พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1487-1490
บทที่ 1487 ไข่หินสองใบ
ปรากฏว่าพอใช้เหยียบขึ้นไปถึงได้รู้ ว่าพายุหมุนปราณชั่วร้ายที่พรั่งพรูขึ้นมาจากข้างล่างมีแรงชนปะทะเยอะพอสมควร ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขาลอยขึ้นมาแล้ว หมุนวนลอยขึ้นมาตามลม
หลิงหลันเงยหน้ามองตาม
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไว้ ร่างกายถึงได้จมลงไป ค่อยๆ จมลงไปในโพรงของเตียงน้ำแข็ง
หลังจากเข้ามาแล้วก็โดนปราณชั่วร้ายสีดำปุดๆ พัดกระพือ มองอะไรไม่ชัดเจนเลย ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็ดันทุรังพอสมควร เขาจึงควบคุมหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งในมืออีกครั้ง หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่สวยสง่าเปล่งรัศมีแวววาววนรอบตัวเขา รัศมีแวววาวนั่นเหมือนจะทะลุหมอกหนาที่อยู่รอบๆ ได้ ตอนนี้ถึงได้ทำให้เหมียวอี้มองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างชัดเจน
พื้นที่ว่างค่อนข้างแคบเล็ก ไม่น่าเชื่อว่าเป็นทางเลี้ยวเอียงลาดไปข้างนอก ให้คนคนหนึ่งยืนก็ยังต้องงอตัวนิดหน่อย ที่นี่ไม่มีชั้นน้ำแข็งอีกแล้ว แต่เป็นชั้นดินและชั้นหินสีดำของแท้ เหมียวอี้ลองกำหมัดชกสองที พบว่ามันแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ
เมื่อเดินไปตามทางลาดเอียงข้างหน้าได้ประมาณร้อยจั้ง ทางก็ขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นถ้ำกลวงที่ดิ่งลงเป็นแนวเส้นตรง ปราณเหี้ยมโหดสีดำพัดม้วนขึ้นมาจากด้านล่าง เมื่อไม่มีทางเลี้ยงมาลดความเร็ว ลมก็เหมือนจะแรงขึ้นแล้ว
เหมียวอี้ดิ่งหัวลง กระโจนลงไปข้างล่างแล้ว ความเร็วตอนตกก็ไม่ได้เร็วสักเท่าไร พื้นที่ว่างขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าแล้ว ปราณเหี้ยมโหดสีดำทำให้ตามองไม่ชัด อยากจะเห็นผนังหินรอบๆ ให้ชัดเจนก็ค่อนข้างลำบาก จะให้ใช้ตาทิพย์ก็ได้เหมือนกัน ทว่าตาทิพย์สิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์เยอะมาก ถ้ายังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็ไม่สะดวกจะทำอะไรบุ่มบ่าม
พอเป็นแบบนี้ ก็เกรงว่าจะพลาดเป้าหมาย ตอนที่ตกลงมาจึงไม่กล้าเร่งให้เร็วเกินไปนัก
หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่เปล่งประกายสะดุดตายังคงบินรอบตัวเขา สามารถช่วยส่องสว่างให้เขาได้บ้างนิดหน่อย ผนังหินที่อยู่รอบๆ เป็นรูปทรงกระบอก ถึงแม้จะหยาบลวก แต่ถ้ามองโดยรวมแล้วก็นับว่าค่อนข้างกลมเกลี้ยง ดูจากรอยเว้านูนบางรอยก็พอจะมองออก ว่าคงจะโดนลมพัดสะสมกันหลายปีจนนเรียบแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่ดำลงมาข้างข้างก็เจอก้นบึ้งแล้ว เขาแอบตกใจ นี่มันต้องลึกขนาดไหนกัน?
เขาเข้าไปดูใกล้ๆ ผนังหินโดยรอบ พบว่ายังเป็นสีดำขลับเหมือนกัน สีไม่เคยเปลี่ยนเลย อดไม่ได้ที่จะร่ายอิทธิฤทธิ์เร่งความเร็วในการจมลง กะว่าพอถึงจุดหมายแล้วค่อยดูให้ละเอียดตอนกลับ เขาอยากจะเห็นว่าจะลึกขนาดไหนกันแน่
ทันใดนั้น ตอนที่เขาเพิ่งเร่งความเร็วได้ไม่นาน หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่บินอยู่รอบกายก็เคลื่อนไหวผิดปกติ จู่ๆ ก็บินออกไปจากรอบกายเขา ไปหยุดและบินขึ้นบนลงข้างๆ ผนังหินจุดหนึ่ง ตอนนี้เหมียวอี้ที่ผ่านมาแล้วจำต้องกลับขึ้นไปใหม่ ไปหยุดอยู่ตรงจุดที่หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้ากำลังบิน เขากำลังคิดว่า อย่าบอกนะว่าของซ่อนไว้ตรงนี้?
เขามองดูรอบๆ เหมือนกับผนังหินรอบกายรวมทั้งผนังหินที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ถึงขั้นมองไม่ออกด้วยว่ามีตรงไหนผิดปกติ
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้า ใช้ฝ่ามือกดด้านบนแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กรอกเข้าไปตรวจสอบในผนัง พลังอิทธิฤทธิ์ที่ขยายเข้าไปสามารถตรวจสอบได้อย่างมีขีดจำกัดกว้างมาก แต่ก็ยังไม่เจอจุดไหนที่ผิดปกติ ทั้งหมดล้วนเป็นก้อนหิน ทำให้เขาแปลกใจทันที ถ้าไม่มีความผิดปกติ แล้วทำไมจู่ๆ หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าถึงมาหยุดอยู่ตรงนี้ล่ะ?
เพื่อที่จะทดสอบดูสักหน่อย เขาจึงฟันกระบี่วิเศษผลึกแดงที่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวออกไป บนผนังทิ้งรอยไว้รอยหนึ่ง แล้วตัวก็ทะยานขึ้นไปตามลม พอไปถึงตำแหน่งข้างบนแล้วก็ปล่อยหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าออกมาอีกรอบ ผลก็คือพบว่าหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่เปล่งประกายสะดุดตาบินวนรอบกายเขา ไม่มีความผิดปกติใดๆ
เขาดำลงไปอีกครั้ง ตั้งใจจะทำสัญลักษณ์เอาไว้ตรงจุดที่เพิ่งผ่านไป แต่ใครจะคิดว่าหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าจะบินออกไปจากตัวเขาอีก มันบินไปตรงจุดที่เขาทำสัญลักษณ์เอาไว้อีกครั้ง
ครั้งนี้เหมียวอี้ที่แอบอุทาน “เอ๋” แน่ใจแล้วว่าตรงนั้นมีเงื่อนงำ เขาเก็บหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้า แล้วใช้กระบี่ฟันไปสักพักโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
มีเสียงดังโครมคราม เศษหินที่ถูกฟันแตกโดนลมพัดม้วนขึ้นไปด้านบน เหมียวอี้ไม่สนใจสิ่งนี้ สนใจแค่ฟันให้เกิดช่องทางหนึ่งที่คนสามารถเข้าไปได้ บางครั้งก็ปล่อยหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าออกมายืนยันทิศทาง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่เบี่ยงเบน เขาก็ยังคงมุ่งไปข้างหน้า ขุดไปข้างหน้าต่อไปแบบนั้น
“แกร๊ง…” มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น หลังจากขุดไปไกลประมาณสามจั้ง กระบี่วิเศษผลึกแดงก็ฟันจนเกิดแสงไฟกลุ่มหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของที่แม้แต่กระบี่วิเศษผลึกแดงก็ฟันออกได้ยาก เขาดวงตาอิทธิฤทธิ์ดูให้ละเอียด พบว่าบนผนังหินเกิดอีกด้านหนึ่งที่มีจุดแตกต่างกับรอบๆ นิดหน่อย
พื้นผิวโค้งนูนขนาดเท่าฝ่ามือ รอบข้างถูกตัวเองฟันจนเป็นหลุมขรุขระหมดแล้ว มีเพียงแค่ตรงนี้ที่ปรากฏระดับที่นูนเกลี้ยงเกลา ราวกับฝังเลี่ยมอะไรเอาไว้ในผนังหิน
มันคืออะไร? อย่าบอกนะว่าเป็นของที่ตนกำลังตามหา? เหมียวอี้ยกกระบี่งัดรอบๆผิวนูนด้วยความรวดเร็วทันที ผิวนูนเกลี้ยงเกลาที่เผยออกมายิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผิวนูนรูปวงรีปรากฏอยู่ใกล้ๆ แล้ว
เหมียวอี้ทำต่อไป ไม่นานก็งัดบนผนังจนเจอวัตถุรูปวงรีที่มีขนาดเท่าหมอนใบหนึ่ง เขาโอบไว้ในมือแล้วพลิกไปพลิกมา พบว่าสิ่งนี้ต่างจากสีของผนัง เพราะมันเป็นสีดำทะมึน พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูก็พบว่าเป็นหินก้อนหนึ่ง และเป็นหินที่เหมือนกับหินที่อยู่รอบๆ ด้วย
สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือระดับความแข็งทนทานของหินก้อนนี้ไม่ใช่สิ่งที่หินรอบๆ จะเทียบติด เหมียวอี้สงสัยนิดหน่อยว่านี่คือของที่ตัวเองต้องการหารึเปล่า จึงปล่อยหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าออกมาอีกครั้ง พอหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าออกมา มาก็ไม่บินไปข้างหน้าอีกแล้ว และไม่บินไปรอบๆ ด้วย เป้าหมายชัดเจนแล้ว มันโผลงมาเกาะบนหินวงรีในมือ ทั้งยังใช้ขานั่งหมอบด้านบนด้วย จากนั้นหลับตาก้มหัว ท่าทางสงบสุข ทำท่ากางปีกโอบกอด ราวกับมาถึงบ้านแล้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้แปลกใจมาก นี่คือของที่เผ่าหงส์ไหว้วานให้ตนค้นหาเหรอ?
