คัมภีร์วิถีเซียน 1489-1490

ตอนที่ 1489 มีดเบญจมังกร

 

“หลังจากที่ถูกภูตเหล่านั้นลอบโจมตี แม้ว่าข้าจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่หุ่นเชิดที่เก็บมาได้ก็มีไม่ถึงพันตัว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ย


 


 


“สถานการณ์ของแม่เฒ่ายิ่งแย่มาก ไม่เพียงราชันย์ภูตสองสามตนจะถูกหุ่นเชิดระเบิดออกจนได้รับบาดเจ็บหนัก ทหารภูตที่เหลืออยู่ก็ถูกอิทธิฤทธิ์ธาตุวายุที่พี่ลิ่วจู๋สำแดงทำลายไปจนหมด” หญิงงามผมขาวถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง


 


 


“เหตุใดสหายหลันถึงกล่าวเช่นนี้! แม้ว่าตอนแรกพวกเราจะนัดกันว่าขอแค่สหายหลอมทหารภูตได้แปดพันตัวก็พอแล้ว แต่จากที่ข้าเอาไปจากสหายนั้นไอทมิฬบริสุทธิ์มันไม่ถึงจำนวนนับด้วยซ้ำ สหายน่าจะหลอมภูตทมิฬเกราะจันราเอาไว้สินะ ตอนนี้ถึงคราวต้องใช้แล้ว ไม่ใช่เวลามาเสียดายอะไร” ตารวมของลิ่วจู๋เปล่งประกายเอ่ยอย่างเคร่งขรึมออกมา


 


 


หญิงงามผมขาวได้ฟังพลันตะลึงงัน ใบหน้าเผยสีหน้าเก้อเขินออกมา


 


 


“คิดไม่ถึงว่าพี่ลิ่วจู๋จะรู้เรื่องนี้ ใช่แล้ว เพื่อเป็นการป้องกันแม่เฒ่าหลอมทหารภูติดอาวุธมาอีกห้าร้อยตัว แม้ว่าจำนวนจะไม่มาก แต่อาศัยแค่กำลังกายของมันกลับเหนือกว่าภูตทมิฬเกราะจันทราอยู่ขั้นหนึ่ง”


 


 


“เยี่ยม มีหุ่นเชิดที่เหลืออยู่และทหารภูตสองสามร้อยคนคอยช่วยเสริม ระยะทางต่อจากนี้แม้ว่าจะมีจุดที่อันตรายอยู่สองสามแห่ง ก็คงข้ามผ่านไปได้อย่างไม่มีปัญหา ข้ารู้ว่าเหล่าสหายคงมีแผนอื่น แต่ขอแค่เอาเกษียรเทวะของแม่น้ำอเวจีมาได้ พวกเราก็ไปกันเองได้แล้ว พวกเจ้าคิดจะเคลื่อนไหวอย่างไร ข้าน้อยก็จะไม่ซักไซ้เลยสักนิด แต่ก่อนจะถึงเป้าหมาย เหล่าสหายอย่าคิดเรื่องอื่น หรือคิดแผนวุ่นวายอะไรเลย มิเช่นนั้นอย่ามาโทษว่าข้าน้อยไม่ปรานี” สายตาของลิ่วจู๋กวาดไปบนใบหน้าของมู่ชิงและพวกทั้งสามคน เต็มไปด้วยเจตนาคุกคาม


 


 


หญิงงามผมขาวหน้าเปลี่ยนสี มู่ชิงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนดวงตาทั้งสี่ของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ ทุกคนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย ราวกับว่าไม่เคยได้ยินคำพูดของลิ่วจู๋อย่างไรอย่างนั้น


 


 


ลิ่วจู๋ไม่ได้แปลกใจกับท่าทีของทุกคน พลันโบกมือมือหนึ่ง ปากเปล่งคำว่า “ออกเดินทาง” ออกมา


 


 


ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่ง บินตรงไปยังเบื้องหน้า


 


 


ปีศาจระดับสูงที่อยู่ด้านล่างสิบกว่า ก็ขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีไล่ตามไปทันที


 


 


ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองคนเห็นเช่นนั้นแขนทั้งสี่พลันสะบัดออก จุดสีดำจำนวนมากบินออกมาจากแขนเสื้อ ชั่วพริบตาที่ร่อนลงพื้นนั้น ก็ทยอยกันระเบิดออกเป็นลำแสงประหลาดๆ กลายเป็นหุ่นเชิดรูปร่างแตกต่างกัน


 


 


เห็นได้ชัดว่าหุ่นเชิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนจงใจทิ้งเอาไว้!


