ยอดหญิงสกุลเสิ่น 149-153.2

 ตอนที่ 149

 

เป็นใคร

 


 


เมื่อเถาฮวาล้มตึงลงไป สถานการณ์ก็โกลาหลขึ้นมา ทุกคนนึกว่านางได้รับบาดเจ็บภายในร้ายแรง ใครจะคิด เมื่อหมอเทวดาหลี่จับชีพจรดูจึงพบว่านางหมดสติเพราะหมดแรง ทุกคนเบิกตากว้าง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี 


 


 


แต่ความวุ่นวายนี้ทำให้บรรยากาศที่เคร่งเครียดเบาบางลง 


 


 


เมื่อฟ้ามืด เสิ่นเวยก็ได้สติขึ้นมา หลีฮวาคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา นางจึงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่านายสาวได้สติขึ้นมาแล้ว 


 


 


“คุณหนู ท่านฟื้นแล้ว” น้ำเสียงของหลีฮวาเต็มไปด้วยความปีติยินดี แย้มยิ้มดีใจทั้งน้ำตา “ใครอยู่ด้านนอก คุณหนูฟื้นแล้ว หมอเทวดาหลี่ รีบไปเชิญหมอเทวดามาเร็วเข้า” นางหันไปตะโกนเสียงครือ  


 


 


แล้วจึงหันกลับมาถามอย่างห่วงใย “คุณหนู ท่านหิวไหมเจ้าคะ อยากกินอะไร บ่าวจะไปทำให้เจ้าค่ะ” 


 


 


เสิ่นเวยอยากลุกขึ้นนั่ง แต่รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว ขยับเขยื้อนก็ไม่ได้ คิ้วเรียวจึงขมวดกันแน่น 


 


 


หลีฮวารีบเข้ามาประคอง “คุณหนูอย่าขยับเจ้าคะ ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอเทวดาหลี่สั่งไว้ว่าท่านต้องพักฟื้น ต้องการสิ่งใดก็บอกกับบ่าวเถอะเจ้าคะ” 


 


 


“พวกเจ้าทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่” เสียงของเสิ่นเวยแหบพร่าและอ่อนแรง นางจำได้ ตอนที่หมดสติไปเหมือนจะเห็นสวี่โย่ว เช่นนั้นพวกญาติผู้น้องคงไม่เป็นไรสินะ 


 


 


หลีฮวาส่ายหน้า “คุณหนูวางใจเถอะเจ้าค่ะ ทุกคนไม่เป็นไร” มีเพียงคุณหนูเท่านั้นที่บาดเจ็บสาหัสที่สุด ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกว่าควรทำให้คุณหนูสบายใจ “นอกจากคุณหนูแล้ว เยวี่ยกุ้ยบาดเจ็บหนักสักหน่อย อาจารย์โอวหยางกับคุณชายหร่วนเหิงบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น คุณหนูหร่วนเหมียนเหมียนกับเหอฮวาและเถาจือล้วนปลอดภัยดีเจ้าคะ ที่น่าขันที่สุดก็คือเถาฮวา เด็กคนนั้นกำลังพูดอยู่ดีๆ ก็หมดสติไป เดิมทีนึกว่านางได้รับบาดเจ็บภายใน คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะหมดแรง ตอนนี้ยังนอนหลับอยู่เจ้าคะ” 


 


 


เสิ่นเวยขบขันออกมา แต่กระทบกระเทือนจนเจ็บหน้าอก หญิงสาวรู้สึกโล่งใจ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นครั้งนี้นางคงเจ็บหนักโดยเสียเปล่า นางคิดจะพูดบางอย่าง อยู่ๆ ประตูก็ถูกผลักให้เปิดออก กลุ่มคนพุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


 


 


 


“พี่เวย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หร่วนเหมียนเหมียนวิ่งเร็วที่สุด จึงเป็นคนแรกที่ปราดเข้าไปหาเสิ่นเวยที่ข้างเตียง มองเห็นใบหน้าซีดเซียวของญาติผู้พี่ หยาดน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมา เป็นเพราะนาง ล้วนเป็นเพราะนางที่เป็นตัวถ่วง ทำให้พี่เวยได้รับบาดเจ็บ 


 


 


แค่มองเสิ่นเวยก็รับรู้ถึงความรู้สึกของหร่วนเหมียนเหมียน  จึงส่ายหน้าคิดจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็ได้ยินเสียงของท่านตาเสียก่อน “เหมี่ยนเจี่ยเอ๋อร์รีบถอยออกไป ให้ท่านหมอเทวดาหลี่ดูอาการญาติผู้พี่ของเจ้า 


 


 


เด็กสาวรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นถอยไปด้านข้าง หลีกทางให้หมอเทวดาหลี่ หลีฮวายกเก้าอี้มาวางไว้ด้านหลังของเขาอย่างเฉลียวฉลาด  


 


 


“ให้ข้าลองตรวจชีพจรของคุณหนูเสิ่นดูก่อน” เขาพูดพลางทิ้งกายลงนั่งอย่างเชื่องช้า สองนิ้วแตะบนข้อมือของเสิ่นเวย ทุกคนในห้องจ้องมองโดยไม่ละสายตาไปที่ใด ทั้งยังไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง หมอเทวดาจึงยกมือขึ้น ใบหน้าเผยความชื่นชม “ยังดีๆ คุณหนูสี่ร่างกายแข็งแรง ด่านนี้ถือว่าผ่านไปได้แล้ว หลังจากนี้ก็ตั้งใจพักฟื้น สิบวันหรือครึ่งเดือนก็สามารถลุกจากเตียงได้แล้ว” ถึงแม้เสิ่นเวยจะมีเลือดเต็มตัว แลดูน่าหวาดกลัว แต่ที่จริงแล้วล้วนเป็นเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บถึงภายใน ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่สิบวันหรือครึ่งเดือนเลย แม้พักฟื้นหนึ่งปีหรือครึ่งปีก็อย่าหวังจะได้ลงจากเตียง 


 


 


ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก โดยเฉพาะหร่วนเหมียนเหมียนกับพวกเหอฮวา ถ้าหากคุณหนูเป็นอะไรไป พวกนางตายนับหมื่นครั้งก็ชดใช้ไม่หมด 


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วใช่ไหม เจ้าไม่เป็นอะไร เด็กดี เหิงเกอเอ๋อร์กับเหมี่ยนเจี่ยเอ๋อร์ทำให้เจ้าลำบากแล้ว ตาซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้ามาก นอนพักรักษาตัวให้ดี เรื่องข้างนอก ตาจะดูแลเอง เรื่องอื่นรอเมื่อเจ้าหายดีแล้วค่อยว่ากัน” หร่วนเจิ้นเทียนบอกพร้อมตบมือเสิ่นเวย ก่อนจะหันไปสั่งความว่า “พวกเราทุกคนออกไปกันก่อนเถอะ ให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ได้พักผ่อน ต้มยาเสร็จแล้วใช่ไหม รีบยกมาให้เวยเจี่ยเอ๋อร์” 


 


 


หลีฮวาตอบรับก่อนจะหมุนกายเดินออกไป  


 


 


ชายชรามองหลานสาวที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง ในใจรู้สึกปวดร้าวมาก เป็นเหมือนกับที่เวยเจี่ยเอ๋อร์คิด เขาก็กำลังคาดเดาการลอบสังหารครั้งนี้ ครั้งแรกที่ลงมือก็ใช้มือสังหารระดับสูงถึงสามสิบคน เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น จะผูกความแค้นรุนแรงปานนี้กับคนอื่นได้อย่างไร เป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่จะพุ่งเป้ามาที่ตัวเขา เวยเจี่ยเอ๋อร์ต้องพลอยรับเคราะห์เพราะเขา แค่คิดถึงเรื่องนี้ หร่วนเจิ้นเทียนทั้งรู้สึกผิดและเสียใจ 


 


 


 ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขายอมแพ้ ไม่คิดขุดคุ้ยเรื่องราวเก่าก่อนอีกแล้ว แต่การลอบสังหารนี้กลับทำให้เขาได้มองเห็นความเป็นจริง คนเหล่านั้นไม่มีทางยอมละเว้นครอบครัวของเขาเพียงเพราะเขายอมแพ้ 


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าพักรักษาตัวเถอะ พรุ่งนี้ตาจะมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง” หร่วนเจิ้นเทียนกล่าวอย่างมีเมตตา 


 


 


หญิงสาวพยักหน้า สายตามองไปยังสถานที่หนึ่ง ชายชรามองตามสายตาของนางไปจึงเห็นว่านางกำลังมองคุณชายสวี่ ผู้ที่ช่วยนางกลับมา 


 


 


คิดแล้ว เขาจึงกล่าวกับสวี่โย่วว่า “คุณชายสวี่ อาจไม่เหมาะสมนัก แต่ข้ามีเรื่องจะขอร้องท่าน ดูเหมือนเวยเจี่ยเออร์ก็มีเรื่องจะขอคำชี้แนะจากท่าน หลักจากนี้ข้าขอเวลาท่านสักครู่ได้หรือไม่” 


 


 


ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่สายตากลับมองตรงไปที่เสิ่นเวย 


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนเดินมาถึงประตู แต่ในใจยังสับสน ชายหญิงไม่ควรอยู่ร่วมกันในที่รโหฐาน แต่ว่าคุณชายสวี่เป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเวยเจี่ยเอ๋อร์เอาไว้ ช่างเถอะๆ ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ไปตามสถานการณ์ เขาไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยกับธรรมเนียมที่วุ่นวาย  


 


 


“ครั้งนี้ต้องขอบใจท่านมาก” เสิ่นเวยกล่าวเสียงเบา นางรู้สึกขอบคุณสวี่โย่วจริงๆ และนึกหวาดกลัวขึ้นมาด้วย ถ้าหากเขามาไม่ทัน พวกนางคงตายกันหมด แม้นางจะบาดเจ็บสาหัสกว่านี้ก็ปกป้องเหมียนเหมียนไว้ไม่ได 


 


 


“เจ้าก็เคยช่วยข้า” คำพูดของสวี่โย่วนั้นเรียบง่ายมาก แต่ความนัยของมัน เสิ่นเวยเข้าใจดี…เจ้าช่วยข้าก่อน ข้าจึงช่วยเจ้าเป็นการตอบแทน… 


 


 


มุมปากของเสิ่นเวยยกขึ้น รู้สึกโชคดีที่ยอมทนกับความวุ่นวายในครั้งนั้น ดูเอาเถอะๆ ทำความดีย่อมมีสิ่งตอบแทน อืม นางคิดว่า รอเมื่อหายดีแล้วจะแบ่งปันแป้งสิบชั่งกับเนื้อหมูสองชั่งให้กับผู้เช่าในหมู่บ้านทุกคน 


 


 


เอ่อ เหมือนจะคนละเรื่องกันนะ เสิ่นเวยนึกขบขันตัวเอง ก่อนจะถามต่อไปว่า “รู้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นมาจากที่ใด” 


 


 


“เป็นมือสังหารระดับอักษรเทียนจากหอมือสังหาร” คำตอบของเขายืนยันสิ่งที่เสิ่นเวยคาดเดาไว้ 


 


 


ระยำ ใครให้เกียรตินางขนาดนี้ มือสังหารระดับอักษรเทียนสามสิบคน ถึงขนาดกรีดเลือดตัวเองเพื่อเอาชีวิตนาง ดูเหมือนนางไม่เคยล่วงเกินคนใหญ่คนโตระดับนั้น 


 


 


“สืบหาตัวผู้จ้างวานได้หรือไม่” เสิ่นเวยถามออกไปอย่างไม่คาดหวัง ที่จริงนางก็รู้ว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก 


 


 


เป็นดังคาด สวี่โย่วส่ายหน้า “สืบไม่พบ” ถึงแม้ในมือของเขาจะมีแหล่งข่าวอยู่บ้าง แต่ความลับระดับนี้ คนของเขายังสืบไม่ได้ 


 


 


“เจ้าเคยล่วงเกินใครหรือไม่” สวี่โย่วมองหญิงสาวที่นอนขมวดคิ้วอยู่บนเตียง พร้อมเอ่ยถามออกไป 


 


 


เสิ่นเวยใคร่ครวญอย่างละเอียด ก่อนจะส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่มี” คนที่นางเคยขัดแย้งด้วยมีสามสี่คน แต่คนที่สามารถจ้างมือสังหารระดับเทียนถึงสามสิบคนจากหอมือสังหารได้ คนระดับนั้นไม่มี 


 


 


“คุณหนู หรือจะเป็นฮูหยินเจ้าคะ” หลีฮวาเตือนขึ้นเสียงเบา 


 


 


เสิ่นเวยปฏิเสธทันควัน “เป็นไปไม่ได้” ก่อนจะอธิบายว่า “นางไม่มีเงิน อีกอย่างเวลานี้นางถูกกักบริเวณอยู่ในหอธรรม” ความเคลื่อนไหวของฮูหยินหลิวมีคนจับตามองอยู่ หญิงผู้นั้นไม่มีทางทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างเงียบเชียบ ที่สำคัญคือนางไม่มีเงิน การค้าระดับนี้อย่างน้อยต้องจ่ายเงินห้าหมื่นตำลึง ฮูหยินหลิวไม่มี ถึงแม้จะมีก็ตัดใจจ่ายไม่ลง อย่างมากนางก็แค่หาอันธพาลสามสี่คนบนถนนมาทำลายชื่อเสียงของนาง 


 


 


ในขณะนั้น ทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ หลีฮวานึกย้อนไปถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่นางมาอยู่ข้างกายคุณหนูจนกระทั่งกลับมายังเรือนหลังของจวนโหว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “คุณหนู หรือจะเป็นเจ้าเมืองจ้าว” 


 


 


คุณหนูขัดแย้งกับเขาอย่างรุนแรง เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ก็น่าจะมีกำลังทรัพย์มากพอจะจ้างมือสังหาร ได้ยินว่าบุตรสาวของเขาก็เป็นอนุภรรยาคนโปรดของท่านอ๋องกง 


 


 


เขาหรือ เสิ่นเวยนึกถึงบุตรชายของเจ้าเมืองจ้าวที่ถูกนางทำให้ขาหัก และเจ้าเมืองที่ถูกนางโกงเงินหนึ่งหมื่นตำลึงมา อืม มีความเป็นไปได้ แต่เมื่อลองใคร่ครวญดูอย่างละเอียด นางก็ปฏิเสธออกไป “ไม่ใช่เขาหรอก” 


 


 


 เจ้าเมืองจ้าวเป็นคนขี้ขลาด สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดคือตำแหน่งงานราชการของตัวเอง เรื่องที่มีผลต่อตำแหน่งงาน เขาไม่มีทางทำแน่ ในสถานการณ์ที่รู้ว่าตนเองจะพ่ายแพ้ เขาไม่มีทางคิดแก้แค้น สายตาของเขากว้างไกลกว่าฮูหยินจอมลำเอียงของเขามาก ฮูหยินของเขาคิดว่าบุตรสาวเป็นที่โปรดปรานของอ๋องกงนั่นยิ่งใหญ่มากแล้ว  


 


 


เขาไม่ได้เลอะเลือนขนาดนั้น บุตรสาวของเขาเป็นแค่อนุภรรยาเท่านั้น แม้แต่สนมก็ไม่ใช่ เรื่องทั่วไป ท่านอ๋องกงอาจจะยอมตามใจนางบ้าง แต่สำหรับเรื่องสำคัญ อ๋องกงไม่มีทางออกหน้าเพื่อผู้หญิง เขาเป็นผู้ชายรู้เรื่องนี้ดี 


 


 


“เจ้าเมืองจ้าวเป็นใคร” ในขณะที่เสิ่นเวยกำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินคำถามของสวี่โย่ว 


 


 


เอ่อ หญิงสาวนิ่งชะงักไป ใบหน้าเผยความกระอักกระอ่วน “เขา เขา คือคนที่ข้าเคยล่วงเกินเมื่อครั้งที่พำนักอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่น แต่คนผู้นั้นเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าวางแผนร้ายอะไร” 


 


 


ชายหนุ่มกระตุกมุมปาก มองนางอย่างมีเลศนัย เด็กคนนี้ช่างไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ให้ไปรักษาตัวที่บ้านเกิดของบรรพบุรุษ นางยังไปล่วงเกินเจ้าเมืองจ้าวได้อีก ความสามารถในการรนหาเรื่องเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ 


 


 


มีหรือเสิ่นเวยจะไม่รู้ว่าสวี่โย่วกำลังคิดอะไรอยู่ หญิงจึงรู้สึกอึดอัดขึ้นมา…ก็แค่ช่วยนางไว้ครั้งเดียว? เหตุใดต้องมาวุ่นวายให้มากเรื่องด้วย ถึงอย่างไรนางก็เคยช่วยเขามาก่อน… 


 


 


“เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่เจ้า” อยู่ๆ สวี่โย่วก็พูดขึ้น 


 


 


เสิ่นเวยเงยหน้า สบสายตาลึกล้ำของอีกฝ่าย ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายของเขา “เคยคิด แต่ไม่กล้าคิดต่อ” เสิ่นเวยตอบ 


 


 


ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นาง แต่พุ่งเป้าไปที่ท่านตา ดูจากการลงมือที่เ**้ยมโหดของพวกนักฆ่า ผู้จ้างวานคงคิดจะฆ่าล้างทั้งตระกูล หากเกิดเรื่องกับหร่วนเหิงและหร่วนเหมียนเหมียน สายเลือดของจวนแม่ทัพใหญ่ก็จะขาดสะบั้นลง ท่านตาที่เป็นเหมือนไม้ใกล้ฝั่งมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้ลงมือกับท่าน 


 


 


คิดดูแล้วก็น่ากลัวจริงๆ ครอบครัวของท่านตาเพิ่งจะออกจากจวนแม่ทัพใหญ่ มือสังหารก็มาถึงแล้ว จะเห็นได้ว่าหลายปีมานี้ใครบางคนคอยจับตามองจวนแม่ทัพใหญ่อยู่ตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เสิ่นเวยไม่กล้าคิดให้ลึกไปมากกว่านี้ 


 


 


“ไม่ได้เห็นนามของผู้จ้างวาน ใครก็ไม่อาจยืนยัน” สวี่โย่วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่ว่าเป้าหมายเป็นใคร แต่เจ้าต้องระวังให้มาก ภารกิจยังไม่สำเร็จ” 


 


 


ในใจของเสิ่นเวยรู้สึกสั่นไหว จริงด้วย ภารกิจยังไม่สำเร็จ หอมือสังหารจะต้องส่งมือสังหารกลุ่มที่สองมาอีกแน่ เวลานี้นางกำลังบาดเจ็บ เมื่อถึงเวลานั้นจะไม่ยิ่งอันตรายหรือ 


 


 


“ต้องการ…” ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป 


 


 


แต่ถูกเสิ่นเวยขัดขึ้นเสียก่อ “ไม่ต้อง ขอบใจมาก” นางเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย เขาคิดจะถามนางว่าต้องการให้ช่วยหรือไม่ เสิ่นเวยไม่อยากติดค้างหนี้น้ำใจของเขาอีก หนี้น้ำใจใช้คืนยากที่สุด อีกอย่างที่จริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากมาย 


 


 


และเสิ่นเวยก็ไม่ได้ขาดแคลนกำลังคนด้วย ครั้งนี้เป็นเพราะนางประมาทเกินไป คิดว่าแค่มาเที่ยวเล่นในหมู่บ้านคงไม่มีอันตรายอะไร จึงไม่ได้พาหน่วยลับมาด้วย 


 


 


สวี่โย่วพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถอะ” นิ่งมองดวงหน้าเล็กที่แสดงความเหนื่อยให้เห็น ก่อนที่เขาจะถอยออกไป 

 

 

 


ตอนที่ 150.1

 

ข้าจะรับผิดชอบเอง

 


 


 


 


เสิ่นเวยดื่มน้ำแกงยา ทานข้าวต้มสองชามเล็กแล้วจึงนอนหลับ ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร ในความสะลึมสะลือก็รู้สึกว่ามีคนกำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าเตียงนาง 


 


 


กลางดึกตอนที่เสิ่นเวยตื่นขึ้นอีกครั้งก็เห็นศีรษะฟุบหลับฝันหวานอยู่ข้างเตียงนาง เมื่อตั้งใจมองก็พบว่าเป็นเถาฮวา 


 


 


พอเสิ่นเวยตื่น หลีฮวาที่อยู่เวรดึกก็เข้ามา “คุณหนู ท่านอยากดื่มน้ำหน่อยหรือไม่” นางรินน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว พยุงคุณหนูขึ้นป้อนน้ำ 


 


 


เสิ่นเวยดื่มน้ำแล้วก็รู้สึกสบายขึ้นมา เชยคางขึ้นเล็กน้อย “เถาฮวามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” 


 


 


หลีฮวากล่าว “ตั้งแต่ที่นางตื่นก็วิ่งมาหาคุณหนูที่นี่ ไม่ว่าจะโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่ยอมไป บ่าวเองก็หมดหนทาง ทำได้เพียงตามใจนาง” หลีฮวาเองก็จนปัญญา เถาฮวาเป็นคนดื้อรั้น นางอยากอยู่ที่นี่ ใครก็ห้ามนางไม่ได้ 


 


 


