คัมภีร์วิถีเซียน 1491-1492
ตอนที่ 1491 ธงเฉียนคุนและอสูรอเวจีอัสนี
ลิ่วจู่มองสถานการณ์ของหานลี่ในครานี้แล้วกลับเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ไข่มุกดวงตาอสูรร้ายเม็ดนี้ เป็นสมบัติที่ข้าได้มาในวันวาน น่าเสียดายที่สมบัติชิ้นนี้และเคล็ดวิชาของข้าขัดแย้งกันเป็นอย่างมาก ไม่อาจหลอมเข้าไปในร่างได้ จึงทำได้เพียงหลอมมันเป็นสมบัติวิเศษดูดวิญญาณชิ้นหนึ่งเท่านั้น” ลิ่วจู๋เอ่ยอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“พี่ลิ่วจู๋! เจ้าเด็กนี้มีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่กลับมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าอัศจรรย์ เจ้าคิดว่าจะควบคุมเขาได้จริงๆ หรือ? ข้าและสหายมู่ยอมตัดใจจากสมบัติในสุสานมาร แต่ไม่หวังว่าจะเกิดความผิดพลาดอะไรอีก” หญิงงามผมขาวมองไปยังหานลี่แล้วเอ่ยปากถาม ใบหน้าแฝงความแค้นใจเอาไว้
“สหายหลันโปรดวางใจ อสูรร้ายอยู่ในระดับไหน เทียบได้กับจิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างมังกรเที่ยงแท้ ใช้เนตรทำลายล้างของมันหลอมเป็นสมบัติดูดวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงระดับเทพแปลงคนหนึ่ง แม้แต่เจ้าหรือข้าหากถูกไข่มุกเม็ดนี้ติดอยู่บนร่างสะกดวิญญาณเอาไว้ ก็ทำได้เพียงยอมถูกจับโดยละม่อมแล้ว หากสหายไม่เชื่อถือ ก็ลองทดสอบอานุภาพของไข่มุดเม็กนี้ดูได้” ลิ่วจู๋เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจมาก
“สหายกล่าวเช่นนี้ ข้าสองคนจะไม่เชื่อได้อย่างไร แต่แค่ข้ายังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพื่อสมบัติในสุสานมาร ข้าและพี่หญิงหลันได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ตอนนี้กลับไม่มีประโยชน์” มู่ชิงกลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“สิ่งทีเรียกว่าสุสานมาร ก็เป็นแค่มารปีศาจภายนอกทะลุมิติเข้ามาในแดนแม่น้ำอเวจีโดยบังเอิญและถูกอาวุโสของเผ่าแมลงเม่าในตอนนั้นร่วมมือกันสังหาร และฝังเอาไว้ที่นี่เท่านั้น มารที่มาจากภายนอกเหล่านั้นมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อก็จริง ส่วนสมบัติที่เจ้าพูดถึงน่าจะเป็นซากศพของพวกมันที่ถูกชโลมด้วยไอทมิฬอยู่หลายปี ส่วนที่พิเศษบางส่วนจึงมีจิตวิญญาณโดยอัตโนมัติ แม้ว่าสมบัติเหล่านี้จะมีประโยชน์ไม่น้อย แต่จะเทียบกับเกษียรเทวะได้อย่างไร อย่าลืมล่ะ ขอแค่กินน้ำเทวาเข้าไปแล้วเอาที่เหลือมาทาให้ทั่วร่าง ก็ทำให้ร่างกายกลายเป็นร่างกายสิทธิ์ วันข้างหน้าพลังในการควบคุมพลังวิญญาณฟ้าดินก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า เช่นนั้นการกลายเป็นเซียนสำหรับพวกเราก็ไม่ใช่เรื่องที่เพ้อฝันแล้ว หากโชคดีล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสขึ้นไปยังแดนเทพเซียน” ลิ่วจู๋เอ่ยขณะที่ตารวมเปล่งประกายระยิบระยับ
“เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องให้พี่พูด น้องหญิงก็รู้ดี แต่สมบัติชิ้นนึงในสุสานมาร ก็สำคัญกับข้ามาก มิเช่นนั้นข้าจะเสียเวลาดึงสหายหานมาเป็นพวกทำไมกัน” มู่ชิงยังคงมีท่าทีจนปัญญา
“ไม่ว่าสมบัตินั้นจะมีความสำคัญกับสหายมู่อย่างไร ตอนนี้หากพวกเราอยากได้สมบัติก่อนที่ทัพเสริมของเผ่าแมลงเม่าจะมาล่ะก็ มีเพียงต้องใช้วิธีที่พิเศษ ถึงจะทลายเขตอาคมได้อย่างรวดเร็ว และดึงดูดอสูรอเวจีอัสนีได้ หรือว่าสหายมู่อยากได้สมบัติในสุสานมารจนยอมละทิ้งเกษียรเทวะแล้ว” ลิ่วจู๋มองไปยังมู่ชิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เกษียรเทวะ แน่นอนว่าข้าไม่ยอมทิ้งแน่! ทั้งสองอย่างนี้คงต้องยอมทิ้งอันหนึ่งแล้ว” มู่ชิงพลันตัดสินใจ