 


 


ไม่เพียงแค่สมประกอบทุกระเบียบนิ้วราวกับของใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นกว่าครึ่งยังวิจิตรงดงามมาก


 


 


ครานี้หญิงงามผมขาวถึงได้ชูมือขึ้น ถุงหนังสีดำขนาดเท่าฝ่ามือถุงหนึ่งบินออกมา และพลันร่ายคาถากระตุ้น


 


 


ถุงหนังนี้หมุนคว้างอยู่กลางอากาศ ชั่วขณะนั้นปากถุงพลันเทออก ด้านในมีพายุทมิฬสีดำทะมึนพ่นออกมา


 


 


ภายใต้ก้อนหินดินทรายที่ปลิวว่อน ภูตสวมชุดเกราะสีดำเป็นกลุ่มๆ ปรากฎตัวขึ้น


 


 


รูปร่างของทหารภูตเกราะสงครามเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับภูตทมิฬเกราะจันทราก่อนหน้าเท่าใดนัก แค่มองแล้วหนาและแข็งแกร่งกว่าสองสามส่วน และยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างของทหารภูตเหล่านี้ก็สูงกว่าทหารภูตธรรมดาๆ เล็กน้อย มองไกลๆ ล้วนดูโหดเ**้ยมเป็นอย่างยิ่ง!


 


 


“ไป!”


 


 


ภายใต้การออกคำสั่งของหญิงงาม ในขณะที่ทหารภูตสองสามร้อยตัวทะลักกันเข้ามา พลันกลายเป็นหมอกสีดำหมุนวนไล่ตามลิ่วจู๋ไป หยวนเหยาและเหยียนลี่ก็ทำได้เพียงออกห่างจากหานลี่ ตามไปอย่างใจดีสู้เสือ


 


 


ส่วนกองทัพหุ่นเชิดก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ บินอยู่กลางอากาศต่ำๆ โดยมีลำแสงวิญญาณต่างๆ ห่อหุ้มกายเอาไว้


 


 


หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตบินอยู่เบื้องหน้าหุ่นเชิดทั้งหมด ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองคนยังคงยืนนิ่งอยู่บนหัวไหล่


 


 


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้มู่ชิงพลันกวาดสายตาไปทางหานลี่อย่างราบเรียบแวบหนึ่ง เท้าเรียวย่ำไปบนดอกไม้สีทองใต้ฝ่าเท้าครั้งหนึ่ง กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสายหนึ่งพุ่งออกไป


 


 


“สหายหานพวกเราไปกันเถิด!”


 


 


หานลี่เหลือบตามองไปเห็นจิตวิญญาณสีทองดูเหมือนว่าจะเอ่ยอะไรกับเขายิ้มๆ อยู่ ท่าทางเหมือนจะติดตามเขาไป


 


 


หานลี่พลันพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นที่รอบกาย กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป


 


 


ส่วนวานรสีทองพลันหัวเราะเสียงต่ำๆ ออกมา กลายเป็นลำแสงสีทองไล่ตามไปติดๆ…


 


 


สองสามวันต่อมา ในส่วนลึกของแม่น้ำอเวจี เบื้องหน้าถ้ำหินกลางเทือกเขาสีเทาขาวผืนหนึ่ง ภูตรูปร่างแตกต่างกันสองสามคนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ


 


 


ภูตเหล่านี้บ้างก็ถูกควันสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ บ้างก็เป็นแค่เงาสีขาวจางๆ สายหนึ่ง และยังมีบางพวกที่เป็นโครงกระดูกยักษ์สูงสองสามจั้ง…


 


 


ภูตสตรีชุดขาวที่เคยประมือกับหานลี่ครั้งหนึ่ง แต่ยอมหนีไปก็ปรากฎตัวอยู่ในนั้นด้วย


 


 


แต่พวกมันไม่แขนขาดขาขาด กลิ่นอายบนร่างก็เบาบางไปเป็นอย่างมาก


 


 


แม้แต่ภูตสตรีที่ทำให้หานลี่รู้สึกว่ารับมือยาก แขนข้างหนึ่งรวมทั้งแขนเสื้อสีขาวก็หายไป กลายเป็นคนแขนเดียว


 


 


ภูตเหล่านี้ล้วนมีท่าทีจนตรอก ส่วนตรงกลางของภูตเหล่านี้กลับมีผู้ที่สวมชุดเกราะสงครามสีแดงโลหิต ใบหน้าสวมเกราะปรากฎอยู่


 


 


เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของหุ่นเชิดเกราะโลหิตแห่งเผ่าแมลงเม่า


 


 


ดูจากภายนอกแล้ว หุ่นเชิดตนนี้ไม่แตกต่างอะไรกับหุ่นเชิดเกราะโลหิตธรรมดาๆ เลยสักนิด แต่สายตาของภูตรอบๆ นี้  ที่มองมายุ่งหุ่นเชิดตัวนี้กลับแฝงเอาไว้ด้วยความยำเกรงหลายส่วน คาดไม่ถึงว่ามีท่าทีหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย


 


 


หุ่นเชิดตนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าภูตระดับสูงจำนวนมาก ร่างกายพลิ้วไหว มองไปยังปากถ้ำที่ดูลึกเป็นอย่างมาก ดวงตาเปล่งแสงสีเขียวจางๆ ออกมา


 


 


ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เสียงถอนหายใจยาวๆ ก็ดึงออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ จากนั้นเสียงแหบชราก็ดังมาจากด้านใน


 


 


