กระบี่จงมา 148-151

 บทที่ 148.1 เด็กหนุ่มมีเรื่องถามสายลมวสันตฤดู

โดย

ProjectZyphon

ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้ากล่าวเดือดดาล “มีเพียงสตรีและคนถ่อยที่ยากจะอบรม คนโบราณไม่เคยหลอกลวงข้า!”


สตรีร่างสูงใหญ่บิดใบบัวขาวหิมะที่ไม่รู้ว่าไปเด็ดมาจากไหน ปราณสังหารแผ่ท่วมท้น แม้รอยยิ้มจะยังคงอยู่บนใบหน้าของนาง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เต็มไปด้วยความเย็นชาอึมครึม “สู้ไม่ได้ก็ด่าแทน? เจ้าอยากโดนซ้อมหรือไง?!”


ค่ายกลกระบี่ทรงกลมที่เดิมทีกระจายอยู่ห่างไปสิบลี้พลันหดรวบเข้ามา กลายเป็นว่ากักกันอยู่แค่พื้นที่เล็กๆ ตรงหน้าผาติดริมแม่น้ำแห่งนี้ ขณะเดียวกันปราณกระบี่ก็ยิ่งเฉียบคมน่าตะลึง กำแพงค่ายกลกระบี่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณกระบี่ถึงกับบีบให้มหามรรคาไร้รูปลักษณ์ซึ่งเคลื่อนโคจรอยู่ในฟ้าดินเผยกาย แสงสีขาวและดำพุ่งชนปะทะกันอย่างรุนแรง สะเก็ดไฟกระจายไปสี่ทิศ สุดท้ายไปรวมตัวกันในความว่างเปล่าที่ขุ่นมัว


ซิ่วไฉเฒ่าย่นคอ ความคิดดีๆ ผุดวาบพลันเกิดความมั่นใจ ถามเสียงดัง “จะต่อสู้กันก็ได้ แต่พวกเรามาเปลี่ยนวิธีสู้ได้ไหม? เจ้าวางใจเถอะ คำร้องขอนี้ของข้าสามารถช่วยเฉินผิงอันได้ด้วย รับรองว่าสมเหตุสมผล สมกับความต้องการของเจ้า!”


สตรีร่างสูงใหญ่เงียบงันไม่พูดจา แล้วก็เห็นว่าผู้เฒ่ากำลังขยิบตาให้ตนแรงๆ


นางลังเลอยู่ชั่วครู่กว่าจะพยักหน้ารับ “ได้สิ”


……


เหนือปากบ่อในโรงเตี๊ยม สองนิ้วของเด็กหนุ่มประกบกันเป็นกระบี่ ชี้ไปยังก้นบ่อ


แสงรุ้งที่เกิดจากปราณกระบี่เส้นแรกซึ่งอยู่ในบ่อโบราณเริ่มหดหายไปเกินครึ่ง ไม่ส่องแสงจ้าพร่าตาจนคนไม่อาจเพ่งมองตรงๆ ได้อีก อาศัยแสงสว่างที่เหลืออยู่ เฉินผิงอันยังพอจะมองเห็นว่าหลังจากหลุดออกจากช่องโพรงลมปราณ ปราณกระบี่ถูกมองว่า “เล็กอย่างถึงที่สุด” เส้นนี้ได้ก่อตัวขึ้นเป็นของจริง เหมือนพายุฝนที่หล่นกระแทกลงบน “พื้นดิน” อย่างดุเดือดบ้าคลั่ง ส่วนพื้นดินที่ถูกพายุฝนพัดกระหน่ำโจมตีนี้ก็เป็นเหมือนกระจกกลมเกลี้ยงบานหนึ่ง


แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางรู้ว่า สิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นเหมือนกระจกนั้น แท้จริงแล้วเรียกว่ากระจกตราประทับกรมสายฟ้า ที่มีมาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!


ในยุคบรรพกาล หลังจากที่จักพรรดิสวรรค์องค์หนึ่งที่ควบคุมคาถาสายฟ้าสิ้นชีพ องค์เทพทั้งหลายในกรมสายฟ้าต่างก็ถือโอกาสลุกผงาด แบ่งสรรอำนาจสายฟ้าที่เป็นบรรพบุรุษของหมื่นคาถา ต่างคนต่างครอบครองอำนาจสายฟ้าส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นมาก็ยิ่งตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ นอกจากเทพกรมสายฟ้าที่รับผิดชอบป่าวประกาศเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว องค์เทพมากมายที่เหลือต่างก็กลายมามีสภาพเป็นดั่งเทพภูเขาและแม่น้ำ หากไม่ถูกอริยะของสามลัทธิออกคำสั่งพันธนาการ ไม่อาจข้ามออกจาก “บ่อสายฟ้า” ไม่ก็มักจะถูกกองกำลังสำนักการทหารอย่างพวกศาลลมหิมะ เขาเจินอู่ หรือไม่ก็สำนักลัทธิเต๋าใช้ยันต์สายฟ้า คาถาอัญเชิญเทพมาเรียกใช้ตามใจปรารถนา


ส่วนกระจกตราประทับกรมสายฟ้าบานนี้ เจ้าของก็คือหนึ่งในอดีตเทพกรมสายฟ้า แม้ว่าจะประสบกับหายนะ ทำให้ตั้งแต่ผิวกระจกลามไปถึงด้านในตัวกระจกย่อยยับไม่เหลือดีนานแล้ว สายฟ้าด้านในก็สลายหายไปเกือบสิ้น แต่กระนั้นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่นักพรตห้าขอบเขตกลางจะสามารถทำลายลงได้


ร่างของเด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ในบ่อโบราณถูกกดทับลงไปด้านล่างอีกหนึ่งจั้งกว่า ยังคงใช้สองมือและไหล่ทานรับเบื้องล่างของกระจกเอาไว้อย่างมั่นคง ถูกปราณกระบี่จู่โจมเข้ามา ผิวหน้ากระจกสั่นสะเทือนไม่หยุด ปริแตกร้าวลามไปต่อเน่อง แต่ไม่นานพลังสายฟ้าที่หลงเหลืออยู่ในกระจกก็ช่วยซ่อมแซมตัวมันให้กับคืนมาเป็นสภาพเดิมโดยอัตโนมัติอีกครั้ง


หากปราณกระบี่รุกโจมตีดั่งกองทัพม้าเหล็กที่เจาะทะลวงค่ายกล พื้นผิวของกระจกก็ต้องต้านทานขุนพลเดินเท้าเอาไว้อย่างแน่นหนา


ทั้งสองฝ่ายต่างก็ลดทอนกำลังกันเอง อยู่แค่ว่าพลังอำนาจของใครจะแห้งเหือดก่อนกันก็เท่านั้น


เด็กหนุ่มชุยฉานกัดฟันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดหลั่งรินจนใบหน้าที่หล่อเหลามองดูพร่าเลือน เวลานี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงให้พูดอาฆาตอีกแล้ว ได้แต่พร่ำท่องในใจว่า “หากผ่านมรสุมปราณกระบี่ครั้งนี้ไปได้ ขึ้นไปแล้วข้าจะต้องให้เขาชดเชยคืนเป็นร้อยเท่า! ต้องทำได้แน่ พลังอำนาจของปราณฝนกระบี่นี้เริ่มถดถอยลงแล้ว ขอแค่ข้ายืนหยัดได้อีกสักครู่หนึ่ง เฉินผิงอันเจ้ารอก่อนเถอะ!”


แม้ว่าความมั่นใจของเด็กหนุ่มที่อยู่ก้นบ่อจะไม่ได้ลดน้อยลง แต่สภาพที่เลือดอาบไปทั่วทั้งตัวแบบนี้ก็ดูจะอเนจอนาถไปสักหน่อย


ต่อให้เป็นช่วงเวลารันทดหลังจากทรยศต่ออาจารย์และสำนัก ตลอดทางที่ท่องพเนจร ออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มุ่งหน้าไปยังทวีปใหญ่ที่อยู่ทางทิศใต้ สุดท้ายเลือกลงหลักปักฐานอยู่ในบุรพแจกันสมบัติทวีปที่มีอาณาเขตเล็กที่สุด ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีตได้ออกเดินทางไกลไม่รู้กี่ล้านลี้แล้ว ตลอดทางมีหรือจะไม่อิสระเสรี ภูตผีปีศาจ สัตว์ประหลาดดุร้ายน่าเกลียดน่ากลัว เคยมีใครทำให้เขากระเซอะกระเซิงอย่างนี้ได้บ้าง?


ต้องรู้ว่านักพเนจรชุยฉานก่อนที่จะกลายมาเป็นราชครูต้าหลี เคยมีคำพูดติดปากว่ามีความสามารถน้อยยากจะเชิดหน้าชูตา อาศัยแค่การสังหารมารกำจัดปีศาจเป็นงานอดิเรกก็ชอบเอ่ยว่า “เพียงแค่ดีดนิ้วก็แหลกสลายเป็นฝุ่นผง แม้แต่มดก็ยังเทียบไม่ติด”


ร่างของเด็กหนุ่มชุยฉานที่แบกกระจลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง แต่รัศมีในการสั่นสะเทือนเริ่มลดน้อยลง


กระจกยังสามารถต้านทานได้ต่อ แต่รอบนอกของกระจกยังคงมีปราณกระบี่ไหลพรูลงมาไม่หยุด เมื่อถูกปราณกระบี่รุกรานเข้ามาไม่หยุดพัก ร่างของเด็กหนุ่มจึงส่ายโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่


ทันใดนั้นเมื่อจิตของเขาขยับ ในชายแขนเสื้อก็มียันต์คุ้มกันชีวิตที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุแผ่นหนึ่งกลิ้งออกมา เก็บรักษาไว้มานานหลายปี ตอนนี้พอนำออกมาใช้ก็ให้เสียดายจนสีหน้าของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย


ยันต์สีทองแนบติดลงบนชายแขนเสื้อสีขาวของเขาก่อน จากนั้นก็หลอมละลายในทันที เพียงไม่นานพื้นผิวภายนอกของชุดสีขาวชุยฉานก็มีอักขระยันต์สีทองไหลริน หากฟังอย่างละเอียดจะได้ยินเสียงสวดมนต์ภาษาบาลีของศาสนาพุทธดังแว่วๆ อาภรณ์สีขาวเหมือนมีลายน้ำกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น ขับดันให้เด็กหนุ่มชุยฉานเคร่งขรึมดุจพระพุทธรูป


ยันต์แผ่นนี้พิเศษอย่างถึงที่สุด หากจะบอกว่าผงทองและชาดคือวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดในการวาดยันต์ ถ้าอย่างนั้นหากนำวัตถุดิบบางอย่างที่ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครองมาสร้างเป็นยันต์ได้สำเร็จ ประสิทธิผลแต่ละประเภทที่ซุกซ่อนอยู่ในยันต์ก็ย่อมมหัศจรรย์เกินคำบรรยาย ยกตัวอย่างเช่นยันต์แผ่นนี้ของชุยฉานที่มีเลือดสีทองของอรหันต์ร่างทองท่านหนึ่งแห่งดินแดนพระพุทธศาสนาสุขาวดีเป็นวัตถุดิบหลักในการวาดยันต์ อีกทั้งขาดอีกแค่นิดเดียวหลวงจีนผู้มีญาณขั้นสูงท่านนี้ก็เกือบจะสำเร็จอริยผล ด้วยเหตุนี้เลือดสดจึงกลายเป็นสีทอง เมื่อราดรดลงบนผงทอง แล้วเขียนตัวหนังสือของ “คัมภีร์วัชระ” ลงไปบนยันต์ก็จะกลายมาเป็นยันต์วัชระคุ้มกันกายที่มีอาคมพระพุทธไร้ที่สิ้นสุดแผ่นหนึ่ง ต่อให้การโจมตีเต็มกำลังครั้งหนึ่งจากเซียนกระบี่พสุธาก็ยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้


แล้วจะไม่ให้เด็กหนุ่มชุยฉานเสียดายได้อย่างไร?