“ถูกต้อง อีกอย่างข้าให้เจ้าเด็กแซ่หานล่ออสูรอเวจีอัสนีออกมา เขาก็อาจจะไม่ตายก็ได้ หากไม่ถึงชีวิต สหายมู่ก็ยังคงมีโอกาสไปล่าสมบัติที่สุสานมาร” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งเอ่ยปากพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมา
“หึ อสูรอเวจีอัสนีโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน หากเขาหนีรอดจากปากของอสูรตนนี้ได้ ก็นับว่าโชคหล่นทับแล้ว ทว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ย เมื่อครู่พวกเราคุยกันแค่ว่าจะร่ายอาคมใส่เจ้าเด็กน้อยหาน เหตุใดเจ้าถึงได้ไปร่ายอาคมใส่ลูกน้องของสหายหลันอย่างแม่หญิงทั้งสองด้วย” มู่ชิงแค่นเสียงหึ แววตากวาดไปยังข้างกายของคนผู้ที่สวมชุดสีโลหิต หยวนเหยาและเหยียนลี่ที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก
“น้องหญิงมู่ ไม่ต้องตกใจ ข้าถ่ายทอดเสียงไปบอกสหายตี้เสวี่ยให้จับเด็กสองคนนั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรเสียเด็กพวกนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว หากปล่อยให้เจ้าเด็กสองคนนี้วิ่งเล่นไปมา เกรงว่าจะมีปัญหาไม่น้อย ไอทมิฬที่บริสุทธิ์บนตัวของพวกนาง มีส่วนช่วยในการหลอมเกษียรเทวะกับแม่เฒ่าพอดี” หญิงงามผมขาวเอ่ยอย่างไม่แยแส
มู่ชิงได้ยินคำนี้ ก็ปิดปากฉับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“ในเมื่อจับได้แล้ว จากนี้ก็ทำตามแผนเถิด พวกเราร่วมมือกันทลายเขตอาคมก่อน แล้วควบคุมเจ้าเด็กแซ่หานให้ปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมา ล่ออสูรอเวจีอัสนีออกจากบ่อเทวะ เช่นนั้นพวกเราก็เอาเกษียรเทวะไปได้อย่างราบรื่นแล้ว” ลิ่วจู๋เอ่ย
“อสูรอเวจีอัสนีเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจะสามารถล่ออสูรตัวนี้ได้จริงๆ หรือ? อย่าขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวอีกกำมือ*ล่ะ!” หญิงามผมขาวกลับเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
“อสูรอเวจีอัสนีชอบกินอัสนีไฟฟ้ามากที่สุด อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเป็นหนึ่งในห้าอัสนีเทวา อสูรตนนี้จะยอมพลาดง่ายๆ ได้อย่างไร!” ลิ่วจู่กลับเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“พี่ลิ่วจู๋เอ่ยเช่นนี้ ตาเฒ่าก็วางใจแล้ว” หญิงงามพลันพยักหน้า รู้สึกอุ่นใจเล็กน้อย
“สหายตี้เสวี่ย กำแพงเชื่อมฟ้าด่านสุดท้ายต้องพึ่งหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตของเจ้าในการทำลายแล้ว” ลิ่วจู๋หันกายกลับไปเอ่ยกับผู้ที่สวมชุดคลุมโลหิตทั้งสองคน
“สาเหตุที่ข้าสองคนหลอมหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตนี้ ก็เพื่อการนี้!” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา
ลิ่วจู๋เห็นเช่นนั้น ก็พยักหน้า
ทันใดนั้นทุกคนก็ปรึกษารายละเอียดกันอีกครึ่งชั่วยาม หลังจากมั่นใจว่าทุกจุดไม่มีปัญหาแล้ว ก็พาจิตวิญญาณสีทองและปีศาจระดับสูงที่เหลือบินตรงไปยังเทือกเขาสีเทา
หานลี่และพวกสตรีอย่างหยวนเหยา ไม่ต้องให้พวกเขาลงมือใดๆ อีก ก็บินตามไปโดยอัตโนมัติ
ระยะทางร้อยลี้เศษสำหรับราชันย์ปีศาจเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา
หลังจากที่ลิ่วจู๋และพวกเข้าไปในเทือกเขา ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ล้วนมองไปทางซ้ายทีขวาทีไม่หยุด ทุกคนล้วนมีท่าทีระแวดระวัง
แต่ระหว่างทางกลับราบรื่นอย่างน่าประหลาด!