เขาเก็บหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าเอาไว้แล้วปล่อยออกมาอีก ทดลองทำแบบนี้ซ้ำหลายครั้ง ผลก็คือทุกครั้งล้วนเป็นแบบนี้ เขาถึงได้แน่ใจแล้ว
เหมียวอี้เขาใช้มือประคองวัตถุรูปวงรีที่หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้ากอดไม่ปล่อยขึ้นมาดู ในใจรู้สึกสงสัย อย่าบอกนะว่านี่คือไข่? แต่พอร่ายอิทธิฤทธิ์พิสูจน์ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ของสิ่งนี้ก็เหมือนจะไม่ต่างอะไรกับก้อนหินที่อยู่รอบๆ เลย เพียงแต่แข็งกว่าเยอะ ในรูปวงรีก็เป็นหินเช่นกัน ไม่มีโครงสร้างแบบนี้ในไข่ควรจะมี ช่างแปลกประหลาดจริงๆ
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ขุดเข้าไปแล้วรู้ว่าระดับความแข็งของสิ่งนี้ต่างกับหินที่อยู่รอบๆ อาศัยแค่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูจากภายนอก ผีที่ไหนจะหาของสิ่งนี้เจอ ซ่อนเอาไว้อย่างแน่นหนาจริงๆ
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งนี้ เขาก็สงสัยนิดหน่อยว่าเป็นไข่ที่หงส์เฟิ่งหวงทิ้งไว้หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นไข่หงส์ จะให้ตนส่งไปที่ ‘บ่อเพลิงมังกร’ ในหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญทำไม?
ในเมื่อคิดไม่ออก เขาก็ไม่คิดแล้ว เมื่อเห็นหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าไม่สนใจที่อื่น เขาจึงเก็บไข่หินนี้เอาไว้ ออกจากถ้ำที่ตัวเองขุด แล้วทะยานตัวขึ้นด้านบน
ทว่ายังลอยขึ้นได้ไม่ไกลเท่าไร เขาก็หยุดอีกแล้ว เขาชำเลืองมองใต้เท้าตัวเอง
ไม่ง่ายเลยกว่าจะลงมาในสถานที่ที่ลึกขนาดนี้ได้ ไม่แน่ว่าจุดสิ้นสุดอาจจะอยู่ไม่ไกล ไม่สู้ไปดูหน่อยดีกว่าว่าจุดสิ้นสุดมีสภาพเป็นอย่างไร เดี๋ยวถ้าลงไปในบ่อลึกแล้วเจอของ ก็ไม่ต้องถ่อไปที่อื่นอีกแล้ว
เขาถึงได้หมุนตัวกลางอากาศ มุดศีรษะลงข้างล่างอีกครั้ง หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าบินวนส่องแสงให้รอบกาย เขาเหาะลงไปด้วยความเร็วตลอดทาง
ยิ่งลงไปข้างล่าง ลมก็ยิ่งแรงขึ้น อาจจะเป็นเพราะเหาะลงมาด้วยความเร็ว ครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานก็ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ตรงจุดสิ้นสุดมีช่องสุญญะอยู่แห่งหนึ่งจริงๆ มีสายฟ้าแลบไม่หยุด กะพริบแสงราวกับมีรอยแยกที่ช่องสุญญะ ปราณเหี้ยมโหดที่ลอยโขมงก็เข้ามาจากช่องสุญญะที่มีรอยแยกนั้น แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ ตอนที่มาถึงจุดสิ้นสุด หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าก็บินแยกออกจากเขาไปอีกแล้ว ตรงจุดไกลๆ ข้างหลังเขาไม่กี่สิบจั้งมีแสงสีฟ้าจางๆ เปล่งออกมา
เหมียวอี้ที่จ้องประเมินช่องสุญญะอยู่ครู่หนึ่งลอยขึ้นข้างบนอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจสงสัยไม่หายก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าประหลาดนั่นจะยังบินวนอยู่บริเวณหน้าผนังหิน
สถานที่บ้าๆ นี่คงไม่เกิดอะไรขึ้นอีกใช่มั้ย? บอกว่ามีของสองอย่างอยู่ในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายไม่ใช่เหรอ? หรือว่าเป็นของชนิดเดียวกันแต่มีสองชิ้น มันมาเป็นชุดเหร?
เหมียวอี้แอบประหลาดใจ เอามือกดบนผนังหินพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจ แต่ยังคงไม่พบความผิดปกติอะไร เขาจึงทำแบบก่อนหน้านี้ ยกกระบี่ฟันมั่วๆ อีก
ครั้งนี้ขุดลึกกว่าครั้งก่อนหนึ่งเท่า “แกร๊ง” ตอนที่มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น เขาก็เอามือลูบคลำผนังหิน พบว่าเป็นผิวนูนเกลี้ยงเกลาอีกแล้ว เมื่อมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็งัดออกมาเร็วมาก เป็นไข่หินสีดำทะมึนที่เหมือนกับหินก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พอปล่อยหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าออกมา มันก็ทำเหมือนก่อนหน้านี้ทุกอย่าง
ไข่หินสองใบนับว่าเป็นของชนิดเดียวกัน? เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเก็บของเอาไว้ พอออกจากโพรงที่ขุดแล้ว ก็ไปตรงช่องสุญญะที่จุดสิ้นสุดอีก
เขานึกไม่ถึงว่าจุดสิ้นสุดจะลึกขนาดนี้ ถ้าจะบอกว่าเป็นเหวลึกก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป เทียบเท่ากับหุบเหวลึกหลายแห่งเลย
พูดตามตรง เขาอยากจะไปดูด้านหลังของช่องสุญญะมาก จะดูว่าปราณชั่วร้ายมาได้อย่างไรกันแน่ แต่พอนึกถึงคำเตือนจากใจจริงของผู้ที่หลิงหลันเรียกว่านายท่าน เขาก็ล้มเลิกความคิดแล้ว ถ้าไปโผล่ยังสถานที่อื่นของแดนมรณะดึกดำบรรพ์จริงๆ เขาก็จะต้องมาที่นี่ใหม่อีกรอบแน่นอน ถ้าเจอคนแบบอวี้ซาอีกรอบ เขาก็ไม่สะดวกจะเล่นด้วยแล้ว
หลังจากล้มเลิกความคิด เขาก็อาศัยแรงลมทะยานตัวขึ้นไป ครั้งนี้เขาไม่มองสำรวจรอบๆ อีกแล้ว ขึ้นไปอย่างรวดเร็วมาก ใช้เวลาไม่นานก็ถูกพ่นออกมาจากฌพรงถ้ำบนเตียงน้ำแข็งแล้ว เขาหยุดอยู่กลางอากาศ แล้วถลันตัวลงไปเหยียบบนพื้น
หลังจากเหยียบลงพื้นแล้วก็มองดูก้อนหินที่กระจัดกระจายอยู่ในวังใต้ดิน เห็นได้ชัดว่าเป็นหินที่เกิดจากการขุดผนังก่อนหน้านี้ ทั้งหมดถูกลมพัดขึ้นมาแล้ว
หลิงหลันรีบก้าวเข้ามา แล้วถามด้วยสีหน้าคาดหวัง “ท่านคะหาเจอมั้ย?”
“หาไม่เจอ” เหมียวอี้ส่ายหน้า ขณะที่สังเกตุการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าอีกฝ่าย ก็ถามอีกว่า “เจ้าแน่ใจนะว่านายท่านบอกเจ้าว่าเป็นของสองอย่าง?” เขาอยากจะดูปฏิกิริยาบนใบหน้าผู้หญิงคนนี้ว่ารู้หรือไม่ว่าในถ้ำซ่อนของอะไรไว้ หรือไม่ก็หยั่งเชิงว่าผู้หญิงคนนี้เคยไปหาเองหรือเปล่า
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเร่งเร้าให้เขาไปหาในถ้ำถัดไป ก็เหมือนว่านางจะไม่รู้จริงๆ
“ใช่ค่ะ” หลิงหลันพยักหน้า
“เจ้าแน่ใจนะว่านายท่านบอกว่ามีของสองอย่างซาอนอยู่ในสองถ้ำ?” เหมียวอี้ถามอีก
หลิงหลันพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่แล้ว นายท่านไม่มีทางหลอกข้า”
“เจ้าไม่รู้จริงเหรอว่าข้างล่างซ่อนอะไรเอาไว้?” เหมียวอี้ถาม
หลิงหลันส่ายหน้า “บ่าวไม่รู้จริงๆ ค่ะ”
งั้นก็ช่างเถอะ เหมียวอี้กระโดดขึ้นไปบนเตียงน้ำแข็งอีกตัวท่ามกลางสายตางุนงงของอีกฝ่าย กระโดดเข้าไปในปราณสังหารที่เป็นหมอกสีแดง
เมื่อมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว ก็รู้แล้วว่าถ้ามีหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าบินตาม ต่อให้ลงมาเร็วก็ไม่พลาดอยู่ดี สิ่งนี้ทำให้เขาไม่เปลืองแรง ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาไปทั่วอีกแล้ว เขาเหาะลงไปตลอดทาง ไม่นานก็ถึงจุดสิ้นสุดตรงช่องสุญญะแล้ว สภาพของจุดสิ้นสุดเหมือนกับครั้งก่อนหน้านี้ เพียงแต่ครั้งนี้หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด
พอหันกลับมามองอีกครั้ง เขาก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดเข้าไปในหมอกสีขาวที่เป็นปราณอาฆาต ดำดิ่งลงไปไวมาก
สถานการณ์เหมือนกับก่อนหน้านี้ทุกอย่าง หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้ายังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไร เช่นนั้นของอีกอย่างก็ต้องซ่อนอยู่ในบ่อสุดท้ายแน่นอน
หลังจากออกมาแล้ว เหมียวอี้ก็กระโดดเข้าไปในปราณสังหารที่เป็นหมอกสีเทา
ครั้งนี้หลังจากลงมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขาถึงอึ้งทันที ตลอดทางมานี้หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้ายังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
บทที่ 1488 ครั้งที่เก็บเกี่ยวได้เยอะท...
หลิงหลันก็ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ของเหมียวอี้เช่นกัน เห็นเพียงหลังจากเหมียวอี้กระโดดออกมาจากโพรงปราณสังหารแล้ว ก็มุดเข้าไปในโพรงก่อนหน้านี้อีกรอบ ครั้งนี้ใช้เวลาในแต่ละโพรงนานมาก
รอจนกระทั่งตรวจสอบในโพรงของปราณชั่วร้ายทั้งสี่จนละเอียดแล้ว เหมียวอี้ก็ชำเลืองมองเตียงน้ำแข็งทั้งสี่หลังพร้อมทำท่าครุ่นคิด
ไม่มี! นอกจากไข่หินสองใบในโพรงลึกของปราณเหี้ยมโหดที่กระโดดลงไปตอนแรก ในโพรงลึกอีกสามโพรงก็ไม่มีของอะไรเลย ถ้าเดาไม่ผิด สิ่งที่เรียกว่าของสองอย่างน่าจะเป็นไข่หินสองใบจากโพรงลึกปราณเหี้ยมโหด
เมื่อเห็นเขาเงียบไป หลิงหลันก็เข้ามมาใกล้แล้วถามว่า “ท่านคะ หาเจอหรือยัง ?”
