พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1491-1494
บทที่ 1491 กระดูกมังกรทั้งแปด
สุดท้ายเหมียวอี้ก็ตัดสินใจว่าจะสำรวจสถานการณ์ของถ้ำมังกรก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ประการแรกเป็นเพราะเขายังยืนยันไม่ได้ว่าต้องโยนไข่หินลงในบ่อเพลิงมังกรหรือไม่ ประการต่อมาเป็นเพราะไม่สามารถยืนยันได้เต็มร้อยว่านี่คือบ่อเพลิงมังกร ถึงมาจะดูสอดคล้องกับชื่อ ‘บ่อเพลิงมังกร’ ก็ตาม แต่ใครจะไปรู้ว่าที่นี่จะใช่บ่อเพลิงที่คล้ายมังกรเพลิงหรือเปล่า ถ้ามีอีกที่หนึ่งขึ้นจะมาจะทำอย่างไรล่ะ? ต่อให้จะโยนก็ต้องโยนให้ถูกที่ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เผ่าหงส์ก็ไหว้วานไว้ ถ้าประมาทเกินไปก็อาจจะทำผิดต่อมโนธรรมของตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงเก็บไข่หินสองใบเอาไว้อีก
พอเงยหน้ามองเพลิงมังกรแหวกว่ายที่อยู่สูงหลายจั้งอีกครั้ง เปลวเพลิงรูปหัวมังกรที่ดุร้ายและมีพลังอำนาจก็เปลี่ยนกลับไปเป็นมังกรเลื้อยอีกครั้ง เหมียวอี้ไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้เลยสักนิด ตอนนี้เขาหันมองไปทั่วทุกที่ แล้วเดินเข้าไปทางถ้ำที่อยู่ด้านซ้ายหลังเก้าอี้ทั้งแปดตัวตำหนักใหญ่
และในเพลิงมังกรแหวกว่ายนั้นก็ปรากฏดวงตาเพลิงสองดวงอันน่าสะพรึงให้เห็นรางๆ มองตามเหมียอวี้ที่เหลียวซ้ายแลขวาและหายไป
ถ้ำซ้ายขวาที่อยู่หลังตำหนักเป็นทางที่ใช้ร่วมกัน ในแผนที่ที่หลิงหลันให้เหมียวอี้มีเพียงสภาพภูมิประเทศอย่างคร่าวๆ นอกถ้ำมังกร ไม่ได้มีแผนที่ข้างในแบบละเอียด ดังนั้นเหมียวอี้จึงเดินมั่วอย่างเดียว
ที่นี่แตกต่างจากรังหงส์ ในถ้ำมังกรเหมือนกับเขาวงกตจริงๆ เส้นทางและทางแทบจะเหมือนกันหมด เหมียวอี้ที่เดินไปทางซ้ายทีขวาทีแทบจะมึนแล้ว หลงทางแล้ว ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้อยู่ส่วนไหนของถ้ำมังกร
ชายผมแดงคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพังหันหน้ามาช้าๆ มองดูเหมียวอี้ที่เดินหน้าตึงเข้ามา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหมียวอี้ล่วงล้ำเข้ามาในสถานที่ฝึกตนของคนอื่น เวลาหลงทางก็มักเจอเผลอเดินผิดเข้าห้องคนอื่น แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เหมียวอี้ที่ทำหน้าตึงแต่ในใจรู้สึกอับอายต้องการจะขอยืมใช้ทาง เส้นทางภายในพาเขาอ้อมจนมึนหัวแล้วจริงๆ หาทางกลับตำหนักใหญ่ไม่เจอ รอให้ออกจากห้องคนอื่นได้แล้วค่อยว่ากันดีกว่า
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีปากและไม่รู้จักถามทาง ประเด็นคือถามชายผมแดงหรือไม่ก็หญิงผมแดงที่นิสัยป่าเถื่อนไปหลายคนแล้ว แต่จนใจที่ไม่มีใครสนใจเขาสักคน ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็ได้แต่มองเขาเงียบๆ หรือไม่ก็มองเขาแวบหนึ่งแล้วก็หลับตาเสียเลย แต่ละคนทำตัวราวกับโดนผนึกปากให้เป็นใบ้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าที่นี่มีหลิงหลงสักคนที่คุยด้วยได้เหมือนที่รังหงส์ เขาก็อาจจะลงมือกดดันถามไปตรงๆ เสียเลย เวรเอ๊ย น่าโมโหเกินไปแล้ว!
ภายใต้สายตาของชายผมแดง เหมียวอี้ออกจากถ้ำไปแล้ว พอโผล่ออกมาจากปากถ้ำห้องหนึ่ง อุณหภูมิสูงเดือดก็โผเข้ามาใส่หน้าอีกครั้ง
พอมายืนตรงไหล่เขา ก็เห็นทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ เหมียวอี้โล่งใจแล้ว เตรียมจะกลับไปที่ตำหนักใหญ่ ถึงอย่างไรพอเดินไปเดินมาก็ไม่เห็น ‘บ่อเพลิงมังกร’ แห่งที่สอง คาดว่าบ่อเพลิงบ่อนั้นในตำหนักใหญ่คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าบ่อเพลิงมังกร
ขณะกำลังเดินไปทางประตูใหญ่ทิศตะวันออกของถ้ำมังกรได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็เงยหน้ามองยอดบนที่ปราณชั่วร้ายลอยโขมงขึ้นมาราวกับควันหนา เขาเอามือลูบคาง พร้อมตัดสินใจว่าจะไปดูก่อนว่าแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายของที่นี่มีสภาพเป็นอย่างไร อยากจะดูว่าในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายซ่อนชองอะไรเอาไว้หรือเปล่า
เขามักจะทำเรื่องประเภทหาสมบัติอยู่บ่อยๆ ค่อนข้างชำนาญกับเรื่องสำรวจความลี้ลับแบบนี้
ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง เขาก็เป็นคนที่เด็ดขาดพอสมควร วิ่งไปที่ยอดเขาอย่างรวดเร็วราวกับกระโดดข้ามกำแพง
พอมาถึงจุดที่มีปราณชั่วร้ายลอยขึ้นมาเหมือนปากภูเขาไฟ เหมียวอี้ก็มองประเมินรอบๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกาย จากนั้นกระโดดลงไปโดยตรง เป็นเพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครนำทางเลยจริงๆ เขาหาทางไปแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายไม่เจอ ในถ้ำมังกรมีสภาพเหมือนเขาวงกต ทั้งยังมีคนเยอะ เขาไม่สะดวกจะร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาซี้ซั้ว จึงปีนขึ้นมาใช้ทางลัดบนยอดเขาเสียเลย
พอดิ่งตรงลงมาทางหลักข้างล่างแล้วก็เจอทางแยกเยอะมาก เหมียวอี้รู้ว่านั่นคือช่องทางที่จะนำปราณชั่วร้ายไปยังห้องถ้ำต่างๆ ในจุดนี้มีความคล้ายคลึงกับรังหงส์ ส่วนทางที่เล็กจนคนมุดเข้าไม่ได้ เขาก็ย่อมไม่ฝืนมุดเข้าไป เดินไปที่ทางแยกหลักเท่านั้น ถ้าเดินไปทางทิศที่ปราณชั่วร้ายพ่นออกมาก็น่าจะไม่ผิดพลาด
พอใช้ความพยายามไปนิดหน่อย ในที่สุดก็กระโดดออกมาจากโพรงถ้ำแห้งหนึ่งแล้ว ถลันออกมาจากปราณชั่วร้ายที่เหมือนพายุหมุน มาเหยียบลงในวังใต้ดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ใหญ่กว่าโถงหลักของตำหนักใหญ่ถ้ำมังกรหลายเท่า
ยังไม่ทันจะตกถึงพื้น เขาก็ตะลึงค้างกับสภาพภายในวังใต้ดินแล้ว
เตียงหินขนาดใหญ่แปดหลังจัดวางเป็นรูปวงกลมในวังใต้ดิน บนเตียงทุกหลังมีปราณชั่วร้ายลอยโขมงขึ้นมา เป็นปราณสังหาร ปราณอาฆาต ปราณโหดเหี้ยม ปราณมรณะ แบ่งเป็นปราณชั่วร้ายเตียงละสองชนิด
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ตกตะลึงที่สุดก็คือ ด้านหลังของเตียงหินแปดหลังมีโครงกระดูกวางแปดกอง แต่ละเตียงมีโครงกระดูกกองเหมือนภูเขาเล็กๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโครงกระดูกของมังกรตัวใหญ่แปดตัว ส่วนบนสุดของกองก็มีหัวมังกรน่าเกลียดดุร้ายที่กลวงเปล่าจนน่าตกใจ ย่อมเป็นกระดูกแห้งเช่นเดียวกัน
เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางเตียงหินแปดหลังรู้สึกเหมือนตัวเองโดนจับจ้องจากสายตาที่อยู่ในโพรงถ้ำลึกเงียบแปดห้องนั้น ความรู้สึกลึกล้ำเงียบขรึมที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังปราณชั่วร้ายแปดสายราวกับยังมีชีวิตอยู่ ทำให้คนขนลุกขนพอง
หลังจากคิดได้แล้ว เหมียวอี้ก็ถอนหายใจเบาๆ พลางมองไปโดยรอบ ในใจกำลังครุ่นคิดว่า อย่าบอกนะว่าเป็นโครงกระดูกของเทพมังกรทั้งแปดของเผ่ามังกร?
