พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1481-1486

 บทที่ 1481 ระหว่างความเป็นความตาย

 

หนึ่งคนกับหนึ่งตัวกระโดออกมา เรื่องแรกที่เหมียวอี้ทำก็คือหดเจดีย์งามวิจิตรให้เล็กลงและเก็บไว้


พอเท้าเฮยทั่นเหยียบพื้น เหมียวอี้ก็พบว่าสภาพด้านนอกยังทำให้ใจหายใจคว่ำเหมือนเดิม เป็นภาพที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ก้อนน้ำแข็งทั้งเล็กทั้งใหญ่กำลังปลิวว่อนมาทางนี้


สิ่งที่ทำให้เขายิ่งขนหัวลุกก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้าอวี้ซาจะไม่อยากหนีแล้ว แต่กลับระเบิดสังหารมาทางนี้แทน


เหมียวอี้ย่อมไม่คิดว่าอวี้ซาจะเข้ามาเพื่อช่วยชีวิตเขา จึงโบกทวนชี้ไปยังจุดลึกของทุ่งน้ำแข็ง “ไป!”


คิดจะหนีจริงๆ ด้วย


เฮยทั่นวิ่งตะบึงอย่างบ้าคลั่งทันที เหมียวอี้ไม่เหมือนอวี้ซาเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่กล้าไปจุดสูง กล้ามุดอยู่ในหุบเขาน้ำแข็งอย่างเดียว ทางไหนใกล้ เขาก็หนีไปทางนั้น


สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย ก่อนหน้านี้เขาหวังจะเห็นอวี้ซาสู้กับคนฝั่งนี้ ผลปรากฏว่าคนฝั่งนี้ก็มีพลังข่มอวี้ซาแบบร้ายกาจเกินไป ที่จริงศักยภาพก็ไม่ได้แข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้นคงกำจัดอวี้ซาไปได้ตั้งนานแล้ว ในเมื่อกำลังฝั่งนี้ไม่แข็งแกร่ง เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้เขากลัวแล้ว วิญญาณน้ำแข็งหรืออัคคีน้ำแข็งอะไรนั่นไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย


ที่เขาไม่ช่วยอวี้ซาก็เพราะจงใจจะให้อวี้ซาตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย และเป็นสาเหตุที่เขากล้าไปยังจุดลึกของทุ่งน้ำแข็งในเวลานี้เช่นกัน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าอวี้ซาจะผนึกวรยุทธ์เขาแล้วโยนเขาเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติ ไม่กลัวว่าเขาจะโดนขังตายในกำไลเก็บสมบัติเลย เห็นได้ชัดว่าถ้าอวี้ซาฝ่าวงล้อมออกไปได้ เหมียวอี้ก็จะรอดไปด้วย ไม่อย่างนั้นก็ตายไปด้วยกัน


สิ่งที่ยิ่งนึกไม่ถึงก็คือ หลังจากตนหนีออกมาแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอวี้ซาจะไม่รีบหนีแต่กลับพุ่งเป้าจะเอาชีวิตเขาแทน เดิมทีเขานึกว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ขอเพียงหลุดพ้นเงื้อมมืออวี้ซาได้ ถ้าอวี้ซายังมีสติปัญญาสักหน่อย ก็จะรีบหนีโดยไม่สนใจเขา แต่ใครจะคิดล่ะว่าผลจะเป็นแบบนี้ มารดาเจ้าเถอะ เขาอยากจะตบหน้าตัวเองสักสองที


อวี้ซาก็เป็นคนเหี้ยมโหดคนหนึ่ง ขณะที่กำลังรีบถลันตัวผ่านไป ฉีกดึงแขนข้างที่โดนเผาทั้งเป็นทิ้งไป แล้วหันกลับมาฝ่าวงล้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาไม่สนใจเหมียวอี้แล้ว เพราะโดนไฟเผาจนได้สติขึ้นมากะทันหัน ถ้าเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อเหมียวอี้คนเดียวก็ไม่คุ้ม ไม่มีสมบัติแล้วก็ไม่เป็นไร ตามใดที่มีชีวิตย่อมมีหวัง


ตอนนี้เขาเรียกได้ว่านึกเสียใจทีหลังแล้ว ตัวเองเห็นเงินสำคัญกว่าชีวิตได้อย่างไร บางครั้งเขาควรจะเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างปลอดภัยจากหยางชิ่งบ้าง


แต่ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงหลบหนีอย่างสุดชีวิตแล้ว หลบให้ไกลจากอวี้ซาหน่อยก็ยังดี พยายามหลบไปให้ไกลๆ


ที่ยุ่งยากก็คือ วิญญาณน้ำแข็งที่กระจายตัวอยู่ทุกพื้นที่พวกนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขากลัววิญญาณน้ำแข็งพวกนี้ เพียงแต่ตอนที่กำลังโดนอวี้ซาไล่สังหาร ปัญหาที่วิญญาณน้ำแข็งพวกนี้ก่อขึ้นก็ทำร้ายให้เขาตายได้เหมือนกัน


เฮยทั่นเพิ่งจะพุ่งผ่านภูเขาลูกหนึ่ง ขึ้นไปที่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง กระโจนตัวไปยังภูเขาที่อยู่ตรงข้าม แต่ใครจะคิดว่าหนึ่งคนกับหนึ่งตัวจะแข็งทื่อค้างอยู่กลางอากาศ โดนภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมาแบบเฉียบพลันแช่แข็งไว้ในนั้นแล้ว


ขนาดอวี้ซายังโดนแช่แข็งเลย ไม่มีเหตุผลที่เขาจะหนีพ้น พอเขาออกมาจากเจดีย์งามวิจิตร ก็โดนวิญญาณน้ำแข็งพวกนั้นจับจ้องทันที


สถานการณ์แบบนี้แทบจะทำให้เหมียวอี้ร้อนใจตาย เขาสะบัดแขนสองข้าง ทำให้ภูเขาน้ำแข็งพังทลายโดยตรง


ภายใต้ความร้อนใจ เขาก็ยังมีสติชัดเจน ไม่ได้ลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้พังภูเขาน้ำแข็งเสียทั้งหมด แต่พังให้เกิดรอยแยกรอยเดียวเท่านั้น เป็นรอยเดียวที่เพียงพอให้เฮยทั่นผ่านไปได้ เขาต้องการฉวยโอกาสในวิกฤติ ต้องการอาศัยภูเขาน้ำแข็งลดอานุภาพการโจมตีของอวี้ซา แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ควงทวนฟาดไปข้างหน้า กวาดก้อนน้ำแข็งมาอุดรอยแยกข้างล่าง ปูทางแคบเอาไว้ทางหนึ่ง ให้เฮยทั่นบุกไปข้างหน้าต่อได้ ให้มันวิ่งตะบึงอยู่ในรอยแยกของภูเขาน้ำแข็ง


มีลมอันเหน็บหนาวเข้ากระดูกและน้ำแข็งโผเข้ามาตรงหน้า เหมียวอี้ที่กำลังขี่เฮยทั่นวิ่งตะบึงอยู่ท่ามกลางลมหนาวในทางแคบถือทวนพร้อมใช้ตามองหกถนน ใช้หูฟังแปดด้าน เวลาในทางแคบมีบางอย่างยื่นเข้ามาจะชน เขาก็จะโบกทวนกระหน่ำให้ราบทันที สีหน้าตึงเครียด สุขุมเยือกเย็นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เขารู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงขีดสุด รู้ว่าตัวเองกำลังสู้สุดชีวิต ยิ่งเวลาแบบนี้ก็ยิ่งต้องใจเย็น จะลุกลี้ลุกลนไม่ได้เด็ดขาด ถ้าตอบสนองแบบไม่สุขุมเยือกเย็นแม้แต่นิดเดียว ก็อาจจะทำให้เขาอันตรายถึงชีวิตได้


ในใจเขาบอกตัวเองไม่หยุด ขนาดผ่านอุปสรรคลำบากมามากมายแล้วยังรอดได้ เขาจะมาตาอยู่ที่นี่ไม่ได้ จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป จะต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่ออยู่รอดต่อไปให้ได้ เขารับปากอวิ๋นจื่อชิวไว้แล้วว่าจะไม่เป็นอะไร จะกลับไปหานางให้ได้


เขาไม่อยากให้ภาพที่อวิ๋นจือชิวนั่งดื่มสุราตากแดดคนเดียวอยู่บนหลังคาที่ทะเลทรายม่านเมฆาเกิดขึ้นอีกแล้ว วันนี้เขายอมทุ่มเททุกอย่างในชีวิตเพื่อหวังให้นางได้มีชีวิตที่ดีขึ้น


ดังนั้นต่อให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน ด้านนอกมีเสียงระเบิดตูมตามไม่หยุด แต่ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ยังสงบเยือกเย็นอยู่ท่ามกลางลมหนาว


แกร๊ง! น้ำแข็งที่ยื่นออกมาจากผนังเล็กน้อยชนที่หัวไหล่เขาแล้ว ชนจนแตกละเอียด เหมียวอี้ไม่แยแสอุปสรรคเล็กน้อยเลย เขาปล่อยให้มันชนบนร่างกาย เพียงแต่เศษเกล็ดน้ำแข็งที่ระเบิดใส่เขาทั้งตัวทำให้เขาดูสะบักสะบอมเล็กน้อย แต่กลับขัดขวางเขาที่กำลังควบเฮยทั่นวิ่งตะบึงอยู่ในรอยแยกไม่ได้


บึ้ม! แสงกระบี่สีเลือดสายหนึ่งโจมตีเข้ามา ภูเขาน้ำแข็งพังถล่ม ระเบิดปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า


เหมียวอี้กับเฮยทั่นที่ตัวอยู่ในนั้นก็ปลิวตามแรงระเบิดเช่นกัน ที่โชคดีก็คือ เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เมื่อมีภูเขาน้ำแข็งสกัดขวาง ก็ลดอานุภาพพลังโจมตีของอวี้ซาเมื่อมาถึงตัวเขาได้เยอะมาก ไม่สามารถสร้างพลังทำลายล้างมหาศาลให้เขาได้แล้ว


ขณะที่พลิกม้วนอยู่กลางอากาศ เหมียวอี้ที่ใช้ขาสองข้างขนาบท้องเฮยทั่นไว้แน่นโบกทวนฟาดน้ำแข็งก้อนใหญ่อย่างบ้าคลั่ง


เฮยทั่นเองก็ร่วมรบกับเหมียวอี้มานานแล้ว เมื่อเจอสถานการณ์วิกฤติแบบนี้มันก็ไม่ได้ลนลาน แต่เคลื่อนไหวอย่างแข็งแรง ตอนที่ร่างกายพลิกคว่ำก็ยังใช้เท้าหลังเหยียดข้ามน้ำแข็งก้อนใหญ่ข้างหลังผ่านไปได้ จากนั้นหมุนตัวเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ ใช้หัวชนก้อนน้ำแข็งที่ขวางทางข้างหน้าจนปลิวว่อน หลังจากเหยียบลงพื้นก็แบกเหมียวอี้พุ่งชนอย่างบ้าคลั่ง หนึ่งคนกับหนึ่งตัวฝ่าออกไปท่ามกลางฝนน้ำแข็งที่ปลิวว่อน


เมื่อมีเหมียวอี้อยู่ เหมียวอี้ก็ย่อมโจมตีน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่ตกลงมาจากฟ้าได้ มันก็แค่ต้องทำเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ นั่นก็คือการพาเหมียวอี้หนีออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด


หนึ่งคนกับหนึ่งตัวมีเกล็ดหิมะเกาะทั่วร่างกาย พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงระเบิดตูมตาม


อวี้ซาที่พยายามฝ่ามาทางนี้เหลือบมาเห็น ยังคงไล่ตามต่อไป เดิมทีอยู่ในระยะห่างที่ชั่วพริบตาเดียวก็ไปถึงแล้ว แต่กลับโดนพัวพันจนก้าวไปไหนลำบาก


ทว่าหนึ่งคนกับหนึ่งตัวเพิ่งจะพุ่งออกมา ร่างกายก็แข็งค้างอีกแล้ว โดนภูเขาน้ำแข็งลูกใหญ่แช่แข็งผนึกไว้อีกครั้ง


เหมียวอี้ที่โดนผนึกอยู่ในน้ำแข็งกางแขนอีกครั้ง ทำลายภูเขาน้ำแข็งจนเกิดรอยแยกรอยหนึ่ง แล้วโบกมือใช้ทวนฟาดจนเกิดช่องทางหนึ่งทาง ให้เฮยทั่นบุกไปข้างหน้าต่อ


ใครจะคิดว่าในกำแพงน้ำแข็งสองฝั่งจะมีวิญญาณน้ำแข็งกลุ่มหนึ่งสังหารออกมา กรวยน้ำแข็งแทงออกมาอย่างดุดัน


เหมียวอี้ออกทวนราวกับมังกร สังหารวิญญาณน้ำแข็งที่จู่โจมกะทันหันจนล้มตายตลอดทาง สังหารจนเกิดเสียงกรีดร้องตลอดทาง


ขนาดวิญญาณน้ำแข็งที่อวี้ซาฆ่าไม่ตาย แต่ตอนนี้กลับโดนเหมียวอี้สังหารจนล้มตายตลอดทาง พวกปีศาจเล็กๆ ที่คนอื่นจัดการได้ยาก แต่สำหรับทวนเกล็ดย้อนที่มีเพลิงจิตของเหมียวอี้ กลับสังหารได้อย่างง่ายดายราวกับหั่นผักผ่าฟัก แค่โจมตีครั้งเดียวก็ทำให้วิญญาณน้ำแข็งที่ฝึกตนมาหลายปีสลายหายไปแล้ว


สถานการณ์เดียวกันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดทาง ลำแสงสังหารสีเลือดโจมตีพังภูเขาน้ำแข็ง หนึ่งคนกับหนึ่งตัวพุ่งออกมาท่ามกลางก้อนน้ำแข็งที่ปลิวว่อนอีกครั้ง แต่ก็โดนภูเขาน้ำแข็งแช่ผนึกไว้อีกแล้ว จากนั้นก็บุกออกมาตลอดทาง สังหารวิญญาณน้ำแข็งจนพลิกล้มตลอดทาง พุ่งต่อไปข้างหน้า


พอเห็นสถานการณ์แบบนี้ อวี้ซาก็พลันคำรามอย่างเกรี้ยวกราดทันที “นี่พวกเจ้ากำลังช่วยเขาเหรอ?”