เหมียวอี้หันตัวช้าๆ มามองนาง แล้วถามอีกครั้งว่า “เจ้าแน่ใจนะว่านายท่านบอกว่าสองสองอย่างแยกซ่อนอยู่ในสองโพรงถ้ำ?”
เป็นของสองอย่างเหรอ? หลิงหลันอึ้งไปครู่เดียว ก่อนจะรับประกันอีกว่า “ท่าน นายท่านบอกแบบนี้จริงๆ ค่ะ นายท่านไม่มีทางหลอกข้า ท่านหาเจอหรือยังคะ?”
ไม่หลอกเจ้าก็แปลกแล้ว! เหมียวอี้ขำในใจ รู้สึกว่าตัวเองโดนปั่นหัวแล้ว
แต่พอลองเปลี่ยนความคิดใหม่ ก็จะบอกว่าหลอกไม่ได้หรอก ถ้าเดาไม่ผิด คนที่วางภารกิจไว้ในหลิงหลันก็แค่ปิดบังเล็กน้อยเท่านั้นเอง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ถ้าเข้าใจผิดเล็กๆ ก็จะให้หานานๆ ขึ้นหน่อย ถ้าเข้าใจผิดใหญ่โตก็อาจจะทำให้พลาดไป ถ้าไม่ได้รับคำชี้แนะจากหลิงหลันว่ามีสองชิ้น ก็มีความเป็นไปได้จริงๆ ว่าอาจจะประมาททิ้งชิ้นที่สองไป
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาบังเอิญเจอโพรงถ้ำซ่อนไข่หินตั้งแต่ครั้งแรก และบังเอิญไปดูสถานการณ์ที่จุดสิ้นสุด ก็เกรงว่าคงจะถ่อไปค้นหาที่โพรงถ้ำอื่นอีก ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ถ้าใช้เวลาแค่สั้นๆ ก็ไม่มีทางหาของอย่างที่สองเจอเลย
เหมียวอี้สงสัยมากว่าไข่หินสองใบนี้ซ่อนความลึกลับหลอกลวงอะไรไว้กันแน่ ไม่น่ะเชื่อว่าจะควรค่าให้สิ้นเปลืองความคิดแบบนี้? เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “หาเจอแล้ว”
หลิงหลันขอบคุณด้วยความดีใจทันที แต่เหมียวอี้กลับพลิกมือรองไข่หินสีดำขลับไว้ในมือพร้อมถามว่า “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งนี้คืออะไร?”
“ไม่รู้ค่ะ นี่เป็นของที่ท่านหาเจอในโพรงถ้ำเหรอ?” หลิงหลันสงสัย
ไม่รู้ก็ช่างเถอะ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้จริงหรือว่าแกล้งไม่รู้ ถ้าแกล้งรู้ เช่นนั้นก็เล่นละครต่อไปเถอะ ถ้าหากไม่รู้จริงๆ ในเมื่อนายท่านของนางปิดบังนาง เช่นนั้นก็แสดงว่าเหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้
“ท่าน! เศษหินบนพื้นพวกนี้มีประโยชน์ใช้สอยอะไรหรือเปล่า?” หลิงหลันชี้ไปยังกองเศษหินที่ถูกพ่นขึ้นมาจากโพรงถ้ำพร้อมเอ่ยถาม
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ จัดการเก็บกวาดทิ้งเถอะ”
หลิงหลันเก็บกวาดอย่างเรียบง่ายๆ พอสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที แผ่นน้ำแข็งก็กระเพื่อมขึ้นมา หินสีดำที่กระจัดกระจายก็ราวกับจมลงในแผ่นน้ำทันที หลังจากหายไปแล้วแผ่นน้ำแข็งก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม
เหมียวอี้ไม่สนใจ โบกมือปล่อยเฮยทั่นออกมา แล้วเอียงหน้าบอกใบ้ไปทางแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย
เฮยทั่นทำเสียงฟึดฟัด แล้วกระโจนตัวไปนอนคว่ำบนปากโพรงของแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย ก่อนจะดูดซับอย่างถึงออกถึงใจ
จากนั้นอั้นโยวหลินกับย่วนต๋าก็ถูกปล่อยออกมา พอทั้งสองเห็นแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย ตาก็ลุกวาวทันที อั้นโยวหลินถามด้วยอารมณ์ตื่นเต้นว่า “นายท่าน อย่าบอกนะว่านี่คือแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ใช่แล้ว ข้ารับปากเจ้าแล้วว่าจะพาเจ้ามา อย่างน้อยข้าก็ไม่กลืนคำพูดตัวเอง”
“ขอบคุณนายท่าน!” อั้นโยวหลินกุมหมัดคารวะพร้อมโค้งตัวค้างไว้ สีหน้าดูตื่นเต้นดีใจมาก
ย่วนต๋าก็ย่อมซาบซึ้งเช่นกัน มองไปรอบๆ พลางถามว่า “ที่นี่คือรังหงส์เหรอ?”
“พวกเขาทั้งสองคือวิญญาณชั่วร้ายเหรอ?” หลิงหลันพลันตะคอกถาม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ท่าน ท่านพาวิญญาณชั่วร้ายมาที่รังหงส์ได้ยังไง?”
อั้นโยวหลินกับย่วนต๋าที่เห็นแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายแล้วตื่นเต้นดีใจสุดๆ เพิ่งจะสังเกตเห็นหลิงหลัน ทั้งคู่ระแวงสงสัยเล็กน้อย
เหมียวอี้พลันดีดนิ้ว กระบี่เล็กเพลิงจิตเล่มหนึ่งยิงไปที่หลังของย่วนต๋า เมื่อวรยุทธ์โดนผนึกไว้ก็เรียกได้ว่าไม่ทันรู้ตัวเลย
“เจ้า…” ย่วนต๋าหันหน้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ จากนั้นก็สีหน้าบูดเบี้ยว “อา…” ส่งเสียงกรีดร้องในขณะที่กลิ้งลงพื้น ควันที่ลอยขึ้นมาจากร่างกายโดนลมพัดม้วนไปแล้ว เสียงร้องโหยหวนที่ทำให้คนขนลุกดังก้องอยู่ในวังใต้ดิน
เฮยทั่นชำเลืองมอง แล้วก็ส่ายหางอย่างไม่เห็นด้วยที่เขาทำแบบนี้
หลิงหลันที่เพิ่งจะเอ่ยถามตะลึงงัน ค่อนข้างตกใจเพราะเสียงร้องของย่วนต๋า
อั้นโยวหลินตกใจมาก ในหัวมีคำว่า ‘ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง’ แวบเข้ามา นางมองเหมียวอี้อย่างหวาดกลัวพร้อมถอยหลังช้าๆ
เหมียวอี้เอียงหน้ามองนาง พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่เคยรับปากอะไรเขา แต่เจ้านั้นต่างกัน ข้าเคยรับปากเจ้าแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะได้ใช้แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายตรงปราณอาฆาตชั่วคราว แต่ต้องทำตามสิ่งที่เจ้ากับข้าสัญญากันไว้ ถ้าข้าออกไปเจ้าก็ต้องไปกับข้า รังหงส์ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะอยู่ได้นาน”
อั้นโยวหลินที่ยังหวาดระแวงในใจพยักหน้า
เหมียวอี้บอกหลิงหลันอีกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ารับปากเจ้าแล้ว ดังนั้นถ้าข้าม่อนุญาต เจ้าก็ห้ามแตะต้องนาง ไม่อย่างนั้นข้าก็อาจจะทำเรื่องที่รับปากไว้กับเจ้าไม่ได้ ไปเถอะ พาข้าไปเยี่ยมชมรังหงส์สักหน่อย”
หลิงหลันขมวดคิ้ว นางไม่ได้ตอบตกลงและไม่ได้ปฏิเสธในทันที ก้มหน้าเดินตามเหมียวอี้ไปแล้ว
เสียงกรีดร้องโหยหวนของย่วนต๋ายังไม่หยุด อั้นโยวหลินได้แต่มองดูตาปริบๆ เฮยทั่นหลับตาสองข้าง นอนหลับหายใจอย่างผ่อนคลายราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
ภายในของรังหงส์เริ่มจากข้างล่างขึ้นข้างบน แบ่งเป็นรังถ้ำจำนวนไม่น้อย ทุกรังมีทางเข้าออกสู่ภายนอกแบบส่วนตัว รูปร่างและการจัดวางของแต่ละรังถ้ำไม่เหมือนกัน ตามที่หลิงหลันบอก ที่นี่คงลักษณะเดิมของรังถ้ำสมาชิกเผ่าหงส์ทุกคนเอาไว้ สิ่งที่มีร่วมกันก็คือในรังถ้ำล้วนมีปราณชั่วร้ายไหลผ่าน
เหมียวอี้กับหลิงหลันที่ดินเยี่ยมชมขึ้นมาตลอดทางหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารังหงส์ที่สูงที่สุด ขณะมองดูแท่นด้านบนที่มี่ปราณชั่วร้ายพัดโขมงออกมาราวกับควันไฟ เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นี่ก็คือรากฐานที่ทำให้วิญญาณชั่วร้ายในวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ถือกำเนิด”
หลิงหลันบอกว่า “ตอนที่เผ่าหงส์ยังอยู่ มีเผ่าหงส์คอยดูดกรอง ปราณชั่วร้ายที่พ่นออกมาจึงเจือจางมาก พอเผ่าหงส์ไม่อยู่แล้ว ถึงได้กลายสภาพเป็นแบบนี้ ทำให้วิญญาณชั่วร้ายเกิดขึ้นในแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีกครั้ง”
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะควบคุมได้ เหมียวอี้หันตัวพร้อมทอดสายตามองไปรอบๆ มองทั้งแอ่งกระทะของทุ่งน้ำแข็งโบราณ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาบอกพวกอวิ๋นจือชิวว่าปลอดภัยแล้ว
พอติดต่อหยางชิ่ง หยางชิ่งก็ต้องถามถึงสถานการณ์ในช่วงนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เหมียวอี้ยังคงรักษาระยะห่างกับเขาอยู่บ้าง บอกเพียงว่าตัวเองทำตามที่เขาบอก ปิดบังความจริงในขั้นตอนระหว่างนั้นเอาไว้
ราตรีอันมืดมิดกำลังมาเยือน อัคคีน้ำแข็งหนีหัวซุกหัวซุน ทั้งรังหงส์ส่องแสงเจิดจ้า สีสันพร่างพราวราวกับภาพมายา
ตรงประตูนอกตำหนักใหญ่ของรังหงส์ หลังจากหลิงหลันเรียกรวมวิญญาณน้ำแข็งมาถามอะไรบางอย่างแล้ว ก็ลอยขึ้นฟ้าไปเหยียบบนยอดรังหงส์อีก
เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังเงียบๆ อยู่ท่ามกลางลมหนาว เกราะรบบนตัวยังไม่ถูกถอดออก หลิงหลันเดินมาตรงหน้าเขาแล้วบอกว่า “ท่านคะ ถามมาแล้ว คนที่ท่านบอกยังไม่ตาย แต่ถูกไล่ออกจากทุ่งน้ำแข็งโบราณไปแล้ว”
อวี้ซายังไม่ตายเหรอ? เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สุดท้ายเรื่องที่กังวลที่สุดก็ยังเกิดขึ้นแล้ว
เขาไม่ได้พูดอะไรมาก หันตัวเดินลงมาแล้ว เขามาที่วังใต้ดินอีกรอบ เดินมาตรงหน้าอั้นโยวหลินแล้วถามว่า “ตอนที่อวี้ซานั่นปรากฏตัว เหมือนเจ้าจะกลัวเขามากนะ เขามีชื่อเสียงที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มากเลยเหรอ?”