ไม่ต้องพูดถึงภูตที่ร้ายกาจอะไรเลย แม้แต่จิตวิญญาณทมิฬสักตนกลุ่มของพวกเขาก็ยังไม่พบ
ผลคือหนึ่งชั่วยามต่อมาทุกคนก็ข้ามผ่านกว่าครึ่งของเทือกเขาสีเทาไม่ได้ เบื้องหน้ามีแสงสว่างเจิดจ้า แอ่งกระทะขนาดยักษ์ปรากฎขึ้น
มองออกไปปราดเดียวแอ่งกระทะนี้มีความกว้างถึงยี่สิบสามสิบจั้ง รอบๆ ล้วนถูกเนินเขาสีเทาที่ทอดตัวยาวล้อมเอาไว้ และตรงใจกลางแอ่งกระทะกลับถูกม่านลำแสงสีดำชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ ม่านลำแสงนี้เป็นสีดำสนิท ทำให้ผู้คนไม่อาจมองทะลุผ่านเข้าไปเห็นสถานการณ์ด้านในได้เลยสักนิด
ลิ่วจู๋และพวกหยุดมองม่านลำแสงนี้ พิจารณาทุกอย่างรอบๆ
“โชคดีที่ครั้งที่แล้วคราที่พวกเรามา ได้สังหารภูตที่อยู่รอบนอกไปพอสมควรแล้ว มิเช่นนั้นตอนนี้หากมาที่นี่อีกล่ะก็ คงต้องเปลืองแรงอีกรอบหนึ่ง” มู่ชิงเอ่ยพึมพำออกมา
“แต่ครั้งที่แล้วพวกเราคิดไม่ถึงว่าในเขตอาคมจะมีอสูรอเวจีอัสนีตนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ ทำให้สหายจู่ต้องเพลี้ยงพล้ำไปโดยไม่ทันระวังตัว อสูรอเวจีอัสนีโตเต็มวัยตนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต่อกรได้จริงๆ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น
” เริ่มลงมือเถิด ทลายม่านลำสแงทมิฬนี้สักครึ่งหนึ่งก่อน แล้วล่ออสูรอัสนีตัวนั้นออกมา จากนั้นก็รอดูประสิทธิภาพของเขตอาคมลวงตาใบเทียนฮัวของสหายมู่ชิงแล้ว” ลิ่วจู๋เอ่ยกับมู่ชิงอย่างเคร่งเครียด
“ขอแค่ไม่ลงมือก่อน ในขณะที่ข้าควบคุมเขตอาคมใบเทียนฮัวด้วยตนเอง อสูรอเวจีอัสนีก็ไม่มีทางพบพวกเราแน่ แต่เขตอาคมนี้ต้องเสียพลังลมปราณและจิตสัมผัสไปจำนวนมาก ข้าไม่อาจยื้อไว้ได้นานนัก จะต้องให้เจ้าเด็กนั้นรีบล่ออสูรตนนี้ออกไปถึงจะสำเร็จ ทางที่ดีที่สุดยิ่งล่อออกไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” มู่ชิงเอ่ยด้วยความเคร่งขรึม
“จุดนี้ข้าย่อมทราบดี ข้าจะนำสมบัติเหาะเหินวิเศษที่เก็บสะสมเอาไว้ออกมาให้เขาใช้ สหายตี้เสวี่ยอีกเดี๋ยวเจ้าไปปลุกเสกยันต์เฉพาะสักสองสามแผ่น สหายหลันธงเฉียนคุนของเจ้าเอาให้เขาพกไป” ลิ่วจู่เอ่ยอย่างมีแผนการ
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ธงเฉียนคุน’ ชั่วขณะนั้นใบหน้าของหญิงงามผมขาวก็เผยสีหน้าไม่ยินยอมออกมา
“จะต้องเอาธงเฉียนคุนให้เจ้าเด็กนั่นจริงๆ หรือ แม้ว่ามันจะไม่ใช่สมบัติสะท้านฟ้า แต่ก็มีพลังป้องกันที่มหัศจรรย์มาก แม้กระทั่งแข็งแกร่งกว่าสมบัติสะท้านฟ้าบางประเภทหลายเท่า หากเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันอะไรเข้า…” หญิงงามพลันครุ่นคิดไปเล็กน้อย
“สหายน่าจะรู้ดี มีเพียงต้องทำให้เจ้าเด็กแซ่หานยื้อเวลาอสูรอเวจีอัสนีเอาไว้ให้นานที่สุด พวกเราถึงจะยิ่งปลอดภัย หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว เจ้าค่อยเอาธงกลับมาก็ได้แล้ว ในบรรดาพวกเราสามคนมีเพียงสมบัติชิ้นนี้ของเจ้า ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ลมปราณและคาถา ก็ทำให้เขาสามารถใช้ป้องกันตัวเองได้แล้ว” ลิ่วจู๋ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ก็ได้ ถือว่าให้เจ้าเด็กนั่นได้เปรียบก็แล้วกัน!” ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายหญิงงามผมขาวก็รวบมือทั้งสองด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมา จากนั้นธงเล็กๆ สีเงินขาวด้ามหนึ่งก็ปรากฎขึ้น
บนธงมีลำแสงเปล่งแสงระยิบระยับ ตัวอักษรกระพริบอยู่ลางๆ แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา
