ลำนำบุปผาพิษ 1486-1501

 บทที่ 1486 มารดาเยี่ยนมาเยือน 6


“เอ๊ะ นางให้บทเรียน ผิดงั้นหรือ?”


เยี่ยนฮูหยินส่ายหน้า “ก็มิผิด ข้ารับใช้เหล่านั้นนินทาเจ้านาย สมควรได้รับบทเรียนจริงๆ เพียงแต่เด็กคนนี้มือหนักไปหน่อย…เกือบเอาชีวิตพวกนางไปเสียแล้ว ความจริงหากข้ารับใช้ทำไม่ถูก ก็ไปบอกพ่อบ้านที่รับผิดชอบเรื่องนี้ในคฤหาสน์ ให้พ่อบ้านลงโทษพวกนางสถานหนัก เจ้านายลงไม้ลงมือให้บทเรียนด้วยตัวเอง ช่างเสียเกียรติยิ่งนัก อย่างไรเสีย ไว่หู่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ อู๋ซวงก็ต่อว่านางไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่านางเดือดดาลทุบตีแม้กระทั่งอู๋ซวง หากข้ารีบไปไม่ทันกาล อู๋ซวงคงต้องจบชีวิตไปแล้ว…เฮ้อ ข้าเองก็โกรธ อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นไว่หู่เป็นคนนอก รักนางเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง กลัวว่านางจะก้าวพลาดทำผิดอันใดจนถูกผู้คนติฉินนินทา ดังนั้นจึงสั่งสอนนางไม่กี่คำ นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้กลับควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้แต่ข้าก็ถูกถีบลงไปในทะเลสาบเกือบจะจมน้ำตาย…


เมื่อนางพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาราวกับภาพฉากในตอนนั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าเห็นได้ชัดว่านางบิดเบือนข้อเท็จจริง


หากกู้ซีจิ่วไม่ได้เห็นภาพฉากที่แท้จริงในความทรงจำของจิ้งจอกน้อย เกรงว่าคงรู้สึกว่าจิ้งจอกน้อยทำไม่ถูกเช่นกัน


ดวงหน้าน้อยๆ ของหลานไว่หู่ซีดขาว นิ้วมือกระชับแน่นขึ้นมาทันใด!


กู้ซีจิ่วยังคงสงบนิ่ง เพียงแค่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “จิ้งจอกน้อยไม่เคยมีนิสัยแบบนี้มาก่อน ฮูหยินจำผิดแล้วกระมัง?”


เยี่ยนฮูหยินส่ายหน้า “จะจำผิดได้อย่างไร? หลังจากเรื่องครานั้น ไว่หู่นางก็ออกจากตระกูลเยี่ยนของข้าไป กลับมาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ และตัดขาดความสัมพันธ์กับเยี่ยนเฉินเพราะเรื่องนี้ ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงมันขึ้นมาก็เสียใจยิ่งนัก เด็กคนนี้ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เดิมทีจิตใจอ่อนไหวอยู่แล้ว ตอนนั้นข้าควรพูดกับนางดีๆ…”


กู้ซีจิ่วกล่าว “ไม่ทราบว่าพวกข้ารับใช้เหล่านั้นนินทาอะไรจึงทำให้นางเดือดดาลเช่นนั้น? ตอนนั้นแม่นางเหลิ่งพูดอะไร? หลังจากเยี่ยนฮูหยินมาแล้วพูดอะไรอีกหรือ? เล่าให้ข้าฟังสักหน่อย ข้าจะได้เป็นทูตเชื่อมสัมพันธไมตรีให้พวกท่านด้วย จิ้งจอกน้อยเชื่อฟังข้าเสมอมา ข้ามองนางเป็นน้องสาวแท้ๆ นางทำผิดข้าก็มีสิทธิสั่งสอนนาง แน่นอนว่าหากนางถูกกลั่นแกล้ง ข้าในฐานะพี่สาวก็ต้องให้ความยุติธรรมแก่นาง ไม่อาจให้นางได้รับความอยุติธรรมเปล่าๆ!”


เยี่ยนฮูหยินตกตะลึง รีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ล้วนเป็นคำพูดด้วยอารมณ์ทั้งนั้น มันก็เนิ่นนานมาแล้ว ผู้ใดยังจำคำพูดเหล่านั้นได้เล่า?” แล้วจึงพูดกับหลานไว่หู่อย่างรักใคร่เอ็นดู “ไว่หู่ ตอนนั้นอาสะใภ้ก็โกรธมาก พูดจารุนแรงไปบ้าง เช่นนี้แล้วกัน อาสะใภ้ขอโทษเจ้า อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยอีกเลยดีไหม?”


ถ้อยคำเหล่านี้ของนางพูดได้อย่างใจกว้างเหลือเกิน แต่กลับเผยให้เห็นถึงความกล้ำกลืนเพื่อบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ท่าทีที่ผู้ใหญ่ยอมลดตัวลงมาเท่ากับผู้น้อย ทำให้กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ยกนิ้วให้กับวิธีการของนาง!


คนเยี่ยงนี้หากเป็นจอมนางในวังหลวงก็เป็นยอดฝีมือ จิ้งจอกน้อยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลยสักนิด มิน่าถึงได้เสียเปรียบถึงขนาดนี้ ซ้ำยังเป็นคนใบ้กินหวงเหลียน ขมแต่พูดไม่ออก ต้องทนทุกข์ทรมานทว่าไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้


ใบหน้างดงามของหลานไว่หู่ซีดเผือด ยังคงไม่พูดไม่จา


เยี่ยนฮูหยินยังกล่าวอีก “ไว่หู่ เจ้าเติบโตมาในตระกูลเยี่ยน ข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นคนนอก ถึงแม้เจ้ากับเฉินเอ๋อร์ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปแล้ว แต่ยังคงเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน พวกเรายังเป็นครอบครัวเดียวกัน ครานี้เฉินเอ๋อร์กำลังจะหมั้นหมายกับอู๋ซวง ข้าตั้งใจนำเทียบเชิญมาโดยเฉพาะ เพื่อเชิญเจ้ากับพวกศิษย์พี่น้องของเจ้าไปร่วมงานสมรสของพวกเขา จริงสิ อาสะใภ้ได้ยินว่าเจ้ากับคุณชายหลานเยวี่ยมีสัญญาหมั้นหมายต่อกัน คุณชายหลานเยวี่ยเป็นผู้มีความสามารถ อาสะใภ้ดีใจกับเจ้ายิ่งนัก ข้าได้ยินว่าคุณชายหลานเยวี่ยเป็นคนของเผ่าจิ้งจอกคราม บังเอิญจริงๆ ท่านยายของอู๋ซวงก็เคยเป็นคนเผ่าจิ้งจอกคราม เช่นนั้นดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์ของพวกเราจะยิ่งนับว่าแน่นแฟ้นขึ้นไปอีก ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองคู่ต้องรักใคร่ปรองดองกันให้มากๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะได้กลายเป็นเรื่องราวดีๆ”


———————————————————————-


บทที่ 1487 เปิดโหมดตบหน้า


เยี่ยนฮูหยินสมแล้วที่เป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงแต่หลบเลี่ยงหัวข้อสนทนาเมื่อสักครู่ได้สำเร็จ ยังทำให้เห็นถึงความใจกว้างของนางได้อย่างชัดเจน หากกู้ซีจิ่วไม่อยู่ตรงนี้ เกรงว่าต่อให้จิ้งจอกน้อยโกรธจนกระอักเลือดก็ไม่มีทางพูดจาอันใดออกมาได้


ขิงแก่ย่อมเผ็ดร้อน มารดาของเยี่ยนเฉินผู้นี้ไม่ธรรมดาเสียเลยจริงๆ!


กู้ซีจิ่วยิ้ม “เยี่ยนฮูหยินช่างใจกว้างเสียจริง ซีจิ่วขอชื่นชม”


นิ้วมือหลานไว่หู่พลันแข็งทื่อ นางหันหน้ามองกู้ซีจิ่ว อดไม่ได้ที่จะส่งกระแสเสียงหานาง ‘ซีจิ่ว เจ้า…เจ้าก็เชื่อคำพูดนางหรือ?’


กู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงตอบกลับ ‘จิ้งจอกน้อย เรื่องบางเรื่องที่ควรพูดก็ต้องพูด เจ้าไม่อยากพูดว่าคนอื่นไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่กล่าวหาเจ้า! ข้ารู้จักเจ้า ดังนั้นข้าจึงเชื่อเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเชื่อในตัวเจ้าเหมือนกัน ไม่ว่าต่อไปเจ้ากับเยี่ยนเฉินจะเป็นอย่างไร แต่เรื่องในตอนนั้นหากเจ้ารู้สึกได้รับความอยุติธรรมก็ควรรื้อฟื้นความจริง’


หลานไว่หู่นิ่งงัน เหมือนโดนสะกิดใจ


กู้ซีจิ่วส่งกระแสเสียงอีกครั้งหนึ่ง ‘อีกเดี๋ยวข้าถามอะไรเจ้า เจ้าก็ตอบตามความเป็นจริง ทำได้หรือไม่?’


หลานไว่หู่พยักหน้า ‘ได้!’


กู้ซีจิ่วโค้งยิ้มมุมปาก ดีมาก เช่นนั้นเธอก็จะเริ่มเปิดโหมดตบหน้าแล้ว!


กู้ซีจิ่วเพียงกล่าวคำเยินยอ ทำให้เยี่ยนฮูหยินพึงพอใจยิ่งนัก “แม่นางกู้เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่หวังว่าครอบครัวรักใคร่ปรองดอง ไม่เก็บเอามาใส่ใจว่าใครจะผิดหรือถูก เพียงหวังว่าเด็กรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้าจะเข้ากันได้ดี…”


กู้ซีจิ่วตัดบทนาง “เยี่ยนฮูหยินกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง เรื่องราวบนโลกใบนี้มักต้องให้ความสำคัญกับความผิดชอบชั่วดี หากมีเพียงรักใคร่ปรองดองแค่รสชาติเดียว แล้วเก็บกดความน่ารังเกียจไว้ภายใต้ความรักใคร่ปรองดอง เช่นนั้นก็เหมือนน้ำเหลืองภายใต้รอยแผลเป็น ต้องมีสักวันที่ทำให้ผิวหนังเน่าเปื่อย มิสู้เปิดรอยแผลเป็นนี้แล้วขูดเอาน้ำเหลืองที่ควรขูดออกออกมาเสีย ถึงจะได้หายขาด เรื่องราวระหว่างฮูหยินกับจิ้งจอกน้อยก็เป็นเยี่ยงนี้ เรื่องบางเรื่องยังคงต้องพูดออกมาให้หมดจะดีกว่า มิเช่นนั้น คนที่ได้รับความอยุติธรรมก็ไม่รับไปเสียเปล่าหรอกหรือ? ฮูหยินอาจจะเป็นคนใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่ผ่านมา ทว่าบางทีจิ้งจอกน้อยอาจยังมีความอยุติธรรมมากมายภายในใจนี่? บัดนี้ทั้งสามคนล้วนอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็ให้ทั้งสามคนเผชิญหน้ากันดีกว่า หลังจากพูดออกมาหมดแล้วค่อยรักใคร่ปรองดองกันก็มิสาย”


เยี่ยนฮูกยินตกตะลึง “นี่…เรื่องมันผ่านไปแล้ว”


เหลิ่งอู๋ซวงสงบสติอารมณ์ไม่ไหวแล้ว “นางมีความอยุติธรรมอันใด? ตอนนั้นนางทุบตีข้ายังพอให้อภัยได้ แต่นางใช้เท้าถีบฮูหยินลงไปในทะเลสาบ เนรคุณเยี่ยงนี้ ฮูหยินไม่ได้ถือโทษโกรธนางแล้ว นางยังต้องการอะไรอีก?”


ใบหน้างดงามของกู้ซีจิ่วเย็นชาเล็กน้อย “ถึงได้อยากทำให้เห็นผิดชอบชั่วดีนี่อย่างไรเล่า เยี่ยนฮูหยิน แม่นางเหลิ่งโปรดวางใจ ถึงแม้ที่นี่คือสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ทว่าก็เป็นสถานที่ที่ให้ความสำคัญเรื่องความยุติธรรมมากที่สุด หากจิ้งจอกน้อยผิดจริง อย่าว่าแต่ผู้อื่น ตัวข้านี่แหละจะเป็นคนแรกที่ลงโทษนาง! จิ้งจอกน้อย เจ้าอยากพูดเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่างที่นี่หรือไม่?”


หลานไว่หู่ทอดถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง “อยาก!”


กู้ซีจิ่วแย้มยิ้มเล็กน้อย มองไปทางเยี่ยนฮูหยิน “ฮูหยินกล้าพูดให้กระจ่างชัดเจนที่นี่หรือไม่เล่า?”


เยี่ยนฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าไม่อยากโต้เถียงกับเด็กรุ่นเยาว์…”


กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างเรียบเฉย “วางใจเถิด เพียงแค่ทุกคนพูดออกมาอย่างใจเย็น ไม่จำเป็นต้องโต้เถียง แน่นอนว่าเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ใดใช้ข้ออ้างของกาลเวลาที่ล่วงเลยเนิ่นนานมาโป้ปด ซีจิ่วต้องการให้ทั้งสามคนให้สัตย์สาบาน เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งหมดที่พูดออกมาเป็นความจริง”


สายตาเยี่ยนฮูหยินพลันสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอม “นี่…ข้ามาเพื่อเชิญทุกคนไปดื่มสุรามงคล ไม่ได้มาโต้เถียงเรื่องเก่าที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้วเหล่านั้น”


กู้ซีจิ่วโค้งริมฝีปากยกยิ้ม “ฮูหยินบ่ายเบี่ยงเยี่ยงนี้ หรือว่ามีลับลมคมในอันใด ไม่กล้าเผชิญหน้างั้นหรือ?”


บทที่ 1488 เปิดโหมดตบหน้า 2


กู้ซีจิ่วไล่บี้ไม่ยอมปล่อย เยี่ยนฮูหยินไม่มีทางถอยหนี “นี่…” พลันทอดถอนใจ “ดูเหมือนแม่นางกู้จะเป็นเดือดเป็นร้อนออกหน้าช่วยจิ้งจอกน้อย? ช่างเถิด เรื่องตอนนั้นถือเป็นความผิดของข้าเป็นอย่างไร? ข้าขออภัยจิ้งจอกน้อย เรื่องนี้ก็ให้ถือเสียว่าแล้วก็แล้วกันไป…”


กู้ซีจิ่วอมยิ้ม “ฮูหยินไม่กล้าพูดสินะ? เรื่องตอนนั้นยากที่จะเอื้อนเอ่ยขนาดนี้เชียวหรือ?”


เยี่ยนฮูหยินนิ่งอึ้ง


เดิมทีฝูงชนได้ยินเยี่ยนฮูหยินพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาของจิ้งจอกน้อยเหล่านั้น ยังรู้สึกว่าจิ้งจอกน้อยอาศัยความรักที่เยี่ยนเฉินมีต่อนางทำเรื่องวู่วามลงไป ยามนี้เมื่อเห็นเยี่ยนฮูหยิน ทุกคนกลับเริ่มสงสัยกันหมดแล้ว


คนเหล่านี้ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์โดยปกติสนุกสนานครึกครื้น บางทียังช่วยกันออกกลอุบายหลอกอีกฝ่ายหนึ่ง ทว่าหากคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้รับความอยุติธรรมอันใดจากภายนอก พวกเขาก็ยังร่วมแรงร่วมใจกัน!


เยี่ยนเฉินมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี ทุกคนเห็นแก่หน้าของเยี่ยนเฉินจึงให้เกียรติมารดาเยี่ยน ทว่าหากมารดาเยี่ยนบิดเบือนข้อเท็จจริงกลั่นแกล้งจิ้งจอกน้อย พวกเขายังคงต้องเรียกคืนความยุติธรรม


มีบางคนที่พูดจาโผงผางทยอยกันเอ่ยปาก ทุกคนล้วนบอกว่าจะให้ดีก็ควรพูดเรื่องตอนนั้นออกมาให้หมด


เยี่ยนฮูหยินคงนึกไม่ถึงว่าการมาเยือนครั้งนี้จะเป็นฝ่ายถูกกระทำเยี่ยงนี้ จนเกือบจะรักษาใบหน้าอันเรียบเฉยไว้ไม่ได้แล้ว “เรื่องนี้ยากที่จะเอื้อนเอ่ยอันใดกันเล่า? ข้าไม่อยากทำให้คนขายหน้าเท่านั้นเอง…อย่างไรเสียไว่หู่กับเยี่ยนเฉินก็เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน จริงสิ เฉินเอ๋อร์เล่า? เหตุใดไม่เห็นเขาเลยเล่า?”