“นายท่านมีฐานะเป็นทูตของเผ่าแมลงเม่า คาดไม่ถึงว่าจะมาหาตาเฒ่าอีก ไม่คิดว่ามาหาผิดคนหรือ?”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภูตด้านหน้าถ้ำก็มีสีหน้าเคร่งขรึม หุ่นเชิดเกราะสีโลหิตตนนั้นแววตาเปล่งประกาย เอ่ยปากพูดเช่นกัน


 


 


“ท่านอาวุโส ข้าน้อยทำเช่นนี้เพราะจำใจ ความร้ายกาจของผู้ที่บุกเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์รั้งนี้เหนือกว่าที่ชนรุ่นหลังคิดเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้ที่อยู่ในระดับเทียบเท่ากับระดับแมลงเม่าสวรรค์ถึงสี่ห้าคน นอกจากข้าแล้ว ร่างแยกหุ่นเชิดตนอื่นๆ ก็ถูกทำลายไปจนหมดแล้ว แม้ข้าจะส่งข่าวขอกำลังเสริมไปแล้ว แต่การเปิดแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งต่อไปยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี ระยะเวลานานขนาดนี้เกรงว่าคนเหล่านี้คงหนีเตลิดเปิดโปงไปแล้ว หวังว่าท่านอาวุโสจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน ลงมือช่วยสักครั้ง!” หุ่นเชิดชุดเกราะสีโลหิตค้อมกายขึ้น พลางเอ่ยอย่างนอบน้อมมาก


 


 


“หึ ตอนแรกตาเฒ่าและเผ่าแมลงเม่าของพวกเจ้าได้ตกลงกันเอาไว้ว่าจะขอพักผ่อนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าไม่กี่วันเท่านั้น ไม่ได้จะขอพึ่งเผ่าแมลงเม่า สิ่งที่ควรตอบแทน ตาเฒ่าก็ตอบแทนไปนานแล้ว การเข้ามาในแดนแม่น้ำอเวจีครั้งนี้ พวกเจ้าให้ข้าเรียกภูตมาช่วย ข้าเองก็พอจะตกลงได้ ตอนนี้ยังจะให้ข้าออกไปช่วยพวกเจ้าสังหารศัตรูด้วยตนเอง ไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยหรือ?” เสียงแค่นเสียงอย่างเย็นชาดังขึ้น สะท้อนก้องไปมาทั่วทั้งถ้ำ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก


 


 


“ท่านอาวุโสเจียง ชนรุ่นหลังไม่ทราบว่าท่านกับเผ่าของเราสัญญาอะไรต่อกัน แต่จากความสามารถเก่าของท่านการต่อกรกับคนเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องที่ง่ายดาย หากท่านอาวุโสไม่สะดวกจริงๆ ก็ยอมมอบมีดเบญจมังกรให้ชนรุ่นหลังยืมก็ได้เช่นกันขอรับ” หุ่นเชิดกลอกตาไปมา พลางเอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


“มีดเบญจมังกรคือของที่ล้ำค่าเป็นอันดับต้นๆ ของตาเฒ่า ตาเฒ่าจะให้เจ้ายืมทำไม วันนั้นเพื่อเข้าไปในแม่น้ำอเวจี ตาเฒ่าก็จ่ายเป็นของล้ำค่าที่คุ้มค่าให้กับอาวุโสของพวกเจ้าแล้ว” ชายชราดูเหมือนว่าระลึกถึงสิ่งที่ไม่พอใจนักอะไรออกมา จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


 


 


หุ่นเชิดเกราะโลหิตใจเต้นระรัว ลังเลเล็กน้อย มือหนึ่งควานหาทั่วเรือนร่าง ควักขวดสีดำสนิทออกมาจากเกราะสีโลหิต


 


 


ขนาดเท่าหัวแม่มือ แต่วิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก


 


 


“เงินเดือนล่าสุดของชนรุ่นหลัง อาวุโสในเผ่าได้มอบ ‘วารีขุยจิ้ง’ ให้ขวดหนึ่ง ข้าน้อยยอมใช้สิ่งนี้แลกกับการให้ท่านอาวุโสลงมือช่วยครั้งหนึ่ง” หุ่นเชิดเกราะสีโลหิตถือขวดเล็กๆ เอาไว้อย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันดัง


 


 


“วารีขุยจิ้ง!” เสียงแหบพร่าพลันเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าจะตกใจไปเล็กน้อย!


 


 


“สิ่งนี้ล้านปีถึงจะก่อตัวขึ้นหยดหนึ่ง ทั้งแดนวิญญาณเองก็ตามหามาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ นับได้ว่าเป็นของที่หายาก” หุ่นเชิดตนนี้สัมผัสได้ถึงความลังเลของอีกฝ่าย จึงเยือกเย็นขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะเอ่ยด้วยเสียงก้องกังวานออกมา


 


 


เสียง “สวบ” ดังขึ้น หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากในถ้ำ ชั่วครู่ก็ม้วนเอาขวดเล็กๆ สองสามชนิดไปจากหุ่นเชิด แล้วนำกลับเข้าไปในถ้ำ


 


 


หุ่นเชิดเกราะโลหิตไม่มีเจตนาจะต้านทานเลยสักนิด!


