คัมภีร์วิถีเซียน 1484-1488
ตอนที่ 1484 ภูตหญิง
หานลี่เห็นเช่นนั้นรูม่านตาพลันหดเล็กลง แต่พลันร่ายอาคมกระตุ้นอยู่ในใจ
ไม่เห็นว่าเขามีท่าทีเคลื่อนไหวอีก ม่านลำแสงสีเทาทั่วทั้งขอบฟ้าและเปลวเพลิงห้าสีสลายออก กลายเป็นเส้นไหมสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนและผลึกลำแสงห้าสีพุ่งลงมา ทะลุผ่านทุกอย่างด้านล่างในรัศมีสองสามลี้
เงาสีดำเหล่านั้นถูกโจมตีแล้วทยอยกันสลายหายไป
แต่เงาสีขาวตนอื่นๆ กลับแยกร่างออกอีกครั้งในชั่วพริบตาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น!
ครานั้นเห็นเพียงเส้นไหมสีเทาและผลึกลำแสงที่อยู่ไกลออกไปพุ่งแหวกอากาศออกไปกระจายตัวอยู่เต็มท้องฟ้า แต่เงาสีขาวที่อยู่ใต้นั้นกลับตายแล้วเกิดใหม่ เกิดแล้วตาย ราวกับว่าไม่อาจสังหารให้หมดไปได้อย่างไรอย่างนั้น
ครานี้ไม่ใช่แค่หยวนเหยาละพวกสตรีทั้งสองจะตะลึงจนตาค้าง หานลี่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน
แต่ในตอนนั้นฉับนั้นจิตสัมผัสของเขาพลันจับอะไรได้ ร่างกายลางเลือน หันกายไปร้อยแปดสิบองศา ใบหน้ามองไปทางด้านหลัง
ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปยังกลางอากาศที่ว่างเปล่าใกล้กันนั้น!
แววตาฉายแววโหดเ**้ยม หว่างคิ้วมีรอยโลหิตสายหนึ่งปรากฎขึ้น จากนั้นลูกตาสีดำดวงหนึ่งพลันปรากฎออกมา
นั่นก็คือเนตรวิญญาณทลายของหานลี่!
จากการบ่มเพาะมาหลายปี ครานี้ลูกตาดวงนี้เป็นสีดำเข้มยิ่งกว่าเดิม แค่มองมาก็ให้ความรู้สึกประหลาดเหมือนจะถูกสูบวิญญาณแล้ว
ส่วนลึกในรูม่านตาของนัยน์ตาดวงนี้เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ พ่นลำแสงขนาดเท่าหัวแม่มือออก เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!
กลางอากาศที่ว่างเปล่าพลันบิดเบี้ยว ลำแสงสีดำเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งปรากฎขึ้น ทันใดนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป!
ในเวลาเดียวกันเงาสีขาวสายหนึ่งก็เซถลาพร้อมปรากฎตัวขึ้น ร่างกายพลิ้วไหวแล้วมาปรากฎตัวห่างออกไปสิบจั้งเศษ
ร่างของเงาสีขาวเงานี้ไม่ลางเลือนเหมือนก่อนอีก กลายเป็นชัดเจนมาก เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา
คาดไม่ถึงว่าเป็นสตรีที่มีเสื้อคลุมสีขาวชัดหนึ่งห่อหุ้มเรือนกายเอาไว้
ชุดคลุมเปล่งแสงเจิดจ้าเป็นพิเศษ ดูเหมือนไม่เปื้อนเปรอะเลยสักนิด ระเบิดเมื่อครู่ไม่อาจทำอะไรนางได้เลยัสกนิด
ส่วนร่างกายของนางนั้นดูแล้วสะโอดสะองมาก สัดส่วนสมบูรณ์อวบอัด และยิ่งไปกว่านั้นยังมีปอยผมสีดำขลับโผล่ออกมาจากชุดคลุม
ถึงแม้จะเป็นเพราะก้มศีรษะลงต่ำ จนไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ แต่ก็ดูเหมือนยิ่งงามประจำแคว้น
หานลี่มองสตรีผู้นี้ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย เผยสีหน้าระวังภัยออกมา
จิตสัมผัสที่กวาดออกไปเมื่อครู่ กลับถูกชุดคลุมประหลาดกั้นเอาไว้ ไม่อาจคำนวณพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายได้
ทว่าจากการประมือกันเมื่อครู่ อีกฝ่ายน่าจะไม่ใช่ปีศาจระดับสูงธรรมดาๆ
คราที่สตรีชุดคลุมสีขาวถูกหานลี่ใช้เนตรทลายบีบจนออกมาจากลางอากาศ ในที่สุดเงาสีขาวจำนวนมากที่อยู่อีกด้านก็หยุดแยกตัวแล้วหายวับไป
หานลี่พลิกฝ่ามือกวักเรียกโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
หมอกลำแสงสีเทาและเปลวเพลิงห้าสีที่อยู่กลางอากาศหายวับไปเช่นกัน
และฝ่ามือที่แยกสีดำขาวชัดเจนภายในแขนเสื้อของเขาคู่นั้น ก็มีลำแสงประหลาดๆ ไหลโคจรอยู่ที่ผิวหนัง
“ฮิๆ” เสียงหัวเราะประหลาดๆ ดังออกมาจากปากของสตรีชุดขาว จากนั้นพลันยกมือข้างหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีกลิ่นอายของดินปืนขึ้น ตะปบมาทางหานลี่
แขนและแขนเสื้อเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะหายวับไปในชั่วพริบตาที่ยืดออกมา!
สถานการณ์ประหลาดเช่นนี้ทำให้หานลี่อดที่จะตะลึงค้างไม่ได้
แต่ไม่รอให้เขาได้มีปฏิกิริยายาตอบสนองว่าเกิดอะไรขึ้น เบื้องหน้าห่างออกไปแค่คืบก็มีเงาสีขาวสว่างวาบ แขนสีขาวที่หายไปข้างนั้นยืดออกมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น แขนเสื้อสะบัดกรงเล็บกระดูกสีขาวข้างหนึ่งมาประชิดคอหอยของหานลี่ราวกับเคลื่อนย้ายมา แล้วตะปบเข้าไปอย่างรุนแรง
ปลายนิ้วยาวสองสามชุ่นทั้งห้ามีลำแสงเย็นยะเยือกกระพริบวาบ!
“เหวอ!”
แม้ว่าหานลี่จะเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังสะดุ้งเฮือก กรงเล็บกระดูกมาปรากฎอย่างประหลาดเช่นนี้ แม้ว่าร่างกายจะรวดเร็วแค่ไหน มีอิทธิฤทธิ์อะไร ก็ไม่ทันได้สำแดงออกมาแม้แต่น้อย
“ตูม” เสียงเหมือนของหนักๆ ปะทะกันดังขึ้น แขนกระดูกจับคอหอยของหานลี่เอาไว้แน่น
แต่พริบตาที่กรงเล็บกระดูกสัมผัสกับผิวหนัง คอของหานลี่ก็มีลำแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นโดยอัตโนมัติ เกล็ดสีทองเป็นแผ่นๆ ปรากฎขึ้น
มือกระดูกที่ดูแหลมคมตะปบลงไป คาดไม่ถึงว่าจะดีดออกมาท่ามกลางลำแสงสีทอง
ร่างของหานลี่สั่นเทิ้ม ถอยร่นไปสองก้าวอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ลำแสงสีทองบนคอยังเปล่งแสงรุ่งโรจน์ แม้แต่ขนสักเส้นก็ไม่ได้สัมผัส
หานลี่มีสีหน้าซีดขาวและเขียวคล้ำ สะบัดแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว สายรุ้งสีทองสายหนึ่งม้วนวนออกไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ม้วนแขนสีขาวเอาไว้ข้างใน
กระบี่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีทองกลืนกินแขนข้างนั้นเอาไว้จนมิด!
หลังจากเสียง “กึกๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระบี่ลำแสงกลับเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าออกมา
กระบี่ลำแสงสีทองสับลงไปบนแขนเสื้อก็แค่มีลำแสงสีขาวนวลชั้นหนึ่งซัดออกมา
คาดไม่ถึงว่าแขนข้างนั้นจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด!
หานลี่หน้าเหยเกไปเล็กน้อย อ้าปากออกอย่างไม่ต้องคิด พ่นลูกบอลเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา
แต่การกระทำนี้กลับสายไปเสียแล้ว!
สตรีชุดขาวทที่ตกตะลึงจากการที่การตะปบครั้งนั้นไม่สำเร็จได้สติกลับคืนมา ไหล่ทั้งสองสั่นเทิ้ม
แขนสีขาวเบื้องหน้าหานลี่หดเล็กลง แล้วหายวับไปอย่างแปลกประหลาด
ลูกบอลเพลิงพลันโจมตีไปยังความว่างเปล่า
ในเวลาเดียวกันไหล่ของสตรีชุดขาวที่แต่เดิมนั้นว่างเปล่า ก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ แขนฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม
หานลี่มองสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วสะบัดแขนข้างหนึ่งออกไป ไข่มุกกลมสีเขียวสี่ห้าเม็ดกลิ้งมาอยู่ในมือ
ส่วนฝ่ามืออีกข้างพลันมีลำแสงสว่างจ้า กำไลเก็บอสูรวิญญาณขนาดเท่าฝ่ามือถูกฝ่ามือคว้าเอาไว้
ภูตเบื้องหน้าแปลกประหลาดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาวในด้านห้วงมิติเวลา เขาจึงไม่อยากเสี่ยงอันตรายอะไรอีก การประมือครั้งต่อไปจึงคิดจะเรียกอสูรวิญญาณครวญออกมา และอาศัยไข่มุกอัสนี ใช้อัสนีจัดการอีกฝ่าย
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่มาเสียเวลาพัวพันอะไรนัก
ดูเหมือนว่าจะมองออกวว่าการลงมือครั้งต่อไปของหานลี่ต้องไม่ธรรมดา สตรีชุดขาวจึงไม่ได้รีบร้อนปล่อยมือออกมาอีกครั้ง กลับค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ชุดคลุมบนศีรษะค่อยๆ ตกลงมา เผยหน้าตาที่แท้จริงของนางออกมา
“เหวอ!” เมื่อเหยียนลี่และหยวนเหยาที่ถูกการประมือของหานลี่และสตรีชุดขาวทำให้ตกตะลึงจนตาค้างด้านข้างเห็นใบหน้าของสตรีชุดขาวอย่างชัดเจน ก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี
หลังจากที่หานลี่เพ่งพินิจมองแล้ว ก็สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
เห็นเพียงใบหน้าครึ่งหน้าที่ดูน่ากลัวอย่างสุดๆ ปรากฎขึ้นเบื้องหน้า
ใบหน้าครึ่งหนึ่งมีผิวสีเขียวมรกต ซูบผอมเป็นอย่างยิ่ง ครึ่งหนึ่งกลับมีริมฝีปากสีแดงไรฟันสีขาว สวยสะคราญเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งสองเป็นสีเขียว ไร้ซึ่งความรู้สึก กำลังจ้องเขม็งมายังหานลี่
หากเห็นใบหน้านี้ในตอนแรกก็ยังพอว่า แต่ร่างของสตรีผู้นี้ช่างเย้ายวนใจนัก ร่างกายอรชนอ้อนแอ้น คราแรกให้ความรู้สึกงดงามเป็นอย่างยิ่ง ครานี้เห็นท่าทางที่น่าหวาดผวาเช่นนี้ กลับตาลปัตรเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนอดที่จะรู้สึกตะลึงงันไม่ได้
เรือนร่างของสตรีภูตชุดขาวเปล่งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญต่ำๆ ออกมา หมอกสีขาวเป็นกลุ่มๆ ปรากฎขึ้นรอบๆ
เงาภูตต่างๆ ขนาดเท่าล้อรถในม่านหมอกปรากฎขึ้นลางๆ บ้างก็แยกเขี้ยวตะปบเล็บ บ้างก็ร้องคำรามไม่หยุด ล้วนมีท่าทีดุดันเป็นพิเศษ
หานลี่พลันตื่นตกใจ ฝ่ามือที่คว้ากำไลเก็บอสูรวิญญาณเอาไส้เปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า คิดจะเรียกอสูรวิญญาณครวญออกมา
แต่ชั่วพริบตานั้นเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังออกมาจากส่วนลึกของม่านหมอก
เสียงนั้นดังสนั่นจนทำให้หูของหานลี่อื้ออึง แม้แต่ภูตหมอกพวกเดียวกันก็ยังหมุนวน
หยวนเหยาและเหยียนลี่สตรีทั้งสองได้ยินเสียงนี้ ก็ใจเต้นระรัว
ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่ใช่เสียงที่ออกจากสี่ราชันย์ปีศาจ ก็คงเป็นภูตร้ายกาจอะไรสักอย่างที่อาศัยอยู่แถวนี้ถึงจะถูก
หานลี่มีสีหน้าตึงเครียด ใจหายวาบ!