หลังจากร่ายใช้ยันต์คุ้มกันกายที่มีมูลค่าควรเมืองแผ่นนี้แล้ว เด็กหนุ่มก็ลองคิดคำนวณในใจ แล้วได้ผลลัพธ์ที่ทำให้ผ่อนคลายว่าอย่างมากปราณกระบี่ก็คงทำให้ผิวกระจกแตก ส่วนตัวของกระจกเองไม่มีทางได้รับความเสียหาย ขอแค่วันหน้าพบเจอค่ำคืนที่มีฝนตกฟ้าผ่า เอาไปวางไว้ท่ามกลางทะเลเมฆที่ฟ้าแลบฟ้าร้อง ชักนำสายฟ้าเข้ามาในกระจก ผ่านไปอีกไม่กี่ปี กระจกตราประทับกรมสายฟ้าบานนี้ก็จะสามารถกลับคืนมาเป็นปกติได้ดังเดิม


เมื่อเป็นเช่นนี้ ชุยฉานจึงค่อนข้างมั่นใจ จึงเอียงแขนเล็กน้อย ใช้มือเช็ดคราบเลือดสดบนหน้าลวกๆ “ความอัปยศครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เกือบจะทำลายรากฐานของร่างกิ่งทองใบหยกร่างนี้ของข้าซะแล้ว!”


ชุยฉานหลับตา เริ่มตั้งท่ารอเงียบๆ


รอวินาทีสำคัญที่ปราณกระบี่เหล่านี้ใกล้จะสลายหายไปหมด ก็จะเป็นโอกาสที่เขาบุกขึ้นไปสังหารคนที่ปากบ่อ


เขาไม่มีทางรอให้ปราณกระบี่สลายไปอย่างสิ้นซาก


หากรอจนกว่าปราณกระบี่จะหายไปหมดจริงๆ แล้วเฉินผิงอันที่อยู่ด้านบนค้นพบว่าตนยังไม่ตาย ไม่แน่ว่าเจ้าเด็กบ้านนอกจากตรอกหนีผิงผู้นั้นอาจจะยังมีกระบวนท่าชั่วร้ายรอเขาอยู่อีกจริงๆ


เพราะอย่างไรซะตนในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือร่างกายก็ล้วนไม่สามารถทนรับการ “เคาะตี” อย่างไม่คาดคิดจากภายนอกได้แม้แต่นิดเดียว


สมกับเป็นดินโคลนบนมหามรรคา คดเคี้ยวอยากจะเดินหน้าต่อจริงๆ!


ในใจเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเคียดแค้น


ตอนนั้นที่เดินทางไปยังเมืองเล็กคือศึกที่ราชครูชุยฉานคิดว่าเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเกี่ยวพันกับโอกาสการพิสูจน์มหามรรคา เขาถึงกับดึงจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งออกมาฝากฝังไว้ในหนังหุ้มอีกร่างหนึ่งอย่างไม่เสียดาย แล้วเดินทางออกจากเมืองหลวงต้าหลีอย่างเปิดเผยด้วยร่างของเด็กหนุ่ม


เดิมทีคิดว่าต่อให้ไม่อาจตัดขาดโชคชะตาสายบุ๋นของอาจารย์เหวินเซิ่งและลูกศิษย์ฉีจิ้งชุนได้ ก็ยังสามารถใช้เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงเป็นคู่มือในการนึกนิมิต อาศัยหินของภูเขาลูกอื่นมาเกลาเป็นหยก (เปรียบเปรยว่าใช้ข้อดีของคนอื่นมาชดเชยข้อเสียของตัวเอง) ขัดเกลาจิตใจ ชดเชยสิ่งที่ขาดแคลนบกพร่องที่สุดของสภาพจิตใจตน เพื่อช่วยให้ตนฝ่าทะลุขอบเขตสิบได้ในรวดเดียว และมีหวังที่จะกลับคืนสู่ตบะขอบเขตสิบสองขั้นสูงสุดอีกครั้ง หรือยังอาจถึงขั้นสามารถยืมใช้กำลังของต้าหลีผลักดันความรู้ของตน ขอแค่ในอนาคตผลงานและความรู้ของตนเผยแพร่ไปได้สักครึ่งทวีป ความสำเร็จยังสามารถพัฒนาก้าวหน้าไปได้อีก หากลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อทั้งทวีปต่างก็เป็นลูกศิษย์ของตนชุยฉาน ผลประโยชน์ที่ได้รับคงมากมหาศาลจนมิอาจจินตนาการได้ถึง


ตอนนั้นไม่ว่าจะคำนวณอย่างไร ชุยฉานก็ล้วนสามารถหยัดยืนอยู่บนตำแหน่งของผู้ไร้พ่าย ความแตกต่างอยู่แค่ว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับมากหรือน้อยก็เท่านั้น


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่แท้จริงที่ฉีจิ้งชุนเลือกไว้จะไม่ใช่จ้าวเหยาที่เขามอบตราประทับอักษรตัวชุนให้ แล้วก็ไม่ใช่ซ่งจี๋ซินที่มอบตำราซึ่งเหลือเพียงไม่กี่เล่ม ยิ่งไม่ใช่เมล็ดพันธ์ปัญญาชนอย่างพวกหลินโส่วอี


แต่เป็นแม่นางน้อยที่ชื่อว่าหลี่เป่าผิง คือผู้หญิงคนหนึ่ง! สตรีจะสืบทอดสายบุ๋นได้อย่างไร? อาจารย์หญิง นักปราชญ์หญิง? ไม่กลัวว่าจะกลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั่วหล้าหรืออย่างไร? ไม่กลัวว่าจะถูกพวกผู้เฒ่าในสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อมองเป็นพวกนอกรีตอันดับต้นๆ หรือ?


ยิ่งคิดไม่ถึงว่าฉีจิ้งชุนจะรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ มอบของของเหวินเซิ่ง อาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาชุยฉานและฉีจิ้งชุนส่งต่อให้กับเด็กหนุ่มเฉินผิงอัน


เมื่อเป็นเช่นนี้ สายบุ๋นก็ไม่เพียงแต่ไม่ขาดสะบั้น เปลวเพลิงแห่งการสืบทอดยังส่งต่อมายังรุ่นของหลี่เป่าผิง อีกทั้งยังทำให้ชุยฉานที่เดิมทีหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนถูกจับมามัดรวมกับเหวินเซิ่งอีกครั้งเพราะเฉินผิงอัน


นี่ทำให้จิตใจของชุยฉานที่เข้าใจผิดคิดว่าได้กุมชัยชนะอยู่ในกำมือแหลกสลายลงในพริบตา บวกกับการชักนำอย่างไร้รูปลักษณ์จากโชคชะตาสายบุ๋น ตบะของเขาจึงลดฮวบทีเดียวถึงขอบเขตที่ห้า หากไม่เป็นเพราะภายหลังได้ทำข้อตกลงกับหยางเหล่าโถว ฝึกวิชาลับวิถีเทพที่หายสาบสูญไปนานแล้วจนสามารถชดเชยช่องโหว่ของวิชาลับวิชาหนึ่งที่ชุยฉานศึกษาไว้ได้อย่างครบถ้วน สภาพจิตใจได้รับการบำรุงอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งต้นไม้แห้งเหี่ยวที่ได้พบเจอฤดูใบไม้ผลิ ตบะของเขาถึงได้ไหลย้อนกลับเพิ่มขึ้นสูงอีกครั้ง


แต่วิชาลับประเภทนี้มีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงถึงชีวิตอยู่อย่างหนึ่ง ตบะที่สั่งสมมาจะเป็นเพียง “ภาพลวงตา” ใช้หมดหนึ่งครั้งก็จะกลับคืนไปเป็นสภาพเดิม เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถฝ่าทะลุขอบเขตที่สิบ เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ในรวดเร็วถึงจะทำให้ “ความจริงเปลี่ยนเป็นไม่จริง ไม่จริงเปลี่ยนเป็นจริง” เท็จและจริงปะปนกันมั่วซั่ว ซึ่งนั่นจะเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งอย่างสิ้นเชิง


ตอนที่มาถึงโรงเตี๊ยมชิวหลูแห่งนี้ อันที่จริงขอบเขต “ลวงตา” ของเด็กหนุ่มชุยฉานได้ขยับเข้าใกล้ขอบเขตที่เก้าแล้ว เขาถึงได้มีโอกาสใช้วิชา “เชิญเทพ” ของสำนักการทหาร เชิญกายธรรมร่างทองของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งมาได้ ขอบเขตนั้นเป็นของปลอม แต่วิธีการคือของจริง ดังนั้นนี่ถึงทำให้เทพแม่น้ำหันสือตกตะลึงจนขวัญกระเจิง หาไม่แล้วด้วยประสบการณ์และความฉลาดเฉลียวของชายชุดดำที่ปกครองโชคชะตาของพื้นที่ทางเหนือมาหลายร้อยปี หากไม่ถึงที่สุดของความยากลำบากจริงๆ จะถูกชุยฉานกำราบจนกลายมาเป็นเหมือนปลาดุกตัวน้อยในลำธารได้อย่างไร?


—–



บทที่ 148.2 เด็กหนุ่มมีเรื่องถามสายลมวสันตฤดู

โดย

ProjectZyphon

ด้านล่างบ่อน้ำ


ปราณกระบี่ดุจพายุฝนกระหน่ำที่ไหลพรูลงมาจากปากบ่อยังคงถี่กระชั้นบีบคั้นทุกย่างก้าว แสงกระบี่ที่พุ่งชนกับหน้ากระจกสาดว่อนไปสี่ทิศ


เท้าทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มชุดขาวแทบจะเหยียบลงบนพื้นเบื้องล่างของทางน้ำก้นบ่อ บ่อน้ำและน้ำบาดาลกลางเมืองด้านล่างที่เชื่อมโยงอยู่กับแม่น้ำสายใหญ่ถูกระเหยเป็นไอจนหายเกลี้ยงไปนานแล้ว


เด็กหนุ่มชุยฉานเริ่มนับถอยหลังอยู่ในใจ


เขาไม่อยากฆ่าเฉินผิงอัน นี่เป็นความจริง อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้


เพราะชุยฉานอยากจะเล่นชักเย่อดึงให้เด็กหนุ่มขึ้นมาบนมหามรรคาของตัวเองมากกว่า ในช่วงระยะเวลาที่สั้นที่สุด ชุยฉานไม่เพียงแต่จะไม่ทำร้ายเฉินผิงอัน กลับยังจะพยายามช่วยเฉินผิงอันเพิ่มตบะให้ได้มากที่สุด อย่างมากก็เปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจของเฉินผิงอันอย่างเงียบเชียบ ให้เขาซึมซับอิทธิพลจากสภาพสิ่งแวดล้อมเข้าไปโดยไม่รู้ตัวท่ามกลางวันเวลาที่หมุนเวียนสับเปลี่ยน สุดท้ายกลายมาเป็นคนที่อยู่บนวิถีทางเดียวกับเขาชุยฉาน หากเฉินผิงอันโชคไม่เลว มีความหวังที่จะสืบทอดความรู้ความสามารถของเขาชุยฉานในอนาคต ชุยฉานก็เต็มใจไม่คิดจะปฏิเสธ


แต่ชุยฉานอยากฆ่าหลี่เป่าผิงจริงๆ


เพราะอย่างไรแล้วชุยฉานก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอัน หากเด็กหญิงคนนี้เติบโตขึ้นในอนาคต ยิ่งนางได้รับคำประณาม ถูกผลักไสจากผู้คนมากเท่าไหร่ ก็จะต้องส่งผลกระทบต่อตบะและมหามรรคาของชุยฉานไม่มากก็น้อย สำหรับชุยฉานที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถยอมรับได้เลย


เด็กหนุ่มชุยฉานรู้สึกว่านี่คือหายนะที่จริงแท้แน่นอนที่สุด


ต่อให้ข้าอยากจะเป็นคนชั่วร้ายที่จิตใจคิดคดมากแค่ไหน แต่หากคิดจะฆ่าเจ้าเฉินผิงอันจะยังต้องแสร้งแกล้งยอมเป็นหลานของเจ้ามาตลอดทางด้วยรึ? เห็นๆ กันอยู่ว่าข้าไม่มีอันตรายต่อเจ้า


เพียงแค่การคาดเดาเล็กน้อย เจ้าเฉินผิงอันก็คิดจะฆ่าข้าเลยหรือ?!