ถ้าดูจากจำนวนแล้ว ก็คล้ายๆ อยู่นะ แต่เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เขาเดินผ่านระหว่างเตียงหินออกไป เดินอ้อมโครงกระดูกแปดกองพร้อมมองประเมิน เขาพบว่าใต้โครงกระดูกทั้งแปดล้วนมีเกราะเกล็ดแผ่นใหญ่กองรวมกันอยู่ เกราะเกล็ดมีสีสันต่างกัน มีทั้งหมดแปดสี คาดว่าคงเป็นเกราะเกล็ดตอนที่โครงกระดูกมังกรทั้งแปดนี้ยังมีชีวิตอยู่
สุดท้ายก็หยุดอยู่ตรงหน้าโครงกระดูกร่างหนึ่ง เขาพบว่าเป็นกระดูกที่ขาวสะอาดดุจหยกทั้งยังเป็นมันระยับแวววาวด้วย แผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมารางๆ เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ธรรมดา เขาจึงยื่นมือไปคว้ากระดูกชิ้นหนึ่ง อยากจะทดสอบความแข็งแรงทนทานของกระดูกนี่สักหน่อย
ใช้แรงปกติไม่สามารถทำให้มันขยับได้ เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ทดลอง พบว่ากระดูกชิ้นนี้แข็งแรงทนทานไม่ธรรมดาจริงๆ เขาเองก็ไม่กล้าบีบแรงเกินไปจนกระดูกแตกเช่นกัน ถึงได้หยิบกระบี่ผลึกแดงออกมาแทงดูนิดหน่อย แข็งแรงมากจริงๆ พอใช้แรงน้อยก็ไม่น่าเชื่อว่าจะทิ้งร่องรอยไว้บนนั้นไม่ได้เลย เขาจึงร่ายอิทธิฤทธิ์ออกแรงแทงทีละนิด
ตามพลังอิทธิฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้นของเขา ใครจะคิดว่าแทงไม่กี่ครั้งกระดูกมังกรตรงหน้าก็มีเสียงดังกรอบแกรบแล้ว
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ค่อยๆ เงยหน้ามองขึ้นไป ดวงตาสองข้างเริ่มเบิกกว้าง กระดูกมังกรเอียงล้ม ถล่มลงมาเสียงดังโครม กระดูกที่สมบูรณ์แตกแยะพังถล่มลงมาทันที ล้มเฉยๆ ก็ยังไม่เท่าไร แต่ร่างกระดูกที่ล้มนั้นใหญ่เกินไป มีบางส่วนตกกระแทกใส่ปราณชั่วร้ายที่กำลังหมุนเหมือนพายุหมุน
เหมียวอี้ที่ได้แต่มองดูตาปริบๆ แทบจะประสาทเสียแล้ว เห็นเพียงพายุหมุนตีกวนจนกระดูกที่แตกกระจายปลิวว่อนออกไป กระดูกมังกรอีกเจ็ดร่างประสบภัยพิบัติทันที สภาพในที่เกิดเหตุยับเยินจนทนมองไม่ได้ เรียกได้ว่ากระดูกแตกกระจายอย่างต่อเนื่องกันจนเต็มพื้น
โชคดีที่เหมียวอี้ตอบสนองรวดเร็วเช่นกัน เขายกสองมือขึ้นมา รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ผนึกพายุหมุนที่พุ่งออกมาจากโพรงถ้ำ ตัดขาดกระดูกที่กำลังจะถูกพัดม้วนออกมา ไม่อย่างนั้นถ้าพุ่งตกลงในหินหนืดด้านนอก เขากลัวว่าจะรวบรวมให้กระดูกมังกรที่ถล่มลงมากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ยาก
หัวมังกรขนาดใหญ่ใบหนึ่งตกกระแทกอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ เขามังกรที่กำลังม้วนกลิ้งตกลงกับพื้นแล้ว
หลังจากกระดูกที่แตกกระจายร่วงลงพื้นหมดแล้ว เหมียวอี้ก็มองดูที่เกิดเหตุอันยุ่งเหยิง เขาเองก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน รู้สึกว่าไม่สมควรเลย! พลังของกระบี่ผลึกแดงเบาไปก็ทำให้กระดูกขยับไม่ได้ แต่ทำไมล้มกระจายง่ายขนาดนี้ล่ะ?
พอนึกถึงกระบี่ผลึกแดง เหมียวอี้ก็มองดูกระบี่วิเศษที่อยู่ในมือ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่รีบร้อนดังเข้ามา ตอนนี้เข้ากลัวทันที รีบเก็บกระบี่วิเศษไว้ในกำไลเก็บสมบัติแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาจะอยากถลันตัวขึ้นหลังคาสูงแล้วหนีออกไปผ่านโพรงถ้ำด้านบน แต่ก็สายไปเสียแล้ว มีคนมาถึงแล้ว
ตรงประตูวังใต้ดิน มีชายผมแดงและหญิงผมแดงหลายคนปรากฏตัวแล้ว เป็นชายสี่หญิงสี่ เมื่อเห็นฉากตรงหน้า แต่ละคนก็เบิกตากว้าง ทำท่าทางเหมือนตะลึงค้าง
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองกระดูกที่แตกกระจายเรียกได้ว่าเก้อเขิน รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ทำ เพราะตรงนี้มีเขาอยู่แค่คนเดียว ถ้าไม่ใช่เขาทำแล้วจะเป็นใครทำล่ะ ทำได้เพียงกุมหมัดขออภัยอย่างซื่อสัตย์ “ทุกท่าน ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะคิดหาทางทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิม!”
ถ้าไม่ไหวจริงๆ เขาก็ทำได้เพียงแสดงความจริงใจให้ถึงที่สุด
ชายหญิงแปดคนนั้นโมโหแล้ว แต่ละคนจ้องกดดันเหมียวอี้ราวกับดวงตาจะพ่นไฟได้ เหมือนดวงตากำลังจะพ่นไฟจริงๆ มีแสงของเปลวไฟกำลังกะพริบอยู่ในลูกตาของพวกเขาจริงๆ
แต่ในขณะนี้เอง จู่ๆ ด้านนอกวังใต้ดินก็มีลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง มีเสียงวูบๆ ดังแว่วมา
ชายหญิงแปดคนที่ประชิดเข้ามาระงับไฟโกรธ แสงไฟในดวงตาเลือนรางไป ไม่สนใจเหมียวอี้ที่หยิบทวนออกมาเตรียมป้องกันตัวอีก แต่ละคนก้มหน้าร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บกวาด เก็บกระดูกมังกรที่กระจายเต็มพื้นไว้ในกำไลเก็บสมบัติทั้งหมดแล้ว แม้แต่เศษเล็กเศษน้อยก็ไม่ปล่อยไปแม้แต่ชิ้นเดียว
ในระหว่างนี้ ในที่สุดเหมียวอี้ก็ค้นพบแล้วว่าทำไมกระดูกที่แข็งแรงทนทานขนาดนี้ถึงถล่มลงมาได้ง่ายๆ เป็นเพราะกระดูกมังกรพวกนั้นเดิมที่ก็ถูกเก็บมาประกอบรวมกันอยู่แล้ว เหมือนกระดูกจะเคยถูกโจมตีมาอย่างหนักหน่วง มีหลายจุดที่เต็มไปด้วยรอยแยก
ตามหลักการแล้ว ไม่มีเหตุผลที่คนทั่วไปจะลงมือกับกระดูกกองนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่ากระดูกพวกนี้จะเคยโดนโจมตีอย่างหนักมาก่อนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีใครบางคนร่ายอิทธิฤทธิ์ไปขยับมัน มันก็ไม่น่าจะถล่มได้ง่ายขนาดนี้ กระดูกมังกรทั้งแปดไม่ได้มีพลังอิทธิฤทธิ์ต้านทานด้วย
ดังนั้นเหมียวอี้จึงแอบปาดเหงื่อในใจ นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะไม่ระวังก่อหายนะแบบนี้ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่ากระดูกมังกรทั้งแปดใช่เทพมังกรทั้งแปดท่านหรือเปล่า ถ้าใช่จริงๆ เรื่องนี้ก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว
หลังจากชายหญิงผมแดงทั้งแปดเก็บกระดูกเสร็จแล้ว ก็หันหน้าหนีเดินจากไปโดยไม่เหลียวมองเหมียวอี้สักนิดเลยด้วยซ้ำ ไม่พูดหรือทำอะไรให้เหมียวอี้ลำบากเลย
เก็บกวาดกระดูกมังกรทั้งแปดร่างไปแล้ว ในวังใต้ดินว่างเปล่าขึ้นเยอะเลย
เหมียวอี้ชำเลืองมองโพรงถ้ำบนเตียงหินทั้งแปดที่มีแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายพ่นออกมา ก่อนหน้านี้เตรียมจะลงไปหาสมบัติสักหน่อย แต่ตอนนี้พอได้ก่อหายนะแบบนี้แล้ว เขาก็หยุดความคิดนี้ไว้ชั่วคราว จากนั้นเงยหน้ามองโพรงถ้ำที่อยู่บนเพดาน แล้วก็มองดูประตูใหญ่ทางเข้าออกของวังใต้ดิน สุดท้ายเขาก็ยังเดินไปที่ประตูหลัก ไม่ได้ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อีก กะว่าจะอาศัยยืมทางลัดอีกครั้ง
หลังจากเดินขึ้นบันไดจนไปเจอเส้นทางข้างบนแล้ว เขาก็ปาดเหงื่อด้วยความอับอายอีกรอบ ที่แท้ทางออกอยู่ตรงทางแยกด้านหลังโถงหลักของตำหนักใหญ่นี่เอง เป็นเพราก่อนหน้านี้ตนไม่ได้เลือกไปทางแยก ทำเอาต้องปีนขึ้นไปบน ‘ปล่องควัน’ ราวกับเป็นโจร
พอวนกลับมาที่ตำหนักหลักที่มีเพลิงมังกรแหวกว่ายลุกโชน เหมียวอี้ก็เดินไปข้างบ่อเพลิงมังกรอีก แล้วหยิบไข่หินสองใบออกมา โยนเข้าไปในบ่อเพลิง ใครจะคิดล่ะว่าฝั่งรังหงส์ไม่บอกสถานการณ์ของบ่อเพลิงมังกรให้ชัดเจน ต่อให้ตนเข้าใจผิดไปก็จะมาโทษตนไม่ได้นะ
ทว่าทำท่าโยนไปหลายครั้ง แต่สุท้ายก็ยังไม่ได้ปล่อยให้หลุดมือไป สาเหตุเป็นเพราะทำแบบนี้รู้สึกว่าสะเพร่าเกินไป ไม่สามารถยืนยันได้ว่าตรงนี้ใช่บ่อเพลิงมังกรหรือเปล่า เพื่อให้สะดวกต่อการฝึกตนของเขา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มอบ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ให้เขาได้ฝึกวิชาอย่างสงบใจตั้งห้าร้อยปี ตอนที่หลิงหลันมาส่งเขา นางก็เตรียมทางใต้ดินไว้ให้เขาอย่างเหมาะสมตลอดทาง แต่เขากลับทำเรื่องที่อีกฝ่ายไหว้วานอย่างลวกๆ แบบนี้ มันก็จะเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!