อั้นโยวหลินตอบด้วยความเคารพว่า “ท่ามกลางวิญญาณชั่วร้ายที่โดนตำหนักสวรรค์ผนึกไว้ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ อวี้ซาคือยอดฝีมืออันดับหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรตายด้วยน้ำมือเขา ครั้งแรกที่ตำหนักสวรรค์มากวาดล้างเขาก็หายตัวไปแล้ว ทุกคนนึกว่าเขาตายด้วยน้ำมือตำหนักสวรรค์แล้วซะอีก ใครจะคิดว่าเขาจะซ่อนตัวมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าจะหลบการปราบปรามของตำหนักสวรรค์ได้ถึงสองครั้ง ตอนนั้นหลังจากที่รู้ว่าคนที่เผยโฉมหน้าคือเขา ข้าก็ตกใจมากจริงๆ”
สำหรับนาง อวี้ซาคือบุคคลที่อยู่ในตำนานมาอย่างยาวนานมาก คนที่รู้ก็แค่ได้ยินมานิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว
อวี้ซารอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้สามารถบงการได้ เหมียวอี้ก็ไม่มีหนทางเหมือนกัน เพียงหวังว่าในภายหลังอย่าได้เจอกันอีก ไม่อย่างนั้นอวี้ซาก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ หลังจากออกจากวังใต้ดินแล้ว เขาก็เดินออกจากรังหงส์ไปเพียงลำพัง
ที่จริงหลังจากมาถึงรังหงส์แล้วถึงได้ค้นพบ ว่าที่รังหงส์สะอาดมาก ปราณชั่วร้ายไม่พัดไปไหนซี้ซั้ว ธาตุไฟหยินก็ไม่กระจายซี้ซั้วเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขา
เขามาที่ริมขอบของแอ่งกระทะ เขากระโดดข้ามหน้าผาสูงไปเหยียบบนผาน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว แล้วกระโจนตัวไปยังจุดลึกของหุบเขาน้ำแข็ง
พอเขาปรากฏตัว ไม่นานก็ดึงดูดให้กลุ่มวิญญาณน้ำแข็งปรากฏตัวแล้วเช่นกัน เขาจึงหยิบหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งออกมา หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่เปล่งประกายสะดุดตาบินรอบกายเขาอยู่ภายใต้ม่านราตรี ทำให้กลุ่มวิญญาณน้ำแข็งถอยออกไปแต่โดยดีทันที หายไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางหิมะโดยรอบ ไม่กล้ารบกวนอีกแม้แต่น้อย
หลังจากทดสอบจนแน่ใจแล้วว่าหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งมีประสิทธิภาพจริงๆ เหมียวอี้ก็ค้นหาถ้ำน้ำแข็งแห้งหนึ่ง โยนเบาะรองออกมาแล้วนั่งขัดสมาธิ เริ่มนับของที่ได้จากยอดฝีมือบงกชกลายสามคนที่อวี้ซาสังหาร แล้วสุดท้ายก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ร่ำรวยใหญ่แล้ว!
สำหรับวิญญาณชั่วร้ายดวงอื่นๆ เกราะรบเป็นสิ่งที่ขาดแคลนมาก แต่ตาแก่สี่คนนี้กลับสะสมไว้ตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ สะสมมานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้เช่นกัน เกราะรบผลึกแดงรูปแบบต่างๆ มีไม่ต่ำกว่าแสนชุด ส่วนพวกเกราะรบผลึกม่วงกับเกราะรบก็ยิ่งนับไม่ถ้วน และส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ เหมียวอี้นับจนขี้เกียจนับแล้ว
หลังจากเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วเห็นโครงกระดูกอยู่กระจายทั่วทุกที่ กอปรกับเห็นอุปกรณ์พวกนี้ เหมียวอี้ก็จินตนาการได้แล้ว ว่าในช่วงก่อนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์จะโดนตำหนักสวรรค์ปิดล้อม เกรงว่าคงจะมีนักพรตบุกเข้ามาที่นี่นับไม่ถ้วน
ส่วนเหรียญผลึกที่ได้มาจากสี่คนนั้น ขนาดเขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์นับแล้วก็ยังนับไม่ถ้วนเลย นั่นคือจำนวนที่มหาศาลมาก แค่ผลึกแดงอย่างเดียวก็ต้องใช้หน่วย ‘ล้านล้าน’ มานับแล้ว เป็นจำนวนเงินที่มหาศาลจนทำใจเชื่อได้ยาก
อืม! ทั้งยังมีไข่มุกวิญญาณอีกไม่น้อยเลย เป็นไข่มุกวิญญาณชนิดต่างๆ มีหลายระดับ มีจำนวนเยอะถึงหลายแสน
สรุปก็คือของกระจุกกระจิกนั้นมีไม่น้อยเลย ครั้งนี้เหมียวอี้เก็บเกี่ยวได้เยอะที่สุดตั้งแต่ก้าวเข้าสู่แดนฝึกตนมา
ชายชราทั้งสี่มีสมบัติเยอะขนาดนี้ได้ คาดว่าคงเป็นผลจากการดำรงชีพแบบ ‘ปลาใหญ่กินปลาเล็ก’ มาหลายปี ที่สะสมได้ขนาดนี้ก็คงจะเป็นเพราะพวกวิญญาณชั่วร้ายที่โดนขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่มีที่ให้ใช้เงิน ต่อให้ร่ำรวยมหาศาลขนาดไหนก็มีค่าเท่ากับศูนย์
จะว่าไปแล้วการที่สามารถร่ำรวยขนาดนี้ได้ ก็ยังต้องขอบคุณพวกอวี้ซาที่หลบการปราบปรามของตำหนักสวรรค์ได้ถึงสองครั้ง
ทว่าเขาก็รู้สึกถึงลับลมคมในบางอย่าง ในเมื่อมีสมบัติมากมายขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมไม่มีของวิเศษที่ได้เรื่องสักอย่างเลยล่ะ? คงไม่ถึงขั้นว่านักพรตสมัยก่อนไม่ใช้ของวิเศษเลยหรอกใช่มั้ย?