อาศัยอะไรถึงทำให้เจ้าลงมือฆ่าคนอย่างไม่อิดออดเพียงเพราะรู้สึกว่าข้าคิดร้ายต่อเด็กสามคนนั้น?


ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะถือว่าเป็นวิญญูชนที่แท้จริงได้อย่างไร? ฉีจิ้งชุนเลื่อมใสในตัววิญญูชนมาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าที่ได้รับความสำคัญจากฉีจิ้งชุนถึงไม่มีเหตุผลขนาดนี้? แล้วตาเฒ่ามีสิทธิ์อะไรบังคับให้ข้าเรียนรู้การเป็นคนจากเจ้า?! ข้าชุยฉานเคยเป็นศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง เคยสืบทอดความรู้ให้กับฉีจิ้งชุน หากนับกันที่ตำแหน่งของระบบลัทธิขงจื๊อ ข้าชุยฉานเหนือกว่านักปราชญ์ เหนือกว่าวิญญูชนแค่ขั้นเดียวเสียที่ไหน? แต่เจ้าเฉินผิงอันกลับทำอะไรตามใจชอบแบบนี้ สายตาของตาเฒ่านับว่าห่วยแตกไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ


ฉีจิ้งชุนช่วยเจ้าเลือกไปเลือกมา สุดท้ายก็ยังเลือกชุยฉานคนที่สองให้กับเจ้าไม่ใช่หรือ?


เด็กหนุ่มชุยฉานที่เท้าสองข้างแตะพื้นหินนับถอยหลังอยู่ในใจต่ออีกครั้ง รอลงมือฉกฉวยโอกาส


ขณะเดียวกันในใจก็มีความยินดีท่วมทะลักขึ้นมา


ฮ่าๆ เป็นแบบนี้ก็ยิ่งดี นี่หมายความว่าหลังจากที่ข้าหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากตอนนี้แล้ว นอกจากจะค่อยๆ ทรมานเจ้า อย่างน้อยก็ยังทำให้เจ้าเฉินผิงอันได้แต่ใช้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆ เว้นชีวิตเจ้าไว้ วันหน้าเมื่อเจ้าติดตามข้าเดินไปบนมหามรรคาสายนั้นก็จะยิ่งเดินได้อย่างราบรื่นเป็นธรรมชาติ หากเป็นเช่นนี้ก็นับว่าโชคของเจ้าไม่เลวร้ายเกินไปนัก


อีกอย่างพันธนาการตัวอักษรที่ตาเฒ่าปลูกฝังไว้บนร่างชุยฉานก็มีเพื่อเฉินผิงอันเพียงคนเดียวเท่านั้น ตาเฒ่าไม่อนุญาตให้ชุยฉานมีความคิดชั่วร้ายใดๆ ต่อเฉินผิงอัน หาไม่แล้วจะต้องเจ็บปวดทรมานราวกับถูกแส้ฟาดโบยลงบนหัวใจ นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีการพันธนาการอื่นๆ อีก นี่พอจะถือว่าเป็นการสืบทอดสายความรู้ของตาเฒ่าอย่างกล้อมแกล้ม ทุกเรื่องเน้นย้ำในการแสวงหาต้นกำเนิด เมื่อรู้ต้นกำเนิดอย่างชัดเจนแล้ว วันหน้าก็จะสามารถแตกกิ่งก้านสาขาของความรู้และหลักการประพฤติตนต่อไปได้


ในอนาคตข้าชุยฉานจะให้เจ้าได้เห็นว่าแม่นางน้อยที่ชื่อว่าหลี่เป่าผิง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีจิ้งชุนคนนั้นตายอยู่ต่อหน้าเจ้าอย่างไร อีกทั้งยังจะทำให้เจ้ารู้ด้วยว่าอะไรคือการช่วงชิงบนมหามรรคา และนางต้องตายด้วยสาเหตุใด!


ถึงเวลาแล้ว!


มือสองข้างที่ยันกระจกของชุยฉานโชกไปด้วยเลือดนานแล้ว บาดแผลนั้นลึกจนเห็นกระดูก แต่เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย “ปราณกระบี่ดั่งสายรุ้งใช่หรือไม่? น้ำตกกลับหัวใช่ไหม? จงหลีกทางให้ข้าผู้อาวุโส!”


……


ทว่าช่วงนาทีก่อนหน้าที่ชุยฉานคิดว่าตัวเองจะได้อย่างใจหวัง เวลาห่างกันเพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้นเอง ในที่สุดเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ขาสองข้างปักตรึงอยู่บนปากบ่ออย่างมั่นคงก็เตรียมความพร้อมเสร็จสิ้น แม้จิตวิญญาณจะส่ายโอนเอน ไม่มีตำแหน่งใดในอวัยวะตันห้าอวัยวะกลางหกในร่างที่ไม่เจ็บปวดร้าวลึกถึงกระดูก เขาจึงได้แต่พูดเสียงสั่นแผ่วเบาว่า “ไป”


น้ำตกสายที่สองพลันเทกระหน่ำลงมา


นายท่านใหญ่เฉินผิงอัน ข้าผู้อาวุโสคงถูกเจ้าฆ่าตายอยู่ตรงนี้แน่แล้ว


นี่คือความคิดเพียงหนึ่งเดียวของเด็กหนุ่มชุยฉานในเวลานั้น


ร่างของเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนปากบ่อส่ายไปส่ายมา


……


ก่อนหน้านี้


ครั้งที่สองของค่ำคืนที่เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาลมเย็น ตอนนั้นเขากับหลี่เป่าผิงที่ตื่นเพราะฝันร้ายนั่งอยู่ตรงข้ามกัน มีลมเย็นกลุ่มหนึ่งพัดผ่านศาลาหลังเล็กอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ


เด็กหนุ่มนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขารู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจจึงหลับตา รับฟังเสียงกระดิ่งลมใต้ชายคาอย่างตั้งใจพร้อมๆ กับหลี่เป่าผิง


ตอนนั้นเด็กหนุ่มบอกกับตัวเองในใจว่า “อาจารย์ฉี หากเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นเป็นจำนวนเลขคู่ ข้าจะปล่อยวาง อดทนกับคนแซ่ชุยผู้นั้น แต่หากเป็นเลขคี่ ข้าก็จะลงมือ”


กริ๊ง กริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง


หลังเสียงที่เจ็ดผ่านไปก็ไม่มีเสียงดังขึ้นอีก


ดังนั้นหลังจากที่แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงไปจากศาลา เด็กหนุ่มจึงมายืนอยู่บนปากบ่อน้ำ


……


ย้อนไปนานกว่าก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจะไปจากเมืองเล็ก


ครั้งนั้นภายใต้คำเตือนจากหยางเหล่าโถว เฉินผิงอันถือร่มเดินออกจากร้านตระกูลหยาง นำร่มไปกางให้อาจารย์ของโรงเรียนที่มาเยี่ยมเยือนหยางเหล่าโถว รวมถึงเอาตราประทับภูเขาและแม่น้ำสองชิ้นมามอบให้กับเขา


หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่เดินอยู่บนถนนสายเล็ก


“วิญญูชนสามารถใช้วิธีการหลอกลวงที่สมเหตุสมผล ประโยคนี้ เจ้าสามารถพูดให้พวกผู้อาวุโสหยางฟังได้”


“วันหน้าหากพบเจอเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ สามารถถามจากสายลมวสันตฤดู อืม ประโยคนี้เจ้าแค่จำไว้ในใจก็พอแล้ว ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจมีประโยค แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ต้องได้ใช้”


กล่าวประโยคนี้จบ บัณฑิตที่จอนผมสองข้างเป็นสีขาวโพลนก็หันมาขยิบตา คลี่ยิ้มอบอุ่นให้กับเด็กหนุ่มผิดไปจากท่าทางเคร่งขรึมคร่ำครึยามสอนหนังสือ


……


ตอนที่เด็กหนุ่มพาแม่นางน้อยเดินทางออกจากเมืองเล็ก


มีจิตวิญญาณเสี้ยวสุดท้ายของปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวบางท่านเดินทางกลับมายังโลกมนาย์หลังจากไปเยือนถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่บางแห่งที่อยู่นอกโลก หลังจากเดินเคียงบ่ากับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะและแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็หยุดฝีเท้า มองแผ่นหลังศิษย์น้องและลูกศิษย์ของตัวเอง ไม่เดินไปส่งต่ออีก


สุดท้ายยามที่บัณฑิตโบกมือลาเงียบๆ เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากการโบกมือเบาๆ ครั้งนี้แล้วก็มีลมวสันตฤดูขุมหนึ่งโอบล้อมรอบกายเด็กหนุ่มอย่างเงียบเชียบ เป็นนานกว่าจะสลายหายไป


……


กลางบ่อ


เด็กหนุ่มชุยฉานถูกกระแทกลงไปยังก้นบ่อพร้อมกับกระจกตราประทับกรมสายฟ้าอย่างรุนแรง ร่างทั้งร่างนอนขดเข้าหากันเป็นก้อนกลมอยู่บนพื้นหินสีเขียว พยายามหลบซ่อนตัวอยู่ใต้กระจก


แม้ว่าจะพยายามดิ้นรนก่อนตายเป็นครั้งสุดท้าย แต่อันที่จริงลึกๆ ในใจของชุยฉานกลับสิ้นหวังไปแล้ว


กระจกสั่นสะเทือนไม่หยุด แรงกระแทกโจมตีที่รุนแรงรวมไปถึง “น้ำไหล” ปราณกระบี่ที่ไหลผ่านกระจกเข้ามาทำให้ร่างของเด็กหนุ่มปวดแสบปวดร้อนราวถูกเปลวเพลิงแผดเผา แม้แต่จิตสำนึกของเขาก็ยังเริ่มพร่าเลือน


และวินาทีที่เขาหลับตาลง


ตราผนึกที่ซิ่วไฉเฒ่านาบประทับไว้บนจิตวิญญาณของชุยฉานก็พลันหายวับไป


เด็กหนุ่มชุดขาวฮึกเหิมทันควัน ประหนึ่งผืนดินแตกระแหงได้พานพบกับฝนรสหวาน สีหน้าท่าทางของเขาสดชื่นเป็นพิเศษ ชุยฉานไหนเลยยังกล้ากักเก็บพลังเอาไว้ หากไม่ทุ่มสุดชีวิตเวลานี้จะรอเวลาไหน “ฮ่าๆ สวรรค์ช่วยข้า! ตาเฒ่า เจ้าเองก็มีช่วงเวลาที่ทำผิดพลาดแบบนี้ด้วยหรือ! ตาแก่หนังเหนียวอย่างเจ้าก็มีวันอวดฉลาดกับเขาด้วย สวรรค์ช่วยข้าชุยฉานจริงๆ สวรรค์มีทางออกให้คนเสมอ!”