เขาทำท่าจะโยนแต่ก็ไม่โยนซ้ำไปซ้ำมาอย่างลังเล ในที่สุดก็กดดันให้มังกรเพลิงเดือดเปลี่ยนเป็นหัวมังกรขนาดใหญ่อีกแล้ว ดวงตาเพลิงจ้องมองมาอย่างเย็นเยียบ ราวกับรู้สึกทนไม่ไหวที่โดนเหมียวอี้ปั่นหัวเล่น
บทที่ 1492 เฉียน
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างบ่อเพลิงไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งนี้เลย เขาถอนหายใจเบาๆ ถึงอย่างไรตัวเองก็เตรียมจะอยู่ที่นี่หลายร้อยปีอยู่แล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าในเวลาหลายร้อยปีนี้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าตรงนี้ใช่ ‘บ่อเพลิงมังกร’ ที่แท้จริงหรือเปล่า ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าใจกระจ่างก็ได้ว่าทำไมถึงให้ตนนำของมาส่งที่ ‘บ่อเพลิงมังกร’
ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือ เขายังไม่อยากให้ตัวเองไรมโนธรรม สุดท้ายก็ยังเก็บไข่หินสองใบนั่นไว้ ไม่ได้โยนออกมาง่ายๆ
หัวมังกรเพลิงนั่นเหมือนจะเชิดหน้าขึ้นมองด้านบน เหมือนพูดไม่ออกนิดหน่อยที่เหมียวอี้ทำท่าจะโยนอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่โยน
เหมียวอี้เองก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเพลิงเดือดที่สูงหลายจั้งบ่อยนัก เขาหันตัวมาแล้วปล่อยเฮยทั่นกับอั้นโยวหลินออกมา “แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายของที่นี่อยู่ในทางเข้าแรกทางฝั่งขวาด้านหลังตำหนัก พวกเจ้าไปเองแล้วกัน พยายามสงบๆ หน่อย ถ้าไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนก็คงจะไม่…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็สังเกตเห็นว่าเฮยทั่นกับอั้นโยวหลินมีปฏิกิริยาค่อนข้างแปลก เฮยทั่นเบิกตากว้างมองด้านบนข้างหลังเขา ส่วนอั้นโยวหลินก็มีสีหน้าหวาดกลัว ถึงขั้นตัวสั่นเล็กน้อยด้วย
ก็แค่เปลวเพลิงรูปมังกรเลื้อยก็เท่านั้นเอง น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ? เหมียวอี้พูดดูถูกในใจ แล้วหันกลับไปมองแวบหนึ่ง
ตอนยังไม่ดูก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอดูแล้วอึ้งทันที นั่นใช่เพลิงมังกรแหวกว่ายเสียที่ไหนกัน ทั้งเพลิงเดือดกลายเป็นรูปหัวมังกรขนาดมหึมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ถ้าแค่เหมือนหัวมังกรเฉยๆ ก็ยังไม่เท่าไร แต่ดวงตาเพลิงทั้งคู่นั้นราวกับมีชีวิตขึ้นมาแล้ว ดวงตาเพลิงเดือดที่กำลังเคลื่อนไหวมีดูมีแววขนาดนี้ เผยความลึกล้ำที่สั่นสะท้านจิตวิญญาณคน เห็นได้ชัดว่ากำลังจ้องประเมินพวกเขาสามคน ดุร้าย ทรงอานุภาพ เผด็จการ!
ทันใดนั้น ดวงตาเพลิงก็เหมือนจะจะไปหยุดอยู่ที่อั้นโยวหลิน เห็นได้ชัดว่าแววตาเปลี่ยนเป็นเดือดดาลแล้ว พลังงานที่สั่นสะท้านจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากเพลิงเดือด ทำให้คนรู้สึกกดดันมาก ทำให้พวกเหมียวอี้ที่หวาดระแวงกลัวถอยหลังช้าๆ
จากนั้นก็เหมือนจะมีเสียงของคนเจ็ดแปดคนดังมาจากเพลิงเดือดพร้อมกัน “วิญญาณมรณะ! บังอาจล่วงล้ำเข้ามาที่นี่!”
วูบ! เพลิงเดือดพ่นออกมา กรงเล็บมังกรเพลิงข้างหนึ่งหลุดออกมาจากด้านล่างหัวมังกร คว้าจับอั้นโยวหลินเอาไว้แล้ว เคลื่อนไหวเร็วมาก ไม่ใช่สิ่งที่พวกเหมียวอี้จะตอบสนองทัน ลักษณะการลงมือราวกับฟ้าผ่า อั้นโยวหลินหลบไม่ทันด้วยซ้ำ โดนกรงเล็บมังกรคว้าไปถือไว้ในบ่อเพลิงมังกรแล้ว
เหมียวอี้ตกใจมาก เรียกทวนเกล็ดย้อนออกมาฟันไปที่กรงเล็บมังกรในชั่วพริบตาเดียว แต่ใครจะคิดว่าพอกรงเล็บมังกรกระเพื่อมตาม กรงเล็บที่กำหมัดยิงแสงไฟไปสี่ทิศ แสงไฟกระแทกมาที่หน้าอกของเหมียวอี้ ปั้ง! เหมียวอี้สะเทือนจนโซเซถอยหลัง
เฮยทั่นถลึงตาสองข้าง จู่ๆ ก็กระโจนตัวขึ้นมา ใช้หัวพุ่งชนไปทางหัวมังกรเพลิงเดือดอย่างแรง แต่ใครจะคิดว่าหัวมังกรนั่นจะหายไปอีก เฮยทั่นมุดผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย ไม่มีแรงขวางเลยสักนิด ไปตกอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของบ่อเพลิงมังกร
กรงเล็บมังกรที่ขยุ้มอั้นโยวหลินไว้ได้รีบกลับเข้าไปในบ่อเพลิงมังกรแล้ว ร่างของอั้นโยวหลินค้างเติ่งอยู่ท่ามกลางเพลิงเดือด นางอยู่ท่ามกลางหัวมังกรเพลิงเดือดแล้ว นางกำลังดิ้นรน ไม่สามารถหนีรอดไปได้ “อา…” ใช้สองมือกุมศีรษะพลางกรีดร้องแสดงความเจ็บปวดทรมาน บนตัวมีควันลอยโขมง
เหมียวอี้ที่ยืนได้แล้วตกตะลึงมาก เขารู้สึกได้ว่าการโจมตีของกรงเล็บมังกรเมื่อครู่นี้ไม่ได้แฝงไปด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ เลย ไม่น่าเชื่อว่าเพลิงเดือดที่มีสภาพเสมือนจริงจะอาศัยกำลังอันดุร้ายโจมตีทีเดียวจนเขาสะเทือนถอยหลังได้ เพลิงเดือดที่ลุกโชนมีกำลังอันดุร้ายเข้มแข็งขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาคิดอะไรมาก รีบตบภาพมายาฝ่ามือออกไปกักไว้ แล้วร่ายวิชาอัคนีดาราเพื่อจะใช้วิชาคุมไฟช่วยชีวิตอั้นโยวหลินออกมา
ทว่าไม่ได้ผล ถึงแม้วิชาควบคุมไฟของเขาจะกดดันให้เพลิงเดือดในบ่อเพลิงมังกรกลิ้งกระเพื่อมไปรอบๆ เหมือนน้ำพุได้ แต่กลับไม่สามารถทำให้เพลิงรูปหัวมังกรนั่นสลายไป เพลิงเดือดกลุ่มนั้นเหมือนจะเป็นเพลิงเดือด แต่ก็ไม่เหมือนเพลิงเดือด คล้ายๆ ว่าจะเป็นสิ่งอื่น วิชาคุมไฟของเขาไม่มีผลใดๆ เลย ไม่สามารถช่วยชีวืตอั้นโยวหลินออกมาได้
เฮยทั่นกระโจนตัวขึ้นมาอีกครั้ง อยากจะใช้หัวชนอั้นโยวหลินให้ออกมาจากเพลิงเดือด ใครจะคิดว่ากรงเล็บมังกรข้างหนึ่งจะโบกออกมาจากเพลิงเดือด มาคว้าเฮยทั่นเอาไว้กลางอากาศ จากนั้นก็โบกโยยเฮยทั่นออกไป ทำให้มันตกกระแทกและกลิ้งอยู่บนพื้น
แต่ละทางเข้านอกประตูตำหนักมีชายหญิงผมแดงกลุ่มหนึ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พอเห็นภาพเหตุการณ์ในตำหนักก็ต้องการจะลงมือกับพวกเหมียวอี้ทันที
“ถอยไป!” เสียงอันน่าเกรงขามขงคนเจ็ดแปดคนทั้งขึ้นพร้อมกัน
พวกชายหญิงผมแดงที่บุกเข้ามาไม่แสดงความเห็นแย้งเลยแม้แต่น้อย มาจากตรงไหนก็ทยอยกันถอยกลับไปตรงนั้น
อานุภาพการเผาของหัวมังกรเพลิงเดือดร้ายกาจเกินไปแล้ว เมื่ออั้นโยวหลินตกอยู่ในมืออีกฝ่ายก็ไม่มีกำลังจะตอบโต้เลย เสียงกรีดร้องหยุดลงแล้ว นางกลายเป็นควันอย่างรวดเร็ว เป็นเถ้าถ่านปลิวสลายไปอย่างแท้จริง สิ่งของบนตัวนางที่ยังไม่หลอมละลายตกลงในหลุมเพลิงลึกของบ่อเพลิงมังกร
ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น อั้นโยวหลินที่เมื่อครู่นี้ยังมีชีวิตอยู่ ชั่วพริบตาเดียวก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไปแล้ว!
เหมียวอี้ที่ดันทุรังร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือมีสีหน้าตึงเครียด เขาหยุดใช้วิชาอัคนีดาราแล้ว หยุดใช้วิชาที่ไม่มีประโยชน์นั่นแล้ว ขณะเดียวกันก็โบกฝ่ามือหนึ่งครั้ง ห้ามเฮยทั่นที่กำลังจะลุกขึ้นมาดันทุรังพุ่งชนอีก เพราะไม่มีความหมายอะไรแล้ว
เขาเองก็มองออกว่าหัวมังกรเพลิงเหมือนะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรต่อเฮยทั่น ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้วิญญาณอัคคีพวกนั้นถอยไปหรอก
แต่ความเคียดแค้นเดือดดาลที่มีอยู่เต็มอกเหมียวอี้ก็เขียนไว้บนใบหน้าแล้ว อีกฝ่ายลงมือได้เด็ดขาดเกินไป ไร้ไมตรีเกินไปแล้ว ไม่บอกล่าวอะไรเลยสักคำ พอเห็นว่าอั้นโยวหลินเป็นวิญญาณชั่วร้ายก็กำจัดทิ้งด้วยความเร็วปานฟ้าผ่าโดยไม่ถามว่าถูกหรือผิด โหดเกินไปแล้ว!