แต่ฉากที่ทำให้หานลี่และพวกทั้งสามนิ่งค้างพลันปรากฎขึ้น
ภูตหญิงชุดขาวได้ยินเสียงคำรามนี้ แววตาพลันฉายแววสีเขียวสว่างวาบ เสียงกรีดร้องบนร่างหยุดลง ลังเลเล็กน้อย หมอกสีขาวรอบกายม้วนมาที่ัร่างของนาง ร่างทั้งร่างและพายุสีขาวกลุ่มนั้นพุ่งหนีไปยังทิศทางที่เสียงคำรามดังมา
อีกฝ่ายยอมถอยไปเองโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่าหานลี่เองก็ไม่มีทางไปไล่ตามภูตหญิงตนนั้น แต่เขาพลันมองไปทางที่เสียงคำรามดังมา สีหน้ากลับบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสไม่แน่นอน
“พี่หาน พวกเรา…” เหยียนลี่อดไม่ไหวคิดจะเอ่ยถามอะไร แต่ประโยคที่ราบเรียบของหานลี่ก็ทำให้สตรีผู้นี้ปิดปากฉับในทันที
“พวกเรารีบไปกันเถิด ลิ่วจู่และพวกอาจจะอยู่ใกล้ๆ นี้ มิเช่นนั้นภูตหญิงตนนั้นไม่มีทางตรงไปยังพวกของตนทันทีแน่” หานลี่โบกมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หยวนเหยาและสตรีทั้งสองรู้ว่าคำพูดนี้มีเหตุผล ภายใต้ความหวาดผวาแน่นอนว่าจึงไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ ทั้งสามและทหารภูตส่วนหนึ่งจึงพุ่งออกไปนอกม่านหมอกทันที
ครั้งนี้เบื้องหน้าไม่มีภูตใดๆ มาขวางไว้อีก ในเวลาเดียวกันในที่สุดม่านหมอกก็ค่อยๆ เบาบางลง
หลังจากผ่านไปสามชั่วยามเบื้องหน้าของทั้งสามก็มีแสงสว่างจ้า ในที่สุดก็หนีออกจากหมอกลวงตาได้
ทั้งสามอดที่จะรู้สึกยินดีไม่ได้ ทันใดนั้นก็คิดจะบินหนีไปให้ไกล แต่ในตอนนั้นเองพลันมีเสียงของบุรุษที่ไม่คุ้นเคยดังออกมาจากจุดที่สูงขึ้นไป
“เอ๋! ยังมีคนออกมาจากเขตอาคมที่ข้าวางเอาไว้ได้อีก ข้าดูเบาพวกเจ้าไปหน่อยจริงๆ!”
หานลี่หยวนเหยาและพวกได้ยินคำนี้ หัวใจพลันเต้นระรัว ยกมือขึ้นเผยสีหน้าตกตะลึงจนตาค้างออกมา
เห็นเพียงใกล้ๆ กับหมอกภูตสูงขึ้นไปพันจั้งเศษ คาดไม่ถึงว่าจะมีกลุ่มคนสองกลุ่มยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่ตรงนั้น
หนึ่งในพวกนั้นคือหญิงงามผมขาวและมู่ชิง ปีศาจระดับสูงที่ยืนอยู่ด้านพวกเขาสิบกว่าตน ราชันย์ภูตเกราะทมิฬแปดตน ไกลออกไปหน่อยมีทหารภูตนับพันนับหมื่นยืนเรียงแถวราวกับวางเขตอาคมอยู่ พายุทมิฬพัดมาเป็นระลอกๆ ไอทมิฬพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
และคนที่ยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อกับพวกเขา จำนวนนั้นมากกว่าพวกของมู่ชิงสองสามเท่า เป็นกองทัพกองทัพหนึ่ง
คนเหล่านี้มีประมาณเจ็ดแปดพันตน ทุกตนสูงสองจั้ง สวมชุดเกราะสงครามสีแดงโลหิต ใบหน้าถูกหน้ากากโลหิตปกปิดเอาไว้จนมิด ในมือมีดาบ ทวน กระบี่ ง้าว ธนูแกร่งอยู่อย่างครบครัน ทุกตนลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกหัวกะทิที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงก็คือ ท่ามกลางกองทัพสีโลหิตนี้ยังมีรถสงครามสีเขียวอ่อนนับร้อยคัน รถสงครามเหล่านี้มีรูปทรงวิจิตรงดงาม ผิวเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับไม่หยุด ด้านบนต่างมีนักรบเกราะอยู่สิบกว่าตน มือถือขวานยาวเอาไว้ ส่วนสิ่งที่ลากรถกลับเป็นอสูรประหลาดสีดำที่ตัวเป็นสิงโตหัวเป็นมังกรวารีสองตัว บนร่างสวนชุดเกราะอยู่เช่นกัน แขนข้างทั้งสี่สั้นหนา กรงเล็บทั้งสีเปล่งแสงเย็นเยียบสว่างวาบ
กองทัพที่อยู่หน้าสุดคือขุนพลสามตนที่นั่งอยู่บนอสูรประหลาดแตกต่างกันไป ผู้ที่พูดเมื่อครู่ก็คือผู้ที่สวมชุดเกราะสีม่วง ที่แผ่นหลังสะพายค้อนยักษ์สีทองสองด้ามเอาไว้
แววตาของมู่ชิงและสตรีผมขาวเองก็กวาดมายังทางหานลี่และพวกทั้งสามเช่นกัน
สตรีผู้งดงามหนึ่งในนั้นมีสีหน้าไม่แยแส ดูไม่ออกว่ามีความประหลาดใจ แต่มู่ชิงกลับเผยสีหน้าอมยิ้มออกมา
หานลี่ใจเต้นตึกตัก อดที่จะร้องอุทานว่าแย่แล้วออกมาในใจไม่ได้!
ตอนที่ 1485 เผ่าแมลงเม่า
หยวนเหยาและเหยียนลี่เห็นนหญิงงามอยู่ที่นี่ ใบหน้าพลันหดเหลือสองนิ้ว สีหน้าซีดเผือด
“ที่แท้ก็ครึ่งภูตทั้งสองนี่เอง ข้าก็ว่าอยู่ว่าหนีออกจากเขตอาคมได้อย่างไร!”
ผู้ที่สวมชุดเกราะสีม่วงซึ่งไม่รู้ว่ามีประวัติความเป็นมาใด พิจารณาสตรีทั้งสองสองสามแวบก็มองหยวนเหยาและเหยียนลี่ออก แล้วจึงไม่ได้สนใจอีก
และกวาดสายตาไปตกอยู่บนร่างของหานลี่
แทบจะในพริบตานั้นหานลี่พลันรู้สึกว่ามีจิตสัมผัสอันน่าขนลุกกวาดมาบนเรือนร่างของตนเอง ท่าทางเหมือนอยากมองตนเองให้ทะลุปรุโปร่ง
หานลี่ขมวดคิ้วโคจรคาถาขับเคลื่อนภายในร่าง ชั่วขณะนั้นพลันกั้นจิตสัมผัสของอีกฝ่ายกว่าครึ่งเอาไว้นอกกาย
ในเวลาเดียวกันจิตสัมผัสก็กวาดไปทางคนผู้นั้น
ผลคือผู้ที่สวมชุดเกราะสีม่วงพลันเปล่งเสียงร้องอุทานออกมาในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันหน้ากระตุก
ขุนพลผู้นี้มีร่างกายเย็นเยียบ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่ร่างที่มีเลือดเนื้อ แต่ในร่างกลับไม่มีพลังภูตทมิฬอะไรเลย
หลังจากกวาดจิตสัมผัสไปที่ขุนพลคนอื่นๆ อีกสองคนรวมทั้งทหารเกราะโลหิตแล้ว นอกจากอสูรประหลาดที่ลากรถเหล่านั้นแล้ว ก็ไม่มีท่าทีมีชีวิตเลยสักนิดเช่นกัน
“หุ่นเชิด!”
ในหัวของหานลี่มีลำแสงสว่างวาบ เมื่อมองฐานะของเหล่าขุนพลชุดเกราะสี่มองออกแล้ว ใบหน้าก็มีความตะลึงงันขนาดไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
ดูจากท่าทางของหุ่นเชิดเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะควบคุมเหล่าภูตในแดนแม่น้ำอเวจี มิเช่นนั้นเมื่อครู่คงไม่กล่าวเช่นนี้ออกมา
ทหารเกราะสีแดงโลหิตที่อยู่ด้านหลังขุนพลทั้งสามนั้นไม่ต้องพูดถึง หุ่นเชิดขุนพลทั้งสามมีกลิ่นอายที่แปลกประหลาด น่าจะถูกสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายสิงร่างอยู่
มู่ชิงและหญิงงามไม่ได้ลงมือจัดการกับหุ่นเชิดเหล่านี้ในทันที เห็นได้ชัดว่ากำลังของหุ่นเชิดตัวนี้น่าจะไม่ด้อยไปกว่าสตรีทั้งสองรวมทั้งทหารทมิฬเหล่านั้น
มิเช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์ยืนต่อกรอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันได้อย่างไร คงถูกสตรีทั้งสองสำแดงอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรสังหารไปจนเกลี้ยงแล้ว
ส่วนลิ่วจู๋และตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ เมื่อเชื่อมโยงกับเสียงคำรามของภูตเ**้ยมที่ดังออกมาจากม่านหมอกเมื่อครู่แล้ว ดูแล้วทั้งสองก็น่าจะถูกกักอยู่ข้างในยังไม่อาจออกมาจากม่านหมอกได้
ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ขบคิดเช่นนี้ออกมา
“พวกเจ้าสองคนมานี่+” ฉับพลันนั้นมู่ชิงพลันกวักมือเรียกหานลี่
แม้ว่าหานลี่จะอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยยี่สิบก้าว ก็ทำได้เพียงกลายเป็นลำแสงหลีกหหนีบินเข้าไปอย่างใจดีสู้เสือ
“คารวะท่านอาวุโสทั้งสอง+” เมื่อหานลี่มาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงและพวกทั้งสอง ก็ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
“สหายหานจิตวิญญาณทองอยู่กับบเจ้าหรือไม่? ครานี้มันอยู่ที่ใด?” สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของหานลี่ก็คือ มู่ชิงไม่ได้ซักถามเรื่องที่หานลี่และพวกหนีออกมาจากหมอกภูต กลับถามถึงวานรสีทองตนนั้น
“ชนรุ่นหลังเองก็ไม่แน่ใจ ก่อนหน้านี้พี่จินและชนรุ่นหลังถูกภูตกระโจนเข้าใส่ม่านหมอก จึงคลาดกันไปนานแล้ว” นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรปิดบังอะไร หานลี่จึงตอบกลับไปอย่างซื่อสัตย์
“คลาดกัน!” มู่ชิงพลันขมวดคิ้ว
“ท่านอาวุโสมู่ ตรงข้ามนี้ใครหรือ อีกฝ่ายเป็นผู้วางหมอกภูตเหล่านี้หรือ?” หานลี่กวาดสายตาไปยังหุ่นเชิดฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างแช่มช้า
“ข้าและสหายหลานเพิ่งจะออกจากหมอกนี้ได้ไม่นาน เดิมทีคิดจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ทะลวงเขตอาคมทั้งหมดไป ผลคือถูกเจ้าพวกนี้ขวางเอาไว้ และยังไม่ทันได้ซักถามให้ละเอียด ทว่าครั้งที่แล้วตอนที่เข้ามาที่นี่ก็ไม่เคยพบเจ้าพวกนี้ เดาว่าน่าจะเหมือนกับพวกเรา เป็นคนภายนอกที่เข้ามาในแดนเหวพสุธา” มู่ชิงเองก็รู้สึกระแคะระหายขึ้นมา
“คนภายนอก!” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี
“สหายหานน่าจะรู้แล้วว่าผู้ที่อยู่ตรงข้ามเป็นกองทัพหุ่นเชิดสินะ แต่กลับไม่อาจประมาทได้ หัวหน้าหุ่นเชิดสามตนนั้นไม่ธรรมดา แม้แต่พวกเราลงมือเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสังหารมันได้จริงๆ” มู่ชิงมีน้ำเสียงเคร่งขรึมหลายส่วน มองไปยังฝั่งตรงข้าม
อีกด้านสตรีผู้งดงามผมขาวไม่ทันได้ตอบคำถามหยวนเหยาและพวกสตรีทั้งสองที่อยู่ข้างหาย กดลับมองไปยังหุ่นเชิดขุนพลสามคนที่อยู่ไกลออกไปแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเป็นอะไร แค่จะถามพวกเจ้าอีกครั้ง พวกเจ้าจะถอนเขตอาคมด้านล่างหรือไม่?”
