่งพุ่งออกไป แล้วหายวับไปจากกลางอากาศ
ทั้งสองดูเหมือนว่าจะกลับมายังสถานการณ์หนึ่งคนหนีหนึ่งคนไล่ตามต่ออีกครั้ง
ทว่าอสูรอเวจีอัสนีดูเหมือนว่าจะถูกการที่หานลี่ปล่อยแมลงทองออกมาก่อนหน้าทำให้โกรธ ร่างกายพลิ้วไหวท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีเงิน จิตสังหารปรากฎขึ้นในแววตาเป็นบางครั้งคราว
ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะคิดหมายสังหารหานลี่แล้ว
สถานการณ์ต่อจากนี้ก็เป็นสิ่งยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ!
คราเมื่อหานลี่ปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาโจมตีอสูรตัวนี้อีกครั้ง ร่างกายของอสูรอเวจีอัสนีพลันพลิ้วไหว จากนั้นก็ทะลวงผ่านประจุไฟฟ้าสีทองสองสามสายไป ลำแสงหลีกหนีไม่หยุดลงเลยสักนิด
อสูรตัวนี้ไม่คิดจะหยอกล้อเล่นอีกเลยสักนิด
หานลี่ใจหายวาบ ลมปราณรอบกายเพิ่มขึ้น ผลึกเส้นไหมที่สร้างขึ้นพุ่งไปมากลางอากาศไม่หยุด ลำแสงหลีกหนีกปรากฎเลือนๆ อยู่ในนั้น ราวกับภูตผีก็ไม่ปาน
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็แค่ชั่วครู่ อสูรอเวจีอัสนีก็ไล่มาอยู่ด้านหลังเขาห่างออกไปร้อยจั้งเศษแล้ว
ลำแสงอัสนีที่แผ่นหลังของอสูรตัวนี้ตัดสลับกันไปมา ประจุไฟฟ้าพุ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าประจุไฟฟ้าสีเงินจะพัวพันกันกลายเป็นปีกไฟฟ้าคู่หนึ่ง
อีกคู่นี้มีความยาวสองจั้ง ผิวสีเงินขาว อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนลอยไปมาไม่หยุด
ปีกคู่นี้แค่กระพือเบาๆ อสูรอเวจีอัสนีร่างกายเลือนรางอย่างเปล่าประโยชน์ไปท่ามกลางเสียงปังๆ
ครู่ต่อมาด้านหลังของหานลี่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ประจุไฟฟ้าสีเงินพลันปรากฎขึ้น เงาลวงตาของอสูรอเวจีอัสนีปรากฎออกมา และเงาลวงตาที่อยู่ตรงจุดเดิมถึงได้สลายหายไปราวกับฟองอากาศ
“เงาหลีกหนี”
หานลี่ที่สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของเงาร่างนี้ ก็หันหน้าไปท่ามกลางลำแสงหลีกหนี มองเห็นฉากนี้เข้าอย่างพอดิบพอดี ใบหน้าจึงซีดขาวไปเล็กน้อย
อสูรตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์ในเคล็ดวิชาหลบหนีที่แปลกประหลาดมาก ทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึง และจิตใจหนักอึ้ง
บางทีเคล็ดวิชาเงาหลีกหนีอาจจะไม่ใช่เคล็ดวิชาที่มีความเร็วมากที่สุดในโลกหล้า แต่ย่อมเป็นเคล็ดวิชาหลีกหนีที่ลึกลับและหายากมากอย่างแน่นอน แม้กระทั่งผู้ที่เคยเห็นเคล็ดวิชาหลีกหนีนี้ด้วยตาตัวเองก็ยังมีไม่มากนัก
หากไม่ใช่เพราะตอนที่หานลี่อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ เคยศึกษาเคล็ดวิชาอัสนีหลีกหนีของตัวเอง อ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องที่ขายอยู่ในเมือง ก็ไม่อาจมองปราดเดียวก็รู้จักเคล็ดวิชาหลีกหนีนี้ได้