เขาแทบจะเป็นบ้าแล้ว ขนาดทำแบบนี้แล้วยังไม่ตายอีกเหรอ? ถ้าไม่มีวิญญาณน้ำแข็งพวกนั้นใช้ภูเขาน้ำแข็งคุมเหมียวอี้ไว้ บางทีเขาอาจจะฆ่าเหมียวอี้ทิ้งไปแล้วก็ได้ ภูเขาน้ำแข็งที่ผุดขึ้นต่อเนื่องหลายลูกกลับช่วยเหมียวอี้สกัดขวางการโจมตีจากเขาได้เยอะด้วยซ้ำ


แต่อานุภาพการโจมตีของเขาก็มหาศาลเกินไปจริงๆ ถึงแม้จะมีภูเขาน้ำแข็งขวางอานุภาพการโจมตีส่วนใหญ่ของเขา แต่ภายใต้อานุภาพการโจมตีซ้ำของเขา เหมียวอี้ก็สะเทือนบาดเจ็บไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมาแล้ว ในรูจมูกก็มีเลือดสดไหลออกมาเป็นทางเช่นกัน


เลือดสดย้อมเศษน้ำแข็งตรงหน้าอกเขาจนแดงฉาน เขาแค่รีบร้อนยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งเข้าปากแล้วเคี้ยวกลืนลงท้อง แล้วรีบใช้ทวนฟาดน้ำแข็งที่ยื่นออกมาขวางข้างหน้าอย่างเร่งด่วน แล้วพุ่งออกไปราวกับลมท่ามกลางดอกน้ำแข็งที่พร่าตา


เฮยทั่นเรียกได้ว่าทนไม้ทนมือโดยธรรมชาติ มันไม่เป็นอะไร ภายใต้สภาพการณ์แบบนี้ ตราบใดที่ยังมีหนทางให้วิ่ง มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะหยุด


บางทีอาจจะเป็นเพราะได้ยินเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของอวี้ซา ตรงที่ไกลๆ มีหงส์อัคคีน้ำแข็งสิบกว่าตัวพุ่งมาอีกแล้ว อัคคีน้ำแข็งสิบกว่าสายถูกพ่นออกมา ทะลุภูเขาน้ำแข็งไปเผาใส่เหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง


หนึ่งคนกับหนึ่งตัวมองข้ามราวกับพวกมันไม่มีตัวตน พุ่งเข้าไปท่ามกลางเปลงเพลิงเดือดสีฟ้าโดยตรง วิ่งตะบึงท่ามกลางเพลิงอย่างบ้าคลั่ง วิ่งฝ่าเพลิงออกมาแล้ว


หงส์อัคคีน้ำแข็งสิบกว่าตัวนั่นไล่ตามพร้อมใช้อัคคีน้ำแข็งพ่นไปก็ไม่มีประโยชน์


ขนาดทำแบบนี้แล้วยังฆ่าเขาไม่ได้เลยเหรอ? อวี้ซาตกตะลึงแล้ว แต่ไม่นานก็รู้ตัว ว่าที่เจ้าบ้านั่นบอกว่าไม่เคยเห็นอัคคีน้ำแข็งมาก่อนและทำอะไรอัคคีน้ำแข็งไม่ได้ ที่จริงแล้วเป็นอัคคีน้ำแข็งต่างหากที่ทำอะไรเขาไม่ได้ ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่ได้อยากช่วยตนเลย จงใจให้ตนตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย


หลังจากเข้าใจแล้ว ก็รู้แล้วว่าตัวเองโดนเหมียวอี้หลอกจนยับเยิน ตัวเองดันชักศึกเข้าบ้านจนทรัพย์สมบัติถูกเขาโกยไปหมดแล้ว


“อา!” อวี้ซาเงยหน้าคำรามอย่างเดือดดาล เสียงดังสะเทือนฟ้าดิน โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา บ้าคลั่งอย่างถึงที่สุดแล้ว


ชั่วพริบตานั้น ปราณสังหารที่ไขว้ตัดสลับกันมั่วทานราวกับไม่ต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์ ใส่อย่างบ้าคลั่งราวกับได้จ่ายเงินซื้อมา


ภูเขาน้ำแข็งระเบิดพังอย่างบ้าคลั่ง หงส์อัคคีน้ำแข็งที่ล้อมโจมตีระเบิดจนพังทลาย เปลวเพลิงสีฟ้าสะบัดโบกเต็มท้องนภา


อาศัยโอกาสเวลาสั้นๆ ที่หงส์อัคคีน้ำแข็งพวกนั้นยังไม่ก่อตัวฟื้นชีพ ฉวยโอกาสช่องว่างตรงนี้ ปล่อยปราณสังหารสีเลือดออกมารัวๆ ราวกับปราณกระบี่อัสนีบาตถล่มใส่เหมียวอี้ที่กำลังหลบหนี


หนึ่งคนกับหนึ่งตัวปลิวอยู่ท่ามกลางก้อนน้ำแข็งที่ระเบิด แกร๊ง! ปราณกระบี่ที่มีน้ำแข็งเกาะหลายชั้นโจมตีโดนเฮยทั่นแล้ว


เฮยทั่นที่โดนโจมตีข้างก้น ปากและจมูกของมันมีเลือดพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง ชั่วพริบตาเดียวร่างกายก็ม้วนกลิ้ง เกราะรบบนตัวขาดพลังงานสนับสนุนทันที เกราะม้วนกลับไปที่คอเสียงดังเปาะแปะ กลายเป็นห่วงเหล็กบนคอแล้ว


เหมียวอี้ก็เกือบจะโดนเฮยทั่นสะบัดออกไปเช่นกัน สุดท้ายยามหน้าสิ่วหน้าขวานเขาก็ไม่ได้ทิ้งเฮยทั่น กระโจนตัวออกไปคว้าเขาของมันเอาไว้ ก่อนที่ลูกกลมสีดงขนาดใหญ่จะปรากฏขึ้น เกิดเสียงดังแกร๊ง ครอบหนึ่งคนกับหนึ่งตัวเอาไว้ในนั้นแล้ว ปิดล้อมไว้อย่างหนาแน่น


ทว่าการโจมตีที่มั่วและบ้าของอวี้ซานั้นโหดเกินไปจริงๆ ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ โดนถล่มโจมตีใส่อย่างหนักหน่วง ชั่วพริบตาเดียวพลังสนับสนุนก็โดนโจมตีพังแล้ว หดกลับสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว โชคดีที่ทวนเกล็ดย้อนในมือเหมียวอี้ยังถือในแนวขวางอยู่ในนั้น ค้ำลูกกลมตีไม่พังไม่ให้หดเล็กไปกว่านี้ เหลือช่องว่างเพียงพอไว้ให้หนึ่งคนกับหนึ่งตัวที่อยู่ข้างใน


ลูกกลมตีไม่พังที่ใส่หนึ่งคนกับหนึ่งตัวเอาไว้โดนโจมตีจนปลิวออกไป แล้วก็ไปชนกับภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งจนพัง สุดท้ายก็โดนภูเขาน้ำแข็งผนึกไว้อีกแล้ว


อวี้ซาที่ปล่อยปราณสังหารพุ่งขึ้นฟ้าพุ่งเข้ามาอย่างไม่สนใจอะไร เขาถล่มเปิดภูเขาน้ำแข็งแล้ว ดีดนิ้วปล่อยลำแสงดรรชนีโจมตีลูกกลมตีไม่พังอีกครั้ง ทำให้ลูกกลมตีไม่พังเปลี่ยนรูปร่างแล้ว แต่กลับไม่สามารถโจมตีฝ่าของที่หลอมสร้างจากผลึกแดงได้ง่ายๆ ภายใต้ความอับจนหนทาง เขาดูดลูกกลมตีไม่พังมาไว้ในมือเสียเลย ถึงแม้อาวุธชิ้นใหญ่จะถือลำบาก แต่กลับถูกเขาดูดไว้ในฝ่ามือและลากไปแล้ว จากนั้นก็ล้อมสังหารอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง


ใครจะคิดว่าในตอนนี้ จู่ๆ บรลูกกลมตีไม่พังก็มีสายฟ้าหมุนวน สายฟ้าทำให้ร่างกายของอวี้ซาที่อยู่กลางอากาศสั่นเทิ้ม จำเป็นต้องคลายมือออกจากลูกกลมตีไม่พัง กระแสไฟฟ้ามีบทบาทในการข่มวิญญาณชั่วร้ายเช่นกัน


ลูกกลมตีไม่พังที่ตกลงมาจากท้องฟ้าโดนภูเขาน้ำแข็งผนึกไว้อีกครั้ง


ส่วนอวี้ซาที่โดนลูกกลมตีไม่พังใช้กระแสไฟฟ้าโจมตี การเคลื่อนไหวก็ช้าลงเล็กน้อย ตอนที่เติมปราณสังหารเพื่อต้านทานอัคคีน้ำแข็งไม่ทัน ก็โดนอัคคีน้ำแข็งเผาปราณสังหารที่ปกป้องร่างกาย เผาโดนแขนของเขาแล้ว


อวี้ซาก็เป็นคนโหดเช่นกัน ขณะที่รีบถลันตัวผ่านไป ก็ดึงแขนที่โดนเผาทิ้งไปทั้งเป็นๆ เลย แล้วก็หันมาฝ่าวงล้อมอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง เขาไม่สนใจเหมียวอี้แล้ว เป็นเพราะโดนไฟเผาจนได้สติกลับมาแล้ว เอาชีวิตไปทิ้งเพราะเหมียวอี้คนเดียวนั้นไม่คุ้ม ไม่มีสมบัติก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่มีชีวิตย่อมมีหวัง


ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะปล่อยเหมียวอี้ไป ที่สำคัญเป็นเพราะโดนเหมียวอี้หอบสมบัติไปหมดแล้ว บนตัวไม่มีแม้แต่แหวนเก็บสมบัติสักวง ภายใต้สถานการณ์ที่โดนล้อมโจมตีแบบนี้ แต่ลูกกลมสีแดงนั่นจะปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไร? หลังจากได้สติกลับมาก็พบว่าสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะมาก ถ้ายังไม่หนีไปตอนนี้ก็จะไม่มีทางหนีได้แล้ว ตอนนี้จะหนีพ้นหรือไม่ก็ยังรับประกันไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

 

 


บทที่ 1482 หงส์น้ำแข็งสลายตัว

 

เสียงต่อสู้ที่ดังสะเทือนเลือนลั่นห่างออกไปทีละนิด


ใจกลางผนึกน้ำแข็งมีแสงของไฟฟ้ากะพริบ พวกวิญญาณน้ำแข็งที่เข้ามาในภูเขาน้ำแข็งหมายจะล้อมโจมตีถูกสายฟ้ากระหน่ำจนหัวซุกหัวซุนถอยออกมา


แสงของสายฟ้าบนลูกกลมใหญ่สีแดงอ่อนจางลงทีละนิด แล้วสุดท้ายก็หายไป


ภายในนั้น ทวนเกล็ดย้อนค้ำในแนวขวางไม่ให้ลูกกลมตีไม่พังหดเล็กลง แขนขาทั้งสี่ของเหมียวอี้ห้อยอยู่บนทวนเกล็ดย้อน ตอนที่ลูกกลมตีไม่พังโดนอวี้ซาโจมตี เขาก็นึกถึงท่านี้ได้ภายใต้ความร้อนใจ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระแทกผนังตอนที่ลูกกลมตีไม่พังโดนโจมตี ไม่อย่างนั้นพลังชนโจมตีก็ไม่ใช่น้อยๆ แน่ๆ ไม่ใช่สิ่งที่วรยุทธ์ของเขาจะรับไหว


ผลลัพธ์ได้พิสูจน์แล้ว วิธีการรับมือกับเหตุฉุกเฉินของเขาไม่เลวเลย ช่วยให้เขาหลบหายนะนี้ไปได้


เฮยทั่นที่นอนอยู่ในลูกกลมตีไม่พังกลับหลบหายนะนี้ไม่ได้ การโจมตีที่บ้าคลั่งหลายครั้งของอวี้ซาล้วนทำให้ลูกกลมตีไม่พังกระแทกบนตัวมันอย่างรุนแรง โชคดีที่มันทนการโจมตีที่ไม่ธรรมดาโดยกำเนิด กอปรกับในลูกกลมตีไม่พังไม่ได้มีจุดไหนแหลมคม แค่โดนชนสองครั้งโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่มันก็หายใจรวยรินแล้ว เกราะเกล็ดที่ทนทานบนร่างกายร่วงลงไม่น้อย เขาสองข้างก็โดนชนจนหักหมดแล้ว


สายฟ้าที่ไหลเวียนอยู่บนตัวมันเริ่มอ่อนจางลง แล้วก็หายไปเลย มันนอนนิ่งแทบจะไม่เคลื่อนไหวอะไรแล้ว


นี่เป็นการโต้ตอบโดยจิตใต้สำนึกครั้งสุดท้ายในขณะที่เกือบจะสลบ เป็นการโจมตีที่ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยไฟฟ้า เอาใจเหมียวอี้ไม่ได้สักเท่าไร


ตามกระแสไฟฟ้าที่หายไปจากตัวเฮยทั่น กระแสไฟฟ้าบนตัวเหมียวอี้ก็หายไปเช่นกัน เหมียวอี้ที่โดนกระแสไฟฟ้าโจมตีจนตัวสั่นผิวเกรียมแดงราวกับโดนไฟเผาก็ปล่อยมือที่ห้อยจากทวนเกล็ดย้อนแล้วเช่นกัน ร่วงลงมาแล้ว


“แค่ก…อู…อั้ก…” ด้วยความที่กินสมุนไพรเซียนซิงหัวไว้ล่วงหน้า เหมียวอี้ที่ตกลงบนตัวเฮยทั่นอาการบรรเทาลงนิดหน่อย ตอนนี้เพิ่งได้สติรู้ตัว เขาตัวสั่นและไอสองสามที อาเจียนเลือดสดออกมา


อัคคีน้ำแข็งที่ดุร้ายหลายสายพ่นออกมาอย่างกะทันหัน เหมียวอี้โบกมือข้างเดียว กั้นอัคคีน้ำแข็งออกไปด้านนอกลูกกลมตีไม่พังทันที เข้ามาไม่ได้เลยสักนิด


ที่จริงอานุภาพการโจมตีของอัคคีน้ำแข็งก็ไม่ได้เยอะอะไร เป็นการควบคุมไฟและปล่อยออกมาเผาอย่างง่ายๆ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือจุดแสงสีรุ้งที่ควบคุมอัคคีน้ำแข็งไม่ได้มีศักยภาพสักเท่าไร ต่อให้จะมีพลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งกว่าหน่อย แต่ต้านทานปราณสังหารของอวี้ซาได้ยาก ไม่อย่างนั้นอวี้ซาก็คงถูกกำจัดไปนานแล้ว


สำหรับเหมียวอี้ในตอนนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เขาพลิกตัวลุกขึ้นมา หันไปมองเฮยทั่นที่ใกล้จะหมดลมหายใจ แล้วจู่ๆ ก็ดวงตาเบิกกว้างขึ้นหลายเท่า จู่ๆ ก็ทั้งกลิ้งทั้งคลานไปที่ข้างหัวของเฮยทั่น คว้าเขาที่หักของเฮยทั่นแล้วเขย่าเบาๆ พร้อมตะโกนเสียงต่ำว่า “โจรอ้วน เจ้าอ้วน เฮยทั่น…”


เขย่าเรียกด้วยความร้อนใจหลายครั้ง เฮยทั่นลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาโตที่ยามปกติเจ้าเล่ห์มีชีวิตชีวาท่วาในตอนนี้ไร้แวว ส่งเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “ไม่มีเหตุผลเลย ท่านทนได้ดีกว่าข้าอีก…อั้ก!” เลือดที่ข่มไว้พ่นทะลักออกมาราวกับน้ำพุ พ่นใส่หน้าเหมียวอี้เหมียวอี้ พ่นจนเหมียวอี้มีเลือดสดหยดทั้งตัว จากนั้นดวงตาสองข้างก็ปิดลง หัวห้อยลงไปอีกรอบ


ทั้งตัวเหมียวอี้เจ็บแปลบแสบร้อนเพราะโดนไฟฟ้าโจมตี พอโดนเฮยทั่นพ่นเลือดสดใส่ ก็ยิ่งเหมือนโดนไฟเผาและมีดกรีด แต่เขาไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการบาดเจ็บในร่างกายให้เฮยทั่น ตอนยังไม่ตรวจก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอตรวจแล้วเขาก็หวาดกลัวถึงขีดสุด


อวัยวะภายในของเฮยทั่นได้รับความเสียหาย เสียหายจนทนมองไม่ไหว กระดูกก็แทบจะไม่เห็นส่วนไหนครบสมบูรณ์ เลือดคั่งอยู่ในร่างกาย เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น…