 


 


“ไม่เลว เป็นวารีขุยจิ้งจริงๆ ดูแล้วตาเฒ่าของพวกเจ้าคงวางแผนเอาไว้แล้ว” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เสียงแหบแห้งดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่น้ำเสียงยังแฝงความดีใจเอาไว้


 


 


“เช่นนั้นท่านอาวุโสก็ตกลงแล้ว!” หุ่นเชิดชุดเกราะโลหิตพลันรู้สึกดีอกดีใจ


 


 


“จะว่าข้าตกลงก็ตกลง แต่ตาเฒ่าได้ตกลงกับอาวุโสในเผ่าของพวกเจ้าเอาไว้แล้ว จำต้องกดการแว้งกัดของไอทมิฬในห้วงเวลานี้เอาไว้แทนเผ่าแมลงเม่าของพวกเจ้า ช่วงเวลานี้ไอทมิฬที่นี่ไม่ค่อยมั่นคงนัก ข้าจึงไม่อาจออกจากที่นี่ได้ เจ้าเอามีดเบญจมังกรของข้าไปเถิด!” น้ำเสียงแหบแห้งลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


“ขอบพระคุณท่านอาวุโส! มีมีดเบญจมังกร! ชนรุ่นหลังคนเดียวก็สามารถต้านทานระดับแมลงเม่าสวรรค์ห้าคนได้ สังหารคนเหล่านั้นได้สบายๆ แน่” หุ่นเชิดเกราะโลหิตเอ่ยอย่างดีอกดีใจ


 


 


“ในเมื่อเจ้าเห็นด้วย ก็รับไปเถิด!”


 


 


คนในถ้ำเองก็ปราดเปรียวเป็นอย่างมาก หลังจากที่ร้องตะโกนด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา ลำแสงสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็มาอยู่ตรงหน้าหุ่นเชิดเกราะโลหิต และหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ


 


 


หุ่นเชิดเกราะโลหิตขมวดคิ้วเพ่งมองไป


 


 


เห็นเพียงมีดสีเงินขาวที่ดูธรรมดาๆ ลอยอยู่ตรงนั้น ผิวของมันนอกจากจะเปล่งแสงเจิดจ้าราวกับกระจกแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะมองหาความพิเศษไม่เจอเลยสักนิด


 


 


“ท่านอาวุโส นี้…นี้คือมีดเบญจมังกร?” หุ่นเชิดเกราะโลหิตชูมือรับมีดเอาไว้ พิจารณาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แววตาฉายแววฉงนสว่างวาบ


 


 


“หึๆ! อันใด กลัวว่าตาเฒ่าจะตบตาเจ้าหรือ?” เสียงแหบแห้งเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา


 


 


“มิกล้า แค่มีดเล่มนี้…” หุ่นเชิดเกราะโลหิตใจหายวาบ รีบร้อนคิดจะเอ่ยอธิบาย แต่ในตอนนั้นเอง มีดในมือก็สั่นเทา ดิ้นหลุดออกจากนิ้วทั้งห้าบินออกไป


 


 


หลังจากที่สมบัติชิ้นนี้หมุนวนโคจรรอบหนึ่ง ลำแสงสีเงินพลันสว่างวาบ จากนั้นเสียงกรีดร้องคำรามราวกับมังกร ภาพมายามังกรวารียักษ์ห้าตัวก็ปรากฎขึ้นบนมีด มีสีสันหลากหลาย แยกเขี้ยวตะปบเล็ก ท่าทางดุดันเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“มีดเบญจมังกรคือสมบัติที่ตาเฒ่าใช้โครงกระดูกและจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของมังกรวารีที่มีความสามารถเกรียงไกรห้าตัว ซึ่งถูกสังหารไปตอนที่ไปหาประสบการณ์ที่แผ่นดินใหญ่ ตอนนั้นเมื่อหลอมเสร็จก็บันทึกเข้าไปในหมื่นคัมภีร์หุ้นตุ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังสมบัติระดับต้นๆ ในรายการสมบัติสะท้านฟ้า” น้ำเสียงของแหบแห้งเอ่ยอย่างหยิ่งทระนง


 


 


“ทำให้ท่านอาวุโสเห็นเรื่องน่าขันแล้ว! ชนรุ่นหลังและพวกเจ้าไปกำจัดผู้มาเยือน แล้วนำสมบัติชิ้นนี้มาคืนท่านอาวุโสทันที!”