“ถอนเขตอาคม? อย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย! คนภายนอกอย่างพวกเจ้ากล้าบุกเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแมลงเม่าอย่างพวกเรา และยังคิดจะเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพกวเราอีก ครั้งแรกผู้ที่บุกเข้ามาก็คือพวกเจ้าสินะ และยังเกือบจะถูกพวกเจ้าได้ไป ครั้งนี้จะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าไปจากที่นี่แน่” ขุนพลเกราะสีม่วงเย็นชาเอ่ยด้วยเสียงเ**้ยมเกรียม
“เผ่าแมลงเม่า!” หญิงงามผมขาวหน้าเปลี่ยนสี มู่ชิงที่อยู่ด้านก็ใจเต้นระรัว
หานลี่กลับขมวดคิ้ว ในหัวไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าประหลาดนี้เลยสักนิด
“พวกเจ้ารู้จักเผ่าเรา? ก็ดี หากพวกเจ้ายอมให้จับเสียโดนดี บางทีก็อาจจะไว้ชีวิตพวกเจ้าได้ มิเช่นนั้นต่อให้ครั้งนี้หนีไปได้ เผ่าเราก็จะส่งคนไปสังหารเจ้าที่แดนวิญญาณ” ขุนพลเกราะสีม่วงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างแข็งๆ ออกมา
เมื่อได้ยินคำข่มขู่ของขุนพลชุดเกราะสีม่วง หญิงงามผมขาวและมู่ชิงมองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้าพลันปรากฎสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
จากนั้นทั้งสองก็ถ่ายทอดเสียงกันตรงมุมปาก
ขุนพลชุดเกราะสีม่วงเห็นเช่นนั้น พลันหัวเราะอย่างเย็นชา และไม่ได้ขัดขวางอะไร
เมื่อการถ่ายทอดเสียงดำเนินต่อไป สีหน้าของหญิงงามผมขาวพลันบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ส่วนมู่ชิงสตรีผู้นั้นแค่ขมวดคิ้ว แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ เหมือนว่าจะคิดอะไรออก
“พวกเจ้าบอกว่าที่นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแมลงเม่า คำพวกนี้ต้องมีคนเชื่อถึงจะใช้ได้ เผ่าแมลงเม่าเปลี่ยนมาฝึกฝนพลังภูตทมิฬตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!” หญิงงามผมขาวกลับตอบกลับเช่นนี้
“เรื่องนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้! พวกเจ้าคิดว่าอากาศที่เกิดขึ้นรอบๆ น้ำของแม่น้ำอเวจีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือ?” ขุนพลชุดเกราะสีม่วงตอบกลับอย่างคลุมเครือ
หญิงงามและมู่ชิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้สึกเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายไปแล้วสองสามส่วน
“หึ ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าคือเผ่าแมลงเม่าจริงหรือว่าแอบอ้างมา ต่อให้พวกเจ้าเป็นเผ่าแมลงเม่าจริงๆ ก็มีเพียงสิ่งมีชีวิตระดับแมลงเม่าสวรรค์อยู่ที่นี่เท่านั้น พวกเราถึงจะหวาดกลัว ครานี้มีแค่สิง่ที่สิงร่างหุ่นเชิดเท่านั้น ยังจะกล้าพูดว่าให้พวกเรายอมจำนนนอีก” หลังจากขบคิดเล็กน้อย หญิงงามผมขาวมีสีหน้าโหดเ**้ยมฉายแวบผ่าน
มู่ชิงไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามอะไร แต่ใบหน้าพลันมีไอสีเขียวชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น!
ขุนพลเกราะสีม่วงได้ยินเสียงเหล่านี้ ดวงตาภายใต้หน้ากากพลันมีลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ ไม่พูดอะไรไร้สาระอีก มือหนึ่งตบไปที่อสูรประหลาดที่เหมือนกับแรด
ชั่วขณะนั้นอสูรตัวนี้พลันชูคอขึ้น สูดลมหายใจเข้าแรงๆ
เสียง “ซู๊ด” ดังขึ้น อากาศรอบๆ เหมือนถูกดูดให้จนหมด อ้าปากออกอีกครั้ง คำรามเสียงต่ำๆ ออกมา พ่นลูกบอลลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ตรงไปยังหญิงงามและพวก
เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากลูกบอลลำแสงสีเขียวที่กำลังหมุนวน!
หญิงงามมีสีหน้าเคร่งขรึม สองมือพลันร่ายอาคม แผ่นหลังมีลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ เงาภูตขนาดยักษ์ผมเผล้ากระเซอะกระเซิงปรากฎขึ้น ร่างขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ อ้าปากออก ลูกบอลสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาเช่นกัน
เมื่อลูกบอลลำแสงสองลูกสัมผัสกัน เสียงสั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินพลันปรากฎขึ้น!
ลำแสงสีเขียวและลำแสงสีดำตัดสลับพัวพันกัน ระหว่างคนสองกลุ่มมีเมฆยักษ์รูปเห็ดปรากฎขึ้น พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศพร้อมกับเสียงดังก้อง
หญิงงามเห็นเช่นนั้น ดวงตาทั้งสองพลันฉายแววโหดเ**้ยมอย่างต่อเนื่อง อ้าปากออกเปล่งเสียงร้องแหลมสูงยาวๆ พลันดังขึ้น
ชั่วขณะนั้นทหารภูตหลายพันตัวที่ด้านหลังพลันกลายเป็นพายุสีดำทมิฬท่ามกลางการบัญชาของราชันย์ภูตแปดตัว หมุนวนไปยังฝั่งตรงข้าม
ขุนพลชุดเกราะสีม่วงที่อยู่ตรงข้ามแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ยักไหล่ค้อนสีทองสองด้ามที่สะพายอยุ่ที่แผ่นหลังสั่นระรัวแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ ครู่ต่อมาก็มาปรากฎในมือทั้งสองมือ
“แม้ว่าจะเป็นแค่หุ่นเชิด แต่ก็สามารถสำแดงกำลังของข้าได้ครึ่งหนึ่ง” ขุนพลชุดเกราะสีม่วงใช้น้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับกระซิบเอ่ยพึมพำกับตเนอง ทันใดนั้นก็สะบัดแขนทั้งสอง
ค้อนสีทองสองด้ามเปล่งเสียง “สวบ” บินออกมาจากพร้อมกัน หมุนคว้างากลางอากาศ ลำแสงสีทองหมื่นสายสร้างภาพค้อนมายาสีทองนับร้อยด้ามออกมากลางอากาศ ทุบลงมาด้านล่างอย่างเงียบเชียบ
เสียงกรีดร้องยาวๆ แปดสายเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันท่ามกลางพายุทมิฬ จากนั้นเงาสีดำพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ราชันย์ภูตเกราะทมิฬแปดตนปรากฎขึ้นกลางอากาศต่ำๆ บ้างก็โยนอาวุธมีดในมือออกมากลายเป็นสายรุ้งสีดำสองสามสาย บ้างก็ใช้สองมือโจมตีไปกลางอากาศ บ้างก็อ้าปากพ่นหมอกสีดำเป็นกลุ่มๆ ออกมา
ลำแสงสีดำต่างๆ แปดกลุ่มสลายออก กลายเป็นม่านลำแสงสีดำชั้นหนึ่ง
เงาค้อนสีทองจมเข้าไป ไม่อาจดิ้นรนออกมาได้ราวกับปลาที่ติดอยู่ในแหอย่างไรอย่างนั้น
“แค่ลูกไม้ตื้น!” ขุนพลสวมชุดเกราะสีม่วงแววตาเคร่งขรึม เอ่ยอย่างไม่แยแส เขาร่ายคาถาในใจ เงาค้อนสีทองในตาข่ายระเบิดออกมาในเวลาเดียวกัน
ม่านลำแสงสีดำถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ท่าามกลางลำแสงสีทอง จากนั้นลำแสงสีทองก็หนักอึ้งหมายจะปกคลุมราชันย์ปีศาจแปดตนเอาไว้ข้างใน
แต่ในตอนนั้นเองมู่ชิงพลันลงมือ
สตรีผู้นี้พลิกฝ่ามือฝ่ามือหนึ่ง ตะปบออกไปกลางอากาศ
ลำแสงสีทองที่อยู่ด้านล่างมีกลิ่นหอมคละคลุ้งโชยมาระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นลำแสงวิญญาณหลากสีสันพลันเปล่งประกาย ดอกไม้ยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นกลางอากาศ
เสียงอึกทึกดังขึ้นเป็นระยะๆ เงาดอกไม้ช้อนลูกบอลลำแสงสีทองขึ้นมา ขวางเอาไว้กลางอากาศ
และเมื่อมีขนาดเช่นนี้ทหารภูตเกราะทมิฬพลันกลายเป็นพายุทมิฬ กระโจนเข้าไปฝั่งตรงข้าม
ขุนพลเกราะสีม่วงเองก็ไม่ได้พูดอะไร แค่โบกฝ่ามือมือหนึ่ง ชั่วขณะนั้นแถวหุ่นเชิดเกราะโลหิตที่มีคันธนูแกร่งด้านหลังก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที และง้างคันธนูออกในเวลาเดียวกัน
เสียง “ฟึ่บๆ” แหวกอากาศดังขึ้น ลูกธนูสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมายังพายุทมิฬราวกับห่าฝน
ลำแสงสีโลหิตเป้นกลุ่มๆ ระเบิดออกท่ามกลางพายุทมิฬ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป เงาภูตเลือนรางเหล่านั้นทยอยกันตกลงจากบนท้องฟ้า
แต่ชั่วพริบตานั้นพายุทมิฬที่ราชันย์ภูตทั้งแปดควบคุมอยู่ ก็ถูกหุ่นเชิดเกราะโลหิตในกองทัพกระโจนเข้าไป
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินพลันดังขึ้น!