เหมียวอี้รีบหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวกำใหญ่ออกมา แล้วหักยัดเข้าปากเฮยทั่น พอเฮยทั่นกลืนลงไปแล้ว เหมียวอี้ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ส่งเข้าไปในร่างกายมัน


สมุนไพรเซียนซิงหัวกำแล้วกำเล่า เหมียวอี้แทบจะยอมทุ่มทุกอย่าง ยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวเข้าปากเฮยทั่นเป็นร้อยต้นในรวดเดียว แล้วใช้ฝ่ามือกดท้องเฮยทั่นพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นฤทธิ์สมุนไพรเซียนซิงหัว หมอกดาวนับไม่ถ้วนกรอกเข้าไปในร่างกายเฮยทั่น กระจายไปยังอวัยวะและกระดูกในร่างกายของมัน


ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยเฮยทั่นหายใจไม่หยุด


เขานึกเสียใจทีหลังที่ไม่ได้เก็บเฮยทั่นเข้าแหวนเก็บสมบัติให้ทันเวลา ตอนนี้เลยทำให้เฮยทั่นโดนโจมตีรุนแรงขนาดนี้


แต่เขาเองก็รู้ ว่าในตอนนั้นเขาไม่มีทางเลือกจริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป การโจมตีของอวี้ซาก็ทั้งรวดเร็วทั้งดุดัน ไม่ใช่สิ่งที่ระดับวรยุทธ์อย่างเขาจะต้านทานไหวเลย เขาเองก็สะเทือนจนแทบจะเลอะเลือนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะใช้ทวนเกล็ดย้อนในมือค้ำไว้แล้วสู้ตายไม่เลิก เขาก็คงจะตายไปแล้ว


ในตอนนั้นเขาเองก็โดนโจมตีใส่อย่างบ้าคลั่งจนแทบจะเลอะเลือน จะสนใจอย่างอื่นไหวได้อย่างไร


โชคดีที่บนตัวมียาวิเศษสำหรับรักษาบาดแผลอยู่ไม่น้อย สมุนไพรเซียนซิงหัวก็ยิ่งเตรียมไว้เป็นกอง สรรพคุณทางยาของสมุนไพรเซียนซิงหัวซิงหัวก็ใช้งาได้จริง ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ก็สร้างร่างใหม่ออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่มีเหตุผลที่จะช่วยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถูกเรียกว่าสมุนไพรเทพสำหรับรักษาบาดแผลได้อย่างไร


อวัยวะภายในที่ฉีกขาดของเฮยทั่นกำลังสมานตัวอย่างรวดเร็วอยู่ท่ามกลางหมอกดาว ถึงแม้เลือดในร่างกายจะยังไหลออกมาจากปากเฮยทั่นไม่หยุด แต่ลมหายใจของเฮยทั่นกลับมั่นคงขึ้นทีละนิดแล้ว มันค่อยๆ หายใจเองได้ ลมหายใจไม่อ่อนแออีกต่อไป


เมื่อแน่ใจว่าอาการบาดเจ็บของเฮยทั่นคงที่แล้ว เหมียวอี้ถึงได้สติกลับมา แล้วเพ่งสมาธิความสนใจไปด้านนอก สนใจเสียงต่อสู้อันดุเดือดที่อยู่ไกลๆ


เขาลุกขึ้นยืนอย่างรู้สึกแปลกใจ อวี้ซาปล่อยพวกเขาไปแล้วเหรอ?ไม่น่าจะใช่มั่ง!


ก่อนหน้านี้เขาสะเทือนจนเลอะเลือนแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมอวี้ซาถึงปล่อยพวกเขาไป ตอนนี้หลังจากโดนไฟฟ้าจนตีจนปวดสบปวดร้อน ถึงได้นึกออกว่าตัวเองเคยโดนเฮยทั่นปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่ สายตาจึงไปหยุดอยู่บนตัวเฮยทั่น แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ “เหอะๆ” ออกมา


เขาเข้าใจแล้ว ว่าไม่ใช่เพราะอวี้ซาที่อยากปล่อยพวกเขาไป แต่เป็นเพราะเฮยทั่นปล่อยกระแสไฟฟ้า จึงทำให้อวี้ซาไม่รู้จะลงมืออย่างไร ของทุกอย่างบนตัวอวี้ซาอยู่กับเขา แม้แต่กำไลเก็บสมบัติบนข้อมือก็โดนเขาทำพังไปแล้ว โดนเฮยทั่นปล่อยไฟฟ้าใส่บวกกับการโจมตีของวิญญาณน้ำแข็งและหงส์อัคคีน้ำแข็งข้างนอก อวี้ซาจึงไม่สามารถพาพวกเขาไปไหนได้เลย


แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าอวี้ซาได้รับบาดเจ็บแล้ว ถึงได้หนีอย่างไม่ลังเลแบบนี้


ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมวิญญาณน้ำแข็งพวกนั้นจึงไม่มาโจมตีพวกเขา มีเพียงหงส์อัคคีน้ำแข็งที่กำลังพ่นไฟเผาพวกเขา เป็นเพราะภูเขาน้ำแข็งนำไฟฟ้า ถ้าเฮยทั่นปล่อยกระแสไฟฟ้า วิญญาณน้ำแข็งพวกนั้นก็คงจะไม่มีทางเข้ามาในภูเขาน้ำแข็งได้อีก


พอลองฟังเสียงต่อสู้ที่ยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ เหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก อวี้ซาไปแล้ว เรียกได้ว่ารอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้แล้วเช่นกัน ศักยภาพของของญญาณน้ำแข็งและหงส์อัคคีน้ำแข็งที่เหลือก็ไม่เท่าไรเลย แค่ร้ายกาจต่อวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เฉยๆ แต่ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาเลยจริงๆ


เขาลูบใบหน้าที่แสบร้อน แล้วก็หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งออกมาอีก แล้วกลืนลงท้องอีกครั้งเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด


เมื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บของเฮยทั่นอีกครั้ง แน่ใจแล้วว่าอาการคงที่ ถึงได้หยิบกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งออกมาจากกำไลเก็บสมบัติ เก็บเฮยทั่นเข้าไปในนั้น เสร็จแล้วถึงได้ครุ่นคิดว่าจะออกไปอย่างไร พอสำรวจดูให้ลึก ถึงได้พบว่าลูกกลมตีไม่พังที่อยู่ตรงหน้าโดนโจมตีจนเปลี่ยนรูปร่างแล้ว ไม่ใช่แค่พลังงานหมด โครงสร้างภายในที่หลอมสร้างไว้ก็เปลี่ยนรูปอย่างร้ายแรงเช่นกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ลูกกลมตีไม่พังลูกนี้พังไปแล้ว เพียงแต่วัสดุยังไม่พังเท่านั้นเอง


ปัญหาก็คือไม่สามารถควบคุมลูกกลมตีไม่พังลูกนี้ได้อีก มันโดนปิดตายแล้ว เขาเองก็เปิดไม่ออกเช่นกัน ไม่สามารถออกไปได้ วิธีการเดียวในตอนนี้ก็คือต้องทำให้มันพังยับเยินถึงจะออกไปได้


แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก เดิมทีลูกกลมตีไม่พังก็ถูกหลอมสร้างขึ้นมาอยู่แล้ว และวิชาที่เขาฝึกก็คือเคล็ดวิชาธาตุไฟ


เขาหยิบหินผลึกไขมันสีทองออกมาก้อนหนึ่ง วางไว้ตรงจุดเชื่อมต่อรอยแยกที่ค่อนข้างใหญ่ของลูกกลมตีไม่พัง แล้วดีดนิ้วชี้ไปตรงนั้น


พรึบ! เปลวเพลิงสีทองระเบิดลุกพรึบ


เหมียวอี้ชี้ไปอีก ทำให้เปลวเพลิงเดือดหดเล็กลง ไฟไปรวมกันที่จุดจุดเดียว เผาไหม้เพียงจุดนั้น


หลังจากนั้นครึ่งวัน จุดที่โดนเผาก็ค่อยๆ หลอมละลาย ทันใดนั้นก็มีเสียง “ปั้ง” ทั้งลูกกลมตีไม่พังพังทลายกลายเป็นผงสีแดงตกลงพื้น เหมียวอี้ถือโอกาสรับทวนเกล็ดย้อนที่ตกลงมาไว้ในมือ พอขยุ้มมืออีกข้าง หินผลึกไขมันสีทองก็ตกอยู่ในมือเขาแล้ว


บึ้ม! พอหันตัวมา ก็ใช้ทวนฟันอย่างบ้าคลั่ง พอภูเขาน้ำแข็งแยกออก มังกรไฟตัวหนึ่งก็พุ่งเข้าไปในผนังที่แยกออก เหมียวอี้กระโจนตัวขึ้นมา ถือทวนกระโดดข้ามผนังน้ำแข็งที่มีรอยแยกราวกับบินข้ามกำแพง แล้วกระโดดออกไปในแนวเฉียง


พอออกจากรอยแยกภูเขาน้ำแข็งมาได้ ก็ใช้เปลวเพลิงสีทองบุกฝ่าออกมา ทำให้วิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ข้างนอกตกใจจนถอยหลัง พวกนางไม่กลัวไฟหยินอย่างอัคคีน้ำแข็ง แต่กลับกลัวไฟหยาง สิ่งนี้คือดาวอริของพวกนาง


แต่ภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้น ผนึกเหมียวอี้เอาไว้ในน้ำแข็งอีกครั้ง หินไขมันเพลิงสีทองในมือเหมียวอี้ก็ดับลงด้วยเช่นกัน


เหมียวอี้กางแขนสองข้างจนภูเขาน้ำแข็งแตกออก เปลวเพลิงสีทองลุกโชนอีกรอบ เขาบุกไปข้างหน้าต่อในขณะที่ตัวอยู่ในเปลวเพลิง ไขมันเพลิงสีทองที่แน่นเต็มทางกดดันจนวิญญาณน้ำแข็งที่ต้องการจะโผล่จากผนังน้ำแข็งสองฝั่งมาโจมตีไม่กล้าเข้าใจ อุณหภูมิสูงเผาจนกำแพงสองข้างละลายเป็นน้ำไหลจ๊อกๆ


ตอนที่ออกมาอีกครั้ง ก็มีภูเขาน้ำแข็งมาผนึกเขาไว้อีก เหมียวอี้ถล่มภูเขาน้ำแข็งอีกครั้ง พุ่งไปยังจุดลึกของทุ่งน้ำแข็งที่มีน้อยคนที่จะไปถึง บางครั้งที่วิ่งขึ้นมาบนยอดเขาสูงก็จะทอดสายตามองออกไป


ดังนั้นจึงปรากฏภาพเหตุการณ์ประหลาด ภูเขาน้ำแข็งหลายลูกงอกขึ้นมาบนพื้นอย่างเป็นระเบียบตลอดทางราวกับเป็นหน่อไม้หลังฝนตก ขยายยาวเหยียดอยู่บนทุ่งน้ำแข็งไม่หยุด ลูกไฟสีทองลูกหนึ่งวิ่งตะบึงผ่านไป บนท้องฟ้ามีหงส์อัคคีน้ำแข็งฝูงหนึ่งกำลังพ่นอัคคีน้ำแข็งใส่ลูกไฟสีทองนั่นอย่างบ้าคลั่ง และคนในเพลิงสีทองก็ไม่สนใจสิ่งนี้เลย เอาแต่ถือทวนวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว


หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เหมียวอี้ที่ไม่เคยหยุดพักเลยก็พุ่งออกมาจากรอยแยกของภูเขาน้ำแข็ง กระโจนจากท้องฟ้าลงมาด้านล่าง ดิ่งตกลงใต้หน้าผาน้ำแข็งที่ลึกหลายร้อยจั้ง


ปั้ง! เกล็ดหิมะที่กองรวมกันกระจัดกระจายภายใต้แรงพุ่งโจมตี เผยแผ่นน้ำแข็งที่โดนกลบไว้ด้านล่าง บนผิวน้ำแข็งมีรอยแยก เพลิงสีทองดับลง เผยร่างของเหมียวอี้แล้ว


“แกร๊ง” เหมียวอี้ที่คุกเข่าข้างเดียวอยู่กลางรอยแยกใยแมงมุมใช้ทวนค้ำพื้นแล้วยืนขึ้นอย่างช้าๆ รองเท้าเหล็กขยับเล็กน้อย เกราะรบบนตัวยังไม่ถูกถอดออก บนใบหน้ายังเปื้อนเลือดที่เฮยทั่นพ่นใส่ ใบหน้ากลายเป็นสีดำไปแล้ว เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสภาพกึ่งผีกึ่งคน ไม่ได้วิ่งไปข้างหน้าอีก แต่หันกลับไปมองด้านบนหน้าผาที่อยู่ข้างหลัง เขาแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมวิญญาณน้ำแข็งพวกนั้นจึงไม่แช่แข็งเขาต่อไป


เขาโดนแช่แข็งมาตลอดทาง พอจู่ๆ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็ยังทำให้เขาไม่คุ้นชินสักเท่าไร


ผลก็คือพบว่าบนฟ้ามีพวกวิญญาณน้ำแข็งบินออกจากริมหน้าผาน้ำแข็งกลับไปอย่างหวาดกลัว ไม่เห็นมีใครสะกดรอยตามมาแล้ว ส่วนหงส์อัคคีน้ำแข็งที่กำลังบินวนอยู่บนฟ้าก็กำลังสลายตัว อัคคีน้ำแข็งหลายดวงแยกออกไปอย่างรวดเร็ว จมหายลงในหิมะแล้ว จุดแสงสีรุ้งกลุ่มนั้นปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงอีกครั้ง แล้วรวมกลุ่มกันบินวนอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นก็ไหลไปที่ทุ่งน้ำแข็งด้านหน้าราวกับฝนดาวตก สุดท้ายก็หายไป

 

 

 


บทที่ 1483 รังหงส์

 

โดนไล่ฆ่ามาตลอดทางเป็นเวลาหลายเดือน โดนไฟเผาผนึกน้ำแข็งตลอดทาง ตลอดเส้นทางที่ผ่านมานี้ ตนเรียกได้ว่ามาอย่างบ้าคลั่งสะเทือนเลือนลั่นตลอดทาง แต่จู่ๆ บทจะถอยก็ถอยไป บทจะแยกย้ายก็แยกย้ายไป กลายเป็นสงบสุขขนาดนี้แล้ว เขาไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นชินจริงๆ


เหมียวอี้เงียบงัน เมื่อครู่ตอนที่กระโดดหน้าผาน้ำแข็งแห่งนี้ลงมาเขามองไปรอบๆ หลายครั้ง ถ้าเขาจำไม่ผิด ที่นี่ก็เหมือนจะเป็นแอ่งกระทะที่ใหญ่มาก


เขามองไปข้างหน้า ตรงจุดไกลๆ เห็นภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งที่มีหน่อน้ำแข็งทั้งเล็กทั้งใหญ่สะสมกันตั้งตระหง่านเงียบๆ อยู่บนทุ่งน้ำแข็ง ด้านบนของภูเขาน้ำแข็งที่สลับฟันปลา มีควันกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา  เป็นควันหนาเจ็ดสี พุ่งขึ้นบนฟ้าสูง แล้วกระจายไปสี่ด้านแปดทิศราวกับเห็ด