เสิ่นเวยเข้าใจความคิดที่เรียบง่ายของเถาฮวาดีอย่างยิ่ง นางมองเถาฮวาด้วยสายตาที่อ่อนโยน กล่าวเสียงเบา “อุ้มนางไปนอนบนตั่งเถอะ นอนแบบนี้ไม่สบาย” 


 


 


“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” หลีฮวาพยักหน้าตอบรับ ในใจกลับกล่าว คุณหนูดีต่อเถาฮวาจริงๆ นางอิจฉา แต่ไม่ได้ริษยา เพราะรู้ดีว่า ในเรื่องความภัคดี เถาฮวาเป็นที่หนึ่ง ในสายตาในหัวใจนางมีเพียงคนหนูผู้เดียวเท่านั้น 


 


 


อยางไรเสียเถาฮวาก็เป็นเด็ก หลีฮวาอุ้มนางไปนอนบนตั่งนางก็ไม่ตื่น เสิ่นเวยยิ้มน้อยๆ มองสีหน้าตอนนอนที่เงียบสงบของนาง ในใจรู้สึกพอใจเป็นพิเศษ 


 


 


“คุณหนู คุณชายสวีผู้นั้นไปแล้วเจ้าค่ะ” หลีฮวาพลันกล่าว 


 


 


“อ้อ” เสิ่นเวยไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว เดิมทั้งสองก็ไม่ได้รู้จักกันเท่าไรอยู่แล้ว ทั้งยังไม่ได้สนิทกันเหมือนคนในครอบครัว ค้างคืนในหมู่บ้านก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก 


 


 


“หมอเทวดาหลี่ยังไม่ไปเจ้าค่ะ” หลีฮวากล่าวต่อ 


 


 


เสิ่นเวยประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ประหลาดใจเพียงแค่ครู่เดียว “ให้คนคอยรับใช้ให้ดี” นางหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าว “พรุ่งนี้เช้าให้โอวหยางไน่มาที่นี่” นางยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องสั่งเขา 


 


 


“อะไรนะ ไม่กลับมาแม้แต่คนเดียวเลยหรือ” หัวหน้าของกลุ่มมือสังหารได้ยินการรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา ร่างทั้งร่างก็สั่นสะท้าน 


 


 


คนผู้นี้สูงอย่างยิ่ง สวมชุดสีฟ้าอ่อนทั้งร่าง ข้างบนปักลายดอกเหมยเป็นจุดๆ ห้อยหยกงามหนึ่งชิ้นตรงเอว มองดูแล้วเหมือนคุณชายสูงส่งตระกูลไหนสักตระกูล เพียงแต่ใบหน้าเขาสวมหน้ากากอยู่ นอกจากดวงตาแล้วก็มองไม่เห็นส่วนอื่นอีก แต่ฟังจากเสียงกลับเดาอายุของเขาไม่ได้ 


 


 


“ขอรับหัวหน้า มือสังหารสามสิบชั้นเทียนที่ส่งออกไปไม่มีใครกลับมาแม้แต่คนเดียว ผู้น้อยคิดว่าน่าจะร้ายมากกว่าดี” มือสังหารที่ยืนอยู่ข้างล่างกล่าวรายงาน 


 


 


น่าจะร้ายมากกว่าดีอะไร จะต้องร้ายมากกว่าดีแน่นอนอยู่แล้ว ดวงตาข้างหลังหน้ากากของหัวหน้ากลิ้งกลอกไปมาครู่หนึ่ง คล้ายกำลังคิดเรื่องที่คิดไม่ตกเรื่องหนึ่งอยู่ ตั้งแต่ที่ตั้งกลุ่มมือสังหารขึ้นมาก็เกือบจะร้อยปีแล้ว แต่ความล้มเหลวเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดรุณีนางนั้นเก่งถึงเพียงนี้เลยหรือ หรือว่าข้างกายนางมียอดฝีมือ เขาค่อนข้างเอนเอียงไปทางประเด็นหลังมากกว่า 


 


 


มิน่าเล่าคนผู้นั้นถึงจ่ายเงินก้อนโตต้องการให้ส่งมือสังหารสามสิบคนชั้นเทียนไปให้ได้ ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกว่าคนผู้นั้นทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เลย แต่ว่าคนที่จ่ายเงินคือเจ้าใหญ่นายโต แต่ไหนแต่ไรกลุ่มมือสังหารรับเงินมาแล้วก็ต้องทำงานให้เต็มที่ ผู้ว่าจ้างต้องการเช่นไรพวกเขาก็ทำเช่นนั้น 


 


 


ไม่คิดว่าส่งกำลังที่ยอดเยี่ยมในกลุ่มออกไปแล้วก็ยังล้มเหลว ความสูญเสียนี้มากเกินไปแล้ว สีหน้าของหัวหน้ามีความเสียดายวาบผ่านเล็กน้อย 


 


 


“ท่านหัวหน้า จะส่งคนไปปฏิบัติหน้าที่ต่อหรือไม่ ผู้น้อยจะไปเตรียมการทันที” ผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวถาม 


 


 


นี่คือกฎของกลุ่มมือสังหาร รับภารกิจมาแล้วก็ต้องทำให้เสร็จ หากล้มเหลวแล้ว เช่นนั้นก็ส่งคนไปทำต่อ จนกระทั่งภารกิจเสร็จสิ้น 


 


 


หัวหน้าส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้องรีบ เจ้าออกไปก่อนเถอะ รอคำสั่งของข้า ไม่มีคำสั่งข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ” 


 


 


ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่กลับไม่กล้าขัดคำสั่งของหัวหน้า 


 


 


หัวหน้าที่สวมหน้ากากนั่งครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ เขากำลังคิดว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาด หรือว่ามีเบื้องลึกอะไรที่เขาไม่ได้สืบให้ดี แม้ว่าสิ่งที่กลุ่มมือสังหารทำจะเป็นธุรกิจสังหารคน ไม่เคยกลัวกลุ่มอำนาจใดๆ แต่ก็มีกลุ่มอำนาจจำนวนหนึ่งที่เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง อย่างเช่นกองทัพ เขาไม่อยากให้หอมือสังหารต้องพังพินาศลงในมือเขา 


 


 


อืม รอดูอีกหน่อยแล้วกัน รอผู้ว่าจ้างมาหาเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน เขาตัดสินใจเช่นนี้ 


 


 


ความสามารถในการฟื้นตัวของเสิ่นเวยยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เช้าวันที่สองนางก็นั่งพิงหัวเตียงทานข้าวต้มเองได้แล้ว อย่างไรเสียโอวหยางไน่ก็ไม่วางใจ ไล่หู่โถวกลับเมืองแล้วตนอยู่แทน 


 


 


เขาไม่โง่ ย่อมเห็นแล้วว่าคนชุดดำเหล่านั้นเมื่อวานมีที่มาอย่างไร เขากลัวว่าเขาก้าวเท้าออกจากหมู่บ้านแล้ว มือสังหารจะตามมาอีก ทิ้งคนแก่คนเจ็บเหล่านี้ไว้เขาไม่วางใจจริงๆ ตามความคิดเขา กลับจวนโหวจึงจะปลอดภัยที่สุด แต่เมื่อวานใครให้คุณหนูตื่นนอนก็ตอนเย็นแล้วเล่า 


 


 


เสิ่นเวยสั่งโอวหยางไน่สองสามประโยคจากนั้นก็ไล่เขาออกไป นางคิดไปคิดมา แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่านี่คือฝีมือใครจึงไม่คิดเสีย ในเมื่อสามารถลอบสังหารนางได้หนึ่งครั้ง เช่นนั้นก็ต้องมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม นางไม่เชื่อว่าแต่ละครั้งจะไม่มีเบาะแสเลย เวลานานเข้านางจะต้องรู้ว่าศัตรูในที่มืดนี้คือใคร 


 


 


“คุณหนู” เถาฮวาที่ออกไปกินข้าวเช้ากลับมาแล้ว เมื่อเห็นคุณหนูของตนก็เผยรอยยิ้มกว้าง ในแววตาเต็มไปด้วยความอาวรณ์ 


 


 


“เถาฮวากินอิ่มแล้ว” เสิ่นเวยเองก็ยิ้ม สายตากวาดผ่านแขนที่พันผ้าพันแผลของนาง ในแววตามีอะไรบางอย่างแวบผ่าน 


 


 


เถาฮวาออกแรงพยักหน้า มองเห็นคุณหนูไม่ได้หลับตาสนิทนอนอยู่บนเตียงแล้วนางก็รู้สึกสบายใจขึ้น “คุณหนู ท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่” นางยื่นมือลูบตำแหน่งที่พันแผลของคุณหนูเบาๆ 


 


 


เสิ่นเวยตกใจ ยิ้มอีกครั้ง เด็กดีจริงๆ ใครบอกว่าเถาฮวาโง่ เถาฮวาน่ะเป็นเด็กที่ดีที่สุดเลย 


 


 


“เถาฮวาเจ็บไหม” เสิ่นเวยถามกลับ 


 


 


“เจ็บ” เถาฮวาพยักหน้า วันนี้ยังดีหน่อย เมื่อวานเจ็บจนปวดแสบปวดร้อนไปหมด 


 


 


“ทนได้ไหม” เสิ่นเวยถามต่อ 


 


 


เถาฮวาคิดครู่หนึ่ง พยักหน้า “ได้” แผลบนแขนจะว่าเจ็บก็เจ็บ แต่ก็ยังทนได้ แค่ความเจ็บในอกกลับไม่อาจทน เมื่อวานนางแทบจะหายใจไม่ได้ ยังดีที่ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว 


 


 


“เช่นนั้นข้าเองก็เหมือนเถาฮวา เจ็บก็เจ็บเล็กน้อย ไม่กี่วันก็หายแล้ว” เสิ่นเวยกล่าวกับเถาฮวา 


 


 


เถาฮวาพยักหน้า ฉีกยิ้มอย่างเบิกบาน ดีจริงๆ คุณหนูไม่ตายแล้ว อีกไม่กี่วันคุณหนูก็หายดีแล้ว คุณหนูจะไม่ทิ้งนางแล้ว 


 


 


หลีฮวาที่กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บข้าวของอยู่ก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ “คุณหนู คุณชายสวีทิ้งจดหมายไว้ให้ท่านหนึ่งฉบับ บ่าวเก็บไว้ให้ท่าน” เมื่อวานคุณหนูตื่นขึ้นก็กลางดึกแล้ว นางจึงลืมเรื่องนี้ไป 


 


 


เสิ่นเวยรับจดหมายมาเปิดอ่าน ชั่วขณะร่างทั้งร่างก็สับสน ในจดหมายมีเพียงหนึ่งประโยค ‘ข้าจะรับผิดชอบเอง วางใจ’  


 


 


นี่มันหมายความว่าอย่างไร รับผิดชอบหรือ รับผิดชอบอะไร แล้วยังวางใจอีก ข้ามีอะไรที่ไม่วางใจหรือ 


 


 


ไม่เคยได้ยินว่าช่วยคนแล้วยังต้องรับผิดชอบ คนผู้นี้หมายความว่าอะไรกันแน่ ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าตาดีแล้วจะพูดจาเหลวไหลได้นะ ต่อให้เจ้าจะหน้าตาดีกว่านี้ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้ามารับผิดชอบ 


 


 


ไม่ต้องมารับผิดชอบได้หรือไม่ 


 


 


เสิ่นเวยจะร้องไห้แล้วจริงๆ ใช่หมายความอย่างที่นางคิดไว้หรือไม่ เพราะว่าคนผู้นี้อุ้มนางจึงต้องการจะรับผิดชอบ นั่นไม่ใช่ว่าเป็นสถานการณ์พิเศษหรือ ไม่เคยได้ยินเลยว่าคุณชายสวีมีนิสัยเช่นนี้ 


 


 


หรือเพราะว่าตนสวยมากเป็นพิเศษ ในใจเสิ่นเวยภูมิใจอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นนางก็ได้สติกลับมา หยุดๆๆ คุณชายสวีเป็นใคร เจ้านายที่เข้าออกได้แม้แต่ห้องทรงอักษรของจักรพรรดิ ดอกไม้ป่าดอกเล็กเช่นตน ซ้ำยังเป็นดอกไม้ป่าที่ชุ่มเลือดไปทั่วร่าง จะตกอยู่ในสายตาเขาได้อย่างไร อย่าฝันกลางวันเสียดีกว่า 


 


 


ที่สำคัญก็คือท่านยินดีที่จะรับผิดชอบ แต่ข้ายังไม่อยากชดใช้ด้วยชีวิตบั้นปลายที่เหลือ ท่านก็อายุยี่สิบสองปีแล้ว ข้าเพิ่งจะสิบห้าปีเอง อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นเด็กสาวโฉมงามตลอดกาล วัวแก่กินหญ้าอ่อนจะดีจริงๆ หรือ พวกเราสองคนจะไปกันได้หรือ 


 


 


เฮ้อ ท่านเกิดข้ายังไม่เกิด ข้าเกิดท่านก็แก่แล้ว อยากจะ… หยุดๆๆ คิดอะไรอยู่เนี่ย 


 


 


อืม คาดว่าคุณชายสวีเองก็เพียงแค่แสดงความจริงใจ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะเสียใจภายหลังอยู่ก็ได้ เสิ่นเวยเก็บความคิดฟุ้งซ่าน ตัดสินใจลืมเรื่องนี้เสีย ทำเป็นว่าไม่เคยอ่านจดหมายฉบับนี้มาก่อน 


 


 


แต่คุณชายสวีที่ถูกเสิ่นเวยวิจารณ์ในใจไม่หยุดกลับกำลังไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ คิดในใจ ตอนนี้เด็กคนนั้นคงจะอ่านจดหมายแล้วแน่ๆ นางจะคิดอย่างไร ดีใจ? เขินอาย? โมโห? สวีโย่วคาดเดาไปมากมาย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็รู้สึกว่าเด็กคนนั้นไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ ส่วนนางจะมีการตอบสนองอย่างไรเขากลับบอกไม่ได้ 


 


 


ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะแต่งงานจริงๆ เพียงแค่คิดว่าข้างกายจะต้องมีสตรีเพิ่มเข้ามาก็หงุดหงิดเป็นอย่างยิ่งแล้ว แต่ตอนนี้คิดๆ ดู หากคนผู้นั้นเป็นเด็กหญิงนางนั้นก็คล้ายรู้สึกว่าดียิ่งนัก 


 


 


ในใจของสวีโย่วแอบเฝ้ารออย่างไม่น่าเชื่อ 


 


 


ส่วนเจียงเฮยกับเจียงไป๋ก็มองหน้ากันปราดหนึ่ง ต่างก็รู้สึกว่าท่าทางของเจ้านายวันนี้แปลกประหลาดเป็นพิเศษ 


 


 


อาจารย์ซูมาถึงหมู่บ้านช่วงสาย คนที่มาด้วยกันยังมีหมอหลิว อ้อ เขายังยืมตัวทหารคุ้มกันในจวนมาอีกด้วย 


 


 


เก็บของเสร็จนานแล้ว เมื่อคนขึ้นรถม้าก็สามารถตรงกลับเมืองได้ทันที เพราะว่าเสิ่นเวยร่างกายบาดเจ็บ หลีฮวาจึงปูผ้านวมสองชั้นไว้บนรถม้า 


 


 


เส้นทางขากลับราบรื่นอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เสียดายที่พวกเขาระมัดระวังตัวอย่างถึงที่สุด 


 


 


ส่งครอบครัวท่านตากลับจวนแม่ทัพใหญ่ก่อนแล้วเสิ่นเวยจึงกลับจวนจงอู่โหว ตอนที่ไปนางยังทิ้งเด็กรับใช้ไว้ให้ยี่สิบคน อ้างว่ามอบให้ท่านตาเรียกใช้ อันที่จริงเด็กรับใช้เหล่านี้ส่งไปเพื่อคุ้มกันครอบครัวท่านตา ในเมื่อไม่แน่ใจว่านักฆ่าพุ่งเป้ามาที่ใคร เช่นนั้นก็ต้องเตรียมการทุกด้านให้ดี 


 


 


ความปลอดภัยฝั่งนี้ของนางไม่เป็นปัญหาอย่างสิ้นเชิง ที่กังวลกลับเป็นครอบครัวของท่านตา กำลังคนในจวนแม่ทัพใหญ่น้อยเกินไป หากมีนักฆ่ากลุ่มใหญ่แบบเดียวกันปรากฏตัวอีกครั้ง จวนแม่ทัพใหญ่ก็คงจะถูกฆ่ายกครัว 


 

 

 


ตอนที่ 150.2

 

ข้าจะรับผิดชอบเอง

 


 


 


 


เสิ่นเวยกลับไปถึงจวนโหว ข่าวที่นางได้รับบาดเจ็บก็แพร่งพรายออกไปพร้อมกัน คนที่มาเยี่ยมนางถึงเรือนเฟิงฮวาคนแรกก็คือป้าสะใภ้ใหญ่ ฮูหยินสวี่ 


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ เหตุใดถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ น่าสงสารจริงๆ ดูสิใบหน้าเล็กๆ ขาวซีดหมดแล้ว ต้องพักฟื้นให้ดี ต้องการอะไรก็บอกป้าได้ตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจ” ฮูหยินสวี่ลูบหน้าของเสิ่นเวยด้วยความอ่อนโยน สีหน้าสงสาร 


 


 


เสิ่นเวยกล่าวอย่างหยอกล้อ “รู้ว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่รักข้า หลานไม่เกรงใจแน่นอน” พูดจบยังแลบลิ้น ท่าทางทะเล้นอย่างยิ่ง 


 


 


ทว่าฮูหยินสวี่กลับสบายใจอย่างมาก “ต้องอย่างนี้ เป็นครอบครัวสายเลือดเดียวกัน เกรงใจทำไม ข้าน่ะ ชอบความปราดเปรียวส่วนนี้ของเวยเจี่ยเอ๋อร์ที่สุดเลย” 


 


 


พูดไปพูดมา ตนก็ยิ้มออกแล้ว นึกถึงคำพูดที่สามีบอกนาง กล่าว “ลุงใหญ่ของเจ้าบอกว่าเจ้าเจอมือสังหารเข้าหรือ ข้าได้ยินแล้วตกใจแทบตาย ไม่ได้ไปที่หมู่บ้านหรอกหรือ เหตุใดถึงเจอมือสังหารเข้าได้” 


 


 


เสิ่นเวเองก็มีท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่ง “ใครว่าไม่ใช่เล่า หลานไปเรียนขี่ม้าที่หมู่บ้านกับลูกผู้น้อง จู่ๆ ก็มีคนปิดหน้าสวมชุดดำในมือถืออาวุธหนึ่งกลุ่มวิ่งออกมาจากป่า ล้อมพวกเราแล้วลงมือ หากไม่ใช่ญาติผู้พี่กับอาจารย์โอวหยาง รวมถึงเถาฮวาเยวี่ยกุ้ยและสาวใช้คนอื่นๆ ปกป้องอย่างสุดชีวิต หลานก็คงจะกลับมาไม่ได้แล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ครั้งนี้ข้ากลัวแทบตาย คนเลวเหล่านั้นน่ากลัวจริงๆ” ครอบครัวท่านตาเองก็ไปที่หมู่บ้าน นี่คือเหตุการณ์ที่คนจำนวนมากรู้เห็น เสิ่นเวยเองก็ไม่อยากปิดบัง อีกทั้งนั่นก็เป็นตระกูลฝั่งมารดาตน ไม่ใช่คนที่ไปพบไม่ได้ 


 


 


เสิ่นเวยพูดไปพลางก็ยังตัวสั่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดูท่าแล้วจะกลัวแทบตายจริงๆ 


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว” ฮูหยินสวี่กอดเสิ่นเวยไว้ในอ้อมอกแล้วลูบเบาๆ “ไม่ต้องกลัวๆ กลับจวนแล้ว ขุนนางเหล่านั้นในราชสำนักมัวทำอะไร กลางวันแสกๆ ยังมีคนชั่วปรากฏตัวได้ ทั้งยังอยู่ใกล้เมืองหลวงถึงเพียงนี้ ไม่กลัวจักรพรรดิทราบแล้วลงโทษหรืออย่างไร” 


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่โมโหเดือดดาล ในใจคิดว่าสามีจะต้องคิดมากไปแล้ว แม้ว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์จะเก่งกาจแต่ก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าปี ประเดี๋ยวก็เอ่ยว่าจะต่อยตีจสังหารคน ฝึกท่วงท่าสวยงามแต่ใช้งานไม่ได้จริง เมื่อเจอคนชั่วเข้าจริงๆ ก็แทบเอาชีวิตไม่รอดมิใช่หรือ 


 


 


ป้าสะใภ้ใหญ่พูดคุยเป็นเพื่อนนางพักหนึ่ง ทิ้งยาและยาบำรุงจำนวนมากไว้ให้จากนั้นก็กลับไป 


 


 


เหล่าไท่จวินกับป้าสะใภ้รองไม่มา ต่างก็ส่งสาวใช้ใหญ่ข้างกายมาแทน พี่สาวน้องสาวในจวนก็มาเยี่ยมนางหมดแล้ว เพียงแต่ในใจจะคิดอย่างไรก็มีเพียงพวกนางเองที่รู้ดี 


 


 