หญิงงามเอ่ยก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ยื่นนิ้วเรียวขาวนวลนิ้วหนึ่งชี้ไปทางธงด้ามเล็กสีเงิน
เสียง “สวบ” ดังขึ้น ธงด้ามเล็กกลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งเข้าไปหาหานลี่
ลิ่วจู๋กระตุกมุมปากขึ้น แต่ไม่เห็นว่าเขามีเคลื่อนไหวใดๆ ดวงตาตรงหว่างคิ้วของหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบ สะบัดแขนเสื้ออย่างทื่อๆ พ่นหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งออกมา กวาดลำแสงสีเงินเข้าไปด้านใจ เก็บเข้าไปในแขนเสื้อ
จากนั้นเขาก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ตั้งแต้ต้นจนจบล้วนมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้จริงๆ
แต่ด้านหลังของเขาพลันมีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งปรากฎขึ้นอย่างแปลกประหลาด ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น
เสียง “พรึ่บๆ” อย่างอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตแปะยันต์วิเศษสิบกว่าใบลงไปบนร่างของหานลี่รวดเดียวภายในพริบตา
ชั่วขณะนั้นบนร่างของหานลี่พลันมีลำแสงโลหิตแฝงอยู่ กลิ่นอายแข็งแกร่งขึ้นกว่าครึ่ง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของมู่ชิงก็บินขึ้นไป หาที่ซ่อนตัวแห่งหนึ่ง แล้วร่อนลงไป
ดอกไม้สีทองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป สองเท้าของสตรีผู้นี้เหยียบอยู่บนพื้นดิน
รองเท้าของมู่ชิงมีไฟลุกไหม้อย่างไม่มีเหตุผล ท่ามกลางเปลวเพลิงสีขาวประหลาดๆ กลุ่มนั้น เท้าเปลือยอันเรียวเล็กและขาวนวลก็ปรากฎออกมา
หลังจากที่แขนเสื้อทั้งสองปลิวสะบัด ชั่วขณะนั้นลำแสงผืนใหญ่ก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นก็ทยอยกันจมหายเข้าไปกลางอากาศบริเวณรอบอย่างไร้ร่องรอย ทันใดนั้นเขตอาคมลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้น แต่เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบอย่างรุนแรงสองสามครั้งก็หายไปอย่างไร้เงา
ฉากที่ยากจะเชื่อพลันปรากฎขึ้น!
ท่ามกลางเสียงบริกรรมคาถาที่ไพเราะของมู่ชิง สองเท้าของสตรีผู้นี้พลันเปลี่ยนจากสีขาวเป็นเขียว กลายเป็นต้นไม้หนาๆ และไล่ขึ้นมายังส่วนขาอย่างรวดเร็ว
แทบจะในพริบตาตั้งแต่เอวลงมาของมู่ชิงก็กลายเป็นต้นไม้ หลังจากที่รากเลื้อยไปมาแล้ว ก็ปักลงลึกไปในใต้ดินสิบจั้งเศษ
ทันใดนั้นพื้นที่รอบด้านที่แต่เดิมโล่งเตียน ก็มีพืชพรรณดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนงอกออกมาบนพื้นดิน และชั่วพริบตาก็ผลิดอกออกผล ทำให้อาณาเขตร้อยจั้งเศษกลายเป็นทุ่งที่เต็มไปด้วยดอกไม้ เป็นสีเขียวขจี
เขตอาคมสีดำเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นบนพื้นดินอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าหมู่มวลดอกไม้ที่อยู่ในเขตอาคมลำแสงเหล่านี้ จะไม่งอกออกไปพ้นบริเวณเขตอาคมเลยสักต้น
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงระยิบระยับ ไม่ว่าต้นไม้ต้นหญ้าหรือดอกไม้ล้วนมีมู่ชิงเป็นใจกลาง แล้วพากันลางเลือนหายไป
*ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวอีกกำมือ หมายถึง คิดหาผลประโยชน์จากผู้อื่นจนเข้าเนื้อตัวเอง
ตอนที่ 1492 เหยื่อล่อ
ลิ่วจู๋มองสถานการณ์นี้ไปพลาง ทันใดนั้นก็ใช้จิตสัมผัสกวาดไปตรงที่มู่ชิงอำพรางกายอยู่ ผลคือสายตาพลันเปล่งประกายวาวโรจน์!