 


 


หุ่นเชิดเกราะโลหิตเห็นมีดเล่มนี้สร้างปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่ออกมาก็รู้สึกดีใจ แล้วร่ายคาถาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสงสัยใดๆ อีก


 


 


ชั่วขณะนั้นมีดพลันกลายเป็นสายรุ้งสีเงินสายหนึ่ง จมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา


ตอนที่ 1490 ควบคุม

 

“ข้าได้หลอมมีดเบญจมังกรเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจตั้งนานแล้ว ต่อให้นำมันออกไจปากที่นี่ ข้าก็สามารถใช้จิตสัมผัสเรียกมันกลับมาได้โดยอัตโนมัติ และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ให้เจ้ายืมสมบัติ การกระตุ้นพลานุภาพอย่างเต็มกำลังก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเป็นแค่จิตที่สิงอยู่ในหุ่นเชิด ข้าจะถ่ายทอดคาถาการใช้จิตสัมผัสควบคุมมีดเบญจมังกรให้เจ้าบทหนึ่งก็แล้วกัน แม้ว่าจะควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้ไม่นานนัก แต่ก็เพียงพอกลับการใช้ต่อกรกับผู้ที่มาจากภายนอก แต่เมื่อใช้คาถานี้ จิตสัมผัสของเจ้าที่สิงอยู่บนหุ่นเชิดจะเสียหายเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งอาจจะกระทบต่อร่างหลักของเจ้า เจ้ายังจะทำเช่นนี้อยู่หรือไม่?” เสียงแหบแห้งเอ่ยออกมารอบหนึ่ง


 


 


เมื่อได้ฟังแววตาของหุ่นเชิดพลันฉายลำแสงสีเขียวสว่างวาบ แต่ครู่ต่อมาก็เอ่ยว่า


 


 


“หากพวกเราไม่อาจยับยั้งคนที่มาจากภายนอกได้ ต่อให้กลับไปยังเผ่าได้อย่างปลอดภัย ก็จะได้รับโทษหนัก ชนรุ่นหลังจะยินยอมละทิ้งจิตสัมผัสเหล่านี้สู้ดูสักตั้ง”


 


 


“เยี่ยม เจ้าคิดเช่นนี้ก็จัดการง่ายแล้ว ฟังให้ดี ข้าจะถ่ายทอดคาถาให้กับเจ้า” เจ้าของน้ำเสียงแหบแห้งหัวเราะหึๆ ออกมา จากนั้นเสียงนั้นก็หายไป


 


 


แต่แววตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตกลับเปล่งประกายไม่หยุด เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา ดูเหมือนว่าจะตั้งใจฟังอะไรสักอย่างอยู่


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่หุ่นเชิดก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลังจากสักการะถ้ำรอบหนึ่ง ก็เอ่ยขอตัวลา


 


 


“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบเคล็ดวิชาให้ ชนรุ่นหลังจะขอตัวไปเตรียมตัวอย่างไม่รีรอแล้ว”


 


 


“ช้าก่อน ยาลูกกลอนนี้ให้หุ่นเชิดตนอื่นๆ กินซะ ขอแค่ภูตเหล่านี้ฟื้นฟูลมปราณกลับมา ก็จะช่วยเจ้าได้อีกแรงแล้ว ตาเฒ่าเองก็จะไม่เอาเปรียบชนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้า”


 


 


เสียงแหบแห้งเอ่ยจบพายุประหลาดกลุ่มหนึ่งก็ม้วนวนพุ่งออกมาจากในถ้ำ เมื่อพายุสลายหายไป เบื้องหน้าหุ่นเชิดกลับมีขวดหยกสีขาวเพิ่มขึ้นมาหนึ่งขวด


 


 


หุ่นเชิดเกราะสีโลหิตเห็นสิ่งนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นจึงเก็บขวดหยกลงไป แล้วคารวะพร้อมกับขอตัวกล่าวลา ภูตเหล่านี้ก็เดินตามหุ่นเชิดออกไปด้านนอกอย่างไม่ขัดขืน


 


 


…….


 


 


ในเวลาเดียวกันลิ่วจู๋เป็นผู้นำพาพวกข้ามผ่านป่าไม้ที่แห้งกรอบ โครงกระดูกฝูงใหญ่บินออกมาจากป่าผืนนั้น


 


 


โครงกระดูกเหล่านี้ดูแล้วคือโครงกระดูกของอสูรแมลงที่ตายไปแล้ว ขาหน้าดูใหญ่เป็นพิเศษ ราวกับมีดกระดูกยักษ์สองเล่มอย่างไรอย่างนั้น ร่างกายถูกไอสีเหลืองห่อหุ้มเอาไว้ พุ่งตรงไปหาหุ่นเชิดและทหารภูต


 


 


ส่วนลิ่วจู๋และพวกนั้นคิดว่าจะประหยัดลมปราณ แต่หุ่นเชิดและทหารภูตเหล่านั้นพลันใช้การโจมตีต่างๆ ถาโถมเข้าไป


 


 


ดาบลำแสงไอกระบี่และพายุทมิฬที่พุ่งลงมาจากเบื้องสูงโจมตีโครงกระดูกทั้งหมดจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น!