นางพยายามบ่ายเบี่ยงหัวข้อสนทนาอย่างสุดกำลัง เสียงจากด้านนอกพลันส่งผ่านเข้ามา “ข้าอยู่นี่”


เยี่ยนเฉินสาวเท้าก้าวเข้ามา เขากล่าวทักทายฝูงชน ก่อนสายตามองตรงไปที่มารดาของตนเอง “ท่านแม่ เฉินเอ๋อร์ก็อยากทราบเรื่องราวทั้งหมดในช่วงเวลานั้นเช่นกัน หวังว่าท่านแม่จะช่วยพูดให้กระจ่างชัดเจนต่อหน้าทุกคนที่นี่”


เยี่ยนฮูหยินนิ่งอึ้ง


สายตาของเยี่ยนเฉินพลันหันเหไปที่หลานไว่หู่ ดวงตาฉายแววความเจ็บปวด กล่าวอย่างฝืนยิ้ม “เรื่องราวในตอนนั้น พวกท่านล้วนเก็บไว้เป็นความลับ เมื่อถามท่านแม่ ท่านแม่ก็เอาแต่กล่าวโทษตัวเอง กลับไม่พูดให้กระจ่างชัดว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สาวใช้ภายในคฤหาสน์ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปาก พูดแต่ว่าเป็นความผิดของจิ้งจอกน้อย ส่วนจิ้งจอกน้อย เมื่อข้าเจอนาง นางก็ตัดขาดกับข้าไปแล้ว ไม่ต้องการพบเจอหน้าข้า รังเกียจที่จะพูดคุยกับข้า…เรื่องนี้เก็บกดในใจข้ามาสองปี จนเกือบจะกลายเป็นบาดแผลในใจ ในเมื่อวันนี้มีโอกาส ก็มิสู้พูดออกมาให้ชัดเจน เพื่อคลายความสงสัยของลูกในช่วงหลายปีมานี้”


สีหน้าเยี่ยนฮูหยินกระอักกระอ่วน “เฉินเอ๋อร์ เรื่องราวก็ล่วงเลยมาเนิ่นนาน เจ้ากับอู๋ซวงจะหมั้นหมายกันแล้ว คงจะไม่สมจะเอ่ยถึงเรื่องเก่าที่ผ่านมาแล้วเหล่านั้น เด็กๆ รุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้ายังหนุ่มยังสาว เรื่องอันใดจำต้องทำออกมาให้เห็นผิดชอบชั่วดีด้วย ความจริง…”


“ไม่มีการหมั้นหมาย!” เยี่ยนเฉินพูดทีละคำๆ


ฝูงชนตะลึงงันกันหมดแล้ว


เยี่ยนฮูหยินกับเหลิ่งอู๋ซวงนำธงแจกเทียบเชิญหมั้นหมายมา เหตุใดจะไม่มีการหมั้นหมายแล้ว?


กู้ซีจิ่วกอดอกยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ลูบไล้เทียบเชิญงานสมรสในแขนเสื้อ นี่เป็นเทียบเชิญที่เยี่ยนเฉินมอบให้เธอเองกับมือ จิ้งจอกน้อยเองก็มีอีกหนึ่งใบ…


เช่นนั้นยามนี้เยี่ยนเฉินกำลังเล่นละครอันใดอยู่?


ใบหน้างดงามของเหลิ่งอู๋ซวงซีดขาว อ้าปากราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างทว่าไม่ได้พูดออกมา


เยี่ยนฮูหยินขมวดคิ้ว “เฉินเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไรของเจ้า? เจ้าเองที่ตกลงปลงใจเรื่องการหมั้นหมายของเจ้ากับอู๋ซวง ยามนี้เหตุใดจึง…”


เยี่ยนเฉินกล่าว “ท่านแม่ทราบได้อย่างไรว่าลูกตกลงเรื่องการหมั้นหมายครั้งนี้? ลูกแทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับท่านเลย”


“ครั้ง…ครั้งนี้เจ้าไม่ได้มาสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เพื่อแจ้งข่าวกับเหล่าศิษย์พี่น้องหรอกหรือ?”


น้ำเสียงเยี่ยนเฉินเย็นเยือก “ลูกมาที่นี่ ไม่เคยบอกกับคนที่บ้าน ตกลงผู้ใดเป็นคนบอกท่านกันแน่?”


—————————————————————————


บทที่ 1489 เปิดโหมดตบหน้า 3


เยี่ยนฮูหยินกระอึกกระอัก “เฉินเอ๋อร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่เอ่ยกับแม่ แต่เรื่องนี้ก็เป็นความจริง…”


เยี่ยนเฉินตอบอย่างเฉยเมย “ข้ามาสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เนื่องจากได้ยินว่าสำนักเกิดเรื่องขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมาดู เคยพูดเรื่องหมั้นหมายกับคุณหนูเหลิ่งตอนไหนกัน? สรุปแล้วท่านแม่ฟังมากจากผู้ใดกันแน่?”


หลานไว่หู่เบิกตากว้าง ดูเหมือนคาดไม่ถึงเยี่ยนเฉินจะปฏิเสธเป็นด้วย นางถือเทียบเชิญงานสมรสไว้ในแขนเสื้อคล้ายว่าต้องการจะพูดอะไร…


กู้ซีจิ่ววางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของหลานไว่หู่ ส่ายหน้าให้เล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยจึงไม่พูดอะไร


เยี่ยนฮูหยินถูกบุตรชายถามจนอ้าปากค้าง กล่าวอ้อมแอ้ม “มีคน…มีคนเห็นเจ้าสั่งทำเทียบเชิญงานสมรส…แม่เกรงว่าเทียบเชิญงานสมรสที่เจ้าทำจะไม่ได้ความ ทำให้ตระกูลเยี่ยนของเราต้องขายหน้า ดังนั้นจึงสั่งทำเป็นพิเศษหลายร้อยฉบับเพื่อเอามาให้เจ้า…”


นางมองเหลิ่งอู๋ซวงแวบหนึ่ง เหลิ่งอู๋ซวงหยิบปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้เยี่ยนฮูหยิน


เยี่ยนฮูหยินยื่นให้บุตรชายอย่างคล้ายว่าจะปรารถนาดีอีกครั้ง “เจ้าดูสิว่าถูกใจไหม?”


กู้ซีจิ่วมองเทียบเชิญงานสมรสนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเทียบเชิญปิดทอง ตัวอักษรบนนั้นใช้ผงทองยาลงไปทั้งสิ้น ดูประณีตงดงามกว่าสองใบนั้นที่เยี่ยนเฉินส่งมายิ่งนักจริงๆ


เยี่ยนเฉินกลับไม่รับไว้ “ท่านแม่ไม่ยินดีจะบอกชื่อผู้แจ้งข่าวหรือ?”


เยี่ยนฮูหยินถูกเขาบีบต้อนก็รู้สึกอดสูอยู่บ้าง “เฉินเอ๋อร์ นี่เจ้าต้อนถามแม่อู่ใช่ไหม? งั้นแม่ขอถามเจ้า เจ้าได้สั่งทำเทียบเชิญงานสมรสนี้หรือไม่?”


เยี่ยนเฉินหลับตาลงเล็กน้อย ทว่าไม่ปฏิเสธ “ทำ แต่สั่งทำเพียงสองใบเท่านั้น!”


อันที่จริงเขากำลังต่อสู้ครั้งสุดท้ายอยู่ อยากเห็นท่าทีของจิ้งจอกน้อย ดังนั้นจึงสั่งทำเทียบเชิญปลอมเช่นนี้ขึ้นมา เดิมทีเช้าวันนี้คิดหาทางจะไปพูดกับพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองให้กระจ่าง แล้วทำลายเทียบเชิญเสีย กลับนึกไม่ถึงว่ามารดาเขาจะฉวยโอกาสบุกมา คิดจะทำให้เรื่องราวเลยตามเลยไปเสีย…


ด้วยความเร็วในการเดินทางของพวกมารดาเยี่ยน จะมาที่นี่ต้องใช้เวลาสี่ถึงห้าวัน กล่าวอีกอย่างก็คือ มารดาเยี่ยนทราบเรื่องนี้เมื่อสี่ห้าวันก่อน…


และเมื่อสี่ห้าวันก่อน เทียบเชิญสองใบนี้ของเขาก็มีเพียงหลานเยวี่ยที่บังเอิญเห็นเข้า


เยี่ยนฮูหยินรีบฉวยจุดนี้ไว้ทันที “เฉินเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าก็สะเพร่าเกินไปแล้ว คนที่นี่ล้วนเป็นสหายร่วมสำนักและผู้อาวุโส เจ้าสั่งทำแค่สองใบจะพอได้อย่างไร? แม่สั่งทำที่เหลือแทนเจ้าก็ไม่ผิดนี่นา…”


เยี่ยนฮูหยินมีความสามารถในการเลี่ยงหนักเป็นเบายิ่งนัก เอ่ยวาจาไม่กี่ประโยคก็กลับไปเป็นฝ่ายบุกได้อีกครั้ง กล่าวอย่างจริงจัง “เฉินเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าอู๋ซวงมีใจให้กันพวกเจ้าสามารถหมั้นหมายกันได้แม่ก็มีแต่จะยินดีปรีดา และจัดการให้เจ้าเป็นอย่างดี เจ้าควรจะหารือกับแม่ล่วงหน้าสักหน่อยสิ”


น้ำเสียงเยี่ยนเฉินเฉยชา “หรือว่าหลายปีมานี้ท่านแม่ยังไม่รู้จักนิสัยของลูกดี? เฉินเอ๋อร์กับแม่นางเหลิ่งมิได้มีใจต่อกัน ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองจิตใจหรอกขอรับ”


สีหน้าเยี่ยนฮูหยินขรึมลง “เฉินเอ๋อร์ นี่เป็นเจ้าที่ทำไม่ถูก เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานไหนเลยจะทำเหมือนเด็กน้อยเล่นขายของได้? เจ้าทำเช่นนี้จะให้อู๋ซวงเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ล้วนทราบกันทั่วแล้วว่าเจ้ากับนางจะหมั้นหมายกัน…เจ้ากลับพูดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นประการหนึ่ง เช่นนี้วันหน้าจะให้นางวางตัวอย่างไรกัน?”


เยี่ยนเฉินหลุบตาต่ำ “เรื่องนี้เดิมทีมิมีผู้ใดทราบ และไม่มีผลเสียต่อชื่อเสียงของแม่นางเหลิ่ง เป็นท่านแม่เองที่หยิบยกขึ้นมา เฉินเอ๋อร์ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน”


มารดาเยี่ยนค่อนข้างร้อนรนแล้ว “เฉินเอ๋อร์ ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเจ้าที่สั่งทำเทียบเชิญก่อน ถึงทำให้แม่เข้าใจผิดไป…”


นัยน์ตาเยี่ยนเฉินแฝงแววเฉียบคมไว้รางๆ “ท่านแม่ อันที่จริงท่านไม่ได้เข้าใจผิดหรอก แต่การทำโดยเจตนากระมัง? หากว่าลูกต้องการหมั้นหมายกับแม่นางเหลิ่งจริงๆ จะไม่แจ้งให้ท่านพ่อท่านแม่ทราบได้อย่างไร? อีกอย่างการส่งเทียบเชิญให้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เรื่องนี้ตามเหตุผลแล้วเยี่ยนเฉินควรเป็นผู้มาส่งเอง ไหนเลยจะต้องรบกวนให้ท่านแม่พาคุณหนูเหลิ่งวิ่งเต้นมาถึงที่นี่อย่างเป็นจริงเป็นจังด้วย? ท่านแม่ทำเช่นนี้ เป็นเพียงการฉวยโอกาสตามสถานการณ์ ต้องการให้เรื่องราวเลยตามเลย ทำให้เฉินเอ๋อร์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ใช่หรือไม่?”


บทที่ 1490 เปิดโหมดตบหน้า 4


วาจานี้ของเยี่ยนเฉินเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของมารดาเยี่ยนออกมา ทำให้นางโต้แย้งไม่ได้ไปชั่วขณะ


ชะงักไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วกล่าว “ต่อให้แม่เป็นผู้หยิบยกขึ้นมา แต่เรื่องนี้ก็พูดออกไปแล้ว อู๋ซวงก็อยู่ที่นี่ด้วย ต่อให้เจ้าจะกล่าวว่าเป็นเรื่องล้อเล่น ก็เกรงว่าจะกล่าวไม่ได้แล้ว มิสู้ปล่อยตามเลยไปเสีย อู๋ซวงไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูลหรือว่ารูปโฉมล้วนแต่อยู่ในระดับสูง มารยาทก็ดี อ่อนหวานเยือกเย็น รู้หนังสือทราบหลักการ อีกทั้งพวกเราสองตระกูลก็คบหาสนิทสนมกัน…” มารดาเยี่ยนแจกแจงข้อดีของเหลิ่งอู๋ซวง


อันที่จริงถ้อยคำเหล่านี้มารดาเยี่ยนพูดกรอกหูเยี่ยนเฉินมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว เยี่ยนเฉินฟังจนหูแทบด้านแล้ว!


“ด้วยเหตุผลนี้ท่านแม่จึงทำทุกวิถีทางเพื่อบีบให้จิ้งจอกน้อยจากไปใช่ไหมขอรับ?” เยี่ยนเฉินกล่าวขัดนาง สุ้มเสียงแฝงความเศร้าสร้อยไว้รางๆ


มารดาเยี่ยนพูดไม่ออกแล้ว ประโยคนี้จี้จุดของนางเข้าอย่างจัง นางชะงักไปครู่หนึ่ง ยังไม่คิดจะยอมรับ “เฉินเอ๋อร์ ทำไมพูดแบบนี้? วันเวลาที่ไว่หู่พำนักอยู่บ้านของพวกเราคนอื่นไม่รู้ หรือว่าเจ้าก็ไม่รู้ไปด้วย? มอบเรือนที่ดีที่สุดให้นางพำนัก ใช้เครื่องเรือนที่ดีที่สุด เมื่อนางล้มป่วยแม่ก็เข้าครัวตุ๋นน้ำแกงทำอาหารบำรุงให้นางด้วยตัวเอง…เรื่องเหล่านี้เจ้าล้วนเห็นกับตามาแล้ว ยามนี้เจ้ามาพูดเช่นนี้ ไม่ละอายใจบ้างหรือ?”


“ดังนั้นลูกจึงอยากทราบความจริง หวังว่าท่านแม่จะเมตตาให้ได้สมหวัง!” เยี่ยนเฉินค้อมกายคำนับ


แม้มารดาเยี่ยนเผลอ หัวข้อสนทนาก็วกกลับมาที่เดิมอีกครั้ง นางขมวดคิ้วนิดๆ กำลังจะเบี่ยงประเด็นสนทนาอีกครั้ง กู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มแวบหนึ่งแล้วเอ่ยสอด “ใช่แล้ว เยี่ยนฮูหยิน เรื่องนี้ขาดแคลนความเป็นจริงไปจริงๆ นั้นแหละ ยากนักที่คนในเรื่องจะอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า เหตุใดทุกคนไม่พูดออกมาต่อหน้ากันล่ะ? และหวังว่าเยี่ยนฮูหยินจะไม่เบี่ยงหัวข้อสนทนาไปอีก นอกเสียจากเยี่ยนฮูหยินจะกินปูนร้อนท้องจริงๆ!”


คนอื่นๆ ก็พากันเอ่ยแทรกเข้ามา ล้วนอยากทราบความจริงกันทั้งสิ้น


เยี่ยนฮูหยินอดสูจนกลายเป็นเดือดดาล ลุกพรวดขึ้นมาทันที “นี่พวกเจ้าจะเคี่ยวกรำเพื่อให้คนยอมรับผิดงั้นหรือ? สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้สินะ?!”


“มิกล้า!” จู่ๆ ก็มีเสียงกังวานปานระฆังใบใหญ่แว่วมาจากด้านนอก “สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ยุติธรรมเสมอมา ไม่ข่มเหงรังแกผู้ใด แต่คนของสำนักศึกษาชุมนุสวรรค์ก็ไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นมาข่มเหงได้ตามอำเภอใจเช่นกัน! ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าฮูหยินพูดความจริง หากว่าเหล่ารุ่นเยาว์ทำผิด ฉานโม่จะพาพวกนางไปขอขมาต่อฮูหยินด้วยตัวเอง และจะช่วยฮูหยินเกลี้ยกล่อมเยี่ยนเฉินด้วย เป็นธุระจัดการเรื่องวิวาห์ของเขากับแม่นางเหลิ่งให้ลุล่วง ฮูหยินคิดเห็นประการใด?” กู่ฉานโม่สืบเท้าก้าวเข้ามาจากด้านนอก


เยี่ยนฮูหยินตะลึงงัน ใบหน้านางซีดเผือดเล็กน้อย กระอักกระอวนอยู่พักหนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้น “นี่…ไว่หู่เติบใหญ่ในบ้านของข้า นี่…นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพวกเรา”


“ฮูหยินกล่าวผิดแล้ว! ไว่หู่เพียงเคยถูกเลี้ยงดูอยู่ในตระกูลของท่านเท่านั้น หาใช่คนสกุลเยี่ยนไม่ ยามนี้นางเป็นคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แล้ว สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ย่อมไม่อาจปล่อยปละละเลยได้!” สีหน้ากู่ฉานโม่เคร่งขรึม เขาขึ้นชื่อลือชาเรื่องปกป้องพวกพ้อง ในสายตาของเขาศิษย์ทุกคนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนเปรียบเสมือนเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ไม่ยอมให้ผู้อื่นมาดูหมิ่นได้


ในเมื่อหัวข้อสนทนาดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เยี่ยนฮูหยินจึงไร้หนทางถอย นางตัดสินใจในทันใด สายตาร่อนลงบนร่างหลานไว่หู “ไว่หู่ ปีนั้นอาสะใภ้เข็มงวดกับเจ้าเกินไปหน่อยจริงๆ แต่ก็เป็นเพราะหวังดีต่อเจ้า…”


นางเพิ่งกล่าวมาถึงตรงนี้ ก็ถูกกู้ซีจิ่วเอ่ยขัดอีกครั้ง “เยี่ยนฮูหยิน เวลานี้ไม่จำเป็นต้องหงายไพ่ความเป็นครอบครัวแล้ว และไม่จำเป็นต้องบอกว่าท่านหวังดีต่อนางหรือไม่ ขอเพียงพูดความจริงในปีนั้นออกมาก็พอ”


เยี่ยนฮูหินถูกตอกหน้าจนทึ่มทื่อไปแล้ว


กู้ซีจิ่วมองไปที่หลานไว่หู่อีกครั้ง กล่าวอย่างอ่อนโยน “จิ้งจอกน้อย เจ้าเล่าเรื่องราวในปีนั้นอย่างละเอียดออกมาต่อหน้าฝูงชนเถอะ ไมอนุญาตให้เพิ่มเติมเสริมแต่ง ไม่อนุญาตให้โป้ปด หากโป้ปดแม้เพียงประโยคเดียว ข้าจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเจ้าทุกอย่าง!”


————————————————————————-


บทที่ 1491 เปิดโหมดตบหน้า 5


หลานไว่หู่สูดหายใจเบาๆ พยักหน้าเล็กน้อย “ได้!”