เห็นเพียงว่าตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความเที่ยงธรรมซื่อสัตย์ถูกชุยฉานที่สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ ถึงออกมาจากจิตวิญญาณ ความเจ็บปวดที่ทำให้คนไร้ที่หลบเลี่ยงเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าถูกแร่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นเสียอีก


ทว่าหัวสมองของชุยฉานกลับยิ่งปลอดโปร่งแจ่มชัด “คำสอนอริยะ ใช้อักษรบันทึกหลักการ” เด็กหนุ่มชุดขาวควบคุมอักษรสีทองที่ไร้เจ้าของชั่วคราวตัวนั้นให้พุ่งปะทะกับน้ำตกปราณกระบี่


ตัวอักษรสีทองปะทะชนกับปราณกระบี่


แต่กลับไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย กลับกันคือยิ่งนานก็ยิ่งเงียบงัน ทำให้คนตื่นตระหนกจนแทบหายใจไม่ออก


ไม่ไดอยู่ในขอบเขตของการต่อสู้ทางพละกำลังหรือพลังอำนาจใดๆ อีกแล้ว แต่เป็นการช่วงชิงของมหามรรคาที่ไร้รูปลักษณ์อีกประเภทหนึ่ง


จะอย่างไรซะน้ำตกสายนี้ก็เป็นเพียงปราณกระบี่ “น้อยนิด” เสี้ยวเดียวเท่านั้น


ส่วนตัวอักษรสีทองเหล่านั้นก็แค่ถูกคนยืมมาใช้ชั่วคราวเช่นกัน


ทั้งสองต่างก็คุมเชิงกัน สุดท้ายแล้วยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดูสูสี


เหมือนกองกำลังทหารสองกองที่ประจันหน้า ต่างฝ่ายต่างพ่ายแพ้บาดเจ็บ วินาศสันตะโรกันทั้งหมด


หลังจากที่สัมผัสได้ถึงโอกาส ชุยฉานก็ไม่คิดจะยืนเฉยรอความตาย เขาเริ่มลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นค่อยๆ ยืดตัวขึ้นคุกเข่า สุดท้ายจึงยืนตัวงอได้สำเร็จ


เขาขยับเท้าไปด้านข้างหนึ่งก้าว กระจกพลันเอนเอียง เทปราณกระบี่เสี้ยวสุดท้ายไปยังอีกฝั่งหนึ่งในบ่อน้ำ เด็กหนุ่มชุดขาวโยนกระจกโบราณนั้นทิ้ง เท้าสองข้างแตะพื้น ร่างทั้งร่างทะยานขึ้นสู่เบื้องบน จากนั้นร่างก็พลันหายวับไป เหลือเพียงเสียงทุ้มหนักที่เปี่ยมไปด้วยความเจ็บแค้นอาฆาตซึ่งดังก้องอยู่ในบ่อโบราณ “ต่อให้ตอนนี้เจ้ามีปราณกระบี่เส้นที่สามก็ไม่ทันกาลแล้ว!”


……


เฉินผิงอันยืนอยู่บนปากบ่อ มือสองข้างประกบเป็นท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู สุดท้ายเมื่อปราณกระบี่เส้นนั้นจากไป เขาก็เตรียมจะใช้หมัดรับหน้าศัตรู


ในบทนำของตำราเขย่าขุนเขามีเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “คนรุ่นหลังที่เรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาของข้า ต่อให้เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์ของสามลัทธิ จงจำไว้ว่าวิชาหมัดของเราอ่อนด้อยได้ สามารถแพ้ได้เมื่อต้องช่วงชิงชัยชนะ มีเพียงปณิธานแห่งหมัดเท่านั้นที่ห้ามอ่อนข้อ!”


……


เวลาเดียวกันนั้น


ในลานขนาดเล็กที่เงียบสงบ แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง นางไม่ได้ฝันร้าย แต่เพราะถูกกระบี่ไม้ไหวเล่มหนึ่งตีให้ตื่น


หลี่เป่าผิงที่ยังสะลึมสะลือพลันลืมตากว้าง กระบี่ไม้ที่ก่อนหน้านี้ทำลายหน้าต่างบุกเข้ามาวาดตัวอักษรฉีอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บินสวบไปทางประตู หลี่เป่าผิงกระโดดลงเตียงด้วยความเร็วดุจสายฟ้าที่ผ่ากะทันหันโดยที่คนไม่ทันป้องหู ไม่แม้แต่จะสวมรองเท้าหุ้มแข้ง เปลือยเท้าวิ่งตะบึงออกไป หลังจากเปิดประตูแล้วก็ตามกระบี่ไม้เข้าไปในห้องที่อาจารย์อาน้อยพักอาศัย เพราะเฉินผิงอันยังไม่กลับมา ประตูจึงไม่ได้ลงกลอน ก่อนหน้านี้ถูกกระบี่บินพุ่งชนจนเปิดอ้า หลี่เป่าผิงตามมันเข้ามาในห้อง แล้วก็เห็นว่ามันชี้ไปยังตะกร้าไม้ไผ่ของเฉินผิงอัน


สุดท้ายภายใต้การชี้นำของกระบี่บิน หลี่เป่าผิงจึงหยิบเอาตราประทับชิ้นหนึ่งที่อาจารย์อาซ่อนไว้ออกไป พอเปิดออกก็ค้นพบว่านั่นคือตราประทับ “สงบใจสมปรารถนา” (จิ้งซินเต๋ออี้) ที่อาจารย์น้อยเคยแอบเอาให้นางดูคนเดียว กระบี่บิน “พยักหน้ารับ” แรงๆ แล้วบินพรวดออกไปนอกห้อง


แม่นางน้อยกุมตราประทับตัวอักษรจิ้งที่อาจารย์มอบให้อาจารย์น้อยของนางไว้ในมือแน่น แล้วจึงวิ่งตะบึงตามกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ดีๆ ก็มาปรากฏอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ไปยังศาลาลมเย็น นางกระโดดเข้าพรวดออกจากศาลาอย่างคุ้นทาง วิ่งไปทางปากบ่อน้ำที่อาจารย์อาน้อยยืนอยู่


ชั่วพริบตานั้นตราประทับที่อยู่ในมือของหลี่เป่าผิงก็บินหลุดออกไปจากฝ่ามือนางโดยอัตโนมัติ มันพุ่งพรวดไปทางบ่อน้ำ หยุดลอยอยู่เหนือศีรษะอาจารย์อาน้อยของนาง จากนั้นก็ตบลงไปอย่างแรงจนเกิดเสียงทึบหนักแน่น


เหนือปากบ่อมีคนแผดเสียงร้องโหยหวน “มาอีกแล้ว? ฉีจิ้งชุนไอ้ระยำ! วิญญาณไม่แหลกสลาย มารดาเจ้าไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยรึ?!”


แล้วจึงเห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศเหนือปากบ่อน้ำอย่างน่าประหลาดใจ หน้าผากถูกตราประทับกระแทกใส่อย่างแรง ร่างทั้งร่างปลิวกระเด็นไปกระแทกลงบนพื้น


ชั่วขณะก่อนที่เด็กหนุ่มชุดขาวผู้ซึ่งไม่เหลือตบะเลยแม้แต่นิดเดียวจะหมดสติไป เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ฉีจิ้งชุน เจ้ามันอำมหิตนัก ข้ายอมแพ้”


—–



บทที่ 149.1 นัดต่อสู้

โดย

ProjectZyphon

 เฉินผิงอันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่าหลังจากตราประทับ “สงบใจสมปรารถนา” กระแทกลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วมันก็เด้งตวกลับมา จากนั้นจึงหยุดนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ สุดท้ายคล้ายถูกใครกระตุกเชือกดึงกลับไป เพียงแต่ว่าเรี่ยวแรงของคนดึงเชือกนั้นน้อยไปสักหน่อย ตราประทับอักษรตัวจิ้งจึงส่ายโอนเอนอยู่กลางอากาศ เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ความเร็วไม่มากนัก


เฉินผิงอันไล่ตามทิศทางการโคจรของมันไป เห็นว่าระหว่างตนและหลี่เป่าผิงมีกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นหยุดนิ่งอยู่ มีเด็กหญิงชุดสีทองส่วนสูงพอๆ กับนิ้วก้อยคนหนึ่งกำลังกางแขนกางขาหลบอยู่ใต้กระบี่บิน ทั้งมือทั้งเท้ารัดพันด้ามกระบี่ไม้เอาไว้แน่น เวลานี้กว่าจะปีนขึ้นไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พอยืนได้แล้ว เด็กหญิงชุดทองร่างกระจิ๋วหลิวน่ารักก็ไปยืนอยู่บนตัวกระบี่ ร่างของนางหมุนติ้วๆ เท้าเล็กๆ ส่ายสะเปะสะปะเหมือนคนเมา ดูท่าประสบการณ์การขี่กระบี่ครั้งนี้คงไม่ได้สวยงามเท่าไหร่นัก


ตราประทับตัวอักษรจิ้งชิ้นนั้นหล่นลงบนกระบี่ไม้ ตราประทับค่อนข้างหนักจึงกดให้หางกระบี่ตวัดขึ้นสูง เด็กหญิงชุดทองลื่นไถลเข้าหาตราประทับ มือเท้าป่ายไปกลางอากาศเป็นพัลวัน


ก่อนหน้านี้หลี่เป่าผิงก็ไม่ทันสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเด็กหญิงชุดทองเช่นกัน เวลานี้พอได้เห็นก็รู้สึกแค่ว่าน่าสนใจ จึงดิ่งเข้าหาอย่างร่าเริง นางย่อเข่าลงเล็กน้อย มือสองข้างประคองปลายสองด้านของกระบี่ไม้ไหว จ้องมองเจ้าตัวน้อยที่พยายามหลบเลี่ยงในระยะประชิด เด็กหญิงชุดสีทองอึ้งตะลึง ราวกับว่าเกิดมาก็ขี้อายอย่างมาก หลังจากยกสองมือปิดหน้าแล้วจึงหุบข้าเข้าชิดกัน กระโดดดิ่งลงไปเบื้องล่างในแนวตรง พอร่วงลงพื้นแล้วร่างกลับหายไปโดยที่ไม่ได้หายเข้าไปในกระบี่ไม้ไหว


เฉินผิงอันไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่คิดจะพูดคุยเรื่องนี้ให้ยืดเยื้อจึงเอ่ยเตือนเสียงแหบพร่า “เป่าผิง โยนกระบี่ไม้มาให้ข้า เจ้าเก็บตราประทับเอาไว้ก่อน”


หลี่เป่าผิงเก็บความอยากรู้อยากเห็นลงไปทันใด เรื่องเร่งด่วนในเวลานี้คือจัดการกับเจ้าคนแซ่ชุยนั่งให้ได้เสียก่อน ดังนั้นพอคว้าตราประทับมาแล้ว นางก็ร้องตะโกนเบาๆ แล้วเหวี่ยงกระบี่ไม้ไหวมาให้อาจารย์อาน้อยเต็มแรง


เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยยังกะแรงไม่ค่อยถูกนัก กระบี่ไม้ไหวจึงเบี่ยงไปจากตำแหน่งที่เฉินผิงอันยืนอยู่


“หมุนตัวไป!”


เฉินผิงอันสั่งหลี่เป่าผิงหนึ่งประโยคก็แตะปลายเท้าเล็กน้อย ก้าวไปทางฝั่งซ้ายของบ่อโบราณแล้วเหยียบบนปากบ่อ หลังจากคว้าจับกระบี่ไม้ไว้ได้แล้วจึงเดินก้าวไปข้างหน้าก้าวใหญ่ พอเหยียบลงบนพื้นก็หันปลายกระบี่แทงเข้าที่หัวใจของเด็กหนุ่มชุดขาว


และเวลานี้เองเด็กหญิงชุดทองก็ผุดร่างท่อนบนออกมาจากกระบี่ไม้ไหว น้ำตาคลอหน่วย สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจและละอาย โบกมือส่ายหัวแรงๆ ให้เฉินผิงอันราวกับว่าต้องการหยุดยั้งไม่ให้เฉินผิงอันฆ่าคน


ทว่านับตั้งแต่รับกระบี่ถึงออกกระบี่ การเคลื่อนไหวของเฉินผิงอันรวดเร็วเฉียบขาดอย่างยิ่ง รวดเดียวจบ รอจนเด็กหญิงชุดทองเผยกาย ปลายกระบี่ไม้ก็แทงไปตรงหัวใจของเด็กหนุ่มชุดขาวแล้ว เนื่องจากเฉินผิงอันขึ้นรูปเครื่องปั้นและเผาเครื่องปั้นเป็นประจำตลอดปี การควบคุมแรงมือจึงแม่นยำและเชี่ยวชาญอย่างมาก ทว่าต่อให้เขามีใจอยากจะดึงมือกลับมา แต่การโคจรลมปราณในร่าง การยืดหดของกล้ามเนื้อแขน ไปจนถึงแรงเฉื่อยจากการพุ่งไปข้างหน้าของกระบี่ไม้ล้วนไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันได้เปลี่ยนแปลงจุดจบ


ผู้เฒ่าที่สะพายห่อสัมภาระผ้าฝ้ายไว้บนหลังพลันเผยกายกลางอากาศ “ยังดีๆ เกือบจะถูกคนเล่นงานจริงๆ ซะแล้ว”


เมื่อซิ่วไฉเฒ่าเผยตัวในช่วงเวลาคับขัน เด็กหนุ่มชุยฉานก็เหมือนถูกคนคว้าลำคอแล้วดึงไปด้านหลัง ยืนมั่นคงในทันที แม้ว่าจะยังคงหมดสติ แต่เอวกลับยืดตรงประหนึ่งต้นสนที่ยืนตระหง่าน หลบพ้นจุดจบที่จะถูกเฉินผิงอันแทงทะลุหัวใจมาได้


ผู้เฒ่ามองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ถอยกรูดไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งตวัดกระบี่ขวางไว้ตรงหน้า อีกมือหนึ่งดันหลี่เป่าผิงไปปกป้องไว้ด้านหลัง วิธีการจับกระบี่ของเด็กหนุ่มทั้งไม่คุ้นเคยและแปลกประหลาด น่าจะเหมือนนายพรานที่จับด้ามพู่กันกระมัง ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดูผิดปกติ


ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “เจ้าเองหรือ”


เฉินผิงอันเหมือนเผชิญกับกับศัตรูตัวฉกาจ ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เอ่ยเบาๆ ว่า “เป่าผิง เดี๋ยวถ้ามีโอกาสเจ้าหนีไปเลย ไม่ต้องสนใจข้า”


เฉินผิงอันค้นพบว่าหลี่เป่าผิงกระตุกชายแขนเสื้อของตนอยู่หลายครั้งหลายครา รู้สึกประหลาดใจจึงเบี่ยงตัวก้มหน้าลงมอง “มีอะไรหรือ?”