เขารู้ว่านั่นคือปราณชั่วร้าย แต่เขาไม่รู้ว่ารังหงส์อยู่ส่วนไหนของทุ่งน้ำแข็ง รังหงส์มีแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย คงจะมีปราณชั่วร้ายที่เข้มข้นมาก นี่คือการตัดสินโดยพื้นฐานของเขา หลังจากเห็นเมฆชั่วร้ายนี่ไกลๆ เขาก็เลยมาที่นี่


อย่าบอกนะว่าภูเขาน้ำแข็งที่เป็นฟันปลานั่นจะเป็นรังหงส์ พอเงยหน้ามองวิญญาณน้ำแข็งที่หายไปข้างหลังอีกครั้ง ก็เดาออกแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองตัดสินน่าจะไม่ผิดพลาด


มีความเป็นไปได้ว่าจะมาถึงจุดหมายแล้ว ความรู้สึกของเหมียวอี้ไม่นับว่าตื่นเต้นดีใจอะไรนัก กลับเริ่มระวังตัวขึ้นมาด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าข้างหน้ายังมีอันตรายอะไรอีก


เขาผ่อนคลายแขนขาทั้งสี่เล็กน้อย รู้สึกเจ็บแปลบอ่อนแรงพักหนึ่ง หลังจากอวี้ซาไปแล้ว ถึงแม้การบุกมาตลอดทางนี้จะไม่มีอันตรายอะไร แต่เขาก็ต่อสู้มาตลอดทาง วิ่งด้วยความเร็วมาตลอดทาง ใช้วิธีการบุกเบิกภูเขาแยกแผ่นดินวิ่งมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ถึงแม้จะกินยาเพื่อรักษาพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ตลอดทาง แต่ความเหนื่อยล้าของกายเนื้อก็ยังจู่โจมมาที่เขาอย่างเข้มข้น


เขากวาดสายตามองไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดบนกระเป๋าสัตว์ที่เอว ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่า อาการบาดเจ็บของฮยทั่นน่าจะฟื้นตัวตั้งนานแล้ว มันอ้อนตลอดว่าอยากออกมาดูว่าภายนอกเป็นอย่างไร แต่เหมียวอี้ไม่ยอมให้มันออกมาเลย ให้มันพักฟื้นต่อไป


ตอนนี้เขาโบกมือเรียกมันออกมาแล้ว ตอนนี้เขาต้องการผู้ปกป้อง เป็นเพราะเหนื่อยล้าเกินไปจริงๆ ต้องการฟื้นฟูร่างกายสักหน่อย


เฮยทั่นที่ปรากฏตัวกลางอากาศสั่นหัวส่ายหาง มันมองซ้ายทีขวาที แล้วบ่นว่า “ทำไมเงียบสงบแบบนี้ ปีศาจเล็กๆ พวกนั้นล่ะ แล้วนกใหญ่ที่พ่นไฟโดนท่านจัดการไปหมดแล้วเหรอ?”


ตอนนี้ไม่กล้าเยินยอรูปลักษณ์ภายนอกของมันเลยจริงๆ เขาที่อยู่บนหัวหักเกือบหมดแล้ว เขาข้างหนึ่งหักไปเกือบครึ่ง ส่วนอีกข้างหักไปเกือบสามในสี่ส่วน ข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่งเตี้ยอยู่บนหัว ทั้งยังมีเกราะเกล็ดดำขลับแข็งแรงที่เดิมทีปกคลุมไว้ทั้งร่างกาย เกราะเกล็ดสีดำที่เดิมทีอาวุธที่ระดับต่ำกว่าผลึกแดงฟันแทงไม่เข้า มันหลุดออกไปหนึ่งในสี่ส่วนแล้วเช่นกัน ทำให้เกราะดูขาดๆ หายไป เป็นจุดเล็กบ้างใหญ่บ้าง เล่นซะเหมือนสุนัขขนร่วง ตลกพิลึกพิลั่นสุดๆ ประกอบกับสายตาเจ้าเล่ห์ของมันก็ยิ่งทำให้คนเห็นแล้วอยากขำ


เหมียวอี้หัวเราะไม่ออกออก รู้ว่ามันเกือบจะสิ้นชีพ รู้ว่าถ้าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเฮยทั่นสู้ตาย ตัวเองก็อาจจะไม่หลุดพ้นเงื้อมมือของอวี้ซาก็ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้อวี้ซาเป็นหรือตาย เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ข้าไม่ได้จัดการหรอก พวกมันถอนไปเองแล้ว”


“ท่านปู๋เอ๊ย ตามแบบเอาเป็นเอาตายตลอดทาง ถอยไปเองแต่โดยดีได้ด้วยเหรอ?” เฮยทั่นถาม


เหมียวอี้ส่ายหน้า มองไปยังภูเขาน้ำแข็งที่มีปราณชั่วร้ายพวยพุ่งขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ไม่รู้สิ อาจจะใกล้ถึงรังหงส์แล้วมั้ง”


เฮยทั่นมองตาม พอเห็นภูเขาน้ำแข็งที่มีควันลอย เห็นปราณชั่วร้ายที่เข้มข้น มันก็ตาลุกวาว แลบลิ้นเลียรอบริมฝีปากทันที


เหมียวอี้เหล่ตามองมันแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “อดทนควบคุมปากไว้ให้ข้าหน่อย ถ้ากล้าตะกละกินจนก่อเรื่องอีก ฟันเจ้าร่วงหมดปากแน่”


“ไม่หรอกๆ ข้าได้รับบทเรียนแล้ว!” เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหาง น้ำเสียงดูอับอายเล็กน้อย พอนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตัวเองก่อ ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองก่อเรื่องซี้ซั้ว คาดว่าตอนนี้ก็คงได้หลบอยู่ในถ้ำริมทะเลสาบแล้ว แบบนั้นปลอดภัยมาก คงไม่เกิดเรื่องที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวนแบบในตอนหลัง


มันยังไม่รู้จุดประสงค์ที่เหมียวอี้มาที่นี่ มันนึกว่าเหมียวอี้หมดหนทางถึงได้หนีมาที่นี่ มันรู้สึกผิดมาก  ล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเองก่อเรื่องไว้ทั้งนั้น


เหมียวอี้ยกมือกดบนตัวมัน ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจร่างกายให้มัน หลังจากแน่ใจว่าอาการบาดเจ็บหายแล้ว เขาก็เดินดูรอบตัวมันอีก เขาพบว่าจุดที่เขาหักกับจุดที่เกราะเกล็ดร่วงไม่มีท่าทีว่าจะงอกขึ้นมาเหมือนเดิมเลย จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เขาที่หักกับเกล็ดที่ร่วงจะฟื้นฟูกลับมาได้หรือเปล่า?”


เฮยทั่นหันกลับมามองบนร่างกายตัวเอง “น่าจะฟื้นฟูกลับมาได้นะ ข้ารู้สึกได้ว่ามันกำลังฟื้นตัว เพียงแต่สองจุดนั้นก็เหมือนกับฟันของข้า เป็นจุดที่แข็งแรงทนทานที่สุดบนร่างกายข้า ฟื้นตัวได้เร็ว ถ้าอิงตามความเร็วในตอนนี้ เกรงว่าไม่ถึงหมื่นปีก็จะกลับไปเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ดีกว่าตายตั้งเยอะ ถึงยังไงข้าก็ยังมีเกราะรบ เกราะรบของข้ายังใช้งานได้อยู่ใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูห่วงเหล็กบนคอของมัน แล้วพยักหน้าบอกว่า “ตาแก่เยาหลอมสร้างเกราะรบที่มีพลังต้านทานไม่เลวเลยจริงๆ เพียงแต่ต้านทานพลังโจมตีของอวี้ซาไม่ไหวก็เลยพังเฉยๆ ถ้าฟื้นฟูพลังงงานก็น่าจะใช้งานได้แล้ว มันก็แค่เสียพลังงานไปเยอะมาก แต่ในระยะนี้คงจะใช้งานไม่ได้”


เฮยทั่นบ่นอย่างแค้นใจทันทีว่า “อย่าให้วิญญาณสังหารนั่นตกอยู่ในมือปู่คนนี้นะ ถ้าไม่ได้กินเขา ก็คงคลายความแค้นในใจข้าได้ยาก เขาตายไปรึยัง?”


“ไม่รู้สิ” เหมียวอี้หยิบยาเจี๋ยตันขั้นห้าออกมาหลายเม็ด ร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดช่องเติมพลังงานของห่วงเหล็ก วางยาเจี๋ยตันเข้าไป หลังจากใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเป็นพลังงานกระตุ้นให้ห่วงเหล็กดูดกลืนและย่อยยาเจี๋ยตันเองแล้ว เขาถึงได้หยุดแล้วบอกว่า “ข้าบุกสังหารตลอดหนึ่งเดือนโดยไม่หยุด  รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจริงๆ ยังไม่รู้ว่าตรงหน้าจะมีสถานการณ์อะไรอีก ข้าจะฟื้นฟูร่างกายสักหน่อย เจ้าเฝ้าให้ข้าด้วย”


เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหางตอบ “ไม่มีปัญหา”


เหมียวอี้โยนศพสามศพออกมา จากนั้นก็รูดกำไลเก็บสมบัติบนตัวพวกเขามาเก็บไว้แล้ว


เฮยทั่นตาเป็นประกาย “วิญญาณสังหารมีสมบัติไม่น้อยเลย ไม่รู้ว่าสะสมสมบัติอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มานานเท่าไรแล้ว ครั้งนี้ท่านร่ำรวยใหญ่เลยสินะ”


“ยังไม่ได้ดูให้ละเอียด น่าจะไม่น้อยหรอก”


“งั้นก็ดี ฮูหยินจะได้ไม่เอาแต่บ่นใส่หูข้า บอกว่าเลี้ยงข้าแล้วเปลืองเงินเกินไป อืม เดี๋ยวกลับไปครั้งนี้ท่านต้องบอกฮูหยินด้วยนะ ว่าตั๊กแตนพวกนั้นเลี้ยงไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ไม่สู้ตัดอาหารพวกมันไปเลยดีกว่า เอาให้…” มันสังเกตเห็นว่าเหมียวอี้เหล่ตาจ้องมัน คำว่า ‘เอาให้ข้า’ จึงถูกกลืนกลับไป แล้วพูดกลั้วหัวเราะแทนว่า “ถ้าฮูหยินรู้ว่าข้าพูดได้ จะตกใจแย่มั้ยนะ?”


เหมียวอี้ขี้เกียจเปลืองคำพูดกับมัน ไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวนี้ปากมากหรือเป็นเพราะพูดได้แล้วตื่นเต้นมาก ถ้าเขาไม่ตะโกนบอกให้มันหยุด มันก็จะพูดกับเขาไม่หยุดปาก เขาจึงบุ้ยปากไปทางศพสามศพบนพื้น บอกใบ้ให้มันไปจัดการ


เฮยทั่นหุบปากทันที มันตาลุกวาว ราวกับไม่เคยใช้พลังในร่างกายมาก่อน…รีบโผเข้าไปงับแล้ว ภาพที่โหดร้ายนั้นทำให้คนทนมองตรงๆ ไม่ไหวจริงๆ


ล้วนเป็นวิญญาณชั่วร้าย ไม่ใช่คนที่แท้จริง! เหมียวอี้ปลอบตัวเองในใจ ถึงได้ข่มความรู้สึกสะอิดสะเอียนในท้องไว้ให้ เขาหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวฝืนยัดลงไปในปากแล้วเคี้ยวกลืน แล้วหยิบท้อเซียนสองผลมากินอย่างช้าๆ ขณะที่กินก็มองสำรวจไปรอบๆ


หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็นั่งขัดสมาธิ วางทวนเกล็ดย้อนพาดไว้บนเข่าเพื่อเตรียมพร้อมตลอดเวลา เขาจำเป็นต้องกำจัดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าบนกายเนื้อและฟื้นฟูกำลังวังชา ต้องสะสมกำลังให้เพียงพอเพื่อรับมือกับวิกฤติที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง


ตั้งแต่เขาฝึกตนมาจนถึงทุกวันนี้ เขายังไม่เคยบุกสังหารต่อเนื่องกันหนึ่งเดือนเลยสักครั้ง ถึงแม้จะไม่ดุเดือดเท่าไร แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก


ส่วนเฮยทั่นก็เฝ้าอยู่ข้างๆ ถ้ามีของให้มันกิน มันก็ไม่วิ่งเพ่นพ่านไปไหน


หลังจากนั้นสามวัน เหมียวอี้ก็ถือทวนค้ำพื้นยืนขึ้นมาอีก แววตาที่อ่อนล้าเปลี่ยนเป็นกล้าหาญเปี่ยมพลังอีกครั้ง เขาใช้ทวนเคาะผู้คุ้มกันของตัวเองที่กลายเป็นเฮยทั่นที่นอนงีบหลับ “ลุกขึ้น ไปดูว่าตรงนั้นใช่รังหงส์รึเปล่า”


เฮยทั่นลืมตา ใช้เท้าเหยียดพื้นลุกขึ้นยืน เหมียวอี้ปีนขึ้นบนตัวมัน หนึ่งคนกับหนึ่งตัวทิ้งรอยเท้าลึกไว้บนบนผิวหิมะราบทันที


ตอนที่เข้าใกล้ภูเขาน้ำแข็งสูงรูปฟันปลา เฮยทั่นถึงได้ผ่อนความเร็วลง แล้วก้าวเดินช้าๆ พลางเหลียวซ้ายแลขวา


เหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนหลังเฮยทั่นถือทวนมองไปโดยรอบ จ้องน้ำแข็งสลักรูปหงส์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หร็อมแหร็มล้อมอยู่ น้ำแข็งสลักรูปหงส์แต่ละตัวยืนด้วยท่าทางต่างๆ ราวกับมีชีวิต งดงามวิจิตรตระการตาไร้ที่เปรียบ


สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ประหลาดใจก็คือ ในน้ำแข็งสลักรูปหงส์พวกนี้ล้วนมีจุดแสงสีรุ้ง ส่วนบนภูเขาน้ำแข็งรูปฟันปลานั่นก็ยิ่งมีน้ำแข็งสลักรูปหงส์เยอะกว่า เป็นหงส์ในท่วงท่าต่างกัน งดงามสงบนิ่ง ทุกตัวล้วนมีจุดแสงสีรุ้งอยู่ในนั้น


ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะอากาศบริสุทธิ์มาก ด้านบนมีปราณชั่วร้ายกองรวมเป็นเมฆหนาหลายชั้นแท้ๆ แต่ตรงนี้กลับไม่มีปราณชั่วร้ายเลย ที่จริงตอนที่เหมียวอี้กระโดดลงในแอ่งกระทะ ก็สัมผัสได้แล้วว่าปราณชั่วร้ายเจือจางลงเยอะมาก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าตอนที่ยิ่งเข้าใกล้แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย อากาศกลับยิ่งบริสุทธิ์ด้วยซ้ำ


ตอนที่ค่อยๆ เข้าใกล้ภูเขาน้ำแข็งรูปฟันปลา ถึงได้พบว่าด้านบนมีถ้ำอยู่ไม่น้อยเลย แต่เป็นเพราะเข้าใกล้สีสันและมุมมอง ตอนอยู่ไกลๆ มองไม่เห็น ตอนเข้าใกล้ถึงได้ค้นพบ พอเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนรังนกจริงๆ


เหมียวอี้ครุ่นคิด ดูว่าที่นี่ใช่รังหงส์ที่ร่ำลือกันหรือเปล่า


ถึงแม้รอบข้างจะสงบเงียบ แต่หนึ่งคนกับหนึ่งตัวกลับกังวลว่าจะมีอันตรายอะไร ไม่กล้าบุกเข้าไปโดยตรง แต่อ้อมสำรวจรอบๆ ‘รังนก’ แทน