แต่ว่าเรื่องราวมากมายเหลือเกิน นางจึงไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดจากตรงไหนไปชั่วขณะ ยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องราวเหล่านั้นก็ยิบย่อยยิ่งนัก ล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กระจุกกระจิกที่ทำร้ายคนยิ่งนัก


กู้ซีจิ่วจึงเสนอความเห็น “แบบนี้แล้วกัน ข้าถาม เจ้าตอบมา”


พลางเหลือบมองเยี่ยนฮูหยินอีกแวบหนึ่ง “หากว่ามีจุดไหนที่นางพูดผิด ฮูหยินก็สามารถแย้งออกมาได้ทันที”


บัดนี้เยี่ยนฮูหยินก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว ถึงอย่างไรเรื่องราวก็ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้แล้ว จิ้งจอกน้อยก็อาจจดจำได้ทั้งหมดไม่ได้เช่นกัน อีกอย่างหากว่าพูดไปแล้ว นางกัดฟันไม่ยอมรับเสียอย่างก็พอ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจพิสูจน์ได้


ทว่ากู้ซีจิ่วมองแผนการของนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ยกมุมปากขึ้นแวบหนึ่งเอ่ยออกมา “ฮูหยิน ครั้งนี้พวกเราเพียงต้องการรื้อฟื้นความจริง เพื่อความยุติธรรม พวกท่านทั้งสามคนล้วนต้องเอ่ยสาบาน”


เยี่ยนฮูหยินขมวดคิ้ว “สาบานอะไร?”


กู้ซีจิ่วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ใช้คนที่ใกล้ชิดกับพวกท่านที่สุดมาเอ่ยสาบาน เยี่ยนฮูหยิน ท่านก็ใช้ความผาสุกทั้งชีวิตของเยี่ยนเฉินมาสาบานสิ หากว่าท่านพูดเท็จ เขาจะหาความสุขไม่ได้ชั่วชีวิต โดดเดี่ยวเดียวดายไปทั้งชาติ!”


เยี่ยนฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีแล้ว เอ่ยอย่างโกรธเคือง “แม่นางกู้ เฉินเอ๋อร์ก็เป็นสหายร่วมสำนักของเจ้า เจ้าสาปแช่งเขาเช่นนี้ได้อย่างไร?!”


“ท่านแม่ ข้าไม่กลัวคำสาปแช่ง! ขอเพียงท่านแม่พูดความจริง ลูกย่อมไม่ต้องรับผลจากคำสาปแช่งเช่นนี้” เยี่ยนเฉินเปิดปากอีกครั้ง


เยี่ยนฮูหยินพูดไม่ออกแล้ว


นางทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่จิ้งจอกน้อยให้จำเรื่องราวที่ผ่านมาได้ไม่กระจ่าง แต่หลานไว่หู่ถูกเรื่องเหล่านี้รังควานจนก่อเป็นฝันร้ายมานานถึงเพียงนี้ แล้วจะจำได้ไม่กระจ่างได้อย่างไร?!


ส่วนการตั้งคำถามของกู้ซีจิ่วก็มีชั้นเชิงยิ่งนัก ทุกคำถามล้วนตรงประเด็น


จิ้งจอกน้อยก็ตอบไปตามความจริง ค่อยๆ รื้อฟื้นความจริงในปีนั้นออกมา…


มีหลายครั้งยิ่งนักที่เยี่ยนฮูหยินจะปั้นคำโต้แย้งอยู่เสมอ แต่นางก็ไม่กล้าเอาความสุขทั้งชีวิตของเยี่ยนเฉินมาเสี่ยง…


เยี่ยนเฉินอยู่ด้านข้างคอยฟังอย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวเล็กน้อย สายตานิ่งอยู่ที่ร่างของหลานไว่หู่ แววปวดร้าวในดวงตาค่อยๆ ทวีขึ้น


เขารู้ว่าในปีนั้นจิ้งจอกน้อยได้รับความอยุติธรรมแน่นอน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นความอยุติธรรมเช่นนี้ มารดาของตนต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง บีบคั้นจิ้งจอกน้อยที่ใสซื่อไร้เดียงสาจนแทบจนตรอก…


เมื่อเล่ามาถึงเรื่องราวช่วงสุดท้ายริมทะเลสาบเหล่านั้น จิ้งจอกน้อยก็เล่าสาวใช้ที่นินทาว่าร้ายสองคนนั้นรวมถึงถ้อยคำทั้งหมดที่เหลิ่งอู๋ซวงและเยี่ยนฮูหยินล่าวออกมา ทวนออกมาทีล่ะประโยค แทบไม่ผิดเลยสักประโยค!


ฝูงชนที่รับฟังอยู่ด้านข้างต่างกำหมัดแน่นแล้ว!


สายตาที่มองเยี่ยนฮูหยินเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อและหมิ่นแคลนอย่างล้ำลึก!


ฮูหยินคนหนึ่งที่ดูสง่างามสูงศักดิ์เช่นนี้กลับด่าทอรุ่นเยาว์คนหนึ่งอย่างระคายหูปานนี้ได้ ไม่ต่างอะไรกับหญิงปากตลาดบนท้องถนนเลย มิน่าเล่าถึงทำให้จิ้งจอกน้อยเดือดดาลจนถีบนางลงแม่น้ำไป…


หมิ่นแคลนถึงบุพการีผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ล้วนต้องสู้ตายกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว!


นี่ไม่ใช่การสั่งสอนผู้เยาว์ธรรมดาๆ แล้ว


ชัดเจนยิ่งนักว่านี่เป็นดูถูกผู้อื่น ข่มเหงรังแกผู้ไร้บิดามารดา คิดจะฉวยโอกาสบีบคั้นให้ผู้อื่นต้องจากไป!


ไม่แปลกเลยที่จิ้งจอกน้อยจะจากมา และแตกหักกับเยี่ยนเฉิน…


ไม่มีเด็กสาวคนใดทนรับเรื่องแบบนี้ได้หรอก!


ใบหน้าของเยี่ยนฮูหยินเห่อร้อน คำให้การของจิ้งจอกน้อยเป็นการตบหน้านางต่อหน้าฝูงชนโดยแท้! ตบจนเกิดเสียงดังเพียะๆ ซ้ำยังเป็นความจริงทั้งสิ้น นางไม่อาจโต้แย้งได้เลย


อย่างมากก็พูดได้เพียงว่าตนติเพื่อก่อ อยากให้จิ้งจอกน้อยเติบใหญ่เป็นลูกสะใภ้ที่ได้มาตรฐานอะไรทำนองนั้น


แต่คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนมใช่เด็กน้อยวัยไม่กี่ขวบ ไหนเลยจะซื่อบื้อปานนั้น?! สายตาที่มองนางจึงดูแคลนยิ่งกว่าเดิม!


หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าเยี่ยนเฉิน เกรงว่าฝูงชนคงลงมือซ้อมคนไปแล้ว!


บทที่ 1492 เปิดโหมดตบหน้า 6


กู้ซีจิ่วก็แย้งออกมาทันที “เยี่ยนฮูหยินกล่าวเช่นนี้มองเผินๆ ดูสง่างามมีเกียรตินัก หากว่าท่านต้องการให้สมบูรณ์แบบจริงๆ ทนมองพฤติกรรมบางอย่างของจิ้งจอกน้อยไม่ไหว ก็สามารถบอกกล่าวนางต่อหน้าเยี่ยนเฉินได้ นางจะได้แก้ข้อบกพร่องของตน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นฮูหยินกลับแสร้งว่ารักใคร่เอ็นดูนางยิ่งนัก ลับหลังคนอื่นกลับทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของจิ้งจอกน้อยอย่างสุดชีวิต ติเตียนจนนางหาดีมิได้ ซ้ำยังดูถูกเหยียดหยามบุพการีของผู้อื่นอยู่เนืองๆ มิใช่หรือ? นี่คือเพื่อความสมบูรณ์แบบหรือ? เยี่ยนฮูหยินคงมิได้เห็นคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนโง่งมไปหมดกระมัง?!”


เยี่ยนฮูหยินอ้าปากพะงาบๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจในทันใด เอ่ยออกไปตรงๆ “ใช่ ฮูหยินอย่างข้าดูแคลนนาง! มารดาของนางเดิมทีหนีตามผู้อื่นไป ชื่อเสียงเลวร้ายยิ่งนัก คาดการณ์ได้เลยว่าบิดานางก็น่าจะเป็นบุรุษเสเพลมิมีศีลธรรมที่ล่อลวงหญิงสาวชาติตระกูลดีเช่นกัน หลานไว่หู่มีสายเลือดของพวกเขา ยากจะบอกได้ยิ่งนักว่าวันหน้าจะไม่เจริญรอยตามบิดามารดาของนาง ทำลายชื่อเสียงตระกูลเยี่ยนของข้า ส่วนเฉินเอ๋อร์ก็หลงใหลมัวเมา ยืนกรานจะแต่งกับนาง ข้าจนปัญญา ทำได้เพียงใช้แผนเช่นนี้ แค่อยากให้นางรู้ฐานะของตน ตระกูลเยี่ยนของข้ามิใช่สิ่งที่คนมีภูมิหลังครอบครัวอย่างนางจะอาจเอื้อมเกี่ยวดองได้! ด้วยฐานะของนาง ยังพอจะฝืนคู่ควรกับคนทั่วไปได้ แต่สกุลเยี่ยนของข้าเป็นตระกูลที่มีเกียรติ ไหนเลยจะปล่อยให้ว่าที่เจ้าบ้านตระกูลเยี่ยนแต่งภรรยาเช่นนี้ได้?!”


จากนั้นก็หยุดไปครู่หนึ่ง กล่าวต่อว่า “เดิมทีนางก็เติบโตมาในบ้านของพวกเรา กับเยี่ยนเฉินก็นับว่าเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ ข้าเห็นแก่ฐานะนี้ จึงมิใช่จะไม่ยอมรับนางเลย แต่งเป็นอนุของเฉินเอ๋อร์ก็ยังพอไหว แต่เฉินเอ๋อร์กลับยืนกรานจะแต่งนางเป็นภรรยา ซ้ำยังบอกว่าชาตินี้จะแต่งกับนางเพียงผู้เดียว ถ้าวันหน้าเรื่องแพร่ออกไปจะไม่เป็นที่น่าขบขันหรอกหรือ? ส่วนเหลิ่งอู๋ซวงชาติตระกูลขาวสะอาด พวกเราสองตระกูลสนิทสนมกัน ปีนั้นพวกเขาก็เคยมีสัญญาหมั้นหมายปากเปล่าไว้ เป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับเฉินเอ๋อร์ แต่เฉินเอ๋อร์กลับไม่ยอม…”


กู้ซีจิ่วยิ้มแล้ว “เยี่ยนฮูหยิน ที่ท่านถูกตาคุณหนูเหลิ่งน่าจะไม่ใช่แค่เพราะครอบครัวสนิทสนมกันหรือชาติตระกูลขาวสะอาด ยังเป็นเพราะตัวนางมีสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกครามด้วยกระมัง?! และเหตุผลที่ท่านรับเลี้ยงไว่หู่เมื่อปีนั้น ก็มิใช่เพราะสงสารที่นางไร้พ่อขาดแม่เพียงอย่างเดียวกระมัง? แต่เป็นเพราะนางแซ่หลาน! ยามนั้นท่านสงสัยว่านางอาจมีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกคราม และสายเลือดสตรีของเผ่าจิ้งจอกครามก็สูงส่งมีเกียรติ หลังจากแต่งงานแล้วสามารถช่วยยกระดับพลังยุทธ์ของสามีได้ ดังนั้นท่านจึงรับไว่หู่มาเลี้ยงดูข้างกาย เพียงแต่หลังจากพบว่าบนร่างไว่หู่ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกครามเลย ถึงได้รังเกียจนางขึ้นมาเช่นนี้ ข้าพูดถูกหรือไม่?”


เยี่ยนฮูหยินถูกนางพูดจาตรงประเด็นใส่ จึงชะงักไปเล็กน้อย กลับเป็นเหลิ่งอู๋ซวงที่ไม่ได้เปิดปากเลยมาโดยตลอดที่กล่าวขึ้นมา “เยี่ยนเฉินเป็นหงส์มังกรในหมู่มนุษย์ มีเพียงสตรีที่มีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามถึงจะคู่ควร ส่วนคนอื่น…ไม่คู่ควรเลยจริงๆ ต่อให้แซ่หลานก็ไม่มีประโยชน์ อันที่จริงถึงแม้วิธีของท่านป้าเยี่ยนจะรุนแรงไปบ้าง แต่ก็เป็นเพราะหวังดีต่อคุณชายเยี่ยน แม่นางหลานมีชาติตระกูลเช่นนั้นจะทำให้ผู้อื่นครหาเอาได้ง่ายๆ ท่านป้าเยี่ยนเป็นมารดาคน ย่อมไม่อยากให้บุตรชายตนแต่งเด็กสาวที่มีหัวนอนปลายเท้าไม่ชัดเจน นั่นจะเป็นจุดด่างพร้อยของเขาไปชั่วชีวิต”


ดวงหน้าน้อยๆ ของหลานไว่หู่แปรเปลี่ยนในทันที ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ย พลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาจากด้านนอก “ชาติตระกูลของนางไม่กระจ่างงั้นหรือ? ชาติตระกูลของนางสูงส่งกว่าเจ้ามากนัก!”


เมื่อสิ้นเสียง ชายหนุ่มชุดครามคนหนึ่งก็เยื้องย่างเข้ามา


หลานเยวี่ยมาแล้ว


เขามองเหลิ่งอู๋ซวงด้วยสายตาคมกริบ “สตรีเผ่าจิ้งจอกครามของข้าสายเลือดสูงส่งทรงเกียรติจริงๆ นั่นละ แต่น่าเสียดายยิ่งนัก เจ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อนี้ด้วย ตัวเจ้าไม่มีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามเลยสักนิด!”


เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา ทั้งโถงพลันเงียบกริบ!


———————————————————————


บทที่ 1493 ภูมิหลังของจิ้งจอกน้อย


เหลิ่งอู๋ซวงตกตะลึงครู่หนึ่ง ใบหน้างดงามแดงก่ำ เย้ยยิ้ม “ข้าวปลาอาจกินมั่วซั่วได้ แต่วาจามิอาจพูดมั่วซั่ว เจ้าเป็นผู้ใดกัน? กล้าดียังไงมาพูดจาเหลวไหลที่นี่!


หลานเยวี่ยอมยิ้ม “ข้าน้อยผู้ไร้ความสามารถ ก็คือคนเผ่าจิ้งจอกคราม”


เหลิ่งอู๋ซวงตะลึงงันไปอีกครา นางย่อมเคยได้ยินชื่อของหลานเยวี่ย รู้ว่าเขาเป็นคนเผ่าจิ้งจอกคราม และรู้ว่าเขาหมั้นหมายกับหลานไว่หู่ ทว่าตามที่นางรู้มา บุรุษเผ่าจิ้งจอกครามไม่มีทางแต่งงานกับสตรีต่างแดน ทว่าหลานเยวี่ยผู้นี้กลับหมั้นหมายกับจิ้งจอกน้อย ‘ชั้นต่ำ’ ฐานะภายในเผ่าจิ้งจอกครามของเขาต้องต่ำต้อยเป็นที่สุดอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจเป็นเพียงสายเลือดข้ารับใช้ของตระกูลชั้นสูง


ดังนั้นนางจึงไม่สนใจหลานเยวี่ย ยิ้มอย่างเคร่งขรึม “คุณชายท่านนี้ ถึงแม้ท่านเป็นคนเผ่าจิ้งจอกคราม ทว่าฐานะคงไม่สูงส่งสักเท่าใดกระมัง? ไม่ทราบเรื่องบางเรื่องของเผ่าจิ้งจอกครามก็ถือเป็นเรื่องปกติ ท่านยายข้าเป็นสาวใช้ข้างกายของประมุขเผ่าจิ้งจอกคราม หกสิบปีก่อน ประมุขเผ่าจิ้งจอกครามตบรางวัลจัดงานแต่งงานให้ท่านตาข้าด้วยตัวเอง มารดาข้าเป็นบุตรสาวคนโตของท่านยาย ข้ามีสายเลือดบริสุทธ์ของเผ่าจิ้งจอกคราม…”


หลานเยวี่ยยิ้ม โบกสะบัดพัดจีบในมือเบาๆ “ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะในเผ่าจิ้งจอกครามของข้าว่าสูงส่งหรือไม่ แต่ข้าทราบเรื่องบางเรื่องของเผ่าจิ้งจอกคราม โดยเฉพาะเรื่องในราชวงศ์ ท่านยายของเจ้าเป็นสาวใช้ข้างกายประมุขเผ่าก็จริง แต่นางไม่ใช่คนเผ่าจิ้งจอกคราม นางเป็นหญิงสาวกำพร้าทีพระชายาเก็บมาตอนไปเยือนต่างแดน ด้วยเห็นว่านางฉลาดเฉลียวจึงให้มาเป็นสาวใช้อยู่ข้างกาย เรื่องงานแต่งงานของนางก็ไม่ใช่การจับคู่ของประมุขเผ่า แต่เป็นนางกับท่านตาของเจ้าแอบมีสัมพันธ์กันก่อน เดิมทีประมุขต้องการจับคู่หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกครามคนหนึ่งให้ท่านตาเจ้า ทว่าท่านตาเจ้าคุกเข่าขอร้องในวังประมุขอยู่หลายวันเพื่อขอแต่งกับนาง บอกว่ารักนางด้วยใจจริง ชาตินี้หากไม่ใช่นางก็จะไม่แต่งงานอีก ประมุขเผ่าเห็นเขาลุ่มหลง จึงให้สัญญา แต่ไม่ได้พูดถึงภูมิหลังที่แท้จริงของยายเจ้าอย่างชัดเจน ในเมื่อรักกันจริง เหตุใดต้องสนใจภูมิหลังของอีกฝ่ายด้วยเล่า? เจ้าว่าไหม?”