ไม่ว่าราชันย์ภูตแปดตนหรือว่าภูตทมิฬเกราะจันทราธรรมดา ล้วนไม่มีผู้ใดไปหาเรื่องหุ่นเชิดขุนพลทั้งสามและหุ่นเชิดทั้งสามก็ไม่ได้เห็นเหล่าทหารภูตอยู่ในสายตา แค่เอาความสนใจไปไว้ที่หญิงงามผมขาวและมู่ชิงที่อยู่อีกด้าน
ส่วนหานลี่ หยวนเหยา และเหยียนลี่ที่อยู่ด้านข้าง แน่นอนว่าย่อมถูกพวกเขามองข้าม
ส่วนสตรีทั้งสองนั้นแน่นอนว่าย่อมจ้องเขม็งไปยังหุ่นเชิดสามตนเช่นกัน
นอกจากหุ่นเชิดเกราะสีม่วงแล้ว นอกจากนี้หุ่นเชิดที่แต่งกายเป็นขุนพลสองตนกลับดูพิเศษจริงๆ
ตนหนึ่งสูงสี่ห้าจั้ง มีสามตา สองมือถือขวานยักษ์ด้านหนึ่ง สวมเกราะสงครามสีเขียวประหลาดๆ ผิวเต็มไปด้วยหนามแหลมสีดำ เปล่งแสงระยิบระยับ ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกขวัญผวา
อีกคนหนึ่งกลับสูงแค่สองจั้งเศษ สวมเกราะสงครามสีแดงสด สองหัวสี่แขน แขนทั้งสี่ถืออาวุธสี่ชนิดที่ไม่เหมือนกันทั้งดาบ กระบี่ ทวน ขวานเอาไว้
พวกเขานั่งและขี่อยู่บนสิ่งที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว ล้วนมีเรือนกายสีแดงโลหิต เป็นอสูรประหลาดนิรนามที่คล้ายกับกระบืออย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ตั้งแต่ก่อนการประมือจนมาถึงตอนนี้ หุ่นเชิดสองตนนี้ล้วนเงียบขรึมไม่ปริปาก ราวกับว่าให้หุ่นเชิดเกราะสีม่วงเป็นผู้จัดการทุกอย่าง
แต่ในครานี้หุ่นเชิดสามตาผู้นั้นกลับเอ่ยปากกล่าวว่า
“ไม่จำเป็นต้องสู้จนตัวตายกับคนภายนอกเหล่านี้ ขอแค่ถ่วงเวลาพวกเขาเอาไว้สักสามเค่อ ข้าจะไปรายงานคนอื่น อีกเดี๋ยวพวกภูตอื่นๆ สังหารผู้ที่มาจากภายนอกอีกกลุ่มเสร็จ ก็จะมาเสริมทัพพวกเราแล้ว”
ตอนที่ 1486 รวมตัวอีกครั้ง
ขุนพลเกราะสีม่วงและหุ่นเชิดสองหัวได้ยินเช่นนี้ ล้วนพยักหน้าอย่างไม่มีข้อคิดเห็นเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะหุ่นเชิดนี้จะเป็นเจ้าเรื่องที่แท้จริง
น้ำเสียงของหุ่นเชิดสามตาไม่ได้จงใจลดระดับลง ไม่ต้องพูดถึงมู่ชิงและหญิงงาม แม้แต่หานลี่ หยวนเหยาและพวกทั้งสามก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน!
มู่ชิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา หญิงงามหยักมุมปากขึ้น เผยสีหน้ายิ้มเยาะออกมา
“หึๆ น้องหญิงมู่ ในเมื่อเขาอยากรอผู้ช่วย พวกเราก็รอหน่อยเป็นอย่างไร?” หญิงงามผมขาวหันหน้ามาเปล่งเสียงหัวเราะๆ ให้กับมู่ชิงขณะเอ่ย
“น้องหญิงเองก็ไม่มีข้อคิดเห็นอะไร เอาตามที่พี่หญิงหลันกล่าวก็แล้วกัน!” มู่ชิงหัวเราะน้อยๆ เอ่ยอย่างเห็นด้วย
หญิงงามผมขาวพยักหน้าสองมือหดเข้าไปในแขนเสื้อ เงาภูตขนาดยักษ์ปรากฎขึ้นที่ด้านหลัง และกำลังพลิ้วกายไปมา
มู่ชิงเองก็เอามืองกอดอกนิ่งอยู่บนดอกไม้สีทอง
ท่าทางของทั้งสองคือไม่คิดลงมือ!
ส่วนปีศาจระดับสูงและพวกของหานลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของพวกนางนั้น ในสภาวะการณ์ที่ไม่มีคำสั่ง ย่อมยืนมองทุกอย่างอยู่ด้านข้างเช่นกัน
ขุนพลหุ่นเชิดสามตนที่อยู่ตรงข้ามเห็นเช่นนั้น แววตาพลันฉายแววประหลาดใจ ทว่าวิธีการของสตรีทั้งสองเองก็ตรงตามเจตนาของพวกมันพอดี พวกมันเองก็ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ระยะประชิด แค่มองหญิงงามและพวกทั้งสองอย่างเย็นชาอยู่ไกลๆ เท่านั้น
ระหว่างดาบลำแสงและเงากระบี่ พายุทมิฬและลำแสงสีโลหิตโรมรันกันอยู่กลางอากาศไม่หยุด ระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง
บางครั้งก็มีหุ่นเชิดที่แหลกเป็นชิ้นๆ และทหารภูตที่กลายเป็นหลานท่อนร่วงลงมาจากท้องฟ้า หลังจากเสียงปังดังขึ้น พลันกลายเป็นไอสีดำเป็นกลุ่มๆ แล้วสลายหายไป
แต่ความแข็งแกร่งระดับหลอมร่างห้าตนกลับยืนคุมเชิงอยู่ไกลๆ ต่างรู้สึกหวาดกลัวซึ่งกันและกัน
ทางด้านหุ่นเชิดเกราะโลหิตนั้นมีอยู่จำนวนมาก และยิ่งไปกว่านั้นยังเชี่ยวชาญการร่วมมือกัน ส่วนทางด้านทหารภูตเกราะทมิฬนั้น เห็นได้ชัดว่ามีพละกำลังกว่าเท่าหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีราชันย์ภูตแปดตนผสมเข้าไปด้วย ก็ยิ่งเพิ่มพลังให้มากขึ้น ครานั้นกลับทำให้หุ่นเชิดสองสามพันถอยร่นไป ท่าทีดูเสียเปรียบมาก
หากไม่ใช่เพราะนักรบเกราะบนรถสงครามนับร้อยคันทางฝั่งหุ่นเชิดเกราะโลหิตไม่น่าหวาดกลัว และยิ่งไปกว่านั้นรถสงครามและอสูรประหลาดหุ้มเกราะล้วนมีอิทธิฤทธิ์อยู่เล็กน้อย พัวพันราชันย์ภูตกว่าครึ่งเอาไว้ เกรงว่าสถานการณ์คงย่ำแย่กว่านี้
หานลี่เห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันเผยสีหน้าขบคิดออกมาแวบหนึ่ง
หุ่นเชิดเกราะโลหิตธรรมดาเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เห็นได้ชัดว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองไม่เพียงพอ เป็นแค่หุ่นเชิดธรรมดาๆ เท่านั้น และไม่ได้ถูกจิตวิญญาณอะไรสิงร่างอยู่ ส่วนภูตทมิฬเกราะจันทราที่หญิงงามผมขาวฝึกฝนมาในครานี้นั้นพลันเผยพลานุภาพออกมา ภายใต้การโจมตีจากอาวุธใบมีดและพายุทมิฬเป็นระลอกๆ และหุ่นเชิดของฝ่ายศัตรูที่เข้ามาปิดล้อมเอาไว้นั้น ไม่แข็งเป็นน้ำแข็งสีดำก็ถูกใบมีดพายุสับัจนเป็นเจ็ดแปดส่วน
ราชันย์ภูตเกราะทมิฬแปดตนยิ่งสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมายิ่งกว่าเดิม ล้วนพ่นหมอกเมฆาออกมา กลายเป็นภูตยักษ์เกราะสีดำสูงสิบจั้งเศษ บนหัวมีเขาโคขนาดยักษ์งอกออกมา หน้าตาโหดเ**้ยม
แม้ว่าหุ่นเชิดเหล่านี้จะพยายามต้านทานอย่างสุดชีวิต ก็ยังถูกราชันย์ภูตเหล่านี้สับออกเป็นหลายส่วนอย่างง่ายดาย
ขุนพลหุ่นเชิดสามตนกลับไม่แยแสสถานการณ์นี้เลยสักนิด!
ดูเหมือนว่าลูกน้องที่ถูกทำลายไปจะไม่สำคัญต่อพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
หญิงงามขาวและมู่ชิงเห็นทหารภูตตกเป็นฝ่ายได้เพียง แน่นอนว่าย่อมรับชมต่อไปด้วยความสบายอารมณ์
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ หุ่นเชิดเกราะโลหิตก็เสียหายไปกว่าครึ่ง รถสงครามนับร้อยคันล้วนถูกพังราบ ส่วนทหารภูตเกราะจันทราก็เสียหายไปเกือบครึ่งเช่นกัน แปดราชันย์ภูตเองก็มีบาดแผลอยู่เต็มตัว
หญิงงามผมขาวเห็นเช่นนั้นแววตาพลันฉายแววเย็นเยียบ หันหน้าไปมองปีศาจระดับสูงตนอื่นๆ ด้านหลังแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าหมายจะออกคำสั่งอะไรสักอย่าง
แต่ในตอนนั้นเองส่วนลึกของไอหมอกพลันมีระลอกคลื่นที่ไร้สุ้มเสียงส่งออกมา หานลี่และพวกที่อยู่ในบริเวณนั้นพลันสั่นเทาอย่างแปลกประหลาดราวกับอากาศสั่นไหว
ท่าทางแปลกประหลาดเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้เหล่าขุนพลเกราะสีม่วง พวกหุ่นเชิด และเหล่าหญิงงามพากันสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง
แต่ทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไปนอกจากจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแล้ว ภายใต้สีเทาตุ่นๆ ก็มองไม่เห็นสิ่งแปลกประหลาดอะไร
ในคราที่หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ก็มีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยไม่แน่นอน เสียงร้องทุ้มต่ำดังออกมาจากจุดที่ไกลแสนไกล
ไกลออกไปมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังมา ท่ามกลางทะเลหมอกมีพระอาทิตย์สีขาวปรากฎขึ้น ทันใดนั้นพลันขยายใหญ่ขึ้น ชั่วพริบตาลำแสงสีขาวที่เจิดจ้าจนแสบตาก็ห่อหุ้มทะเลหมอกทั้งผืนเอาไว้
หลังจากที่ลำแสงสีขาวดับแสงลง พลังแรงกดที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาจากพระอาทิตย์สีขาวก็สลายหายไปอย่างแปลกประหลาด สร้างความหายนะขึ้นอย่างกำเริบเสิบสานไม่กลัวเกรง
“แย่แล้ว!”
หลังจากที่พวกของหญิงงามและหุ่นเชิดสามตนหลับตาลงอย่างไม่รู้สึกตัวแล้ว ก็สัมผัสได้ถึงพลังแรงกดที่น่ากลัว ร่างกายแทบจะพลิ้วไหวไปมาพร้อมกันอย่างไม่ต้องคิด กลายเป็นสายรุ้งสองสามสายพุ่งออกห่างจากม่านหมอก
ปฎิกิริยาตอบสนองของหานลี่ก็ไม่ได้เชื่องช้ากว่าคนเหล่านั้นเท่าไหร่นัก
ปีกที่แผ่นหลังสะบัด กลายเป็นประจุไฟฟ้าสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม
ส่วนหยวนเหยาและเหยียนลี่กลับเคลื่อนกายเข้าใกล้กัน ทันใดนั้นหมอกสีเทาก็หมุนวน ควบคุมพายุทมิฬกลุ่มหนึ่งบินหนีออกมา
ส่วนปีศาจระดับสูงตนอื่นๆ นั้นก็พากันตะเกียกตะกายแยกย้ายหลีกหนี
เสียงอัสนี “เปรี้ยงๆๆๆ” ดังมาจากจุดที่ไกลออกไปอย่างต่อเนื่อง พายุหมุนสีขาวกลุ่มหนึ่งพวยขึ้นไปบนท้องฟ้าจากกลางทะเลหมอก ราวกับมังกรเที่ยงแท้สีขาวตัวหนึ่งร้องคำรามแล้วกระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่ทันใดนั้นเสาพายุต้นนั้นก็สั่นกระเพื่อมท่ามกลางเสียงอัสนีฟ้าฟาด ฉับพลันนั้นก็แตกพร่างกระจายหายไป
เสียงกรีดร้องดังขึ้น พายุหมุนม้วนวนไปรอบด้าน ทุกจุดที่พายุพัดผ่านไป ราวกับชั้นบรรยากาศถูกฉีกขาด เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น!