สีหน้ายินดีปรีดาบนความโชคร้ายของผู้อื่นทั้งใบนั้นของเสิ่นเวย คิดว่านางตาบอดมองไม่ออกหรือ เสิ่นอิงก็พูดจาชวนให้คนสำลักเช่นเดิม ‘ฟังว่าเจ้าเกือบตายแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าเก่งนักหรือ เหตุใดถึงไม่ระวังเลยเล่า’ 


 


 


ดูสิ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นคำพูดห่วงใย แต่ออกมาจากปากนางแล้วสามารถทำให้คนโกรธจนเป็นลมได้ เสิ่นเวยเป็นกังวลแทนว่าที่สามีของพี่สามนางอย่างยิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าความสามารถในการต้านทานของคนผู้นั้นเป็นอย่างไร จะรับวาจาร้ายกาจของพี่สามไหวหรือไม่ 


 


 


นายท่านสาม เสิ่นหงเซวียนเองก็มาเยี่ยมรอบหนึ่ง นั่งลงดื่มชาครึ่งวันไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว ท้ายที่สุดดื่มชาจนพอแล้วก็ทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค ‘รักษาตัวดีๆ’ จากนั้นก็เดินออกไป 


 


 


คนที่ทำให้นางปวดหัวที่สุดก็คือเสิ่นเจวี๋ยน้องชายของนาง เด็กคนนั้นปิดปากสนิทต่อหน้านาง เห็นบาดแผลบนร่างนางดวงตาก็แดงก่ำ ทว่ากลับไปแล้วกลับฝึกยุทธ์ราวกับบ้าคลั่ง ทำตัวเองฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว 


 


 


เสิ่นเวยรู้ว่าเด็กโง่คนนั้นจะต้องโทษว่าเรื่องนี้เป็นเพราะตน คิดว่าตนไม่สามารถปกป้องพี่สาวได้ เจ้าว่าเด็กโง่ผู้นี้เป็นกังวลเช่นนี้ได้อย่างไร ตอนที่ไม่รู้ประสาก็ทำให้โกรธจนคันไม้คันมือ ตอนนี้รู้ประสาแล้ว ก็ยังคงทำให้โมโหจนคันไม้คันมือเช่นเดิม 


 


 


จะฝึกก็ฝึกไปเถอะ เด็กผู้ชายน่ะ กำลังวังชาเต็มเปี่ยม หากไม่ระบายออกมาอัดอั้นแทบตายแล้วจะทำอย่างไร 


 


 


เรื่องการลอบสังหารครั้งนี้เสิ่นเวยถกเถียงกับมันสมองของนางรอบหนึ่ง ผลสรุป อืม ยังคงไม่มีผลสรุป แต่ว่าการเตรียมป้องกันของเรือนเฟิงฮวากลับเข้มงวดขึ้นมาก 


 


 


ส่วนความเห็นและการจัดการที่ในจวนมีต่อเรื่องนี้ เสิ่นเวยไม่ได้ถาม ท่านลุงใหญ่มาบอกนางเอง 


 


 


ช่วงเวลาพักฟื้นสงบสุขแต่กลับน่าเบื่อ เสิ่นเวยเกียจคร้าน แต่เกียจคร้านกับต้องนอนอยู่บนเตียงทั้งวันเป็นคนละเรื่องกัน เสิ่นเวยรู้สึกว่าตนกลายเป็นศพแข็งทื่อแล้ว ทุกครั้งที่นางอยากแอบลงจากเตียงไปทำอะไร ก็จะถูกเหล่าสาวใช้ผู้จงรักภัคดีต่อนางร่วมมือห้ามปราม เสิ่นเวยรู้สึกว่าชีวิตหมดสนุก น่าเบื่อเกินไปก็ทำได้เพียงแค่นอน กระทั่งกลางวันนอนเยอะเกินไป กลางคืนกลับนอนไม่หลับ 


 


 


เสิ่นเวยเหลือบมองจันทร์เสี้ยวดวงนั้นข้างนอก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกเหมือนถูกอะไรกัดแหว่งไป จากนั้นนางก็มองเห็นว่าด้านล่างหน้าต่างมีศีรษะคนหนึ่งคนโผล่ออกมาช้าๆ เสิ่นเวยยื่นมือไปลูบคลำใต้หมอนเงียบๆ คลำเจอเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ นี่คือของที่นางใช้เล่นกับเถาฮวาเมื่อตอนกลางวัน จึงกำไว้ในมือ 


 


 


หน้าต่างถูกเปิดออกช้าๆ เงาดำนั้นกระโดดเข้ามา เสิ่นเวยไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว รอคนผู้นั้นเดินมาหน้าเตียงแล้วจึงสะบัดมืออย่างรวดเร็ว ขณะที่ปาเหรียญทองแดงเหรียญนั้นออกไปก็ลุกขึ้น 


 


 


“ข้าเอง อยู่นิ่งๆ” เงาดำนั้นหันข้าง รับเหรียญทองแดงนั้นไว้ มุมปากกระตุก “เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” 


 


 


เสิ่นเวยเกือบโมโหแทบตาย กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “ท่านเองรู้ว่าดึกแล้ว ท่านยังวิ่งมาที่ห้องข้าทำไม” ใครกันแน่ที่อยู่ไม่นิ่ง เขาเองต่างหากที่อยู่ไม่นิ่ง 


 


 


นางคิดว่าคุณชายใหญ่ผู้นี้โรคจิตเล็กน้อย เป็นเช่นนี้จริงๆ วิ่งมาห้องนางกลางดึก คาดไม่ถึงว่ายังไม่ถูกพบเห็น ดูท่าแล้วการเฝ้าระวังคงต้องเพิ่มความเข้มงวดขึ้นอีก 


 


 


สวีโย่วเองก็พูดไม่ออกว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงวิ่งมาหานางกลางดึก คล้ายกับว่าอยากมาหานาง พูดคุยกับนาง ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับนางตนก็รู้สึกว่าเรือนที่กว้างโล่งไม่เงียบเหงาเช่นนั้นแล้ว 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงยังไม่นอน” สวีโย่วไอหนึ่งครากล่าวอย่างไม่เป็นตัวเอง 


 


 


เสิ่นเวยกลอกตาเงียบๆ “กลางวันนอนไปเยอะแล้ว กลางคืนเลยนอนไม่หลับ ท่านเล่า คงไม่ใช่ว่ากลางวันก็นอนไปเยอะเหมือนกันหรอกนะ” นอนไม่หลับก็ไม่ต้องมาเดินเล่นถึงห้องนาง ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวไม่รู้หรือ หากถูกใครพบว่าในห้องนางมีผู้ชาย นางจะถูกลงโทษรู้หรือไม่ 


 


 


“เปล่า เพียงแค่มาดูเจ้า แผลหายดีแล้วหรือยัง” สวีโย่วกล่าวในความมืด 


 


 


เสิ่นเวยเห็นว่าสวีโย่วถึงขนาดลากเก้าอี้มานั่ง ไม่มีความคิดจะไปแม้แต่นิดเดียว ชั่วขณะนางก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ตำหนิในใจ ข้ามีอะไรให้ดู มืดสนิทขนาดนี้ ดูผีน่ะสิไม่ว่า 


 


 


“แผลดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้ท่านเองก็เห็นข้าแล้ว รีบกลับไปเถอะ” เดิมเสิ่นเวยคิดว่าสวีโย่วหนุ่มรูปงามผู้นี้สูงส่งอย่างยิ่ง ตอนนี้ดูแล้วเขาก็คือโรคจิตคนหนึ่ง นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแม้แต่นิดเดียว 


 


 


“เจ้าไล่ข้าหรือ” เสียงที่เย็นเยียบแฝงความเหลือเชื่อเล็กน้อย คล้ายยังมีความน้อยใจอีกเล็กน้อย 


 


 


น้อยใจหรือ เจ้าน้อยใจบ้าอะไร ข้าต่างหากที่ได้รับความไม่เป็นธรรม 


 


 


“คุณชายใหญ่ นี่ไม่ใช่คำถามว่าข้าไล่ท่านหรือไม่ แต่เป็นพวกเราชายหญิงอยู่ร่วมกันในห้องเพียงลำพังไม่ใช่หรือ เรื่องแพร่ออกไปข้าจะยังเหลือชื่อเสียงอะไรอีก” เสิ่นเวยอธิบายด้วยความอดทน 


 


 


อยากจะโมโหจริงๆ แต่ว่าไม่ได้ นี่คือผู้มีพระคุณ 


 


 


“เรื่องไม่แพร่ออกไปหรอก” สวีโย่วกล่าวรับปาก “เจ้าอ่านจดหมายแล้วหรือ” 


 


 


“จดหมายอะไร” เสิ่นเวยตะลึงงัน 


 


 


“ข้าทิ้งจดหมายไว้ให้เจ้าที่หมู่บ้าน” 


 


 


เสิ่นเวยกลอกตาคิดครู่หนึ่ง อืม มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ “อ่านแล้ว” 


 


 


“ข้าจะรับผิดชอบเอง” จู่ๆ สวีโย่วก็กล่าว 


 


 


เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจ “รับผิดชอบอะไร” อย่าได้เป็นแบบที่นางคิดเด็ดขาด 


 


 


“สู่ขอเจ้า ข้ากับเจ้าแตะเนื้อต้องตัวกันแล้ว ข้าต้องสู่ขอเจ้า เจ้าวางใจ” สวีโย่วกล่าว 


 


 


เสิ่นเวยจะร้องไห้แล้วจริงๆ “นั่น…นั่นเป็นเหตุสุดวิสัย ท่านเองก็ทำเพื่อช่วยข้า เพราะเหตุคับขันจึงต้องปรับไปตามสถานการณ์ ข้าไม่ต้องการให้ท่านรับผิดชอบ ท่านเองก็ไม่ต้องฝืนใจตัวเองมาสู่ขอข้า” 


 


 


ข้าไม่สนว่าเจ้าจะสู่ขอหรือไม่ แต่ข้าไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากแต่งงาน! 


 


 


“ไม่ฝืนใจ ข้ายินดีสู่ขอเจ้า” สวีโย่วกล่าว 


 


 


“ไม่ต้องจริงๆ” เสิ่นเวยพูดอีกครั้ง เพียงแค่อุ้มนางครู่เดียว ซ้ำยังไม่ได้เสียหาย จะสู่ขออะไรกัน ไม่เคยได้ยินว่าถูกคนช่วยแล้วยังต้องชดใช้ด้วยชีวิตที่เหลือ ถึงในละครจะมีเรื่องใช้ร่างกายตอบแทนบุญคุณให้ชนิดนั้น แต่นางไม่ยินยอม 


 


 


“เจ้ารังเกียจข้า” เสียงของสวีโย่วเสียใจเล็กน้อย 


 


 


“เอ่อ เปล่านะ เปล่าเลย” เสิ่นเวยส่ายหน้าปฏิเสธ กล่าวแก้ “คุณชายใหญ่ท่านเกิดในจวนจิ้นอ๋อง รูปโฉมงาม คุณูปการยอดเยี่ยม จิตใจก็ดีงาม ข้าจะรังเกียจท่านได้อย่างไร” 


 


 


“ไม่รังเกียจข้าก็ดี รอเจ้าหายดีแล้วข้าจะหาคนมาสู่ขอที่จวน เจ้าวางใจเถอะ” ในความมืดดวงตาของสวีโย่วสว่างไสวราวกับดวงดาวบนฟ้า เมื่อพูดคำว่าสู่ขอเหตุใดเบื้องลึกในใจเขาถึงมีความสุขเพียงนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวเสียงอ่อน “ดึกแล้ว เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ ข้าไปล่ะ เจ้ารอข้ามาสู่ขอนะ” พูดจบก็กระโดดข้ามหน้าต่างหายตัวไปเหมือนตอนที่เขามา 


 


 


ทิ้งเสิ่นเวยให้ปากอ้าตาค้าง ใครไม่วางใจ ใครต้องการให้เจ้าสู่ขอ ข้ารับปากแล้วหรือ ไม่ใช่เจ้าพูดเองเออเองหมดหรือ เสิ่นเวยทุบผ้าห่มอย่างโหดเ**้ยม 


 


 


ไม่สนแล้ว ไม่สนแล้ว สู่ขอก็สู่ขอ อยากทำอะไรก็ทำ นอนล่ะ 


 


 


แต่ว่าผ่านไปนานเสิ่นเวยก็ยังคงนอนไม่หลับ นางร้องโอดครวญหนึ่งคราจากนั้นจึงลืมตาอีกครั้ง หากสวีโย่วหมอนั่นมาสู่ขอจริงๆ จะทำอย่างไร นางจะปฏิเสธได้หรือ ที่สำคัญก็คือเหตุใดใจนางถึงแอบรู้สึกดีใจเล็กๆ เล่า อย่างไรเสียคุณชายใหญ่ก็หน้าตาดี เห็นหน้าใบนั้นอย่างน้อยนางก็รู้สึกอยากอาหาร 


 


 


ส่วนสวีโย่วที่กลับไปถึงเรือนตนเองก็คิดคำนวณว่าจะเชิญใครไปสู่ขอจึงจะเหมาะสม คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าองค์หญิงใหญ่เหมาะสม เลือกคนสู่ขอได้แล้วก็คิดเรื่องสินสอดต่อ คำนวณว่าตัวเขามีทรัพย์ส่วนตัวอยู่เท่าไร ที่จวนสามารถออกให้ได้เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานจึงไม่ได้สนใจ เป็นบุตรชายของบิดาเขาเหมือนกัน ที่จวนจะออกให้เขาน้อยกว่าได้อย่างไร 


 


 


อืม พรุ่งนี้ให้เจียงไป๋ไปสืบถามใบรายการสินสอดของน้องรองน้องสาม ตนเป็นพี่คนโต เด็กน้อยนั่นย่อมไม่อาจน้อยหน้าผู้อื่นได้ 


 


 


คิดไปมากมายเช่นนี้ สวีโย่วก็ไม่มีอารมณ์นอนแม้แต่นิดเดียวแล้ว


 

 

 


ตอนที่ 151.1

 

จวนจิ้นอ๋อง

 


 


 


 


จวนจิ้นอ๋อง เรือนหลังส่วนในของบ้าน  


 


 


นายหญิงจวนจิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋อง ซ่งซื่อกำลังนั่งอยู่บนตั่งนอนสนทนากับแม่นมซือคนสนิท นางสวมเครื่องประดับหยกเต็มศีรษะ เครื่องสำอางบนใบหน้างดงาม เพียงแค่หางตาหางคิ้วยังมองออกว่านางคือหญิงงาม 


 


 


“พอฉั่งเกอเอ๋อร์แต่งงาน ภาระของข้าก็นับว่าเบาลงไปกว่าครึ่งแล้ว” พระชายาจิ้นอ๋องหรี่ตา เคลิบเคลิ้มไปกับการนวดของสาวใช้ 


 


 


“พระชายาอย่าเพิ่งพูดเช่นนี้ พอคุณชายสี่แต่งงานแล้ว ท่านยังต้องร้อนใจอยากอุ้มหลานชายอีกมิใช่หรือ ภาระของท่านยังหนักอยู่เลยเจ้าคะ” แม่นมซือกล่าวเสียงเบา 


 


 


มุมปากพระชายาจิ้นอ๋องปรากฏรอยยิ้ม “แม่นมพูดมาก็ถูก ภรรยาของเยี่ยเกอเอ๋อร์ก็มีลูกสาวสองคนแล้ว จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถมีลูกชายเพิ่มให้เยี่ยเกอเอ๋อร์ได้เลย ภรรยาของเหยียนเอ๋อร์แต่งงานมาสามปีแล้วเพิ่งจะตั้งครรภ์ ข้าหวังว่าครรภ์นี้ของนางจะสามารถมีหลานชายให้ข้าได้ คิดถึงตรงนี้ข้าก็กลุ้มใจจนนอนหลับไม่สนิท หัวอกคนเป็นพ่อแม่ ทุกข์ใจไม่จบไม่สิ้นจริงๆ” 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเป็นสตรีที่โชคดีอย่างยิ่ง แต่งงานกับจิ้นอ๋องมายี่สิบกว่าปีก็ยังรักกันเหมือนก่อน เรือนหลังจวนจิ้นอ๋องนางเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว จิ้นอ๋องไม่มีชายารองแม้แต่คนเดียว อนุภรรยาที่มีเพียงสองคนก็เพียงแค่มีไว้ประดับ ตลอดปีอยู่เงียบๆ ในเรือนของตัวเอง ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่เลยแม้แต่น้อย 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องมีบุตรชายสามคน ได้แก่คุณชายรองสวีเยี่ย คุณชายสามสวีเหยียน คุณชายสี่สวีฉั่ง คุณชายรองกับคุณชายสามนั้นล้วนแต่งงานแล้ว คุณชายสี่เองก็กำลังดูสตรีอยู่ 


 


 


อ้อ นอกจากบุตรภรรยาหลวงสามคนที่เกิดจากพระชายาจิ้นอ๋องแล้ว พระชายาจิ้นอ๋องยังมีบุตรชายคนโตสวีโย่ว คุณชายห้าซึ่งเป็นลูกอนุภรรยาสวีสิง คุณหนูใหญ่ซึ่งเป็นลูกอนุภรรยาสวีเจียนเจีย 


 


 


“หลายวันมานี้พระชายาก็ดูคุณหนูตระกูลต่างๆ มาไม่น้อย ตัดสินใจเลือกคนที่จะมาเป็นว่าที่ฮูหยินคุณชายสี่ได้หรือยังเจ้าคะ” แม่นมซือเอ่ยถามช้าๆ 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเปลี่ยนท่าทางกล่าว “ฉั่งเกอเอ๋อร์ชอบเที่ยวเล่น เกรงว่าหนทางชีวิตการเป็นขุนนางจะสู้เยี่ยเกอเอ๋อร์กับเหยียนเกอเอ๋อร์ไม่ได้ ข้าคิดว่าจะต้องแต่งภรรยาที่มีความสามารถให้เขา หากจะพูดว่าเหมาะสม ชิงหรุ่ยตระกูลองค์หญิงใหญ่ก็เหมาะสมที่สุด ฐานะครอบครัวเหมาะสมกัน ทั้งยังเป็นลูกพี่ลูกน้อง เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ความสัมพันธ์ย่อมดีกว่าคนอื่น น่าจะเข้ากันได้ดี” 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องหมายตาบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวขององค์หญิงใหญ่เอาไว้ ใจอยากได้ท่านหญิงน้อยเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของนาง มีพระเช่นองค์หญิงใหญ่องค์นี้เป็นที่พึ่งแล้ว ลูกชายของนางยังมีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก 


 


 


นางวางแผนไว้ดีอย่างยิ่ง แต่กลับลืมคิดว่าองค์หญิงใหญ่จะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของนางหรือไม่ แม้แต่สวีเยี่ยซื่อจื่อของจวนจิ้นอ๋อง องค์หญิงใหญ่ยังไม่ทรงเหลียวแล นับประสาอะไรกับกับสวีฉั่งที่เก่งแต่กินดื่มเที่ยวเล่นผู้นี้ ฝันไปเถอะ 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ แต่ในใจแม่นมซือกลับเข้าใจดี นางลังเลครู่หนึ่ง ยังคงกล่าวเตือนอย่างนิ่มนวล “ท่านหญิงน้อยชิงหรุ่ยกับคุณชายสี่ของพวกเราอายุใกล้เคียงกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าองค์ใหญ่จะทรงยินยอมหรือไม่” 


 


 


ตั้งแต่ที่พระชายาแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋อง แม่นมซือก็อยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด นางรู้ดีว่าองค์หญิงใหญ่เพียงแค่ทำดีต่อหน้าหวังเฟยเท่านั้น ทั้งจวนจิ้นอ๋อง คนที่องค์หญิงใหญ่ให้ความสำคัญที่สุดคือคุณชายใหญ่ต่างหาก! 