 


 


ไม่ว่าหุ่นเชิดเหล่านี้จะถูกทำลายด้วยวิธีใด ต่อให้แตกออกเป็นชิ้นๆ จนนับไม่ถ้วน แต่เมื่อตกลงในป่าแห้งแล้ง ก็จะรวมตัวกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม จากนั้นก็กระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างดุดันอีก


 


 


ของเหล่านี้ดูเหมือนร่างที่เป็นอมตะไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น


 


 


หานลี่ที่อยู่ในกลุ่มก็ไม่ได้ลงมือเช่นกัน แต่มองฉากนี้แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


 


 


โชคดีที่ในกลุ่มยังมีหุ่นเชิดและทหารภูตอยู่ มิเช่นนั้นเจ้าสิ่งที่ฆ่าไม่ตายนั้น มิน่าล่ะลิ่วจู๋และพวกจึงเตรียมหุ่นเชิดและทหารภูตมาด้วย


 


 


เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น คนกลุ่มนี้บินไปได้กว่าครึ่งวันเต็มๆ โดยการคุ้มกันของหุ่นเชิดและทหารภูต ถึงได้บินออกจากป่าอันแห้งแล้งได้


 


 


เพิ่งจะบินออกมาจากผืนป่า หลังจากโครงกระดูกอสูรแมลงเหล่านี้ถูกโจมตีจนแหลกละเอียดแล้วตกลงไปบนพื้น กลับทยอยกลายเป็นกลุ่มควันสีเหลือง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


โครงกระดูกตนอื่นเห็นเช่นนั้น ในใจพลันอดที่จะรู้สึกตกใจไม่ได้!​ ดูแล้วในป่าแห้งแล้งแห่งนั้นคงจะมีอะไรที่พิเศษเป็นแน่


 


 


หากไม่ใช่เพราะลิ่วจู๋และพวกรีบเดินทาง เขาก็อยากลงไปตรวจสอบด้านล่างสักหน่อย


 


 


กลุ่มคนบอกมาได้ไม่ไกลนัก เบื้องหน้าพลันมีแม่น้ำสีดำปรากฎขึ้น ผิวน้ำดำสนิทราวกับน้ำหมึก และยิ่งไปกว่านั้นยังมีหมกสีเขียวอ่อนปกคลุมออยู่เต็มไปหมด แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร


 


 


แต่ลิ่วจู๋ที่อยู่เบื้องหน้ากลับไม่สนใจเลยสักนิด นำกลุ่มเข้าไปในหมอกบางๆ


 


 


ไม่นานนัก ในหมอกก็มีเสียงรบราฆ่าฟันดังขึ้นอีกครั้ง……


 


 


……


 


 


หนึ่งเดือนต่อมาภายใต้สถานการณ์ที่หุ่นเชิดนับร้อยนับพันตัวและทหารภูตหลายร้อยนายบาดเจ็บล้มตายไปจนเกือบหมดเช่นนี้ หลังจากที่กลุ่มของลิ่วจู๋มองเทือกเขาสีเทาเข้มอยู่ลิบๆ แล้ว ในที่สุดก็มาถึงเป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางนี้


 


 


เทือกเขากระดูกทมิฬที่มีเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจีซ่อนอยู่!


 


 


ครานี้ในกลุ่มนอกจากมูนชิง ลิ่วจู๋และพวกราชันย์ปีศาจสองสามคน ปีศาจระดับสูงก็เหลืออยู่เพียงหร็อมแหร็ม จากอิทธิฤทธิ์ของหานลี่และจิตวิญญาณสีทอง แน่นอนว่าทั้งสองย่อมปลอดภัย


 


 


ระหว่างทางหยวนเหยาและเหยียนลี่ประสบกับอันตรายไปสองสามครั้ง แต่ด้วยความใส่ใจดูแลของหานลี่ จึงได้รับบาดเจ็บเพียงน้อยนิดเท่านั้น นับได้ว่าไม่ได้ทิ้งชีวิตเอาไว้บนเส้นทางนั้น


 


 


ครานี้กลุ่มคนที่อยู่ห่างจากเทือกเข้าไปมากกว่ารอยลี้พลันหยุดลง ราชันย์ปีศาจสองสามคนรวมตัวกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วปรึกษาอะไรกันสักอย่างอีกครั้ง


 


 


หานลี่มองไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป ในใจรู้สึกหนักอึ้ง


 


 


ระยะทางครึ่งหลังนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปหน่อย


 


 


แต่เดิมคิดว่าจากความอันตรายของแดนแม่น้ำอเวจี ตนเองจะหาวิธีหาโอกาสหนีจากแม่เฒ่าภูตและพวกได้


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าแม้ว่าหนทางต่อมาจะพบกับอุปสรรคไม่น้อย แต่ก็ไม่พบอันตรายอะไรที่ดึงเหล่าราชันย์ปีศาจออกไปได้ และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าวานรที่มีสติปัญญาอย่างจิตวิญญาณทองก็ถูกมู่ชิงมอบหน้าที่อะไรสักอย่าง จึงอยู่ข้างกายหานลี่จนแทบจะไม่ยอมออกห่างเลยแม้แต่ก้าวเดียว


 


 


สิ่งที่ทำให้หานลี่กลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิมก็คือ เขาพบว่าวานรวิญญาณตนนี้เชี่ยวชาญในเรื่องเนตรวิญญาณ แม้ว่าเขาจะใช้วิธีการอำพรางอะไร ก็ไม่อาจหนีรอดพ้นจากการจับตามองของอีกฝ่ายได้