ฝูงชนต่างนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น สายตาทั้งหมดหันเหกลับมามองที่เหลิ่งอู๋ซวง


เหลิ่งอู๋ซวงเสมือนแมวที่ถูกเหยียบหาง รักษาท่าทางของกุลสตรีมีเกียรติไม่ไหวอีกต่อไป กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าพูดจาเหลวไหล! เจ้าเป็นแค่คนชั้นต่ำที่สุดในเผ่าจิ้งจอกคราม จะมารู้เรื่องราวของราชวงศ์ได้อย่างไร?! เจ้าพูดจามั่วซั่วไม่เป็นความจริง! ใส่ร้ายป้ายสี!”


พูดถึงประโยคด้านหลังนางก็ร้องเสียงหลง เห็นได้ชัดว่าลนลานแล้วจริงๆ


กู้ซีจิ่วยืนกอดอกมองอยู่ด้านข้าง รู้สึกสนุกสนาน ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะน่าสนใจมากกว่าที่เธอคาดคิดเอาไว้


หลานเยวี่ยกลับยิ้ม “ข้าถามเจ้า ยายของเจ้าล่วงลับไปตั้งแต่เมื่อใด?”


เหลิ่งอู๋ซวงหยุดชะงัก “เมื่อ…เมื่อตอนอายุประมาณสี่สิบ…แต่นั่นเป็นเพราะนางเจอกับศัตรูและตายไปพร้อมกัน”


“เห็นโครงกระดูกของนางหรือไม่?”


เหลิ่งอู๋ซวงพูดอย่างเย็นชา “ข้าบอกว่าตายไปพร้อมกัน กลายเป็นเถ้าธุลีไปพร้อมกับศัตรู ย่อมไม่เหลือโครงกระดูก เจ้าถามสิ่งนี้ด้วยเหตุอันใด?”


หลานเยวี่ยกล่าวอย่างเรียบเฉย “คนเผ่าจิ้งจอกครามมีอายุยืนยาว มีใบหน้าอ่อนเยาว์ ถึงแม้อายุพันปีก็ยังคงมีใบหน้าอ่อนวัยประหนึ่งอายุยี่สิบปี แต่ฮูหยินทั่วไปอายุสี่สิบปีก็เห็นได้ชัดถึงความชราภาพ หากนางมีชีวิตอยู่ต่อไป ความลับของคนเผ่าจิ้งจอกครามจะต้องปรากฏให้เห็นอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อนางมีชีวิตถึงอายุสี่สิบปี ไม่ตายก็ต้องตายอยู่ดี ผู้ที่ทำให้นางสิ้นชีพไม่ใช่ศัตรูที่ไหน แต่เป็นสามีของนางเอง สามีนางหลอกล่อนางไปที่ภูเขา ถือโอกาสตอนนางไม่ทันระวังตัวสังหารนางเสีย จากนั้นจึงจุดไฟเผาเพื่อรักษาความลับนี้ไปตลอดกาล เดิมทีฐานะทางบ้านเขาต่ำต้อยยากจน เพราะสายเลือดจิ้งจอกครามจึงทำให้มีคนนับหน้าถือตา มารดาเจ้าและพี่น้องของนางได้แต่งงานกับคนดีๆ ก็เพราะสายเลือดเผ่าจิ้งจอกคราม…”


บทที่ 1494 ภูมิหลังของจิ้งจอกน้อย 2


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นประวัติลับช่วงหนึ่ง ความจริงเหลิ่งอู๋ซวงก็รู้ประวัติลับนี้ นางคิดว่าไม่มีทางมีผู้ใดบนโลกใบนี้ล่วงรู้ นึกไม่ถึงว่ากลับถูกหลานเยวี่ยเปิดเผยต่อหน้าทุกคนที่นี่


เมื่อตกอยู่ภายใต้ความโกรธขึ้ง นางแก้ตัวเสียงดัง แทบจะสู้ตายกับหลานเยวี่ย ไม่มีการสงวนท่าทีใดๆ อีกแล้ว


กู้ซีจิ่วปล่อยนางเอ็ดตะโรไปสักพัก แล้วจึงค่อยเอ่ยปาก “อันที่จริงการพิสูจน์ว่าเจ้ามีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามหรือไม่นั้นช่างง่ายดาย คนเผ่าจิ้งจอกครามแปลงกายได้ แม่นางเหลิ่งแปลงกายเสียหน่อยเป็นอย่างไรเล่า? ได้ผลกว่าถ้อยคำเป็นหมื่นคำของเจ้าอีกไม่ใช่หรือ?”


เหลิ่งอู๋ซวงสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย “ได้! เช่นนั้นข้าจะแปลงกายให้พวกเจ้าได้เห็น!”


นางจรดนิ้วร่ายคาถาต่อเนื่องบนร่างกายตัวเอง ผ่านไปครู่หนึ่ง รูปลักษณ์นางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตากลายเป็นสีฟ้าคราม รูปร่างสูงขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่เดิมทีเป็นรูปไข่กลับกลายเป็นใบหน้าที่เรียวยาวขึ้น คล้ายจิ้งจอกอยู่บางส่วน


นางเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจเมื่อแปลงกายเรียบร้อย หันกลับไปกล่าวอย่างเย็นชา “หลานเยวี่ย บัดนี้เจ้าเห็นแล้วสินะ?! ข้าแปลงกายได้!”


เยี่ยนฮูหยินที่เดิมทีเหมือนถูกฟ้าผ่า เมื่อได้ยินเรื่องนี้แล้วก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง กล่าวอย่างเย้ยหยัน “อู๋ซวงเป็นคนเผ่าจิ้งจอกครามจริงๆ หลักฐานได้ปรากฏที่นี่แล้ว คุณชายหลานยังมีถ้อยคำอันใดจะพูดอีกหรือไม่?!”


นางก็ทุ่มสุดตัวเช่นกัน ดึงแขนเสื้อของเยี่ยนเฉินไว้ “เฉินเอ๋อร์ เจ้าดูอู๋ซวงสิ นางเป็นคนเผ่าจิ้งจอกครามจริงแท้แน่นอน หากต่อไปเจ้าแต่งงานกับนาง จะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนพลังยุทธ์ของเจ้าเป็นอย่างมาก เจ้าเป็นผู้นำในอนาคตของตระกูลเยี่ยนเรา ไม่อาจเอาแต่ใจได้อีกต่อไป…”


เยี่ยนเฉินสะบัดมือของมารดาเยี่ยนในทันที น้ำเสียงเยือกเย็น “ข้าไม่สนใจเผ่าจิ้งจอกครามอะไรนั่นหรอก!”


ในขณะที่มารดาเยี่ยนกำลังจะพูดต่อ กู่ฉานโม่ที่ชมเหตุการณ์อยู่ด้านข้างมาตลอดพลันเอ่ยขึ้น “ไม่ถูกต้อง! นี่ไม่ใช่วิชาแปลงกายของเผ่าจิ้งจอกคราม นี่คือวิชาอำพรางโฉม!”


เหลิ่งอู๋ซวงนิ่งงัน นางนึกไม่ถึงว่ากู๋ฉานโม่จะรอบรู้ถึงเพียงนี้!


หลานเยวี่ยส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “วิชากระจอกงอกง่อยเช่นนี้ไม่ควรค่าให้กล่าวถึงในเผ่าจิ้งจอกคราม แต่ดูเหมือนตอนแรกยายเจ้าก็อาศัยวิชากระจอกนี้ลวงหลอกตาเจ้า ทำให้เขาหลงรักอย่างสุดหัวใจ วิชาแปลงกายของเผ่าจิ้งจอกครามต้อยต่ำขนาดนี้เชียวหรือ? วิชากระจอกของเจ้ามีไว้หลอกลวงคนนอกได้เท่านั้น”


ใบหน้างดงามของเหลิ่งอู๋ซวงเขียวคล้ำและขาวสลับไปมา นางยังคิดจะบิดเบือนโดยคิดว่าผู้คนที่นี่โดยพื้นฐานล้วนเป็นคนนอก แต่กู้ซีจิ่วเอ่ยปากขึ้นทันที “หลานเยวี่ย แปลงกายของจริงให้นางเห็นเสียหน่อย”


หลานเยวี่ยไม่พูดจามากความ จรดนิ้วมือทำมุทรา พลันแปลงกายเป็นรูปลักษณ์แบบหนึ่ง…


รูปลักษณ์ที่แปลงกายเป็นแบบที่กู้ซีจิ่วเคยเห็นในความทรงจำของจิ้งจอกน้อย มีเสน่ห์น่าดึงดูด มีไอเซียนพิเศษของเผ่าจิ้งจอกคราม เป็นแบบที่ผู้ใดก็ไม่สามารถปลอมแปลงได้


เมื่อได้เห็นของจริง ของปลอมก็จะปรากฏขึ้นโดยปริยาย


ประหนึ่งของจริงกับของปลอมด้อยคุณภาพ ต่อให้คนที่ไม่เคยเห็นก็สามารถแยกแยะของจริงกับของปลอมได้


สายตาเกือบทุกคู่ต่างจดจ้องไปที่ร่างของเหลิ่งอู๋ซวง มีเพียงอักษรตัวใหญ่สองตัวเขียนไว้ในสายตา ‘ของปลอม!’


ใบหน้างดงามของเหลิ่งอู๋ซวงถอดสีแล้ว นางยังพยายามเล่นสำบัดสำนวน “นี่…เจ้า…บิดามารดาเจ้าล้วนเป็นคนเผ่าจิ้งจอกคราม ย่อม…ย่อมต้องเป็นสายเลือดโดยตรงมากกว่าข้าอยู่บ้าง ส่วนข้ามีสายเลือดแค่เพียงเสี้ยวหนึ่ง…ต่างกับเจ้าก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”


สีหน้าหลานเยวี่ยเยือกเย็นลง รอยยิ้มมุมปากแฝงความกระหายเลือด “ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังเล่นลิ้นอีก! ไหนเลยจะแอบอ้างเป็นคนเผ่าจิ้งจอกครามได้ตามใจชอบ?! พวกเจ้าหลอกลวงกันในตระกูลก็ช่างเถิด เจ้ายังกล้าแอบอ้างต่อหน้าสาธารณชนอีกหรือไง?! เจ้าคงรู้ว่าการแอบอ้างเป็นคนเผ่าจิ้งจอกครามจะได้รับโทษทัณฑ์เช่นไร?! เป็นความผิดมหันต์ฆ่าล้างตระกูล หากส่งข่าวกลับไปยังเผ่าจิ้งจอกคราม ทั้งตระกูลของเจ้าจะถูกมือสังหารของเผ่าจิ้งจอกครามไล่ล่าสังหาร!”


————————————————————————–


บทที่ 1495 ภูมิหลังของจิ้งจอกน้อย 3


ร่างกายเหลิ่งอู๋ซวงพลันสั่นเทา อ้าปากเล็กๆ ค้าง ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอันใดแล้ว


หลานเยวี่ยมองนางอย่างเยือกเย็น “ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หากยังไม่ยอมพูดความจริง ยืนกรานแอบอ้างแล้วล่ะก็…”


น้ำเสียงของเขาเย็นยาบ ท่าทางอันทรงพลัง ท้ายที่สุด เหลิ่งอู๋ซวงไม่กล้าเอาชีวิตของคนทั้งตระกูลมาเสี่ยงอันตราย ฝืนกล่าวหลังจากแน่นิ่งอยู่นาน “บางที…บางทีที่เจ้าพูดอาจจะเป็นความจริง แต่ข้าไม่รู้…” นี่ก็เท่ากับยอมรับว่าแอบอ้างแล้ว!


คราวนี้ใบหน้ามารดาเยี่ยนเขียวคล้ำแล้ว!


กู้ซีจิ่วเย้ยยิ้มมองมารดาเยี่ยน “เยี่ยนฮูหยิน ท่านว่าอย่างไร?”


มารดาเยี่ยนย่อมผิดหวังเหลือคณา ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย นางไม่อยากแสดงท่าทีเจ้ายศเจ้าอย่างจนเกินไป ฝืนกล่าว “อู๋ซวงถึงแม้…ถึงแม้ไม่ใช่สายเลือดเผ่าจิ้งจอกคราม แต่ตระกูลนางสูงส่ง ตระกูลเหลิ่งเป็นตระกูลที่มีเกียรติ นับว่าเหมาะสมคู่ควรกับตระกูลเยี่ยน…”


เหลิ่งอู๋ซวงกล่าวเช่นกัน “ตระกูลข้าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในท้องถิ่น ท่านตาข้าเคยได้เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์…” นางเหลือบมองหลานไว่หู่แวบหนึ่ง หยักโค้งมุมปาก “จุดนี้นางไม่อาจสู้ได้! มารดานางหนีตามผู้ชายไป บิดาของนางไม่รู้เป็นนักเลงหัวไม้จากที่ใดกัน…”


“เพียะ!” หลานเยวี่ยตบหน้านางไปหนึ่งฉาด “บังอาจ!”


หลานเยวี่ยลงมือรวดเร็วเกินไป เหลิ่งอู๋ซวงที่ถูกตบตกตะลึงไปแล้ว! ถอยหลังไปหลายก้าวติดกัน “เจ้า…เจ้าตบข้า…”


สายตาหลานเยวี่ยเฉียบคม “นางเป็นถึงธิดาราชครูของเผ่าข้า! แม้แต่ประมุขเผ่าก็ไม่อาจดูหมิ่นราชครูของเผ่าข้าได้แม้แต่น้อย เจ้าบังอาจว่าเขาเป็นนักเลงหัวไม้อย่างงั้นรึ?!”


เมื่อประโยคนี้ออกจากปาก นอกจากกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หู่ที่รู้เรื่องแล้ว ทุกคนต่างตกตะลึงกันหมด!


มารดาเยี่ยนยั้งสติไว้ไม่อยู่ที่สุดแล้ว นางลุกขึ้นยืนในทันที “อะ…อะไรนะ?!”


หลานเยวี่ยยิ้มอย่างสบายใจ พูดทีละคำทีละตัวอักษร “หลานไว่หู่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของราชครูเผ่าจิ้งจอกครามหลานอวิ๋นชิง มีสายเลือดสูงส่งที่สุดในเผ่าจิ้งจอกคราม! อย่าว่าแต่คุณหนูเหลิ่งไม่มีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามเลย ต่อให้ยายของเจ้าเป็นสาวใช้เผ่าจิ้งจอกครามจริงๆ แต่นั่นก็เป็นสายเลือดชั้นต่ำ เปรียบเทียบอันใดกับนางไม่ได้เลย อย่าว่าแต่เจ้า ยายเจ้าพบเจอนางยังต้องคุกเข่าคารวะ ให้เกียรติเรียกนางว่าองค์หญิง!”


เหลิ่งอู๋ซวงกับมารดาเยี่ยนเหมือนถูกตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้านั้นแทบจะอธิบายได้ถึงความพ่ายแพ้


เหลิ่งอู๋ซวงเปล่งเสียงแหลม “ข้าไม่เชื่อ! เป็นไปไม่ได้!”


มารดาเยี่ยนก็เอ่ยโพล่งเช่นกัน “ไม่ใช่ สามีข้าเคยทดสอบหลานไว่หู่ นางไม่มีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามชัดๆ…เด็กที่มีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามจะแปลงกายได้บ้างเมื่ออายุห้าถึงหกขวบ หลานไว่หู่ไม่เคยแปลงกายเลยสักครั้ง…เจ้า…เจ้าจงใจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกันหมดใช่หรือไม่? นางเป็นไปไม่ได้…”


หลานเยวี่ยเย้ยยิ้ม “เด็กสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามทั่วไปจะแปลงกายบ้างบางครั้งเมื่ออายุห้าถึงหกขวบจริง โดยเฉพาะเมื่อโกรธหรือวิตกกังวล ดูเหมือนเจ้าสองสามีภรรยาจะเข้าใจเผ่าจิ้งจอกครามอยู่บ้าง ทว่าสายเลือดของราชครูนั้นไม่ใช่สายเลือดที่เผ่าจิ้งจอกครามทั่วไปจะทัดเทียม เด็กสายเลือดนี้จะแปลงกายได้ดั่งใจก็ต่อเมื่อฝึกฝนจนพลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้าไปแล้วเท่านั้น และหากแปลงกายได้สำเร็จ คนสายเลือดนี้จะมีพละกำลังที่กล้าแกร่งเหนือธรรมดา รู้ฟ้ารู้ดิน คาดเดาลิขิตสวรรค์ ผู้รับตำแหน่งราชครูของเผ่าข้าล้วนเป็นผู้สืบทอดของสายเลือดนี้มาโดยตลอด”


เขาเหลือบมองหลานไว่หู่แวบหนึ่ง “หากไม่มีเหตุการณ์ใดผิดพลาด หลานไว่หู่ก็จะเป็นราชครูรุ่นต่อไปของเผ่าข้า ฐานะของนางสูงศักดิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จะมาเปรียบเทียบกับของปลอมได้อย่างไร?”