 


 


พระชายาจิ้งอ๋องไม่สนใจ “นางมีอะไรให้ไม่ยอม แม้จะบอกว่าชิงหรุ่ยเด็กคนนั้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านหญิง แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพียงเด็กไม่มีพ่อ ข้าไม่รังเกียจนางก็ดีเท่าไรแล้ว นางสามารถแต่งงานกับฉั่งเกอเอ๋อร์ได้ก็นับเป็นวาสนาของนางแล้ว” พระชายาจิ้นอ๋องเองก็ไม่ชอบองค์หญิงใหญ่เช่นกัน เป็นแค่แม่หม้ายสามีตาย อาศัยความโปรดปรานของจักรพรรดิทำตัวสูงส่ง วันทั้งวันเอาแต่เชิดคางมองคนอื่น ข้าจะดูว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะมีจุดจบอย่างไร 


 


 


แม่นมซือได้ยินคำพูดนี้ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างเฉียบแหลมทันที “การสมรสของคุณชายสี่มีเค้าโครงแล้ว พระชายาท่านเองก็ควรจะเป็นห่วงคุณชายใหญ่เหมือนกันมิใช่หรือเจ้าคะ” นางกล่าวอย่างระมัดระวัง 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องตะลึงงัน “คุณชายใหญ่หรือ เป็นห่วงอย่างไร ข้าไม่ได้เป็นห่วงอยู่หรือ เขาเสียคู่หมั้นไปสามคนแล้ว พระอาจารย์ก็บอกแล้วว่าเขามีดวงชะตาอัปมงคล ชีวิตต้องโดดเดี่ยว อย่าทำลายชีวิตคุณหนูตระกูลอื่นเลยดีกว่า มีใครบ้างที่พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงมาอย่างทะนุถนอม น่าสงสารนัก! นี่เป็นเรื่องอับจนหนทางนัก ยิ่งไปกว่านั้นโย่วเสวี่ยบอกเองไม่ใช่หรือว่าไม่อยากแต่งงาน” 


 


 


คุณชายใหญ่ผู้นี้เป็นหนามยอกอกของจวนจิ้นอ๋อง เห็นได้ชัดว่าตอนแรกนางกับท่านอ๋องรักกันอยู่ดีๆ อยู่ หญิงผู้นั้นดันสอดเท้าเข้ามา แย่งตำแหน่งพระชายาจิ้นอ๋องของนางไป 


 


 


โชคดีที่หญิงผู้นั้นอายุสั้น เพียงแค่สองปีก็เสียชีวิตแล้ว แต่กลับทิ้งผีทวงหนี้ไว้ขัดลูกตานาง โชคดีที่ผีทวงนี้ตนนี้สุขภาพไม่ดี ช่วงเวลาส่วนใหญ่ก็รักษาตัวอยู่บนเขา มิเช่นนั้นนางไหนเลยจะสบายเช่นนี้ได้ 


 


 


เฮ้อ เจ้าแต่งเข้ามาก่อนแล้วอย่างไร ผู้ชนะคนสุดท้ายก็ยังคงเป็นข้ามิใช่หรือ ตั้งแต่ที่ลูกชายแท้ๆ ของตนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นซื่อจื่อ พระชายาจิ้นอ๋องก็ยิ่งไม่เห็นสวีโย่วอยู่ในสายตา เจ้าเป็นลูกชายภรรยาหลวงแล้วอย่างไร เจ้าได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิแล้วจะมีประโยชน์อันใด จวนจิ้นอ๋องก็ยังตกเป็นของลูกชายข้าอยู่ดีมิใช่หรือ 


 


 


แม่นมซือรู้ความคิดของพระชายาดี และเพราะว่ารู้ดีนางจึงกลัวพระชายาจะทำเรื่องผิดพลาด นางเป็นคนของพระชายา พระชายาเป็นอยู่ดีนางถึงจะดีได้ 


 


 


“แม้จะพูดเช่นนี้ แต่พระชายาเจ้าคะ เรื่องที่ท่านควรทำก็ยังต้องทำนะเจ้าคะ อย่างไรเสียท่านก็เป็นแม่ใหญ่ของคุณชายใหญ่ เป็นนายหญิงของจวนจิ้นอ๋อง ท่าทีที่ควรมีท่านก็ต้องมี ท่านอ๋องไม่พูด แต่อย่างไรเสียคุณชายใหญ่ก็เป็นบุตรของเขามิใช่หรือ ยังมีองค์จักรพรรดิ ท่านจัดการเรื่องสมรสให้คุณชายใหญ่ จักรพรรดิก็ต้องชื่นชมท่านเช่นกัน” แม่นมซือโน้มน้าวอย่างใจเย็น 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องคล้ายกำลังครุ่นคิด ขมวดคิ้วไตร่ตรอง พยักหน้าช้าๆ “แม่นมพูดถูก เป็นมารดา ข้าก็ควรจะยุติธรรม เห็นแก่ท่านอ๋องข้าเองก็ไม่อาจปฏิบัติต่อโย่วเกอเอ๋อร์อย่างไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่” 


 


 


“พระชายาจิตใจงามนัก” แม่นมซือกล่าวชม 


 


 


ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับยังคงขมวดคิ้ว “แต่คู่สมรสของโย่วเกอเอ๋อร์หาไม่ง่ายเลย ปีนี้เขาก็ยี่สิบสองปีแล้ว อายุมากไปหน่อยจริงๆ อีกทั้งสุขภาพของเขา ตระกูลใดจะยอมมอบบุตรสาวให้แต่งงานเล่า มีตระกูลเล็กๆ มาวิ่งไล่ตาม แต่ฐานะก็ต่ำเกินไป จวนอ๋องและศักดิ์ศรีของท่านอ๋องจะเสื่อมเสียหมด” 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องลำบากใจขึ้นมา นางกลับยินดีจะแต่งสวีโย่วกับคนที่มีฐานะต่ำต้อย ฐานะต่ำต้อยจึงจะควบคุมง่าย แต่อย่างไรเสียสวีโย่วก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง แต่งกับคนฐานะต่ำต้อย ท่านอ๋องกับจักรพรรดิจะต้องไม่ยอมเป็นแน่ นี่ทำให้พระชายาจิ้นอ๋องเสียดายอย่างถึงที่สุด 


 


 


แม่นมซือตาเป็นประกาย ออกความคิดเห็น “ครอบครัวฝั่งมารดาของพระชายายังมีคุณหนูลูกพี่ลูกน้องที่ยังไม่ออกเรือนมิใช่หรือเจ้าคะ” 


 


 


“ไม่ได้ งานสมรสของหนิงเจี่ยเอ๋อร์พี่ใหญ่วางแผนแล้ว” พระชายาจิ้นอ๋องปฏิเสธข้อเสนอนี้ทันที หนิงเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวภรรยาหลวงที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของพี่ใหญ่ ตั้งแต่เล็กก็เชิญอาจารย์ชื่อดังมาอบรมสั่งสอน ศึกษากฎระเบียบดีเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้องค์ชายหลายองค์ของจักรพรรดิต่างก็ถึงอายุที่ต้องสมรสแล้ว การวางแผนของพี่ใหญ่ นางเองก็เห็นด้วยอย่างถึงที่สุด 


 


 


แม่นมซือยิ้มกล่าว “คุณหนูอี๋หนิงย่อมไม่ได้แน่นอน แต่ไม่ใช่ว่ายังมีคุณหนูอี๋ฮุ่ยอี๋เจียอยู่อีกหลายท่านหรือ” 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องยังคงขมวดคิ้ว “อี๋ฮุ่ยอี๋เจียล้วนแต่เป็นลูกอนุภรรยา ฐานะจะเหมาะสมหรือ” แต่งลูกอนุภรรยาให้บุตรชายคนโตของจวนจิ้นอ๋อง เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง 


 


 


“จะไม่เหมาะสมได้อย่างไร พระชายาท่านคิดดู ด้วยเงื่อนไขของคุณชายใหญ่ของเรา ตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลใดจะยอมให้บุตรสาวภรรยาหลวงแต่งงานด้วย แม้ว่าคุณหนูอี๋ฮุ่ยอี๋เจียจะเป็นลูกอนุภรรยา แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณชายใหญ่ของพวกเราก็เป็นถึงราชเลขากรมโยธาธิการ ไม่ใช่ว่าเหมาะสมหรอกหรือ” แม่นมซือค่อยๆ วิเคราะห์ 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องพยักหน้าช้าๆ “จริงด้วย ได้ พรุ่งนี้ข้าจะเรียกพี่สะใภ้ใหญ่มาปรึกษาดู” 


 


 


“ยังมีท่านอ๋องด้วยเจ้าค่ะ” แม่นมซือกล่าวเตือน 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องพยักหน้าอีกครั้ง จัดการเรื่องมงคลเช่นนี้ นามย่อมต้องบอกท่านอ๋อง และให้ท่านอ๋องดูว่านางไม่ได้ปฏิบัติต่อลูกชายคนโตของเขาอย่างไม่เป็นธรรม 


 


 


บอกว่าทำก็ลงมือทำ พระชายาจิ้นอ๋องสั่งสาวใช้ใหญ่หวาเยียน “ไปเชิญท่านอ๋องที่ห้องหนังสือด้านนอกมา บอกว่าข้ามีเรื่องจะปรึกษา” 


 


 


วันนี้จิ้นอ๋องอยู่ในจวนพอดี ตอนที่ออกไปตอนเช้าก็บอกพระชายาจิ้นอ๋องว่าจะไปหารือกับนายทหารผู้ช่วยที่ห้องหนังสือด้านนอก 


 


 


จิ้นอ๋องมาเร็วอย่างยิ่ง เห็นสวีโย่วก็รู้แล้วว่ารูปโฉมจิ้นอ๋องจะต้องไม่ด้อยอย่างแน่นอน คนในราชวงศ์ รูปโฉมจะแย่ได้อย่างไร 


 


 


“พระชายาเชิญข้ากลับมามีเรื่องอันใดหรือ” จิ้นอ๋องเลิกเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องดวงตาเป็นประกาย กล่าวกับเขาอย่างไม่พอใจ “ทำไมเล่า หากไม่มีธุระจะเชิญท่านอ๋องกลับมาไม่ได้หรือ” 


 


 


“ดูพระชายาพูดเข้า ข้าก็รีบกลับมาฟังคำสั่งของพระชายาแล้วไม่ใช่หรือไร” จิ้นอ๋องยิ้มกล่าว 


 


 


สองสามีภรรยาเย้าหยอกกันครู่หนึ่ง พระชายาจิ้นอ๋องจึงกล่าว “เพราะว่ากำลังดูภรรยาให้ฉั่งเกอเอ๋อร์อยู่ ข้าจึงนึกถึงโย่วเกอเอ๋อร์ขึ้นมา เขาอายุยี่สิบสองแล้ว ข้างกายไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อน ทุกครั้งที่ข้านึกขึ้นได้ก็รู้สึกสงสารและไม่สบายใจ เรื่องสมรสของโย่วเกอเอ๋อร์ ท่านอ๋องคิดเห็นอย่างไร” 


 


 


“เอ่ยถึงเขาทำไม” รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้นอ๋องจางลงแล้ว 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องทำเป็นมองไม่เห็น กล่าว “เขาเป็นบุตรคนโตของท่านอ๋องมิใช่หรือ เยี่ยเกอเอ๋อร์เหยียนเอ๋อร์ที่เด็กกว่าเขาล้วนแต่งงานหมดแล้ว แม้แต่ฉั่งเกอเอ๋อร์ก็เริ่มวางแผนแล้ว โย่วเกอเอ๋อร์ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาจะใช้ได้หรือ ข้าเป็นพระชายา เป็นมารดาของจวนจิ้นอ๋อง โย่วเกอเอ๋อร์ดวงชะตาไม่ราบรื่น ข้าจะกลุ้มใจแทนเขาไม่ได้หรือ” 


 


 


จิ้นอ๋องยังคงไม่ยินดี “เรื่องนี้เจ้าจัดการเองตามสมควรเถอะ” ลูกผู้ชายเช่นเขา ไหนเลยจะรู้ว่าต้องแต่งภรรยาให้ลูกชายอย่างไร อีกทั้งยังเป็นลูกชายที่ไม่สนิทกับเขามาตั้งแต่เล็กแล้วด้วย 


 


 


“ท่านอ๋อง โย่วเกอเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตของท่าน การสมรสของเขามีความต้องการอย่างไรขอท่านชี้แนะด้วย ข้าจึงจะจัดการได้ดี ยังมีองค์จักรพรรดิ ท่านไปบอกองค์จักรพรรดิสักหน่อยดีหรือไม่” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวอย่างอดทน 


 


 


จิ้นอ๋องหงุดหงิดกว่าเดิม “ลูกของข้าแต่งงานเกี่ยวอะไรกับจักรพรรดิ การสมรสของเขาเจ้าจัดการเองตามสมควร ฐานะไม่ต่างกันมากไม่เสียหน้าจวนอ๋องก็ได้แล้ว ข้ายังมีงาน ตอนเที่ยงไม่กลับมากินข้าว” จิ้นอ๋องหน้าดำคร่ำเครียดเดินออกไปข้างนอก 


 


 


แม่นมซือกับหวาเยียนในห้องเห็นท่านอ๋องโมโหต่างก็หวาดกลัวอย่างถึงที่สุด แต่พระชายาจิ้นอ๋องกลับไม่สนใจ กลับมีความสุขอย่างถึงที่สุด 


 

 

 


ตอนที่ 151.2

 

จวนจิ้นอ๋อง

 


 


 


 


วันที่สอง พระชายาจิ้นอ๋องส่งคนไปรับหลานสาวสามคนจากบ้านฝั่งแม่มาพักชั่วคราวที่จวนจิ้นอ๋อง 


 


 


“ท่านอาไม่ได้เจอกันนาน ท่านยังเยาว์วัยอยู่เลย ดูสีหน้าท่านสิ ดีว่าพวกข้าสามคนเสียอีก” ซ่งอี๋ฮุ่ยที่สวมชุดสีเหลืองอ่อนพูดจากประจบประแจง นางเป็นบุตรสาวอนุภรรยาพี่ใหญ่ของพระชายาจิ้นอ๋อง อายุสิบหก อยู่ลำดับที่หก 


 


 


“ใช่แล้วๆ ท่านอาท่านมีเคล็ดลับบำรุงหน้าอะไรรีบบอกหลาน อย่าเก็บไว้คนเดียวสิเจ้าคะ” ซ่งอี๋ 


 


 


เจียที่สวมชุดสีชมพูอ่อนตาโตน่ารักก็สอพลอคล้อยตามเช่นกัน นางเป็นบุตรสาวอนุภรรยาพี่รองของพระชายาจิ้นอ๋องอายุสิบหกปีเช่นเดียวกัน แต่เด็กกว่าซ่งอี๋ฮุ่ยสามเดือน ในจวนอยู่ลำดับที่เจ็ด 


 


 


คนทั้งสองพูดคล้อยตามกันจนพระชายาจิ้นอ๋องหัวเราะร่ามีความสุข ชี้พวกนางแล้วกล่าว “พวกเจ้าน่ะซุกซนนัก อาแก่จะตายอยู่แล้ว ไหนเลยจะเทียบคุณหนูอายุน้อยเช่นพวกเจ้าได้” 


 


 


“ที่ไหนกัน พวกข้าพูดความจริงนะเจ้าคะ ท่านถามน้องเก้าดู ท่านอาทั้งเยาว์วัยทั้งสูงส่งใช่หรือไม่” ซ่งอี๋เจียแสยะปากเล็กๆ ดึงแขนเสื้อของพระชายาจิ้นอ๋องอย่างไม่ยอม อีกทั้งยังบอกให้ซ่งอี๋หนิงที่ยิ้มน้อยๆ จิบชาอยู่ข้างๆ ตัดสิน เดิมนางก็หน้าตาดี ท่าทางเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนละสายตาไม่ได้ 


 


 


ซ่งอี๋ฮุ่ยมองจนตาร้อน ไม่ใช่ว่าอาศัยหน้าตาแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างกับนางหรอกหรือ หน้าตาดีแต่ไม่มีฐานะก็เป็นเพียงคนที่ใช้หน้าตาดึงดูดคน เหมือนกับอี๋เหนียงที่เหนียมอายผู้นั้นของนาง 


 


 


ซ่งอี๋หนิงแค่นเสียงในใจ แต่สีหน้ากลับยิ้มแย้ม “พี่หกกับพี่เจ็ดพูดถูก ท่านอาเป็นถึงพระชายาของจวน รูปลักษณ์ของท่านจะเทียบกับเด็กผู้หญิงที่ยังไม่โตเช่นพวกข้าได้อย่างไร” แม่นางบอกจุดประสงค์ในการมาพักชั่วคราวที่จวนอ๋องครั้งนี้กับนางก่อนแล้ว นางมาเป็นเพื่อนแขก นางมีอนาคตที่ดีอย่างยิ่งอยู่แล้ว ย่อมไม่อาจเข้าร่วมการต่อสู้ของพี่สาวลูกอนุภรรยาสองคนนี้แน่นอน 


 


 


“ดูสิๆ แม้แต่น้องเก้ายังพูดเช่นนี้ ท่านอา ท่านเอาชาดแป้งน้ำที่เคยใช้แล้วมาให้หลานสักกล่องเถิด หลานไม่ขอเทียบเคียงท่านได้ เพียงแค่พอไปวัดไปวาได้หลานก็พอใจแล้ว” ซ่งอี๋ฮุ่ยรับคำพูดต่อ 


 


 


“ขอหลานด้วย! ท่านอาท่านอย่าลำเอียงนะเจ้าคะ!” ซ่งอี๋เจียบิดตัวออดอ้อน 


 


 


“มีๆ มีให้หมดนั่นแหละ หวาเยียน ยังไม่รีบไปเอาชาดแป้งน้ำที่วังหลวงพระราชทานมาให้คุณหนูทั้งสามคนละกล่องอีก พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กดี อามีลูกชายสามคน ชอบเด็กผู้หญิงที่อ่อนโยนอ่อนหวานที่สุด ครั้งนี้พวกเจ้าสามคนก็อยู่เป็นเพื่อนอาหลายๆ วันหน่อย” พระชายาจิ้นอ๋องกำชับซ้ำๆ มองหลานที่งามราวกับบุปผา มุมปากก็ยกสูง 


 


 


สมชื่อสามพี่น้องตระกูลซ่ง 


 


 


ซ่งอี๋ฮุ่ยกับซ่งอี๋เจียรู้ดีเรื่องการมาพักชั่วคราวที่จวนจิ้นอ๋อง อีกทั้งยังสมัครใจอย่างถึงที่สุด คุณชายใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง เป็นคู่สมรสที่ตกลงมาจากฟ้าจริงๆ สำหรับเรื่องที่สุขภาพคุณชายใหญ่ไม่ดี หึๆ นี่ไม่ใช่ปัญหาอย่างสิ้นเชิง หากสุขภาพของคุณชายใหญ่แข็งแรงก็คงจะแต่งงานกับสตรีตระกูลสูงส่งไปนานแล้ว ไหนเลยจะตกมาถึงพวกนาง แม้ว่าท่านอาของพวกนางจะเป็นพระชายาจิ้นอ๋อง แต่คุณชายใหญ่เองก็ไม่ใช่คนที่พวกนางจะฝันลมๆ แล้งๆ ถึงได้ 


 


 


ตัดเรื่องฐานะบุตรคนโตของจวนจิ้นอ๋องออกไป เพียงแค่รูปร่างหน้าตาของคุณชายใหญ่ก็ทำให้พวกนางต้องวิ่งไล่ตามแล้ว 


 


 


ตอนนี้ท่านอาให้โอกาสพวกนางเช่นนี้ ในใจพวกนางซาบซึ้ง ทั้งยังตัดสินใจเงียบๆ หลังจากแต่งงานกับคุณชายใหญ่แล้วจะต้องช่วยท่านอาปราบเขาให้อยู่หมัด อาหลานรวมใจ 


 


 


แต่ว่าคุณชายใหญ่มีเพียงคนเดียว สุดท้ายแล้วคนที่แต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องก็มีแค่เพียงคนเดียว ดังนั้นซ่งอี๋เจียกับซ่งอี๋ฮุ่ยผู้เข้าแข่งขันสองคนนี้จะยอมญาติดีกับอีกฝ่ายได้อย่างไร ต่างก็อยากจิกฝ่ายตรงข้ามให้ตายไปเสีย 


 


 


“ข้าว่าน้องถอยไปเสียจะดีกว่า คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องไม่ใช่ว่าคู่ควรกับใครก็ได้ ถึงตอนนั้นทำตัวเองอับอายแล้วอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนเจ้า” ซ่งอี๋ฮุ่ยมองซ่งอี๋เจียอย่างเหยียดหยามแล้วกล่าว 


 


 


ท่านอารองเป็นเพียงขุนนางลำดับหก จะเทียบเท่าบิดาที่มีตำแหน่งเป็นถึงราชเลขาได้อย่างไร บุตรสาวของราชเลขากับบุตรสาวของขุนนางลำดับที่หก เพียงแค่ฐานะตนก็กดนางไว้ได้แล้ว ท่านอาจะต้องเลือกตนอย่างแน่นอน 


 


 


ซ่งอี๋เจียเลิกคิ้วอย่างเย็นชา “ใครทำตัวเองอับอายยังไม่รู้อีกหรือ ด้วยตาเล็กๆ คู่นั้นของเจ้ายังคิดจะอยู่ในสายตาของคุณชายใหญ่อีกหรือ ฝันไปเถอะ!” 