ตอนที่อ้อมมาถึงแท่นหิมะที่เอียงลาดนอก ‘รังนก’ จู่ๆ ก็มีลมประหลาดพัดกระพืออย่างบ้าคลั่ง หนึ่งคนกับหนึ่งตัวหยุดอยู่กับที่ทันที กำลังเตรียมพร้อมป้องกัน


ลมหิมะทำให้ตาพร่าเลือน เหมียวอี้หลับตาและเงี่ยหูตั้งใจฟัง แต่จู่ๆ ก็ลืมตามองไปด้านข้าง


เกล็ดหิมะปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า ไม่รู้ว่าถูกพัดม้วนมาจากไหน จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็กระจ่างชัด ทุ่งหิมะที่ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะหนาหลายชั้นพลันเปลี่ยนเป็นเหมือนกระจกใส มองไม่เห็นเกล็ดหิมะแล้ว เป็นผลึกใสสีฟ้าราวกับกระจก เมื่อประกอบกับน้ำแข็งสลักรูปหงส์พวกนั้น ก็ทำให้ดูงดงามราวกับความฝัน


แต่เหมียวอี้ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย เขากำลังจ้องบันไดน้ำแข็งสูงที่โผล่ออกมาหลังจากบนแท่นหิมะที่เอียงลาดถูกกำจัดกองหิมะแล้ว ตรงหน้ามีประตูน้ำแข็งที่สูงใหญ่ เขาถึงได้พบว่าอ้อมมาถึงประตูหลักของ ‘รังนก’ แล้ว


ประตูน้ำแข็งกำลังเปิดออกอย่างไร้ซุ่มเสียง หลังจากประตูน้ำแข็งเปิดออกอย่างช้าๆ แล้ว ด้านหลังก็ปรากฏผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงงดงามที่มองปราดเดียวก็รู้สึกผ่อนคลายจิตใจแล้ว


ผมยาวที่ทิ้งตัวจากบ่าไปถึงแผ่นหลังปลิวตามลมอย่างแผ่วเบา เรือนร่างอรชรอ่อนช้อน บนกระโปรงยาวสีฟ้ามีลายเกล็ดน้ำแข็ง ใบหน้าสวยสง่างาม แววตาที่สงบอ่อนโยนกำลังมองหนึ่งคนกับหนึ่งตัวที่อยู่ใต้บันได ดวงตางามเป็นประกายเล็กน้อย


หลังจากประตูน้ำแข็งเปิดออกเต็มที่แล้ว สาวงามที่ยืนประสานมือตรงหน้าท้องก็ก้าวออกมาเบาๆ เดินมาบนบันได หลังจากมองประเมินพักหนึ่งก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนจางราวกับหิมะละลาย พร้อมเปล่งเสียงที่ใสไพเราะดุจเสียงน้ำพุ “ท่านผ่านมาเฉยๆ หรือมาเยือนที่นี่?”


เฮยทั่นหันหน้ามาสบตากับเหมียวอี้แวบหนึ่ง ดูเหมือนจะไม่มีเจตนาเป็นศัตรูนะ?


เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถือทวนกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาตถามว่านี่คือรังหงส์ในตำนานใช่หรือไม่?”


สาวงามพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว!”

 

 

 


บทที่ 1484 หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง

 

“ท่านคือประมุขของรังหงส์คนปัจจุบันเหรอ?” เหมียวอี้ถาม


“ข้าชื่อหลิงหลัน เป็นบ่าวรับใช้ที่เฝ้ารังหงส์” สาวงามตอบอย่างจริงใจ


บ่าวรับใช้? เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ไม่ทราบว่าผ่านทางแล้วยังไง มาเยือนแล้วยังไง?”


หลิงหลันตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หากผ่านทางก็ย่อมเชิญตามสะดวก หากมาเยือนก็จะรับแขกตามธรรมเนียม จะเชิญให้เขาไปพักด้านในค่ะ”


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ข้ามาไกล ถ้าผ่านทางแล้วไม่เยี่ยมคารวะเจ้าบ้านสักหน่อย ก็อาจจะเสียมารยาทเกินไป ไม่ทราบว่านายท่านอยู่ที่ไหน?”


“นายท่านคนเก่าลาโลกไปนานแล้ว ตอนนี้นายน้อยทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์ ตอนนี้รังหงส์เหลือแค่ข้าที่เฝ้าบ้าน” หลิงหลันตอบ


เหมียวอี้อึ้งทันที อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้คือบ่าวรับใช้ของเผ่าหงส์? เขาถามอีกว่า “ไม่ว่าใครก็เข้าไปได้ตามอำเภอใจเหรอ? เจ้าไม่ถามข้าสักหน่อยเหรอว่าข้ามาจากไหน?”


หลิงหลันตอบว่า “ไม่มีคำว่าใครก็ได้หรอกค่ะ คนที่สามารถมาที่รังหงส์ได้ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก ไม่มีเหตุผลที่จะเมินเฉยต่อแขกผู้มาเยือน ส่วนท่านจะมาจากที่ไหน หากท่านเต็มใจก็ย่อมบอกข้าเอง หากไม่เต็มใจแล้วจะบังคับไปทำไม”


เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “ระหว่างทางที่ข้ามาที่นี่มีอุปสรรคอันตรายหลายชั้น ตลอดทางเจอวิญญาณน้ำแข็งและหงส์อัคคีน้ำแข็งไม่น้อยเลย ข้ากลัวแล้วจริงๆ ไม่ทราบว่าในรังหงส์ปลอดภัยหรือเปล่า?” เขากำลังสงสัยว่าในรังหงส์มีกับดักหรือไม่


หลิงหลันยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “ท่านไม่ต้องคิดมาก หงส์อัคคีน้ำแข็งกับวิญญาณน้ำแข็งมีไว้เพื่อสกัดการบุกรุกของวิญญาณชั่วร้ายภายนอกเท่านั้น รังหงส์มีกฏระเบียบ…ก็อย่างที่บอก ผู้ที่สามารถมาที่รังหงส์ได้ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก พวกไม่เมินเฉยแน่นอน หงส์อัคคีน้ำแข็งกับวิญญาณน้ำแข็งเป็นเพียงกำแพงป้องกันรอบรังหงส์ ไม่ให้บุกเข้ามาทำอะไรผลีผลามในแอ่งกระทะ”


พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะเข้าหรือไม่เข้าล่ะ? เหมียวอี้ลังเลนิดหน่อย แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ที่สิ้นเปลืองสมองคิดหาหนทางก็เพื่อจะเข้ารังหงส์ไม่ใช่หรอกหรือ? ดูจากท่าทีของอีกฝ่ายก็ไม่มีเจตนาเป็นศัตรูอะไร ถ้ามีเจตจาไม่ซื่อจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องหลอกล่อตนให้เข้ารังหงส์หรอกมั้ง?


พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็กัดฟัน เก็บทวนในมือแล้วกุมหมัดคารวะ “ถ้าเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”


หลิงหลันเบี่ยงตัวและยื่นมือเชิญแขกด้วยท่าทีสุภาพ


เหมียวอี้กระโดดลงจากหลังเฮยทั่นแล้ว เดินก้าวยาวไปข้างหน้า ขณะกำลังจะขึ้นบันได หลิงหลันที่อยู่บนบันไดลับเตือนว่า “รังหงส์เป็นสถานที่สะอาดบริสุทธิ์ แขกควรล้างตัวก่อนสักหน่อยมั้ย?”


เหมียวอี้หยุดเดินอย่างงุนงง พอมองบนร่างกายตัวเอง ถ้าไม่ใช่เลือดของตัวเองก็เป็นเลือดของเฮยทั่นที่ทิ้งรอยแห้งเอาไว้ ค่อนข้างสกปรกจริงๆ เขาจึงร่ายอิทธิฤทธิ์กางแขนสองข้าง บนตัวระเบิดฝุ่นผงออกมา รอยเลือดที่ติดอยู่บนหน้าและทุกอย่างบนเกราะรบก็ถูกกวาดจนสะอาด เผยเกราะรบที่ใหม่เอี่ยมและใบหน้าที่ห้าวหาญมีพลัง


หลิงหลันที่ยืนอยู่บนบันไดทำท่ายื่นมือเชิญแขกอีกครั้ง รอจนกระทั่งเหมียวอี้ขึ้นมาแล้ว นางก็ชำเลืองเฮยทั่นที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมยิ้มเบาๆ “สัตว์พาหนะของท่านช่างพิเศษจริงๆ”


เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง รู้ว่าคำว่า ‘พิเศษ’ นั้นหมายถึง ‘อัปลักษณ์’ เฮยทั่นในตอนนี้ก็เหมือนสุนัขที่ขนร่วง


พอเข้ามาในประตูใหญ่ ก็เจอโถงใหญ่ลักษณะกลมที่โล่งกว้าง เพดานสูงโค้ง มีพื้นที่ว่างกว้างใหญ่มาก ในกำแพงโดยรอบล้วนมีรูปสลักหงส์เฟิ่งหวงที่อยู่ในท่วงท่าต่างๆ ราวกับมีชีวิต ทุกที่ล้วนเป็นผลึกใส สูงส่งงามประณีต บนบันไดตรงหน้าเก้าอี้น้ำแข็งสลักรูปรังหงส์เฟิ่งหวงสองตัว ตั้งอยู่ที่สูง วางไว้เคียงคู่กัน


หลิงหลันยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้เร่งรัดอะไร ปล่อยให้เหมียวอี้ตรวจดูรอบๆ


ที่จริงเหมียวอี้ก็แอบระวังนางอยู่ หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว ก็หันมาถามว่า “ถ้าข้าดูไม่ผิด ก่อนหน้านี้คนที่ร่ายอิทธิฤทธิ์พัดม้วนกองหิมะข้างนอกไปก็คงจะเป็นเจ้าใช่มั้ย?”


หลิงหลันอมยิ้มพลางพยักหน้า “แขกผู้มาเยือนไม่ได้มองผิดหรอก เป็นข้าจริงๆ เมื่อมีแขกมาก็ย่อมต้องกวาดหิมะรับแขก”


เหมียวอี้จึงบอกว่า “แบบนี้ก็แสดงว่าเจ้าคงจะเป็นวิญญาณน้ำแข็งน่ะสิ ที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณมีวิญญาณน้ำแข็งไม่น้อย ทำไมไม่เห็นวิญญาณน้ำแข็งอื่นๆ ในรังหงส์เลย?”


หลิงหลันตอบว่า “ไม่ใช่ว่าวิญญาณน้ำแข็งทั้งหมดจะเข้ามาในรังหงส์นี้นี้ได้ มีเพียงวิญญาณน้ำแข็งที่นายท่านเลือกเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้”


“รังหงส์ใหญ่โตขนาดนี้ อย่าบอกนะว่านายท่านของพวกเจ้าเลือกให้เจ้าอยู่เฝ้าคนเดียว?” เหมียวอี้ถาม


“ที่จริงก็มีอยู่ไม่น้อยเลย ตอนหลังรังหงส์ปะทะกับตำหนักสวรรค์ วิญญาณน้ำแข็งในรังหงส์โดนตำหนักสวรรค์กำจัดหมด” หลิงหลันตอบ


“แล้วทำไมตำหนักสวรรค์ถึงปล่อยเจ้าไว้ล่ะ? ทำไมถึงปล่อยกลุ่มวิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ข้างนอกไว้?” เหมียวอี้ถาม


หลิงหลันอธิบายว่า “ตอนแรกวิญญาณน้ำแข็งในรังหงส์โดนปราบจนไม่เหลือ กลุ่มวิญญาณน้ำแข็งข้างนอกยังไม่ก่อตัว กอปรกับนายท่านขอร้องโดยอ้างว่าจะให้แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายโดนวิญญาณชั่วร้ายครอบครองไม่ได้ ตำหนักสวรรค์ถึงได้ปล่อยวิญญาณน้ำแข็งเอาไว้ป้องกันไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายข้างนอกรุกรานเข้ามา ส่วนข้าก็เป็นหนึ่งในกลุ่มวิญญาณน้ำแข็งด้านนอกที่เพิ่งกลายร่างเป็นมนุษย์พอดี นายท่านถึงได้เลือกให้ข้ามาเฝ้ารังหงส์”


“ยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์? อาศัยพลังของพวกเจ้า สามารถต้านทานไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายข้างนอกบุกเข้ามาได้เหรอ?” เหมียวอี้สงสัย


“ในปีที่นายท่านยังอยู่ ข้างนอกยังไม่มีวิญญาณชั่วร้ายที่แข็งแกร่งอะไรนัก วิญญาณชั่วร้ายที่อ่อนแอพวกนั้นจะบุกเข้ามาได้ยังไง ถึงแม้ตอนนี้วิญญาณชั่วร้ายข้างนอกจะมีพลังอยู่บ้าง แต่พลังของทุ่งน้ำแข็งโบราณก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ถ้าวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นจะบุกเข้ามาก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น” หลิงหลันตอบ


เหมียวอี้ลองคิดตาม ก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จึงบอกอีกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ตอนนี้นายท่านของเจ้าก็คงจะเป็นเผ่าหงส์ที่รับใช้ตำหนักสวรรค์อยู่”


“ใช่แล้ว!” หลิงหลันตอบ


“ดูท่าแล้วนายท่านนายท่านของเจ้าคงจะกลับมาไม่บ่อยนะ”


หลิงหลันตอบว่า “มาไม่บ่อยจริงๆ ค่ะ หนึ่งแสนกว่าปีมานี้ พวกเราเคยเจอทั้งหมดเพียงสามครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นตอนที่ข้าเฝ้ารังหงส์ อีกสองครั้งก็เป็นตอนที่นายท่านได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาปราบวิญญาณชั่วร้ายที่เริ่มตั้งตนเป็นใหญ่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์”


เหมียวอี้ถาม “เจ้าไม่รู้ที่มาที่ไปของข้า แต่ข้าถามอะไรเจ้าก็ตอบหมด มีเหตุผลอะไร?” ความหมายแฝงในคำพูดนี้ก็คือ ‘ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นจริงหรือเปล่า?’


หลิงหลันยิ้มเบาๆ “ตอนที่ข้ามารังหงส์ รังหงส์ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ข้าเองก็เคยเจอนายท่านแค่สามครั้งจริงๆ รู้ไม่เยอะหรอก ไม่มีอะไรน่าปิดบัง มิหนำซ้ำนายท่านก็สั่งไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าคนที่สามารถมารังหงส์ได้ล้วนเป็นคนของตำหนักสวรรค์ บอกข้าว่าไม่จำเป็นต้องปิดบัง ถ้าถามก็ตอบ”


“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก สงสัยอีกฝ่ายจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนเป็นคนของตำหนักสวรรค์


แต่คิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกว่าใช่ ทุ่งน้ำแข็งโบราณมีบทบาทในการข่มวิญญาณชั่วร้ายที่ชัดเจนเกินไป ขนาดยอดฝีมือของแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างอวี้ซายังบุกเข่ามาไม่ได้เลย แล้ววิญญาณชั่วร้ายจะบุกเข้ามาได้อย่างไร คนที่สามารถเข้ามาได้ก็มีแต่คนนอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์เท่านั้น และทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ถูกตำหนักสวรรค์ปิดล้อมอยู่ คนที่สามารถมารังหงส์ได้ก็ย่อมได้รับอนุญาตจากตำหนักสวรรค์แล้ว ตอนนี้เผ่าหงส์บอกว่าทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์ ความจริงแล้วเป็นทาสของตำหนักสวรรค์ต่างหาก ไม่มีอำนาจและผลประโยชน์ใดๆ ที่จริงแล้วเทียบแม่ทัพภาคอย่างเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ตำหนักสวรรค์ส่งคนมาแล้ว คนของรังหงส์จะไม่เกรงใจได้อย่างไร


หลังจากเข้าใจแล้ว ความสงสัยก่อนหน้านี้ก็ถูกคลายแล้วเช่นกัน ความระมัดระวังตัวอย่างสูงนั้นอาจจะคลายเต็มที่ไม่ได้ แต่ก็คลายลงหลายส่วนแล้ว


เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า “ในเมื่อถามอะไรก็ตอบ งั้นข้าจะถามเจ้าอีกอย่าง จุดแสงเจ็ดสีที่อยู่ในหงส์อัคคีน้ำแข็งที่มาขวางทางก่อนหน้านี้ ข้าเห็นมันอยู่ในหงส์น้ำแข็งข้างนอกเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะอะไร?”