ฝูงชนต่างนึกไม่ถึงว่าหลานไว่หู่จะมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ธิดาราชครูเผ่าจิ้งจอกคราม สูงศักดิ์ยิ่งกว่าประมุขเผ่าจิ้งจอกคราม…


เหล่าศิษย์พี่น้องหญิงชายของหลานไว่หู่ย่อมดีใจเป็นที่สุด ต่างทยอยกันมาแสดงความยินดีกับนาง


จางฉูฉู่หัวเราะเริงร่า


บทที่ 1496 ภูมิหลังของจิ้งจอกน้อย 4


จางฉูฉู่หัวเราะเริงร่า ตบฝ่ามือลงเป็นบ่าของหลานไว่หู่ครั้งหนึ่ง “จิ้งจอกน้อย ไม่ธรรมดานะนี่! ที่แท้เจ้าก็มีฐานะสูงส่งถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเปล่งประกายจนทำให้คนเจ้ายศเจ้าอย่างบางคนตาบอดไปเลยจริงๆ! คนบางคนตั้งใจอยากให้ลูกชายผูกมิตรกับคนฐานะสูงส่ง นึกไม่ถึงว่ากลับคว้าเมล็ดงาทว่าทิ้งแตง[1] ฮ่าๆ บางทีที่นางคว้าได้อาจไม่นับว่าเป็นเมล็ดงาด้วยซ้ำ เป็นเพียงแค่ก้อนกรวดเท่านั้น…”


สีหน้ามารดาเยี่ยนซีดเผือดก่อน จากนั้นจึงแดงก่ำ สายตาไม่เชื่อหันเหไปยังร่างของหลานไว่หู่ นัยน์ตาแปลกประหลาด ไม่เชื่อถือ และขัดขืนดิ้นรน บ่นงึมงำ “ข้าไม่เชื่อ…”


หลานเยวี่ยก็เป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เดิมที รูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางไม่ควรให้คนทั่วไปอย่างพวกเจ้าได้เห็น ทว่าเพื่อให้เจ้ายอมรับทั้งปากและใจ ข้าจะช่วยให้นางหวนคืนรูปลักษณ์ที่แท้จริงให้ทุกคนเห็นก็ได้ เจ้าสำนักกู่จำสัญลักษณ์ของเผ่าจิ้งจอกครามได้ ท่านตรวจสอบดูเสียหน่อยแล้วกัน”


ชายเสื้อเขาพลันสะบัดบนร่างของหลานไว่หู่ หลานไว่หู่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกบังคับให้แปลงกายอีกครั้งโดยฉับพลัน…


เดิมทีคนเผ่าจิ้งจอกครามงดงามยิ่งนัก มีเสน่ห์น่าดึงดูดภายในอย่างหนึ่ง หลังจากหลานไว่หู่หวนคืนรูปลักษณ์ที่แท้จริง รูปลักษณ์นั้นงดงามจนแทบจะใช้คำว่าใจหายใจคว่ำมาอธิบายได้ ปกคลุมไอเซียนบนร่างกายเอาไว้ไม่อยู่…


หากทุกคนยังคงสงสัยในถ้อยคำที่หลานเยวี่ยพูดก่อนหน้านี้ เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของจิ้งจอกน้อยในเวลานี้ก็จะไม่สงสัยอีกต่อไป หลานไว่หู่เป็นคนเผ่าจิ้งจอกครามโดยแท้จริง! อีกทั้งยังเป็นคนเผ่าจิ้งจอกครามที่มีสายเลือดสูงส่งที่สุด!


สายเลือดเช่นนี้แม้แต่ฮ่องเต้ในโลกมนุษย์ยังไม่คู่ควร ไม่รู้ว่าสูงส่งกว่าสายเลือดอะไรนั่นของเหลิ่งอู๋ซวงไปกี่ช่วงเขา! เหลิ่งอู๋ซวงยังไม่มีคุณสมบัติแม้แต่ยกกระโถนปัสสาวะของนางเลย


มารดาเยี่ยนยืนสิ้นสติอยู่ตรงนั้น มือและเท้าล้วนสั่นสะท้าน ที่แท้คนที่นางพยายามกีดกัดทุกวิถีทางกลับเป็นคู่ครองที่ดีที่สุดของลูกชาย…


นางอดไม่ได้ที่จะมองหลานไว่หู่ “ไว่หู่…”


แม้หนังหน้านางจะหนาแค่ไหน ทว่าในเวลานี้กลับพูดถ้อยคำทวงคืนแทนลูกชายไม่ออก


หลานไว่หู่หลุบตาลงเล็กน้อยไม่มองนาง หันหน้าตามหาจะพูดคุยกับกู้ซีจิ่ว


หลานเยวี่ยยกมือดึงหลานไว่หู่ไว้ข้างกายตนเอง กล่าวด้วยรอยยิ้มสบายใจ “เยี่ยนฮูหยินเสียใจแล้วกระมัง? เสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว! บัดนี้ ไว่หู่เป็นคู่หมั้นของข้าหลานเยวี่ยแล้ว อีกไม่นานข้าจะพานางกลับไปแต่งงาน ถึงเวลานั้นหากเยี่ยนฮูหยินต้องการดื่มสุรามงคล ข้าจะส่งสักกามาให้ท่านเพื่อเห็นแก่ฐานะที่ท่านเคยเลี้ยงดูนางมา”


สีหน้าเยี่ยนฮูหยินซีดเผือด เสียใจจนลำไส้เขียวคล้ำหมดแล้ว!


ทว่านางก็ยังไม่ยอมลดละ! อย่างไรเสียนางรู้ว่าหลานไว่หู่รักลูกชายตนเองด้วยใจจริง มิเช่นนั้น ตอนนั้นคงไม่ทนแบกรับความอยุติธรรมมากมายขนาดนั้น


ดังนั้น นางกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง “ไว่หู่ เจ้าชอบคุณชายหลานผู้นี้ด้วยใจจริงหรือ? ความจริง สองปีที่ผ่านมาเฉินเอ๋อร์ยังคงไม่ลืมความรักที่มีต่อเจ้า…”


นางกำลังคิดที่จะสาธยายร่ายยาวเพื่อทำให้จิ้งจอกน้อยซาบซึ้ง เยี่ยนเฉินตะโกนออกมาโดยไม่ทันได้ระวัง “พอได้แล้ว!”


มารดาเยี่ยนสะอึกเล็กน้อย “เฉินเอ๋อร์…”


เยี่ยนเฉินยิ้มเศร้าหมอง “ท่านแม่ ละครขบขันฉากนี้ควรจบลงได้แล้ว! เรื่องของลูกไม่ต้องรบกวนท่านเป็นกังวลอีกต่อไป!”


“แต่ไว่หู่…เจ้าไม่เคยลืมนางได้เลย แม่เห็นมาตลอด…”


“ท่านแม่คิดมากเกินไปแล้ว ต่อไปข้าจะรักไว่หู่เหมือนน้องสาว เชิญท่านแม่กลับไปเสียเถิด!” เยี่ยนเฉินสะบัดชายเสื้อพลันเดินจากไป เขาจากไปอย่างรีบร้อน ตอนออกไปเกือบชนเข้ากับวงกบประตู! ทว่ายังคงจากไปโดยไม่หันกลับมา


หัวใจกู้ซีจิ่วหนักอึ้งเล็กน้อย ความจริงวันนี้คนที่อึดอัดใจที่สุดก็คือเขา…


คนที่แข็งแกร่งอย่างเขา กลับก้าวมาถึงจุดนี้ได้เพราะมารดาของตนเอง สองปีมานี้เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อทวงคืนจิ้งจอกน้อยมาโดยตลอด ถึงขนาดใช้เทียบเชิญงานแต่งงานปลอม…


———————————————————————–


บทที่ 1497 ภูมิหลังของจิ้งจอกน้อย 5


หากว่าจิ้งจอกน้อยยังคงเป็นจิ้งจอกน้อยคนนั้น มิใช่ธิดาราชครูผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าจิ้งจอกคราม บางทีเขาอาจจะยังไม่ยอมแพ้ ยังคงทุ่มเทช่วงชิงอย่างสุดกำลัง


แต่ยามนี้กลับเปิดเผยออกมาเช่นนี้แล้ว ด้วยความทระนงของเยี่ยนเฉิน เกรงว่าต่อให้เขาไม่อยากยอมแพ้ก็ต้องยอมแพ้แล้ว…


สายตาของกู้ซีจิ่วร่อนลงบนร่างหลานเยวี่ย เจ้าคนผู้นี้ยิ้มแต้อยู่ตลอด แต่แววตากลับเฉียบขาดแกร่งกร้าว เห็นได้ชัดว่าต้องการคว้าจิ้งจอกน้อยมาให้ได้


คนผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่งนักจริงๆ เล่ห์เหลี่ยมก็ลึกล้ำ วันนี้เขาเปิดเผยภูมิหลังของจิ้งจอกน้อยออกมาต่อหน้าผู้คนมองเผินๆ คือการระบายแค้นแทนจิ้งจอกน้อย แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะเข้าใจนิสัยของเยี่ยนเฉิน ทราบว่าหลังจากเขารู้เช่นนี้แล้ว จะต้องไม่ยื้อแย่งช่วงชิงอีกเป็นแน่…


วันนี้หลานเยวี่ยผู้นี้กำจัดศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งออกไปได้แล้วจริงๆ! หลานเยวี่ยเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่ง! มิเสียทีที่เป็นว่าที่ประมุขเผ่าจิ้งจอกคราม…


เยี่ยนฮูหยินและเหลิ่งอู๋ซวงจากไปอย่างหน้าม่อยคอตก เห็นแก่หน้าเยี่ยนเฉิน ทุกคนจึงปล่อยไปสักครั้ง ไม่ได้สร้างความลำบากให้พวกนาง เพียงแต่ไม่มีผู้ใดคิดจะส่ง เดินจากไปอย่างเย็นชาเสีย


ส่วนเยี่ยนเฉิน ยามที่เขาไปจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เขาทระนงเหลือเกิน ด้วยบาดเจ็บลึกล้ำเกินไป ต้องการหาสถานที่ไร้ผู้คนเพื่อหลบเลียแผลใจของตน…


หนึ่งวันให้หลังกู้ซีจิ่วใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อหาเขาดู ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงจะรับ น้ำเสียค่อนข้างแหบพร่าและราบเรียบยิ่งนัก “ซีจิ่ว มีอะไรหรือ?”


กู้ซีจิ่วไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ กลั่นกรองอยู่พักใหญ่ถึงกล่าวออกไปห้าคำ “เยี่ยนเฉิน ขอโทษนะ” เยี่ยนเฉินก็เป็นเพื่อนเธอเหมือนกัน และเคยมีน้ำใจไมตรีต่อเธอเช่นกัน เธอระบายแค้นให้จิ้งจอกน้อยสำเร็จ แต่ก็ทำร้ายเยี่ยนเฉิน…


น้ำเสียงเยี่ยนเฉินสงบนิ่งยิ่งนัก “ไม่ต้องขอโทษหรอก อันที่จริงข้ายังรู้สึกขอบคุณเจ้ายิ่งนัก ที่ทำให้ข้าได้รู้ความจริงที่ยืดเยื้อมานาน…” ชะงักไปครู่หนึ่ง “จิ้งจอกน้อยล่ะ? นางสบายดีใช่ไหม?”


“สบายดี” กู้ซีจิ่วตอบกลับสองคำ


จิ้งจอกน้อยที่เคยมีเรื่องอะไรในใจก็แสดงออกมาทางสีหน้าเสมอยามนี้เรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกแล้ว หลังจากเยี่ยนเฉินจากไป นางก็เหม่อลอยอยู่เป็นเวลานาน


แต่ที่ควรพูดก็ยังพูด ที่ควรยิ้มก็ยังยิ้ม เข้ากับสหายร่วมสำนักได้ดียิ่งนัก เมื่อก่อนเป็นอย่างไรปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้น นางก็น่าจะพยายามก้าวออกมาอย่างเต็มที่อยู่เหมือนกัน…


เยี่ยนเฉินเงียบไปพักหนึ่ง คล้ายว่าจะหัวเราะ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าหวังเพียงว่านางจะมีความสุข…”


ต่อให้ความสุขนี้จะไม่ใช่เขาที่เป็นผู้มอบให้ เขาก็ยังหวังว่านางร่มเย็นเป็นสุขไปชั่วชีวิต เขาไม่คู่ควรกับนางแล้ว เพียงหวังให้นางอยู่ดี ใช้ชีวิตอย่างผาสุกตลอดไป


“เอาล่ะ ซีจิ่ว หากวันหน้ามีการใดให้ข้าช่วยเหลือ บอกมาได้เสมอ ข้ายุ่งอยู่ ขอตัวก่อน…”


เยี่ยนเฉินตัดสายยันต์ถ่ายทอดเสียง ยามนี้เขานั่งดื่มสุราอยู่ในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งในในหลืบเขา ดื่มสุราไปไม่น้อยแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสุราคุณภาพต่ำเกินไปหรือไม่ เขาดื่มไปมากมายถึงเพียงนี้แล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลย ฟุบโต๊ะใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง หยิบข้าวของกระจุกกระจิกกองหนึ่งออกมา…


เฒ่าแก่แผงสุรามองแขกท่านนี้ด้วยสายตาปละหลาดใจ แขกท่านนี้รูปโฉมหล่อเหลา เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านสูงศักด์ บุคลิกก็เลิศล้ำไม่ธรรมดา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าน่าจะเป็นชนชั้นสูงที่กินหรูอยู่สบาย ทว่ามาแกร่วอยู่ในร้านเล็กๆ ที่คล้ายกระต๊อบฟางของเขาทั้งวันแล้ว เอาแต่ดื่มสุราอยู่ตลอด จดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจากไป


เห็นแก่ความมือเติบของแขกท่านี้ เถ้าแก่จึงไม่ไล่คนไป เพียงเฝ้าสังเกตเขาอย่างระมัดระวังอยู่พักหนึ่ง


ยามนี้เมื่อเห็นเขาหยิบสิ่งละอันพันละน้อยกองนั้นออกมา เถ้าแก่ร้านผู้นั้นจึงยืดคอมองแวบหนึ่ง


ของเหล่านั้นล้วนมิใช่ของมีราคาค่างวดอะไร มีหยกประดับทรงนัยน์ตาจิ้งจอกแกะหยาบๆ มีพัดจีบที่ไม่มีราคา ถึงขั้นที่มีสิ่งของประเภทตั๊กแตนหญ้าสาน มาลัยดอกไม้ด้วย…


————————————————————————-


[1] คว้าเมล็ดงาทว่าทิ้งแตง หมายถึง เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ จนสูญเสียผลประโยชน์ที่มากกว่าไป


บทที่ 1498 เช่นนั้นเจ้าชอบเขาหรือไม่? (1)


ตั๊กแตนและมาลัยดอกไม้แห้งเฉาไปหมดแล้ว แต่คงสภาพไว้ได้สมบูรณ์ยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าคุณชายผู้นี้ทะนุถนอมสิ่งเหล่านี้อย่างระมัดระวังเสมอมา


เถ้าแก่ผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ สิ่งที่อยู่บนร่างคุณชายผู้นี้เพียงชิ้นเดียวก็มีราคากว่าข้าวของกองนี้ของเขาแล้ว แต่ในใจของคุณชายผู้นี้ เกรงว่าต่อให้เป็นเงินทองของล้ำค่าอันใดก็แลกเปลี่ยนกับข้าวของเล็กน้อยกองนี้ไม่ได้…


เยี่ยนเฉินมองของเหล่าอย่างใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง ปลายนิ้วลูบไล้หยกประดับและด้ามพัดเบาๆ…


สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของที่จิ้งจอกน้อยมอบให้เขา ต่อให้เขาหลับตาอยู่ก็สามารถบอกถึงที่มาและเรื่องราวที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังข้าวของทุกชิ้นได้


ยามนั้นเพียงรู้ว่าธรรมดาทั่วไป วันนี้เมื่อนึกถึงกลับเป็นช่วงเวลาที่สุขสันต์หวานชื่นที่สุดช่วงหนึ่ง


ไม่อยากคะนึง ทว่าตราตรึงไม่เลือนหาย


ยามนี้เหลืออยู่เพียงความคะนึงแล้ว…


เดิมทีเขายังรู้สึกอยู่ว่าหลานเยวี่ยไม่คู่ควรกับจิ้งจอกน้อยของเขา คิดว่าที่จิ้งจอกน้อยหมั้นหมายกับหลานเยวี่ยเพราะโกรธเคืองเขา เขาถึงขั้นตัดสินไว้เด็ดเดี่ยวแล้ว ขอเพียงจิ้งจอกน้อยยังไม่วิวาห์ เขาก็จะหาทางยื้อแย่งนางกลับมา แต่ยามนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว เขาไม่มีความกล้าพอจะทวงนางกลับมาอีกแล้ว…


“จิ้งจอกน้อย ที่แท้เจ้ากับข้าก็ไร้วาสนาต่อกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เขาลูบไล่หยกประดับทรงนัยน์ตาจิ้งจอกคุณภาพต่ำชิ้นนั้น ขณะที่ดวงตาหรี่ปรือด้วยฤทธิ์สุราคล้ายจะมองเห็นรอยยิ้มของจิ้งจอกน้อย…


หยกประดับสีเขียวอ่อนชิ้นหนึ่งตรงเอวเขาเปล่งแสงขึ้นมา


เขาเหลือบมองอย่างไม่ไยดีแวบหนึ่ง หยกประดับชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์สื่อสารเฉพาะของตระกูลเยี่ยน สามารถเปล่งแสงที่สีสันแตกต่างกันได้ และทุกสีก็แสดงถึงความหมายอย่างหนึ่ง


หนนี้สีสันที่หยกเปล่งแสงออกมาหมายถึงตระกูลเยี่ยนเรียกเขากลับบ้าน…


มุมปากเขาหยักขึ้นบางๆ เผยแววเย้ยหยัน ปลดหยกประดับชิ้นนั้นออก โยนลงบนโต๊ะเสียงดังตุบ “เถ้าแก่ เอาสุรามาอีกสามไห!”


ดึกดื่นแล้ว เถ้าแก่รั้งอยู่ไม่ไหว เข้าไปนอนในห้องตนแล้ว


ยามที่เขาตื่นมาเมื่อออกมาดูอีกครั้ง คุณชายหนุ่มรูปงามคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว บนโต๊ะมีเพียงแท่งทองแท่งหนึ่งที่สามารถซื้อเพิงสุราเล็กๆ แห่งนี้ของเขาได้เลย แถมยังมีหยกประดับส่องแสงแพรวพราวชิ้นหนึ่งที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าประเมินค่ามิได้อยู่ด้วย…


….