 


 


คนโง่ ฐานะไม่ใช่เรื่องใหญ่ อี๋เหนียงบอกแล้วว่า ผู้ชายชอบหญิงงาม ด้วยใบหน้าที่งดงามดวงนี้ของตน คุณชายก็ควรจะเลือกนาง 


 


 


“เจ้า! คอยดูแล้วกัน! หึ!” ซ่งอี๋ฮุ่ยหน้าเปลี่ยนสี โมโหสุดชีวิต ไม่ใช่สิ่งอื่นใด ซ่งอี๋เจียพูดแทงใจดำนาง หน้าตาเป็นจุดอ่อนของนางเสมอมา แม้ว่าดวงตาทั้งคู่ของนางจะไม่ได้เล็กเหมือนอย่างที่ซ่งอี๋เจียพูด แต่เทียบกับดวงตาที่กลมโตของพี่น้องคนอื่นๆ นางกลับเทียบไม่ติด 


 


 


“คอยดูก็คอยดูสิ ใครกลัวกัน” ซ่งอี๋เจียไม่ยอมอ่อนข้อ 


 


 


คนทั้งสองราวกับนกยูงที่ทะนงตน ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบหน้ากัน แค่นเสียงหึหนึ่งครา ต่างคนต่างก็กลับเข้าห้องตัวเองไป 


 


 


สวีโย่วกลับมาจากข้างนอก นึกถึงสายตาที่หยอกล้อคู่นั้นของเสด็จอาองค์หญิงใหญ่ และคำพูดที่ดีใจอย่างถึงที่สุด ‘ก่อนหน้านี้เจ้ายังไหว้วานให้ข้าไปพูดเรื่องสมรสกับคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่น โชคดีที่ช่วงนี้ข้ายุ่ง ไม่ได้สนใจ มิเช่นนั้นเจ้าคงจะเสียดายแย่’ ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาเงียบๆ เพียงแค่คิดว่าเสด็จอารับปากจะสู่ขอให้เขา มุมปากเขาก็ยกขึ้นอย่างอดไม่ได้แล้ว 


 


 


สำหรับท่านพ่อและพระชายาในจวน ใครจะสนพวกเขากัน ข้าเป็นคนแต่งงาน ไม่ใช่พวกเขาเสียหน่อย 


 


 


“ญาติผู้พี่” สวีโย่วกำลังเดินไปที่เรือนตนเอง จู่ๆ ก็มีสตรีหน้าตาน่ารักคนหนึ่งวิ่งออกมาจากข้างทางเดินเส้นเล็กขวางอยู่ข้างหน้าเขา 


 


 


สวีโย่วสีหน้าเย็นชา ไม่ชอบใจอย่างยิ่ง เขาไม่ชอบให้คนอื่นเข้าใกล้เขาที่สุด โดยเฉพาะผู้หญิง ทาอะไรไว้ที่ตัวถึงได้ฉุนจมูกเช่นนี้ สวีโย่วอดไม่ได้ที่จะจามอย่างแรง 


 


 


เจียงไป๋ที่ตามมาข้างหลังแทบจะหลุดหัวเราะ นี่ไม่ใช่หลานสาวฝั่งแม่ของพระชายาหรือ เหตุใดเข้ามาหาคุณชายใหญ่ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบความรักเล่า คิดจะทำอะไรกันแน่ คุณชายใหญ่มีคนในใจแล้ว ไม่อาจทำให้นางสมหวังได้หรอกนะ 


 


 


“เอ๋ คุณหนูอี๋ฮุ่ยนี่เอง เหตุใดถึงเดินเล่นมาถึงเรือนด้านหน้าเล่า ท่านขวางทางคุณชายของเราอยู่ โปรดหลีกทางหน่อยขอรับ” ปากก็บอกให้หลีกทาง แต่มือกลับยื่นออกไปแล้ว คุ้มกันคุณชายใหญ่ของเขาเดินผ่านข้างกายซ่งอี๋ฮุ่ยไป 


 


 


ซ่งอี๋ฮุ่ยถูกเจียงไป๋กันออกไป แทบจะสะดุดล้มลงบนพื้น มองคุณชายใหญ่ที่เดินออกไปไกลแล้ว ซ่งอี๋ฮุ่ยก็กระทืบเท้าอย่างแรง แววตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม 


 


 


สุนัขรับใช้ กล้ามองข้ามคุณหนูเช่นข้า รอข้าแต่งงานกับญาติผู้พี่เป็นฮูหยินใหญ่ของจวนจิ้นอ๋องก่อนเถอะ ดูซิว่าจะจัดการเจ้าอย่างไร 


 


 


ซ่งอี๋เจียได้ยินสาวใช้คนสนิทรายงาน บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยัน คนโง่ ไปหาถึงหน้าประตูต่ำช้าเพียงใด มีฝีมือแค่นี้ยังคิดจะแย่งคุณชายใหญ่กับนาง ไม่เจียมตัวจริงๆ 


 


 


ซ่งอี๋เจียยิ้มเยาะไปพลาง สั่งสาวใช้ให้เตรียมวัตถุทำอาหารไปพลาง นางจะลงครัวทำแกงให้ญาติผู้พี่ด้วยตัวเอง เช่นนี้จึงจะสามารถแสดงถึงจิตใจอันงดงามของนางได้ 


 


 


ซ่งอี๋เจียถือถาดอาหาร ใจเต้นรัว ใช้ไม้อ่อนไม้แข็งทั้งหมดกว่าจะมาถึงหน้าห้องหนังสือของสวีโย่วได้ “พี่ชายเล็กเจียงใช่หรือไม่ วานแจ้งให้ข้าที อี๋เจียต้มแกงมาให้ท่านพี่” นางแย้มยิ้มอย่างพอดี กล่าวเสียงเบา 


 


 


เจียงไป๋กลอกตาในใจ ทว่าใบหน้ากลับเผยท่าทีลำบากใจ “ไม่ใช่ว่าผู้น้อยไม่แจ้งให้ท่าน แต่คุณชายใหญ่สั่งว่าไม่อนุญาตให้ใครรบกวน” 


 


 


ทว่าซ่งอี๋เจียกลับยังคงยิ้มแย้ม “พี่ชายช่วยหน่อยเถอะ บอกว่าอี๋เจียมา ญาติผู้พี่จะต้องยอมเจอข้าแน่นอน” 


 


 


เจียงไป๋ตำหนิในใจ คุณชายข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครด้วยซ้ำ จะยอมพบเจ้าได้อย่างไร หน้าไม่อายเพียงนี้เลยหรือ 


 


 


เขาทำสีหน้าลำบากใจแต่ยังคงไม่ขยับ “คุณหนูอย่าทำให้ผู้น้อยลำบากใจเลยขอรับ ขัดคำสั่งของคุณชายใหญ่แล้ว ผู้น้อยต้องถูกโบยเป็นแน่” 


 


 


ไม่ว่าซ่งอี๋เจียจะบังคับข้อร้องอย่างไร เจียงไป๋ก็ไม่สนใจ เฝ้าประตูห้องหนังสืออย่างเข้มงวด ไม่แจ้งและไม่ให้เข้าไป พูดเพียงหนึ่งประโยค “คุณชายใหญ่สั่งว่าไม่อนุญาตให้ใครรบกวน” 


 


 


ซ่งอี๋เจียโมโหเดือดดาลในใจ ซ้ำยังแสดงออกมาไม่ได้ สุดท้ายพูดจนปากแห้งหมดแล้วก็ยังไม่ได้พบญาติผู้พี่ของนาง ทำได้เพียงพาสาวใช้กลับไปอย่างจนตรอก 


 


 


ตอนที่เข้าไปในเรือนก็บังเอิญเจอซ่งอี๋ฮุ่ยที่กำลังออกมาพอดี ซ่งอี๋ฮุ่ยเห็นถาดอาหารที่นางถืออยู่ในมือ ชั่วขณะก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หัวเราะเยาะนางแล้วกล่าว “แสดงน้ำใจแล้วเขาไม่เห็นหรือ ถูกปิดประตูใส่สินะ บอกแล้วว่าเจ้าอย่าแข่งกับข้าดีกว่า ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ขายหน้าสินะ” 


 


 


เดิมซ่งอี๋เจียก็โมโหอยู่เต็มทรวง ตอนนี้หาที่ระบายได้แล้ว นางแค่นเสียงหนึ่งครา ชายตามองซ่งอี๋ 


 


 


ฮุ่ยอย่างเหยียดหยาม “พูดราวกับว่าเจ้าไม่ขายหน้า ใครกันที่วิ่งไปดักคนกลางทางแต่ถูกเขาผลักออก หึ!” จากนั้นก็กลอกตาเชิดหน้าเดินเข้าห้องไป 


 


 


ซ่งอี๋ฮุ่ยถูกยั่วโมโหก็อยากวิ่งตามไปตบนาง แต่ถูกสาวใช้ดึงไว้อย่างสุดชีวิต 


 


 


“ไปแล้วหรือ” เสียงที่แผ่วเบาของสวีโย่วดังขึ้น 


 


 


เจียงไป๋ข้างนอกวิ่งเข้าไปทันที “ขอรับคุณชาย ไปแล้ว” 


 


 


สวีโย่วนวดหว่างคิ้ว วางหนังสือในมือลงกล่าว “เจ้าทำดีมาก” 


 


 


“ขอรับ คุณชาย” น้อยนักที่เจียงไป๋จะได้ยินคุณชายชม แสยะปากยิ้ม เห็นคุณชายคล้ายเหนื่อยล้าเล็กน้อยจึงเสนอความคิดเห็น “แดดร่มแล้ว คุณชายท่านออกไปเดินเล่นเถิดขอรับ” 


 


 


สวีโย่วคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย 


 


 


ทิวทัศน์ของจวนจิ้นอ๋องไม่เลว สวีโย่วกำลังเดินเล่นอย่างเอ้อระเหยอยู่ในจวนอ๋อง คิดว่าเด็กคนนั้นในจวนจงอู่โหวกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ ใช่เล่นเดาเหรียญทองแดงกับสาวใช้โง่งมผู้นั้นของนางอีกหรือไม่ จะออกเรือนแล้วยังทำตัวเป็นเด็กๆ เช่นนี้ มุมปากของสวีโย่วยกยิ้มอย่างอดไม่ได้ 


 


 


จู่ๆ ข้างหน้าก็มีเสียงของหนักตกลงในน้ำดังเข้ามา จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่แตกตื่นของสาวใช้ “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย คุณหนูข้าตกน้ำแล้ว! คุณชายใหญ่ท่านรีบมาช่วยคุณหนูของข้าทีเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นมองเห็นสวีโย่วกับบ่าวรับใช้ก็ตะโกนด้วยความดีใจ 


 


 


สวีโย่วขมวดคิ้ว เจียงไป๋เขย่งเท้ามองครู่หนึ่ง กล่าว “คุณชาย คนที่ตกน้ำคือคุณหนูอี๋เจียที่ต้มน้ำแกงมาให้ก่อนหน้านี้ขอรับ” 


 


 


“กลับเถอะ” มีความสุขอยู่ดีๆ ก็ถูกทำเสียอารมณ์ สวีโย่วไม่แม้แต่จะหยุด หันหลังกลับเดินออกไปทันที 


 


 


เจียงไป๋ก้มหน้ารีบตามหลังคุณชายของตน สำหรับคุณหนูที่ตกน้ำผู้นั้น ก็ทำได้เพียงช่วยตัวเองแล้ว คุณชายของเขาไม่ใช่คนดีอะไร 


 


 


สวีโย่วที่กลับไปถึงห้องหนังสือ ความสุขถูกทำลายเกือบหมด ทั้งขวางทางทั้งนำแกงมาให้ทั้งตกน้ำ ตั้งแต่ที่เขากลับจวนมาก็ยังไม่หยุด ต่อให้เขาโง่ก็เข้าใจว่าคุณหนูตระกูลพระชายาสองคนนั้นมีเจตนาอะไร 


 


 


พระชายาจะเข้ามาจัดการเรื่องการสมรสของเขาแล้ว มุมปากของสวีโย่วเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ 


 


 


ดูท่าแล้วเพียงแค่เสด็จอาช่วยเขาสู่ขอจะยังไม่พอ เขาควรจะไปพูดคุยกับองค์จักรพรรดิที่ห้องทรงอักษรพระองค์หรือไม่ ขอพระราชทานงานสมรสดีหรือไม่

 

 

 


ตอนที่ 152.1

 

 ประกาศพระราชโองการ

 


 


 


ไม่เอ่ยถึงแผนการของสวีโย่ว พูดถึงฝั่งเสิ่นเวยบ้าง เช้าวันที่สองตื่นขึ้นมาก็นึกเรื่องที่สวีโย่วมาหาเมื่อคืน รู้สึกเหมือนฝันไม่ใช่ความจริงแม้แต่นิดเดียว


 


 


นึกไม่ถึงว่าสวีโย่วคิดจะสู่ขอนาง จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเสิ่นเวยน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ด้วยฐานะของนาง ขอบเขตการสมรสไม่ได้ครอบคลุมคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง แม้จะบอกว่าแต่งกับตระกูลสูงได้ดี แต่สวีโย่วสำหรับนางแล้วก็ออกจะสูงไปหน่อย หากนางเป็นบุตรสาวคนโตของจวนจงอู่โหวก็ยังพอคู่ควร แต่บุตรสาวบ้านสามกลับเทียบไม่ได้เลยแม้แต่นิด


 


 


แม้จะบอกว่าเสิ่นเวยเข้าใจกระจ่าง แต่หากเกิดขึ้นจริงๆ เล่า หากสวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นเป็นบ้าขึ้นมาเล่า เสิ่นเวยอกสั่นขวัญแขวนอยู่หลายวัน กระทั่งยังส่งเด็กรับใช้ไปสอดส่องที่ประตูใหญ่ ดูว่ามีคนมาสู่ขอที่บ้านหรือไม่


 


 


หลายวันผ่านไปจวนโหวไม่มีแขกมาเยี่ยม เสิ่นเวยจึงวางใจลง พักฟื้นต่ออย่างสบายใจ


 


 


นางไปเยี่ยมเยวี่ยกุ้ยรอบหนึ่ง เยวี่ยกุ้ยบาดเจ็บหนักยิ่งกว่านาง บาดแผลของนางล้วนอยู่ข้างนอก แต่เยวี่ยกุ้ยกลับได้รับบาดเจ็บภายใน หากไม่ได้พักฟื้นหนึ่งถึงสองปีก็ไม่มีทางดีขึ้น โชคดีที่เสิ่นเวยเป็นนายที่ใจกว้างเมตตา นำหมอดียาดีมาให้ ทั้งยังปลอบนางว่าแม้ชีวิตนี้จะไม่หายก็ไม่อาจทอดทิ้ง


 


 


เยวี่ยกุ้ยเช็ดน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง หากเป็นนายคนอื่นนางคงไม่รอดแล้ว มีเพียงคุณหนูที่ยอมจ่ายเงินเพื่อรักษานาง คนอื่นไม่บอกนางก็รู้ดีว่าน้ำแกงยาที่นางกินทุกวันใช้เงินมากน้อยเพียงใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาบำรุงที่ล้ำค่าเหล่านั้น นี่ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่สาวใช้คนหนึ่งควรได้รับ ขณะที่นางซาบซึ้งในใจก็ยังหวาดกลัว กลัวว่ารักษาไม่หายแล้วคุณหนูจะทอดทิ้ง ตอนนี้ได้ยินคุณหนูพูดเช่นนี้ ความกังวลในเบื้องลึกจิตใจนางก็หายไปแล้ว


 


 


แม้นางจะเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง แต่ชะตาชีวิตนางก็ดี ได้พบเจ้านายที่ดี


 


 


อ้อ เรือนเฟิงฮวายังมีการเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือเหล่าสาวใช้เกิดการนิยมการใช้กำลังขึ้นมา ในนั้นเหอฮวา เถาจือข้างกายเสิ่นเวยขยันที่สุด ยามอิ๋นของทุกวันจะตื่นมาฝึกทหารกับเหล่าเด็กหนุ่มทหารคุ้มกันเรือน รวบรวมกำลังทั้งหมดต้องการฝึกยุทธ์ให้ดี อย่างน้อยก็ไม่อาจเป็นตัวถ่วงคุณหนูได้อีก


 


 


ผ่านไปไม่กี่วัน พวกนางทั้งสองก็ผอมลงไปมาก แต่คนกลับมีกำลังวังชาไม่น้อย เสิ่นเวยทำได้เพียงตามใจพวกนาง


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องแห่งจวนจิ้นอ๋องกำลังสนทนาแฝงความนัยกับคุณชายใหญ่อยู่ “ชั่วพริบตาคุณชายใหญ่ก็อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว น้องรองน้องสามของเจ้าก็แต่งงานมีลูกแล้ว แม้แต่น้องสี่ของเจ้าก็ดูตัวแล้ว คุณชายใหญ่ยังไร้คนเคียงคู่ ทุกครั้งที่นึกถึงข้ากับพ่อของเจ้าก็กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง ข้าปรึกษากับพ่อเจ้าแล้ว ถือโอกาสตอนที่ดูตัวให้น้องสี่ของเจ้า หาภรรยาที่ถูกใจให้เจ้าพร้อมกันเสียเลย คุณชายใหญ่ว่าอย่างไร”


 


 


สวีโย่วสีหน้าเย็นชา “ไม่ต้องหรอก อย่าทำร้ายสตรีตระกูลอื่นอีกเลย”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องยิ้ม “ดูคุณชายใหญ่พูดเข้า ทำร้ายไม่ทำร้ายอะไรกัน พวกเรามีฐานะเช่นไร สามารถแต่งเข้ามาในจวนจิ้นอ๋องได้ล้วนแต่เป็นวาสนาที่บรรพบุรุษของพวกนางสั่งสมไว้ สองปีมานี้สุขภาพของเจ้าก็ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาที่ต้องคุยเรื่องแต่งงานได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็ค่อยมีทายาทเพิ่ม ข้ากับพ่อของเจ้าก็วางใจแล้ว ร้อยปีหลังจากนี้ได้พบพี่สาวก็จะได้มีคำตอบให้นางแล้ว”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าซับหางตา ในดวงตาที่หลุบลงของสวีโย่วมีความเหยียดหยามแวบผ่าน เขามีทายาทได้หรือไม่นายหญิงจวนจิ้นอ๋องเช่นนางจะไม่รู้เชียวหรือ


 


 


สวีโย่วยังคงเย็นชา “ทำให้พระชายาทุกข์ใจแล้ว แต่ลูกก็ยังคิดว่าไม่จำเป็น”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวตำหนิอย่างเอ็นดู “เจ้าน่ะ เลิกดื้อรั้นได้แล้ว คำพูดของพระอาจารย์ก็ไม่ได้ถูกเสมอไป ก่อนหน้านี้สตรีสามตระกูลนั้นก็แค่บังเอิญเท่านั้นเอง พวกนางทำบุญมาน้อย จะโทษเจ้าได้อย่างไร ครั้งนี้ พวกเราตรวจสอบให้ดี เลือกคนที่ดวงชะตาดี รูปโฉมความสามารถยอดเยี่ยม จะต้องหาคนดีๆ ให้คุณชายใหญ่ได้แน่นอน”


 


 


นางเห็นสวีโย่วไม่พูดจึงกล่าวราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “ก่อนหน้านี้ข้ารับลูกผู้น้องสามคนของเจ้าเข้ามาพักในจวนชั่วคราว ต่างก็เป็นญาติพี่น้องครอบครัวเดียวกัน พวกเจ้าสนิทกันไว้ก็ดี”


 


 


นึกถึงเรื่องที่หลานสาวทั้งสองทำ พระชายาจิ้นอ๋องก็กัดฟันกรอด อย่างไรเสียก็เป็นลูกอนุภรรยา เป็นคนที่พาออกงานสังคมไม่ได้ เป็นคนไร้ประโยชน์ แต่ว่าเช่นนี้ก็ดี คนโง่แบบนี้จึงจะควบคุมได้ง่าย


 


 


สวีโย่วยังคงหน้าตายเช่นนั้น “พระชายาพักผ่อนเถิด ลูกยังมีงานไม่รบกวนท่านแล้ว” เขาลุกขึ้นคำนับแล้วจึงกลับหลังหันออกไป ไม่ใช่ว่าอยากยัดเยียดหลานสาวให้เขาหรอกหรือ คิดว่าเขาเป็นขอทานหรืออย่างไร เขาไม่อยากเล่นบทเสแสร้งกับซ่งซื่อจริงๆ เป็นเพราะพ่อที่ตาบอดคนนั้นคนเดียวที่โปรดปรานนาง


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องโมโหจนตัวสั่น “แม่นมเจ้าดูสิ เจ้าดู เขามีท่าทางเช่นไร ข้าหวังดีเป็นห่วงเขา แต่เขากลับโมโหสะบัดแขนเสื้อออกไป ยังเห็นพระชายาเช่นข้าอยู่ในสายตาอยู่หรือไม่”


 


 


แม่นมซือรีบโน้มน้าว “พระชายาโปรดระงับโทสะ คุณชายใหญ่ก็เย็นชาเช่นนี้ เขาอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ท่านจะโมโหคนโลกแคบเช่นเขาไปไย รีบดื่มชาระงับอารมณ์เถิดเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องรับถ้วยชามาจิบเบาๆ หลายอึก เมื่อรู้สึกว่าในอกไม่แน่นถึงเพียงนั้นแล้วจึงกล่าว “เวรกรรมแท้ๆ! ชาติก่อนข้าคงติดหนี้เขา ไม่ปิดบังแม่นม แค่ข้าเห็นหน้าเขาข้าก็ปวดหัวแล้ว”


 


 


แม่นมซือสงสารอย่างถึงที่สุด “ท่านไม่อยากพบเขาก็ไม่ต้องพบ ท่านเป็นผู้อาวุโส เขาจะพูดอะไรได้ อีกอย่างในหนึ่งปีเขาก็ไม่อยู่จวนเสียกว่าครึ่ง ท่านอดทนหน่อยก็ผ่านไปได้แล้วเจ้าค่ะ คิดเสียว่าไว้หน้าท่านอ๋อง”


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเอ่ย “อืม หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าท่านอ๋อง ตอนนั้นข้าคง…”


 


 


“พระชายาโปรดระวังคำพูด!” แม่นมซือรีบห้าม บอกเป็นนัยว่ายังมีสาวใช้ปรนนิบัติอยู่ในห้อง


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเองก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้ว่าคำบางคำพูดได้ คำบางคำพูดไม่ได้


 


 