สำหรับคำถามนี้ หลิงหลันลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบว่า “นั่นคือดวงจิตวิญญาณของเผ่าหงส์ที่โดนตำหนักสวรรค์ประหารไปก่อนหน้านี้ เผ่าหงส์ไม่เหมือนกับเผ่าอื่น เมื่อตายแล้วก็กลับชาติมาเกิดอีกไม่ได้ แต่จะไม่มีวันดับสูญ จะอยู่ที่แดนเดิมตลอดไป หลังจากตายแล้วถึงแม้จะไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์อะไร แต่ยังสามารถเรียกรวมอัคคีน้ำแข็งมาเฝ้าแดนเดิมได้”


ดวงจิตวิญญาณไม่มีวันดับสูญเหรอ? เหมียวอี้ตกใจ นึกไม่ถึงว่าเผ่าหงส์ยังมีจุดที่พิเศษมหัศจรรย์แบบนี้อยู่ด้วย ขนาดตายแล้วจิตวิญญาณยังล่องลอยเฝ้าบ้านเกิดต่อไปได้ มิน่าล่ะในปีนั้นถึงเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะพระปีศาจหนานโปก่อเรื่อง ก็คงไม่ต้องไปยุ่งกับเรื่องภายนอกเลย


เขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับที่นี่ หลังจากขบคิดแล้วก็ถามอีกว่า “แล้วแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายของรังหงส์มาจากไหนล่ะ?”


หลิงหลันส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ นายท่านน่าจะรู้ แต่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้าเลย”


“งั้นข้าไปดูหน่อยได้มั้ย?” เหมียวอี้ถาม


หลิงหลันตอบว่า “ที่รังหงส์แห่งนี้ นอกจากแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย แขกสามารถไปดูได้ทุกที่ตามอำเภอใจ มีแค่แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายเท่านั้นที่ไปไม่ได้ นี่คือสิ่งที่นายท่านสั่งให้ข้าเฝ้าไว้เหมือนกัน นี่เป็นสาเหตุที่ตำหนักสวรรค์ไว้ชีวิตข้า เพื่อจะให้ควบคุมแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายแห่งนี้”


ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ แต่กลับไม่ได้เห็นแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย เหมียวอี้ย่อมไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว “ผ่อนผันสักหน่อยไม่ได้เหรอ?”


หลิงหลันตอบอย่างใจเย็นว่า “ไม่ใช่ว่าผ่อนผันไม่ได้ หากท่านอยากจะไปดูจริงๆ ข้าก็มีอยู่สองวิธี หนึ่งคือถ้าท่านมีคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ ข้าก็ย่อมไม่กล้าขัดขวาง ไม่ทราบว่านายท่านได้เอาคำสั่งของตำหนักสวรรค์มาด้วยหรือไม่?”


เหมียวอี้จะเอาคำสั่งมาจากไหนล่ะ “วิธีการที่สองล่ะ?”


“วิธีการที่สองก็ง่ายมาก ถ้าท่านต่อสู้ชนะข้าได้ ข้าก็ย่อมขัดขวางท่านไม่ได้” หลิงหลันตอบ


เหมียวอี้มองประเมินนางแวบหนึ่ง “ไม่ทราบว่าแม่นางหลิงมีวรยุทธ์เท่าไร?”


หลิงหลันเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าตรงหว่างคิ้ว “บทกชทองขั้นห้า”


เหมียวอี้โค้งมุมปากเล็กน้อย รู้สึกบันเทิงแล้ว จากนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์เผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าของตัวเอง “ดูเหมือนแม่นางหลิงจะมีความมั่นใจมากนะ ข้าว่าไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอกมั้ง?” เขาสื่อความหมายชัดเจนมาก นั่นก็คือวรยุทธ์ของเจ้าห่างกับข้าขนาดนั้น ด้านนอกมีวิญญาณน้ำแข็งมากมายยังต้านข้าไม่ไหวเลย แล้วเจ้าจะต้านข้าไหวได้ยังไง


หลิงหลันยิ้มบางๆ “ข้าย่อมเข้าใจความหมายของท่านอยู่แล้ว แต่เกรงว่าจะทำให้ท่านแขกผิดหวังแล้วล่ะ ศักยภาพของข้าไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณน้ำแข็งด้านนอกจะมาวัดได้ ในเมื่อนายท่านให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ได้ ก็ย่อมทิ้งของวิเศษไว้ให้ข้าเอาชนะศัตรู ข้าสามารถเรียกวิญญาณน้ำแข็งและอัคคีน้ำแข็งนับไม่ถ้วนให้มารวมตัวกับข้าได้ อยู่ที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณข้าได้เปรียบเรื่องพื้นที่ ถ้ายอดฝีมือทั่วไปอยากจะเอาชนะข้า ก็เกรงว่าจะไม่ง่าย แน่นอน ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก รังหงส์ไม่อาจทำให้แขกลำบากใจ หลิงหลันเองก็ไม่อยากลงมือทำลายรังหงส์ที่นี่ นายท่านเคยทิ้งของบางอย่างเอาไว้ นายท่านบอกว่า คนที่สามารถทำลายของวิเศษที่นายท่านทิ้งไว้ให้ได้ ก็แสดงว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนคนนั้น ให้ข้าไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัวอีก แล้วยอมให้แขกทำอะไรที่รังหงส์ก็ได้”


“อ้อ!” เหมียวอี้ถามอย่างสนใจว่า “ไม่ทราบว่านายท่านขงพวกเจ้าทิ้งของอะไรไว้?”


หลิงหลันสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เห็นเพียงแผ่นน้ำแข็งที่หนาทนทานข้างๆ มีระลอกคลื่นสีฟ้าที่สวยสดงดงามลอยขึ้นมา ไม่นานก็มีไข่มุกที่เป็นน้ำแข็งสีฟ้าโปร่งแสงเม็ดหนึ่งทะลักออกมา เล็กกว่าไข่ไก่ไม่กี่เท่า แต่กลับสวยงามมาก ในนั้นเหมือนจะมีเงาเปลวเพลิงโยกไหว


ไข่มุกลอยขึ้นมาจากพื้นดิน ผิวระลอกคลื่นยังเงียบสงบเหมือนเดิม


ไข่มุกตกลงในฝ่ามือของหลิงหลัน ถือรองไว้ในมือ มันสวยวิจิตรสะดุดตา หลิงหลันบอกว่า “นี่คือจี้ของสร้อยที่นายท่านหลอมสร้างเอาไว้ ยังไม่ได้เจาะรู นายท่านเรียกมันว่า ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ คำพูดที่นายท่านทิ้งไว้ก็ไม่ซับซ้อนเลย คนที่สามารถเจาะรูของสิ่งนี้ได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องขัดขวาง”

 

 

 


บทที่ 1485 คนที่ผ่านด่านยากตามกติกาได้

 

หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง? แค่ของเล่นอันนี้เนี่ยนะ?


ฟังดูเหมือนร้ายกาจมาก แต่ทำไมเหมียวอี้ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเอาอัคคีน้ำแข็งกับวิญญาณน้ำแข็งมารวมร่างกัน เขาขมวดคิ้วถามว่า “ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?”


“ง่ายเหรอ?” หลิงหลันยิ้มบางๆ “ดูเหมือนจะง่าย แต่กลับไม่ได้ง่ายอย่างที่จินตนาการ นี่คือสิ่งที่นายท่านหลอมสร้างขึ้นโดยรวบรวมอัคคีน้ำแข็งกับวิญญาณน้ำแข็งจำนวนมากเอาไว้ ระดับความทนทานไม่ใช่สิ่งที่อาวุธผลึกแดงจะเทียบติด แน่นอน ผู้มีวรยุทธ์สูงที่อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งเจาะรูก็อาจจะทำไม่สำเร็จก็ได้ แต่ถ้าฝืนเจาะสิ่งนี้ก็อาจจะทำให้แตกพังได้ ไม่นับว่าทำสำเร็จ ถ้าหากใช้ไฟฟ้า การเผาในระยะเวลานานก็อาจจะทำให้มันละลายได้ แต่กลับมีกฎกติกาควบคุมไว้ จำกัดให้เจาะรูข้างในครึ่งเดียวเท่านั้นถึงจะสำเร็จ ถ้าทำเกินกฎก็ถือว่าล้มเหลว ตอนนี้ท่านยังคิดว่าง่ายอยู่อีกมั้ย?”


เหมียวอี้แทบจะหัวเราะออกมา เป็นการรรวมกันระหว่างอัคคีน้ำแข็งกับวิญญาณน้ำแข็งจริงๆ ด้วย เขาถึงได้ยิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าก็ลองดูได้แล้วจริงๆ”


หลิงหลันไม่ได้พูดอะไรมาก ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ในฝ่ามือลอยขึ้นช้าๆ ลอยไปตรงหน้าเหมียวอี้


เหมียวอี้กวาดเข้ามาไว้ในมือ สิ่งที่ตกอยู่ในมือหนาวเข้ากระดูกจริงๆ น้ำค้างขาวลุกลามจากนิ้วมือขึ้นไปบนแขนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เกาะทั้งร่างกายแล้ว กระตุ้นจนแม้กระทั่งดวงจิตวิญญาณก็สั่นสะท้าน  ทำให้เหมียวอี้ตกใจทันที นึกไม่ถึงว่าบนโลกยังมีวัตถุที่เย็นเยือกขนาดนี้อยู่ ที่ดูมีเงื่อนงำที่สุดก็คือ ความรู้สึกหนาวเย็นอันน่าสะพรึงนั่นสามารถถูกผนึกไว้ในไข่มุกได้ ตอนที่ยังไม่เอามือไปสัมผัส ก็ไม่รู้เลยว่าความหนาวในนั้นจะน่ากลัวขนาดนี้ เขารีบร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราต่อต้านความหนาวที่สามารถแช่แข็งวิญญาณได้เอาไว้ทันที


น้ำค้างขาวที่เกาะขึ้นไปบนบ่าถ่อยร่นกลับไปอย่างรวดเร็ว แขนกลับมาขยับได้อย่างอิสระอีกครั้ง จกานั้นก็พลิกดูไข่มุกที่อยู่ในมือกลับไปกลับมา


หลิงหลันเห็นเขาไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ในดวงตางามก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าในเมื่ออีกฝ่ายสามารถผ่านทุ่งน้ำแข็งโบราณมาได้ นางก็ใจเย็นลงแล้ว ตอนนี้กำลังทำท่าเหมือนตั้งตารออยู่


พอเหมียวอี้พลิกฝ่ามือ หินไขมันเพลิงสีทองที่เผาจนเหลือครึ่งเดียวก็ปรากฏอยู่ในมือ มีเสียงดังพรึ่บพร้อมเปลวเพลิงสีทองกลุ่มหนึ่งที่สร้างความรู้สึกกดดัน เพลิงสีทองกดอัดจนยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ และสุดท้ายก็เหมือนเข็มปักลายผ้าเล่มหนึ่ง แสงของมันสะดุดตา


เข็มไฟที่รวบรวมอานุภาพไฟไว้หมุนวนด้วยความเร็วสูงภายใต้การควบคุมของเหมียวอี้ หัวเข็มเจาะขึ้นบน ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ แล้วทะลวงอย่างรวดเร็ว


เฮยทั่นที่อยู่ข้างๆ ส่ายหัวราวกับได้เห็นเรื่องสนุก หลายครั้งที่มันอยากจะอ้าปากพูด แต่ก็โดนเหมียวอี้ใช้สายตาจ้องถลึงกลับมา จึงได้ทำตัวเป็นเจ้าโง่ที่พูดไม่ได้ต่อไป ตอนนี้ย่อมเบิกตากว้างอย่างสงสัยใคร่รู้


เหมียวอี้ที่ทดลองไปนิดหน่อยกลับรู้สึกตกใจมาก เขาใช้เพลิงสีทองเจาะรูอย่างเต็มกำลัง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่สามารถทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้บน ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ได้เลย ความแข็งแรงทนทานของมันเป็นเพียงด้านหนึ่งเท่านั้น ที่แปลกกว่านั้นก็คือไม่น่าเชื่อว่าไฟหยินใน ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ จะต่อต้านอุณหภูมิสูงของเพลิงสีทองที่เจาะเข้าไปได้ด้วยตัวมันเอง ให้ความรู้สึกว่าหยินหยางข่มกัน ถ้าใช้ไฟหยินมาโจมตี อาจจะถูกมันหลอมรวมด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะเจาะทะลุได้


พอเป็นแบบนี้ ถ้าอยากจะใช้อานุภาพของเพลิงทองเจาะรูข้างในครึ่งหนึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ นอกเสียจากจะใช้อานุภาพของไฟเผาหลอมเป็นเวลานาน ต่อให้ทำแบบนี้ก็ตาม แต่คาดว่าถ้าใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็อย่าหวังเลยว่าจะเจาะ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ให้ทะลุได้


เขากำฝ่ามือ ดับไฟบนหินไขมันเพลิงสีทองแล้วเก็บไว้ จากนั้นพลิกตรวจดู ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ซ้ำไปซ้ำมา


หลิงหลันเหมือนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ จึงยิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลย”


เหมียวอี้เหลือบมองนางแวบหนึ่ง ยังไม่ถึงตอนสุดท้ายเลย มาพูดได้อย่างไรว่าไม่ไหว สาเหตุที่ตอนแรกเขาไม่ใช้เพลิงจิต ก็เป็นเพราะไม่อยากเปิดเผยเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองสุ่มสี่สุ่มห้า ประการต่อมาก็เป็นเพราะอยากจะทดสอบว่า ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ มหัศจรรย์เหมือนที่อีกฝ่ายบอกจริงหรือเปล่า


ในตอนนี้ นิ้วสองนิ้วเริ่มฟั่นขยี้ไข่มุก ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ตรงจุดที่ระหว่างนิ่วชี้กับนิ้วหัวแม่มือและ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ติดกันแอบมีเข็มเพลิงจิตเจาะออกมา


เขาไม่รู้ว่าเพลิงจิตใช้ได้ผลกับสิ่งนี้หรือเปล่า ตอนนี้ก็แค่ทดลองดูเท่านั้น ผลปรากฏว่าพอลองไปได้นิดเดียว บนใบหน้าไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร แต่ในใจกลับแอบยิ้มแล้ว


ได้ผล! เคล็ดวิชาอัคนีดาราของเขาสามารถใช้ได้ทั้งไฟหยินและไฟหยาง ตอนนี้เข็มเพลิงจิตสองเล่มกำลังข่มไฟหยินใน ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ได้อย่างราบรื่นแล้ว แทบจะไม่เปลืองแรงอะไรก็เจาะทะลุเข้าใน ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ได้แล้ว


เนื่องจากหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งมีลักษณะโปร่งแสง คนนอกสามารถมองเห็นผลลัพธ์นี้ได้ หลิงหลันเบิกตากว้าง ได้แต่มองดูสองฝั่งของ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ที่อยู่ระหว่างสองนิ้วของเหมียวอี้มีรอยกลวงไปรวมกันตรงกลาง แววตาที่เย็นชาสงบนิ่งของหลิงหลันเริ่มเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ แล้ว


ไม่นานนัก ในที่สุดช่องว่างสองสายที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ ในหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งก็มาบรรจบกันแล้ว เชื่อมทะลุถึงกันแล้ว


เหมียวอี้หยุดใช้วิชา หมุนนิ้วเปลี่ยนด้านขยี้ ตัวเองดูรูที่ทะลุบนหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งคณู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา ก็โยนไปข้างหลังอย่างไม่ใส่ใจ “แม่นางหลิงดูหน่อยว่าข้าผ่านด่านหรือยัง”


หลิงหลันรับมาไว้ในมือ แล้วรีบพลิกไปพลิกมาเพื่อตรวจดู สองมือเริ่มสั่นทีละนิด นางที่สงบเยือกเย็นมาตลอด ตอนนี้มองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เหมือนมองเห็นผี ในแววตานั้นเจือด้วยความตื่นเต้นดีใจและเร้าใจอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้


“หรือว่าตำแหน่งที่ข้าเจาะรูไม่ถูก? หรือว่าเจ้าจะกลับคำพูด?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ


ใครจะคิดว่าหลิงหลันจะถอยหลังสองก้าว แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่น่าเชื่อ่วาจะคุกเข่าให้เหมียวอี้ คุกเข่าอย่างกะทันหันและไม่ลังเลเลย


เป็นเพราะทำให้รู้สึกผิดคาดเกินไป ทำให้เหมียวอี้ตกใจมาก ก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึกเช่นกัน นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?