ทว่าครานี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาตกตะลึง อสูรอเวจีอัสนีมาปรากฎตัวในระยะประชิดเช่นนี้ ปีกไฟฟ้าคู่นั้นก็สะบัดมาทางหานลี่ราวกับภาพลวงตา
ชั่วขณะนั้นปีกที่สร้างขึ้นจากการหลอมด้วยประจุไฟฟ้าอัสนีก็ลางเลือนสลายหายไปท่ามกลางเสียงฟ้าคำราม
หานลี่พลันตกตะลึง ไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง เหนือหัวก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น ตาข่ายไฟฟ้ายักษ์ผืนหนึ่งร่อนลงมาจากกลางอากาศ และมาอยู่ใกล้แค่คืบ
หานลี่พลันตกตะลึงพรึงเพริด ร่างกายหมุนคว้างอย่างไม่ต้องขบคิด อักขระสีทองเงินบนร่างหมุนวน ชุดคลุมอัสนีบินออกมา กลายเป็นตาข่ายไฟฟ้าสีทองเงินผืนหนึ่งเช่นกัน ต้านทานประจุไฟฟ้าสีเงินเอาไว้กลางอากาศ
จากนั้นลำแสงสีเขียวรอบกายพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายของเขาพุ่งออกไป หมายจะออกจากอาณาเขตของตาข่ายไฟฟ้า
อสูรอเวจีอัสนีเห็นเช่นนั้นแววตาเหยียดหยามพลันฉายแวบผ่าน ร่างกายพลิ้วไหวลางเลือนไปอีกครั้ง
ทันใดนั้นเบื้องหน้าของหานลี่พลันมีลำแสงสีเงินสว่างวาบ เงาลวงตาของอสูรอเวจีอัสนีปรากฎขึ้นเบื้องหน้า ในเวลาเดียวกันกรงเล็บข้างหนึ่งตบออกไปยังจุดที่เหลือ ปลิวไสวราวกับไม่มีเรี่ยวแรง แต่ความรู้สึกที่มอบให้กลับเหมือนกับกรงเล็บนี้ขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า ราวกับจะห่อหุ้มร่างทั้งร่างของหานลี่เอาไว้
แต่ตหลังจากที่เสียงอึกทึกดังขึ้น บรรยากาศทั้งสี่ด้านก็สั่นคลอน ด้านล่างกรงเล็บอสูรมีพายุทะลักออกมา หลุมดำไร้รูปร่างที่ดูเหมือนว่าจะกลืนกินได้ทุกอย่างพลันปรากฎขึ้นตรงนั้น
ร่างของหานลี่เกร็งแน่น ถูกพลังมหาศาลที่ไร้ซึ่งแรงต้านทานผลักไปเบื้องหน้า และถูกส่งไปยังกรงเล็บอสูรกรงเล็บนั้น
ชั่วพริบตานั้นเขาพลันหน้าซีดเผือด แต่ทันใดนั้นแววตาโหดเ**้ยมพลันปรากฎขึ้น ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออก กระบี่เล่มเล็กสีทองยาวสองสามชุ่นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งสับลงมาบนกรงเล็บอสูรตนนี้
อสูรอเวจีอัสนีเห็นเช่นนั้น ไม่เพียงไม่ได้ดึงกรงเล็บกลับ กลับมีแววตายิ้มเยาะฉายแวบผ่าน
เสียง “ตูม” ดังขึ้น สายรุ้งและลำแสงสีทองพลันหม่นแสงลง คาดไม่ถึงว่ากระบี่เล่มเล็กจะถูกดีดกลับมา
ส่วนกรงเล็บอสูรนั้นไม่ได้แม้แต่จะขยับ ท่าทางไม่ได้รับความเสียหายเลยัสกนิด
และยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่นี้กรงเล็บอีกข้างของอสูรตัวนี้เปล่งแสงสว่างวาบยืดออกไป คาดไม่ถึงว่าจะคว้ากระบี่เล่มเล็กเอาไว้ในกรงเล็บท่ามกลางเงากรงเล็บที่ลางเลือน
แววตาของอสูรตนนี้ฉายแววโหดเ**้ยม ลำแสงสว่างวจ้า กรงเล็บทั้งกรงเล็บกลายเป็นสีเงินบริสุทธิ์ กรงเล็บหุบเข้าหากัน หมายจะทำลายกระบี่เล่มเล็กสีทองเล่มนี้