แม้หมอกเหล่านั้นจะถูกวางเขตอาคมลึกลับเอาไว้ แต่เมื่อถูกพายุลูกใหญ่กวาดผ่านไป ก็สลายตัวออกอย่างไร้ซึ่งแรงต้าน หายวับไปท่ามกลางพายุ
ครั้นเมื่อหานลี่ปรากฎตัวอีกครั้งห่างออกไปพันจั้งเศษ และหันมามองที่เดิมพลันรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ
เห็นเพียงทะเลหมอกหนาๆ ที่มองไม่เห็นปลายทางแต่เดิมนั้นไม่มีอยู่แล้ว เห็นเพียงพายุสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนวนไปรอบด้านไม่หยุด
ตำแหน่งเดิมที่พวกเขาอยู่กลายเป็นโลกแห่งพายุหมุน เสียงกรีดร้องท่ามกลางพายุดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตาเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนไม่อาจมองเห็นมีดพายุที่กำลังโบยบินอยู่เต็มท้องฟ้าได้ พายุหมุนลูกนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก!
หุ่นเชิดทหารภูตที่เดิมกำลังต่อสู้กันนั้นหลบหนีไม่ทัน จึงถูกม้วนเข้าไปในพายุ ครานี้กำลังดิ้นรนอยู่ท่ามกลางพายุหมุน
แต่เสียงระเบิดตูมๆๆ และเสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากพายุ ไม่ว่าจะเป็นซากหรือกระดูกของหุ่นเชิดและทหารภูตเกราะจันทราก็แทบจะหายวับไปจนหมด
มีเพียงร่างของแปดราชันย์ภูตที่เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ และยังพยายามต้านทานอย่างสุดกำลัง แต่ก็มีท่าทีจะพ่ายแพ้อยู่รอมร่อ
หญิงงามเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าพลันดูไม่ได้ ฉับพลันนั้นปากก็เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา
ชั่วขณะนั้นแปดราชันย์ภูตพลันร้องคร่ำครวญด้วยเสียงแหลมสูง ร่างกายพลิ้วไหวกลายเป็นลูกบอลสีดำเป็นกลุ่มๆ พุ่งไปยังจุดเดียวกัน ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ลูกบอลลำแสงแปดลูกกลายเป็นลูกเดียว
จากนั้นผิวของลูกบอลลำแสงพลันมีลำแสงประหลาดๆ ไหลเวียน แล้วกลายเป็นภูตยักษ์สูงยี่สิบสามสิบจั้งตนหนึ่ง
เมื่อภูตตนนี้ปรากฎกายขึ้น ร่างกายพลันทะยานออกไป หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะกระโจนออกจากอาณาเขตของพายุหมุน จากนั้นก็พุ่งตรงไปหาหญิงงามผมขาวโดยไม่แม้แต่จะหันหัวกลับมา
ครานี้หุ่นเชิดขุนพลสามตนกลับมองไปยังพายุหมุนด้วยแววตาที่เปล่งประกาย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ฉับพลันนั้นเสียงฝีเท้าอันหนักอึ้ง “ตึง” “ตึง” พลันดังออกมาจากส่วนลึกของพายุหมุน พื้นดินสั่นเทาเล็กน้อย เสียงฝีเท้าหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ประชิดเข้าเรื่อยๆ ราวกับยักษ์กำลังเดินมาทางที่หานลี่และพวกด้วยความเร็วที่แปลกประหลาด
ไม่ใช่แค่พวกของหญิงงาม มู่ชิงและหุ่นเชิดทั้งสามตนที่มองไปยังพายุหมุนแล้วเผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เงาสีดำขนาดเท่าภูเขาขนาดย่อมก็ปรากฎขึ้นท่ามกลางพายุ และเปล่งแสงสว่างวาบขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า
พายุที่รุนแรงเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเงาสีดำ
หลังจากที่แววตาของหานลี่ฉายแสงสีฟ้าสว่างวาบ ใบหน้าก็เผยสีหน้าเข้าใจได้ออกมา
ชั่วพริบตาเสียงคำรามก็ดังออกมาจากพายุหมุน เงาสีดำพลิ้วไหว มนุษย์ยักษ์สีม่วงแดงสูงพันจั้งกระโดดออกมาจากด้านใน
หุ่นเชิดสีม่วงแดงของตัวประหลาดตี้เสวี่ยปรากฎออกมา
ครานี้บนหัวไหล่ของหุ่นเชิดทั้งสองฝั่ง มีผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนปรากฎขึ้นบนไหล่ ส่วนบนศีรษะของหุ่นเชิดนั้นมีผู้ที่สวมชุดคลุมสีดำยืนอยู่ นั่นก็คือผู้ที่ลึกลับที่สุดในบรรดาสี่ราชันย์ปีศาจ ลิ่วจู๋!
เมื่อเห็นผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตและลิ่วจู๋ หญิงงามผมขาวก็มีแววตาดีใจฉายแวบผ่าน ยังไม่ทันได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น หุ่นเชิดสามตนที่อยู่ไกลออกไปกลับมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ หุ่นเชิดที่มีสามตาหนึ่งในนั้นพลันร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง
“เจ้าพวกสองคนรอดชีวิตออกมาได้อย่างไร คนอื่นล่ะ!”
“คนอื่น? เจ้าหมายถึงเจ้าพวกนั้นหรือ?” ลิ่วจู๋เอ่ยอย่างราบเรียบ ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ฉับพลันนั้นลูกกลมสี่ลูกก็กลิ้งลงมาจากร่างของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต
หานลี่จ้องเขม็งไป คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศีรษะสีแดงโลหิตสองสามหัว บ้างหัวยังสวมหมวกรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์อยู่
“เจ้าสังหารพวกเขา! เป็นไปไม่ได้ กำลังของพวกเขาสี่คนยังมากกว่าพวกเราด้วยซ้ำ และยังมีภูตคอยช่วยเหลือจำนวนมาก” เมื่อเห็นศีรษะเหล่านั้น หุ่นเชิดเกราะสีม่วงพลันตกตะลึง ท่าทางไม่ยากจะเชื่อ
“หึๆ หากตัวตนของพวกเจ้าอยู่ที่นี่ แมลงเม่าทองเจ็ดตนร่วมมือกัน ข้าก็อาจจะต้องล่าถอย แต่การสิงอยู่ในหุ่นเชิดนั้น ควบคุมกำลังได้ครึ่งหนึ่งก็นับว่าไม่เลวแล้ว จะทำอะไรข้าได้ สหายหลัน สหานมู่! ลงมือ สังหารพวกมันให้หมดอย่าให้เหลือ” ลิ่วจู๋หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ออกคำสั่งอย่างโหดเ**้ยม จิตสังหารปะทุขึ้นมา
หุ่นเชิดสามตาได้ฟังแววตาหวาดผวาก็ฉายแวบผ่าน ปากก็ร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงเ**้ยมโหดว่า
“ไป แยกกันหนี!”
คำพูดเพิ่งเปล่งออกมา หุ่นเชิดสามตนก็กระตุ้นอสูรประหลาดใต้ฝ่าเท้า กลายเป็นสายรุ้งหลากสีสามสายแยกย้ายกันพุ่งออกไป
หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้งก็อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง คิดไม่ถึงว่าอสูรประหลาดใต้ร่างของพวกมันจะมีเคล็ดวิชาหลีกหนีพิเศษ ช่างแปลกประหลาดนัก!
แต่ลิ่วจู่และพวกดูเหมือนว่าจะปรึกษากันมาตั้งนานแล้ว หญิงงามเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งไปหาหุ่นเชิดเกราะสีม่วง ภูตยักษ์ระดับหลอมร่างด้านหลังก็กลายเป็นลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งตามไปติดๆ
มู่ชิงตบเท้าข้างหนึ่งไปบนดอกไม้สีทองใต้ร่าง ชั่วขณะนั้นเขตอาคมลำแสงสีดำพลันปรากฎขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบ คนและดอกไม้หายวับไป ครู่ต่อมาก็มาปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง แต่กลับอยู่ห่างจากหุ่นเชิดสองหัวไปไม่ไกลนัก
ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งเปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตสาวเท้ายาวๆ ก้าวไป เปลวเพลิงลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็พุ่งออกไปร้อยจั้งเศษ ตรงไปหาหุ่นเชิดสามตาที่เป็นผู้นำ
คนสามคนไล่ตามกันไปไกลแสนไกลท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วพริบตาที่เดิมก็เหลือเพียงหานลี่ หยวนเหยาและพวกทั้งสอง รวมทั้งปีศาจระดับสูงสิบกว่าตน
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันใจเต้นระรัว ในตอนนั้นเองข้างหูพลันมีเสียงไพเราะดังขึ้น
“สหายหาน ถือโอกาสนี้หนีกันเถิด ปีศาจที่เหลืออยู่ที่นี่ไม่อาจขวางเจ้าได้แน่”
ตอนที่ 1487 เงาแมลง
หานลี่ได้ยินคำถ่ายทอดเสียงนี้ สีหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่ในใจกลับตื่นเต้นอยู่เล็กๆ
แต่ไม่รอให้เขาถ่ายทอดเสียงกลับไปเช่นกัน ฉับพลันนั้นพลันขมวดคิ้ว หันมองไปยังจุดที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนด้านข้าง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า
“ผู้ใดทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น!”
คำพูดนี้ของหานลี่อดที่จะทำให้หนวนเหยาและพวกตกใจจนสะดุ้งเฮือกไม่ได้ ท่ามกลางความตะลึงงันของปีศาจระดับสูงที่อยู่ในบริเวณนั้น ก็จ้องเขม็งไปตรงนั้นด้วยท่าทางพร้อมรบทันที
“ฮ่าๆ สหายหานช่างเก่งกาจเสียจริง อิทธิฤทธิ์การอำพรางกายของผู้แซ่จินไม่อาจปิดบังได้ดังคาด” เสียงหัวเราะร่อดังออกมาจากลำแสงสีทองที่เปล่งแสงสว่างจ้ากลางอากาศ เงาสีทองสายหนึ่งปรากฏขึ้น
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นวานรขนสีทองจิตวิญญาณทองตนนี้
แม้ว่าปากของวานรตนนี้จะกำลังเปล่งเสียงหัวเราะ แต่สายตาที่มองหานลี่กลับเย็นชาเป็นอย่างมาก!