สีหน้าของแม่นางน้อยแข็งทื่อ นางยกมือชี้ไปยังด้านหลังของเฉินผิงอัน เผยอปากอ้า รูปปากนั้นคล้ายกำลังพูดสองคำว่า “มีผี”


ต้องเผชิญศัตรูทั้งหน้าและหลังเลยหรือ?


หัวใจของเฉินผิงอันหดเกร็ง รอจนเขามองไป สีหน้าก็พลันอึ้งค้าง เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบๆ แล้วก็กะพริบตาอีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มองผิดก็หันหลังให้กับซิ่วไฉเฒ่าและเด็กหนุ่มชุดขาว ทั้งไม่กล้าพูดอะไรออกมาอย่างชัดเจน หลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนแอบได้ยินแล้วจะกลับกลายเป็นการทำร้ายพี่สาวเทพเซียนท่านนี้ แต่เขาก็ร้อนใจอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงัก ท่าทางร้อนรนอยู่ไม่สุขเหมือนมดบนกระทะร้อน


หลี่เป่าผิงแอบจับชายแขนเสื้อของอาจารย์อาน้อยเอาไว้ มองผู้เฒ่าที่มีสีหน้าปิติยินดีแวบหนึ่ง แล้วก็หันไปมองผีสาวที่ปรากฎตัวอย่างลึกลับผู้นั้น


เมื่อเทียบกับผีสาวที่สวมชุดเจ้าสาวครั้งก่อนแล้ว ท่านผู้นี้ที่มาในคืนนี้สวมชุดขาว รองเท้าขาว ในมือถือ…ใบบัวสีหิมะ? หลี่เป่าผิงพึมพำกับตัวเองว่า ผีสาวนอกโลกต่างก็สดใสโดดเด่นแบบนี้เหมือนกันหมดเลยหรือ? นึกถึงในปีนั้นที่พี่ชายใหญ่เคยถูกตนบีบบังคับจนต้องเล่าเรื่องผีที่เต็มไปด้วยเลือดโชก ภูตผีปีศาจอย่างโครงกระดูกสีแดง ผีพราย ฯลฯ ล้วนควักตับไตไส้พุงกินเลือดเนื้อมนุษย์ รูปร่างหน้าตาและพฤติกรรมของพวกเขาต่างก็น่าพรั่นพรึงอย่างถึงที่สุด


ไหนเลยจะเหมือนคนตรงหน้านี้ที่เมื่อเทียบกับผีสาวสวมชุดแต่งงานแล้วยังงดงามน่าหลงใหลยิ่งกว่าเสียอีก


นางเรือนกายสูงใหญ่ แต่กลับยังคงทำให้คนมองรู้สึกว่านางหุ่นดีมีความงดงามตามธรรมชาติ เส้นผมสีดำเป็นประกายคล้ายกับม่านน้ำตกถูกมัดเป็นปมด้วยผ้าไหมสีทองแล้วตวัดจากด้านหลังมายังหน้าอก แสดงให้เห็นถึงความสุภาพเยือกเย็น


หลี่เป่าผิงรู้สึกเพียงว่าสตรีสูงใหญ่ตรงหน้าผู้นี้ยิ่งสูงก็ยิ่งน่ามอง สร้างความอิจฉาให้นางอย่างยิ่ง แม่นางน้อยแอบเขย่งปลายเท้า แต่ไม่นานก็ทิ้งเท้าเหยียบลงบนพื้นดังเดิมด้วยความหดหู่


ดูเหมือนว่าในสายตาของสตรีสูงใหญ่จะมีแค่เฉินผิงอันเท่านั้น


นางยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวพวกเราจะตีกับคนอื่น ไม่ต้องกลัวตาเฒ่าผู้นั้น เขาก็แค่ทนมือทนเท้าได้นิดหน่อยเท่านั้น”


“วางใจเถอะ พี่สาวคนนี้ไม่ใช่คนร้าย เป็นคนกันเอง!”


เฉินผิงอันปลอบใจหลี่เป่าผิงที่อยู่ข้างกายก่อน เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดก็อดถามเสียงเบาไม่ได้ “ไหนบอกว่าออกมาจากเมืองเล็กไม่ได้ล่ะ? หากอริยะของแต่ละฝ่ายจับได้ขึ้นมา ท่านจะทำอย่างไร?”


สตรีสูงใหญ่บิดข้อมือ ใบบัวที่อยู่ในมือจึงส่ายไหวเบาๆ ตามไปด้วย น้ำเสียงที่อบอุ่นและเนิบช้าทำให้คนรู้สึกสบายใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีที่หนึ่งเรียกว่าถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา (ดอกบัว) ?”


เฉินผิงอันพลันนึกถึงหนิงเหยาจึงพยักหน้ารับ “เมื่อก่อนเคยมีคนเล่าให้ข้าฟัง บอกว่าที่นั่นคือสถานที่ที่บุรพาจารย์ลัทธิเต๋าใช้ผ่อนคลายอารมณ์ แม้ว่าจะเป็นเพียงหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก แต่ใบบัวของที่นั่น ต่อให้เป็นใบที่เล็กที่สุดก็ยังใหญ่กว่าเมืองหลวงต้าหลีของพวกเรา”


สตรีคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ไม่ได้เกินจริงขนาดนั้น อย่างใบบัวที่อยู่ในมือข้านี้ หากมันปรากฏอยู่ในรูปร่างเดิมก็จะมีขนาดพื้นที่ประมาณสิบลี้กว่า แน่นอนว่าใบบัวที่ใหญ่ที่สุดของที่นั่นต้องใหญ่กว่าเมืองหลวงต้าหลีมากอยู่แล้ว ใบบัวเหล่านี้สามารถบดบังเจตนารมณ์สวรรค์ พูดง่ายๆ ก็คือสามารถทำให้อริยะสามลัทธิและปรมาจารย์ร้อยสำนักไม่อาจค้นพบความเคลื่อนไหวของข้า”


นางเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฉินผิงอันก็อธิบายพร้อมอมยิ้มบางๆ “ครั้งนั้นที่พวกเราพบหน้ากัน ในมือข้ายังไม่มีของดีอย่างเจ้านี่ เป็นฉีจิ้งชุนที่ไปหาบุรพาจารย์เต๋ายังฟ้านอกฟ้าก่อนหน้าที่จะไปจากโลกใบนี้แล้วต่อรองราคากับตาแก่หนังเหนียวคนนั้น ถึงขอร่มใบบัวคันนี้มาให้ข้าได้ ส่วนข้อที่ว่าฉีจิ้งชุนต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นอะไร ข้าไม่แน่ใจ เพราะอย่างไรซะตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตอย่างคำว่า ‘จิ้ง’ นี้ก็ถือว่าละเมิดกฎเกณฑ์ หลายคนที่อยู่ในระบบลัทธิลัทธิเต๋าต่างก็ไม่พอใจกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงแน่ใจได้ว่าการเดินทางจากใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ไปยังถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาของฉีจิ้งชุนจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยแน่นอน”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ต่อให้เป็นสตรีร่างสูงใหญ่ก็ยังมีสายตาเลื่อนลอย รู้สึกเลื่อมใสลูกศิษย์ลัทธิขงจีอผู้นั้นจากใจจริง


หลังจากฉีจิ้งชุนกลับจากฟ้านอกฟ้ามายังโลกมนุษย์ พวกเขาเคยได้พูดคุยกันเป็นครั้งสุดท้าย


“ใบบัวใบนี้?”


“ข้าไปเด็ดมาจากถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาที่อยู่ในฟ้านอกฟ้า สามารถช่วยให้เจ้าไปจากที่นี่ได้ ขณะเดียวกันก็จะไม่รบกวนมหามรรคาของฟ้าดิน ไม่ต้องกังวลว่าอริยะจะสอบถาม”


“เป็นเรื่องดีก็ใช่อยู่ แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าเมื่อเฉินผิงอันมีข้าอยู่ข้างกายจะกลายมาเป็นคนกำเริบเสิบสาน เปลี่ยนมาเป็นคนในแบบที่เจ้าฉีจิ้งชุนไม่ชอบ?”


“เฉินผิงอันนิสัยเป็นอย่างไร? ข้าฉีจิ้งชุนรู้ดีอยู่แก่ใจ ดังนั้นข้าจึงไม่เคยเป็นกังวลว่าเฉินผิงอันจะอาศัยอำนาจบาตรใหญ่รังแกคนอื่น ต่อให้เจ้าปกป้องอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา ข้าฉีจิ้งชุนก็ยังไม่เป็นกังวล”


“เจ้าเห็นดีกับเฉินผิงอันขนาดนี้เลยหรือ?”


“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ เขาเป็นถึงศิษย์น้องเล็กของข้าเชียวนะ”


“เจ้านับเฉินผิงอันเป็นคนรุ่นเดียวกัน จากนั้นข้านับเขาเป็นเจ้านาย ดังนั้นความหมายของเจ้าฉีจิ้งชุนคือ?”


“ฮ่าๆ มิกล้า!”


คิดถึงเรื่องนี้ สตรีร่างสูงใหญ่ก็ถอนหายใจในใจตัวเองเบาๆ


น่าเสียดายที่บนโลกใบหน้าขาดฉีจิ้งชุนไป


หลี่เป่าผิงที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินพูดโพล่งขึ้นมาอย่างขลาดๆ “พี่สาว ท่านสวยจริงๆ”


สตรีสูงใหญ่พยักหน้ารับยิ้มๆ “ใช่แล้ว สวยกว่าเจ้าเยอะเลย”


ไม่เพียงแต่ไม่เกรงใจ ถ้อยคำยังทำร้ายจิตใจคนฟังด้วย!


แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอึ้งค้างไร้คำพูด


เฉินผิงอันเหงื่อแตกเต็มศีรษะ


—–




บทที่ 149.2 นัดต่อสู้

โดย

ProjectZyphon

ด้านหลังเฉินผิงอันก็มีการพบหน้ากันอีกครั้งเกิดขึ้นเช่นกัน


ผู้เฒ่าถลึงตามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เด็กหนุ่มก็ถลึงตามองกลับไป ในใจคิดว่าตอนนี้ข้าผู้อาวุโสเปลือยเท้าก็ไม่กลัวที่จะต้องใส่รองเท้า (เปรียบเปรยว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว) ยังจะกลัวเจ้าไปทำไม?