“เยี่ยม! เขตอาคมใบเทียนฮัวของสหายมู่ช่างมหัศจรรย์ดังคาด ขอแค่อสูรอเวจีอัสนีไม่คิดจะตามหาที่นี่ ก็ไม่อาจพบพวกเราได้” ลิ่วจู๋เอ่ยอย่างเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็ร้องเรียกคนอื่น ร่างกายบินเข้าไปหาม่านลำแสงสีเขียว
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคน หุ่นเชิดสีม่วงโลหิต และหญิงงามผมขาวทยอยกันไล่ตามไป
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คนผู้หนึ่งหายวับไปจากกลางอากาศ
ที่เดิมจึงเหลือเพียงหานลี่เพียงคนเดียว
แต่ครู่ต่อมาหลังจากที่ไข่มุกกลมสีดำตรงหว่างคิ้วของเขาเปล่งประกายแล้ว ก็บินไปอยู่เหนือม่านลำแสงสีดำอย่างเชื่องช้า ลอยอยู่กลางอากาศด้วยท่าทีทระนงองอาจ แล้วลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น
ลิ่วจู๋และพวกเหล่าราชันย์ปีศาจที่อยู่ในเขตอาคมอำพรางด้านล่าง ต่างก็หยิบมีดสั้นสีแดงที่เหมือนกันออกมา
ความยาวไม่ถึงสามฉื่อ ใบมีดหมุนเป็นเกลียว รูปทรงเป็นเอกลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางเสียงร้องเรียกทุกคนทยอยกันบรรจุพลังปีศาจใส่เข้าไปในมีดโลหิตในมือ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีโลหิตพลันเปล่งแสงสว่างวาบ สั่นเทาไม่หยุด ราวกับอสรพิษโลหิตเป็นตัวๆ กำลังสะบัดหัวสะบัดหางอยู่ในมือของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
มีดโลหิตเปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา เหล่าราชันย์ปีศาจล้วนมีท่าทีพร้อมรบ
ผู้ใดก็ไม่ทันได้สังเกตุว่าหานลี่ที่ดูเหมือนกำลังแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ หดฝ่ามือทั้งสองเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบ
ครานั้นลำแสงในมือพลันเปล่งประกาย ยันต์สีเงินแผ่นหนึ่งปรากฎขึ้นในมือ อีกมือหนึ่งกลับมีไข่มุกกลมสีเขียวเจ็ดแปดเม็ดกลิ้งลงมาอย่างเงียบเชียบ
คิดไม่ถึงว่าหานลี่จะไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป และยังประคองจิตสำนึกของตนเองเอาไว้ได้
ทว่าเขาในครานี้กำลังตำหนิอยู่ในใจไปพลาง ครุ่นคิดตัดสินใจไม่ได้ไปพลาง
ตอนแรกที่เขาถูกมู่ชิงและพวกร่ายอาคมใส่ร่าง ถูกลำแสงสีดำพุ่งเข้าในร่างนั้น ก็คิดว่าตนเองคงหนีจากหายนะครั้งนี้ได้ยากจริงๆ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าลำแสงสีดำจะแค่ทำให้จิตสำนึกเลือนลางไปเพียงชั่วครู่ รอจนไข่มุกกลมสีดำฝังลงไปตรงหว่างคิ้วแล้ว เนตรทำลายล้างที่ซ่อนอยู่ตรงหน้าผากพลันถูกกระตุ้นโดยอัตโนมัติ ดูดเส้นไหมสีดำที่ปล่อยออกมาจากไข่มุกกลมสีดำไปจนเกลี้ยง
ทำให้เขาได้สติกลับมาดังเดิมทันที
หานลี่เองก็รู้สึกอัศจรรย์ใจ แต่รอจนลิ่วจู๋เอ่ยว่าไข่มุกกลมคือสิ่งที่หลอมมาจากดวงตาที่สามของอสูรร้าย ก็ถึงได้เข้าใจขึ้นมา
เนตรทำลายล้างของเขาสามารถดูดซับและกำจัดสมบัติที่มีแหล่งกำเนิดเดียวกันได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แม้ว่าลิ่วจู๋จะมีประสบการณ์จึงสามารถจัดการได้อย่างคล่องแคล่ว และลงมืออย่างไร้ความปรานี แต่ก็คิดไม่ถึงว่าหานลี่จะมีเนตรทำลาย้ลางของตนเอง
ภายใต้ความคิดที่เคลื่อนไหวไปมาของหานลี่ ทันใดนั้นก็ตัดสินใจได้ทันที ดูว่าจะใช้โอกาสจากท่าทางถูกลงอาคมเอาไว้ หาโอกาสดีๆ ได้หรือไม่
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า ลิ่วจู๋และพวกจะให้เขาไปล่อ’อสูรอเวจีอัสนี’ อะไรนั่น
แม้ว่าหานลี่จะเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก แต่แม้แต่ลิ่วจู๋ก็ยังมีท่าทีหวาดกลัว ย่อมเห็นได้ชัดถึงความโหดเ**้ยมของอสูรตนนี้
จากเจตนาเดิมของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่อยากผู้รับเคราะห์แทนผู้อื่น แต่ครานี้เหล่าราชันย์ปีศาจกำลังจับจ้องจนตาเป็นมัน ขอแค่มีสิ่งแปลกประหลาดอะไรเกิดขึ้น เกรงว่าคงทำให้ลิ่วจู๋และพวกสัมผัสได้ในทันที
แน่นอนว่าหากพวกเขามีแค่วิธีการควบคุมจิตสัมผัสด้วยเนตรอสูรร้าย ถึงครานั้นมีวิธีการควบคุมอื่น ก็จะยิ่งซวยไปกันใหญ่
แม้ว่าเคล็ดวิชามารพรามหณ์ศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้จะสามารถผนึกจิตวิญญาณเอาไว้ได้ แต่ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังอับอายและคับแค้นใจ จุดจบอย่างการที่วิญญาณแตกสลายก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก
หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับขบคิดไปมาไม่หยุด ในเวลาเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่กำลังซัดสาดในร่าง
และไม่รู้ว่ายันต์สีโลหิตที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยปลุกเสกให้เขามีอิทธิฤทธิ์ใด คาดไม่ถึงว่าจะทำให้โลหิตในร่างของเขาร้อนรุ่ม ชั่วพริบตาพลังปราณในร่างก็เพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง นี้ช่างทำให้หานลี่ตกตะลึงนัก!