 


 


แน่นอนว่าหากแค่เขาคนเดียวล่ะก็ เขาก็อาจจะอาศัยความสามารถของยันต์ชำระพิสุทธิ์ หนีไปไกล อีกฝ่ายก็ไม่อาจมองกำจัดยันต์ชนิดนี้ได้


 


 


ถึงอย่างไรเสียจากพลังยุทธ์ของเขาที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากสำแดงอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว ผลในการอำพรางตัวก็ต้องเหนือกว่าในอดีตอย่างไม่อาจเทียบเคียงได้


 


 


แต่ไม่พาสตรีทั้งสองอย่างหยวนเหยาและเหยียนลี่ไปด้วย ก็ไม่อาจกำจัดผนึกของสี่ราชันย์ปีศาจในร่างได้ เช่นนั้นเขาจะหนีไปไกลได้อย่างไร


 


 


หานลี่มองไปยังเทือกเขาสีเทาที่อยู่ไกลออกไป ในใจอดที่จะขบคิดอะไรไปมาไม่หยุดไม่ได้


 


 


จากที่ลิ่วจู๋และพวกเอ่ย สิ่งที่เรียกว่า ‘เกษียรเทวะแม่น้ำอเวจี’ น่าจะอยู่ตรงใจกลางของเทือกเขา แม้ว่ามู่ชิงและพวกของลิ่วจู๋จะไม่เคยแพร่งพรายประโยชน์ของเกษียรเทวะนี้ออกมา แต่แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับลิ่วจู๋และพวกที่อยู่ในระดับหลอมร่างขั้นปลายยังยอมเสี่ยงอันตรายเข้ามาที่นี่อย่างไม่เสียดาย ก็รู้ความล้ำค่าของของสิ่งนี้แล้ว


 


 


ทว่าในเมื่อแดนแม่น้ำอเวจีคือแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแมลงเม่า รอบๆ สมบัติระดับฟ้าดินนี้จะต้องมีเขตอาคมอย่างหนาแน่น ไม่ใช่สิ่งที่เอามาได้ง่ายๆ ไม่รู้ว่าวางเขตอาคมที่น่ากลัวอะไรไว้ หรือว่ามีอะไรที่แข็งแกร่งคอยปกปักษ์รักษาอยู่


 


 


หานลี่พลันมีความรู้สึกระวังภัยปรากฎขึ้น ฉับพลันนั้นพลันมองไปทางราชันย์ปีศาจที่กำลังถ่ายทอดเสียงสนทนากัน


 


 


เห็นเพียงลิ่วจู๋และพวกกำลังใช้สายตากวาดมาทางเขา


 


 


พวกเขามีสีหน้ที่แตกต่างกันปรากฎขึ้นบนใบหน้า และยิ่งไปกว่านั้นยังแฝงความฉุนเฉียวเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่ากำลังโต้แย้งกันอยู่


 


 


มู่ชิงสั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง ส่วนตารวมของลิ่วจู๋กำลังมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ใบหน้ากลับมีสีหน้าเ**้ยมโหดปรากฎขึ้น ส่วนหญิงงามผมขาวนั้นก็มีสีหน้าครุ่นคิดตัดสินใจไม่ได้ แต่ใบหน้าของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองกลับมีลำแสงสีโลหิตปกคลุมอยู่จึงมองสีหน้าของพวกเขาไม่ออก


 


 


ราชันย์ปีศาจเหล่านี้ล้วนกำลังถ่ายทอดเสียงปรึกษากันไปพลาง ใช้หางตาเหลือบมามองเขาเป็นบางครั้งคราวไปพลาง


 


 


หานลี่พลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง


 


 


ปีศาจเหล่านี้กำลังพูดถึงเขาอยู่!


 


 


แม้ว่าเขาจะไม่รู้เนื้อหาในบทสนทนา แต่การเอ่ยถึงเขาในครานี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่


 


 


หานลี่ระงับความรู้สึกไม่ปลอดภัยในใจเอาไว้ ชักสายตากลับไปมองเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้ง สายตาเปล่งประกายไม่หยุด


 


 


หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ข้างหูของหานลี่พลันมีเสียงเย็นชาของลิ่วจู๋ดังขึ้น


 


 


“สหายหาน เจ้ามานี่หน่อยซิ พวกเรามีเรื่องต้องการให้เจ้าไปจัดการ!”