“คำสั่งของพ่อแม่ วาจาของแม่สื่อ ข้าเป็นแม่ใหญ่ของเขา เรื่องสมรสของเขาย่อมเป็นข้าที่ตัดสินใจ อืม แม่นมอีกประเดี๋ยวไปส่งจดหมายให้พี่สะใภ้ที่จวนตระกูลซ่งด้วย ข้าอยากปรึกษาเรื่องนี้กับนางให้ดี” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวต่อ


 


 


“เจ้าค่ะ พระชายาวางใจ บ่าวจะจัดการให้ดี” แม่นมซือตอบรับเสียงเบา


 


 


สวีโย่วออกจากจวนจิ้นอ๋องแล้วก็ไปยังวังหลวง ตลอดทางราบรื่นไร้คนขัดขวาง จนมาถึงห้องทรงอักษรส่วนพระองค์ของจักรพรรดิยงเซวียน จางเฉวียนขันทีใหญ่ผู้ติดตามพระองค์ยิ้มต้อนรับแล้วกล่าว “คุณชายใหญ่ท่านมาแล้ว จักรพรรดิยังทรงรำพึงถึงท่านอยู่เมื่อครู่เลยขอรับ”


 


 


ไม่ต้องรายงานก็นำสวีโย่วเข้าไปทันที เพราะความโปรดปรานของเขามากมายอย่างยิ่ง


 


 


“ถวายบังคมเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ” สวีโย่วทำความเคารพอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนกำลังนั่งอ่านสาส์นกราบทูลอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษรส่วนพระองค์ เงยพระพักตร์ขึ้นมองหลานชายที่ก้มศีรษะปราดหนึ่งจึงตรัส “ไม่มีเรื่องร้อนใจไม่ถ่อมาหา ว่ามา มีเรื่องอะไรจะขอลุงอีก”


 


 


หลานคนนี้มองดูไปแล้วเย็นชา แต่ความจริงแล้วเป็นคนฉลาด ปกติก็เรียกจักรพรรดิ ทั้งยังบอกว่ากฎวงศ์ตระกูลไม่อาจฝ่าฝืน คราวนี้เข้ามาก็เรียกเสด็จลุง จะต้องเพราะมีเรื่องอยากร้องขอเป็นแน่แท้


 


 


แม้จักรพรรดิยงเซวียนจะดำริเช่นนี้ แต่อันที่จริงในใจเขาก็สงสัยอย่างยิ่งเช่นกัน ไม่รู้ว่าหลานชายที่ไม่มีความปรารถนาสิ่งใดผู้นี้จะร้องขอเขาเรื่องอะไร


 


 


สวีโย่วเองก็ไม่เกรงใจจักรพรรดิยงเซวียน เอ่ยปากกล่าวทันที “หลานอยากขอพระราชโองการเสด็จลุงหนึ่งฉบับพ่ะย่ะค่ะ อืม พระราชโองการสมรสพระราชทานหนึ่งฉบับ”


 


 


“อะไรนะ!” จักรพรรดิยงเซวียนตกพระทัยจนแทบจะหักพู่กัน “พระราชโองการสมรสพระราชทานหรือ” ดวงพระเนตรของพระองค์เต็มไปด้วยเหลือเชื่อ


 


 


สวีโย่วสบสายตาที่สงสัยของจักรพรรดิยงเซวียนอย่างไร้กังวล พยักหน้ากล่าว “พ่ะย่ะค่ะ พระราชโองการสมรสพระราชทาน” ในเมื่อตัดสินใจว่าจะสู่ขอเด็กคนนั้นแล้ว กำหนดสถานะไว้ก่อนก็ดี ดั่งสำนวนที่ว่า ‘หากยืดเยื้อย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง’ มิใช่หรือ


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนตกใจเพียงเสี้ยววินาที ทันใดนั้นก็หัวเราะร่าฮ่าๆ ขึ้นมา “ดี! ดี! ดี! อาโย่วในที่สุดเจ้าก็เปิดใจมีสตรีที่ชอบแล้ว สตรีผู้นี้อยู่ตระกูลใดเล่า ความประพฤติเป็นอย่างไร”


 


 


สวีโย่วกล่าว “เป็นคุณหนูสี่จวนจงอู่โหว ปีนี้อายุสิบห้าแล้ว หลานเห็นนางแล้วถูกตาต้องใจ”


 


 


“อ้อ เป็นหลานสาวของเสิ่นผิงยวนหรือ” จักรพรรดิยงเซวียนประหลาดใจเล็กน้อย “บ้านไหนเล่า”


 


 


สวีโย่วกล่าวตอบ “บุตรสาวคนโตบ้านสามพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“บิดานางคือเสิ่นหงเซวียนกรมพิธีการสินะ ความรู้ความสามารถกลับไม่เลว แต่ว่าฐานะต่ำไปเล็กน้อย” จักรพรรดิยงเซวียนขมวดคิ้วกล่าว หลังจากนั้นก็คล้ายพลันนึกขึ้นได้ “บุตรสาวภรรยาคนก่อนงั้นหรือ”


 


 


เห็นสวีโย่วพยักหน้า จักรพรรดิยงเซวียนก็กล่าวอย่างคล้ายครุ่นคิด “อืม เป็นหลานสาวของหยวนเจิ้นเทียนนี่เอง ตอนนั้นบุตรสาวของหยวนเจิ้นเทียนออกเรือนพร้อมสินสอดยาวนับสิบลี้ น่าเสียดายที่หญิงงามชะตาสั้น จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย คุณหนูสี่ผู้นี้เองก็น่าสงสาร แต่ว่าฐานะก็ยังคงต่ำไปสักหน่อย” จักรพรรดิยงเซวียนส่ายพระพักตร์ด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับกล่าว “เสด็จลุง หลานชอบนางพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เอ๋” จักรพรรดิยงเซวียนสนใจขึ้นมาในชั่วพริบตา “คุณหนูสี่ผู้นี้รูปโฉมงดงามดุจนางสวรรค์หรือ สวยกว่าลูกผู้น้องของซูเฟยอีกหรือ”


 


 


ซูเฟยคิดมาโดยตลอดว่าอยากพูดถึงลูกผู้น้องของนางให้สวีโย่วฟัง ลูกผู้น้องคนนั้นของนางจักรพรรดิยงเซวียนเคยเห็นครั้งหนึ่ง เป็นหญิงงามอ่อนหวานคนหนึ่ง


 


 


มุมปากสวีโย่วกระตุกเล็กน้อย เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าเสด็จลุงของเขาเป็นผู้อาวุโสแต่ไม่เคารพตนเองทั้งยังความรู้ตื้นเขินเล็กน้อย สนใจเพียงหน้าตาแล้ว ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้ามีจิตใจเช่นไร มิน่าเล่าวังหลังของเสด็จลุงถึงได้มีแต่คนอย่างซูเฟย


 


 


ทว่าสวีโย่วยังคงพยักหน้าอย่างจริงใจ “คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นรูปโฉมงดงาม แต่ที่หลานให้ความสำคัญก็คือนางจิตใจดี นางช่วยชีวิตหลานไว้”


 


 


“ไม่ใช่เรื่องแปลก ตอนที่บุตรสาวของหยวนเจิ้นเทียนยังเยาว์วัยก็เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง บุตรสาวของนางย่อมไม่ด้อยกว่า” จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้า จากนั้นจึงคล้ายได้สติกลับมา กล่าวอย่างประหลาดใจ “ช่วยชีวิตเจ้าหรือ ตั้งแต่เมื่อไร รีบบอกมา”


 


 


“ครั้งก่อนหลานบังเอิญพบมือสังหารที่นอกเมืองคราวนั้น นางกลับมาจากจุดธูปบูชาพระพบหลานเข้าพอดี นางให้ทหารคุ้มกันตระกูลของนางช่วยเหลือ หลานถึงได้รอดชีวิตกลับมา หลานรู้สึกว่าคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นนั้นดีนัก เห็นนางแล้วก็รู้สึกสบายใจ” สวีโย่วกล่าวกึ่งจริงกึ่งเท็จ ตอนนั้นคนที่ช่วยก็คือนางกับเด็กโง่คนนั้น ทหารคุ้มกันของนางไม่ได้ลงจากรถอย่างสิ้นเชิง แต่ว่านี่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้เสด็จลุงฟัง


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนพยักพระพักตร์ช้าๆ “อืม กลับเป็นสตรีที่มีน้ำใจ ฐานะต่ำก็ต่ำเถอะ ใครให้อาโย่วชอบสตรีเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเพียงนี้เล่า เรื่องนี้เจ้าพูดกับพ่อเจ้าแล้วหรือยัง”


 


 


สวีโย่วส่ายหน้า “ยังพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่องานเยอะ” ลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “แต่ว่าพระชายาเป็นห่วงหลานอย่างยิ่ง รับบุตรสาวอนุภรรยาฝั่งมารดาเข้ามาพักในจวนชั่วคราว หลานจึงกลัว”


 


 


พูดเพียงแค่กลัว ไม่ได้บอกว่ากลัวอะไร จักรพรรดิยงเซวียนเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว จะไม่เข้าใจความหมายในนั้นได้อย่างไร


 


 


สวีโย่วเหลือบตาขึ้นไม่หวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว “อย่างไรเสียก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่วาจาของแม่สื่อ หลานเองก็ไม่อยากทำให้ท่านพ่อลำบากใจ”


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนโกรธแทบตาย งานเยอะกับผีน่ะสิ ท่านอ๋องเช่นเจ้าจะยุ่งกว่าเราได้อย่างไร เมื่อได้ยินประโยคหลังก็ยิ่งโมโห ซ่งซื่อเจ้าหมายความว่าอย่างไร คนตระกูลสวีของข้าคู่ควรกับบุตรสาวอนุภรรยาตระกูลซ่งของเจ้างั้นหรือ เอาบุตรสาวอนุภรรยามาสร้างมลทินให้ผู้อื่น เก่งกล้ามาจากไหนกัน เขาบอกแล้วว่าซ่งซื่อนั้นไม่ใช่คนดีอะไร แต่น้องชายโง่เขลาคนนั้นของเขาก็ยังยืนกรานจะแต่งนางให้ได้


 


 


“ได้ ลุงรับปากเจ้า จะเขียนราชโองการให้เจ้า” จักรพรรดิยงเซวียนรับปากอย่างตรงไปตรงมา เทียบกับลูกอนุภรรยาของตระกูลซ่งแล้ว คุณหนูสี่จวนจงอู่โหวยังดีกว่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นแม่นางผู้นี้ยังช่วยชีวิตอาโย่วไว้ ที่สำคัญที่สุดก็คืออาโย่วเองก็ชอบนาง


 


 


“ขอบคุณเสด็จลุงที่ช่วยให้หลานสมปรารถนา” ในดวงตาของสวีโย่วเต็มไปด้วยความดีใจ คุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นดังตึงๆ สามครา


 


 


จักรพรรดิยงเซวียนไหนเลยจะเคยเห็นหลานชายมีท่าทางดีใจเช่นนี้ หลุดสรวลออกมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้าน่ะ รีบลุกขึ้นเถิด” สรวลเสร็จในใจกลับเศร้าสลด อาโย่วเด็กคนนี้น่าสงสารตั้งแต่เล็ก ไม่มีแม่ตั้งแต่เกิด เกิดมาก็มีโรคติดตัว กินยาเยอะกว่ากินข้าวเสียอีก ทุกข์ทรมานมามากเหลือเกิน


 


 


ช่างเถอะๆๆ ในเมื่อคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้คือคนที่อาโย่วชอบก็ทำให้เขาสมหวังเถิด

 

 

 


ตอนที่ 152.2

 

ประกาศพระราชโองการ

 


 


 


ตอนที่พระราชโองการมาถึงจวนจงอู่โหวทั้งตระกูลต่างก็งงงัน ซื่อจื่อเสิ่นหงเหวินเห็นจางเฉวียนขันทีใหญ่ติดตามพระองค์มาประกาศพระราชโองการก็รู้สึกได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดคิด แต่ไม่ว่าเขาจะถามหยั่งเชิงเช่นไร จางเฉวียนก็แค่ยิ้มน้อยๆ ไม่ปริปาก


 


 


ขณะที่เสิ่นหงเหวินถอนหายใจก็คาดเดาอย่างอดไม่ได้ ใช่ท่านพ่อสร้างคุณูปการที่ซีเจียงหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นมีข่าวมาเลยนี่


 


 


“เสิ่นซื่อจื่อ คนมาครบแล้วหรือยัง” จางเฉวียนถามเขาด้วยท่าทีเป็นมิตร


 


 


เสิ่นหงเหวินไม่กล้าทะนงตนแม้แต่นิดเดียว นี่คือขันทีใหญ่ที่จักรพรรดิเชื่อใจมากที่สุด ดูแลจักรพรรดิมาตั้งแต่จักรพรรดิยังทรงพระเยาว์ “เรียนกงกง มาครบแล้วขอรับ”


 


 


จางเฉวียนเหลือบมอง แต่กลับไม่ขยับ “เหตุใดคุณหนูทั้งหลายในจวนยังไม่มา”


 


 


เสิ่นหงเหวินตกตะลึง ก่อนหน้านี้มีพระราชโองการก็ไม่ต้องขอให้คุณหนูมานี่ ทันใดนั้นเขาก็ได้สติกลับมา สั่งฮูหยินสวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา “เร็ว รีบไปเรียกซวงเจี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ มา”


 


 


ฮูหยินสวี่ย่อมไม่กล้าชักช้า พยักหน้าแล้วจึงไปเรียกคน


 


 


ตอนที่เสิ่นเวยได้รับข่าวนี้ก็ประหลาดใจ ทันใดนั้นก็ตื่นเต้นดีใจ เอ๋ นางเคยเห็นฉากรับพระราชโองการเพียงแค่ในโทรทัศน์ ตอนนี้มีโอกาสได้ชมในระยะใกล้ชิดแล้ว หาได้ยากจริงๆ แม้จะต้องคุกเข่าก็ไม่ถือสาแล้ว


 


 


บ่าวทุกระดับชั้นในเรือนเฟิงฮวาเองก็ตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด รับพระราชโองการ เป็นเกียรติสูงส่งเพียงใด แม้ว่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา แต่คุณหนูของพวกเขาก็สามารถเข้าร่วมได้ พวกเขาก็รู้สึกเป็นเกียรติด้วยเช่นกัน


 


 


หลีฮวาเถาจือและคนอื่นๆ รีบช่วยคุณหนูของพวกนางเปลี่ยนชุด หวีผมแต่งตัว เสิ่นเวยเอาแต่ดีใจ เป็นครั้งแรกที่ไม่ออกความคิดเห็นยอมปล่อยให้พวกนางจัดการตามใจ


 


 


อาการบาดเจ็บของเสิ่นเวยดีขึ้นมากแล้ว แม้ว่าบาดแผลยังไม่หายสนิท ขอเพียงแค่ไม่เคลื่อนไหวมากเกินไปก็ยังพอทนไหว


 


 


เสิ่นเวยประคองมือของหลีฮวาเร่งรุดไปเรือนใหญ่ คนทั้งจวนต่างก็รอนางอยู่ “เวยเจี่ยเอ๋อร์ มานี่เร็ว!” ฮูหยินสวี่เรียกนางเสียงเบา เสิ่นเวยจึงเดินไปยืนอยู่ข้างพี่รอง


 


 


จางเฉวียนเห็นคนมาครบแล้วก็เริ่มประกาศพระราชโองการ จวนโหวนำโดยเหล่าไท่จวิน เจ้านายทั้งหมดต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นอย่างเป็นระเบียบ


 


 


พระราชโองการบอกว่าอะไรเสิ่นเวยฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ว่าจังหวะการเอ่ยของขันทีผู้นี้กลับน่าสนใจอย่างยิ่ง เอ๋ เหตุใดถึงเอ่ยชื่อนางเล่า อืม ยังได้ยินว่าสตรีอ่อนโยนมีสติปัญญาอีกด้วย นี่หมายถึงนางหรือ ยังมีการสมรสพระราชทาน อีกทั้งยังเอ่ยถึงบุตรคนโตของจวนจิ้นอ๋อง ชื่อสวีจิ่นเหยียนอะไรสักอย่าง เขาเป็นใครกันนะ


 


 


เสิ่นเวยพยายามคาดเดา สรุปแล้วเข้าใจได้ว่านี่พระราชโองการสมรสพระราชทานหนึ่งฉบับ คนที่ได้รับสมรสพระราชทานคือนางกับสวีจิ่นเหยียนผู้นั้น แต่นางไม่รู้จักสวีจิ่นเหยียนมาก่อนเลย บุตรชายคนโตของจวนจิ้นอ๋องไม่ใช่สวีโย่วหรือ สวีจิ่นเหยียนผู้นี้โผล่มาจากไหนกัน


 


 


เสิ่นเวยกำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพี่รองข้างๆ กระทุ้งแขนนาง นางจึงได้สติกลับมา กำลังจะถามว่ามีอะไรก็ได้ยินเสียงที่เป็นมิตรของขุนนางผู้ประกาศพระราชโองการ “คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นเชิญรับพระราชโองการ”


 


 


เสิ่นเวยรีบเก็บความคิด สองมือรับพระราชโองการกล่าวขอบพระทัยด้วยท่าทางจริงจัง คนรอบข้างเห็นแล้วก็ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย ไม่รู้ว่าเสิ่นเวยรู้สึกไปเองหรือไม่ นางมักจะรู้สึกว่าท่าทีที่ขันทีผู้นั้นมีต่อนางสุภาพอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ


 


 


“เอาล่ะ ประกาศพระราชโองการแล้ว พวกเราก็ควรกลับวังหลวงไปถวายรายงานได้แล้ว” จางเฉวียนปัดฝุ่นนำขันทีน้อยเดินออกไป มีเสิ่นหงเหวินไปส่งเขาออกจากจวนด้วยตัวเอง


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ไปรู้จักกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่” เหล่าไท่จวินขมวดคิ้วถาม


 


 


เสิ่นเวยถือพระราชโองการหันหน้ากลับ บนใบหน้าคนของคนทั้งหมดมีสีหน้าสองแบบ แบบแรกคือตกใจ แบบที่สองคืออิจฉา


 


 


“สวีจิ่นเหยียนคือใคร” เสิ่นเวยถามกลับ ในใจนางมีความคิดรางๆ ต้องการการยืนยันอย่างรวดเร็ว พระราชโองการนี้ไม่อาจมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยได้ จักรพรรดิมีพระราชกรณียกิจมากมาย รู้ได้อย่างไรว่านางคือใคร


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่รู้หรือ สวีจิ่นเหยียนก็คือคุณชายใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง สวีโย่วอย่างไรเล่า จิ่นเหยียนคือชื่อของเขา” ป้าสะใภ้ใหญ่ที่หันหลังกลับมากล่าวตอบ


 


 


เสิ่นเวยวางใจลง ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง เรื่องจริงหรือนี่ ไม่ใช่บอกว่าจะหาคนมาสู่ขอที่บ้านหรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นการสมรสพระราชทานเล่า สู่ขอนางยังปฏิเสธได้ แต่การสมรสพระราชทานเช่นนี้นางไหนเลยจะปฏิเสธได้ ขัดพระราชโองการเป็นโทษหนักประหารทั้งตระกูล เจ้าโรคจิตหน้าไม่อายคนนี้ขุดหลุมฝังนางทั้งเป็นแล้ว


 


 


“เฮ้อ เวยเจี่ยเอ๋อร์โชคดีจริงๆ ตระกูลของจวนจิ้นอ๋องสูงส่งกว่าตระกูลของจวนจงอู่โหวมาก” ป้าสะใภ้รองฮูหยินจ้าวเอ่ยปากก็ทำให้คนรู้สึกเจ็บใจ ตอนที่พูดยังไม่ลืมเหลือบมองมาตรงที่เสิ่นเสวี่ยยืนอยู่ปราดหนึ่ง


 


 


ฮูหยินจ้าวอิจฉาจริงๆ คู่สมรสที่ดีเช่นนี้ อีกทั้งจักรพรรดิยังพระราชทานการสมรสเอง เหตุใดถึงไม่ตกมาถึงเซวียนเจี่ยเอ๋อร์ของนางบ้างเล่า แต่ว่านอกจากอิจฉาแล้วก็ยังคิดถึงฮูหยินหลิวที่ใช้วิธีสารพัดอย่างเพื่อแย่งคู่หมั้นจวนหย่งหนิงโหวของเวยเจี่ยเอ๋อร์มา ผลสุดท้ายกลายเป็นเวยเจี่ยเอ๋อร์ได้คู่หมั้นดียิ่งกว่า อยากจะเห็นหน้าตาโมโหเดือดดาลดวงนั้นของฮูหยินหลิวจริงๆ ฮูหยินหลิวไม่ได้มา แต่เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็อยู่มิใช่หรือ


 


 


เสิ่นเสวี่ยเคียดแค้นจริงๆ นางหลุบตาลง เล็บจิกเข้าฝ่ามือหมดแล้ว มีสิทธิ์อะไร เสิ่นเวยมีสิทธิ์อะไรถึงได้งานสมรสที่ดีเช่นนี้


 


 


“เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก” เหล่าไท่จวินใบหน้าเคร่งขรึมกล่าวตำหนิ “ที่นี่ใช่ที่ให้พูดคุยกันหรือ เวยเจี่ยเอ๋อร์เจ้าตามข้ามาที่เรืองซงเฮ่อ”


 


 