มารดาเยี่ยนต้องการให้บุตรชายแต่งสะใภ้ที่พึงใจที่สุด จึงเล่นเล่ห์เพทุบายที่น่าละอายเหล่านี้กลับนึกไม่ถึงว่าผลสุดท้ายจะกลายเป็นไก่ก็หนีไข่ก็แตก[1] สูญเสียแตงซ้ำยังหยิบไม่ได้แม้แต่เมล็ดงาด้วย ไม่เพียงแต่ทำให้บุตรชายพลาดคู่ครองที่ดีที่สุดไปเท่านั้น แม้แต่บุตรชายก็ต้องสูญเสียไปด้วย


เยี่ยนเฉินหายตัวไป ตั้งแต่จากกันครั้งนั้น ภายหน้าอีกชั่วนาตาปีนางก็ไม่ได้พบบุตรชายอีกเลย ตระกูลเยี่ยนสูญเสียเจ้าบ้านที่ล้ำเลิศที่สุดไปแล้ว เขาไม่ได้กลับไปที่ตระกูลเยี่ยนอีกเลย และคนตระกูลเยี่ยนก็ไม่อาจติดต่อเขาได้…


แน่นอนว่าเราจะกล่าวถึงเรื่องนี้กันทีหลัง


สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์หวนคืนสู่วันคืนอันสงบสุข ทุกอย่างคล้ายว่าจะไม่เปลี่ยนไปเลย แต่ก็คล้ายว่าบางอย่างจะเปลี่ยนไปแล้ว


หลานไว่หู่ยังคงอยู่ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เพื่อการฝึกฝนเล่าเรียนของนาง ราวกับจู่ๆ นางก็ได้เปิดโลกขึ้นมา สาวน้อยที่แต่ก่อนติดเล่นยิ่งนักกลายเป็นมานะขวนขวายหาความแข็งแกร่งขึ้นมา ทุกวันจะยุ่งอยู่กับการฝึกฝน ฝึกวรยุทธ์จนแทบลืมกินลืมนอน พากเพียรยิ่งกว่าหลานเยวี่ยเสียอีก


หานเยวี่ยไปหานางอยู่หลายครั้ง นางล้วนกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่ ไม่สนใจเขาเลย


เมื่อถูกต้อนจนร้อนรน นางก็บอกมาประโยคหนึ่ง “เขาบอกว่าข้าคือว่าที่ราชครูใหญ่ของเผ่าจิ้งจอกครามมิใช่หรือ? พลังวิญญาณของราชครูใหญ่จะต่ำต้อยได้อย่างไรเล่า? ข้าจะต้องฝึกฝนให้ก้าวหน้า!” ประโยคเดียวก็สกัดให้หลานเยวี่ยพูดอะไรไม่ได้แล้ว


ฐานะของจิ้งจอกน้อยเปิดเผยแล้ว ซ้ำยังมีสายเลือดสูงส่งเช่นนี้ ถ้าถูกคนภายนอกทราบเข้า ไม่รู้จะมียอดฝีมือมากมายน้อยเพียงใดคอยจับจ้องตาเป็นมัน ตัวนางในยามนี้ถึงอย่างไรก็เหมือนเตาหลอมที่ล้ำค่าใบหนึ่ง หากผู้ใดชนะใจนางมีสัมพันธ์กับนางได้ พลังยุทธ์จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก ได้ผลดียิ่งกว่าโอสถวิเศษอันใดเสียอีก


การที่นางรั้งอยู่ที่โลกภายนอกเช่นนี้ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่จริงๆ ดังนั้นหลานเยวี่ยจึงคิดจะพานางกลับเผ่าจิ้งจอกคราม


————————————————————–


บทที่ 1498 เช่นนั้นเจ้าชอบเขาหรือไม่? (2)


เผ่าจิ้งจอกครามไม่ข้องแวะกับศึกสงครามใดๆ ของโลกภายนอก เป็นเอกเทศ หลานไว่หู่ไม่เหมาะจะพำนักอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว


แต่หลานไว่หู่กลับไม่อยากกลับไปที่เผ่าจิ้งจอกคราม นางอยากอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เท่านั้น ที่ไหนก็ไม่อยากไปแล้ว!


แน่นอน นางก็มีเหตุผลของนางเช่นกัน นางบอกว่าการฝึกฝนอยู่ที่นี่จะรวดเร็วและยอดเยี่ยมที่สุด และนางก็ไม่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่เผ่าจิ้งจอกคราม ถ้าไปแล้วยากจะสงบใจฝึกฝนได้


ตามที่นางกล่าวคือ หากว่ากลับไปโดยที่ยังฝึกฝนไม่บรรลุขั้นเก้า นางไม่มีหน้าจะร่วมเพื่อนร่วมเผ่าเหล่านั้น


จิ้งจอกน้อยดูเหมือนจะอารมณ์ดีว่าง่าย ทว่าความจริงแล้วดื้อรั้นยิ่งนัก เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เช่นนั้นวัวสิบตัวก็อย่าหมายว่าจะลากไปได้ หลานเยวี่ยก็บังคังนางไม่ได้ นอกเสียจากเขาจะทำให้นางสลบแล้วพากลับไป…


หลานเยวี่ยจนปัญญา ทำได้เพียงรั้งอยู่เป็นเพื่อน


การแสดงออกของหลานไว่หู่ยอดเยี่ยมมาก นอกจากปฏิเสธที่จะไปกับเขาแล้ว ที่เหลือก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเลย เพียงแต่ตัวคนเปลี่ยนเป็นเงียบขรึมลงไม่น้อย ไม่ร่าเริงสดใสถึงเพียงนั้นอกแล้ว


ผลของการพากเพียรฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้คือ นางถูกธาตุไฟเข้าแทรก เกือบจะสูญสิ้นพลังยุทธ์ในร่างไปแล้ว เคราะห์ที่กู้ซีจิ่วไปหานางพอดี จึงช่วยเหลือนางได้ทันกาล


ทำให้กู่ฉานโม่ร้อนรนยิ่งนัก เกรงว่านางจเกิดผลข้างเคียงเหมืนเยี่ยนเฉิน


จิ้งจอกน้อยยังคงโชคดีกว่าเยี่ยนเฉิน เนื่องจากมีกู้ซีจิ่วหมอเทวดาอยู่ที่นี่ด้วย รักษาให้นางได้แม่นยำทันท่วงที จิ้งจอกน้อยเป็นอัมพาตไปสามวัน สามวันให้หลังจึงฟื้นฟูกลับเป็นปกติ


ขาที่เป็นอัมพาตจากการถูกธาตุไฟเข้าแทรกจะไม่สูญเสียความรู้สึกไป ความรู้สึกเจ็บยังคงอยู่ เพียงไม่อาจสั่งการเส้นประสาทตรงนั้นได้


สองขายังคงเสียดแทงใจให้เจ็บปวด จิ้งจอกน้อยใจเสาะเหยาะแหยะเสมอมา กู้ซีจิ่วหวั่นว่านางจะรับความเจ็บปวดเช่นนี้ไม่ไหว กลับคาดไม่ถึงว่านางจะกัดฟันอดกลั้นไว้ เหงื่อออกมากมาย น้ำตาไม่ไหลสักหยดเลย


ยามที่กู้ซีจิ่วทำการรักษาให้นาง ดวงหน้าน้อยๆ ของนางขาวเผือด บนหน้าผากมีหยาดเหงื่อไหล ซ้ำยังกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “ที่แท้การถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนขาเป็นอัมพาตเจ็บปวดถึงเพียงนี้…ข้านึกว่าแค่ไม่มีความรู้สึกเท่านั้น…”


กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไป นั่งอยู่ตรงนั้นค่อนข้างเหม่อลอย


ตอนที่เยี่ยนเฉินธาตุไฟเข้าแทรกจนสองขาใช้การไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้านางจะสุขุมเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านอยู่เสมอ ซ้ำยังมีแก่ใจมาหยอกล้อนางด้วย เดินหมากเป็นเพื่อนนาง เล่นสนุกกับนาง ซ้ำยังให้นางไปเก็บดอกไม้ใบหญ้าในสวนมาแล้วสานของเล่นจำพวกมาลาดอกไม้ ตั๊กแตนหญ้าให้นางด้วย โอ๋นางเหมือนโอ๋เด็กน้อย…


ใบหน้าเขาไม่เผยความเจ็บปวดอันใดออกมาเลย ทำให้นางนึกไปว่าสองขาของเขาแค่ขยับไม่ได้ ทุกเดือนแค่ต้องนอนอยู่เตียงสองวันเท่านั้น


เนื่องจากทุกเดือนเขาจะเป็นอัมพาตอยู่สองวัน และสองวันนี้เขาจะอยู่กับนางทั้งวัน ยามนั้นเป็นช่วงที่นางพำนักอยู่ที่ตระกูลเยี่ยน จิตใต้สำนึกถึงขั้นที่ตั้งตารอคอยให้สองวันนั้นมาถึง…


ที่แท้สองวันนั้นที่เขาอยู่เล่นกับนาง เป็นสองวันที่เขาทรมานอย่างแสนสาหัสที่สุด


ถึงแม้หลานไว่หู่จะเป็นอัมพาตอยู่เพียงสามวัน ความรู้สึกกลับเหมือนได้ไปเยือนประตูยมโลกมาแล้วรอบหนึ่ง ความเจ็บปวดนั้นอยู่มิสู้ตายโดยแท้…ถึงแม้นางจะไม่ได้ร้องไห้ แต่สามวันนี้หน้าผากนางหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาไม่ขาดสายเลย!


เกรงว่าเยี่ยนเฉินก็เป็นเช่นนี้ด้วยกระมัง?


หรือบางทีระดับการถูกธาตุไฟเข้าแทรกของนางกับเขาจะแตกต่างกัน นางเจ็บเขาไม่เจ็บงั้นหรือ?


————————————————————–


[1]  ไก่ก็หนีไข่ก็แตก จับปลาสองมือ ผลสุดท้ายกลับล้มเหลวทั้งสองทาง


บทที่ 1498 เช่นนั้นเจ้าชอบเขาหรือไม่? (3)


จิ้งจอกน้อยอดไว้ไม่อยู่เอ่ยถามข้อสงสัยนี้กับกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วมองนาง มอบความรู้ให้นางอย่างสงบนิ่งยิ่งนัก “ระดับการถูกธาตุไฟเข้าแทรกถึงแม้จะแตกต่างกันไป แต่อาการอัมพาตที่เกิดจากเหตุนนี้จะอยู่ในสภาวะเดียวกัน…”


จิ้งจอกน้อยยังไม่ลดละ “เช่นนั้นหากว่าทุกเดือนมีอาการข้างเคียงคือเป็นอัมพาตอยู่ไม่กี่วันเล่า? จะเจ็บหรือไม่?”


กู้ซีจิ่วเอ่ยตอบ “ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ยามที่เกิดอาการข้างเคียงจะเจ็บปวดยิ่งขึ้น และคนที่เหลืออาการข้างเคียงอยู่ ต่อให้ยามปกติสองก็ไม่ได้เหมือนคนทั่วไป เนื่องจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจะเป็นตะคริว ทุกวันล้วนต้องเจ็บปวดอยู่หลายชั่วยาม…”


ดวงหน้าพริ้มเพราของจิ้งจอกนั้นซีดเซียวรางๆ นั่งเงียบอยู่ตรงนั้น


กู้ซีจิ่วก็ไม่พูดอะไรอีก รักษาให้นางจนเสร็จ แล้วเอ่ยปลอบนางสองประโยค หันหลังหมายจะจากไป จู่ๆ จิ้งจอกน้อยก็ดึงเธอไว้ “ซีจิ่ว!”


กู้ซีจิ่วหันกลับมา หลานไว่หู่เบิกตากว้างเอ่ยถามเธอ “ซีจิ่ว เจ้าสามารถรักษาอาการข้างเคียงประเภทนี้ได้ไหม?”


กู้ซีจิ่วแสร้งเลิกคิ้วแวบหนึ่ง “วางใจเถอะ เจ้าไม่เหลืออาการค้างเขียงหรอก”


หลานไว่หู่เอ่ยโพล่งออกมา “แต่ว่าเยี่ยนเฉินเหลืออยู่ รักษาไม่หายขาดมาโดยตลอด…” เท่าที่นางรู้ อาการข้างเคียงนี้ของเยี่ยนเฉินไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงย่อระยะเวลาลงเล็กน้อยท่านั้น เมื่อก่อนเป็นอัมพาตสองวัน ยามนี้เป็นอัมพาตวันครึ่ง…


กู้ซีจิ่วจึงถามนาง “เจ้ายังห่วงเขาอยู่หรือ?”


หลานไว่หู่แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง หลุบตาต่ำ เม้มริมฝีปากแล้วตอบ “ยามนี้ข้ามองเขาเป็นพี่ชาย…ถึงอย่างไรอาการบาดเจ็บนี้ของเขาก็มีสาเหตุมาจากข้า ข้าจึงไม่สบายใจมาโดยตลอด…”


กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงหนนี้ตั้งแต่พบเขายามแรกข้าก็มองออกแล้วว่าเขามีอาการบาดเจ็บเรื้อรังนี้อยู่ ได้มอบโอสถที่เหมาะสมให้เขาไปแล้ว”


หลานไว่หู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “จะรักษาให้หายขาดได้ใช่ไหม?”


กู้ซีจิ่วส่ายหน้านิดๆ “เขายืดเยื้อมานานเกินไป ข้าทำได้เพียงทำให้สองวันนั้นเขาไม่เป็นอัมพาตอีก แต่สองวันนั้นจะยังคงปวดขาอยู่ เว้นแต่ว่า…”


หลานไว่หู่ขยุ้มแขนเสื้อของเธอทันที “เว้นแต่ว่าอันใด?”


กู้ซีจิ่วกลับไม่อยากพูดแล้ว เพียงตบมือของหลานไว่หู่เบาๆ “จิ้งจอกน้อย บางเรื่องเมื่อพลาดไปแล้วก็ไม่อาจเอากลับมาได้อีก ไม่ต้องคิดมากถึงเพียงนั้นแล้ว โอสถนั้นของข้าถึงแม้จะขุดรากถอนโคนอาการข้างเคียงของเขาไม่ได้ แต่ก็ปวดขาแค่สองวันเท่านั้น ไม่ถ่วงรั้งอันใด ถึงขั้นที่สองวันนั้นเขาก็ยังต่อสู้กับผู้อื่นได้ เจ้าสบายใจได้แล้ว”


หลานไว่หู่เงียบงัน


นางไม่ถอดใจยังคิดจะดึงดันต่อไป “แต่ความปวดนี้ทรมานยิ่งนัก หากว่าสามารถทำให้เขาไม่เจ็บปวดอีกได้…”


กู้ซีจิ่วพูดอะไร เพียงมองดูนาง


หลานไว่หู่เมื่อถูกเธอจึงก้มหน้าลงไป


กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “จิ้งจอกน้อย หลานเยวี่ยปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร?”


จิ้งจอกน้อยตอบตามจริง “ดียิ่งนัก”


กู้ซีจิ่วจึงถามต่อไป “เช่นนั้นเจ้าชอบเขาหรือไม่?”


หลานไว่หู่นิ่งงันไปครู่หนึ่งถึงได้ตอบ “พอ…พอได้กระมัง?”


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “พอได้?”


จะอย่างไรนางก็มีความรู้สึกว่าจิ้งจอกน้อยได้จับคู่กับคู่ครองที่นับว่าไม่เลวคนหนึ่ง ต่ออยู่ด้วยกันไปสักระยะก็รู้สึกว่าพอได้ เงื่อนไขของแต่ละฝ่ายก็สอดคล้องเหมาะสมกันยิ่งนัก สามารถแต่งๆ กันไปก็พอไหวเช่นนั้นกระมัง?


———————————————————-


บทที่ 1498 เช่นนั้นเจ้าชอบเขาหรือไม่? (4)


หลานไว่หู่ค่อนข้างกระสับกระส่าย พยักหน้าแล้วตอบ “เขาดีต่อข้าอย่างยิ่ง”


ตั้งแต่นางประกาศความสัมพันธ์กับเขา สองปีนี้ที่อยู่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เขาก็นับว่าดูแลเอาใจใส่นาง มารายงานตัวกับนางแทบทุกวัน พานางออกไปเที่ยวเล่นทุกแปดวันสิบวัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับนาง ค่อนข้างคล้ายกันออกเดทของชายหญิงที่กู้ซีจิ่วเคยเล่าไว้…


“ถ้าเทียบกับเยี่ยนเฉินเล่า?”