อสูรอเวจีอัสนีไม่เพียงมีพลังเทวะโดยกำเนิด และยิ่งไปกว่านั้นกายเนื้อยังแข็งแกร่งกว่าสมบัติระดับสุดยอด เมื่อทั้งสองประสานกัน ก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้จักใช้กรงเล็บแหลมคมของตัวเอง ทำลายสมบัติของคู่ต่อสู้ไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
แต่ตอนนี้กรงเล็บอสูรออกแรง หมายจะทำเช่นเดิมคือบีบกระบี่เล่มเล็กให้กลายเป็นผุยผง
แต่หลังจากี่เสียงเสียดสีของธาตุทองแหลมสูงดังขึ้น กระบี่เล่มเล็กสีทองที่อยู่ท่ามกลางลำแสงสีเงินก็บิดเบี้ยวสั่นเทา ลำแสงวิญญาณแค่หม่นแสงลงไปสองสามส่วน แต่กลับปลอดภัยไร้กังวล
อสูรตัวนี้ดูถูกความแข็งแกร่งของกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาเกินไปหน่อย
กระบี่เล่มนี้ถูกหานลี่ผสมวัตถุดิบที่ล้ำค่าลงไปสองสามชนิด ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แค่ระดับความแข็งแกร่งก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากในแดนวิญญาณแล้ว แม้ว่ากระบี่เล่มเล็กจะไม่อาจทำร้ายอสูรอเวจีอัสนีได้ แต่อสูรตัวนี้คิดจะทำลายกระบี่เล่มนี้ ก็ไม่อาจทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นกัน
อสูรอเวจีอัสนีพลันนิ่งค้าง ไม่รอให้มันได้สติกลับมาจากความตกตะลึง
หานลี่ที่ถูกกรงเล็บมันกักเอาไว้ กลับมีลำแสงสีทองปรากฎขึ้นบนใบหน้า ปากร้องตะโกนออกมา ลำแสงสีทองนับหมื่นสาย เกล็ดปรากฎขึ้นบนผิวหนังราวกับสร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ ในเวลาเดียวกันลำแสงสีทองที่แผ่นหลังพลันสั่นไหว เผยเงาร่างสีทองสามหัวหกแขนออกมา
แขนทั้งหกยืดออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกัน สั่นเทาเล็กน้อย ทำให้บรรยากาศรอบๆ มีคลื่นแปลกประหลาดปรากฎขึ้น ราวกับผิวน้ำสงบเกิดระลอกคลื่นขึ้น
และในโอกาสนี้ปีกที่แผ่นหลังของหานลี่พลันสะบัด พายุอ่อนๆ พัดโชยมา ร่างทั้งร่างหายวับไปท่ามกลางสายลม
อสูรอเวจีอัสนีร้องคำรามต่ำๆ ออกมา กรงเล็บอสูรข้างนั้นชูขึ้นแล้วกำมือ โจมตีไปยังกลางอากาศห่างออกไปสามสิบจั้ง
เสียงตูมดังสนั่นขึ้น พลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งระเบิดออก จากนั้นพลังคลื่นที่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งก็สลายออก เสียงหึ่งๆ ดังขึ้น
เงาร่างคนสายหนึ่งโซซัดโซเซ ถูกโจมตีกระเด็นออกมาจากกลางอากาศ
นั่นก็คือหานลี่ที่มีสีหน้าตะลึงงัน
คาดไม่ถึงว่าอสูรตัวนี้แค่ยกมือก็ทำลายเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายของเขาได้ ความสามารถช่างยากจะจินตนาการจริงๆ
ทันใดนั้นร่างของเขาก็พุ่งออกไปด้านหลังอย่างไม่หยุดยั้ง ในเวลาเดียวกันแขนข้างหนึ่งก็สะบัดออก ไข่มุกกลมสีเขียวสิบกว่าเม็ดพลันพุ่งเข้าไปห่อหุ้มอสูรอเวจีอัสนีเอาไว้ราวกับห่าฝน
นั่นก็คือไข่มุกอัสนีที่หลอมขึ้นอย่างยากลำบาก