เรื่องที่คิดไม่ออกก็อย่าเพิ่งไปคิดเลย ตอนนี้ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ก็น่าจะอยู่อย่างสงบได้อีกหลายร้อยปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาที่นี่ได้ เรื่องฝึกตนต้องมาอันดับหนึ่ง
หลังจากสงบจิตใจแล้ว ยาแก่นเซียนจำนวนมากก็ระเบิดพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นออกมา ตอนที่เคล็ดวิชาอัคนีดาราโคจรดูดซับ ธาตุไฟหยินที่อุดมสมบูรณ์รอบๆ ก็พัดม้วนเข้ามาเช่นกัน แม้แต่พลังจิตวิญญาณก็ถูกดูดซับเข้ามาในร่างกายพร้อมกัน รวมกันเข้ามาในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์
บทที่ 1489 ออกผ่านทางใต้ดิน
เวลาหนึ่งปีผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่เพราะระฆังดาราของเหวินเจ๋อส่งข่าวมารบกวน เหมียวอี้ที่ฝึกตนจนลืมตัวก็คงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองมาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้หนึ่งปีแล้ว ที่จริงก็มาถึงทุ่งน้ำแข็งโบราณได้ไม่นานหรอก แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ระหว่างทางที่เขากับอั้นโยวหลินมาที่นี่ก็ใช้เวลาไปครึ่งปีเต็มๆ แล้ว
สาเหตุที่เหวินเจ๋อส่งข่าวมา ก็เป็นเพราะอยากจะบอกให้เหมียวอี้รู้ ว่าจะส่งค่าจ้างไปให้อย่างตรงเวลา คนที่ส่งให้เข้าไปในนั้นไม่ได้ แต่จะส่งผ่านทางเข้าของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ นี่คือสิ่งที่นัดกันไว้ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
แต่เหมียวอี้ก็ผิดสัญญา สาเหตุสำคัญเป็นเพราะไม่สะดวกจะถ่อกลับไปตรงทางเข้าจริงๆ ทำได้เพียงบอกว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์อันตรายเกินไป ตัวเองหลบจากจากทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ไม่สะดวกจะไปรับของ และบนตัวก็ยังเหลือทรัพยากรฝึกตนให้ใช้ชั่วคราว บอกเหวินเจ๋อว่าไม่ต่องให้คนส่งของมาอีก ถ้ารอดชีวิตกลับไปได้ค่อยไปรับทีเดียว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหวินเจ๋อก็ทำได้เพียงเตรียมการอีกอย่าง
ที่จริงบนตัวเหมียวอี้ก็เตรียมทรัพยากรฝึกตนไว้เพียงพอจริงๆ เตรียมยาแก่นเซียนเอาไว้ให้พอสำหรับการบรรลุระดับบงกชรุ้งตลอด ในปีนั้นตอนที่ยังอยู่ตำหนักสวรรค์ อวิ๋นจือชิวก็แอบช่วยแลกไว้ให้เขาแล้ว มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ และทุกอย่างที่เหมียวอี้เลื่อนหนึ่งขั้น ทรัพยากรฝึกตนที่ต้องใช้ในขั้นต่อไป อวิ๋นจือชิวก็ช่วยแลกเปลี่ยนไว้ให้เขาล่วงหน้าหมดแล้ว หลังจากมาถึงพิภพใหญ่ อวิ๋นจือชิวก็ไม่เคยทำให้เขากังวลในจุดนี้อีกเลย
ตรงที่ว่างในหุบเขาน้ำแข็ง นักพรตเงียบงัน ชั่วพริบตาเดียวก็เป็นห้าร้อยปีหลังแล้ว
ท่ามกลางพลังจิตวิญญาณเข้มข้นดุจน้ำนมที่หดเล็กลง ปรากฏร่างของเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิ เจ้าตัวดูดซับพลังจิตวิญญาณหมดแล้ว ตอนนี้กำลังลืมตาสองข้างอย่างช้าๆ
ได้ฝึกตนอย่างสงบเป็นเวลาห้าร้อยปี วรยุทธ์ย่อมมีการเติบโตขึ้นเป็นธรรมดา การดูดซับธาตุไฟหยินก็ได้ช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกตนของเขาจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้พลังงานของเขาค่อนข้างใหญ่แล้ว ไม่สามารถอาศัยการดูดซับธาตุไฟเพียงอย่างเดียวแล้วจะก้าวหน้าพรวดพราดได้เหมือนตอนมีวรยุทธ์บงกชขาว ห้าร้อยปีผ่านไปแล้ว ความเร็วในการย่อยยาแก่นเซียนแต่ละวันเพิ่มแค่สิบกว่าเม็ดเท่านั้น และแน่นอน ความเร็วในการย่อยยาแก่นเซียนสิบกว่าเม็ดแบบนี้ ถ้าเกิดขึ้นตอนอยู่ระดับบงกชขาว ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัวแล้ว
จุดดาวสีฟ้าในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้นแล้วไม่น้อย กลายเป็นจุดที่หนาแน่นนับไม่ถ้วน แต่ประสิทธิภาพในการเพิ่มวรยุทธ์กลับมีขีดจำกัด และส่งผลกระทบต่อเพลิงจิตอย่างจำกัดเช่นกัน สำหรับคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารามานานอย่างเหมียวอี้ ก็ย่อมรู้ชัดว่าปัญหาอยู่ตรงไหน หยินเดียวไม่บังเกิด หยางเดียวไม่เติบโต ถ้าเคล็ดวิชาอัคนีดาราไม่สามารถทำให้หยินหยางกลมกลืนกันได้ ผลกระทบก็จะมีจำกัด
ตอนนี้ไม่มีใครกดดัน เขาเองก็ไม่อยากไปหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญเช่นกัน
เขาลุกขึ้นยืน เดินไปที่ปากถ้ำถ้ำน้ำแข็ง ตอนนี้ปากถ้ำโดนกองหิมะกลบปิดไว้แล้ว
นี่คือเรื่องปกติ ฝึกตนห้าร้อยปีแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ก้าวเท้าออกจากถ้ำเลย บางครั้งเขาก็จะออกมาดูเฮยทั่นบ้าง ทุกครั้งที่ออกจากถ้ำ ปากถ้ำก็จะถูกกองหิมะกลบปิดไว้แบบนี้
โครม! พลังอิทธิฤทธิ์พุ่งออกจากตรงหน้าเหมียวอี้ กองหิมะที่ปิดปากถ้ำไว้ระเบิดปลิวว่อน เขาเดินออกจากอุโมงค์น้ำแข็งอย่างช้าๆ ด้านนอกมีหิมะปลิวว่อนเยอะมาก
ด้านนอกหิมะตกแล้ว เหมียวอี้เงยหน้ามองหิมะที่ลอยละล่องด้านบนหุบเขาน้ำแข็ง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เงาร่างก็ลอยขึ้นมา แล้ววิ่งตะบึงออกไป
เขากลับมาที่รังหงส์อีกครั้ง หลิงหลันเปิดประตูต้อนรับเขาเข้าไป เดินเป็นเพื่อนเขาไปที่วังใต้ดินแล้ว
วังใต้ดินถูกอั้นโยวหลินครอบครองไว้คนเดียว ไม่ใช่ว่ามีที่ไม่พอสำหรับเฮยทั่น แต่เป็นเพราะหลังจากเฮยทั่นดูดซับปราณชั่วร้ายแล้ว จะมีกลิ่นหอมอัศจรรย์ที่ทำให้คนปกติรู้สึกผ่อนคลายโชยจากตัว แต่สำหรับอั้นโยวหลินกลับเป็นกลิ่นที่ทรมานอย่างบอกไม่ถูก เหมียวอี้ทำได้เพียงจัดให้เฮยทั่นไปอยู่บนปล่องควันบนรังหงส์
เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมาแล้ว อั้นโยวหลินก็รีบลงจากเตียงมาคำนับ “นายท่าน!”
เหมียวอี้เพิ่งจะสังเกตเห็นวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสามตรงหว่างคิ้วของนาง จึงถามอย่างค่อนข้างประหลาดใจว่า “เจ้าบรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นสามแล้วเหรอ?”
“เดิมทีอยู่ช่วงกลางของบงกชรุ้งขั้นสอง พอฝึกตนในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายไปห้าร้อยปี มีปราณอาฆาตให้อย่างเหลือเฟือไม่เคยขาด ข้าถึงได้รุดหน้าอย่างก้าวกระโดด” อั้นโยวหลินตตอบ
เหมียวอี้รู้ว่าแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายมีความสำคัญต่อวิญญาณชั่วร้าย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะมากขนาดนี้ เขาพยักหน้าบอกว่า “ความก้าวหน้าในการฝึกคนก็นับว่าเร็วจนประหลาด มิน่าล่ะพวกวิญญาณชั่วร้ายอย่างพวกเจ้าถึงอยากครอบครองแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย”
อั้นโยวหลินบอกว่า “ล้วนเป็นเพราะนายท่านช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นอั้นโยวหลินก็ไม่มีทางมาที่นี่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความก้าวหน้าแบบนี้”
เหมียวอี้หยิบกำไลเก็บสมบัติที่ว่างเปล่าออกมาวงหนึ่ง “เวลาที่รังหงส์หมดแล้ว พวกเราควรจะไปได้แล้ว”
อั้นโยวหลินอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็ยังพยักหน้า “ค่ะ!” จากนั้นก็ไม่ขัดขืน ปล่อยให้เหมียวอี้เก็บตัวเองเข้าไปไว้ในกำไลเก็บสมบัติแล้ว ถึงแม้แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายจะมีแรงดึงดูดต่อนางมาก แต่ที่ที่นางอยากไปมากที่สุดก็คือโลกภายนอก
เมื่อเก็บอั้นโยวหลินแล้ว เหมียวอี้ก็หันตัวมาบอกหลิงหลันว่า “ให้เฮยทั่นลงมาได้แล้ว”
หลิงหลันย่อมได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับอั้นโยวหลินแล้ว รีบเดินตามไปข้างหลังเขา แล้วถามว่า “ท่านกำลังจะไปแล้วเหรอ? กำลังจะไปบ่อเพลิงมังกรแล้วใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เดินไปพลางตอบไปพลาง “ในเมื่อตอบตกลงเจ้าแล้ว ข้าก็ย่อมต้องทำตามสัญญา เพียงแต่รอบนอกของทุ่งน้ำแข็งโบราณคงจะซ่อนวิญญาณชั่วร้ายที่เป็นยอดฝีมือเอาไว้ไม่น้อย ข้ากังวลว่าจะบังเอิญเจอ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะออกจากที่นี่ไปได้อย่างราบรื่นหรือเปล่า”
หลิงหลันรีบบอกว่า “ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดเตรียมวิญญาณน้ำแข็งให้ส่งนายท่านออกจากด้านล่างของทุ่งน้ำแข็งไป วิญญาณน้ำแข็งสามารถเบิกทางอยู่ในชั้นน้ำแข็งแบบไร้เสียง คนข้างบนสังเกตเห็นได้ยาก สามารถส่งนายท่านไปตลอดจนกว่าจะถึงบนแผ่นดินใหญ่นอกทุ่งน้ำแข็ง จะได้ไม่ถูกยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่รอบนอกทุ่งน้ำแข็งโบราณค้นพบค่ะ” ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้วรู้เลยว่ากำลังดีใจ คาดว่าคงอยากจะให้เหมียวอี้รีบไปถ้ำมังกรเพื่อทำสิ่งที่นายท่านของนางฝากฝังให้สำเร็จ
เหมียวอี้ที่เดินขึ้นไปบนบันไดอึ้งไปชั่วขณะ เขากำลังอยากให้วิญญาณน้ำแข็งให้ความร่วมมืออยู่พอดีเลย เขาคิดว่าถ้าบังเอิญเจอปัญหาอะไรก็จะให้วิญญาณน้ำแข็งช่วยกัดให้สักหน่อย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าหลิงหลันจะเสนอวิธีการที่ดีกว่าให้แล้ว สามารถออกจากที่นี่ไปโดยผ่านทางใต้ดิน!