 


 


หานลี่เม้มริมฝีปากร่างกายพลิ้วไหว บินเข้าไปอย่างเชื่องช้า


 


 


“ไม่ทราบว่าเหล่าอาวุโสมีรับสั่งอะไรหรือขอรับ?” เมื่อหานลี่มาถึงข้างกายของลิ่วจู๋ มู่ชิงและพวก สองมือก็ประสานกันคารวะแล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ


 


 


ตารวมคู่นั้นของลิ่วจู๋กวาดมาบนใบหน้าของหานลี่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนมู่ชิงและหญิงงามนั้นมีสีหน้าดูไม่ได้ไปเล็กน้อย


 


 


“สหายหานเจ้าลองดูสิ่งนี้สิ!” ฉับพลันนั้นลิ่วจู๋ก็ยกมือหนึ่งขึ้น ในมือมีไข่มุกกลมๆ สีดำเม็ดหนึ่งปรากฎออกมา ให้หานลี่พิเคราะห์ดู


 


 


หานลี่เห็นเจ้าสิ่งนี้พลันตกตะลึง รู้สึกว่าคุ้นตาเป้นอย่างมาก จึงอดที่จะอยากเพ่งพินิจอีกสองสามคราไม่ได้


 


 


แต่การมองนั้นไม่สำคัญ ผิวของไข่มุกกลมๆ สีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีดำบางๆ สายหนึ่งพุ่งออกมาจากไข่มุก


 


 


“แย่แล้ว!” หานลี่ร้องอุทานออกมาในใจ คิดจะหลบหลีก แต่บรรยากาศรอบด้านกลับตึงเปรี้ยะ แข็งราวกับเหล็กกล้าบริสุทธิ์ กักร่างกายของเขาเอาไว้


 


 


คาดไม่ถึงว่ามู่ชิง หญิงงามที่อยู่ด้านข้างจะยกมือหนึ่งขึ้นพร้อมกัน สำแดงอาคมใส่เขา


 


 


แม้ว่าหานลี่จะมีพลังเทวาอยู่ทั่วร่าง แต่เมื่อระดับหลอมร่างสองคนลงมือก็ทำได้เพียงเปล่งแสงสีทองออกมาจากร่าง ร่างกายพลิ้วไหวเล็กน้อย แล้วไม่อาจกระดิกตัวได้อีก


 


 


เส้นไหมสีดำเปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปตรงหว่างคิ้วอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หานลี่มีลำแสงสีดำสว่างวาบขึ้นบนใบหน้า ชั่วขณะนั้นดวงตาทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นไร้ความรู้สึก สีหน้าดูผ่อนคลาย ไม่มีท่าทีดิ้นรนขัดขืนอีก


 


 


“อ๊ะ!” หยวนเหยาและเหยียนลี่ที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นฉากนี้ ชั่วขณะนั้นก็ตกตะลึงจนหน้าถอดสี


 


 


ไม่รอให้สตรีทั้งสองเคลื่อนไหวใดๆ เบื้องหน้าพลันมีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนมาปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้าสตรีทั้งสองอย่างแปลกประหลาด


 


 


เสียง “แปะๆ” ดังขึ้น ยันต์สีโลหิตสองสายแปะไปบนหัวไหล่ของสตรีทั้งสอง


 


 


ชั่วขณะนั้นยันต์โลหิตก็ระเบิดออก กลายเป็นเส้นไหมสีโลหิตสองกระจุกห่อหุ้มสตรีทั้งสองเอาไว้ข้างในในชั่วพริบตา


 


 


ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งใช้มือหนึ่งร่ายคาถา เส้นไหมสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบละลายหายเข้าไปในร่างของสตรีทั้งสอง


 


 


หยวนเหยาและเหยียนลี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายเป็นเหน็บชา ชั่วพริบตาก็สูญเสียการรับความรู้สึกไป สูญเสียการควบคุมร่างกาย แต่จิตสัมผัสกลับยังคงกระจ่างแจ้ง


 


 


แววตาของสตรีทั้งสองเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว แต่กลับไม่อาจควบคุมสีหน้าบนใบหน้าได้เลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าแข็งทื่อเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“ยันต์ควบคุมร่างของข้าสามารถควบคุมร่างกายทั้งหมดของผู้อื่นได้ แม้กระทั่งการโคจรไอวิญญาณในร่างก็ล้วนควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าพวกเจ้าจะยังมีสติสัมปชัญญะ แต่หากข้าไม่คลายยันต์นี้ออก พวกเจ้าก็เหมือนกับคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตอีกคนเอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


ทันใดนั้นผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนก็สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีโลหิตสองผืนก็ม้วนหญิงสาวทั้งสองเอาไว้ แล้วพุ่งออกไปไกล


 


 


กระพริบวาบสองสามครั้ง พวกเขาก็พาหยวนเหยาและเหยียนลี่มาปรากฎตัวที่เดิม


 


 


และในตอนนั้นลิ่วจู๋ก็ร่ายอาคมใส่ไข่มุกสีดำในมือ ปากพลันบริกรรมคาถาในเวลาเดียวกัน


 


 


ชั่วครู่ไข่มุกกลมๆ ก็เปล่งเสียงร้องครวญออกมา ฉับพลันนั้นพลันดิ้นสะบัดหลุดออกจากมือ


 


 


หลังจากกระพริบวาบ ก็ฝังลงไปบนหว่างคิ้วของหานลี่แน่น ราวกับเป็นดวงตาที่สามอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ผิวของไข่มุกเม็ดนี้เปล่งแสงสีดำกระพริบวาบไม่หยุด ช่างดูแปลกประหลาดยิ่ง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)