พอเขาหยุดใช้วิชาควบคุมไฟ เพลิงเดือดที่ม้วนกลิ้งราวกับกระแสน้ำอยู่ในตำหนักใหญ่ก็ถดถอยออกไปอย่างรวดเร็ว กลับไปอยู่ในบ่อเพลิงมังกรแล้ว เหลือเพียงเงามายาของหัวมังกรเพลิงที่ยังกระเพื่อมอยู่ด้านบนบ่อเพลิง ลูกตาไฟกำลังจ้องเฮยทั่นอย่างแฝงความหายล้ำลึกและทรงอานุภาพ
ไม่ผิดหรอก! ดวงตาไฟคู่นั้นกำลังจ้องเฮยทั่นจริงๆ สายตาย้ายออกจากตัวเหมียวอี้ไปแล้ว กำลังจ้องประเมินเฮยทั่นอย่างจริงจัง
“เจ้าเป็นปีศาจมาจากไหน?” เหมียวอี้โบกทวนชี้ถามหัวมังกรเพลิงเดือดอย่างเกรี้ยวกราด
ดวงตาไฟของหัวมังกรเพลิงเดือดจ้องไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง เสียงอันน่าเกรงขามของคนเจ็ดแปดคนดังขึ้นพร้อมกัรอีก “อย่าบอกนะว่าเจ้าไปรู้ถึงผลที่ตามมาหากวิญญาณชั่วร้ายเข้ามาในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย? ถ้าให้วิญญาณชั่วร้ายเติบโตแข็งแกร่งขึ้น ประชากรโลกมนุษย์ก็จะตกอยู่ในทุกขเวทนา ถ้าให้นางแข็งแกร่งยิ่งใหญ่แล้วหลุดออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไป สรรพสิ่งในโลกหล้าก็จะต้องโดนเขาแว้งกัดแน่นอน! เจ้ารับผิดชอบผลที่ตามมาแบบนี้ไหวเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบกลับอย่างโมโหว่า “ถ้าอยากจะทำร้ายคนอื่น ก็สร้างข้อหามายัดเยียดได้เสมอ! นางไม่เคยคิดอยากเป็นใหญ่อยู่ที่นี่ ข้าเองก็ไม่ยอมให้นางเป็นใหญ่เหมือนกัน เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ ไม่จำเป็นต้องมายุ่งเรื่องคนอื่นมากขนาดนี้หรอก?”
เขาโมโหแล้วจริงๆ เพราะเขาเป็นคนพาอั้นโยวหลินมาที่นี่ เขายังไม่ทันตรวจสอบสถานการณ์ให้ชัดเจนก็เรียกอั้นโยวหลินออกมาแล้ว เพราะแบบนี้ถึงทำให้อั้นโยวหลินตายอนาถ พอนึกถึงสายตาขอร้องอย่างสิ้นหวังของผู้หญิงคนนั้นที่อุทยานหลวง พอนึกถึงสายตาที่อั้นโยวหลินขอร้องให้ตนพานางออกไปในปีนั้น พอนึกถึงคำสัญญาของตัวเอง พอนึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อั้นโยวหลินมาตายที่นี่ พอนึกว่าตัวเองทำผิดต่อคนอีกคนแล้ว ก็เจ็บปวดจนถึงก้นบึ้งหัวใจทันที!
ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองสู้หัวมังกรเพลิงนี่ไม่ได้ เขาที่กำลังมีไฟแค้นเดือดเต็มอกก็คงจะพังที่นี่จนราบไปแล้ว!
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปเดินที่ไหนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ได้ ถ้าวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์อยู่กับเจ้าอย่างสงบ สามารถปล่อยเจ้าไปได้ เช่นนั้นก็ถือเสียว่าข้าพูดผิดไป แดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่เคยมีธรรมชาติงดงามเขียวชอุ่ม ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่รกร้างแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เคยอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างอิสระ ตอนนี้กลายเป็นกองกระดูกหมดแล้ว เจ้าไม่เคยเห็นเหรอว่าโทษของวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้เยอะขนาดไหน เจ้าไม่รู้เหรอ?”
เหมียวอี้ตะคอกตอบว่า “จากที่ข้าเห็น สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกนี้ก็คือหัวใจของคนที่ชั่วร้ายอย่างเจ้านี่แหละ!”
หัวมังกรเพลิงเถียงว่า “วิญญาณชั่วร้ายพวกนี้ก็คือเครื่องพิสูจน์จิตใจชั่วร้ายของคน วิญญาณชั่วร้ายพวกนี้เกิดจากปัจจัยด้านลบของหัวใจคน ถ้าปล่อยพวกมันออกไปก็ไม่มีอะไรที่พวกมันทำไม่ได้ ผลที่ตามมาเลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการ อย่าปล่อยให้ภาพมายาจอมปลอมที่อยู่ตรงหน้าทำให้สับสนเด็ดขาด”
ซวบ! เหมียวอี้พลันดีดกระบี่เล็กเพลิงจิตออกมาเล่มหนึ่ง เห็นเพียงกระบี่เล็กยิงเข้าไปในหัวมังกรเพลิง จากนั้นก็ระเบิดออก
หัวมังกรเพลิงหายไปในชั่วพริบตาเดียว กลายสภาพกลับไปเป็นเพลิงมังกรเลื้อยแล้ว
รอจนกระทั่งอานุภาพของเพลิงจิตหายไปในเพลิงเดือด เปลวเพลิงที่โชติช่วงก็ก่อตัวเป็นรูปหัวมังกรเพลิงอีกครั้ง แล้วถามว่า “พ่อหนุ่ม การตายของวิญญาณชั่วร้ายดวงหนึ่งทำให้เจ้าเดือดดาลขนาดนี้เชียวหรือ? มันคงไม่ได้สำคัญกับเจ้าขนาดนั้นหรอกมั้ง? มันคงไม่ทำให้เจ้ายอมทิ้งทุกอย่างจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”
เมื่อเห็นว่าเพลิงจิตของตัวเองทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นตัวประหลาดอะไร ถึงแม้เหมียวอี้จะเดือดดาลเคียดแค้น แต่ก็ตระหนักได้ถึงอันตรายที่ไม่สามารถควบคุมได้ ก็อย่างที่อีกฝ่ายบอก ไม่ว่าอั้นโยวหลินจะสำคัญที่สุดสำหรับเขา และไม่เพียงพอจะให้เขาทิ้งทุกอย่างด้วย เพียงแต่ข่มความรู้สึกผิดในใจได้ยากเท่านั้นเอง ที่จริงเขาเองก็รู้ว่าถ้าพาอั้นโยวหลินออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์จริงๆ ไม่ช้าก็เร็วที่อั้นโยวหลินจะต้องตายสถานเดียว อำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ ข้างนอกไม่มีทางปล่อยนางไป
“โจรอ้วน พวกเราไปกันเถอะ!” เหมียวอี้ตระหนักได้ถึงอันตรายที่ควบคุมไม่ได้ จึงเอ่ยเรียกเฮยทั่น เตรียมจะออกไปจากที่นี่ก่อน ในภายหลังถ้ามีโอกาสค่อยกลับมาคิดบัญชี!
เฮยทั่นเดินตามหลังจากไปนอกตำหนักแลว้
ดวงตาทั้งคู่ของหัวมังกรเพลิงเปลี่ยนเป็นลุกโชน จ้องหลังเหมียวอี้พร้อมถามว่า “เจ้าจะไปแบบนี้เหรอ? เจ้าไม่อยากรู้เหรอว่าข้าคือใคร?”
เหมียวอี้อยากจะบอกมากว่า ‘ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นใคร’ แต่คำพูดของอีกฝ่ายเกาถูกที่คันพอดี จึงหยุดฝีเท้าพร้อมถามขณะที่หันหลัง “เมื่อครู่นี้ข้าถามไปแล้ว เจ้าเต็มใจจะบอกก็บอก ถ้าไม่อยากบอกข้าก็ไม่ฝืน!”
“โครงกระดูกที่เจ้าทำลายไปที่วังใต้ดินคือกระดูกของข้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ?” หัวมังกรเพลิงถาม
กระดูกมังกรแปดร่าง? ความเดือดดาลในอกเหมียวอี้หายไปแล้วครึ่งหนึ่ง หันตัวมาอย่างช้าๆ มองประเมินหัวมังกรเพลิงอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “นั่นคือโครงกระดูกของเจ้าคอนที่ยังมีชีวิตอยู่เหรอ? ในเมื่อเจ้าตายไปแล้ว ทำไมยังปรากฏตัวในสภาพนี้ได้อีก?” ยังมีอีกประโยคที่เขาไม่ได้ถามออกมา นั่นก็คือทำไมมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้
“เจ้าไม่สงสัยเหรอว่าในเมื่อข้าตายไปแล้ว ทำไมวิญญาณมังกรยังอยู่? อย่าบอกนะว่าเดาเหตุผลที่อยู่ในนั้นไม่ออก?” หัวมังกรเพลิงถาม
เหมียวอี้ไม่อยากจะเปลืองคำพูดกับมันอีก แต่ยังอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “เดาไม่ออก!” ถึงแม้น้ำเสียงจะหงุดหงิด แต่ในใจก็ยังอยากรู้คำตอบจริงๆ
หัวมังกรเพลิงบอกว่า “เหตุผลไม่ซับซ้อนเลย เป็นเพราะตอนยังมีชีวิต วรยุทธ์ของข้าบรรลุถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว มาถึงระดับระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ดับสูญ ข้าย่อมไม่ดับสูญ!”
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์? เหมียวอี้สุดหายใจอย่างตกตะลึง ใครกันที่สามารถสังหารเป่ามังกรที่อยู่ในระดับระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้?
ชั่วพริบตาเดียวเขาก็คิดถึงพระปีศาจหนานโป จึงถามหยั่งเชิงว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าคือหนึ่งในแปดเทพมังกรผู้พิทักษ์เผ่ามังกร?”