ใช่แล้ว! ชั้นน้ำแข็งของทุ่งน้ำแข็งมีระดับความหนาถึงพันจั้ง วิญญาณน้ำแข็งสามารถเบิกทางอยู่ในน้ำแข็งอย่างเงียบเชียบ ออกไปผ่านทางใต้ดินที่ลึกขนาดนั้น คนบนชั้นน้ำแข็งก็ไม่ได้สังเกตเห็นได้ง่ายๆ จึงพยักหน้าทันทีว่า “ดี! เจ้ารีบไปจัดเตรียมเถอะ ข้าจะออกเดินทางแล้ว”
ผ่านไปไม่นาน เฮยทั่นก็ไหลลงมาจากด้านบนของรังหงส์แล้ว เจ้าตัวนี้ไม่เดินตามทางปกติ ไม่ได้ลงผ่านบันไดในรังหงส์ แต่ทั้งกระโดดทั้งกลิ้งลงมาจากด้านนอกของรังหงส์ มาตกอยู่บนแท่นบันไดด้านนอกแล้ววิ่งกลับเข้ามาในตำหนักใหญ่
ปราณชั่วร้ายช่วยเฮยทั่นได้อย่างไม่ไม่อะไรน่าสงสัย เดิมทีเฮยทั่นเดาไว้ว่าเขาที่หักและเกล็ดที่ร่วงต้องใช้เวลาเป็นหมื่นปีกว่าจะฟื้นตัวกลับมา ตอนนี้ผ่านไปแค่ห้าร้อยปี เขาที่หักก็งอกขึ้นมาแล้วเล็กน้อย ตรงรอยหักกลายเป็นกลมเกลี้ยงแล้ว เกล็ดที่ถูกทำลายก็ยาวขึ้นมาแล้วนิดหน่อย
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เฮยทั่นในตอนนี้ก็ยังมีหน้าตาไม่สมกับชื่อ ยังคงเหมือนสุนัขขนร่วงตัวหนึ่ง
หนึ่งคนกับหนึ่งตัวคุยกันครู่หนึ่ง หลิงหลันกลับจากนอกตำหนักมารายงาน “ท่าน เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ทางใต้ดินที่ไปทางหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญน่าจะใกล้เชื่อมต่อกันได้แล้ว”
เหมียวอี้ใช้วิชาดรรชนีชี้ ห่วงเหล็กบนคอเฮยทั่นแผ่ออกปกคลุมทั้งร่างกายทันที พอเกราะรบดุร้ายเผยโฉม ก็ทำให้หลิงหลันมองมาไม่หยุด ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสภาพเฮยทั่นตอนสวมเกราะรบ และพอมีเกราะรบเกราะกลบจุดด้อยบนร่างกาย เฮยทั่นก็เปลี่ยนเป็นดูดีขึ้นเยอะอย่างเห็นได้ชัด ดูมีพลังอำนาจ!
เหมียวอี้ก็สวมเกราะรบและเรียกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือ จากนั้นปีนขึ้นขี่เฮยทั่น แล้วโบกทวนชี้ไปนอกประตูตำหนักใหญ่ “นำทางไป!”
หลิงหลันลอยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แล้วรีบเหาะออกจากประตูไปนำทางอย่างรวดเร็ว
เฮยทั่นแบกเหมียวอี้วิ่งออกไปเร็วมาก วิ่งตะบึงอยู่บนพื้นราบที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาว โดยมีหลิงหลันเหาะตามหลังอยู่บนท้องฟ้าในระดับต่ำ
“นายท่าน อยู่ข้างหน้าค่ะ” หลิงหลันที่เหาะอยู่ข้างหน้าชี้ไปยังโพรงน้ำแข็งที่โผล่อยู่ใต้ผาน้ำแข็ง ในโพรงมีวิญญาณน้ำแข็งหลายด้วยดวงรออยู่ด้านซ้ายและขวาอย่างเคารพ
ตอนที่เข้าใกล้ปากโพรง หลิงหลันก็ผ่านไปไม่ได้ นางหยุดอยู่กลางอากาศ
ซวบ! จู่ๆ เฮยทั่นก็สะบัดหางอย่างเร่งด่วน มันเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง เพราะแผ่นน้ำแข็งลื่นเกินไป ร่างกายยังคงไลถไปทางปากโพรงตามแรงเฉื่อย แต่เห็นกรงเล็บแหลมโลหะของเฮยทั่นเกาะบนพื้นเอาไว้อย่างฉับพลัน ทำให้เกิดรอยกรงเล็บลึกหลายรอยบนแผ่นน้ำแข็ง ในที่สุดก็หยุดอยู่นอกถ้ำแล้ว
หลิงหลันที่มองเหมียวอี้จากบนฟ้าพยักหน้าเบาๆ หลายปีมานี้…ทุกอย่างชัดเจนจนไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว!
หลิงหลันรีบเหยียบลงพื้น แล้วทำความเคาระ “หลิงหลันไม่สามารถข้ามออกจากที่ราบนี้ได้ โปรดอภัยที่หลิงหลันไม่สามารถไปส่งนายท่านได้ไกล ที่คือแผนที่แสดงสภาพพื้นภูมิทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ระหว่างทางท่านอาจจะได้ใช้ประโยชน์” ขณะที่พูดก็ใช้สองมือยื่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้
สิ่งนี้ทำให้เขาดีใจเหนือความคาดหมาย อาณาเขตของแดนมรณะดึกดำบรรพ์กว้างเกินไป พวกอั้นโยวหลินจะมีข้อมูลสภาพพื้นภูมิทั้งหมดได้อย่างไร คาดว่าทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์คงมีเพียงเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรที่มีข้อมูลสภาพพื้นที่ทั้งหมด
เหมียวอี้ดูดของมาไว้ในมือโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นทอดสายตามองไปยังรังหงส์ไกลๆ แล้วใช้สองเท้าเคาะท้องเฮยทั่นเบาๆ
“กรรร!” เฮยทั่นคำรามไปทางรังหงส์ แล้วหันตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโจนเข้าไปในปากโพรง
ลักษณะการเดินทางในทางใต้ดินนั้นต้องอาศัยการไถลลงอย่างช้าๆ พอไปจนถึงชั้นล่างสุดของชั้นน้ำแข็ง ก็จะเผยผิวดินที่อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งแล้ว พวกวิญญาณน้ำแข็งจัดการทางใต้ดินได้ดีมาก เมื่อเจอจุดที่พื้นค่อนข้างสูงก็อ้อมผ่าน จุดที่เว้านูนไม่เสมอกันก็ใช้หิมะถมให้ราบ ทุกช่วงของเส้นทางล้วนมีวิญญาณน้ำแข็งคอยเฝ้าน้อมส่ง รับประกันความราบรื่นได้ตลอดทาง ทั้งยังมีเปลวเพลิงคอยส่องสว่างอยู่ในผนังน้ำแข็งด้วย หลิงหลันเรียกได้ว่าทุ่มเทความพยายามแล้ว
เฮยทั่นแบกเหมียวอี้วิ่งไปตลอดทางไม่หยุด วิ่งตะบึงเต็มที่อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็ง รวดเร็วราวกับลมที่พัดผ่าน
หลังจากนั้นหลายวัน ลักษณะพื้นของทางใต้ดินก็เริ่มยกสูงขึ้นทีละนิด ปากโพรงแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ข้างหน้า เฮยทั่นกระโจนออกมา แล้วเหยียบลงบนพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่ง
พอหนึ่งคนกับหนึ่งตัวหันกลับมา ถึงได้พบว่าตัวเองพุ่งออกมาจากบนผาน้ำแข็งแห่งหนึ่ง วิญญาณน้ำแข็งสองคนที่อยู่ในปากโพรงผาน้ำแข็งทำความเคารพ แล้วปากโพรงก็ปิดสมานกันอย่างรวดเร็ว กลบวิญญาณน้ำแข็งทั้งสองเอาไว้ในนั้นแล้ว
เฮยทั่นมองไปข้างหน้าอีกครั้ง แล้วยกขาทั้งสี่วิ่งออกไปไกลราวกับสายลม
จนกระทั่งมองไม่เห็นทุ่งน้ำแข็งโบราณอีกแล้ว เหมียวอี้ก็ได้โล่งใจ เขาตะโกนสั่งให้เฮยทั่นหยุด จากนั้นกระโดดลงมา เก็บเฮยทั่นเอาไว้ แล้วปล่อยอั้นโยวหลินออกมา
พอโผล่หน้ามาแล้วเห็นว่าออกจากแดนหิมะนั่นแล้ว อั้นโยวหลินที่เตรียมใจไว้แล้วล่วงหน้าก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะรวดเร็วและราบรื่นขนาดนี้ นางมองไปรอบๆ โดยไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ไหน จึงถามว่า “นายท่าน ต่อไปจะไปไหนต่อ?”
เหมียวอี้เชิดคางไปข้างหน้า “หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ!”
“หา!” อั้นโยวหลินอุทานอย่างตกใจ ก่อนจะเตือนว่า “นายท่าน มีบทเรียนอย่างอวี้ซาแล้ว มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะมีจะมียอดฝีมืออยู่รอบหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ เกรงว่าจะไม่ค่อยปลอดภัยนัก”
ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่เคยพิจารณาถึงสิ่งนี้มาก่อน แต่ตามความเข้าใจของเขา สถานการณ์ของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญกับทุ่งน้ำแข็งโบราณมีสิ่งที่แตกต่างกัน ไฟหยางร้อนแรง มีผลในการข่มวิญญาณชั่วร้ายสูงมาก วิญญาณชั่วร้ายไม่กล้าเข้าใกล้ศูนย์กลางมากเกินไปเหมือนที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณ แบบนี้ก็หมายความว่าต่อให้มียอดฝีมืออยู่รอบๆ แต่ก็มีขอบข่ายการกระจายตัวมากกว่าแน่นอน ให้โอกาสเขาหาช่องโหว่ได้ง่าย
บทที่ 1490 หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ บ่อเพลิ...
ประการแรก ตราบใดที่ยอดฝีมือวิญญาณชั่วร้ายยังคิดจะบุกเข้าไปที่แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย เขาก็ยังมีหนทางที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง เป็นเพราะเขามีไพ่ใบสุดท้าย เขาสามารถเข้ารังหงส์ได้
บนพื้นฐานแบบนี้ เขาอยากจะเดิมพันดูสักครั้ง…
ดังนั้นเหมียวอี้จึงไม่อธิบายอะไรกับอั้นโยวหลินมากนัก เชิดคางไปข้างหน้าด้วยท่าทีที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธอีกครั้ง “ไปเถอะ!”