ผู้เฒ่ามองไปยังสตรีร่างสูงใหญ่ก่อน ฝ่ายหลังพยักหน้าให้บอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไร


ผู้เฒ่าถึงได้หันกลับมามองเด็กหนุ่ม กล่าวอย่างคนที่อายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าชุยฉานฉลาดนักไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเรามาลองเดินหมากกันใหม่ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ทำไมจู่ๆ การควบคุมทางตัวอักษรเหล่านั้นของข้าถึงได้หายไปกะทันหัน จนเจ้าสามารถดึงจิตวิญญาณที่อยู่ด้านในออกมาได้ อีกทั้งยังสามารถต่อสู้กับปณิธานที่ซุกซ่อนอยู่ในปราณกระบี่เส้นนั้นได้อย่างทัดเทียม ต่างฝ่ายต่างลดทอนกำลังกันเอง เป็นเหตุให้เจ้าทะยานออกมาจากก้นบ่อ มีโอกาสใช้กระบวนท่าพิฆาตกับเฉินผิงอัน? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ถึงท้ายที่สุดแล้วเจ้าอาจถูกเฉินผิงอันต่อยตายในหมัดเดียว ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ถูกเจ้าทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส?!”


สีหน้าของเด็กหนุ่มชุยฉานเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง สุดท้ายจึงเบ้ปากคล้ายขุ่นเคือง แสร้งทำเป็นว่าไม่ใส่ใจ “ก็แค่การลงมือของอริยะสายใดสายหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ มีอะไรให้ต้องประหลาดใจกัน ขนาดฉีจิ้งชุนยังเต็มใจเดินเข้าหาความตาย ตกอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอความตายอย่างเดียว ข้าชุยฉานถูกคนเล่นงานครั้งหนึ่งแล้วจะทำไม”


เด็กหนุ่มยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ ยื่นนิ้วชี้หน้าซิ่วไฉเฒ่ายากจน “ตาเฒ่าเจ้ายังมีหน้ามาพูดเรื่องพวกนี้? ฉีจิ้งชุนที่เจ้าฝากความหวังไว้มากที่สุดตายไปแล้ว หม่าจานผู้โง่เขลาที่จิตใจไม่มั่นคงมากที่สุดก็ตายไปแล้ว ยังมีคนแซ่จั่วนั่นอีกที่หายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ข้าชุยฉานเองก็ตกอยู่ในสภาพนี้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วยังไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ? ใต้หล้านี้เจ้าเขียนบทความได้ดีที่สุด ปณิธานของเจ้าก็ลึกล้ำมากที่สุด ช่วยปลดความทุกข์ให้แก่โลกมานานที่สุด พอใจไหม?! รองอริยะคนอื่น ฟังให้ดีล่ะ คือรองอริยะ คนที่อยู่อันดับที่สามของศาลเจ้าบุ๋น เขาเสนอความคิดปวงประชาสูงศักดิ์กว่ากษัตริย์ และแผ่นดินมาเป็นอันดับรอง! แต่เจ้ากลับร้ายกาจนัก เอาแต่พูดถึงฟ้าดินกษัตริย์ญาติและอาจารย์ (หรือ 天地君亲师 คือห้าสิ่งที่ผู้คนให้ต้องความเคารพเลื่อมใสสูงสุดไล่เรียงมาเป็นลำดับ จะระบุไว้บนป้ายไม้ในศาลบรรพชนที่ชาวลัทธิขงจื๊อให้การกราบไหว้) รองอริยะบอกว่าสันดานมนุษย์แต่เดิมนั้นดีงาม แต่เจ้ากลับดีนัก ดันบอกว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นชั่วร้าย! นายท่านใหญ่ รองอริยะเคยไปหาเรื่องเจ้าตอนไหนกัน?”


เด็กหนุ่มโกรธจนกระทืบเท้า พฤติกรรมที่เกิดจากความเคยชินนี้ แท้จริงแล้วถือเป็นการสืบทอดต่อกันมาอย่างหนึ่งของสายซิ่วไฉเฒ่า นิ้วชี้ของเขาแทบจะแตะปลายจมูกของผู้เฒ่าอยู่แล้ว “ที่เกินทนยิ่งไปกว่านั้นก็คือ รองอริยะผู้นั้นอายุมากกว่าเจ้าไม่เท่าไหร่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ดีในโลกมนุษย์ ตาเฒ่าทำไมเจ้าถึงดื้อด้านขนาดนี้ เจ้าก็ไปด่าปรมาจารย์มหาปราชญ์หรือไม่ก็อริยะด้านพิธีการสิ ไม่แน่ว่ารองอริยะอาจจะยังช่วยเหลือเจ้าไม่ใช่หรือ? แต่เจ้ากลับดึงดันจะเป็นปฏิปักษ์ต่อรองอริยะ ข้าล่ะยอมแพ้เลยจริงๆ!”


ซิ่วไฉเฒ่าเงียบงัน เพียงแค่เช็ดน้ำลายของเด็กหนุ่มที่กระเด็นมาโดนหน้าตัวเองออกเบาๆ


คนกันเองทะเลาะกัน มีความเห็นต่าง หากเป็นคนในครอบครัวเล็กๆ ปิดประตูทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงก็ไม่นับเป็นอะไร


แต่ต้องรู้ว่า คนหนึ่งคือรองอริยะ อีกคนคืออริยะด้านภาษา “ศึกตรีจตุ” ที่ครึกโครมไปทั่วทั้งลัทธิขงจื๊อและสำนักศึกษาทั้งหมดนี้อันตรายและน่าพรั่นพรึงเกินไป โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสองท่านแรกในศาลเจ้าบุ๋นไม่เผยกายในโลกมนุษย์นานแล้ว จึงแทบจะพูดได้ว่าอริยะใหญ่สองท่านเป็นตัวแทนของตลอดทั้งลัทธิขงจื๊อ ลัทธิขงจื๊อซึ่งเป็นผู้ตั้งกฎเกณฑ์ให้กับใต้หล้าไพศาล แม้จะไม่ถึงขั้นที่ว่ามีวี่แววจะแตกแยก แต่พวกที่เป็นเพื่อนบ้านล้วนเป็นคนฉลาดเฉลียว มีเบาะแสเล็กน้อยก็มองไปไกลได้เป็นหมื่นลี้ ใครบ้างจะไม่แอบชอบใจ?


หลังจากนั้นภายในของลัทธิขงจื๊อก็เกิดการเดิมพันที่ไม่เปิดเผยอย่างหนึ่ง ผู้ที่พ่ายแพ้ต้องยอมรับผลของการเดิมพัน โดยการขังตัวเองไว้ในป่ากงเต๋อ


ซิ่วไฉเฒ่าแพ้แล้ว จึงรอความตายอยู่ในนั้น ปล่อยให้เทวรูปของตัวเองที่อยู่ในศาลเจ้าบุ๋นถูกเปลี่ยนที่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายถูกทุบทำลายไม่เหลือชิ้นดี


แต่เมื่อลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุดเดินทางไกลไปยังทวีปอื่น ใช้พละกำลังต้านทานมรรคาสวรรค์ ร่างม้วยมรรคาสลาย ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ผิดต่อคำสาบาน จำเป็นต้องทำข้อตกลงอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงกับอริยะทุกคน ไม่ใช่แค่อริยะของลัทธิขงจื๊อเท่านั้น เพราะอย่างไรซะหากคำสาบานของอริยะสามารถกลับคำได้ง่ายๆ ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าฟ้าดินที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งนี้ก็คงเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว


ซิ่วไฉเฒ่าเป็นฝ่ายละทิ้งเนื้อหนังมังสาหุ้มกายที่เป็นเปลือกภายนอกร่างนั้น ละทิ้งวิชาอภินิหารมากมายของอริยะลัทธิขงจื๊อ ใช้แค่จิตวิญญาณท่องพเนจรไปทั่วฟ้าดิน


ซิ่วไฉเฒ่ารอจนเด็กหนุ่มยกมือสองข้างเท้าเอว ก้มหน้าหอบหายใจ จึงถามว่า “ด่าจบแล้ว? ถึงเวลาที่ข้าต้องพูดคุยด้วยเหตุผลแล้วหรือเปล่า?”


หลังจากระบายความแค้นเคืองในใจออกมาจนหมด เด็กหนุ่มชุดขาวก็นึกถึงเรื่องราวมากมายในอดีตของตาแก่นี่ พลันเริ่มขลาดกลัวและร้อนตัวจึงเงียบเสียงลง


ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “การเดินหมากของฉีจิ้งชุน ใครเป็นคนสอน?”


ชุยฉานยืดอกเชิดหน้าทันใด “ข้าผู้อาวุโสเอง!”


ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าเคยบอกกับพวกเจ้าทุกคนว่า เวลาที่พูดคุยเหตุผลกับคนอื่น ต่อให้ทะเลาะกัน หรือแม้แต่การถกเถียงในเรื่องของมหามรรคาก็ยังต้องทำใจให้สงบ”


ชุยฉานเงียบกริบเป็นจักจั่นในฤดูหนาว ก่อนพูดเบาๆ ว่า “เป็นข้า…เขาฉีจิ้งชุนไม่มีการตื่นรู้ในด้านการเล่นหมากล้อม พอแพ้ให้ข้าหลายครั้งเข้าก็ไม่ยอมเล่นอีก”


ผู้เฒ่าถามอีกครั้ง “แล้วใครเป็นคนสอนเจ้าเล่นหมากล้อม?”


ชุยฉานไม่ยอมตอบ


ซิ่วไฉเฒ่าแค่นเสียงในลำคอ “ข้าผู้อาวุโสเอง!”


ชุยฉาน้อยเนื้อต่ำใจ เคียดแค้นกัดฟันจนฟันแทบตก ตาเฒ่าเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรคือการทำตัวเป็นแบบอย่าง?


ผู้เฒ่าผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง “ตอนที่เจ้าสอนฉีจิ้งชุนเล่นหมากล้อม เมื่อเทียบกับข้าแล้ว ใครฝีมือสูง ใครฝีมือต่ำ?”


ชุยฉานฝืนใจตอบ “ข้าสู้เจ้าไม่ได้”


ผู้เฒ่าถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อฉีจิ้งชุนเรียนเล่นหมากล้อม เพียงไม่นานก็เอาชนะข้าได้แล้ว?”


เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง


แต่กลับไม่ได้สงสัยในความเป็นจริงของคำพูดของผู้เฒ่า


ผู้เฒ่าถามอีกครั้ง “รู้หรือไม่ว่าลับหลังเจ้าฉีจิ้งชุนพูดว่าอย่างไร? เขาบอกกับข้าว่า ‘ศิษย์พี่ชอบเล่นหมากล้อมจริงๆ แถมยังค่อนข้างคาดหวังในชัยชนะ ส่วนข้าก็ไม่อยากหลอกคนอื่นเวลาเล่นหมากล้อม หากศิษย์พี่ต้องแพ้ให้ข้าอยู่ตลอด ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเขาก็จะต้องสูญเสียเรื่องที่ทำให้มีความสุขไปเรื่องหนึ่ง’”


เด็กหนุ่มชุยฉานเถียงคอเป็นเอ็น “ต่อให้เป็นอย่างนี้ แล้วยังไง?”


ผู้เฒ่าโกรธเคืองที่อีกฝ่ายไม่เอาไหน ขณะเดียวกันก็เศร้าใจในความโชคร้ายของอีกฝ่ายจึงเอยสั่งสอน “เจ้ามันปากแข็ง แต่ไหนแต่ไรมาก็รู้ถึงความผิดอย่างรวดเร็ว แต่กลับยอมรับผิดเชื่องช้านัก! สมควรแก้ไข หึ!”


เด็กหนุ่มชุยฉานเดือดดาล “ก็ไม่ใช่เจ้าเป็นคนสั่งสอนหรือไร!”


ผู้เฒ่าถลึงตาใส่เขา เงียบไปครู่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “การทรยศของหม่าจานน่าจะทำให้เสี่ยวฉีผิดหวังยิ่งกว่าแผนการของเจ้าชุยฉานกระมัง”


ชุยฉานหลุดหัวเราะพรืด “คนอย่างหม่าจานผู้นี้ แม้แต่พูดถึงข้ายังคร้านจะทำ จิตใจเขาสูงเทียมฟ้า แต่ชะตากลับบางยิ่งกว่าแผ่นกระดาษ หากจะพูดถึงข้า จะดีจะชั่วข้าก็ยังทำเพื่อโอกาสบนมหามรรคา เพื่อควันธูปของสายบุ๋น แต่เขาล่ะ เพียงแค่เพื่อตำแหน่งเจ้าขุนเขาสำนักศึกษา เพื่อว่าในอนาคตจะได้ควบคุมโรงเรียนแห่งหนึ่ง เพื่อชื่อเสียงจอมปลอมเพียงเท่านี้ก็ถึงกับยอมสละมิตรภาพของสหายร่วมชั้นเรียน เต็มใจกลายเป็นหมากของผู้อื่น ก็สมควรตายแล้วจริงๆ ตาเฒ่า ประโยคบอกลาที่เจ้ามอบให้กับฉีจิ้งชุนตอนนั้น ‘การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด น้ำเงินกำเนิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม’ ประโยคนี้เป็นที่แพร่หลาย ข้ารู้ดี แต่เจ้าเอ่ยประโยคอะไรกับหม่าจาน?”


ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ฟ้าดินให้กำเนิดวิญญูชน วิญญูชนจัดระเบียบฟ้าดิน น่าเสียดายเหลือเกิน”


ชุยฉานเอ่ยเยาะ “หลังจากที่หม่าจานพาเด็กพวกนั้นออกไปจากเมืองเล็ก แรกเริ่มก็พูดคุยกับหมากตัวหนึ่งของข้าอย่างถูกคอ ให้ความสนิทชิดเชื้อจริงใจ จึงพูดถึงว่าเขาเคยทะเลาะกับฉีจิ้งชุนด้วยเรื่องที่ว่าควรจะไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูหรือควรอยู่ต่อ สุดท้ายฉีจิ้งชุนพูดประโยคประหลาดที่ว่า ‘วิญญูชนคล้อยตามกาลเทศะ ควรยืดก็ยืด ควรงอก็งอ’ กับเขา หม่าจานตกตะลึงอย่างยิ่ง เจ้างั่งหม่าจานผู้นี้ หลังจากฉีจิ้งชุนตายไปอย่างทรงเกียรติ เขากลับยังทำตามใจเห็นแก่ตัวของตน ฝันกลางวันว่าจะได้เป็นเจ้าขุนเขาของหนึ่งสำนัก ต้องรอให้ใกล้จะตายก่อนสติปัญญาถึงจะบังเกิด ในที่สุดก็แน่ใจแล้วว่าฉีจิ้งชุนรู้ถึงการกระทำของเขามาตั้งแต่ตอนยังอยู่ในโรงเรียนแล้ว เพียงแต่ไม่คิดจะเปิดโปงเขาก็เท่านั้น ยังคงหวังให้เขาหม่าจานดูแลเด็กๆ เหล่านั้นให้ดี หม่าจานรู้ตัวช้าจริงๆ หลังจากถูกถ่วงเวลาไว้ถึงสองครั้ง ในที่สุดก็รู้จักปลงตก จึงปลุกเลือดแห่งความเป็นชายชาตรีที่มีอยู่น้อยนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต จ่ายค่าตอบแทนด้วยการหมดโอกาสเกิดใหม่ทำร้ายหมากตัวนั้นของข้า ถึงทำให้เด็กๆ เหล่านั้นกลับมายังเมืองเล็กได้อย่างปลอดภัย สุดท้ายถึงได้มีเรื่องมากมายเหล่านี้ตามมา…”


กล่าวถึงท้ายที่สุด เด็กหนุ่มชุดขาวก็หมดเรี่ยวแรงลงเรื่อยๆ


ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด


เรื่องราวและคนมากมายในถ้ำสวรรค์หลีจู โดยเฉพาะหกสิบปีล่าสุดที่ฉีจิ้งชุนเป็นผู้พิทักษ์ ความลับสวรรค์ถูกตัดขาดอย่างแน่นหนาเข้มงวดมากขึ้น ฉีจิ้งชุน หยางเหล่าโถว รวมถึงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังทั้งหลายต่างก็พากันลงมืออย่างลับๆ เป็นเหตุให้ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ซับซ้อนเกินจะคาดเดา ต่อให้เป็นซิ่วไฉเฒ่าที่เก่งการคำนวณและอนุมานก็ยังไม่กล้าพูดว่าความจริงที่เขาวิเคราะห์ออกมาก็คือความจริงที่แน่นอน


น้ำเสียงอ่อนโยนของสตรีร่างสูงใหญ่ดังขึ้นเบาๆ “คุยจบแล้วรึ?”


ชุยฉานค้นพบว่าสีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าไม่น่ามองนัก เขาถอนหายใจหนักๆ หางตาเหลือบไปเห็นว่าสตรีผู้นั้นกำลังมองมาที่ตน ผู้เฒ่าก๋ได้แต่ปลดห่อสัมภาระด้านหลังลงอย่างอิดออด หลังจากหยิบตำราม้วนเล่มหนึ่งออกมาก็คลี่เชือกที่รัดม้วนตำรานั้นออกเบาๆ


เฉินผิงอันมีแต่ความฉงนสนเท่ห์


นางเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดยิ้มๆ ว่า “เดี๋ยวหลังจากนี้เจ้าสามารถออกกระบี่ได้สามครั้ง”


นางหรี่ตามองไปยังท้องฟ้านอกใบบัวพลางเอ่ยเนิบนาบ “อีกเดี๋ยวเมื่อข้ากลับคืนสู่ร่างจริง เจ้าไม่ต้องแปลกใจ”


สุดท้ายเหมือนนางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกล่าวขออภัย “ลืมพูดสองคำไป”


เฉินผิงอันเงยหน้ามอง


สตรีร่างสูงใหญ่เก็บรอยยิ้มกลับคืน เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “นายท่าน”


—–




บทที่ 150 ไปเปิดภูเขา

โดย

ProjectZyphon

แม้ว่าแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงจะเกิดความห่อเหี่ยวไปชั่วขณะ แต่นางคือหลี่เป่าผิงนะ เพียงแต่ไม่นานก็กลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง นางเคลื่อนเท้าอย่างไม่กระโตกกระตาก แอบมายืนอยู่ตรงฝั่งซ้ายมือของสตรีร่างสูงใหญ่ อ้อมทางด้านหลังนาง แล้วเดินไปทางฝั่งขวามือ เดี๋ยวก็มองอาภรณ์ของนาง เดี๋ยวก็เหลือบดูใบบัวใบใหญ่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรหลี่เป่าผิงก็รู้สึกว่าน่ามอง งดงามจริงๆ


เมื่อได้ยินชุยฉานด่าพ่อล่อแม่และคำสั่งสอนของผู้เฒ่า เฉินผิงอันก็พอจะใคร่ครวญจนได้คำตอบบางอย่าง แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าเชื่อ เขากลืนน้ำลายลงคอ หันไปถามสตรีร่างสูงใหญ่เบาๆ “ผู้เฒ่าท่านนี้คืออาจารย์ของอาจารย์ฉีหรือ? คือเหวินเซิ่งอะไรนั่น? มหาอริยะของลัทธิขงจื๊อ?”


มิน่าเล่าตลอดทางที่ผ่านมานี้ถึงได้มีลุ่มๆ ดอนๆ ได้เจอทั้งอาเหลียงผู้สวมงอบ เซียนกระบี่พสุธาศาลลมหิมะ แน่นอนว่ายังมีคนแซ่ชุยผู้นี้ด้วย


สตรีร่างสูงใหญ่พยักหน้ารับยิ้มๆ “ใช่แล้ว”


ร่างจริงของสตรีคือจิตวิญญาณกระบี่ที่ฟูมฟักมาจากกระบี่โบราณที่แขวนไว้ใต้สะพานหินโค้ง ระหว่างช่วงเวลาของการรอคอยที่ยาวนานนับหมื่นปี นางเคยได้เป็นพยานในการตายของเจินหลงตัวสุดท้าย นั่นคือสงครามปิดฉากที่น่าสรรเสริญและสะเทือนใจชวนหลั่งน้ำตา ผู้ฝึกลมปราณคนสำคัญของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักจับมือกันลงมือ แต่กระนั้นก็ยังมีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน ซากศพของคนที่ตายในสงครามนอนกลาดเกลื่อนดุจเม็ดฝนพรมพื้นดิน จิตวิญญาณไม่สลาย แม้แต่โชคชะตาของเจินหลงที่ตายไปก็ยังปะปนรวมอยู่ด้วย สุดท้ายสร้างให้ถ้ำสวรรค์หลีจูก่อกำเนิด แต่กลับถูกนางมองเป็นการต่อยตีของเด็กน้อย เป็นการละเล่นของเด็กไม่รู้จักโต


ตั้งแต่ต้นจนจบวิญญาณกระบี่ตนนี้ทำเพียงแค่มองดูอยู่ห่างๆ บางครั้งที่ดวงตาเป็นประกายก็จะแอบขโมยเอาสิ่งของที่สวยงามน่ามองมาเก็บเอาไว้โดยที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น


เดิมทีนางคิดว่าชีวิตที่เหลือหากไม่นอนหลับไปก็คงต้องได้แต่นั่งหาว นิมิตเห็นภาพที่ตัวเองต้องล่องลอยไปมาอยู่ท่ามกลางซากปรักโบราณยิ่งใหญ่อลังการ เทียบไม่ได้แม้แต่ผีเร่ร่อน ค่อยๆ สลายหายไปตามกาลเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งถึงวันที่ปราณวิญญาณเหือดหายไปสิ้น


แต่ในชั่วขณะที่ถ้ำสวรรค์หลีจูกำลังแตกสลาย นางได้เลือกเฉินผิงอันเป็นเจ้านายคนที่สอง ไม่ใช่หนิงเหยาที่เป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่มาตั้งแต่เกิด ไม่ใช่หม่าขู่เสวียนผู้มีที่มาไม่แน่ชัด ยิ่งไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ที่ถือกำเนิดและเติบโตมาในเมืองเล็กอย่างเซี่ยสือ เฉาซีพวกนั้น


ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของฉีจิ้งชุน


แรกเริ่มเลยคือคืนนั้นที่ฉีจิ้งชุนนั่งอยู่บนสะพานแบบคานเพียงลำพังจนฟ้าสาง เขาที่นั่งอยู่เบื้องใต้กรอบป้ายลมโชยน้ำขึ้นก็เพื่อเกลี้ยกล่อมให้นางลืมตามองเด็กหนุ่มตรอกหนีผิง ต่อให้จะมองแค่แวบเดียวก็ยังดี


อันที่จริงความรู้สึกแรกที่วิญญาณกระบี่มองไปคือ ไม่มีความรู้สึก


เพราะนางเคยพบเห็นเรื่องอัศจรรย์น่าตะลึงมามากมายเหลือเกินแล้ว


ดังนั้นนางจึงไร้ความรู้สึก สำหรับนางแล้ว ถ้ำสวรรค์หลีจูที่แตกสลายจะร่วงลงมาก็ดี มรรคาสวรรค์จะแว้งกลับมาสร้างหายนะให้แก่ชาวบ้านก็ช่าง ทั้งหมดนี้ล้วนไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อนาง


แต่นางมีความสนใจใคร่รู้อยู่บ้างเล็กน้อย เหตุใดบัณฑิตที่ถูกขนานนามว่ามีหวังจะก่อตั้งลัทธิเรียกตนเป็นบุรพาจารย์อย่างฉีจิ้งชุนถึงได้เลือกเด็กคนหนึ่งที่แม้แต่หนังสือก็ไม่เคยเรียนมาก่อน


ดังนั้นหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา นางจึงคอยมองเด็กหนุ่มอยู่บ่อยๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี


ภายหลังนางรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนที่ฉีจิ้งชุนจะจากไปได้อาศัยสถานะอริยะของเมืองเล็กกอบ “น้ำสองฝ่ามือ” จากแม่น้ำแห่งกาลเวลาในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาของถ้ำสวรรค์หลีจูเอาไว้ มันถูกฉีจิ้งชุนตักมาด้วยวิชาอภินิหารแล้ววางไว้ใต้สะพานแบบคาน


วันหนึ่งที่นางว่างไม่มีอะไรทำจึงรู้สึกว่าควรต้องหาอะไรทำสักหน่อยดีไหม? จึงเริ่มเผยร่างจริง ลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำเบื้องล่างสะพานแบบคาน นางหวีผมพลางมองน้ำไปด้วย