ส่วนหยวนเหยาและเหยียนลี่เห็นวานรตนนี้ พลันหน้าเปลี่ยนสี
ความเก่งกาจของวานรสีทองตัวนี้ พวกนางที่อยู่ในเหวพสุธามาเป็นเวลานานย่อมรู้ดี แม้ว่าสตรีทั้งสองจะเชื่อมั่นในหานลี่ แต่ก็ไม่เชื่อว่าหานลี่จะทำลายสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสูญขั้นสุดยอดได้
มีวานรตนนี้ประกอบกับปีศาจระดับสูงอื่นๆ อีกสิบกว่าตน คิดจะสลัดให้หลุดพ้นคงเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ
“ยินดีด้วยที่พี่จินรอดปลอดภัยมาจากแดนอันตรายได้! ตั้งแต่ที่ผู้แซ่หานและสหายคลาดกันในหมอกหนา ยังกังวลอยู่ตั้งนาน ดูแล้วคงจะจะเป็นข้าน้อยที่กังวลมากไป! จากพลังยุทธ์ของพี่จิน แค่พวกภูตจิ๊บจ๊อยจะทำอะไรได้” หานลี่แววตาเปล่งประกาย เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แม้ว่าข้าน้อยจะมีฝีมือในการรักษาชีวิตอยู่บ้าน แต่เทียบกับสหายหานแล้วยังห่างชั้นกันนัก สหายอยู่ในระดับแม่ทัพวิญญาณ ก็ยังออกมาจากม่านหมอกได้ ช่างทำให้ผู้แซ่จินเลื่อมใสศรัทยายิ่งนัก” ใบหน้าที่มีเส้นขนปกคลุมของจิตวิญญาณสีทองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ผู้แซ่หานจะมีความสามารเช่นนั้นได้อย่างไร ต้องยกความดีความชอบให้กับเซียนหยวนและสหายเหยียนที่ช่วยเหลือ” หานลี่สั่นศีรษะขณะเอ่ย
“แม้ว่าเซียนทั้งสองจะมีวิธีออกจากม่านหมอก แต่หากไม่มีพี่หานคอยช่วย เกรงว่าก็คงไม่อาจต่อกรกับวิญญาณโหดภูตเ**้ยมจำนวนมากได้” จิตวิญญาณสีทองเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แต่ในใจกลับความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะมั่นใจว่าอิทธิฤทธิ์ของตนเองไม่ด้อยไปกว่าจิตวิญญาณสีทอง แม้กระทั่งปีศาจรระดับสูงสิบกว่าคนลงมือพร้อมกัน ก็มั่นใจได้ว่าจะหนีไปได้อย่างปลอดภัยอยู่เจ็ดแปดส่วน
แต่นั่นย่อมต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีเขาเพียงคนเดียว หากพาหยวนเหยาและเหยียนลี่ไปด้วยล่ะก็ กลับมั่นใจไม่ถึงครึ่งในทันที ความเสี่ยงครั้งนี้ไม่คุ้มค่าพอให้เขาลองเสี่ยง ถึงอย่างไรเสียแม่น้ำอเวจีก็มีความเปลี่ยนแปลงประหลาดๆ อยู่มากมาย ค่อยหาโอกาสอื่นจะดีกว่า
หานลี่ตัดสินใจในทันที ทันใดนั้นก็เอ่ยคุยเล่นกับจิตวิญญาณสีทองด้วยสีหน้าสุขุม
วานรสีทองเห็นหานลี่ไม่มีท่าทีผิดปกติ ทันใดนั้นก็วางใจ กลั้วหัวเราะขณะพูดคุยไปด้วยเช่นกัน ดูแล้วเหมือนกับเป็นสหายสนิทกับหานลี่มาหลายปีอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนที่พวกเขากำลังพูดคุยกันนั้น ลำแสงสีเขียวก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นที่ขอบฟ้า ลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งกลับมา
ลำแสงหลีกหนีนั้นไร้สุ้มเสียง ด้านในมีเงาร่างสูงยาวอยู่สายหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นมู่ชิงที่บินกลับมาพร้อมกับเท้าที่เหยียบอยู่บนดอกไม้สีทอง
หานลี่พลันตกตะลึง ทันใดนั้นเมื่อคิดว่าสตรีผู้นี้มีเคล็ดวิลาหลีกหนีลึกลับที่ดูเหมือนการส่งตัว ก็รู้สึกกระจ่างขึ้นมา
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง มาอยู่เหนือหัวของพวกของหานลี่ และหยุดลง เผยร่างของมู่ชิงที่ชัดเจนออกมา
“คารวะนายท่าน!” วานรสีทองค้อมตัวลง เอ่ยทักทายอย่างเคารพทันที
“อาวุโสจินกลับมาอย่างปลอดภัยได้ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ” มู่ชิงเห็นวานรสีทองอีกครั้ง ใบหน้าพลันปรากฎสีหน้ายินดีออกมา
“ต้องขอบคุณนายท่านที่มอบสมบัติป้องกันตัวให้สองสามชิ้น มิเช่นนั้นจิตวิญญาณทองคงไม่มีทางรอดปลอดภัยท่ามกลางภูตจำนวนมากขนาดนั้นแน่ สุดท้ายต้องอาศัยอิทธิฤทธิ์ของลิ่วจู๋และตี้เสวี่ยถึงจะออกมาได้” วานรสีทองเอ่ยอย่างรักษาระดับความนอบน้อมอย่างต่อเนื่อง
“อืม เห็นได้ชัดว่าพายุเมื่อครู่เป็นสิ่งที่สหายลิ่วลงมือเรียกมาด้วยตนเอง ข้าเองก็เพิ่งรู้สึกว่าสหายลิ่วจู๋ยังมีอิทธิฤทธิ์ธาตุวายุอีกด้วย” มู่ชิงเอ่ยอย่างแช่มช้า ในคำพูดดูเหมือนจะแฝงความนัยที่ไม่อาจอธิบายได้เอาไว้
“อรหันต์ลิ่วจู๋มีความสามารถถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ทว่าด้วยเหตุนี้ภูตและหุ่นเชิดเหล่านี้ถึงได้ถูกสังหารได้อย่างง่ายดาย” จิตวิญญาณสีทองเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ก็ใช่! ในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ สหายลิ่วจู๋ยิ่งมีอิทธิฤทธิ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น ในเมื่อข้าทำสำเร็จแล้ว พวกเขาก็น่าจะทำสำเร็จในอีกไม่ช้า” มู่ชิงขบคิดเล็กน้อยแล้วจึงได้พยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าทางทิศอื่นแวบหนึ่ง
ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร!
ชั่วพริบตาที่สตรีผู้นี้เงยหน้าขึ้น จุดที่ไกลออกไปพลันมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ดูเหมือนว่าจะมีไอสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้น จากนั้นเสียงกรีดร้องพลันดังมา
ครู่ต่อมาไอสีดำกลุ่มนั้นก็มาถึงหน้าทุกคนด้วยความรวดเร็วราวกับดาวตก ไอสีดำหม่นหมองลง เผยร่างของหญิงงามผมขาวออกมา
สีหน้าของสตรีผู้นี้ดูแล้วไม่มีความผิดปกติเลยสักนิด แต่กลิ่นอายบนร่างกลับอ่อนแอลงจากเมื่อตอนเดินทางสองสามส่วน ท่าทางจะเสียพลังปราณไปไม่น้อย
นางกวาดสายตาไปรอบๆ ขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยถามว่า
“อันใด ลิ่วจู่และสหายตี้เสวี่ยยังไม่กลับมาหรือ? จากฝีมือของลิ่วจู่และยังมีตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยคอยช่วยเหลือ จะมาช้ากว่าพวกเราสองคนได้อย่างไร?
“เรื่องนี้น้องหญิงเองก็ไม่แน่ใจนัก ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะพบกับอะไรเข้า พี่หญิงหลันแปดราชันย์ภูตของเจ้าล่ะ? พวกมันไม่ได้ไล่สังหารหุ่นเชิดตัวนั้นไปพร้อมกับเจ้าหรือ?” มู่ชิงกลับมีสีหน้าประหลาดใจขณะเอ่ยย้อนถาม
“อีกฝ่ายระเบิดตัวเองออก พวกมันจึงบาดเจ็บไปไม่น้อย ถูกข้าเก็บเข้าไปในถุงเมฆาทมิฬแล้ว จำต้องพักผ่อนสักหน่อย ว่าแต่สหายลิ่วจู๋และพวกจะเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า หากเหลือเพียงเจ้ากับข้า ก็อย่าคิดถึงน้ำเกษียรเทวะแห่งแม่น้ำอเวจีเลย” หญิงงามผมขาวอธิบายสองสามประโยค สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด
มู่ชิงหัวเราะน้อยๆ ออกมา ครั้นเมื่อคิดจะเอ่ยปากเอ่ยอะไรอีกนั้น แต่พลันมีเสียงตึงๆ ดังสนั่นขึ้นมาจากทิศใดทิศหนึ่ง
ทางที่เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นเห็นได้ชัดว่าเป็นทางที่ลิ่วจู๋และพวกไล่ตามไป
เมื่อได้ยินเสียงสั่นสะเทือนที่อึกทึกถึงเพียงนี้ มู่ชิงและหญิงงามผมขาวพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนมองเห็นสีหน้าประหลาดใจและตกตะลึงจากแววตาของอีกฝ่าย
“หรือว่าเป็น…” หญิงงามรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัยไม่แน่นอน
แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบ ฉับพลันนั้นเสียงแหลมสูงจนเสียดแก้วหูก็ดังออกมาจากทิศทางที่มีเสียงระเบิดดังขึ้น
เสียงกรีดร้องเข้ามาในโสตประสาทหู หานลี่รู้สึกเพียงว่าสมองอื้ออึง ดวงตาทั้งสองมืดมัว ร่วงลงจากท้องฟ้า
“แย่แล้ว!”