“สงสัยเจ้าจะไม่รู้อะไรสักอย่างเลยสินะ” หัวมังกรเพลิงกล่าว
เหมียวอี้ตกตะลึงในใจ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของแปดเทพมังกรผู้พิทักษ์เผ่ามังกรยังอยู่อีกเหรอ? เขาถามอีกว่า “แล้วเจ้าใช่หนึ่งในแปดเทพมังกรผู้พิทักษ์หรือเปล่า?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เฉียน! หัวใจหลักของข้าในตอนนี้คือเฉียน”
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้สงสัย
หัวมังกรเพลิงกล่าวอย่างไม่ปิดบังว่า “ในปีนั้นพวกเราทั้งแปดแบ่งชื่อเป็นเฉียน คุน เจิ้น ซวิ่น ข่าน หลี เกิ้น ตุ้ย[1] ตอนหลังพวกเราแปดคนโดนสังหาร วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังโดนโจมตีสังหารจนหมดเกลี้ยง เพื่อที่จะยืดลมหายใจเฮือกสุดท้าย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งแปดที่ชำรุดของทั้งแปดจึงรวมกันเป็นหนึ่ง กลายเป็นข้าอย่างที่เจ้าเห็นในตอนนี้!”
…………………………
[1] เฉียน คุน เจิ้น ซวิ่น ข่าน หลี เกิ้น ตุ้ย 乾、坤、震、巽、坎、离、艮、兑,ตรงกับชื่อของแผนผังแปดทิศ 八卦图
บทที่ 1493 ไอ้ลูกผสมนอกคอกตัวนี้มาจากไหน
ประเด็นนี้เหมือนจะเหนือจินตนาการของเหมียวอี้ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชำรุดรวมกันเหรอ?
เขาไม่มีชุดความคิดในด้านนี้ อย่าว่าแต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์อะไรรวมตัวกันเลย ต่อให้เป็นระดับสำแดงฤทธิ์ก็เป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา เรื่องระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเรื่องที่เขาเคยฟังจากตำนานมาบ้างเช่นกัน นั่นล้วนเป็นคนยอดเยี่ยมในสมัยก่อนอันเนิ่นนาน เหมือนจะไม่มีใครรอดมาจนถึงทุกวันนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าวันนี้ตัวเองจะได้เห็นการรวมตัวกันของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชำรุด
“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวมกันได้ด้วยเหรอ ล้อเล่นแล้วมั้ง?” เขาสงสัยอยู่บ้างนิดหน่อย
“ถ้าอยากจะรวมก็แน่นอนว่าไม่ง่าย นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องสนใจในตอนนี้เช่นกัน” หัวมังกรเพลิงกล่าว
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอก เหมียวอี้ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว มิน่าล่ะอีกฝ่ายถึงมีเสียงของคนหลายคนรวมกัน ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
เขาถามหยั่งเชิงอีกว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าโดนพระปีศาจหนานโปสังหารเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ! พระปีศาจหนานโปอาศัยว่าตัวเองเป็นคนรุ่นหลังที่ฝีมือดีแล้วหยิ่งผยอง เป้นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าตัดด้านที่ใจคดของเขาออกไป ก็นับว่าเป็นคนคนมีพรสวรรค์ที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ พวกเราทั้งแปดตายด้วยน้ำมือเขาก็ไม่นับว่าไร้ความยุติธรรม คนแบบนี้เป็นปาฏิหาริย์ที่เลียนแบบได้ยาก ไม่มีทางปรากฏขึ้นมาบ่อยๆ ได้ยินว่าตอนหลังก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีอะไร คนในยุคนั้นเห็นเขาเป็นบทเรียน ไม่อาจทำผิดอย่างกำเริบเสิบสาน!”
เหมียวอี้จ้องสภาพหัวมังกรเพลิงของอีกฝ่าย พร้อมถามด้วยความประหลาดใจ “วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าอยู่ในสภาพเปลวเพลิงเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงเหมือนจะไม่อยากตอบคำถามนี้ ดวงตาเพลิงที่น่ากวาดกลัวจ้องประเมินเฮยทั่น
หลังจากเหมียวอี้สังเกตได้ก็ตกใจมาก ในหัวพลันมีเรื่องวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปที่อยากจะแย่งร่างคนอื่นเพื่อเกิดใหม่ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ตามที่ข้ารู้มา วิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามารถแย่งร่างเพื่อเกิดใหม่ได้ เจ้าจะไม่อยากทดลองเชียวเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชำรุดจนยับเยิน แค่รวมกันเพื่อต่อชีวิตก็ดันทุรังแล้ว จะแย่งร่างเพื่อเกิดใหม่ได้ยังไงกัน? ต่อให้มีโอกาสแบบนั้น แค่เผ่ามังกรก็ไม่ทำเรื่องที่ผิดกฎฟ้าอย่างนั้นหรอก”
งั้นเหรอ? เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า ได้แต่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปอีก จึงหันตัวไปกวักมือเรียกเฮยทั่น “พวกเราไปกันเถอะ!”
หัวมังกรเพลิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ อีกว่า “เจ้ามาจากรังหงส์ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ อย่าบอกนะว่ามาดูเฉยๆ แล้วก็จะไป?”
เหมียวอี้หยุดฝีเท้า แล้วหันตัวมาถามอย่างสงสัย “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ามาจากรังหงส์?”
“เพราะเรื่องที่รังหงส์ไหว้วานให้เจ้าทำ เจ้ายังทำไม่เสร็จเลยนี่” หัวมังกรเพลิงตอบ
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก พลิกมือหยิบไข่หินสองใบออกมา “เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือเปล่า?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “ในเมื่อของอยู่ในมือเจ้าแล้ว และเจ้าก็มาถึงที่นี่แล้ว ข้าคิดว่าทางนั้นคงจะบอกเจ้าแล้วว่าให้เจ้าทำของสิ่งนี้ให้บ่อเพลิงมังกรที่เป็นที่อยู่ของข้า”
เหมียวอี้มองบ่อเพลงิที่อยู่ด้านล่างของเขาอย่างอึ้งๆ ถามว่า “เจ้าคือบ่อเพลิงมังกรเหรอ?”
“ไม่เหมือนเชียวเหรอ? ของสองชิ้นนั้นเก็บไว้ที่เจ้าก็ไม่มีประโยชน์ โยนเข้ามาเถอะ” หัวมังกรเพลิงบอกเขา
เหมียวอี้เงียบไปประเดี๋ยวเดียว จัดระเบียบความคิดนิดหน่อย อีกฝ่ายพูดชัดเจนขนาดนี้ คงจะไม่ได้หลอกลวงหรอก ว่ากันตามจริง…เขาถามว่า “เผ่าหงส์รู้หรือเปล่าว่าเจ้ายังมีตัวตนอยู่?”
“แน่นอนว่ารู้ ไม่อย่างนั้นจะส่งเจ้ามาทำไมล่ะ” หัวมังกรเพลิงตอบ
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว มิน่าล่ะถึงพูดไม่ชัดเจน เลยว่ามาถึงที่นี่แล้วจะเข้าใจเอง ที่แท้ก็จะนำสิ่งนี้มาให้มันนี่เอง เขาจึงชูไข่สองใบในมือพร้อมถามว่า “แล้วหินสองก้อนนื้ออะไรกันแน่?”
หัวมังกรเพลิงพลันถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้านับว่าดูออกแล้ว สงสัยจะมีอีกหลายเรื่องที่เจ้ายังไม่รู้จริงๆ แล้วอาจารย์เจ้าล่ะ อาจารย์เจ้าไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลยเหรอ?”
“อาจารย์ช้าน่ะเหรอ?” เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจังทันที เงียบงันไปนานมาก อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าไม่มีอาจารย์”
“ตลกแล้ว! อย่าบอกนะว่าเจ้ามีความสามารถนี้เองโดยไม่ผ่านอาจารย์? ถ้าเจ้าไม่มีอำนาจภูมิหลังของอาจารย์เจ้าปูทางให้ อาศัยแค่วรยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ จะมีสิทธิ์เข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่โดนตำหนักสวรรค์ผนึกปิดไว้เหรอ? มีหรือที่ข้าจะโผล่มาเปลืองคำพูดกับเจ้าแบบนี้ เจ้าคิดว่าไม่ว่าใครก็เจอข้าได้งั้นเหรอ?” หัวมังกรเพลิงแสยะยิ้ม
เหมียวอี้เผยสีหน้ามืดหม่นเย็นชา พร้อมบอกว่า “ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ของข้าหรือใคร บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าข้าไม่ควรรู้เยอะเกินไป ถ้าเจ้ายินดีจะบอก ข้าจะอยากจะถามเจ้าเหมือนกัน เจ้าคิดว่าอาจารย์ของข้าเป็นใครล่ะ?”
“…” หัวมังกรเพลิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!” หลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เปลี่ยนเป็นถามว่า “เจ้าอยากจะมาฝึกตนที่นี่ใช่มั้ย?”
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ความกังวลด้านความปลอดภัยของเหมียวอี้ก็หายไปอย่างน่าประหลาด “ข้าเตรียมจะทำแบบนี้จริงๆ จะให้ความสะดวกเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงบอกว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าสะดวกมันก็สะดวก ถ้าเจ้าคิดว่าไม่สะดวกก็ไม่สะดวก ไม่มีใครไล่เจ้า เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรเถอะ”
“ให้ข้าจัดการอะไร?” เหมียวอี้ชะงักเล็กน้อย จู่ๆ ก็ใช้สองมือโยน ไข่หินสองใบถูกโยนออกไปแล้ว ทยอยตกหายไปในบ่อเพลิงแล้ว “มิน่าล่ะตอนที่ข้ามา วิญญาณอัคคีที่เฝ้าอยู่ข้างนอกถึงมีท่าทีขัดขวางข้าเลยสักนิด สงสัยที่นี่ใครอยากมาก็มาก็ได้ ใครอยากไปก็ไปได้ ใจกว้างเหมือนกันนะ”
หัวมังกรเพลิงบอกว่า “เช่นนั้นก็แปลว่าเจ้าเดินมาจากทะเลสาบหินหนืดแน่นอน ถ้าเหาะข้ามมา จะต้องมีคนขัดขวางแน่”
“เหาะมาจากฟ้าคือวิญญาณชั่วร้าย จะมีคนขัดขวางข้าก็เข้าใจ แต่ทำไมเดินมาจากทะเลสาบหินหนืดแล้วไม่ขัดขวาง?” เหมียวอี้แปลกใจ
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เพราะคนที่เดินมาจากทะเลสาบหินหนืดได้ ก็แปลว่าเข้าใจวิชาการควบคุมไฟ ตำหนักสวรรค์ปิดล้อมทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไว้แล้ว คนที่เข้ามาได้จะต้องเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ในเมื่อตำหนักสวรรค์จงใจส่งคนที่รู้จักวิชาควบคุมไฟมาตรวจดู ที่นี่จำเป็นต้องขัดขวางด้วยเหรอ? หรืออยากจะหาเรื่องเผ่ามังกรที่อยู่ในอุปการะของตำหนักสวรรค์ล่ะ?”