คาดม่ถึงว่าหานลี่จะใช้ไปในจำนวนหนึ่งในสามส่วน ไม่เรียกว่าไม่พยายามอย่างสุดชีวิตไม่ได้แล้ว
อสูรอเวจีอัสนีเห็นฉากนี้ แววตายิ้มเยาะพลันฉายแววแวบผ่าน ร่างกายเลือนรางไปอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าหมายจะสำแดงเคล็ดวิชาเงาหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งผ่าไนป
แต่ในตอนนั้นเองหานลี่ที่อยู่ไกลออกไปพลันมีสีหน้าแปลกประหลาดปรากฎขึ้น มือหนึ่งร่ายอาคมทันที
ชั่วขณะนั้นอสูรอเวจีอัสนีพลันรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดแทงในช่องท้อง ร่างกายกลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะถูกทำลายเคล็ดวิชาเงาหลีกหนี
และภายใต้เวลาที่ล่าช้าไปนั้น ไข่มุกกลมสีเขียวสิบกว่าเม็ดก็มาอยู่ในบริเวณใกล้
ครานี้อสูรอัสนีเจ็บท้องราวกับถูกมีดฟัน จะไปสนใจการโจมตีที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้ได้อย่างไร แค่เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นบนเรือนร่าง ฝืนกระตุ้นประจุไฟฟ้าสีเงินชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างเอาไว้ รีบตรวจสอบสถานการณ์ในร่างอย่างร้อนรน
อสูรตนนี้ประมาทเช่นนี้ ทำให้ดวงตาของหานลี่เปล่งประกาย จิตสัมผัสเคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ไข่มุกอัสนสิบกว่าเม็ดพลิ้วไหวในเวลาเดียวกัน ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ระเบิดออกในเวลาเดียวกัน คราแรกลูกอัสนีสีเขียวสิบกว่าลูกพลันปรากฎออกมา กระพริบวาบๆ กลายเป็นลำแสงสีเขียวขนาดเท่าล้อรถ พลังธาตุอัสนีที่แข็งแกร่งสิบกว่ากลุ่มระเบิดออกมาพร้อมกัน
ชั่วพริบตาเมฆอัสนีขนาดสองสามหมู่พลันปรากฎขึ้น ห่อหุ้มอสูรอเวจีอัสนีที่ไม่ได้เตรียมการป้องกันเลยสักนิดเอาไว้ข้างใน
เห็นเพียงประจุไฟฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ เสียงอัสนีดังขึ้น เสียงร้องคำรามอันตกตะลึงระคนโกรธแค้นของอสูรตัวนี้ดังออกมาจากเมฆอัสนี
แม้ว่าอสูรตัวนี้จะเชี่ยวชาญในการกลืนกินอัสนี แต่การโจมตีที่เท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมร่างสองสามคนโจมตีเต็มกำลังพร้อมกัน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจกลืนกินได้ และยิ่งไปกว่านั้นครานี้ หานลี่กระตุ้นแมลงกลืนทองในร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ความสามารถของอสูรตัวนี้ถูกกำจัดไป จึงทำได้เพียงรับการโจมตีนี้อย่างทำใจดีสู้เสือเท่านั้น
พลานุภาพของอัสนีในเมฆอัสนีสำแดงออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย ประจุไฟฟ้าสีเขียวขนาดหนาเท่าปากชามจำนวนนับไม่ถ้วนดีดออกมาจากก้อนเมฆ เสียงฟ้าผ่าดังสะเทือนแก้วหู เสียงฟ้าร้องดังก้องไปในรัศมีร้อยลี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น