หานลี่มีปฏิกิริยาตอบสนองและปิดหูในทันที โคจรคาถาขับเคลื่อนภายในร่างอย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่หน้าเปลี่ยนสีก็คือ เสียงกรีดร้องดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นการปิดหูของตนเอง ยังคงเข้ามาใจประสาทสัมผัสอย่างไม่ลดละ แม้ว่าคาถาขับเคลื่อนจะมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่โคจรไปครึ่งหนึ่ง ก็ถูกเสียงแหลมสูงตัดการโคจรต่อจากนั้นทันที ทำให้ได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ภายใต้ความตกตะลึงของหานลี่ พลันร้องตะโกนออกมาอย่างไม่ต้องคิด จิตสัมผัสของตัวเองรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง คาดไม่ถึงว่าหนามจิตวิญญาณที่ตนเองสำแดงออกมา จะทำให้เขาสะบัดผลกระทบจากเสียงแหลมสูงออกได้ชั่วคราว กลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง
เขาร่ายคาถาในใจอย่างรวดเร็ว ผิวกายมีเสียงฟ้าฟาดดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นบนร่าง จากนั้นมือทั้งสองที่แยกเป็นสีดำขาวอย่างชัดเจนก็โจมตีไปตรงหน้าพร้อมกัน
เสียงระทึกดังขึ้น ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงลำแสงห้าสีและม่านลำแสงสีเทาพลันระเบิดออกจากตรงกลางระหว่างฝ่ามือพร้อมกัน หมุนวนติ้วๆ กลายเป็นม่านลำแสงสองชั้นปกคลุมร่างกายของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
ภายใต้การป้องกันที่แน่นหนาเช่นนี้ เสียงกรีดร้องแหลมสูงที่ดังเข้ามาในจิตสัมผัสจึงลดลงไปกว่าครึ่ง ทำให้ร่างของหานลี่พลิ้วไหว ร่างกายกลับมามั่นคงอีกครั้ง
ทว่าเมื่อเขากวาดสายตาไป ก็มองเห็นหยวนเหยาและเหยียนลี่กำลังตกลงสู่พื้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ร่างกายกำลังจะกระแทกเข้ากับกองหินระเกะระกะอย่างแรง
หานลี่ไม่ต้องขบคิด มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศทางสตรีทั้งสงอ
เสียง “ฟึ่บ” ดังขึ้น ม่านลำแสงสีเทากลายเป็นผลึกเส้นไหมจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไป ชั่วพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าสตรีทั้งสอง ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ม้วนเอาพวกนางเข้าไปข้างใน
เมื่อดึงอีกครั้ง สตรีทั้งสองก็ถูกลำแสงเทวะดูดปราณห่อหุ้มเอาไว้แล้วดึงกลับมาอยู่ข้างกายของหานลี่
เปลวเพลิงลำแสงสีเทาที่อยู่ภายนอกกายของหานลี่แผ่ขยายออกไป ห่อหุ้มสตรีทั้งสองเอาไว้ข้างใน ทำให้สีหน้าซีดเผือดเป็นพิเศษของสตรีทั้งสองฟื้นฟูกลับมามีสีเลือดสองสามส่วน และลอยตัวอยู่กลางอากาศอีกครั้ง
ครานี้เสียงปังๆ จากด้านล่างพลันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลับเป็นปีศาจระดับสูงสิบกว่าตนนั้นที่ไม่อาจต้านทานเสียงร้องแหลมสูงได้ พากันร่วงลงสู่พื้นดินอย่างแรง
แม้ปีศาจเหล่านี้จะมีหนังหนา ไม่สนใจว่าจะตกจากที่สูง แต่ทุกตนกลับใช้นิ้วอุดหู กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นดิน แม้ว่าพวกมันจะมีลำแสงวิญญาณปกป้องอยู่ที่ผิวกาย แต่ก็ไม่มีผลเลยสักนิด
หานลี่สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง สายตากวาดไปที่คนที่เหลือ
เห็นเพียงจิตวิญญาณสีทองมายืนอยู่กับมู่ชิงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดอกไม้สีทองด้านล่างมีเงาดอกไม้ปรากฎขึ้น ห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้ข้างใน ทั้งสองดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงกรีดร้องแหลมสูงนี้เท่าใดนัก
ส่วนหญิงงามผมขาวที่อยู่อีกด้าน กลับถูกพายุทมิฬเบลอๆ กลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ ร่างกายสงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเสียงกรีดร้องแหลมสูงไม่มีผลต่อนางเท่าใดนัก
ทว่าครานี้ทั้งสามคนนี้พลันจ้องไปยังจุดที่ห่างออกไปด้วยดวงตาที่ไม่กระพริบ เพราะว่าตรงขอบฟ้าที่มองเห็น เสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อยๆ และมีปรากฎการณ์ที่น่าเหลือเชื่อปรากฎขึ้น
เงาแมลงยักษ์สีแดงสดตัวหนึ่งปรากฎขึ้นที่ขอบฟ้า เงาแมลงตัวนี้ตัวใหญ่ยักษ์จนแทบจะครอบคลุมกว่าครึ่งของท้องฟ้าเอาไว้ ตารวมสีดำสนิทคู่หนึ่งกลอกไปมา ลำแสงเย็นเยียบพุ่งออกมารอบด้าน ปีกกึ่งโปร่งใส่คู่หนึ่งดูเหมือนม่านลำแสงสองฝั่ง กำลังกระพือไปมาจากทั้งสองฝั่งของร่างกายไม่หยุด
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเหมือนแมลงวันยักษ์ที่ดูเหมือนว่าจะขยายใหญ่ขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วนตัวหนึ่ง!
เสียงร้องแหลมสูงที่เกือบจะทำให้หานลี่เสียท่า นั่นก็คือเสียงที่เปล่งออกมาจากปีกคู่นั้นของแมลงเงา ปีกคู่นี้กระพือไปมา ระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อแผ่ขยายไปรอบด้าน ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าจะหายวับไปราวกับไร้รูปร่าง แต่ความจริงแล้วกลับกลายเป็นเสียงกรีดร้องแหลมสูง ส่งมาทางหานลี่
ระยะห่างขนาดนี้ก็ยังมีความน่ากลัวขนาดนี้ หากอยู่ตรงหน้าเงาแมลงตนนั้น ก็คงไม่จำเป็นต้องต่อสู้แล้ว อาศัยเพียงเสียงที่ปีกก็สามารถเขย่าพลังยุทธ์ของคู่ต่อสู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำหน่อยได้แล้ว
แต่เงาแมลงที่ดูเหมือนแมลงวันในครานี้กลับไม่ใช่แค่กระพือปีกเท่านั้น ดวงตาสีดำคู่นั้นพ่นเสาลำแสงสีแดงสดหนาๆ จำนวนนับไม่ถ้วนออกมา
เสาลำแสงเหล่านี้ตัดสลับพัวพันกันอย่างหนาแน่น จนแทบจะครอบคลุมอากาศด้านล่างเอาไว้ทั้งหมด
แม้จะไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลานุภาพของเสาลำแสงสีแดงเหล่านี้ได้ แต่มองจากที่ไกลๆ เสาลำแสงสีแดงที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า พลันกลายเป็นแสงสีแดงเจิดจ้า ไม่รู้ว่าเสาลำแสงสีแดงเหล่านี้เป็นแค่แสงสะท้อนแสงเท่านั้น หรือว่าเสาลำแสงเหล่านี้จะเผาไหม้ทั้งห้วงเวลาจริงๆ
และภายใต้ตาข่ายยักษ์สีแดงที่สานขึ้นมาจากเสาลำแสง กลับมีร่างสองร่างกำลังพยายามหลบหลีกการโจมตีจากเสาลำแสงเหล่านี้สุดฤทธิ์
ร่างสองร่างนี้มีขนาดใหญ่ยักษ์สิบจั้ง แต่เทียบกับเงาแมลงตัวนั้นแล้วก็ช่างเล็กกระจิดริดจริงๆ ถึงได้ทำให้ผู้คนมองข้ามสองสิ่งนี้ไปในคราแรก
แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ ชั่วขณะนั้นพลันมองเห็นรูปร่างของสองปีศาจร่างที่กระพริบวาบขึ้นมาชัดเจนขึ้น หนึ่งในนั้นคือหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่รูปร่างหดเล็กลงยี่สิบสามสิบเท่า ส่วนอีกตนหนึ่งกลับทำให้หานลี่ตกตะลึงงัน!
ตอนที่ 1488 เผ่าแมลงเม่ากับทะเลแมลง
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก บนหัวมีหนวดยาวๆ งอกออกมา มีขาดุจใบมีดหกข้าง
ตัวประหลาดตัวนี้มีขนาดไม่เล็กไปกว่าหุ่นเชิดสีแดงโลหิตเท่าใดนัก บนร่างกายมีขนแข็งๆ ดุจหนวดเหล็กกล้าอยู่เต็มไปหมด ดวงตาทั้งสองเรียวบางเป็นอย่างยิ่ง เปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ปีกสีดำที่แผ่นหลังสี่ปีกกำลังกะพรืออยู่
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงประหลาดขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
แมลงตัวนี้และหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตอยู่ใกล้กับเงาแมลงขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถต้านทานเสียงแหลมสูงนั้นได้อย่างปลอดภัย และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงกระพริบวาบประหลาดๆ ราวกับภูตผี เสาลำแสงสีแดงเป็นสายๆ ดูเหมือนจะทะลุผ่านร่างของทั้งสองไป แต่ความจริงแล้วกลับเป็นแค่การโจมตีไปยังเงาลวงตาที่ยังเหลืออยู่ของทั้งสองเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันที่หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตตัวนั้นกำลังหลบหลีกนั้น ในมือพลันมีขวานยักษ์ด้ามหนึ่งปรากฎขึ้น ขวานรูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นสายๆ สับลงมาไม่หยุด
ส่วนการโจมตีจากแมลงยักษ์สีดำยิ่งอัศจรรย์มากกว่า ในเวลาเดียวกันที่ขาทั้งหกเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีดำที่ดูเหมือนกรวยแหลมเป็นสายๆ ก็ระเบิดตัวออกแล้วพุ่งออกมาเต็มไปหมด
การโจมตีกว่าครึ่งของทั้งสองถูกเสาลำแสงสีแดงกวาดไปจนหมด มีส่วนน้อยที่ผ่านตาข่ายยักษ์ไป แต่เมื่อสัมผัสกับเงาแมลงที่อยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ก็ถูกพลังไร้รูปร่างชั้นหนึ่งต้านทานเอาไว้ แล้วทยอยกันระเบิดตัวออก
“นี่คืออะไร หรือว่าคือระดับแมลงเม่าสวรรค์!” เมื่อหญิงงามมองเห็นเงาแมลงอย่างชัดเจน ก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
“เทียบกับเรื่องนี้ ข้าสนใจร่างเดิมของสหายลิ่วจู๋มากกว่า” มู่ชิงกลับแววตาหดเล็กลงขณะเอ่ยพึมพำ
“สหายมู่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาถกกันเรื่องนี้ ระดับแมลงเม่าสวรรค์เป้นสิ่งมีชีวิตที่เป็นรองแค่ระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในเผ่าแมลงเม่าเท่านั้น หากมาปรากฎตัวที่นี่จริง พวกเราก็ไม่อาจหนีพ้นจากการไล่ล่าของอีกฝ่ายสักคนแน่” หญิงงามได้สติขึ้นมาจากความตะลึงงัน ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าดูไม่ได้
“พี่หญิงหลันวางใจ หรือว่าดูไม่ออกหรือ? ที่มาปรากฎตัวที่นี่เป็นแค่การฉายภาพเงาของระดับแมลงเม่าสวรรค์เท่านั้น เหมือนว่าจะถูกหุ่นเชิดที่ไล่สังหารพวกของลิ่วจู๋ตัวนั้นใช้เคล็ดวิชาลับอะไรบางอย่าง เรียกออกมาที่นี่ เมื่อเงาลวงตานี้สูญสิ้นพลังไป ก็จะหายตัวไปทันที ลิ่วจู่และตี้เสวี่ยน่าจะรู้ข้อนี้ดี ถึงได้ยื้อเวลาออกไปไม่หยุด!” มู่ชิงเอ่ยด้วยแววตาที่เย็นเยียบ
“การฉายภาพเงา!”
หญิงงามผมขาวพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็พิจารณาเงาลวงตาที่ดูเหมือนแมลงวันยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างวางใจว่า
“เป็นแค่การฉายภาพเงาเท่านั้น น่าจะมีพลังของระดับแมลงเม่าสวรรค์แค่สองสามส่วน และยิ่งไปกว่านั้นการฉายภาพเงานั้นจะนำมาแค่พลัง ไม่ได้หยิบยืมจิตสัมผัสของร่างหลักมา มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่อาจต่อกรได้นานขนาดนี้ แต่เช่นนี้การโจมตีของเจ้าสิ่งนี้ก็รุนแรงเกินไปหน่อยจริงๆ หุ่นเชิดและลิ่วจู๋ยังคงไม่กล้าถูกโจมตีเข้าให้เลยสักนิด”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แม้ว่าจะเป็นแค่พลังจากการฉายภาพเงา ระดับแมลงเม่าสวรรค์ของเผ่าแมลงเม่าก็เป็นรองแค่ระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้เท่านั้น พวกเราจะต่อกรได้อย่างไร!” มู่ชิงหยักมุมปากขึ้น
สตรีทั้งสองเข้าใจความเป็นมาของเงาแมลง ก็ไม่เข้าไปอีก แค่มองดูการณ์ต่อสู้อยู่ที่เดิมจากที่ไกลๆ รอให้พลังของเงาแมลงสูญไป
หานลี่นั่งฟังอยู่ด้านข้าง ใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่านสองสามครั้ง
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสอดมือไปยุ่งได้ แน่นอนว่าย่อมปิดปากเงียบ
ครานี้หญิงงามพลันกวาดดสายตาไปยังปีศาจระดับสูงที่ยังคงนอนกลิ้งอยู่บนพื้น แล้วพลันขมวดคิ้ว สะบัดแขนเสื้อไปด้านล่าง
ลำแสงสีดำผืนหนึ่งม้วนออกไป ชั่วพริบตาก็ห่อหุ้มปีศาจทั้งหมดเอาไว้
ชั่วขณะนั้นสติสัมปชัญญะของปีศาจเหล่านี้พลันกระจ่างขึ้น ในที่สุดก็หยุดกลิ้งไปกลิ้งมา แต่ร่างกายยังคงไร้เรี่ยวแรง ไม่อาจหยัดกายลุกขึ้นได้เลยสักนิด
ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หญิงงามกลับไม่ได้คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่ง แค่หันหน้าไปจ้องเงาแมลงยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้ง
เหมือนกับที่มู่ชิงเอ่ยเอาไว้ไม่มีผิด!