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตอนแรกเจ้าไม่รู้ว่าข้ามาจากรังหงส์ จนกระทั่งข้าหยิบสองสิ่งนี่ออกมา ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อาจจะไม่ปรากฏตัวเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “ต่อให้เจ้านำของสองสิ่งนั้นออกมา ข้าก็อาจจะไม่ปรากฏตัวให้เจ้าเห็น เป็นเพราะเจ้าลังเลอ้อยอิ่งไม่ยอมนำออกมาเสียที ทั้งยังกล้านำวิญญาณชั่วร้ายเข้ามาด้วยอีก ข้าถึงได้ปรากฏตัวเพราะความจนใจไงล่ะ”
พอนึกถึงภาพที่ตัวเองลังเลก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ก็ปาดเหงื่ออย่างอับอาย แต่พอพูดถึงเรื่องวิญญาณชั่วร้าย คำตอบที่เขาไม่ได้จากรังหงส์ คาดว่าเจ้าหมอนี่คงจะรู้ จึงถามว่า “แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาจากไหน?”
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าแล้ว จำเป็นต้องให้ข้าพูดซ้ำอีกรอบด้วยเหรอ?” หัวมังกรเพลิงถาม
“บอกข้าแล้วเหรอ?” เหมียวอี้สงสัย “เคยเหรอ? ข้าคงไม่ได้ความจำแย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าความจำไม่ดีหรอก แต่เจ้าไม่เก็บมาใส่ใจต่างหาก! ข้าบอกแล้ว ของพวกนี้ล้วนเกิดขึ้นจากปัจจัยด้านลบของหัวใจคน”
“ผู้น้อยยังฟังไม่เข้าใจ” เหมียวอี้งงงวย
หัวมังกรเพลิงขี้ค้รานจะสนใจเขา เงาแสงไฟวับวาบหายไปแล้ว เพลิงเดือดกลายสภาพเป็นมังกรเลื้อยอีกรอบ
เหมียวอี้เร่งฝีเท้าเดินไปข้างบ่อเพลิงมังกร “ผู้อาวุโส หวังว่าจะช่วยคลายปริศนาให้ผู้น้อย! ผู้อาวุโส ท่านมีธุระเหรอ?”
ในตำหนักใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ แสงไฟก็สั่นไหว หัวมังกรเพลิงปรกาฏอีกครั้ง จ้องมองเหมียวอี้ไปได้สักพัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเริ่มคลายความสงสัยให้เหมียวอี้อย่างละเอียด
อีกฝ่ายถามก่อนว่า “เจ้าน่าจะรู้จักลูกแก้วพลังปรารถนาใช่มั้ย?”
“ก็ย่อมต้องรู้อยู่แล้ว”
“ในลูกแก้วพลังปรารถนาแฝงปัจจัยด้านลบอะไรบาง?”
“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนามี ชอบ โกรธ เศร้า กลัว รัก รังเกียจ ความปรารถนา”
“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนามีทั้งหมดสิบสามอย่าง เจ้าบอกมาแค่เจ็ดอย่าง ไม่รู้สึกเหรอว่าขาดอะไรไป?”
“ท่านหมายความว่า สังหาร โหดเหี้ยม ชั่วร้าย อาฆาต มรณะก็อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเหมือนกันเหรอ?”
“ดูท่าแล้วเจ้าคงจะไม่ได้โง่เกินไป”
“งั้นก็ยังขาดอีกสองอย่างนะ?”
“ยังมี ‘เมตตา’ กับ ‘กรุณา’ เพียงแต่สองอย่างนี้คือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ที่เป็นนามธรรม มีอยู่แต่สัมผัสไม่ได้เท่านั้นเอง แต่กลับเป็นสองอย่างที่สำคัญที่สุดในการรักษาสภาพต่างๆ ในชีวิตมนุษย์ให้สมดุล”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง แล้วทำไมปราณสังหาร ปราณเหี้ยมโหด ปราณอาฆาตและปราณมรณะถึงไม่มีอยู่ในลูกแก้วพลังปรารถนาล่ะ ทำไมมารวมอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ซะแล้ว?”
“เพราะสี่อย่างนั้นคือปราณชั่วร้ายที่ดุร้ายมาก มนุษย์ในโลกต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติสุดๆ เท่านั้นถึงจะกลั่นกรองออกมาได้ ยกตัวอย่างเช่นปราณสังหาร ปราณมรณะ ปราณสังหารที่เจ้าเข้าใจได้ดีที่สุด มีเพียงตอนเข่นฆ่าเท่านั้นถึงจะปรากฏให้เห็นได้ง่ายๆ ส่วนปราณมรณะจะปรากฏตอนใกล้จะตายเท่านั้น”
“แล้วสิ่งนี้เกี่ยวอะไรกับการปรากฏขึ้นที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์?”
“ที่จริงแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นกรวยอันหนึ่งในดาราจักร จะเรียกว่าเป็นจุดสมดุลจุดหนึ่งในดาราจักรก็ได้ ปราณชั่วร้ายทั้งสี่มีแรงปะทะเยอะเกินไป ก็จะถูกกรองเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์”
“แล้วทำไมเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรถึงไม่กลัวปราณชั่วร้ายนี่ล่ะ กลับดูดซับมาเพิ่มวรยุทธ์ให้ตัวเองด้วยซ้ำ?”
“จุดประสงค์ที่ให้เผ่าหงส์กับเผ่ามังกรมาควบคุมแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่ใช่เพื่อให้เพิ่มพลังของตัวเองอย่างเดียวหรอกนะ เผ่ามังกรดูดซับปราณชั่วร้ายแล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็น ‘เมตตา’ ส่วนเผ่าหงส์ก็ดูดซับปราณชั่วร้ายแล้วเปลี่ยนให้กลาย ‘กรุณา’ ถ้าเจ้าใส่ใจ ก็จะพบว่าหลังจากเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรดูดซับปราณชั่วร้ายแล้วก็จะเกิดกลิ่นหอมอัศจรรย์อยู่ท่ามกลางความลี้ลับ มีประโยชน์ในการสร้างสมดุลให้สรรพสิ่งในโลก นี่คือพันธกิจโดยธรรมชาติของเผ่าหงส์กับเผ่ามังกร นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตั้งแต่สมัยโบราณคนในโลกถึงมองว่าเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรเป็นสัญลักษณ์มงคลในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย แน่นอน การที่พวกเราทำแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลย มันทั้งเกิดประโยชน์ต่อการฝึกตน และทำให้พวกเราได้สะสมบุญกุศลของตัวเองด้วย”
“บุญกุศล? บุญกุศลอะไร?”
“ดาราจักรกว้างใหญ่ไฟศาล มิมีสิ่งมหัศจรรย์ใดที่ไม่มี เผ่าหงส์เผ่ามังกรฝึกตนต่างจากนักพรตคนอื่นๆ ไม่มีการฝึกตนหรือพลังอิทธิฤทธิ์อะไรนั่นหรอก ยิ่งย่อยปราณชั่วร้ายได้มาก บุญกุศลที่สะสมไว้ก็ยิ่งมาก เมื่อบุญกุศลสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถพูดภาษาคนได้ สามารถกลายร่างเป็นคนได้ สำหรับเผ่ามังกร ขอเพียงสะสมบุญกุศลให้เพียงพอ ก็ถึงขั้นได้รับพลังอภินิการอย่างที่คาดคิดไม่ถึงเลย ส่วนเผ่าหงส์ก็ไม่มีวันดับสูญ เมื่อประสบเคราะห์ก็เกิดใหม่ ถ้าทั้งสองเผ่าไม่ได้ย่อยปราณชั่วร้ายสะสมบุญกุศลนานๆ เผ่าหงส์กับเผ่ามังกรที่โดนกักขังไว้ที่ตำหนักสวรรค์ก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้ว ตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่ขาดความสามารถในการกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ทำได้เพียงอาศัยกำลังรับใช้คนอื่นเหมือนวัวเหมือนม้า”
พอได้ยินคำพูดแบบนี้ เหมียวอี้กับเฮยทั่นก็สบตากันโดยจิตใต้สำนึก เหมียวอี้หันกลับมาถามหยั่งเชิงว่า “เผ่ามังกรต้องย่อยปราณชั่วร้ายมากขนาดไหนถึงจะพูดภาษาคนได้?”
“นี่คือการตอบแทนของบุญกุศลแบบพื้นฐานที่สุด ย่อยปราณชั่วร้ายนิดหน่อยก็พูดได้แล้ว” หัวมังกรเพลิงตอบ
เฮยทั่นที่เงียบมาตลอดรู้สึกบันเทิงแล้ว ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะปากมาก มันสั่นหัวส่ายหางพูดอย่างโอ้อวดว่า “โคตรบิดาเจ้าเถอะ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง! ที่แท้ข้าก็เป็นเผ่ามังกรเหมือนกันนี่นา! ที่แท้ข้าก็ประเมินตัวเองต่ำมาตลอด”
หัวมังกรเพลิงพลันใช้ดวงตาเพลิงพลันจ้องไปที่เฮยทั่น แล้วตะคอกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ไอ้ลูกผสมนอกคอกตัวนี้มาจากไหน! บังอาจมาเรียกตัวเองว่าเผ่ามังกรอย่างไร้ยางอาย เจ้าจำไว้นะ เจ้ามันก็แค่ลูกผสมนอกคอกตัวหนึ่ง เป็นแค่สัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่ง!”
บทที่ 1494 สมบัติที่ซ่อนในเผ่ามังกร
น้ำเสียงของประโยคนี้รุนแรงราวกับฟ้าผ่าจริงๆ!