เหล่าไท่จวินแทบจะไม่รู้สึกอะไรที่เสิ่นเวยหลานสาวผู้นี้ได้งานสมรสที่ดี อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่หลานคนโปรด แต่ว่านี่คือสมรสพระราชทาน หลานสาวคนนี้ได้สมรสดีก็ถือเป็นข้อดีต่อจวน ส่วนเรื่องที่คุณชายใหญ่จิ้นอ๋องนำโชคร้ายมาสู่ภรรยาและสุขภาพไม่ดี นางไม่ได้ไตร่ตรองอย่างสิ้นเชิง


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ไปรู้จักกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องตั้งแต่เมื่อไร” เหล่าไท่จวินถามต่อ


 


 


เสิ่นเวยกล่าว “ครั้งนั้นที่พบคนร้ายในหมู่บ้าน คุณชายใหญ่ผ่านทางมาช่วยเจ้าค่ะ” เสิ่นเวยปิดบังการพบกันสองครั้งก่อนหน้านี้


 


 


“ก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอหรือ” เหล่าไท่จวินไม่เชื่ออย่างถึงที่สุด “เจอกันครั้งนี้ครั้งเดียวเขาก็ขอพระราชโองการสมรสพระราชทานเลยหรือ” เวยเจี่ยเอ๋อร์โชคดีเพียงนั้นเลยหรือ


 


 


เสิ่นเวยส่ายหน้าอย่างงุนงง “ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าเพิ่งจะกลับจวนมาได้เท่าไรเอง ฟังว่าคุณชายใหญ่สวีก็ไม่ค่อยอยู่ในเมืองหลวง ข้าจะพบเขาได้อย่างไร หลานเองก็ไม่เข้าใจ เหตุใดถึงได้มีสมรสพระราชทานเล่า” เสิ่นเวยแสร้งโง่ขึ้นมา


 


 


เหล่าไท่จวินก็ยังคงไม่เชื่อ แต่ว่าเห็นท่าทีงุนงงของหลานสาวแล้ว คิดถึงคำที่นางพูด ก็ไม่อาจไม่เชื่อนางได้จริงๆ


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์ของเราโชคดีอย่างไรเล่า นี่เรียกว่าโชคดีในโชคร้าย เด็กดี ในเมื่อได้รับสมรสพระราชแล้ว เจ้าก็เตรียมตัวแต่งงานให้ดีๆ งานสมรสของเจ้าป้าจะจัดให้เจ้าเป็นอย่างดีแน่นอน” ป้าสะใภ้ใหญ่ฮูหยินสวี่ยิ้มกล่าว แม้ว่านางเองก็อิจฉาหลานสี่ที่ได้คู่หมั้นดีเช่นนี้ แต่ก็ยังดีใจแทนหลานสี่ด้วยเช่นกัน


 


 


นี่เป็นการสมรสที่ดีจริงๆ แม้จะบอกกันว่าคุณชายใหญ่ชะตาแข็งเกินไปนำโชคร้ายมาให้ภรรยา แต่ดวงชะตาเวยเจี่ยเอ๋อร์ก็ดี ส่วนที่บอกว่าคุณชายใหญ่สวีสุขภาพไม่ดี นั่นก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่พูดอีกหรือว่าเวยเจี่ยเอ๋อร์ก็ร่างกายไม่ดี แต่ในความจริงแล้วร่างกายเวยเจี่ยเอ๋อร์กลับดีอย่างยิ่ง เวยเจี่ยเอ๋อร์กับคุณชายใหญ่สวีเหมาะสมกันจริงๆ


 


 


คนทุกระดับชั้นในเรือนเฟิงฮวาต่างก็ตื่นเต้นดีใจ ยังมีอะไรน่าดีใจไปกว่าการที่คุณหนูของพวกเขามีที่พึ่งพิง ด้วยบุคลิกลักษณะเช่นนี้ของคุณหนูก็ควรจะคู่กับคุณชายใหญ่สวีผู้นั้นจึงจะเหมาะสม


 


 


“ยินดีกับคุณหนูที่ได้สามียอดเยี่ยมเช่นนี้!” หลีฮวาและคนอื่นๆ ยิ้มคำนับเสิ่นเวยอย่างพร้อมเพรียง


 


 


เหอฮวายังยื่นมือออกไปขอของขวัญอย่างทะเล้น “คุณหนู เรื่องมงคลที่ใหญ่เช่นนี้ใช่ควรจะให้เงินหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้คนอื่นๆ ก็คล้อยตาม


 


 


เสิ่นเวยถลึงตามองพวกนางปราดหนึ่งอย่างขบขัน ปัดมือที่ยื่นเข้ามาของนางออก “ดีใจเช่นนี้เลยหรือ น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ดีใจ! ไม่ให้!”


 


 


ทว่าหลีฮวากลับกล่าวต่ออย่างยิ้มแย้ม “คุณหนูไม่ให้ บ่าวให้เอง เงินส่วนตัวของคุณหนูล้วนอยู่ในมือบ่าวนะเจ้าค่ะ”


 


 


“เอาเลยๆ” สาวใช้คนอื่นปรบมือโห่ร้อง


 


 


เสิ่นเวยมองสาวใช้ที่กำลังจะทรยศนางกลุ่มนี้ ถอนหายใจ “บ่าวรังแกนาย” จากนั้นก็เอามือไพล่หลังเดินเข้าห้องด้านใน ปล่อยให้หลีฮวาและคนอื่นๆ ยืนหัวเราะกระซิบกระซาบกันอยู่ข้างนอก


 


 


ตอนนี้ความรู้สึกของเสิ่นเวยซับซ้อนอย่างยิ่ง จะบอกว่าดีใจก็ดีใจอย่างยิ่ง จะบอกว่าไม่ดีใจก็ไม่ดีใจเล็กน้อย คล้ายกับว่ายากจะหาคำมาอธิบาย


 

 

 


ตอนที่ 153.1

 

อนุภรรยา

 


จวนจิ้นอ๋องเองก็ได้รับพระราชโองการสมรสพระราชทานเช่นเดียวกัน สีหน้าจิ้นอ๋องเฉยเมย แม้ว่าสวีโย่วจะเป็นลูกชายคนโตของเขา ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขากลับไม่ได้สนใจลูกชายคนนี้ ดังนั้นลูกชายแต่งงานกับใครล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น ในเมื่อเสด็จพี่ออกพระราชโองการสมรสพระราชทานแล้ว เช่นนั้นก็แต่งเถอะ จวนจงอู่โหวก็ไม่นับว่าเสียหน้าจวนจิ้นอ๋อง 


 


 


ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องที่นั่งคุกเข่ารับพระราชโองการอยู่บนพื้นกลับโมโหจนอยากจะฉีกพระราชโองการฉบับนั้นทิ้ง เมื่อขันทีผู้ประกาศพระราชโองการกลับไปแล้วนางก็กลับไปที่เรือนหลังทันที ไม่หยุดอยู่แม้แต่วินาทีเดียว 


 


 


สวีโย่วถือพระราชโองการสีเหลืองสด สีหน้าเย็นชาท่ามกลางเสียงยินดีของเหล่าพี่น้อง แต่ความจริงแล้วในใจกลับอารมณ์ดีอย่างมาก 


 


 


จิ้นอ๋องตามพระชายาเข้าไปในเรือนหลัง “พระชายาเล่า” เห็นโถงนอกไม่มีคนเขาจึงกล่าวถาม หวาเยียนได้ยินเสียงก็เปิดม่านออกมาจากข้างใน ทำความเคารพเป็นนัยจากด้านใน 


 


 


จิ้นอ๋องจึงเดินเข้าไปในห้องด้านใน เห็นพระชายากำลังหันหลังนั่งอยู่ที่หัวเตียงสะอื้นไห้เสียงเบาจึงนั่งแล้วดึงร่างนางเข้ามา “เป็นอะไรไป” เขารับผ้าเช็ดหน้าที่หวาเยียนส่งเข้ามา เช็ดน้ำตาให้นาง 


 


 


ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับไม่ได้ซาบซึ้ง บิดตัวหันหนี 


 


 


จิ้นอ๋องก็ไม่โกรธ ปลอบนางเสียงเบา “เจ้าไม่บอกข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าใครทำให้เจ้าไม่พอใจ เอาล่ะๆ ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้าข้าก็จะออกหน้าให้เจ้าเอง” 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องร้องไห้สะอึกสะอื้นครู่หนึ่งจึงกล่าว “จักรพรรดิมีเจตนาอันใด นี่ไม่ใช่เป็นการประณามว่าข้าปฏิบัติไม่ดีต่อโย่วเอ๋อร์หรือ ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องมายี่สิบกว่าปี ไม่มีคุณงามความดีแต่ก็มีความชอบ สำหรับโย่วเอ๋อร์แล้ว ข้าเองก็ทุ่มเทกายใจ นี่ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิกำลังตบหน้าข้าหรอกหรือไร” 


 


 


จิ้นอ๋องได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ ชั่วขณะก็ถอนหายใจ กล่าวปลอบ “เจ้าคิดมากไปแล้ว เดิมเสด็จพี่ก็รักโย่วเอ๋อร์มากอยู่แล้ว เป็นห่วงเรื่องใหญ่ในชีวิตที่เหลือของเขาก็เป็นเรื่องปกติ ไหนเลยจะว่าร้ายเจ้า เอาล่ะ ความลำบากของเจ้าข้าก็เห็นอยู่ ไม่มีใครว่าเจ้าเลย” สตรีก็ชอบคิดมากเช่นนี้ 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องยังคงสะอื้นไห้ “จะไม่ให้ข้าคิดมากได้อย่างไร ข้ากำลังยุ่งอยู่กับการดูตัวให้โย่วเอ๋อร์ แม้แต่หลานสาวฝั่งมารดาก็รับเข้ามาเลือกแล้ว ตอนนี้จักรพรรดิกลับพระราชทานสมรส นี่ไม่ใช่ว่าไม่พอใจข้าหรือ ข้าปรึกษากับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ดีแล้ว ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่พี่สะใภ้อย่างไร” 


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อโย่วเอ๋อร์ ในเมื่อเสด็จพี่พระราชทานสมรสแล้ว ไม่ใช่ว่าลดความกลุ้มใจของเจ้าลงหรือ ตระกูลจวนจงอู่โหวกลับไม่ได้ทำให้โย่วเอ๋อร์เสื่อมเสีย เจ้าเป็นเสด็จแม่เขา เรื่องสินสอดทองหมั้นก็สร้างความลำบากใจเจ้ามากแล้ว” จิ้นอ๋องกล่าวเสียงเบา คิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “สำหรับพี่ภรรยาจวนนั้น หากพระชายารู้สึกผิดก็แต่งอนุภรรยาให้โย่วเอ๋อร์เสีย เช่นนี้เจ้าเองก็จะได้มีคนรู้ใจไว้พูดคุยเพิ่มขึ้น” 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องหลุดยิ้ม เหลือบตามองจิ้นอ๋องปราดหนึ่งอย่างอ่อนหวาน กล่าว “โย่วเอ๋อร์เองก็เป็นเด็กที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต งานสมรสของเขาข้าย่อมต้องตั้งใจจัดการ แต่ว่าคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้ที่จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้โย่วเอ๋อร์ของเรา ฟังว่าสุขภาพไม่ดีนัก ซ้ำยังพักรักษาตัวที่บ้านเก่าในชนบทมาหลายปี เรื่องทายาทข้าก็ยังเป็นกังวลยิ่งนัก” พระชายาจิ้นอ๋องขมวดคิ้วมุ่น แสดงท่าทีกลัดกลุ้มทุกข์ใจ 


 


 


ความคิดของพระชายาจิ้นอ๋องเปลี่ยนเร็วจริงๆ แผนการก่อนหน้านี้ล้มเหลวเพราะสมรสพระราชทาน นางก็คิดแผนการอื่นได้ทันที จะต้องยัดหลานสาวไว้ข้างกายสวีโย่วให้ได้ 


 


 


“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” จิ้นอ๋องประหลาดใจ “ไม่ใช่เป็นข่าวลือหรอกหรือ” เสด็จพี่รักโย่วเอ๋อร์เพียงนั้น จะพระราชทานสตรีที่มีทายาทยากให้เขาได้อย่างไร 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องมองค้อนจิ้นอ๋องปราดหนึ่ง “ข้าจะโกหกท่านทำไม ความจริงแล้วคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้เดิมก็มีสัญญาหมั้นหมายตั้งแต่เล็ก นั่นก็คือซื่อจื่อจวนหย่งหนิงโหว เพราะว่าคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นสุขภาพไม่ดี ตระกูลเขาจึงถอนหมั้นแล้วเปลี่ยนเป็นน้องสาวของนางแทน เรื่องนี้ไม่กี่วันก่อนก็ดังอื้อฉาว ท่านอ๋องเป็นคนใหญ่คนโตย่อมไม่เคยสนใจ ข้าอยู่ในเรือนหลังไหนเลยจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้” 


 


 


คิ้วของจิ้นอ๋องขมวดมุ่น ครู่ใหญ่จึงกล่าว “พระราชโองการสมรสพระราชทานออกมาแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ไม่มีทางให้เปลี่ยนใจ ในเมื่อสตรีแซ่เสิ่นผู้นั้นสุขภาพไม่ดี เช่นนั้นก็แต่งอนุภรรยาให้โย่วเอ๋อร์เสีย ไม่อาจให้เขาไร้ทายาทได้ เรื่องนี้ต้องใส่ใจให้มากหน่อย” ถ้าหากก่อนหน้านี้บอกว่าแต่งอนุภรรยาก็เพียงแค่ต้องการปลอบใจพระชายา แต่ตอนนี้เขากลับตัดสินใจแล้วว่าจะต้องแต่งอนุภรรยาให้โย่วเอ๋อร์ให้ได้ 


 


 


จิ้นอ๋องสองสามีภรรยาคู่นี้น่าขันเสียจริงๆ ในใจต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าความหวังที่สวีโย่วจะมีทายาทได้เลือนรางอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังพูดจาอย่างมีเหตุผล ไม่รู้ว่าหลอกตัวเองหรือว่าหลอกคนอื่นกันแน่ 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเห็นความต้องการสำเร็จแล้ว บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ ข้าจะวางแผนให้โย่วเอ๋อร์เป็นอย่างดีแน่นอน” 


 


 


ตั้งแต่ที่เสิ่นเสวี่ยกลับมาจากเรือนด้านหน้าคนก็ตกอยู่ในสภาพเดือดดาล สมรสพระราชทาน เสิ่นเวยหญิงชั่วผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าได้รับสมรสพระราชทานกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง นี่คือเกียรติยิ่งใหญ่เพียงใด 


 


 


ตั้งแต่ที่นางได้หมั้นหมายกับจวนหย่งหนิงโหว นางก็รู้สึกว่าในที่สุดนางก็กดหัวของเสิ่นเวยได้แล้ว แต่ตอนนี้ดูแล้วกลับน่าขันเพียงใด 


 


 


มีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรที่หญิงชั่วคนนี้ได้สมรสดีกว่านาง นางสู้หญิงบ้านนอกที่เติบโตจากชนบทผู้นั้นไม่ได้ตรงไหน 


 


 


นางไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอม! นึกถึงตรงนี้นางก็แค้นจนคับอกคับใจ เมื่อคิดถึงสินเดิมกองใหญ่ที่เสิ่นเวยกุมอยู่ในมือ เทียบกับสินเดิมอันน้อยนิดนั่นของตน นางก็อยากจะพุ่งเข้าไปทำลานเรือนเฟิงฮวาทันที 


 


 


ไม่ได้ นางต้องไปหาท่านแม่ ท่านแม่ยังไม่รู้ข่าวเรื่องนี้เลย 


 


 


อันที่จริงฮูหยินหลิวในหอธรรมก็รู้ข่าวที่ทำให้นางตกใจและเคียดแค้นอย่างถึงที่สุดนี้ข่าวนี้แล้ว 


 


 


แม่นมม่ายดื่มสุราไปพลางชายตามองฮูหยินหลิวที่นั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะกลมไปพลาง หัวเราะเยาะกล่าว “เห็นแล้วหรือยัง นี่ล้วนแต่เป็นสุราดีอาหารดีที่ในจวนมอบให้ รู้หรือไม่ว่าในจวนมีเรื่องมงคลอะไร” 


 


 


เห็นฮูหยินสามที่เคยยิ่งใหญ่ชั่วขณะเพียงแค่หลับตาสวดมนต์ไม่สนใจนาง แม่นมม่ายก็หัวเราะเยาะอีกครา “นี่คือเรื่องมงคลที่ใหญ่อย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้คุณหนูจวนโหวของพวกเรา รู้หรือไม่ว่าเป็นคุณหนูท่านไหน ใช่แล้ว คุณหนูสี่ รู้หรือไม่ว่าคู่หมั้นที่ได้รับพระราชสมรสคือใคร พูดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ คุณชายใหญ่แห่งจวนจิ้นอ๋องอย่างไรเล่า ดังนั้นเหล่าเจ้านายของพวกเราจึงดีใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมยินดีกับคุณหนูสี่ คนทุกระดับชั้นทั้งหมดในจวนจึงได้รับบำเหน็จ” พูดพลางถือจอกสุราดื่มจนหมดจอก 


 


 


ฮูหยินหลิวลืมตาโพลงขึ้นทันที ในดวงตามีแสงที่น่ากลัวแวบผ่าน “เป็นไปไม่ได้!” เป็นไปได้อย่างไร จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้เด็กชั่วคนนั้นได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องที่เป็นดั่งเทพเทวดา นางคู่ควรหรือ 


 


 


“จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร พระราชโองการประกาศออกมาแล้ว คุณหนูสี่ของพวกเราถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง จุ๊ๆ คุณหนูสี่ของพวกเราช่างโชคดีนัก ท่านโหวให้ความสำคัญ อนาคตก็ดี เป็นอันดับหนึ่งในจวนของพวกเรา” แม่นมม่ายคีบถั่วลิสงหนึ่งเม็ดเข้าปากแล้วเคี้ยวเสียงดัง 


 


 


ทว่าฮูหยินหลิวกลับโผเข้าไปหาทันที คว้าแขนของแม่นมม่ายไว้ “เจ้าพูดเหลวไหล นี่ไม่ใช่เรื่องจริง! เด็กคนนั้นจะสมรสที่ดีเช่นนั้นได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!” ดวงตานางตะลึงงันราวกับถูกผีสิง 


 


 


แม่นมม่ายถูกฮูหยินหลิวจับแขนจนเจ็บ อยากผลักนางออกแต่ก็ไม่กล้าแม้สักเล็กน้อย ทำได้เพียงร้องตะโกน “ฮูหยินสามท่านทำอะไร บ่าวหวังดีมาบอกข่าวนี้แก่ท่าน คงไม่ใช่ว่าท่านดีใจเกินไปใช่หรือไม่ หากท่านไม่เชื่อก็ถามคุณหนูห้าดูได้ ตอนที่รับพระราชโองการเจ้านายทั้งหมดก็อยู่” นางตาดีเหลือบเห็นคุณหนูห้านอกประตูจึงรีบตะโกนกล่าว 


 


 


ฮูหยินหลิวเองก็มองเห็นลูกสาวแล้ว ปล่อยแม่นมม่ายออกแล้วพุ่งไปจับตัวลูกสาวไว้ทันที “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าบอกแม่สิว่าไม่ใช่เรื่องจริง จักรพรรดิพระราชทานการสมรสจริงๆ หรือ” นางจ้องหน้าลูกสาวแน่นิ่ง รอให้ลูกสาวส่ายหน้า 


 


 


ทว่าเสิ่นเสวี่ยกลับพยักหน้าอย่างหนักแน่น กล่าว “เรื่องจริงเจ้าค่ะ ท่านแม่ จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้ท่านพี่จริงๆ ท่านพี่กำลังจะแต่งงานเข้าจวนจิ้นอ๋องแล้ว” ไม่มีใครรู้ว่าคำพูดนี้พูดยากเพียงใด 


 


 


 “เป็นเรื่องจริง! เป็นเรื่องจริง!” ฮูหยินหลิวพึมพำอยู่ในปาก ปล่อยมือออกล้มนั่งลงบนพื้นอย่างเสียขวัญเสียสติ หลังจากนั้นก็หัวเราะหึๆ กับตัวเอง ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งดัง กระทั่งน้ำตาไหลอาบหน้า 


 


 


เป็นเรื่องจริง นี่คือเรื่องจริง เสิ่นเวยเด็กชั่วคนนั้นจะแต่งเข้าตระกูลสูงส่งแล้วจริงๆ เช่นนั้นนางกับลูกสาวจะทำอย่างไรเล่า สิบกว่าปีนี้ของนางเป็นเรื่องล้อเล่นใช่หรือไม่ 


 


 


ฮ่าๆ ฮ่าๆ เรื่องล้อเล่น เรื่องล้อเล่น! แม้ว่านางจะออกจากหอธรรมแห่งนี้ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรอีก เด็กชั่วคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่นางจะบีบบังคับได้อีกแล้ว 


 


 


เสียงหัวเราะของฮูหยินหลิวทำให้แม่นมม่ายกับเสิ่นเสวี่ยต่างก็รู้สึกขนลุกขนพอง ฮูหยินสามไม่ได้เป็นบ้าใช่หรือไม่ แม่นมม่ายรีบออกไปกลัวว่าฮูหยินหลิวจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก 


 


 