เงาแมลงยักษ์ที่ดูเหมือนมีพลังมากมาย หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งมื้ออาหารก็ระเบิดลำแสงสีแดงเจิดจ้าออกมา ทันใดนั้นก็ระเบิดตัวออก มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชั่วพริบตาเสาลำแสงสีแดงสดที่หนาแน่นพลันสลายหายไป
แมลงประหลาดสีดำและหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่กำลังหลบหลีกด้วยความเร็วสูงอยู่ท่ามกลางเสาลำแสง พลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งในเวลาเดียวกัน ร่างกายแข็งทื่อยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ลำแสงสีม่วงและลำแสงสีดำบนร่างของทั้งสองพลันกระพริบระยิบระยับโคจรไปมาไม่หยุด
เมื่อฟื้นฟูปราณแท้กลับมาเล็กน้อย ทั้งสองก็ควบคุมลำแสงหลีกหนีพุ่งไปหามู่ชิงและพวก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตและแมลงประหลาดสีดำก็มาอยู่เหนือสตรีผู้งดงามและพวก
แม้นว่าในใจจะมั่นใจแล้วว่าแมลงประหลาดนี้เป็นสิ่งที่ลิ่วจู๋สร้างขึ้น มู่ชิงและสตรีผู้งดงามก็ยังจ้องเขม็งไปยังแมลงตัวนั้นอย่างเคร่งขรึม
ผลคือลำแสงสีโลหิตพลันสว่างวาบขึ้นที่หัวไหล่ของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตสองคนบินขึ้นมาจากหัวไหล่ของหุ่นเชิด เมื่อครู่ทั้งสองได้ซ่อนตัวอยู่ในหุ่นเชิดมาโดยตลอด
ลำแสงสีดำบนร่างของแมลงประหลาดสีดำไหลโคจรไปมา ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นลำแสงวิญญาณพลันสว่างวาบ ชั่วครู่ก็กลายเป็นเงาร่างคน
สวมชุดคลุมยาวสีดำ นั่นก็คือลิ่วจู๋
แต่แค่ในครานี้หมวกสีดำที่เขาสวมอยู่ปลิวหายไปไหนไม่รู้ เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา
หลังจากที่หานลี่พินิจมองไป ฉับพลันนั้นหัวใจะพลันเต้นระรัว
เห็นเพียงใบหน้าส่วนล่างของลิ่วจู๋นั้นไม่ต่างอะไรกับบุรุษธรรมดาๆ เลยสักนิด ผิวเรียบลื่นและมีความยืดหยุ่น ดูแล้วอ่อนวัยมาก แต่ดวงตาทั้งสองที่อยู่ส่วนบน กลับเป็นตารวมสีเขียวมรกตคู่หนึ่ง
ขณะที่ตารวมสีเขียวคู่นี้กลอกไปมา ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้า
“เป็นสหายลิ่วจู๋จริงๆ ด้วย!” หญิงงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
“อันใด สหายหลันสงสัยข้าน้อยหรือ?” ลิ่วจู๋ที่อยู่สูงขึ้นไปเอามือไพล่หลัง เอ่ยอย่างไม่แยแส
“ที่แท้ร่างของพี่ลิ่วจู๋ก็เป็นแมลงวิญญาณ แต่ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับเผ่าแมลงเม่าหรือไม่?” แววตาของมู่ชิงมีความประหลาดใจฉายแวบผ่าน กลับเอ่ยปากถามแทรกขึ้น
“เผ่าแมลงเม่า? เดิมทีข้าก็มาจากเผ่านี้ ไม่ทราบว่าคำตอบนี้ สหายทั้งสองพอใจหรือไม่!” ลิ่วจู๋หัวเราะน้อยๆ ออกมา ใช้น้ำเสียงคลุมเครืออธิบายขึ้น
เมื่อได้ยินคำนี้มู่ชิงและหญิงงามผมขาวก็พากันหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง!
“เช่นนั้นพี่ลิ่วจู๋ก็รู้จักที่นี่อยู่แล้ว แล้วจงใจล่อพวกเรามาที่นี่ หุ่นเชิดของเผ่าแมลงเม่าเหล่านั้น ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องอะไรกับสหาย” หญิงงามเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จุดนี้สหายทั้งสองเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว! แม้ข้าจะรู้ว่ามีแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเผ่า แต่ตอนนั้นที่อยู่ในเผ่านั้นมีพลังยุทธ์ต่ำต้อยนัก จึงไม่รู้ตำแหน่งที่เป็นรูปธรรม ข้าน้อยอยู่ในเหวพสุธามาตั้งหลายปี ติดอยู่กับระดับนี้มาไม่รู้ตั้งกี่เดือนกี่ปี หากรู้ว่าเหวพสุธามีทางเข้ามาที่นี่ จะยืดเวลามาถึงตอนนี้แล้วถึงได้พาเหล่าสหายเข้ามาทำไมกัน ข้าเองบังเอิญพบทางเชื่อมระหว่างเหวพสุธาและแม่น้ำอเวจีเข้าพอดี ส่วนหุ่นเชิดที่เผ่าแมลงเม่าส่งมาปรากำตัวที่นี่นั้น ข้าน้อยย่อมไม่รู้จริงๆ จากที่ข้ารู้มาแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแห่งนี้จะเปิดขึ้นสองสามพันปีครั้ง จากที่พวกเรามาครั้งที่แล้ว มันเพิ่งผ่านไปแค่สองสามร้อยปีเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังมาพบกับหุ่นเชิดเหล่านี้ได้ ย่อมแสดงว่าพวกเราดวงซวยไปหน่อย หากข้าน้อยและเผ่าแมลงเม่ามีความเกี่ยวข้องกัน จะปล่อยให้หุ่นเชิดเหล่านั้นเข้ามาที่นี่ทำไม อิทธิฤทธิ์ของเหล่าสหายข้าน้อยย่อมรู้ดี” ลิ่วจู่ตอบกลับอย่างราบเรียบ
ฟังจากคำพูดของลิ่วจู่แล้ว หญิงงามและมู่ชิงพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง
แม้ทั้งสองจะไม่อาจหาความผิดปกติอะไรได้ในคำตอบเมื่อครู่ แต่ทั้งสองล้วนเป็นผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรมาตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่ใช่ความจริงทั้งหมดอย่างแน่นอน แต่แค่เวลานี้ไม่อาจหาอะไรมาโต้แย้งได้
“สหายตี้เสวี่ย เจ้าคิดว่าอย่างไร!” มู่ชิงหันหน้าไป ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยถามผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองคน
หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองคนปรากฎตัวขึ้น ก็ยืนอยู่บนหัวไหล่ของหุ่นเชิดทั้งสองฝั่งโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ครานี้เมื่อได้ฟังคำพูดของมู่ชิงแล้ว ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตก็มีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบในดวงตา มองสบตากันแวบหนึ่ง หนึ่งในนั้นถึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบว่า
“ข้าน้อยคิดว่าพี่ลิ่วจู๋ไม่ได้โกหก ต้องเข้าใจว่าระยะเวลาที่พี่ลิ่วจู๋อยู่ในเหวพสุธา แม้ว่าจะไม่ได้นานที่สุด แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่สั้นที่สุด จึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเช่นนี้ หรือว่าสหายทั้งสองคิดจะกลับไปหรือ? พวกเราล่วงเกินเผ่าแมลงเม่าไปแล้ว หากไม่ได้น้ำเกษียรเทวะแม่น้ำอเวจีไป เจ้าทั้งสองยินยอมหรือ?”
คำพูดของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต คาดไม่ถึงว่าจะยืนอยู่ฝั่งลิ่วจู๋
เมื่อเห็นท่าทางของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต มู่ชิงและหญิงงามก็อดที่ส่งสายตากันไปมาไม่ได้
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หญิงงามผมขาวก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง เผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“ในเมื่อสหายตี้เสวี่ยกล่าวเช่นนี้ ยายเฒ่าและสหายมู่ย่อมเชื่อพี่ลิ่วจู๋ ทว่าในเมื่อเผ่าแมลงเม่ารู้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งผิดปกติ เหตุใดถึงไม่ส่งคนมามากหน่อย หรือว่าให้สิ่งมีชีวิตระดับสูงอย่างระดับแมลงเม่าสีทองลงมาเอง เช่นนั้นต่อให้พวกเรามีปีกก็หนีได้ยากแล้ว”
“นั่นมันเข้าใจได้ง่ายมาก เกรงว่าแม้เผ่าแมลงเม่าจะพบร่องรอยการบุกเข้ามาของพวกเราครั้งที่แล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพวกเราจะเข้ามาอีกตอนไหน จึงจำใจจ้องส่งเจ้าพวกนี้มารักษาการณ์เป็นเวลานาน และที่นี่แม้ว่าจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแมลงเม่า แต่คนของเผ่าแมลงเม่าปกติไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก มิเช่นนั้นพลังยุทธ์จะถดถอย แรงหน่อยก็อันตรายถึงชีวิต หากพบกับกองทัพทะเลแมลงจริงๆ หึๆ เกรงว่าพวกเราคงไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก” ลิ่วจู๋เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ทะเลมหาสมุทร’ หญิงงามก็ตัวสั่นระริก ทันใดนั้นก็หัวเราะร่อออกมา ฝืนยิ้มตอบกลับว่า
“เหตุใดพี่ลิ่วจู๋ต้องล้อเล่นกับพวกเราด้วย แม้ว่าเผ่าแมลงเม่าจะไม่มีชื่อเสียงในที่อื่นของแดนวิญญาณ แม้กระทั่งมีคนรู้จักเพียงน้อยนิด แต่กับเผ่าที่อยู่ใกล้เคียง อานุภาพของมันไม่ด้อยไปกว่าเผ่าใหญ่ในแดนวิญญาณเลย จะเคลื่อนทัพมหาสมุทรแมลงมาเพื่อพวกเราเพียงไม่กี่คนทำไมกัน”
“ใช่แล้ว จากที่น้องหญิงรู้มา หากทะเลแมลงของเผ่าแมลงเม่าเคลื่อนทัพแม้แต่จิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็ยังต้องหลบหลีก และจะทำให้เผ่าของพวกมันสูญเสีญกว่าแท้ไปกว่าครึ่ง หากไม่เข้าตาจน ไม่มีทางเคลื่อนทัพง่ายๆ แน่ การต่อกรก็คงไม่ถึงกับต้องทำเช่นนี้” มู่ชิงมีแววตาฉายแววหวาดผวาฉายแวบผ่าน แล้ววิเคราะห์อย่างเยือกเย็น
“หึๆ คิดไม่ถึงเลยว่าสหายทั้งสองจะรู้จักเผ่าแมลงเม่าของพวกเราอยู่ไม่น้อย ใช่แล้วสิ่งที่ต่อกรกับเราเป็นเพียงระดับแมลงเม่าสวรรค์ตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้วุ่นวาย เอาล่ะ พวกเรารีบไปกันเถิด ต่อให้เผ่าแมลงเม่าคิดจะส่งคนมาอีก แต่การเปิดที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นอีกสองสามเดือนให้หลัง ช่วงเวลานี้จึงเพียงพอให้พวกเราหาเกษียรเทวะพบแล้วกลับไปทางเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเราถูกพวกภูตลอบโจมตี แต่ปีศาจระดับสูงของแดนแม่น้ำอเวจีก็ถูกสังหารไปไม่น้อย หนทางต่อจากนี้คงสบายขึ้นมาก ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเจ้ามีทหารภูตและหุ่นเชิดที่ใช้ได้อยู่เท่าไหร่?” หลังจากที่ลิ่วจู๋กวาดสายตาไปรอบๆ พลันเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น