นามนี้คล้ายว่าจะทำให้จิ้งจอกน้อยเจ็บปวด นางเงียบไปแล้ว


บางทีอาจเป็นเพราะเหมยเขียวม้าไม้ไผ่เติบใหญ่มาด้วยกัน ยามที่นางอยู่กับเยี่ยนเฉิน จะสบายๆ และเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ยามที่เยี่ยนเฉินยั่วหยอกนาง นางอยากระบายอารมณ์ก็ระบายอารมณ์ได้เลย ปกติเยี่ยนเฉินโอ๋นางอยู่เสมอ ยามที่มีความสุขนางก็จะลากเยี่ยนเฉินไปวิ่งมา ถึงขั้นที่ว่ายามอยู่ด้านนอกเล่นจนเหนื่อยล้า ก็สามารถแอบอิงในวงแขนของเยี่ยนเฉินเพื่องีบหลับได้ แม้ว่าเยี่ยนเฉินจะไม่ชอบพูดนัก แต่ก็ดูแลนางดียิ่งนัก ต่อให้นางนอนอยู่ในหิมะก็จะไม่เป็นหวัด เพราะเยี่ยนเฉินจะอุ้มนางที่หลับใหลกลับไปยังโรงเตี๊ยม หรือไม่ก็หาถ้ำสักแห่ง ก่อกองไฟแล้วกอดนางไว้ในอ้อมอก โคจรพลังวิญญาณ ใช้อุณหภูมิร่างกายให้ความอบอุ่นนาง ทำให้ต่อให้นางอยู่ในห้วงนิทราก็รู้สึกเหมือนนอนอยู่ในผ้านวมที่อบอุ่น


แต่ยามที่อยู่กับหลานเยวี่ย อันที่จริงนางค่อนข้างประหม่า บนร่างหลานเยวี่ยมีรังสีอย่างหนึ่งที่อาจอธิบายได้ ทำให้หัวใจนางเสมือนเชือกเส้นหนึ่งที่ถูกขึงไว้ ยามที่เที่ยวเล่นด้วยกัน หลานเยวี่ยมักจะขอความเห็นจากนางเสมอ ยามกินข้าวก็ให้นางสั่งอาหาร แต่นางก็มีนิสัยกลัวที่จะต้องเลือก นางประหม่าได้ง่ายๆ ไม่รู้เลยว่าควรไปไหน ควรกินอะไร เนื่องจากไม่ว่าไปไหนกินอะไร ล้วนทำให้นางนึกถึงเยี่ยนเฉิน…


หลานเยวี่ยก็อยากแนบชิดสนิทสนมกับนางยิ่งขึ้นเช่นกัน อย่างเช่นอยากโอบกอดนาง แต่เขาเข้าใกล้เพียงเล็กน้อยนางก็ตระหนกแล้ว เส้นขนทั้งร่างแทบจะลุกชันขึ้นมาด้วยความระแวง นางไม่อยากให้เขากอดนาง ถึงขั้นที่เขาจับมือนางนิดหน่อย นางก็อยากชักออกมาตามสัญชาตญาณตลอด…


นางชอบคลอเคลียผู้อื่นชัดๆ แต่กับหลานเยวี่ยแล้วทั้งไม่กล้าและไม่อยาก


ยามที่อยู่กับเยี่ยนเฉินนางรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง แต่เมื่ออยู่กับหลานเยวี่ยนางรู้สึกว่าตนเป็นสตรี ต้องเป็นสตรีที่มีความรับผิดชอบ


กู้ซีจิ่วมองนางอยู่สักพัก ถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “จิ้งจอกน้อย เจ้าถามใจตนให้ดีเถิด ว่าสรุปแล้วอยากอยู่กับผู้ใดกันแน่ คนสองคนเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วก็ต้องอยู่กันไปชั่วชีวิต อยู่ด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวัน ให้กำเนิดบุตรธิดา…”


หลานไว่หู่สั่นระริกแล้ว มือขยุ้มมุมผ้าห่มแน่น วันหน้านางต้องอยู่กับหลานเยวี่ยไปชั่วชีวิต แถมยังต้องให้กำเนิดบุตรธิดากับเขาด้วยใช่ไหม?


ในใจหวาดผวาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ถึงขั้นที่เกิดความรู้สึกว่าอยากหนีไปขึ้นมาวูบหนึ่งด้วย!


กู้ซีจิ่วเอ่ยอีกว่า “เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงานมิใช่การละเล่นของเด็กน้อย อย่าได้เอาชั่วชีวิตของตนมาทิ้งเพราะความโกรธชั่วขณะเลย โดยเฉพาะเจ้าที่เป็นเผ่าจิ้งจอกคราม ชั่วชีวิตของเจ้าเนินนานยิ่งนัก…”


เธอหันหลังจะจากไป หลานไว่หู่กลับเอ่ยโพล่งออกมา “แต่ข้าแพ้พนันเขาไปแล้ว หมั้นหมายแล้ว ยังถอนหมั้นได้อีกหรือ? หลานเยวี่ยบอกว่าเผ่าจิ้งจอกครามถ้าหมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการแล้วก็เหมือนการแต่งงาน ไม่อาจเพิกถอนได้!”


เผ่าจิ้งจอกครามมีกฎเช่นนี้ด้วยหรือ? คงมิใช่ว่าหลานเยวี่ยหลอกลวงจิ้งจอกน้อยกระมัง?


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว ตบไหล่หลานไว่หู่เบาๆ “นี่ก็ต้องถามหัวใจของเจ้าเองแล้ว! จิ้งจอกน้อย เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อการเลือกของตัวเอง วางใจเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางไหน ข้าล้วนจะสนับสนุนเจ้า”


ไม่ว่าจะทำอะไร ขอเพียงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!


อย่าว่าแต่หมั้นเลย ต่อให้แต่งกันแล้ว ก็สามารถหย่าร้างได้!


หากว่าจิ้งจอกน้อยต้องการเพิกถอนสัญญาหมั้นหมายกับหลานเยวี่ยจริง กู้ซีจิ่วก็จะช่วยนาง เงื่อนไขแรกคือจิ้งจอกน้อยต้องเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งและมีความรับผิดชอบก่อน…


ทางเลือกอยู่ในมือของตัวจิ้งจอกน้อยเอง กู้ซีจิ่วก็แค่จุดประกายขึ้นมาเท่านั้น


ในที่สุดเธอก็ก้าวออกมาแล้ว ด้านนอกแสงจันทร์ดั่งน้ำค้างแข็ง เฉกเช่นปรอทบนพื้นดิน


เธอเงยหน้ามองจันทราบนฟากฟ้า ขึ้นสิบห้าค่ำจันทร์เพ็ญกลมมน ไม่รู้ว่าตี้ฝูอีจะกลับมาวันนี้ไหมนะ?


นับว่าเธอกับตี้ฝูอีแยกจากกันก็แปดวันแล้ว ตั้งแต่แต่งงานกันมานี่เป็นครั้งแรกที่เธอแยกกับเขานานขนาดนี้ รู้ว่าเรื่องที่เขาไปจัดการจะเป็นยังไงบ้าง?


ยามที่ตี้ฝูอีจะจากไปได้ทิ้งจดหมายไว้ให้เธอฉบับหนึ่ง บอกว่าจะออกไปตรวจสอบเรื่องหนึ่ง ให้เธอสงบใจคอยอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก่อน จัดการเรื่องราวของจิ้งจอกน้อย


————————————————————


บทที่ 1499 ประหารทั้งตระกูล


จวบจนยามนี้เขาก็ยังไม่กลับมา โชคดีที่ทุกสองวันเขาจะติดต่อมาหาเธอ มิเช่นนั้นเธอคงเป็นห่วงเขาอีก


เธอมองดูท้องฟ้า วันนี้วันที่สิบห้าแล้วนะ!


อีกทั้งเขาไม่ได้ติดต่อมาหาเธอสองวันแล้ว คืนนี้ต่อให้ตัวเขาไม่กลับมา ก็คงติดต่อผ่านยันต์ถ่ายทอดเสียงพูดคุยกับเธอสักสองสามประโยคกระมัง?


เธอกลับไปที่เรือนของตัวเองก่อนเนื่องจากพะวงว่าตี้ฝูอีจะติดต่อมาหาเธอ เธอจึงไม่ได้นั่งสมาธิ เลี่ยงไม่ให้นั่งไปสักพักแล้วถูกขัดจังหวะ ไม่เป็นผลดีต่อการบ่มเพาะ


ที่เธอคาดไม่ถึงก็คือ เธอรออยู่ทั้งคืน ยันต์ถ่ายทอดเสียงก็ไม่มีเปล่งแสงว่ามีการติดต่อจากตี้ฝูอีเลย


ในระหว่างนี้เธอเคยลองเชื่อมต่อกับยันต์ถ่ายทอดเสียงของเขาดู แต่ก็เชื่อมต่อไม่ได้เลย ตี้ฝูอีน่าจะปิดยันต์ถ่ายทอดเสียงไว้ ทุกครั้งที่เขาปิดยันต์ถ่ายทอดเสียง ล้วนเป็นการไปทำภารกิจในสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง ต้องมีสมาธิจดจ่อ ไม่อาจวอกแวกได้แม้เพียงนิด


ดังนั้นหลายวันนี้กู้ซีจิ่วจึงเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาน้อยยิ่งนัก ด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนเขาที่กำลังทำธุระอันใดอยู่


ในจดหมายที่ตี้ฝูอีทิ้งไว้ให้เธอกล่าวไว้ว่าหยกมารเวหนที่ถูกจัดวางไว้ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ชิ้นนั้นไม่ธรรมดาเลย คล้ายว่ามิใช่วัตถุของโลกนี้ และมิคล้ายว่าเป็นสิ่งที่หลงฟั่นประดิษฐ์ขึ้น บางทีอาจยังมีมือมืดคนอื่นที่บงการอยู่เบื้องหลังอีก เขาออกไปข้างนอกเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้


ตี้ฝูอีตรวจสอบเรื่องนี้อย่างลับๆ นอกจากกู้ซีจิ่ว ผู้ใดล้วนไม่ทราบทิ้งสิ้น เพื่อป้องการไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลออกไป เวลาที่ตี้ฝูอีติดต่อกับเธอจึงไม่กล่าวถึงความคืบหน้าของการตรวจสอบ เพียงให้เธอวางใจ ไม่จำเป็นต้องกังวล…


ช่วงเวลาคล้ายจะรีบร้อนยิ่งนัก ทุกครั้งล้วนป็นการพูดจาสองสามประโยค และไม่เคยพูดคำหวานเลยสักคำ เพียงแต่ทำให้ทั้งสองฝ่ายล้วนทราบว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดียิ่ง


กู้ซีจิ่วรออยู่ทั้งคืนก็ไม่ได้รับถ้อยคำจากตี้ฝูอีเลย กลับได้รับข่าวจากไป๋หลี่เช่อแทน น้ำเสียงไป๋หลี่เช่อร้อนรน “ซีจิ่ว แย่แล้ว! จักรพรรดิของอาณาจักรเฟยซิงจับกุมทั้งตระกูลของเจ้าด้วยข้อหากบฏ ยามนี้อยู่ในคุกหลวง จะถูกสำเร็จโทษต่อหน้าสาธารณชนในวันมะรืนแล้ว!”


กู้ซีจิ่วตะลึงงัน


ปฏิกิริยาแรกของเธอคือ หรงเจียหลัวบ้าไปแล้วกระมัง?!


….


อันที่จริงไม่ใช่แค่กู้ซีจิ่วคนเดียวที่รู้สึกว่าหรงเจียหลัวบ้า แม้แต่ราษฎรชาวเฟยซิงก็รู้สึกเช่นกันว่าจักรพรรดิองค์นี้วิปลาสไปแล้ว!


กู้เซี่ยเทียนผู้นี้ถึงแม้จะเลือดเย็นไปบ้างในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา แต่ก็เป็นขุนศึกห้าวหาญที่หาได้ยากผู้หนึ่งจริงๆ หลายปีมานี้เขาบุกเหนือพุ่งใต้กรำศึกเพื่ออาณาจักรเฟยซิง มีคุณูปการด้านการศึกมากมายจนนับไม่ถ้วน ในใจของราษฎรแล้ว เขาเปรียบได้กับเยวี่ยเฟยแห่งราชวงศ์ซ่งเลยทีเดียว!


ถึงแม้เมื่อก่อนเขาจะไม่ได้อยู่ฝ่ายองค์รัชทายาท แต่ต่อมาเป็นเพราะมีสาเหตุมาจากบุตรสาว จึงทุ่มเทปกป้องหรงเจียหลัว หลังจากหรงเจียหลัวครองราชย์แล้ว เขาก็ซื่อสัตย์ภักดีต่อจักรพรรดิองค์ใหม่ผู้นี้ ประพฤติตนตามหน้าที่ของขุนนางอย่างเคร่งครัด


เพียงแต่คงเป็นเพราะสองปีมานี้ไม่พอใจที่หรงเจียหลัวรบทัพจับศึกรุกรานตามอำเภอใจ เขาจึงอ้างเหตุผลว่าร่างกายเจ็บป่วย ต้องการถอดเกราะหวนคืนไร่นา มอบอำนาจด้านการทหารออกไป ทำตัวเป็นขุนนางเกษียณผู้ไม่ถามไถ่เรื่องทางโลก แต่ในใจของประชาชน เขายังคงเป็นผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่อยู่


กลับนึกไม่ถึงเลยว่าผู้กล้าคนหนึ่งจะโดนข้อหาฐานลอบก่อกบฏ ถูกบุกตรวจค้นกวาดล้างตระกูล ซ้ำยังถูกตัดสินให้รับโทษแล่เนื้อเถือหนังที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมที่สุดด้วย!


แล่เนื้อเถือหนังทั้งตระกูล!


แม้กระทั่งบุตรสาวทั้งสองของเขาที่ออกเรือนไปแล้วรวมถึงครอบครัวฝ่ายสามีก็ไม่ได้รับการยกเว้น…


ตระกูลกู้ยังคงเป็นตระกูลใหญ่เช่นกัน เมื่อรวมข้ารับใช้ใดๆ ในจวนเข้าไปด้วยแล้ว เป็นจำนวนคนกว่าสามร้อยชีวิตเลย ในนั้นรวมถึงเด็กน้อยวัยแบเบาะที่ยังไม่ถึงสามขวบด้วย


ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาแล้ว บนท้องถนนที่กว้างขวางคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ราวกับประชาชนทั้งหมดล้วนพากันออกมา


ขั้นแรกคือจะมีเจ้าหน้าที่กองหนึ่งเปิดทาง ด้านหลังคือรถขนนักโทษที่สร้างจากไม้ รถขนนักโทษเหล่านี้สร้างขึ้นแบบพิเศษ ตรึงนักโทษเอาไว้ด้านใน มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมาด้านนอก


เนื่องจากคนที่ต้องรับโทษมีมากมายเกินไปจริงๆ ในรถขนนักโทษที่เดิมทีควรขังไว้คนเดียวจึงยัดไว้เจ็ดแปดคน ใหญ่บ้างเล็กบ้างคล้ายปลาซาร์ดีนที่ถูกอัดแน่นในกระป๋องเดียวกัน บนร่างล้วนสวมตรวนหนักอึ้งไว้ แม้แต่เด็กเล็กอายุหกเจ็ดขวบก็ไม่ได้รับการยกเว้น…


กู้เซี่ยเทียนถูกขังไว้คนเดียวในรถขนนักโทษคันหนึ่ง ตรวนที่สวมอยู่บนร่างเขาก็เป็นแบบพิเศษเช่นกัน ไม่เพียงแต่หนักเป็นพิเศษเท่านั้น แต่ด้านในของห่วงที่คล้องตรงแขนขายังเต็มไปด้วยตะปูเหล็กอีก ตะปูเหล็กเหล่านั้นแทงลึกเข้าไปในข้อมือข้อเท้าของเขา ทำให้เขาที่อยู่ในรถขนนักโทษไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยสักนิด


สายตาของประชาชนนับไม่ถ้วนล้วนมองเขา มองอดีตแม่ทัพผู้เคยสง่างามเกรียงไกร ยามนี้กลับตกอับจนเหมือนยาจกขอทาน เรือนผมขาวโพลน สยายยุ่งเหยิงบนบ่า เขาน่าจะได้รับโทษทัณฑ์อย่างอื่นมาด้วย ดวงหน้าที่เคยทะนงองอาจบัดนี้ฟกช้ำบวมปูด บนร่างเกรอะกรังด้วยคราบโลหิต…


ที่อาณาจักรเฟยซิง มีเพียงคนที่ก่ออาชญากรรมที่เลวร้ายเป็นที่สุดเท่านั้นถึงจะถูกสำเร็จโทษด้วยการแล่เนื้อเถือหนัง คนเหล่านั้นล้วนถูกปวงชนชิงชังเดียดฉันท์ ดังนั้นปกติแล้วยามเมื่อรถขนนักโทษจำพวกนี้ค่อยๆ เคลื่อนไปตามท้องถนน ประชาชนจะโยนก้อนหินไข่เน่าผักเน่าอะไรจำพวกนั้นใส่รถขนนักโทษ เป็นการแสดงความแค้นเคืองหยามหมิ่น


ข้อหาที่กู้เซี่ยเทียนได้รับในครั้งนี้คือสมคบคิดต่างอาณาจักรก่อกบฏอะไรทำนองนั้น ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ข้อหาประเภทนี้เป็นที่ชิงชังเดียดฉันท์ของประชาชนยิ่งนัก และทำให้ประชาชนปาไข่เน่าใส่ได้ง่ายที่สุด


แต่หนนี้ยามที่รถขนนักโทษเหล่านี้ค่อยๆ เคลื่อนไปตามท้องถนน เหล่าประชาชนกลับคล้ายว่าสูญเสียเสียงไปเกือบหมดแล้ว มองรถขนนักโทษเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบงัน เมื่อเห็นสภาพของนักโทษในรถขนนักโทษเหล่านั้น ดวงตาของเหล่าปวงชนก็ความแค้นเคืองและความไม่เป็นธรรมวาบผ่านขึ้นมา…


ไม่มีใครเชื่อว่ากู้เซี่ยเทียนจะทรยศอาณาจักร แต่ยามนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกุมอำนาจไว้ วิธีบังคับกดดันของเขารุนแรงนัก ทำให้ประชาชนไม่กล้าพูด ไม่กล้าออกเสียง แต่ละคนเพียงแต่กำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อ!


ขันทีที่นางอยู่ด้านหน้าร้องเสียงแหลมขึ้นมาเป็นระยะๆ “กู้เซี่ยเทียนทรยศบ้านเมือง ถึงตายก็ยังไม่สาสม!”