เหมียวอี้งงนิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าทำไม่วิญญาณชำรุดถึงอารมณ์เดือดได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ยังพูดจาเหมือนตัวเองสูงส่งและเหยียดยามทุกสิ่งมาตลอดอยู่เลย แค่คำพูดประโยคเดียวของเฮยทั่นก็โดนยั่วยุขนาดนี้แล้วเหรอ? แค่ไม่ยอมรับก็สิ้นเรื่องแล้ว จำเป็นต้องด่ากันด้วยรึไง? เสียอาการลืมมาดของเทพมังกรหมดแล้ว
เหมียวอี้มองไปที่เฮยทั่น หึ! กลับเป็นโจรอ้วนของบ้านเรามียังวางมาด!
เฮยทั่นยังคงสั่นหัวส่ายหาง หันซ้ายมองตัวเอง หันขวามองตัวเอง ทำท่าทางเหมือนภาคภูมิใจและยินดีปรีดามาก เหมือนไม่เก็บคำพูดมาใส่ใจเลย กลับถามเหมียวอี้ว่า “เหมือนเขาจะกำลังโกรธข้ามากนะ ลูกผสมนอกคอกหมายความว่ายังไงเหรอ?”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก สงสัยเจ้าตัวนี้จะไม่รู้ว่าลูกผสมนอกคอกหมายความว่าอะไร จึงถามว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินคนพูดว่า ‘ลูกผสมนอกคอก’ เหรอ?”
“ไม่เคย! เป็นคำที่ใช้ด่าคนเหรอ? ดูจากท่าทางโมโหของเขา นั่นกำลังด่าข้าเหรอ?” เฮยทั่นถาม
“ช่างเถอะ!” เหมียวอี้ไม่ให้มันคิดเล็กคิดน้อย เพราะสู้ไม่นะอีกฝ่าย ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาคิดบัญชี ชายชราตรีไม่ยอมเสียเปรียบเพราะเรื่องตรงหน้าหรอก
ใครจะคิดล่ะ ฝั่งนี้อุตส่าห์แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่หัวมังกรเพลิงกลับยังไม่หายโกรธ อธิบายให้เฮยทั่นฟังตรงๆ ด้วยความเดือดดาลว่า “ลูกผสมนอกคอกก็คือไอ้ตัวที่มันเกิดมาจากพ่อแม่มั่วกันไง ไอ้ตัวที่เกิดจากการผสมต่างสายพันธุ์ สภาพอย่างเจ้าคู่ควรจะเรียกตัวเองว่าเผ่ามังกรเหรอ?”
เฮยทั่นมองตัวเองอย่างอึ้งๆ ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าหมายความว่าข้าเกิดขึ้นมาจากมังกรผสมพันธุ์กับอาชาสวรรค์สินะ?”
เหมียวอี้เข้าใจแล้วเช่นกัน สงสัยวิญญาณมังกรนี่จะโมโหที่เฮยทั่นทำให้สายเลือดของเผ่ามังกรปนเปื้อน เขารู้ว่าเฮยทั่นก็ไม่ได้นิสัยดีอะไร กลัวว่าเฮยทั่นจะข่มไฟโกรธไม่ไหวแล้วก่อเรื่องขึ้น จึงเกลี้ยกล่อมอีกว่า “โจรอ้วน พอแล้ว”
คนเราก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเรื่องไม่เดือดร้อนมาถึงตัวก็ทำนิ่งเฉยเป็นผู้ชมอยู่ข้างๆ ได้ แต่กลับไม่คิดดูเสียบ้างว่าเหมียวอี้เองก็เป็นคนที่โดนคนอื่นเกลี้ยกล่อมบ่อยเหมือนกัน
เฮยทั่นยังคงสั่นหัวส่ายหางอยู่อย่างนั้น ไม่เห็นว่ามันจะโมโหเลยสักนิด บอกอย่างไม่ใส่ใจว่า “เขาไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย เดิมทีข้าก็ลูกผสมนอกคอกอยู่แล้ว นี่คงไม่ใช่คำด่าหรอกมั้ง? ข้าแค่แปลกใจนิดหน่อย ถ้าข้าไม่ถูกนับว่าเป็นเผ่ามังกร งั้นเขาก็ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกตัวเองว่าเผ่ามังกรยิ่งกว่าอีก”
เหมียวอี้กลอกตามองบน แอบด่ามันว่าปัญญาอ่อน อีกฝ่ายเป็นเทพมังกรนะ ถือเป็นระดับบรรพบุรุษของเผ่ามังกรเลย ถ้าอีกฝ่ายไม่นับว่าเป็นเผ่ามังกร แล้วจะนับว่าใครเป็นเผ่ามังกรได้อีกล่ะ?
หัวมังกรเพลิงหัวเราะอย่างโมโห “สัตว์เลื้อยคลายก็คือสัตว์เลื้อยคลาย ขนาดตัวเองยังยอมรับแล้วว่าเป็นลูกผสมนอกคอก ข้าไม่ถือสาเจ้าก็แล้วกัน”
เฮยทั่นจึงถามเหมือนแปลกใจมากว่า “ข้ามีอะไรให้เจ้าถือสา? ข้าเป็นแค่ลูกผสมนอกคอกสองสายพันธุ์ แต่เจ้าเป็นลูกผสมนอกคอกที่รวมกันตั้งแปดคน ผสมกันมั่วยิ่งกว่าข้าอีก ถ้าถือสาข้าต่อไปจะไม่เข้าตัวเองเหรอ?” ฟังจากน้ำเสียงของมันแล้ว เหมือนจะภูมิใจในตัวเองอยู่บ้าง ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ที่ข้าไม่ถือสาเจ้าก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว’
“…” เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้างทันที มองไปที่เฮยทั่นด้วยความตกใจถึงขีดสุด มิน่าล่ะเจ้าตัวนี้ถึงไม่เห็นด้วยตามที่อีกฝ่ายพูด สงสัยมันจะมีวิธีการทำความเข้าใจแบบแปลกพิลึกแบบนี้นี่เอง การทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ลูกผสมนอกคอก’ แบบตื้นๆ ก็มีข้อดีของมันเหมือนกัน
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” หัวมังกรเพลิงเจิ้นถามอย่างโมโห
“พอแล้ว ถือว่าข้าผิดไปแล้ว ถึงยังไงข้าก็สู้ไม่ชนะเจ้า” เฮยทั่นสะบัดหาง ยอมแพ้แต่โดยดี วางมาดเหมือนชายชาตรีที่รู้ว่าเสียเปรียบเลยต้องยอมถอย มันถึงได้ยอมแพ้ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเถียงไม่ชนะเลย
ปาดเหงื่อ! ในที่สุดเหมียวอี้ก็พบว่าการไม่รู้คือความสุขอย่างหนึ่ง เขาสังเกตเห็นว่าเปลวไฟในหัวมังกรเพลิงสั่นไหวอย่างรุนแรง รู้ว่าความไร้เหตุผลของเฮยทั่นทำให้อีกฝ่ายโมโหแล้ว
ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยพอใจหัวมังกรเพลิงนิดหน่อยเช่นกัน อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เริ่มด่าก่อน แต่ต่อให้ไม่โดนแบบนี้ เขาก็ยังเข้าข้างเฮยทั่นอยู่ดี เขารีบไปบังหน้าเฮยทั่น แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสดูแคลนมัน ก็ไม่จำเป็นต้องไปถือสาสัตว์ธรรมดาอย่างมันหรอกขอรับ”
“ข้าถือสาสัตว์ธรรมดาอย่างมันเหรอ? แค่สัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่ง มันยังไม่คู่ควรที่จะเป็นด้วยซ้ำ?” หัวมังกรเพลิงแสยะยิ้ม แล้วเงาร่างก็กะพริบหายไป เพลิงเดือดบนบ่อเพลิงกลับกลายเป็นรูปมังกรเลื้อยอีกครั้ง
เหมียวอี้โล่งอก แล้วหันกลับมากวักมือเรียกเฮยทั่น “ตามข้ามา”
เฮยทั่นเดินวางมาดตามหลังเหมียวอี้ไป เดินไปที่ตำหนักหลัง ตอนที่กำลังจะเลี้ยว มันก็หันกลับมาด่าอีกว่า “เจ้าสิ่งของไร้กระดูก!”
พรึ่บ! เพลิงเดือดในบ่อเพลิงมังกรเปลี่ยนรูปทันที หัวมังกรเพลิงปรากฏอีกครั้ง จ้องมาทางนี้พร้อมตะโกนว่า “เจ้าสัตว์เลื้อยคลาน เจ้าว่าอะไรนะ?”
เฮยทั่นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร มันรีบเลี้ยวและวิ่งเข้าไปข้างในแล้ว
เหลือเพียงเหมียวอี้ที่ยืนอึ้งพูดไม่ออกอยู่ตรงนั้น จากนั้นเหมียวอี้ก็รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ผู้อาวุโส มีบางเรื่องที่ข้ารู้สึกแปลก ข้าพบว่าวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้สะสมทรัพย์สินไว้เยอะมาก แต่กลับไม่เห็นว่าจะมีของวิเศษสักเท่าไรเลย อย่าบอกนะว่านักพรตที่บุกเข้ามาในนี้ไม่มีใครพกของวิเศษมาเลย?”
หัวมังกรเพลิงแสยะยิ้ม “สงสัยเจ้าจะบังเอิญเจอวิญญาณชั่วร้ายที่มีสมบัติติดตัวเยอะสินะ!”
“ไม่ผิดหรอก เจอพวกวิญญาณชั่วร้ายที่หนีการปราบปรามของตำหนักสวรรค์ได้สองครั้ง” เหมียวอี้กล่าว
“หรือเจ้าคิดว่าวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วจะรอดจากการปราบปรามของเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรได้จริงๆ?” หัวมังกรเพลิงถาม
เหมียวอี้ตะลึงงัน เดิมทีเขาแค่จะถามเล่นๆ มีจุดประสงค์เพื่อให้อีกฝ่ายเบี่ยงเบนความสนใจจากเฮยทั่น นึกไม่ถึงว่าจะถามจนได้ความจริงๆ พอครุ่นคิดนิดหน่อยก็พอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว เขาถามอย่างประหลาดใจว่า “อย่าบอกนะว่า เผ่าหงส์กับเผ่ามังกรจงใจปล่อยพวกมันไป?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เจ้าเดาถูกแล้ว! หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ตำหนักสวรรค์ลงมือกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ในปีนั้นก็คือ สมบัติที่พวกนักพรตทิ้งไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ในหลายปีที่ผ่านมา ตอนแรกที่ตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้ง ก็จำเป็นต้องรีบใช้ทรัพย์สินจำนวนมากเพื่อวางโครงให้แข็งแรงมั่นคง หลังจากลงมือกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว พวกเขาก็กวาดเอาทรัพย์สมบัติจำนวนมากของเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรออกไป ทว่านั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมบัติในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เท่านั้น เพราะทรัพย์สมบัติพวกนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์กับเผ่าหงส์และเผ่ามังกรในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มากนัก พวกสมบัติมากมายที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ปกติแล้วเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรก็ไม่ได้ตั้งใจไปเก็บรวบรวมเลย แต่หลังจากมีวิญญาณชั่วร้ายปรากฏขึ้น พวกเราก็ย่อมเก็บรวบรวมไว้ใช้ประโยชน์แอง ในเมื่อรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าตำหนักสวรรค์จะปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย เจ้าคิดว่าพวกเราจะปล่อยให้ของพวกนั้นตกไปอยู่ในมือตำหนักสวรรค์อีกเหรอ?”