อั้นโยวหลินพูดไม่ออก ทำได้เพียงปล่อยอินทรีสามหัวออกมา
ทั้งสองเหยียบบนตัวอินทรีสามหัวแล้วบินแฉลบขึ้นฟ้าไป ยิ่งบินยิ่งสูง บินไปยังท้องฟ้าสูงอันไกลโพ้นอีกครั้ง มุ่งไปข้างหน้าโดยใช้วิธีเดียวกับตอนที่ออกจากค่ายป่าครึ้มไปทุ่งน้ำแข็งโบราณ
บนท้องฟ้า เหมียวอี้หยิบแผนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่หลิงหลันมอบให้ออกมา กำหนดพิกัดทุ่งน้ำแข็งโบราณและหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ แล้วตัดสินตำแหน่งที่ตัวเองอยู่จากระยะทางแนวตรงที่อยู่ระหว่างนั้น ก่อนจะเริ่มตรวจดูภูมิประเทศด้านหน้า เพื่อเตรียมตัวสำหรับสิ่งจำเป็นในบางครั้งคราว
ครั้งก่อนใช้วลาเดินทางจากค่ายป่าครึ้มไปทุ่งน้ำแข็งโบราณครึ่งปีกว่า ครั้งนี้ออกจากทุ่งน้ำแข็งโบราณไปหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญก็ไม่ได้ใช้เวลาแค่ครึ่งปีเท่านั้น
หลังจากนั้นเกือบสิบเดือน จู่ๆ เหมียวอี้ที่หยิบแผนที่ขึ้นมาดูในบางครั้งก็กล่าวเสียงต่ำว่า “อยู่ห่างจากขอบเขตหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญไม่ไกลแล้ว หาที่ลงกันเถอะ”
“จะลงเหรอ?” อั้นโยวหลินแปลกใจ “นายท่านไม่ไปแล้วเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไปทางอากาศจะโดนคนอื่นสังเกตเห็นได้ง่ายเกินไป ข้าเตรียมจะเดินเท้าไป อาณาเขตหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญใหญ่ขนาดนั้น นอกเสียจากรอบหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญจะมียอดฝีมือวิญญาณชั่วร้ายเฝ้าอยู่เต็มเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะโชคซวยเจอเข้าพอดี “
“…” อั้นโยวหลินไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี อยู่ที่รังหงส์อย่างสบายดีแท้ๆ จะถ่อมาเสี่ยงอันตรายที่ถ้ำมังกรอีกทำไม?
เหมียวอี้ยืนหยัดจะทำแบบนี้ นางเองก็ได้แต่ปฏิบัติตาม
สำรวจด้านล่างจากบนฟ้า หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีปราณชั่วร้ายเยอะ อินทรีสามหัวโฉบลงมาจอดได้อย่างราบรื่น
พอเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็เก็บอินทรีสามหัวกับอั้นโยวหลินพร้อมกัน แล้วหาถ้ำฟื้นฟูพลังสักสองสามวัน ถึงได้ปล่อยเฮยทั่นออกมาอีกครั้ง
เมื่อปีนขึ้นขี่บนหลังเฮยทั่นแล้ว เหมียวอี้ก็บอกว่า “วิ่งไปตามแนวเส้นตรง พุ่งไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่เจ้ามี พยายามไปถึงเป้าหมายในอึดใจเดียว ไปเถอะ!”
พรึ่บ! เฮยทั่นกระโจนออกไป ความถี่ในการขยับขาทั้งสี่ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ บุกไปข้างหน้าตลอดทาง เหมียวอี้ที่ตัวกระเพื่อมขึ้นลงมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังไม่หยุด
ข้ามผ่านภูเขา ผ่านที่ราบและหุบเขา หนึ่งคนกับหนึ่งตัววิ่งตะบึงอย่างอิสระตามอำเภอใจ
หลังจากนั้นครึ่งวัน อุณหภูมิโดยรอบก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เศษหินบนพื้นเริ่มมีน้อยลง คุณภาพผิวดินค่อยๆ กลายเป็นถ่าน ระหว่างทางที่ไป เหมียวอี้ที่ดูแผนที่ภูมิประเทศหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญหลายรอบก็รู้ว่าตัวเองได้ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญแล้ว
ขึ้นเขาลงเนิน พอเจอร่องน้ำก็กระโดดข้าม เงาร่างที่แข็งแรงของเฮยทั่นพยายามไปข้างหน้าในทางตรง
ตามอุณหภูมิอากาศที่ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ผิวดินกลายเป็นหินเกรียมแล้ว ทั้งผืนแผ่นดินนี้ราวกับเป็นก้อนหินขนาดใหญ่สีดำที่ครบสมบูรณ์ก้อนหนึ่ง ร้อนและแห้งแล้งมาก มองไม่เห็นร่องรอยสิ่งมีชีวิตใดๆ
หลังจากถึงที่นี่และได้เห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่แล้ว จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองอาจจะกังวลมากเกินไป
เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ที่นี่ไม่ใช่ทุ่งน้ำแข็งโบราณ ต่อให้ที่นี่จะเป็นรอบนอกของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ แต่ก็ไม่เหมาะจะให้วิญญาณชั่วร้ายแฝงตัว วิญญาณชั่วร้ายกลัวไฟ ปรับตัวกับอุณหภูมิสูงที่นี่ไม่ไหว
เมื่อทอดสายมองแผ่นดินผืนใหญ่สีดำแข็งกระด้างที่ร้อนแห้งแล้ง ก็พบว่าพื้นดินเชื่อมต่อกันด้วยวิธีการที่น่าเบื่อแบบสูงบ้างต่ำบ้าง บางครั้งก็ปรากฏหลุมใหญ่ หุบเขาลึกที่ถูกทำให้แยกออกจากกันอย่างประหลาด มีก้อนหินทั้งเล็กทั้งใหญ่กระจายอยู่หร็อมแหนม รกร้างหนาวเย็น ร้อนและแห้งแล้ง
รอบข้างสงบเงียบไร้ที่เปรียบ มีเพียงเสียงของเฮยทั่นที่วิ่งอยู่ตามลำพัง
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการคาดการณ์ของเหมียวอี้นั้นถูกต้อง ตามอุณหภูมิสูงในเส้นทางช่วงหลังที่ร้อนจนไม่มีใครซ่อนตัวได้ แผ่นดินใหญ่ก็เหมือนจะมีควันขึ้นแล้ว ธาตุไฟในอากาศล่องลอย พิสูจน์แล้วว่าถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ ก็ไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้นานเลย
เส้นทางในตอนหลังยังคงเงียบเหงาโดดเดี่ยว ไม่เห็นใครปรากฏตัวสักคน ไม่มีใครรบกวนพวกเขา พวกเขาก็ย่อมไม่คุกคามใคร เรียกได้ว่าราบรื่นอย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากวิ่งตะบึงไปหลายวัน ทันใดนั้นตรงจุดไกลๆ ก็ปรากฏภูเขาสูงลูกหนึ่ง เงาภูเขาที่เลือนรางสูงเทียมฟ้า
เฮยทั่นวิ่งไปข้างหน้าและยังไม่ทันเข้าใกล้ แต่จู่ๆ ก็หยุดอย่างกะทันหัน หยุดอยู่ที่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง
เหมียวอี้ที่ถือทวนอยู่ในมือกำลังนั่งตัวตรงบนหลังเฮยทั่น มองดูภาพทิวทัศน์ข้างหน้าอย่างเงียบๆ
ข้างล่างไม่ใช่หน้าผา ถ้ามองให้กว้างขึ้นหน่อย ก็จะพบว่าเป็นแอ่งกระทะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ด้านล่างแอ่งกระทะมีหินหนืดไหลกลิ้ง มีฟองอากาศแตกระเบิดอยู่ในหินหนืดไม่หยุด เพลิงล่องหนที่พ่นออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าหายไปในอากาศ ทั้งแอ่งกระทะเรียกได้ว่าเป็นทะเลสาบหินหนืดแห่งหนึ่ง ส่วนภูเขาที่ยิ่งใหญ่อลังการลูกนั้นก็อยู่ตรงกลางของทะเลสาบหินหนืดนั่นเอง
บนภูเขาสูงสีดำขลับมีมังกรเพลิงแหวกว่าย เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน มันไม่ใช่มังกรเพลิงอะไรหรอก แต่เป็นเส้นทางการไหลที่แน่นอนของหินหนืดที่ไหลลงมาจากบนภูเขา ถ้ามองจากมุมแคบก็เหมือนมังกรเพลิงหลายตัวจริงๆ
ภูเขาสูงที่ดูโบราณเรียบง่าย ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่อลังการ แข็งแกร่งราวกับหอคอยทมิฬดึกดำบรรพ์ ลักษณะของภูเขาบางช่วงก็สูงชันอันตราย บางช่วงก็สูงโดด บางช่วงก็กลมหนา ทั้งยังมีถ้ำทั้งเล็กทั้งใหญ่จำนวนไม่น้อยเลยด้วย เผยความรกร้างราวกับยุคดึกดำบรรพ์ ทำให้คนรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังถือแตรวงเป่าจนเกิดเสียงหดหู่ “อูอู” อยู่บนยอดเขา กลิ่นอายโบราณดึกดำบรรพ์โผเข้ามาปะทะหน้า
บนยอดเขามีปราณชั่วร้ายสี่สีพวยพุ่งออกมา ถึงถ้ำมังกรแล้ว!