แม้ว่าเคล็ดวิชาเพิ่มพลังยุทธ์ชั่วคราวเช่นนี้มักจะมีผลข้างเคียง แต่ภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้ พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นสักหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
และนอกจากนี้…
ยันต์สีเงินที่หานลี่คว้าอยู่ในฝ่ามือเปล่งแสงสว่างวาบ ธงสีขาวโพลนยาวสองสามชุ่นด้ามหนึ่งก็ปรากฎขึ้น
นั่นก็คือ ‘ธงเฉียนคุน! ’
ธงด้ามนี้ดูแล้วไม่สะดุดตาเลยสักนิด แต่เมื่อได้ยินคำพูดของลิ่วจู๋และยิ่งไปกว่านั้นจากท่าทางอาลัยอาวรณ์ของหญิงงามผมขาว ก็เห็นได้ว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก
ไม่รู้ว่าสมบัติชิ้นนี้ไม่อาจนำมาหลอมได้ หรือว่าหญิงงามผมขาวจงใจไม่หลอม ด้านบนไม่มีร่องรอยของจิตสัมผัสที่หลงเหลืออยู่เลยสักนิด เมื่อหานลี่กวาดจิตสัมผัสไปที่ธงด้ามเล็กด้ามนั้นก็พบว่าเจ้าสิ่งนี้ควบคุมได้ง่ายมาก น่าจะสามารถกระตุ้นอานุภาพของมันได้อย่างง่ายดาย
ในเมื่อลิ่วจู๋ให้หญิงงามผมขาวมอบสมบัติชิ้นนี้ให้เขา เห็นได้ชัดว่าเจ้าสิ่งนี้ต้องสามารถต้านทานอสูรอเวจีอัสนีได้สองสามส่วน มิเช่นนั้นคงไม่มีทางอะไรที่มากความแน่
มีสมบัติชิ้นนี้ประกอบกับกลยุทธ์ที่เขาเตรียมเอาไว้สองสามกระบวนท่า ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องหนีเอาชีวิตรอด ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหนีออกจากปากของอสูรอเวจีอัสนีแล้ว อสูรอเวจีอัสนีตัวนี้น่าจะมีความสามารถด้านการเคลื่อนที่ไม่เร็วนัก เพียงพอจะทำให้เขามีโอกาสหนีออกไปได้ไกลสักระยะหนึ่งถึงจะถูก
มิเช่นนั้นลิ่วจู๋และพวกจะทำอะไรให้มากความไปทำไมกัน
และหากมีการเปลี่ยนแปลง ถูกเหล่าราชันย์ปีศาจรู้ว่าแสร้งทำ แม้ว่าจะไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีโอกาสหนีรอด แต่ขณะที่ยังมีผนึกอยู่ในร่างกาย แล้วจะหนีไปไหนได้ ไม่สู้ลองเสี่ยงดูสักตั้ง แกล้งทำเป็นเชื่อฟังต่อไป
ขอแค่หนีออกจากการไล่ตามของอสูรอเวจีอัสนีได้ และะแยกออกจากเหล่าราชันย์ปีศาจเหล่านี้ เขาก็สามารถสะกดผนึกได้ชั่วคราว เปลี่ยนจากสดใสเป็นมืดมัว จากนั้นก็ถือโอกาสหนีไปแย่งชิงหยวนเหยาและเหยียนลี่มา ก็จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ในท้ายที่สุดแล้ว
ใบหน้าของหานลี่ไร้ซึ่งความรู้สึก แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจ
และในตอนนั้นเอง ลิ่วจู๋และเพื่อนที่อยู่ด้านล่างก็ลงมือ
หลังจากเสียงตะโกนต่ำๆ ดังขึ้น มีดสีโลหิตสองสามเล่มก็สั่นเทา พ่นลำแสงสีโลหิตหนาๆ ออกมาสองสามกลุ่ม สับลงไปที่ม่านลำแสงสีดำอย่างรุนแรง
เห็นได้ชัดว่ามีดโลหิตเหล่านี้เป็นสมบัติที่เหล่าราชันย์ปีศาจเตรียมมาต่อกรกับเขตอาคมนี้โดยเฉพาะ
เมื่อลำแสงสีโลหิตสัมผัสกับม่านลำแสง ชั่วขณะนั้นก็เหมือนกับทุบก้อนหินสองสามก้อนลงไปในแม่น้ำ
ม่านลำแสงทั้งหมดสั่นเทา และสับลงมาที่ลำแสงสีโลหิตไม่หยุด ม่านลำแสงเปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา!