เสิ่นเสวี่ยแข็งใจก้าวขึ้นไปข้างหน้า “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป” 


 


 


ทว่าฮูหยินหลิวกลับเฉยชาทั้งใบหน้า มีเพียงปากที่กำลังพึมพำ “เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริง” คล้ายคนสติหลุด 


 


 


เสิ่นเสวี่ยตะโกนเรียกอยู่นานก็เรียกสติฮูหยินหลิวกลับมาไม่ได้ ในใจนางกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง คำพูดที่อยู่เต็มอกพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ซ้ำยังต้องเป็นห่วงมารดาอีก ส่วนคนที่ก่อให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้คือใคร คือเสิ่นเวย คนชั่วเรือนเฟิงฮวาคนนั้น เสิ่นเสวี่ยกำหมัดแน่น อยากจะสับนางเป็นหมื่นท่อน 


 


 


จืออี๋เหนียงรู้ข่าวการสมรสพระราชทานแล้วก็ตกใจอย่างยิ่ง หลังตกใจก็ดีใจแทนคุณหนูสี่ คุณหนูสี่มีความสามารถจนได้คู่หมั้นที่ดีเพียงนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อลูกสาวของตัวเองด้วยเช่นกัน น้องสาวเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง ขอเพียงแค่ตระกูลเหวินมีไหวพริบก็จะให้ความสำคัญกับลูกสาวตน 


 


 


นางกลัวว่าลูกสาวจะโง่เขลาคิดไม่ออกจึงรีบไปพูดโน้มน้าวที่ห้องลูกสาว 


 


 


เสิ่นอิงกำลังเย็บปลอกหมอนอยู่ นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ก้มหน้าเล็กน้อย ข้างเท้าวางกล่องเข็มด้ายไว้หนึ่งกล่อง หัวใจของจืออี๋เหนียงเจ็บปวดเล็กน้อย นี่คือลูกสาวของนาง คือลูกสาวแท้ๆ ที่นางตั้งท้องมาสิบเดือน จากเด็กน้อยอ้อแอ้โตมาเป็นหญิงงาม ชั่วพริบตาก็จะแต่งงานแล้ว แค่คิดว่าลูกสาวกำลังจะจากนางไปบ้านสามี หัวใจของจืออี๋เหนียงทั้งทุกข์ตรมทั้งอาวรณ์ 


 


 


“ท่านแม่มาแล้ว” เสิ่นอิงเงยหน้าทักทาย 


 


 


จืออี๋เหนียงเข้ามานั่งข้างๆ นาง หยิบงานปักของนางมาดู กล่าว “แม่ไม่มีอะไร เพียงแค่เข้ามาดูเจ้า” นางหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าว “เจ้าเองก็อย่านั่งนิ่งไม่ขยับตั้งแต่เช้ายันเย็น ระวังตาเสีย อะไรที่ไม่สำคัญก็ให้สาวใช้ข้างกายทำก็ได้” 


 


 


เสิ่นอิงพยักหน้า มองมารดานางแต่กลับยิ้ม “ท่านแม่ ข้าทราบเจตนาที่ท่านมา ท่านอยากโน้มน้าวให้ข้าปล่อยวางไม่ต้องไปอิจฉาโกรธแค้นน้องสี่ใช่หรือไม่ ท่านวางใจเถิด ในใจข้ารู้ดี” 


 


 


คำพูดหลายประโยคพูดจนจืออี๋เหนียงตาค้างปากอ้า จู่ๆ ในใจของเสิ่นอิงก็ละอายใจ เพราะนิสัยแก่งแย่งชิงดีของนาง ท่านแม่คงจะต้องทุกข์ใจนางมากอย่างยิ่งสินะ 


 


 


“ท่านแม่ ข้าโตแล้ว รู้เรื่องแล้ว น้องสี่ได้คู่หมั้นคนนี้ได้เป็นวาสนาของนาง ข้าทำได้เพียงยินดีไม่โกรธแค้นริษยา น้องสี่คนนี้ก็ไม่เลว ก่อนหน้านี้ข้าคิดผิดไป เป็นพี่น้องกันแท้ๆ มีอะไรให้แก่งแย่ง ยิ่งไปกว่านั้นน้องสี่ได้สมรสดีก็เป็นประโยชน์กับข้า ท่านแม่วางใจเถิด หากได้แต่งเข้าตระกูลเหวินแล้วข้าจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน” เสิ่นอิงกล่าวอย่างตั้งใจ 


 


 


น้ำตาของจืออี๋เหนียงไหลออกมาทันที นางกอดลูกสาวตบหลังของนาง สะอื้นกล่าว “ดี ดี ในที่สุดอิงเอ๋อร์ของข้าก็โตแล้ว” 


 


 


เสิ่นอิงวางศีรษะไว้บนไหล่ของจืออี๋เหนียง สูดกลิ่นหอมบนร่างนาง ในใจเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันถึงอนาคต 

 

 

 


ตอนที่ 153.2

 

อนุภรรยา

 


 


 


 


ซิ่วอี๋เหนียงกับเสิ่นเยว่แม่ลูกกำลังพูดคุยกัน 


 


 


“คุณหนูสี่โชคดีจริงๆ จักรพรรดิพระราชทานการสมรส คุณหนูทั่วทั้งเมืองหลวงจะมีได้สักกี่คน” ซิ่วอี๋เหนียงกล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา 


 


 


เสิ่นเยว่พยักหน้า ในดวงตามีความริษยาแวบผ่าน แต่รวดเร็วอย่างยิ่งก็หายไป คุณหนูสี่ผู้นี้โชคดีจริงๆ คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องเป็นคู่หมั้นที่บุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ทั้งเมืองหลวงถวิลหาแม้ในยามฝัน แม้นางจะอายุน้อย แต่นางกลับรู้มาไม่น้อย 


 


 


“ท่านแม่ พรุ่งนี้ท่านช่วยข้าดูอีกที ข้าอยากเย็บของให้พี่สี่” เสิ่นเยว่กล่าว ในมือนางมีเงินไม่มาก ซื้อของดีๆ ไม่ได้ สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็เป็นเพียงงานเย็บปักถักร้อย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นน้ำใจของนาง 


 


 


ซิ่วอี๋เหนียงพยักหน้าอย่างชื่นชม “เยว่เอ๋อร์คิดเช่นนี้ได้ถูกแล้ว” 


 


 


เสิ่นเยว่คิดในใจ พี่สี่ได้คู่หมั้นดีเพียงนั้น นางย่อมต้องทำดีด้วยหน่อย ไม่ใช่ว่านางไม่อิจฉา เพียงแต่เห็นจุดจบของฮูหยินแล้วนางไหนเลยจะกล้าคิดแผนร้ายอีก ถือโอกาสตอนที่นางยังเด็ก รอนางถึงอายุที่พูดเรื่องแต่งงานได้พี่สี่ก็ยืนหยัดอยู่ในจวนจิ้นอ๋องได้แล้ว ตอนนี้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพี่สี่ไว้ ภายหลังก็สามารถพึ่งพานางเรื่องแต่งงานได้ อย่างไรเสียพวกนางก็เป็นพี่น้องกัน 


 


 


ฮูหยินจ้าวบ้านสองเองก็กำลังสั่งสอนลูกสาว “เห็นแล้วหรือยัง หมาที่กัดคนได้ไม่เห่า อย่าเห็นว่าพี่สี่ของพวกเจ้าอยู่แต่ในเรืองเฟิงฮวาไม่ชอบขยับตัว แต่นางก็มีความสามารถได้รับพระราชทานสมรสจากจักรพรรดิ นี่เป็นงานสมรสที่ดีเพียงใด พวกเจ้าทั้งสองเองก็หัดเรียนรู้เสียบ้าง ตามีแววหน่อย อย่าอยู่แต่ในห้องทั้งวัน ไปเดินเล่นกับพี่สี่ของพวกเจ้าบ่อยๆ สร้างสัมพันธ์อันดี พวกเจ้าต่างก็เป็นพี่น้องแท้ๆ ในจวนเดียวกัน นางได้ดีแล้วจะทิ้งพวกเจ้าได้อย่างไร” 


 


 


“ท่านแม่ ทราบแล้ว” เสิ่นเซวียนกล่าวอย่างอ่อนแรง มารดานางพูดมาจะหนึ่งชั่วยามแล้ว เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว 


 


 


“ทราบ ทราบกับผีน่ะสิ!” ฮูหยินจ้าวเห็นท่าทางนั้นของลูกสาวก็โมโหอย่างถึงที่สุด คนที่ปราดปเรียวเช่นนางเหตุใดถึงคลอดลูกสาวเช่นนี้ออกมาได้ อ่อนแอ เงียบเชียบ “วันทั้งวันเอาแต่เขียนอะไรก็ไม่รู้ เขียนดอกไม้ออกมาได้หรือไร อย่าฟังอาจารย์ของพวกเจ้าพูดจาเหลวไหล ผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงเก่งกินได้หรือ สิ่งสำคัญที่สุดของสตรีก็คือการแต่งงานกับบ้านสามีดีๆ พรุ่งนี้ เซวียนเจี่ยเอ๋อร์ รวมทั้งปิงเจี่ยเอ๋อร์ไปเล่นที่เรือนพี่สี่ของพวกเจ้าให้หมด พูดจาดีๆ เยอะๆ!” ฮูหยินจ้าวเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ หากเซวียนเจี่ยเอ๋อร์ได้คู่หมั้นดีเช่นนี้ ชีวิตนางยังจะมีอะไรให้ต้องทุกข์ใจอีก 


 


 


กลางดึก แสงดาวนอกหน้าต่างเป็นประกาย ดวงจันทร์หาวอย่างเกียจคร้าน คุณชายใหญ่สวีมาเยือนห้องนอนของเสิ่นเวยอีกครั้ง 


 


 


สวบ เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญลอยเข้ามาตรงหน้า สวีโย่วรับไว้อย่างจนใจ หลุดหัวเราะ เด็กคนนี้ อาฆาตเสียจริง 


 


 


เสิ่นเวยพิงหัวเตียง ชายตามองคนชั่วที่บุกเข้ามากลางดึกผู้นี้ กล่าวอย่างหงุดหงิด “ท่านมาทำอะไรอีกแล้ว” จะไม่ให้ข้ามีชีวิตสงบเลยใช่หรือไม่ 


 


 


“โกรธหรือ” สวีโย่วหัวเราะเบาๆ หนึ่งครา ท่าทางงดงาม เป็นเด็กสาวขี้หงุดหงิดจริงๆ แต่ว่าเหตุใดยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขในใจเล่า 


 


 


“ใครจะกล้าโกรธคุณชายใหญ่สวีเล่า” เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครากล่าวอย่างมีเลศนัย 


 


 


เสิ่นเวยรู้สึกอึดอัดใจ เจ้าบอกจะรับผิดชอบก็รับผิดชอบ เจ้าบอกจะสู่ขอก็อันเชิญพระราชโองการสมรม พระราชทาน ไม่ว่าอะไรล้วนตามใจเจ้าแล้วข้าเป็นตัวอะไร เสิ่นเวยกุมอำนาจจนชิน ตอนนี้ความรู้สึกถูกกระทำแบบนี้นางไม่ชอบแม้แต่นิดเดียว 


 


 


“โกรธจริงๆ หรือ” สวีโย่วกล่าวถาม คิดครู่หนึ่งก็ยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่านางโกรธอะไร แต่ว่าคุณชายใหญ่สวีของพวกเราก็มีข้อดี นั่นคือการถามต่ออย่างหน้าไม่อาย “เหตุใดเจ้าต้องโกรธด้วยเล่า” 


 


 


เสิ่นเวยกลอกตา มองคนโรคจิตที่น่าไม่อายผู้นี้เปลี่ยนจากนั่งเก้าอี้มานั่งข้างเตียงนางแทนแล้ว หากไม่ใช่กลัวว่าเคลื่อนไหวมากไปแล้วจะทำให้สาวใช้ยืนเวรดึกข้างนอกตกใจ นางก็อยากถีบเขาลงไปจากเตียงจริงๆ 


 


 


“สมรสพระราชทานหรือ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างกระชับสั้น พระราชโองการประกาศแล้ว อย่าว่าแต่ไม่มีทางปฏิเสธ ต่อให้ภายหลังจะหย่าก็หย่าไม่ได้แล้ว นี่ไม่ใช่เป็นการตัดอนาคตของนางหรือ หรือว่าจะทำได้เพียงเดินบนเส้นทางสังหารสามีเสีย แต่หนุ่มรูปงามที่มองแล้วชื่นใจเช่นนี้หากสังหารตายแล้วก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจริงๆ 


 


 


สวีโย่งตะลึงงัน หลังจากนั้นก็กล่าวอธิบาย “เดิมข้าก็อยากเชิญองค์หญิงใหญ่มาสู่ขอ ใครจะรู้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ทำได้เพียงขอให้จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้ อันที่จริงก็เหมือนกันมิใช่หรือ” 


 


 


เสิ่นเวยมีไหวพริบมากเป็นพิเศษ จับคำว่า ‘เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง’ ได้อย่างรวดเร็ว มีเรื่องอะไรที่แม้แต่ความสำคัญขององค์หญิงใหญ่ก็ไม่เพียงพอจนต้องขอให้จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เสิ่นเวยก็รู้สึกปวดหัว 


 


 


“ใครถามท่านเรื่องนี้” เสิ่นเวยถลึงตาใส่สวีโย่วปราดหนึ่ง ในใจแอบเกลียดตัวเองที่ใจไม่สู้ เพียงแค่ได้มองหนุ่มรูปงามมากหน่อยมิใช่หรือ ส่วนชีวิตที่เหลือก็ต้องตกอยู่ในวังวนใช่หรือไม่ 


 


 


พูดไปพูดมาก็ล้วนแต่เป็นหายนะที่เกิดจากความงาม หากคุณชายใหญ่สวีหน้าตาน่าเกลียดหน่อย อัปลักษณ์หน่อย เจอใครไม่ได้สักหน่อย นางเองก็สามารถตัดเขาออกไปได้ด้วยจิตใจที่โหดเ**้ยม แต่คุณชายใหญ่สวีดันหน้าตางดงามราวกับบุปผาซ้ำยังตรงรสนิยมของนางเลยลงมือไม่ลง! เสิ่นเวยส่ายหน้าไปพลางแค้นใจไปพลาง 


 


 


“หรือว่าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้า” สวีโย่วเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนบนใบหน้าเสิ่นเวย จู่ๆ ก็กล่าวถาม 


 


 


“ข้าไม่อยากแต่งงานเลยต่างหาก” เสิ่นเวยเอ่ยปาก 


 


 


“ต่างกันตรงไหน” สวีโย่วขมวดคิ้ว คิดในใจ เด็กคนนี้ไม่อยากแต่งงานกับเขา เรื่องราวรับมือยากเล็กน้อย! 


 


 


“ต่างกันจะตายไป ข้าเพียงแค่ไม่อยากแต่งงาน ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ท่าน” เสิ่นเวยกล่าวอธิบาย ท่าทางขมวดคิ้วของหนุ่มรูปงามแซ่สวียังดูดี เมื่อครู่นางเกือบจะมองจนตะลึง ไม่ได้ คนผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว ไม่อาจสนิทสนมเกินไปได้ 


 


 


“อ้อ เช่นนี้นี่เอง” สวีโย่ววางใจลง ขอเพียงแต่ไม่ใช่ไม่อยากแต่งงานกับเขาก็พอแล้ว แต่ว่าความคิดของเด็กคนนี้ประหลาดจริงๆ เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกไม่ใช่สาวแรกรุ่นที่เริ่มมีอารมณ์รักหรอกหรือ เหตุใดถึงไม่อยากแต่งงานเล่า “เพราะเหตุใด” 


 


 


“แต่งงานมีอะไรดี” เสิ่นเวยถามกลับ 


 


 


“แต่งงานมีอะไรไม่ดี” สวีโย่วเองก็ถามต่อ 


 


 


เสิ่นเวยมองท่าทางที่จริงจังเช่นนั้นของสวีโย่ว จู่ๆ ก็เสียความมั่นใจ นี่เป็นเพียงแค่ความคิดของนาง โลกทั้งใบอาจมีเพียงนางคนเดียวที่คิดเช่นนี้ นางจะอธิบายให้เขาฟังได้หรือ ซ้ำเขาจะสามารถยอมรับการอธิบายของนางได้หรือ พระราชโองการประกาศออกมาแล้ว นางกับเขาถูกมัดไว้ด้วยกันแล้ว มาพูดเรื่องเหล่านี้อีกจะมีประโยชน์อะไร 


 


 


“วุ่นวาย ข้าไม่ชอบความวุ่นวาย” เสิ่นเวยพยายามพูดอย่างเรียบง่าย 


 


 


“วุ่นวายหรือ” สวีโย่วตกตะลึง สีหน้าไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง แต่งงานเกี่ยวอะไรกับความวุ่นวาย เกี่ยวหรือ ไม่เกี่ยวกระมัง 


 


 


เสิ่นเวยอ่านความคิดของเขาออกในปราดเดียว กล่าวอยางคับแค้น “แม้ว่าท่านจะเป็นบุตรคนโตของจวนจิ้นอ๋อง แต่ตอนนี้พระชายาก็ไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของท่านใช่หรือไม่ นางมีลูกชายของตัวเองสามคน จะทำดีต่อท่านได้หรือ ท่านพ่อท่านก็ไม่ได้สนใจท่านเท่าไรกระมัง มิเช่นนั้นตำแหน่งซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องก็คงจะไม่ตกอยู่ที่น้องชายท่าน อย่าบอกข้าว่าเป็นเพราะร่างกายท่านไม่ดี หากพ่อของท่านรักท่าน แม้ร่างกายท่านจะไม่ดีก็ควรจะให้ท่านเป็นซื่อจื่อมิใช่หรือ อย่างไรเสียสุขภาพไม่ดีที่ว่านั่นก็สามารถไขว่คว้าอนาคตของตนได้ จวนจิ้นอ๋องของพวกท่านจะต้องรักใคร่คนในครอบครัว ส่วนท่านก็เป็นก้างชิ้นใหญ่ ท่านว่าข้าแต่งเข้าไปแล้วจะมีอะไรดีได้ ปัญหามากมายเพียงนี้แค่คิดก็หงุดหงิดแล้ว!” จวนจงอู่โหวเล็กๆ จวนหนึ่งยังมีเรื่องเหลวไหลเคราะห์ร้ายมากมายเพียงนั้น จวนจิ้นอ๋องก็คงจะเยอะกว่ากระมัง นางไม่อยากถูกขังอยู่ในเรือนหลังวันทั้งวันตบตีกับสตรีหนึ่งกลุ่มราวกับนกแร้งนกกาหรอกนะ 


 


 


หงุดหงิด! หงุดหงิด! หงุดหงิด! 


 


 


สวีโย่วตะลึงงันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแวววับ งดงามอย่างถึงที่สุด 


 


 


เป็นเด็กสาวฉลาดจริงๆ ด้วย! สวีโย่วถอนหายใจ เขายิ่งไม่อยากปล่อยมือจะทำอย่างไร ในช่วงชีวิตยี่สิบสองปีเขาเกิดความปรารถนาเป็นครั้งแรก เขาคิดว่าหากเขาคลาดกับเด็กที่น่าสนใจคนนี้ไป ชีวิตหลังจากนี้ของเขาก็ไม่อาจมีความสุขได้อีกแล้ว 


 


 


สวีโย่วยื่นมือออกไปลูบหน้าของเสิ่นเวย ค่อยๆ เขยิบเข้าไป แทบจะชนปลายจมูกของนาง “ไม่มีทางมีปัญหา ข้ารับปากกเจ้าว่าจะไม่มีปัญหา แม้ว่ามีก็จะมีข้ารับหน้าแทนเจ้า” ดวงตาเด็กคนนี้สวยจริงๆ งดงามและหยาดเยิ้ม ข้างในมีคนตัวเล็กๆ หนึ่งคน นั่นไม่ใช่เขาหรือ 


 


 


เสิ่นเวยตกใจจนตาค้างปากอ้า เอ๋ๆๆ คาดไม่ถึงว่าคนโรคจิตหน้าไม่อายคนนี้จะใช้ความงามของเขามาล่อลวงนาง ซ้ำยังแต๊ะอั๋งนางอีกด้วย ส่วนตัวเองก็ใจไม่สู้เคลิบเคลิ้มอยู่ในนั้น กว่าเสิ่นเวยจะได้สติกลับมาสวีโย่วก็หัวเราะเบาๆ ถอยไปข้างหน้าต่างแล้ว “เด็กน้อย รอข้านำสินสอดมาให้นะ” 


 


 


เสิ่นเวยอยากจะตบเขากระเด็นไปถึงแคว้นอูลาจริงๆ เหตุใดหนุ่มรูปงามแซ่สวีพูดว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยนเล่า สูงส่งใหญ่โตนักหรือ องอาจทะนงตนนักหรือ ทั้งหมดแล้วก็เป็นเพียงอันธพาลหน้าไม่อายคนหนึ่ง 


 


 


เสิ่นเวยโกรธจนสาปแช่งอยู่ครึ่งค่อนคืน วันที่สองก็หลับเลยเวลาที่คาดไว้ แต่ว่านางไม่ต้องไปเคารพผู้ใหญ่ อยากนอนมากเท่าไรก็นอนได้มากเท่านั้น 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)