เฮยทั่นเอียงหน้ามองตาปริบๆ ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ


สิ่งที่ทำให้หนึ่งคนกับหนึ่งตัวยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ หลิงหลันที่กำลังมองเหมียวอี้อย่างตะลึงงันเริ่มมีน้ำตาเอ่อแล้ว ในดวงตามีหยดน้ำตาพรั่งพรูออกมา กลายเป็นเม็ดไข่มุกน้ำตาไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า


น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวตานางเรียกได้ว่าเป็นมุกน้ำตาที่มีมูลค่าจริงๆ ขณะตกลงพื้นมีเสียงดังเปาะแปะราวกับไข่มุกตกลงในถาดหยก ทั้งหมดล้วนเป็นไข่มุกน้ำแข็ง


เหมียวอี้ถูกนางทำให้อับอายเล็กน้อย เขามีอีกด้านหนึ่งที่ใจอ่อน จึงไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “เจ้าจะมาโทษว่าข้าทำลายสมบัติของเจ้าไม่ได้นะ เจ้าต้องเข้าใจเอาไว้นะ เป็นเจ้าเองที่บอกให้ข้าทดลอง ไม่เกี่ยวกับข้านะ”


หลิงหลันพยายามออกแรงส่ายหน้า จากนั้นก็หมอบศีรษะให้เหมียวอี้อีก เอาศีรษะโขกพื้น ทั้งยังโขกเสียงดังด้วย โชกสามครั้งต่อเนื่องกัน จากนั้นก็เอาหน้าผากแนบพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา นางร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกล่าวว่า “รอจนเจอแล้ว ในที่สุดข้าก็รอจนเจอแล้ว นายท่าน ในที่สุดข้าก็รอจนเจอท่านแล้ว


เหมียวอี้ทำสีหน้าฉงนทันที “เจ้ารออะไรนะ?”


หลิงหลันเงยหน้าปาดน้ำตา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะที่น้ำตายังนองหน้า “บ่าวกำลังดีใจที่ในที่สุดก็มีคนสามารถเจาะรู ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ที่นายท่านทิ้งไว้ให้ได้แล้ว”


แค่นี้ก็ควรค่าแก่การดีใจเหรอ? เหมียวอี้ยังคงมีสีหน้าสงสัย “งั้นเจ้าก็คงไม่ถึงขั้นคุกเข่าให้ข้าหรอกมั้ง?”


“นั่นเป็นเพราะบ่าวมีเรื่องจะขอร้องท่าน ท่านได้โปรดรับปาก” หลิงหลันกล่าว


เฮยทั่นเอียงหน้ามา มองเหมียวอี้อย่างสงสัย


“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเองจะช่วยอะไรอีกฝ่ายได้ เขากลอกตาไปมา มีการคาดเดาของตัวเองในใจแล้ว จึงถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าอยากให้ข้าพาเจ้าออกไปเหรอ? เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเกินไปแล้ว เจ้าคือคนที่ตำหนักสวรรค์สั่งให้คุมที่นี่ ถ้าเจ้าไปจากที่นี่แล้ว เกรงว่าข้าเองก็จะซวยไปด้วยเหมือนกัน”


หลิงหลันพยายามส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องนี้ อยากจะขอให้ท่านนำของสองอย่างออกมาจากจุดลึกของแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย จากนั้นก็ส่งไปที่ ‘บ่อเพลิงมังกร’ ที่ถ้ำมังกร ขอร้องท่านล่ะ”


ความสงสัยบนใบหน้าเหมียวอี้ยังไม่หายไป “บ่อเพลิงมังกร? ส่งของอะไรไปบ่อเพลิงมังกร?”


หลิงหลันกล่าวขอร้องว่า “บ่าวก็ไม่ทราบเหมือนกัน นายท่านเป็นคนสั่งไว้ ท่านได้โปรดตอบตกลงด้วย”


สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างลำบากใจ เขาต้องการไปที่ถ้ำมังกรจริงๆ ไม่อย่างนั้นถ้าเอาไฟหยินแท้อย่างเดียวก็ไม่ค่อยมีผลต่อการฝึกตนสักเท่าไร แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้เขาอยากจะอยู่ที่ถ้ำมังกรกับรังหงส์อย่างละห้าร้อยปี เขาเพิ่งจะมาที่รังหงส์ ถ้าจะให้ไปที่ถ้ำมังกรเลยก็ขัดกับเจตนาของเขา แล้วอีกอย่าง ตลอดทางที่ผ่านมานี้ก็อันตรายจริงๆ นอกทุ่งน้ำแข็งโบราณมีคนเฝ้ารออยู่ เป็นไปได้ว่าที่ ‘หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ’ ก็มีคนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน


แต่ถ้าปฏิเสธอีกฝ่ายล่ะ ถ้าอยากจะฝึกตนอยู่ที่นี่ก็คงจะเหนื่อยพอสมควร หงส์อัคคีน้ำแข็งกับวิญญาณน้ำแข็งพวกนั้นจะต้องมากวนแน่


เขาลำบากใจเลือกไม่ถูกอยู่นานมาก จึงถามว่า “ทำไมจะต้องเป็นข้าที่เอาไปส่งให้ เจ้าไปส่งเองก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ?”


หลิงหลันส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางออกจากแอ่งกระทะที่อยู่ในรังหงส์ได้ ตำหนักสวรรค์ผนึกบางอย่างไว้บนตัวข้า พอข้าออกจากที่นี่ก็จะถูกตำหนักสวรรค์จับได้ทันที มิหนำซ้ำต่อให้ข้าออกไปได้ แต่ถ้าไม่มีชัยภูมิอย่างทุ่งน้ำแข็งโบราณ พลังของข้าก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เลย ไม่กล้ารับประกันว่าจะไปถึงหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญได้อย่างราบรื่น และเรื่องที่สำคัญแบบนี้ก็จะไหว้วานวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ข้างนอกไม่ได้ ถ้าพลาดขึ้นมา บ่าวก็รับผลที่จะตามมาไม่ไหวค่ะ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ต่อให้ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะมีคนที่สามารถไปถึงหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญได้ แต่ก็ไม่มีทางล่วงล้ำเข้าขอบเขตที่ถูกป้องกันนอกถ้ำมังกรได้ ข้าทำไม่ไหวหรอกค่ะ วิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นก็ทำไม่ไหว แต่ท่านมีความสามารถนี้”


เหมียวอี้ฟังออกแล้ว เรื่องที่ขอร้องให้ตนทำจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องแอบปิดบังตำหนักสวรรค์แน่นอน ไม่อย่างนั้นตอนที่หงมังกรมาปราบวิญญาณชั่วร้าย ทำไมถึงไม่ทำล่ะ ทำไมจะต้องลักลอบทำตอนนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เกรงว่าเจ้าคงจะไม่อยากให้ตำหนักสวรรค์รู้เรื่องนี้สินะ ในเมื่อเจ้าไม่กล้าไหว้หวานวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้น แต่ไม่กลัวว่าข้าจะเปิดเผยความลับต่อตำหนักสวรรค์เชียวเหรอ?”


หลิงหลันส่ายหน้าอีกครั้ง “นายท่านเคยสั่งไว้ ว่าคนที่สามารถผ่านด่านยากอย่าง ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ได้ตามกติกา ไม่มีทางเปิดเผยเรื่องนี้ต่อตำหนักสวรรค์เด็ดขาด สามารถวางใจฝากฝังเรื่องนี้ได้เลย”


มารดาเจ้าเถอะ! นายท่านของเจ้าพยากรณ์ได้รึไง? เหมียวอี้พึมพำในใจ ตอนนี้กลุ้มใจแล้ว เขาไม่เชื่อว่าเผ่าหงส์ที่เป็นทาสให้ตำหนักสวรรค์หลายปีจะเดาออกตั้งแต่หลายปีที่แล้วว่าเขาจะมาที่นี่ ต้องทราบไว้ว่าตอนนั้นบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขายังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ!


แต่ประเด็นสำคัญก็คือ เผ่าหงส์เดาทางเขาถูกแล้วจริงๆ เขาไม่มีทางเปิดเผยเรื่องนี้ต่อตำหนักสวรรค์แน่นอน


ขณะที่เขากำลังลังเลลำบากใจ จู่ๆ หลิงหลันก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ใช้สองมือรอง ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ แล้วชูไว้บนศีรษะ “แล้วก็อันนี้ด้วย นายท่านบอกไว้แล้ว ว่าถ้าเจอคนที่สามารถผ่านด่าน ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ได้ตามกติกา ก็ให้มอบ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ให้เพื่อขอร้อง เพราะ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ที่นายท่านหลอมสร้างไว้สามารถสั่งวิญญาณหงส์กับวิญญาณน้ำแข็งของทุ่งน้ำแข็งโบราณได้ สามารถช่วยให้ท่านเข้าออกทุ่งน้ำแข็งโบราณได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค นายท่านบอกว่าท่านจะต้องได้ใช้งานมันยามฝึกตนที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณแน่นอน นายท่านยังบอกอีกว่า ขอให้นายท่านเห็นแก่ไมตรีของคนสองรุ่น ต้องช่วยเผ่าหงส์ในครั้งนี้ให้ได้ นายท่านสัญญาไว้ ว่าบุญคุณอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ เผ่าหงส์จะไม่มีวันลืมและจะตอบแทนอย่างดี!”

 

 

 


บทที่ 1486 แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย

 

“เอ่อ…” ครั้งนี้เหมียวอี้ตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ ถ้าหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งนี้มีผลมหัศจรรย์แบบนี้จริงๆ เช่นนั้นก็มีประโยชน์ต่อการฝึกตนที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณของเขา แต่ประเด็นสำคัญคือเผ่าหงส์ที่โดนจับไปเป็นทาสรู้ได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าเผ่าหงส์รู้ว่าคนที่ไขปริศนา ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ได้คือคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา? แล้วที่บอกว่าไมตรีระหว่างคนสองรุ่นนั่นหมายความว่าอะไร? เขากับเผ่าหงส์จะเอาไมตรีของคนสองรุ่นมาจากไหน?


เรื่องนี้ได้กระตุ้นเรื่องหนึ่งที่เขาสงสัยในใจมากนาน เพื่อสิ่งนี้เขาถึงขั้นอยากจะเข้าไปหาคำตอบที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งใหม่อีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวในหัวก็คิดไปร้อยตลบ ถามทันทีว่า “ไมตรีของคนสองรุ่นคืออะไร?”


เฮยทั่นกลอกลุกตาไปมา มองดูหลิงหลันที่นั่งคุกเข่า แล้วก็มองเหมียวอี้ที่กำลังประหลาดใจสงสัย


หลิงหลันอึ้งไปครู่เดียว ก่อนจะตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่เป็นคำพูดเดิมของนายท่าน”


ในใจเหมียวอี้รู้สึกสงสัยอย่างหนัก รู้สึกเก็บกดจนเริ่มทรมาน รู้ว่าทุกครั้งที่กำลังจะได้คำตอบ ก็มักจะไม่มีทางเปิดม่านชั้นสุดท้ายเพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองคาดเดาได้เลย ถ้าคำตอบที่ทำให้เขาหวาดระแวงกลัวไม่ได้รับการยืนยัน เขาก็ไม่กล้าทำให้ให้เชื่อเลยจริงๆ


“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าจงใจปิดบัง?” เหมียวอี้กดดันถาม


“บ่าวไม่รู้จริงๆ ค่ะ” หลิงหลันส่ายหน้า


เหมียวอี้เงียบแล้ว หลังจากเงียบงันไปนานมาก ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้เดี๋ยวข้าค่อยพิจารณาอีกที”


หลิงหลันรู้จักแต่ส่ายหน้า “ถ้าท่านไม่ตอบตกลง บ่าวก็ลุกขึ้นไม่ได้ค่ะ…ท่านได้โปรดตอบตกลง หลิงหลันขอร้องท่าน…” พูดจบก็เอาศีรษะโขกพื้นไม่หยุด เรียกได้ว่าโขกจนเกิดเสียงดัง


ไม่ว่าจะอย่างไรเหมียวอี้ก็นึกไม่ถึงเลยว่าการที่ตัวเองเสี่ยงอันตรายมาจนถึงที่นี่แล้วจะพบกับเรื่องแบบนี้ รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย จึงพูดห้ามว่า “พอแล้ว ไม่ต้องโขกพื้นแล้ว ถ้าจะให้ข้าตอบตกลงก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนเลยนะ ข้ามาที่นี่แล้วแต่จะไม่จากไปทันที ข้าไปที่ถ้ำมังกรให้ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”


หลิงหลันทำสีหน้าดีใจ พยักหน้าไม่หยุด “ขอเพียงท่านตอบตกลงก็พอแล้ว ขอเพียงตอนที่นายท่านออกไปแล้วนำของไปส่งให้ ‘บ่อเพลิงมังกร’ ก็พอแล้ว ไม่บังอาจไปกำหนดเวลานายท่านค่ะ”


“ข้าเป็นแขก เจ้าเป็นเจ้าบ้านครึ่งหนึ่งของที่นี่ ถ้าเจ้าคุกเข่าต่อไป ยังจะให้ข้าพูดอะไรได้อีกล่ะ?” เหมียวอี้ถาม


หลิงหลันรีบลุกขึ้นมา ใช้ฝ่ามือสองข้างรอง ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ยื่นให้ตรงหน้าเหมียวอี้ เหมียวอี้ได้โปรดรับไว้


เหมียวอี้หยิบหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งจากฝ่ามือนางมาไว้ในมือตัวเอง จากนั้นพลิกดูอีกนิดหน่อย แล้วถามอย่างสงสัยว่า “สิ่งนี้สามารถสั่งวิญญาณหงส์กับวิญญาณน้ำแข็งที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณได้เหรอ?”