เสียงแหลมกังวาน ก้องสะท้อนบนถนนใหญ่


เมื่อก่อนยามที่เสียงนี้ดังขึ้นมา ไข่เน่าเหม็นและผักหญ้าเน่าเสียจะปลิวว่อนมาจากทุกทิศ แต่หนนี้ไม่รู้ว่าขันทีคนนั้นร้องตะโกนไปสักเท่าไหร่แล้ว ประชาชนสองข้างทางกลับเสมือนท่อนไม้ ไม่มีใครตอบสนองเลย…


ยามที่เคลื่อนผ่านชั้นล่างของภัตตาคารแห่งหนึ่ง มีคนไม่กี่คนที่ถูกราชสำนักซื้อตัวไว้นานแล้วแสร้งทำตัวเป็นชาวบ้าน ปาไข่เน่าไม่กี่ฟองใส่หน้ากู้เซี่ยเทียน แต่กลับเป็นการดึงดูดให้คนรอบข้างมองมาอย่างโกรธเคือง…ทำให้ไม่กี่คนนั้นก็ค่อนข้างละอายเช่นกัน


ลานประหารตั้งอยู่ในจัตุรัสขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง เพียงพอให้จุคนหลายพันคนได้สบายๆ


เพื่อป้องกันคนมาชิงตัวนักโทษ ลานแห่งนี้จึงถูกผนึกไว้ชั่วคราว เหลือเพียงประตูใหญ่สี่บานเอาไว้สี่ทิศ ถึงแม้ประชาชนจะผ่านประตูใหญ่เข้ามาได้ แต่ต้องได้รับการตรวจสอบตัวตน และต้องถูกค้นตัว ไม่อนุญาตให้พกพาอาวุธทุกชนิด


สี่ด้านเป็นกำแพงเหล็ก ประตูใหญ่ก็หนาหนักไร้ใดเทียม ถ้าเกิดเรื่องปล้นตัวนักโทษขึ้น ประตูใหญ่จะปิดทันที คนที่มาปล้นตัวนักโทษมีแต่ต้องถูกจับกุมอยู่ด้านในอย่างอับจนปัญญา อยากหนีก็หนีไม่รอด


รถขนนักโทษค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่ลาน ประชาชนก็ติดตามเข้ามาด้วย


บนลานมีแท่นสูงขนาดใหญ่แท่นหนึ่ง บนแท่นสูงติดตั้งเสาเหล็กไว้ร้อยกว่าต้น และนักโทษกว่าสามร้อยชีวิตก็ถูกลากออกมาจากรถขนนักโทษ บ้างก็ถูกให้คุกเข่าอยู่บนแท่นสูง บ้างก็ถูกมัดตรึงไว้บนเสาเหล็ก รอรับทัณฑ์ประหาร…


เนื่องจากมีคนมากมาย ซ้ำยังต้องประหารด้วยการแล่เนื้อเถือหนังอีก ไม่เพียงแต่เพชฌฆาตเท่านั้นที่มีไม่พอ เสาเหล็กเหล่านี้ก็มีไม่พอเช่นกัน จึงต้องแบ่งออกเป็นสามกลุ่มแล้วค่อยประหาร


ยามที่คนกลุ่มแรกถูกตรึงไว้บนเสาประหาร อีกสองกลุ่มที่เหลือก็ต้องคุกเข่ามองการประหารอยู่รอบข้าง…


คงเป็นเพราะต้องการมอบบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ให้แก่กู้เซี่ยเทียน เขาและบุตรสาวทั้งสองของเขาจึงถูกจัดไว้เป็นกลุ่มสุดท้าย พวกเขาต้องเห็นญาติมิตรคนอื่นๆ ถูกแล่เนื้อเถือหนังไปก่อน…


นี่เป็นการทรมานจิตใจอันใหญ่หลวงประการหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย กู้เซี่ยเทียนถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาแดงฉาน แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยสิ้นหวัง


กลุ่มแรกที่ถูกขึงไว้บนเสาประหารคือญาติพี่น้องส่วนหนึ่งของตระกูลกู้ ในบรรดานั้นมีหลานตาทั้งสามคนของกู้เซี่ยเทียนด้วย เด็กน้อยทั้งสามคนที่โตที่สุดเพิ่งจะห้าขวบเท่านั้น ถึงแม้เด็กน้อยจะไม่รู้ว่าอะไรคือการแล่เนื้อเถือหนัง แต่ถูกมัดไว้ตรงนั้นก็เจ็บปวดอย่างยิ่งแล้ว ร้องไห้งอแงอยู่ตลอด…เสียงร้องโหยหวน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุกาณณ์ต่างสะเทือนใจกันหมด!


“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน! ฮูหยินท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาเยือน!” เสียงตะโกนยาวกังวานแว่วจากที่ไกลๆ


—————————————————————


บทที่ 1500 การปล้นนักโทษอันน่าตกตะลึง 1


ฝูงชนถูกขับไล่ให้แหวกออกเป็นทางสายหนึ่ง เด็กหนุ่มองอาจสิบคนสาดน้ำล้างถนนอยู่ด้านหน้า เด็กสาวงดงามสิบคนที่ตามอยู่ด้านหลังใช้พรมแดงปูทาง เด็กน้อยอีกสิบคนที่อยู่ด้านหลังคอยโปรยบุปผา…


จากนั้นด้านหลังถึงเป็นเกี้ยวอ่อนนุ่มที่แบกโดยนักพรตหญิงสิบคนที่มีท่าทีสุขุมปานเซียน ที่นั่งอยู่บนเกี้ยวอันอ่อนนุ่มคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในอาภรณ์ม่วงหน้ากากเงินและเซียนหญิงลี่หวางในชุดขาวแผ่วพลิ้ว


เดิมทีบรรยากาศของที่นี่เปลี่ยวร้างวังเวงยิ่งนัก แต่ทันทีที่คนกลุ่มนี้เข้ามา ก็หรูหราตระการตาขึ้นไม่น้อยเลย


ประชาชนมองคนทั้งสองที่พูดคุยกันอยู่บนเกี้ยวนุ่มสองคันอย่างสบายใจ จากนั้นก็มองครอบครัวกู้เซี่ยเทียนที่ถูกขึงไว้บนเสาเหล็ก เมื่อนำทั้งสองฝ่ายมาเทียบกันดู แทบทุกคนล้วนกำหมัดแน่น!


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่เคยเป็นดั่งผู้กอบกู้โลกในดวงใจของปวงชน แม้นว่าประชาชนจะเห็นรถม้าของเขาอยู่ไกลลิบ ก็อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงเพื่อทำความเคารพ อยากร้องสรรเสริญ ทุกครั้งที่ได้เห็นล้วนปีติยินดีอยู่หลายวัน ปรารถนาจะสูดดมดินโคลนที่เขาย่ำผ่านยิ่งนัก นั่นเป็นการเคารพบูชานับถือมาจากก้นบึ้งของหัวใจ


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในปัจจุบันกลับเป็นดั่งฝันร้ายในใจของประชาชน ไม่ว่าเขาจะเหยียบย่างไปที่ใดล้วนเกิการสังหารนองโลหิตขึ้นเมื่อประชาชนเห็นรถม้าของเขาจะตัวสั่นสะท้าน คุกเข่าทำความเคารพเช่นกัน ทว่าในใจกลับปรารถนาจะลากเขาลงมาจากรถม้า กัดทึ้งเขาให้ตายทีละคำๆ…


ประชาชนทั้งหมดล้วนคุกเข่าลงไป ถูกบีบบังคับให้ต้อนรับการมาเยือนของเทพแห่งความชั่วร้ายผู้นี้


ประชาชนไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง ในลานอันกว้างใหญ่นอกจากเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยไม่รู้ความที่ถูกมัดไว้บนเสาเหล็กแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก


“หนวกหูเหลือเกิน…” ในที่สุดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เปิดปากแล้ว สายตาเย็นชาเฉยเมยของเขากวาดผ่านเด็กน้อยทั้งสามที่กำลังร้องไห้อยู่ น้ำเสียงคงมีเสน่ห์ดึงดูดเช่นที่ผ่านมา แต่ว่าวาจาที่กล่าวกลับทำให้ผู้คนที่อยู่ในลานล้วนหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างลับๆ “ตัดลิ้นของพวกเขาออกมาก่อนแล้วกัน”


“ขอรับ!” เพชฌฆาตรับคำสั่ง มือซ้ายจับคางของเหล่าเด็กน้อยไว้ ง้างปากพวกเด็กๆ ออก มือขวาชักกริชข้างกายที่เปล่งประกายเยียบเย็นขึ้นมา หมายจะตัดลิ้น


ประชาชนที่เฝ้ามองอยู่ด้านล่างแท่นต่างหน้าเปลี่ยนสี


ในยุคจีนโบราณ สิ่งที่เรียกว่าการแล่เนื้อเถือหนังคือการเฉือนเนื้อบนร่างคนออกมาทีละชิ้นๆ ต้องเฉือนกันนับพันดาบ ทำให้นักโทษได้รับเจ็บปวดทรมาน ถึงจะมอบความตายอันน่ายินดีให้ จำนวนครั้งในการแล่เนื้อเถือหนังก็แตกต่างกันไป หนักที่สุดคือเฉือนเป็นจำนวนสามพันหกร้อยครั้ง เบาที่สุดคือเฉือนแปดครั้ง


เพียงต่ยุคสมัยนี้กลับแตกต่างไปจากยุคโบราณที่ทุกคนรู้จัก  เมื่อก่อนไม่เคยมีการประหารด้วยการแล่เนื้อเถือหนังมาก่อน ดังนั้นเหล่าปวงชนจึงไม่ทราบว่าการเนื้อเถือหนังเป็นโทษทัณฑ์เช่นใด


ตระกูลของกู้เซี่ยเทียนเป็นตระกูลแรกที่ถูกตัดสินให้รับโทษแล่เนื้อเถือหนัง นี่จึงดึงดูดความสนใจให้ประชาชนมามุงดูกันเช่นนี้


สังหารคนก็เพียงตัดหัวเท่านั้น ประชาชนนึกว่าการแล่เนื้อเถือหนังจะเป็นทัณฑ์สังหารอย่างหนึ่ง เพียงมีขั้นตอนดำเนินการที่พิเศษขึ้นเท่านั้น


ดังนั้นยามที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสั่งให้ตัดลิ้นของเด็กๆ ก่อน สีหน้าของประชาชนด้านล่างจึงเขียวคล้ำไปหมด!


ต่อให้กู้เซี่ยเทียนมีโทษประหาร ต้องประหารเก้าชั่วโคตร แต่การตัดลิ้นก่อนก็โหดร้ายเกินไปหน่อยกระมัง!?


ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องลงมือกับเด็กด้วยหรือ?!


ฝูงชนค่อนข้างมีความวุ่นวายเกิดขึ้น ทุกคนทนไม่ไว้จึงเริ่มวิจารณ์ออกมา บางส่วนที่ค่อนข้างอารมณ์ร้อนอยู่แล้วก็ค่อนข้างข่มกลั้นความโกรธเคืองเอาไว้ไม่อยู่แล้ว


สีหน้าของกู้เซี่ยเทียนก็แปรเปลี่ยนเช่นกัน ตะโกนเสียงดัง “หยุดมือ!”


ถึงแม้เขาจะถูกควบคุมไว้ แต่ไม่ได้ถูกสกัดชีพจร การตะโกนครั้งนี้จึงกึกก้องทรงพลังยิ่งนักอยู่ ทำให้เพชฌฆาตที่กำลังจะลงทัณฑ์คนนั้นสั่นสะท้านเล็กน้อย หยุดลงตามสัญชาตญาณ


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมองไปทางเขา ยิ้มบางๆ “กู้เซี่ยเทียน เจ้ายังมีวาจาใดจะกล่าวอีกหรือ?”


“ข้าถูกผู้อื่นปรักปรำ เดือนร้อนไปถึงตระกูล ยามนี้จะถูกประหารทั้งตระกูลแล้ว เจ้าสั่งการให้สังหารในดาบเดียวก็พอแล้ว เหตุใดต้องตัดลิ้นเด็กด้วย? พวกเขายังเล็ก ยามนี้ร้องไห้งอแงก็เป็นเรื่องปกติ…” กู้เซี่ยเทียนเอ่ยอย่างโกรธแค้น


————————————————————————————-


บทที่ 1501 การปล้นนักโทษอันน่าตกตะลึง 2


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ้ม “ที่แท้ท่านแม่ทัพกู้ก็ไม่เข้าใจว่าอะไรคือการแล่เนื้อเถือหนัง…” เขาออกคำสั่งพัศดีด้านข้างคนหนึ่ง “ให้ความรู้ทุกคนเกี่ยวกับขั้นตอนดำเนินการของโทษทัณฑ์นี้เสียหน่อยเถิด”


พัศดีพยักหน้า ก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง บอกกล่าวขั้นตอนดำเนินการของการแล่เนื้อเถือหนังโดยละเอียดด้วยเสียงดังกึกก้อง…


เมื่อพัศดีกล่าวประโยคสุดท้ายจบลง สีหน้าชาวบ้านด้านล่างล้วนซีดเผือด!


โหดร้าย! โหดร้ายเกินไปแล้ว!


ที่แท้สิ่งที่พวกเขาจะได้เห็นเป็นโทษทัณฑ์ที่โหดร้ายและนองเลือดขนาดนี้! บางคนที่ใจไม่กล้าพอเริ่มล่าถอยไปด้านหลัง บางคนอยากออกไปด้านนอกในทันใด ไม่กล้าและไม่ต้องการเห็นภาพฉากนั้น!


ทว่าหลังจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายและเซียนหญิงลี่หวางเข้ามา ประตูบานใหญ่ทั้งสี่ทิศล้วนปิดลง ยามนี้ ถึงแม้พวกเขาอยากออกก็ออกไปไม่ได้


ส่วนนักโทษที่กำลังจะถูกโทษประหารชีวิตด้านบนแท่นแต่ละคนยิ่งหน้าถอดสี ร่างกายพลันสั่นสะท้านอย่างไม่อาจหยุดยั้ง


คนเหล่านี้ส่วนมากเป็นขุนพลที่ติดตามกู้เซี่ยเทียนออกศึกขึ้นเหนือล่องใต้ โรมรันพันตูในสนามรบที่อสูรกายเข่นฆ่าผู้คนดังผักปลา ทั้งชีวิตเห็นเหตุการณ์นองเลือดมากมายนับไม่ถ้วน ถึงขั้นที่พวกเขาก็ไม่กลัวตาย ยามถูกตรึงไว้บนเสาประหาร ยังยืนยัดได้อย่างห้าวหาญงามสง่า จะไปกลัวอะไรกับความตาย ศีรษะขาดก็แค่บาดแผลใหญ่เท่านั้น


ทว่าหลังจากได้ยินพัศดีพูดถึงขั้นตอนดำเนินการแล้ว คนเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน


ไม่มีผู้ใดแบกรับทัณฑ์ทรมานเยี่ยงนี้ได้!


เด็กและสตรีเหล่านั้นหวาดกลัวยิ่งนัก สีหน้าแต่ละคนซีดเผือด ร่างกายอ่อนปวกเปียก หลายคนเกือบเป็นลมล้มพับ


บุตรสาวทั้งสองกับอนุทั้งสองของกู้เซี่ยเทียนหวาดกลัวจนเป็นลมล้มพับไปแล้ว


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมองกู้เซี่ยเทียนอย่างสบายอารมณ์ “บัดนี้เข้าใจแล้วสินะ? การตัดลิ้นเป็นเพียงขั้นตอนแรก ขั้นตอนหลังจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่ากังวลไปเลย ตัดเฉือนเพียงครึ่งหนึ่งพวกเขาก็ตายแล้ว ข้าวคุกที่พวกเจ้ากินเมื่อเช้านี้มีโอสถยื้อชีวิตเสริมวิญญาณ ทำให้พวกเจ้าเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่มีทางเป็นลม ไม่มีทางล้มตายได้…”


วาจาโหดร้ายเยี่ยงนี้ เขากลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้ทั้งลานกว้างเงียบสงัดในพริบตาราวกับป่าช้า!


กู้เซี่ยเทียนเดือดดาลอย่างสุดขีด ดวงตาแดงก่ำปานสายเลือดมองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เขาทุ่มสุดตัว “ข้าไม่ได้สมคบต่างอาณาจักรก่อกบฏ! ข้าจงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่ออาณาจักรเฟยซิงชั่วชีวิต มิเคยเอาใจออกห่าง! เป็นเจ้าต่างหากที่เล่นเล่ห์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว! ตี้ฝูอี ประหารชีวิตก็แค่ให้ศีรษะถึงพื้น เหตุใดจะต้องทรมานถึงเพียงนี้ เจ้าโหดร้ายเยี่ยงนี้ กรรมจะตามสนองเจ้า!”


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ้มบางๆ “กรรมตามสนอง? ข้าเป็นตัวแทนสวรรค์! โชคชะตาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ข้ามีแต่จะทำให้ผู้อื่นถูกกรรมตามสนอง!”


เขาพลันโบกสะบัดมือ สั่งการพัศดีผู้นั้นอ่านข้อหาของกู้เซี่ยเทียนอย่างเป็นทางการ


นี่เป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ  พัศดียืนด้านบนแท่นคลี่กระดาษยาวหนึ่งหน้ากระดาษ เริ่มอ่านออกเสียงดังกึกก้อง


สิ่งที่พัศดีอ่านมีเนื้อความว่าเขาไม่สำนึกบุญคุณเก่า สมคบต่างอาณาจักรก่อกบฏ ลอบสังหารจักรพรรดิ…ข้อหาจำพวกนี้


ถ้อยคำและประโยคกึ่งภาษาทางการกึ่งภาษาพูด ทั้งน่าเบื่อและยืดยาว ชาวบ้านก็ฟังเข้าใจคร่าวๆ แล้ว…


ก่อนการประหารชีวิต หลังจากอ่านข้อหาเสร็จสิ้น ชาวบ้านด้านล่างไม่ด่าทอผู้ถูกประหารชีวิตก็ร้องเรียก กล่าวโดยสรุปคือคึกครื้นเป็นอย่างมาก


ทว่ายามนี้เมื่อพัศดีอ่านจบ เบื้องล่างกลับเงียบงันผิดปกติ


แทบทุกคนล้วนรู้ดีว่ากู้เซี่ยเทียนถูกปรักปรำ ข้อหาเหล่านั้นที่ด้านบนอ่านเป็นเพียงการกล่าวโทษ ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง


วีรบุรุษผู้กล้าของอาณาจักรต้องมาจบชีวิตลงอย่างน่าอนาจเช่นนี้ ทุกคนแทบจะข่มอารมณ์ความหดหู่และไม่พอใจไว้ตรงนั้น หากไม่ใช่การใช้อำนาจบีบบังคับ ดูถูกเหยียดหยามของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทุกคนระเบิดออกมานานแล้ว!


เมื่ออ่านข้อหาจบลงก็ถึงเวลาประหารชีวิตที่แท้จริงแล้ว


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ้มบางๆ “นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้โทษทัณฑ์ประเภทนี้ เพชฌฆาตอาจยังไม่ค่อยถนัดมือเสียเท่าใด ลองมือสักสิบคนดูก่อนเถิด ทุกคนจะได้เห็นชัดเจนและเข้าใจมากขึ้น”


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)