ฉับพลันนั้นเสียงคำรามต่ำๆ ของอสูรก็ดังออกมาจากม่านลำแสง จากนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้น เริ่มเข้ามาประชิดขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าสิ่งนั้นมาแล้ว รีบหยุดมือเร็วเข้า!” ลิ่วจู๋มีสีหน้าเคร่งขรึม ลำแสงสีโลหิตในมือหยุดลง เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างร้อนรน
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตและพวกของหญิงงามใจหายวาบ สะบัดข้อมือ หยุดการโจมตี
แทบจะในเวลาเดียวกัน มีดสีโลหิตในมือของมู่ชิงพลันสลายหายไป สองมือพลันร่ายอาคม กลายเป็นต้นไม้ยักษ์ที่กายท่อนล่างมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ กระตุ้นเขตอาคมใต้ฝ่าเท้า
พลังที่ไร้รูปร่างทำให้กลิ่นอายทั้งหมดของทุกคนถูกอำพรางเอาไว้
มองจากไกลๆ ทีนี่ล้วนว่างเปล่า ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเหมือนกับที่ตอนที่ลิ่วจู๋และพวกมาครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น!
และหานลี่ในครานี้หว่างคิ้วมีลำแสงสีดำสว่างวาบ เนตรทำลายล้างที่ผ่านการหลอมได้รับคำสั่งจาลิ่วจู๋
สองมือที่แข็งทื่อของหานลี่พลันร่ายไปมา เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นบนผิวกาย ห่อหุ้มเรือนร่างเอาไว้ จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ธงสีขามด้ามเล็กด้ามนั้นบินออกมา
ธงด้ามนี้ไม่ต้องร่ายอาคมใดๆ ก็กลายเป็นไอสีดำขาวกลุ่มหนึ่งวนล้อมรอบหานลี่ไปมา
ไอสีดำขาวที่ตัดสลับไปมาในไอวิญญาณ มีลวดลายขนาดน้อยใหญ่ปรากฎขึ้นลางๆ ท่าทางอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง!
ในเวลาเดียวกันแผ่นหลังพลันมีลำแสงสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ปีกทั้งสองสยายออก กลายเป็นสีสันแวววาว สั่นเทาเบาๆ ไม่หยุด
หานลี่มีท่าทางเตรียมการพร้อมแล้ว
ผิวของม่านลำแสงสีดำที่อยู่ไกลออกไปเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ฉับพลันนั้นถูกประจุไฟฟ้าสีเงินขนาดเท่าถังน้ำฉีกออก
ประจุไฟฟ้าสีเงินนี้หมุนวนโคจรอยู่กลางอากาศ ด้านในมีอะไรแฝงอยู่สักอย่าง
ไม่รอให้หานลี่ได้พิเคราะห์อย่างละเอียด ในจิตสัมผัสก็ได้ยินเสียงที่ร้อนรนของลิ่วจู๋ทันที คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เขาหนีเตลิดจนหัวซุกหัวซุนอย่างไม่สนใจของมีค่า
หานลี่ได้รับคำสั่งนี้ ปีกที่แผ่นหลังก็สยายออกอย่างไม่ต้องคิด สายลมพัดโชยมา คนหายวับไปจากที่เดิมตามสายลม
และประจุไฟฟ้าสีเงินในครานี้ถึงได้หม่นแสงลง เผยอสูรประหลาดสีดำขนาดเท่าลูกม้าตัวหนึ่ง
อสูรตัวนี้มีร่างกายที่ไม่ถือว่าใหญ่โตนัก รูปร่างภายนอกคล้ายหมาป่า แต่แผ่นหลังของมันกลับมีเกล็ด บนหัวมีเขาสีเงินออกมาข้างหนึ่ง ดวงตาทั้งสองเป็นสีเหลืองทอง มีประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ ไหลวนโคจรอยู่
นั่นก็คือ ‘อสูรอเวจีอัสนี’ ที่ลิ่วจู๋และพวกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
อสูรตัวนี้มีรูปร่างที่ไม่ค่อยน่ากลัวนัก แต่เมื่อปรากฎกายขึ้น ดวงตาทั้งสองก็ถูกดึงดูดไปยังหานลี่ที่อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้งทันที ไม่ น่าจะหมายถึงถูกอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายบนร่างของหานลี่ดึงดูดมากกว่า