หลิงหลันตอบว่า “อย่างน้อยถ้าท่านมีสิ่งนี้ไว้ในมือ วิญญาณหงส์กับวิญญาณน้ำแข็งในทุ่งน้ำแข็งโบราณก็ไม่กล้ามาล่วงเกินท่านแล้ว ถ้าโดนล่วงเกิน ท่านก็สามารถกรอกพลังอิทธิฤทธิ์ใส่ในรูที่เพิ่งเจาะเมื่อครู่นี้…”


หลังจากอธิบายไปสักพัก เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว เขาทำตามที่นางบอก ลองกรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไป


ไข่มุกที่เดิมทีก็ส่องประกายสะดุดตาอยู่แล้วพลันเปล่งแสงสีฟ้าออกมา จากนั้นรัศมีก็ส่ายไปส่ายมาและหมุนเป็นเกลียวทันที ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าตัวหนึ่งที่มีชีวิตชีวา ท่วงท่าสง่างาม ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาจริงๆ คล่องแคล่วและสูงส่ง กางปีกบินวนรอบเขาด้วยท่าทางโอหัง


เฮยทั่นเบิกตากว้างขระที่มองดู หลิงหลันเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังแสดงความเคารพ


เหมียวอี้ที่หันซ้ายหันขวามองดูอยู่ครู่หนึ่ง พอหยุดใช้พลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง  หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าก็กลายเป็นลำแสงที่หมุนเกลียวไหลลงพื้น กลับเข้าไปในรูของหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งที่เจาะไว้ เหลือเพียงไข่มุกที่ส่องประกายสะดุดตาอยู่บนฝ่ามือเหมียวอี้


หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เหมียวอี้ก็ใช้นิ้วขยี้ไข่มุกพร้อมถามว่า “ตอนนี้เจ้ามอบของสิง่นี้ให้ข้า ไม่กลัวว่าตอนหลังข้าจะกลับคำพูดเหรอ?”


“ไม่มีทางค่ะ” หลิงหลันส่ายหน้า “นายท่านบอกไว้แล้ว บอกว่าระมัดระวังมากในการเลือกท่านเป็นลูกศิษย์ ถ้าไม่ได้ตามมาตรฐานก็ยอมไม่มีเสียดีกว่า ลูกศิษย์ผ่านการคัดสรรมาแล้วอย่างพิถีพิถัน ถ้าไม่ผ่านการทดสอบหลายชั้น ก็ไม่มีทางที่จะมาถึงรังหงส์ได้ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในหน้าที่สำคัญ เมื่อตอบตกลงแล้วก็จะไม่กลับคำ”


“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ทดสอบเหรอ? ทดสอบอะไรกัน? ที่ตนมาอยู่ที่นี่ได้ก็เป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น เป็นหายนะที่ตนก่อขึ้นเอง แล้วอีกอย่าง ใครมาทดสอบตนล่ะ? ที่บอกว่าทดสอบหลายชั้นนั้นเอามาจากไหน?


เขารู้สึกว่ารังหงส์อาจจะเข้าใจผิดแล้ว ที่จริงเวลาเขาสงสัยก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ตอนที่คิดว่ากำลังจะจับได้ แต่ความจริงแล้วเหมือนจะเข้าใจผิด มักจะทำให้เขาครุ่นคิดไม่หยุด เรื่องบางเรื่องเหมือนจะใกล้ก็ไม่ใช่ เหมือนจะไกลก็ไม่เชิง ไม่ยอมให้เปิดม่านชั้นที่ลึกลับนั่นเลย


หลังจากอ้าปากค้างไปสักประเดี๋ยว เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นายท่านของเจ้ายังบอกไรเจ้าอีกมั้ย เจ้าบอกมาตรงๆ พร้อมกันเลยเถอะ”


หลิงหลันส่ายหน้า “ไม่มีแล้วค่ะ บอกแค่เท่านี้”


เหมียวอี้พูดไม่ออก ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ในเมื่อเจ้าเชื่อใจข้าขนาดนี้ ตอนนี้บอกได้แล้วละมั้งว่าจะให้ข้าส่งของอะไรไปที่ ‘บ่อเพลิงมังกร’ ?”


หลิงหลันส่ายหน้าอย่างอ่อนโยนใจเย็นอีก “บ่าวไม่ทราบจริงๆ ค่ะ นายท่านแค่ชี้แนะว่าให้ผู้ที่ได้ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ใช้ประโยชน์จาก ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ เพื่อเข้าไปในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย เดี๋ยวก็จะพบของที่ต้องส่งเองค่ะ ส่วนรายละเอียดว่าส่งของอะไร ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”


เหมียวอี้กลอกตามองบน “เจ้าบอกว่านายท่านของพวกเจ้าพูดเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมบอกว่าใช้ประโยชน์จากหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งเพื่อเข้าแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายอีก? เจ้าปิดบังเรื่องราวไว้มากแค่ไหนกันแน่ มีอะไรก็รีบพูดมาให้หมด อย่ามาเปิดเผยทีละเรื่องแบบนี้”


หลิงหลันกล่าวอย่างละอายใจเล็กน้อยว่า “นายท่านสั่งไว้แล้ว ว่าเรื่องนี้มีแต่ต้องค่อยๆ ก้าวไปตามลำดับเท่านั้น เมื่อเจอคนที่ได้ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ถึงจะบอกเรื่องเหล่านี้กับเขาได้ มีเท่านี้จริงๆ ค่ะ เรื่องอื่นบ่าวไม่รู้จริงๆ”


“เจ้ารู้จักบ่อเพลิงมังกรหรือเปล่า? บ่อเพลิงมังกรมันคืออะไรกันแน่?”


“บ่าวไม่รู้ บ่าวก็ไม่เคยไปถ้ำมังกรเหมือนกัน แค่บอกต่อในสิ่งที่นายท่านเคยพูดเอาไว้ค่ะ”


“…” เหมียวอี้จ้องนางอย่างเหม่อลอยนานมาก ถึงได้ถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะให้ข้าเอาของอะไรไปส่งที่บ่อเพลิงมังกร แต่เจ้าก็ให้ข้าเอาไปส่งให้เหรอ? ข้าก็ต้องรู้สึกหน่อยสิว่าจะให้ข้าเอาของอะไรไปส่ง? ไม่อย่างนั้นเจ้าอยาจกะให้ข้านำของไปทำยังไงต่อ? ให้โยนทิ้งหรือว่าทุบทิ้งล่ะ?”


หลิงหลันโดนเขากดดันจนเริ่มร้อนรนนิดหน่อย มองออกเลยว่าคบค้ากับคนอื่นน้อยมาก นางโบกมือซ้ำๆ พร้อมบอกว่า “บ่าวไม่ได้หลอกท่าน บ่าวไม่รู้จริงๆ นายท่านบอกเอาไว้เพียงเท่านี้ แล้วไม่ได้บอกด้วยว่าถ้านำของไปที่บ่อเพลิงมังกรแล้วต้องทำอะไรต่อ แต่การที่นายท่านไม่บอกก็ย่อมมีสาเหตุ ที่เตรียมการไว้อย่างนี้เพราะมีสาเหตุแน่นอน คาดว่าหลังจากนายท่านไปแล้วก็ย่อมเข้าใจเอง”


“เหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ แล้ว” เหมียวอี้หัวเราะแห้ง “เหอะๆ” ให้นาง แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าอาจจะเป็นอย่างที่นางบอกจริงๆ นายท่านของรังหงส์เตรียมการไว้แบบนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับหน้าที่สำคัญก็ได้ ก่อนที่เรื่องนี้จะสำเร็จก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยล่วงหน้า เขาจึงโบกมือบอกว่า “ข้าก็อยากจะเห็นว่าต้องช่วยเจ้าส่งของอะไรกันแน่ ไป พาข้าไปแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย”


“เชิญท่านตามบ่าวมาได้เลยค่ะ” หลิงหลันรีบนำทางอยู่ข้างหน้า แต่เดินไปได้ไม่มีกี่ก้าวก็เห็นเฮยทั่นตามหลังเหมือนกัน จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าแล้วถามอย่างลังเลว่า “ท่าน ให้สัตว์พาหนะของท่านรอข้างนอกก่อนได้หรือไม่?”


“ไม่เป็นไร” เหมียวอี้หันกลับมาเตือนเฮยทั่น “สิ่งที่เจ้าเห็นและได้ยินวันนี้ พอออกไปแล้วอย่าเที่ยวพูดซี้ซั้วนะ”


เฮยทั่นรับประกันทันที “ไม่ต้องห่วง ต่อให้ตีให้ตายข้าก็ไม่พูดสุ่มสี่สุ่มห้า”


พอมันอ้าปากพูด หลิงหลันก็กลัวนิดหน่อย เหมือนจะนึกไม่ถึงว่าเฮยทั่นฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง “ท่านคะ นายท่านเคยสั่งไว้ ว่าห้ามเปิดเผยเรื่องนี้กับคนอื่นเด็ดขาด”


เฮยทั่นทำเสียงฟึดฟัดสองที เหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์


“เจ้าไม่ต้องห่วง มันไม่เปิดเผยต่อภายนอกหรอก ไปกันเถอะ!” เหมียวอี้กล่าว


หลิงหลันจนใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะฝืนใจเหมียวอี้ จึงทำได้เพียงนำทางต่อไป เพียงแต่ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปชำเลืองมองเฮยทั่นเรื่อยๆ นางทรยศคำสั่งนายท่านตัวเองแล้ว ทำท่าทางสงสัยมาก


สองฝั่งของตำหนักหลัก มีบันไดน้ำแข็งที่เป็นวงแหวนขึ้นไปครึ่งหนึ่ง ตรงกลางด้านบนมีประตูใหญ่บ้านหนึ่ง หลังจากเข้าไปแล้วก็จะเจอบันไดน้ำแข็งยาวคดเคี้ยวขึ้นไป แต่พวกเขากลับไม่ได้เดินขึ้นไปข้างบน หลิงหลันโบกแขนเสื้อกวาดหนึ่งครั้ง ชั้นน้ำแข็งบนพื้นที่ว่างสองฝั่งของบันไดน้ำแข็งละลายออกเป็นสองทาง แล้วก็ปรากฏบันไดน้ำแข็งที่ทอดลงไปด้านล่างอีก ถ้าไม่ใช่เพราะมีหลิงหลันนำทาง ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าข้างล่างยังมีทางอีก


ขณะเดินเดินตามบันไดน้ำแข็งลงไป บนกำแพงน้ำแข็งก็มีอัคคีน้ำแข็งปรากฏเป็นระยะ ส่องว่างให้เส้นทางที่เดินลง


หลังจากเดินลงไปประมาณหนึ่งพันจั้ง ก็มาถึงก้นบึ้งของทุ่งน้ำแข็งโบราณแล้ว พวกเขาเดินมาถึงแท่นหลังหนึ่ง ทางข้างหน้าถูกกำแพงน้ำแข็งผนึกปิดตายไว้ หลิงหลันโบกแขนเสื้อเปิดใช้งานอีกครั้ง


กำแพงน้ำแข็งที่กะพริบแสงถอยร่นไปรอบๆ เล็กน้อย แล้วก็เผยบันไดขึ้นด้านบนอีก เป็นบันไดที่ไม่สูง พอเดินขึ้นไปได้ประมาณหนึ่งจั้ง ตัวก็อยู่ในวังใต้ดินที่ใหญ่โตมโหฬารแห่งหนึ่งแล้ว


ยังไม่ต้องพูดถึงภาพสลักหงส์เฟิ่งหงส์อันงดงามประณีตบนผนังรอบๆ ตรงกลางตำหนักจัดวางเตียงน้ำแข็งภาพหงส์เฟิ่งหวงหลังใหญ่ที่งดงามไว้สี่ตัวเป็นรูปวงกลม บนเตียงมีปราณชั่วร้ายสี่สีพ่นขึ้นมาพร้อมเสียงดังวูบๆ กระพือขึ้นมาราวกับพายุหมุน พุ่งชนบนเพดานโค้งร้อยจั้ง ทะลุเข้าไปในรูที่หนาแน่นบนเพดานหลังคา


พอเดินมาดูหน้าเตียงน้ำแข็ง ถึงได้พบว่าในเตียงน้ำแข็งแต่ละหลังมีถ้ำอยู่หนึ่งห้อง ปราณชั่วร้ายโผล่ออกมาจากตรงนี้พอดี


เฮยทั่นเห็นแล้วตาลุกวาว แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก


เหมียวอี้เดินอ้อมตรวจดู นอกจากปราณชั่วร้ายเข้มข้นที่พ่นออกมา ก็ไม่พบอะไรที่พิเศษแล้ว เขาชี้ไปยังจุดที่ปราณชั่วร้ายพ่น พร้อมถามว่า “นี่คือแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายเหรอ?”


“ใช่ค่ะ!” หลิงหลันพยักหน้า


เหมียวอี้ถามต่อว่า “ต้องมุดในนี้ลงไปเอาของเหรอ?”


“ใช่ค่ะ!” หลิงหลันยังคงพยักหน้า


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ให้ข้าเอาของสองอย่าง แต่ที่นี่กลับมีสี่ถ้ำ แปลว่าของอยู่แค่สองถ้ำจากทั้งหมดเหรอ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตรงไหนซ่อนของไว้?”


“บ่าวไม่รู้ค่ะ ท่านต้องลงไปค้นหา” หลิงหลันส่ายหน้า


“ให้ข้าลงไปหาทีละถ้ำเหรอ? เจ้าแน่ใจนะว่านายท่านไม่ได้บอกอะไรเจ้าไว้อีก?” เหมียวอี้เหล่ตามถาม


เห็นได้ชัดว่าหลิงหลันค่อนข้างลำบากใจ กล่าวเสียงอ่อนว่า “นายท่านบอกว่า ถ้าเจอความว่างเปล่าก็แสดงว่าไปถึงปลายสุดแล้ว จะไปข้างหน้าต่ออีกไม่ได้ ถ้าข้ามช่องสุญญะนั่นไปก็จะอาจจะไปโผล่ที่อีกแห่งของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แบบนั้นจะต้องถ่อมาอีกรอบค่ะ…” ยังไม่ทันพูดจบ นางก็พบว่าเหมียวอี้มองนางด้วยสายตาแปลกๆ จึงรีบโบกมือพูดเสริมว่า “นี่เป็นคำสั่งครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ นายท่านบอกไว้แล้วว่าให้บอกทีละลำดับ ถ้าหากผู้ที่มาไม่ยอมช่วย ก็ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องในตอนหลังค่ะ อย่างอื่นบ่าวไม่รู้แล้วจริงๆ”


เหมียวอี้มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ เหมือนกำลังบอกว่า คำพูดของเจ้ายังเชื่อถือได้อีกมั้ย?


หลิงหลันก้มหน้า พลางกล่าวเสียงอ่อนว่า “ไม่มีคำสั่งอื่นแล้วจริงๆ…” น้ำเสียงยิ่งเบาลงเรื่อย


“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเล่นตุกติกอะไรดีกว่า!” เหมียวอี้เตือน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หยิบ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ออกมา แล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียงน้ำแข็งหลังใหญ่ สาตาเหลือบไปมองเฮยทั่น แล้วก็มองหลิงหลันอีก กังวลนิดหน่อยว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาเฮยทั่นจะเสียเปรียบ จึงเรียกเฮยทั่นเข้ากระเป๋าสัตว์ ใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกาย แล้วก้าวเข้าไปในปราณเหี้ยมโหดที่พ่นขึ้นมาราวกับพายุหมุน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)