เหมียวอี้เข้าใจได้ในชั่วพริบตาเดียว “ดังนั้นพวกเจ้าก็เลยจงใจปล่อยวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นไปบางส่วน?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก เผ่าหงส์กับเผ่ามังกรถูกกักกันโดยตำหนักสวรรค์แล้ว ถ้ำมังกรกับรังหงส์ถูกตำหนักสวรรค์ตัดกำลังให้อ่อนแอลงด้วย ไม่มีปัจจัยจะไปลงมือกับวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ทำได้เพียงปล่อยให้ยอดฝีมือวิญญาณชั่วร้ายลงมือกับวิญญาณชั่วร้ายที่เหลือ ใช้วิธีให้ปลาใหญ่กินปลาเล็กเพื่อรวบรวมทรัพย์สมบัติที่กระจายอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตอนที่ตำหนักสวรรค์ปราบปรามวิญญาณชั่วร้าย เพื่อที่จะไม่ให้ทรัพย์สมบัติพวกนั้นตกไปอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ให้ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญอีก พวกเราย่อมต้องปล่อยพวกมันไป”
เหมียวอี้พยักหน้า “ของวิเศษล่ะ? อย่าบอกนะว่าในบรรดาทรัพย์สมบัติที่วิญญาณชั่วร้ายเก็บได้ไม่มีของวิเศษอยู่เลย?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “ของวิเศษก็ย่อมมีอยู่แล้ว แต่กำลังของถ้ำมังกรและรังหงส์กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ถ้าให้วิญญาณชั่วร้ายที่มีกำลังแข็งแกร่งกุมของวิเศษไว้เยอะเกินไป เจ้าคิดว่าพวกเรายังจะต้านทานความกระเหี้ยนกระหือรือที่วิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นมีต่อแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายไหวเหรอ? หนึ่งในเงื่อนไขที่ปล่อยวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นไป ก็เพราะพวกเขาต้องการของวิเศษที่รวบรวมได้ทั้งหมด ถ้าพวกมันอยากจะเข้ามาในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย ก็สามารถใช้วิธีการใดก็ได้ แต่ห้ามใช้ของวิเศษ ทางนี้ขู่พวกมันเอาไว้ ว่าจะแจ้งให้ตำหนักสวรรค์มาปราบพวกมันทันที พวกมันจำเป็นต้องเชื่อฟัง”
เหมียวอี้ตาเป็นประกาย “หมายความว่าของวิเศษพวกนั้นอยู่ในมือพวกเจ้าหมดเลยเหรอ?”
หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เปล่า! พวกเราไม่ให้พวกมันใช้ของวิเศษ พวกมันก็ย่อมไม่ให้พวกเราใช้ของวิเศษเช่นกัน ไม่อย่างนั้นพวกมันจะมีโอกาสเข้ามาในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายได้ยังไง พวกมันไม่ได้โง่อย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ ไม่ส่งส่งสมบัติมาไว้ในมือพวกเราจนสร้างปัญหาให้พวกมันเองหรอก นี่ก็คือเงื่อนไขที่พวกมันตอบตกลง ทะเลสาบหินหนืดก็คือสถานที่ที่สมบัติจมอยู่ในนั้น ของวิเศษที่พวกมันเก็บรวบรวมได้ถูกโยนลงในทะเลสาบหินหนืดต่อหน้าทั้งสองฝ่ายและถูกทำลายทิ้งต่อหน้าทุกคนแล้ว”
เหมียวอี้ถอนหายใจทันที “แบบนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ”
“ไม่มีอะไรน่าเสียดาย ถ้าศักยภาพไม่แข็งแกร่ง อาศัยแค่ของวิเศษพวกนั้นก็พลิกสถานการณ์ไม่ได้อยู่ ถึงที่สุดแล้วนั่นก็คือของช่วยเสริม ต้านทานการโจมตีหมู่ของทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ไม่ได้ ตัดสินใจไม่ได้ว่าใต้หล้าเป็นของใคร แน่นอน ถึงแม้จะไม่มีสมบัติล้ำค่าแล้ว แต่ใต้ทะเลสาบหินหนืดกลับมีวัตถุดิบหลอมสมบัติอยู่ไม่น้อยเลย เห็นแก่ที่เจ้าทำเรื่องที่เผ่าหงส์ไหว้วานสำเร็จ ในภายหลังถ้าเจ้าอยากได้ ก็หยิบไปได้เลย ถือว่าเป็นการตอบแทนเจ้าก็แล้วกัน!” หัวมังกรเพลิงกล่าว
เหมียวอี้ตาลุกวาวอีกครั้ง ใช่แล้ว! แค่สมบัติชิ้นเดียวก็ใช้ผลึกสกัดไม่น้อยแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่อาวุธหนึ่งชิ้นกับเกราะรบหนึ่งชิ้นจะเทียบติด แค่คิดก็จินตนาการออกแล้วว่ามีอะไรอยู่จมอยู่ใต้ทะเลสาบหิน เขาฮึกเหิมทันที “ในเมื่อผู้อาวุโสในกว้างขนาดนี้ เช่นนั้นถ้าผู้น้อยปฏิเสธก็จะเป็นการแสดงความไม่เคารพแล้ว”
“อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก รอให้เจ้ามีวิธีการนำของพวกนั้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” หัวมังกรเพลิงกล่าว
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ไม่ผิดหรอก ตอนจะเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ต้องถูกทหารยามค้นตัว ถ้าผ่านด่านของทหารยามไม่ได้ ก็ไม่สามารถนำออกไปได้เลย ไม่อย่างนั้นถ้าโดนตำหนักสวรรค์จับได้ เกรงว่าจากที่ไม่มีความผิดจะกลายเป็นมีความผิด เดิมทีราษฎรไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด!
พอเป็นแบบนี้ เขาก็เริ่มปวดหัวนิดหน่อยแล้ว ไม่ใช่แค่วัตถุดิบหลอมสมบัติที่จมอยู่ในทะเลสาบหินหนืด แต่สมบัติจำนวนมหาศาลที่ได้จากตัวอวี้ซาก็เป็นปัญหาเช่นกัน เป็นปัญหาว่าจะนำออกไปอย่างไร
พอคิดไปคิดมา ก็ไม่เจอวิธีการอยู่ดี บังเอิญว่าด้านนอกเป็นอาณาเขตของเทพประจำดาวฟ้าเถาะพอดี ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ถูกเฝ้าโดยกำลังพลของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ สงสัยจะต้องค่อยๆ คิดหาวิธีจากตัวเทพประจำดาวฟ้าเถาะแล้ว
รอจนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง ก็พบว่าหัวมังกรเพลิงหายไปแล้ว เปลวเพลิงกำลังขยับราวกับมังกรเลื้อย
ในวังใต้ดิน หลังจากเหมียวอี้นำเฮยทั่นออกไปแล้ว พอมองรอบข้างแล้วพบว่าไม่มีใคร ถึงได้เตะเฮยทั่นเข้ามุม แล้วด่าว่า “เจ้าไม่รู้เหรอว่าปากจัญไรของเจ้าจะก่อเรื่องได้ง่ายๆ? ข้าบอกไม่ให้เจ้าเอ่ยปากพูดง่ายๆ เจ้าไม่ได้ยินรึไง?”
เฮยทั่นตอบว่า “ท่านไม่ต้องห่วง ข้าไม่ถือสาเขาหรอกน่า รอให้วันไหนข้าสู้ชนเขาก่อน ข้าจะรื้อรังของเขาแน่นอน ให้เขาโมโหจนไฟลุกเลย”
มีจิตใจอยากจะล้างแค้นแรงขนาดนี้ ยังกล้าบอกอีกเหรอว่าไม่ถือสา? เหมียวอี้เตือนว่า “ถ้าเจ้ายังสนใจแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย ยังอยากอยู่ที่นี่ต่อ ก็หุบปากเส็งเคร็งของเจ้าเอาไว้ให้สนิท”
พอเหลือบมองแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายแปดกลุ่ม เฮยทั่นก็ตาเป็นประกายแพรวพราวแล้ว ไม่มีอารมณ์โมโหอะไรแล้ว หุบปากแล้ว มันกลิ้งเข้าไปแล้วกระโดดขึ้นเตียงหิน จากนั้นนอนหมอบดื่มด่ำอยู่ตรงปากปล่องแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย
ส่วนเหมียวอี้ก็มุดเข้าไปสำหรับในบ่อลึกที่ปราณชั่วร้ายพ่นออกมา เขาสำรวจแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายทั้งแปดจนครบแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ค้นพบอะไร พบเพียงว่าที่จริงแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายของที่นี่มีสี่โพรง เพียงแต่ขุดแบ่งออกเป็นแปดโพรงก็เท่านั้นเอง
หลังจากปีนออกมาแล้ว เขาก็มองดูวังใต้ดินที่กว้างโล่ง ไม่รู้เหมือนกันว่ากระดูกมังกรทั้งแปดนั้นจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า
เขาย่อมไม่ต้องการปราณชั่วร้ายอยู่แล้ว เขาทิ้งเฮยทั่นเอาไว้ในนั้น แล้วก็ออกข้างนอกไปหาสถานที่ฝึกวิชาที่สะดวกต่อการดูดซับธาตุไฟ ต้องทราบไว้ว่าไม่ใช่ทุกที่ที่จะมีธาตุไฟหยางที่อุดมสมบูรณ์เข้มข้นเหมือนหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ เขาย่อมพลาดไม่ได้อยู่แล้ว
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น