สายของอสูรอเวจีอัสนีที่แต่เดิมเคร่งขรึม มองไปบนประจุไฟฟ้าสีทองบนร่างของหานลี่อีกครั้ง สายตาก็เปลี่ยนเป็นร้อนแรงมาก
อสูรตัวนี้กวาดสายตาทั้งสองไปรอบๆ และไม่พบความผิดปกติอะไร ปากก็ร้องคำรามต่ำๆ ออกมา แขนขาทั้งสี่เคลื่อนไหว กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินสายหนึ่งพุ่งออกไปทันที
และไม่รู้ว่าอสูรตัวนี้ใช้เคล็ดวิชาหลีกหนีอะไร แขนขาทั้งสี่จึงมีประจุไฟฟ้าสีเงินทะลักออกมา เสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่หยุด แค่ออกวิ่งคาดไม่ถึงว่าจะอยู่ห่างออกไปร้อยจั้ง แค่กระพริบวาบสองสามครั้ง ก็ใกล้จะไล่ตามหานลี่ทันแล้ว
แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้หันกลับมา แต่แน่นอนว่าย่อมรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของอสูรตนนี้
ทันใดนั้นหัวใจพลันบีบรัด อดที่จะก่นด่าในใจไม่ได้
ความเร็วของอสูรตนนี้ไม่เร็วนัก เกรงว่าจะอยู่แค่ในสายตาของลิ่วจู๋และพวกเท่านั้น สำหรับตนเองแล้วนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีพลังคุกคามถึงชีวิตได้
ทันใดนั้นก็ไม่มีใครกล้าปิดบังอะไรอีก ปีกขนนกสีขาวหิมะแต่เดิมพลันกลายเป็นลำแสงวิญญาณห้าสี แล้วกลายเป็นสีเขียว ปีกทั้งสองกระพรือออกในเวลาเดียวกัน
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะกลายเป็นผลึกเส้นไหมห้าสีสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบหายไปจากบริเวณรอบ
เมื่อกระพริบวาบอีกครั้งก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ คนก็อยู่ห่างไกลออกไป
จากความเร็วไม่ช้าไปกว่าอสูรอเวจีอัสนีด้านหลังเท่าไหร่นัก
หลังจากที่ไล่ตามกันไป ชั่วพริบตาก็มาถึงสุดขอบฟ้า หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง ก็หายวับไปอย่างไร้เงา
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ ลำแสงสีเขียวก็เปล่งประกายสว่างวาบ ลิ่วจู๋และพวกของหญิงงามพลันปรากฎตัวออกมา
“รีบลงมือเร็วเข้า เจ้าเด็กน้อยหานไม่อาจยื้อเวลาให้พวกเราได้นานนัก รีบทำลายเขตอาคม!” ลิ่วจู๋เอ่ยคำสั่งด้วยใจที่ร้อนรน
ใบมีดสีโลหิตในมือของทุกคนเปล่งประกาย ลำแสงสีโลหิตสองสามสายสับลงมาอีกครั้ง
ครั้งนี้เมื่อลำแสงโลหิตพ่นออกไป ก็กลายเป็นอสรพิษโลหิตเป็นตัวๆ แยกเขี้ยวตะปบเล็บกระโจนออกมา
เห็นได้ชัดว่าอานุภาพมากกว่าครั้งที่แล้ว
เมื่อเงาแมลงขนาดยักษ์ตัวหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้นที่เหนือศีรษะของลิ่วจู๋ ก็อ้าปากออกพ่นเสาลำแสงสีดำสายหนึ่งออกมา
หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตพลันขยายร่างใหญ่ขึ้นสองสามเท่าท่ามกลางเสียงร้องกระตุ้นของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต
กายท่อนล่างที่กลายเป็นรากของมู่ชิงจมหายเข้าไปใต้ดิน ทันใดนั้นก็คืนสภาพหดเล็กลง ชั่วพริบตาก็เหมือนกับคนธรรมดาทุกระเบียบนิ้ว
จากนั้นนางก็ทำให้ใบมีดโลหิตในมือเลือนราง โบกสะบัดไปมากลางอากาศอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีโลหิตสองสามสายกรูทะลักออกมา แต่เมื่อผนึกประสานกัน ก็กลายเป็นใบมีดลำแสงขนาดยักษ์สายหนึ่ง สับลงมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น