ระหว่างริมภูผาฝั่งนี้ไปจนถึงภูเขาฝั่งโน้น มีทะเลสาบหินหนืดที่ไหลกลิ้งสิบกว่าลี้กั้นไว้ ถ้าอยากจะไปถึงภูเขาสูงที่อยู่ตรงข้าม ก็จะต้องข้ามทะเลสาบหินหนืดผืนนี้ไป เฮยทั่นกระโดดได้ไม่ไกลขนาดนั้น เหมียวอี้อยู่ที่นี่ก็เหาะไม่ได้เช่นกัน
เหมียวอี้สามารถเรียกอั้นโยวหลินออกมาได้ แล้วร่ายเคล็ดวิชาธาตุไฟปกป้องร่างกาย ให้อั้นโยวหลินพาตนข้ามผ่านไป แต่ก็เป็นแค่ทะเลสาบหินหนืดผืนเดียวเท่านั้น เหมือนจะไม่มีความจำเป็นสำหรับเหมียวอี้
เหมียวอี้กระโดลงจากตัวเฮยทั่น เก็บเฮยทั่นเข้าในกระเป๋าสัตว์ พื้นรองเท้ายาวโลหะกำลังเดินไปเดินมาอยู่บนพื้นที่ร้อนจี๋จนเกิดเสียงดังซ่าๆ ตึง! ใช้ทวนยาวค้ำกับพื้น เขาจ้องประเมินสถานการณ์ของทะเลสาบหินหนืดเงียบๆ พักหนึ่ง แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
แต่เขาเองก็รู้ ตามที่เขาได้ยินมาจากหลิงหลัน ทะเลสาบหินหนืดผืนนี้คือที่ที่วิญญาณชั่วร้ายด้านนอกไม่มีทางข้ามผ่านไปได้ รังหงส์มีวิญญาณน้ำแข็งเฝ้ายาม ถ้ำมังกรมีวิญญาณอัคคีเฝ้ายาม ทะเลสาบหินหนืดตรงหน้าก็คือรังของวิญญาณอัคคี ถึงขั้นยึดครองไปถึงบนภูเขาลูกนั้นด้วยซ้ำ
สุดท้าย เหมียวอี้ก็เดินช้าๆ กระโดดดิ่งลงไปที่เหวลึกหลายร้อยจั้ง เสียงตกกระทบกับผิวทะเลสาบหินหนืดดังปั้ง เขาถือทวนเฉียงในมือ แล้ววิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับย่ำบนคลื่นได้
ผิวของทะเลสาบหินหนืดเริ่มเดือดปุดๆ ที่ผิวทะเลสาบมีสัตว์ประหลาดที่เป็นหินหนืดหลายสายโผล่ขึ้นมา บนตัวของสัตว์ประหลาดทุกตัวมีชายผมแดงเปลือยท่อนบนยืนอยู่คนหนึ่ง เท้าเปลือยแต่กลับไม่กลัวหินหนืดที่ร้อนเดือดอยู่ใต้เท้า แต่ละคนล้วนมีลักษณะดุร้าย
สัตว์ประหลาดหินหนืดที่แบกชายผมแดงโผล่ขึ้นมาที่ผิวทะเลสาบหินหนืดอย่างหนาแน่น แต่ที่แปลกก็คือ ตามที่เหมียวอี้วิ่งตะบึงเข้ามาตลอดทาง ชายผมแดงที่ขวางอยู่ด้านหน้าก็ทยอยกันขี่สัตว์ประหลาดหินหนืดหลีกทางให้สองฝั่ง หลีกทางให้จนเกิดเป็นเส้นทางตรงบนผิวทะเลสาบหินหนืด
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าพวกเขาทำแบบนี้หมายความว่าอะไร อีกฝ่ายหลีกทางให้เงียบๆ เขาเองก็วิ่งต่อไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน พร้อมทั้งถือทวนเฝ้าระวังไว้ตลอด
วิ่งบนผิวทะเลสาบหินหนืดสิบกว่าลี้มาตลอดทาง สัตว์ประหลาดหินหนืดกับะวกชายผมแดงไม่ได้รบกวนเลยสักนิด ได้แต่มองตามเหมียวอี้กระโดดขึ้นไปบนภูเขาใหญ่สีดำทะมึนลูกนั้น
พอขาสองข้างเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็ถือทวนและหันตัวไปมองพวกเขาจากนั้นพยักหน้าเบาๆ แสดงความขอบคุณ
ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเห็นแล้วเข้าใจหรือเปล่า แต่กลับเห็นสัตว์ประหลาดหินหนืดพวกนั้นพาชายผมแดงดำลงไปในทะเลสาบหินหนืดอย่างเงียบๆ ผิวทะเลสาบกลับมาเป็นปกติแล้ว
เหมียวอี้หันตัวกลับมาและเงยหน้ามองบนภูเขาสูง ในแม่น้ำหินหนืดที่ไหลลงมาจากภูเขา สัตว์ประหลาดหินหนืดที่โผล่ออกมาดำกลับลงไปอย่างเงียบๆ ชายผมแดงที่โผล่ออกมาจากถ้ำภูเขาน้อยใหญ่พวกนั้นก็หันตัวกลับข้าถ้ำไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงนิ่งเงียบและมองข้ามแบบนี้ จึงหยิบแผนที่ที่หลิงหลันให้ออกมาอีกครั้ง หาตำแหน่งประตูใหญ่ของถ้ำมังกร
พอเก็บแผนที่แล้ว ก็รีบอ้อมไปด้านซ้ายเพื่อขึ้นบนภูเขาใหญ่ ตลอดทางมีความลาดเอียง บางครั้งก็เป็นหน้าผา บางทีก็ต้องกระโดข้ามอยู่ระหว่างหินภูเขาที่ตัดสลับกันเป็นฟันปลา
สุดท้ายก็เจอตำแหน่งตรงทิศตะวันออกแล้ว เจอบันไดที่ยาวคดเคี้ยวขึ้นไป เหมียวอี้ยืนอยู่บนแท่นบันไดแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเพียงตรงจุดที่เป็นไหล่เขามีประตูใหญ่รูปหัวมังกรโบราณที่กำลังอ้าปาก
เหมียวอี้วิ่งตะบึงขึ้นไปอีกครั้ง มาถึงบนแท่นลิ้นในปากมังกรที่อ้ากว้าง เขากำลังยืนอยู่ตรงประตูแล้ว
ไม่เหมือนรังหงส์ที่มีประตูน้ำแข็งปิดสนิท ประตูใหญ่ของที่นี่ไม่มีอะไรกั้น มีเพียงบันไดที่เอียงลาดขึ้นไป เขาเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ พร้อมมองระแวดระวังรอบข้าง
พอเดินเข้าไปในปากมังกร ก็มีลมเย็นสดชื่นกลุ่มหนึ่งโผใส่หน้าทันที เป็นลมที่ไม่มีธาตุไฟพัดกระพือ พอข้ามเข้ามาในประตูใหญ่ก็ราวกับโดนตัดขาดออกจากโลกภายนอกแล้ว
พอมาถึงส่วนยอดของบันได ตำหนักใหญ่ที่มีลักษณะโบราณเรียบง่ายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว กลางตำหนักใหญ่ที่ลึกและมืดทึบ มีสระเพลิงเดือดขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บางทีเรียกว่าบ่อเพลิงอาจจะเหมาะสมกว่า เพลิงที่โผล่ขึ้นมาจากบ่อเพลิงเป็นภาพที่มหัศจรรย์จริงๆ เพลิงเดือดที่บิดม้วนราวกับเป็นมังกรเพลิงตัวหนึ่งที่แหวกว่ายอยู่กลางอากาศ
ชั่วพริบตาที่มองไป เหมียวอี้ก็แทบจะแน่ใจได้แล้ว น่าจะเป็นบ่อเพลิงมังกรที่หลิงหลันบอก เป็นเพราะบ่อเพลิงนี้มีชื่อเหมาะเจาะกับ ‘บ่อเพลิงมังกร’ เกินไปแล้ว
เหมียวอี้ก้าวเข้าไปในตำหนักใหญ่โตลึกลับ แล้วเริ่มมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ตำหนักใหญ่หลังนี้มีร่องรอยงานแกะสลักโดยฝีมือคนอยู่ไม่เยอะ มีลักษณะเหมือนถ้ำใหญ่สมัยดึกดำบรรพ์ ร่องรอยของคนเพียงอย่างเดียวที่ชัดเจนมากก็คือเก้าอี้หินทั้งตัวที่มีท่วงทำนองโบราณเรียบง่ายจำนวนแปดตัว
ชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงเก้าอี้สองตัวที่ตั้งอยู่เบื้องสูงในรังหงส์ ตามที่หลิงหลันบอก นั่นคือบัลลังก์เทพสตรีสองคนของเผ่าหงส์ในปีนั้น ถ้านำมาเทียบกันแล้วและเดาไม่ผิด เก้าอี้แปดตัวนี้ก็คงจะเป็นที่นั่งเทพมังกรทั้งแปดขอเผ่ามังกรในปีนั้น แต่ช่วยไม่ได้ที่ฉากยังยู่แต่ตัวคนไม่อยู่ตั้งนานแล้ว
จากประตูไปจนถึง ‘บ่อเพลิงมังกร’ ในตำหนักมีระยะห่างร้อยจั้ง เหมียวอี้ที่เดินไปข้างบ่อเพลิงรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิสูงอันน่าสะพรึงกลัว แต่เหมือนจะมีเขตแดนที่แบ่งแยกไว้อย่างชัดเจน พอเหมียวอี้ถอยหลังหนึ่งก้าว อุณหภูมิสูงก็หายไปอีกแล้ว พอก้าวเข้าไปใกล้ อุณหภูมิสูงก็โผเข้ามาอีก จะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงในบ่อเพลิงถูกวิชาอะไรบางอย่างควบคุมไว้
เมื่อเงยหน้าจ้องเพลิงมังกรที่พวยพุ่งขึ้นสูงหลายจั้งจากขอบเขตบ่อเพลิงในตำหนักใหญ่ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ใช้เคล็ดวิชาธาตุไฟยื่นศีรษะเข้าริมบ่อเพลิงแล้ว เขามองลงไปด้านล่าง ผลก็คือพบว่าลึกจนมองไม่เห็นก้น ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็ไม่มีประโยชน์ เพลิงเดือดที่อยู่ข้างล่างทำให้สายตาพร่าเลือน
บางทีถ้าใช้ตาทิพย์อาจจะมองเห็นชัดก็ได้ แต่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ยอมใช้วิชาตาทิพย์ง่ายๆ
เขาหดหัวกลับมาแล้วมองไปรอบๆ จากนั้นก็ถลันตัวไปสำรวจทุกซอกทุกมุมทั้งตำหนักใหญ่รอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครมองอยู่ เขาก็กลับไปข้างบ่อเพลิงมังกรอีก เขาลูบคางพลางมองบ่อเพลิงมังกรอย่างลังเล ไม่รู้ว่าการที่หลิงหลันให้ตนนำของสองอย่างนั่นมาส่งที่บ่อเพลิงมังกรหมายความว่าอะไร อย่าบอกนะว่าให้โยนลงไป?
เหมียวอี้เก็บทวนในมือ แล้วหยิบไข่หินสองใบออกมาดู หลายครั้งที่คิดอยากจะโยนเข้าไป แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางแน่ใจได้ว่าต้องทำแบบนี้หรือเปล่า หลายครั้งที่ที่ยื่นมือแต่ก็ไม่ได้โยนออกไป สุดท้ายก็หดมือกลับมา ถ้าไม่ใช่แบบนี้ขึ้นมาล่ะ ตัวเองจะไม่ทำให้คนที่ไหว้วานเสียงานหรอกเหรอ
หารู้ไม่ว่าชั่วพริบตาที่เขาหยิบไข่สองใบออกมา เพลิงมังกรแหวกว่ายที่พวยพุ่งขึ้นก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบเชียบ กลายเป็นรูปหัวมังกรโบราณที่ดุร้ายมีพลังอำนาจตัวหนึ่งแล้ว ดวงตาไฟสองข้างของหัวมังกรกำลังเหลือบลงดูการกระทำของเหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น