ภาพที่เห็นล้วนเป็นสิ่งละอันพันละน้อยของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิง


บ้างก็เป็นแผนการเบื้องหลังที่อำพรางไว้ยาวไกลเป็นพันลี้ บ้างก็เป็นเรื่องหยุมหยิมของชาวบ้านร้านตลาด บ้างก็เป็นการทำดีที่แฝงเจตนาชั่วร้าย บ้างก็เป็นเรื่องร้ายที่ไม่เจตนา บ้างก็เป็นการพบเจอแสนสุขและการจากลาแสนเศร้าที่มีในครอบครัวของแต่ละคน มีทั้งความเสียใจ มีทั้งความจริงใจ มีคนตายแล้วก็มีคนตาย


นางรู้สึกว่าน่าสนใจมาก น่าสนใจกว่ากลุ่มเด็กน้อยต่อยตีกัน ล้อมวงทุบตีแมลงตัวหนึ่งมากนัก


ยกตัวอย่างเช่นเด็กตัวกะเปี๊ยกคนหนึ่ง แบกตะกร้าไม้ไผ่ที่สูงเกินครึ่งตัวของเขา บอกว่าจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นไปบนภูเขาก็ร้องไห้จนฟ้าสะท้านดินสะเทือนถึงเพียงนั้น


ยกตัวอย่างเช่นเด็กชายยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก มือถือตะหลิวปากก็ท่องพึมพำว่าวันนี้จะต้องทำกับข้าวให้อร่อยให้ได้ ไม่เค็มไม่จืด กำลังพอดี


หรือยกตัวอย่างเช่นเด็กชายที่วิ่งออกห่างมาจากร้านขายพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล วิ่งไปน้ำลายไหลไป ได้แต่พยายามจินตนาการถึงรถชาติที่เคยกินตอนเด็ก


สุดท้ายยกตัวอย่างเช่นเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป เด็กคนนั้นจึงไปตกปลาในน้ำลึกตอนเที่ยงวันอย่างไม่รู้หลักการที่ว่าว่าแม้แต่เทพเซียนก็ยากจะตกปลาตอนเที่ยงวันแม้แต่น้อย ทำเอาตัวเองถูกแดดเผาจนดำเสียยิ่งกว่าถ่าน


วิญญาณกระบี่รู้ว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความยากลำบาก แต่นางไม่เคยรู้สึกว่าความลำบากเหล่านี้จะยากเย็นแสนเข็ญใดๆ


เพราะวิญญาณกระบี่เคยติดตามเจ้านายของนางกรีฑาทัพไปสี่ทิศ ภูเขาศพมหาสมุทรโลหิต บนพื้นเต็มไปด้วยซากกองกระดูกของทวยเทพซึ่งหากเอามารวมกันก็คงกลายมาเป็นภูเขา โอสถปีศาจของจอมปีศาจสามารถเอามาเสียบเป็นพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลได้ในคราวเดียว กัดกินทีดังกร๊วมๆ กรุบกรอบ เงาร่างของปีศาจสวรรค์นอกอารยะมืดฟ้ามัวดิน หนึ่งกระบี่บุกทลายราบเป็นหน้ากลอง


ดังนั้นพอฉีจิ้งชุนมาหานางอีกครั้ง นางจึงยังไม่ยอมพยักหน้าตอบรับ ขนาดนักปราชญ์ที่รู้จักสรรหาหลักการและเหตุผลมาพูดอย่างฉีจิ้งชุนก็ยังมีช่วงเวลาที่รับมือไม่ถูก ฉีจิ้งชุนจึงเก็บน้ำแห่งกาลเวลาที่กอบมาด้วยสองมือนั้นกลับคืนไป แล้วจึงค่อยๆ เทกลับลงไปบนธารน้ำหลงซวีจากบนสะพานแบบคาน ภาพเหตุการณ์ไหลย้อนกลับอย่างเชื่องช้า จากเด็กหนุ่มเฉินผิงอันที่รีบร้อนเอาจดหมายไปส่ง สุดท้ายกลับไปยังเด็กชายเฉินผิงอันที่วิงวอนขอพรจากสุสานเทพเซียนให้มารดาของตนสุขภาพแข็งแรง นับตั้งแต่ที่ฉีจิ้งชุนเทน้ำลงไปก็ตัดสินใจว่าจะไม่เกลี้ยกล่อมวิญญาณกระบี่อีก


เขาเริ่มไปยังปลายสะพาน และในช่วงเวลาสุดท้ายที่เขากำลังผิดหวังอย่างหนัก ประโยคที่เอ่ยไปโดยไม่ตั้งใจกลับเป็นการไปกะเทาะจิตใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าของวิญญาณกระบี่ได้เล็กน้อย “พวกเราต่างก็ผิดหวังกับโลกใบนี้”


วิญญาณกระบี่ไม่เปลี่ยนสีหน้า ชั่วขณะที่น้ำหนึ่งมือกอบนั้นกำลังจะหลอมรวมเข้ากับน้ำในลำธารปราฎเป็นภาพสุดท้ายที่เด็กชายบอกลากับบิดาในตรอกหนีผิง “ท่านพ่อ ข้าห้าขวบ เป็นผู้ใหญ่แล้ว!”


วิญญาณกระบี่มองแผ่นหลังของฉีจิ้งชุนแล้วเอ่ยว่า “ให้เขาเดินผ่านสะพานหนึ่งรอบ หากเขาสามารถยืนหยัดเดินหน้าต่อไปได้ ข้าจะลองพิจารณาดู”


ฉีจิ้งชุนหันหน้ากลับมาด้วยความตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน พยักหน้ารับแรงๆ “ข้าเชื่อมั่นในตัวเฉินผิงอัน ขอให้เจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าฉีจิ้งชุน!”


บุรุษก้าวยาวๆ ลงจากขั้นบันไดของสะพานแบบคาน ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัดเป็นวงกว้างราวกับด้านในบรรจุช่วงเวลาเยาว์วัยของฉีจิ้งชุนเอาไว้


วิญญาณกระบี่ถูกขัดจังหวะความคิดด้วยประโยคคำถามของเด็กหนุ่ม


เด็กหนุ่มถามอย่างระมัดระวัง “ในเมื่อเป็นอาจารย์ของอาจารย์ฉี ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องสู้กับเขาได้ไหม?”


วิญญาณกระบี่ปล่อยใบบัวสีหิมะที่อยู่ในมือ มันลอยขึ้นไปกลางอากาศสูงก่อน จากนั้นก็พลันขยายใหญ่ในเสี้ยววินาที มากพอจะบดบังม่านฟ้ากว้างใหญ่ในรัศมีสิบลี้


นางส่ายหน้า “เพื่ออาจารย์ฉี ครั้งนี้เจ้าจำเป็นต้องสู้”


เฉินผิงอันเกาหัว “แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ในเมื่อเกี่ยวข้องกับอาจารย์ฉี อีกทั้งท่านยังพูดแบบนี้ ข้าเชื่อท่าน…”


เด็กหนุ่มหยุดชะงักไปครู่ ดวงตาที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวจ้องนิ่งไปยังสตรีร่างสูงใหญ่ ยิ้มกว้างพูดว่า “สู้ก็สู้!”


นางยิ้มอย่างรู้ใจ ย้ายสายตามองไปยังตาเฒ่าที่ยังพยายามถ่วงเวลา เพื่อแกะปมเชือกที่มัดตำราม้วนเล่มนั้นไว้ต้องใช้เวลานานเป็นครึ่งๆ วัน ตอนนี้ก็ยังพึมพำอะไรไม่เลิก


“ในอดีตข้ารู้จักแต่รวบรวมความรู้อยู่ในห้องหนังสือ พลาดอะไรไปมากมาย หลังเดินออกมาจากป่ากงเต๋อก็อยากจะลองใช้ชีวิตอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยกล้าจินตนาการถึง ยกตัวอย่างเช่นดื่มสุราให้เต็มคราบ ทะเลาะกับคนหยาบคาย กินอาหารรสเผ็ดจัดจ้าน ถอดเสื้อว่ายน้ำ ตลอดทางที่ผ่านมาเดินผ่านสถานที่มากมาย ได้เห็นเทือกเขาแม่น้ำที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง…”


นางเอ่ยหยอกล้อ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ยังไม่จบอีกหรือ มีดพาดอยู่ตรงคอ อืม ต้องเป็นกระบี่สิ เจ้าถ่วงเวลาไปก็ไร้ความหมาย”


ผู้เฒ่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็รอให้พวกเจ้าสองคนเปลี่ยนใจอยู่ไม่ใช่หรือไง”


นางหรี่ตาแค่นเสียงเย็น “ตาเฒ่า อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก!”


ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะเฮอๆ “ตาเฒ่า?”


รอยยิ้มของนางยิ่งอ่อนโยน “ข้าจำไว้แล้ว”


ผู้เฒ่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วจึงกล่าวว่า “สู้ก็สู้สิ ใครกลัวกันล่ะ นึกว่าข้าสู้คนไม่เก่งหรือไง ที่ไม่เก่งก็เพราะเทียบกับความสามารถในการทะเลาะกับคนอื่นของข้าหรอก”


ในที่สุดผู้เฒ่าก็แกะปมเชือกได้สำเร็จ เขาสลัดข้อมือ ม้วนภาพนั้นก็สะบัดดังพรึ่บพร้อมกับคลี่ขยายลงไปยังพื้นเบื้องล่าง มือข้างหนึ่งของผู้เฒ่าจับปลายด้านหนึ่งไว้ ม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำนี้ยาวจริงๆ เพียงชั่วพริบตาก็ปูแผ่ไปทั่วบริเวณโดยรอบของบ่อน้ำ เฉินผิงอันยากจะขยับเท้าหนี แต่ถูกสตรีร่างสูงใหญ่กดไหล่เอาไว้ไม่ให้เขาขยับตัว


หลี่เป่าผิงผู้ใจกล้าถือโอกาสนั่งยองลงบนพื้นเพื่อดูอย่างละเอียดเสียเลย แถมยังไม่ลืมชี้นิ้วจิ้มตรงโน้นทีตรงนี้ที


ส่วนเด็กหนุ่มชุยฉานที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าเวลานี้ก็ช่วยหอบห่อสัมภาระของซิ่วไฉเฒ่าขึ้นมา


ผู้เฒ่าตวาดเบาๆ “เก็บ!”


ยังคงอยู่ตรงบ่อน้ำโบราณ หลี่เป่าผิงที่นั่งยองพินิจภาพภูเขาแม่น้ำพลันสะดุ้งตื่น ม้วนภาพที่ปูแผ่อยู่บนพื้นหายไปแล้ว


อีกทั้งอาจารย์อาน้อยกับพี่หญิงพี่สาวที่นิสัยไม่ค่อยดีคนนั้น รวมไปถึงผู้เฒ่าที่เป็นอาจารย์ของอาจารย์ซึ่งนางควรเรียกว่าอาจารย์ปู่ก็หายไปด้วย


นางเงยหน้ามองไป ภาพวาดที่กลับมาเป็นม้วนเหมือนเดิมลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ


เด็กหนุ่มชุยฉานไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เขายังคงยืนถือห่อสัมภาระอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่ายด้วยสีหน้าที่เรียกว่าเจ็บแค้นแทบขาดใจ


นางพลันลุกขึ้นยืน ชูตราประทับชิ้นนั้นขึ้นสูง ตะโกนถามเสียงดัง “เจ้าคนแซ่ชุย อาจารย์อาน้อยของข้าล่ะ?! ถ้าเจ้าไม่พูดข้าจะตบเจ้าด้วยไอ้นี่! เวลาข้าลงมือไม่เคยรู้หนักเบา หากไม่ระวังตบเจ้าตายไปก็ไม่รับผิดชอบด้วยหรอกนะ!”


ชุยฉานมองแม่นางน้อยด้วยสีหน้าเฉยชา พยักหน้ารับ “งั้นเจ้าก็ตบข้าให้ตายไปเลยสิ”


ท้าทายใช่ไหม?


ผู้หญิงชุดขาวก็ช่างเถอะ แต่เจ้าคนเลวก็เอากับเขาด้วย?


หลี่เป่าผิงอึ้งตะลึง จากนั้นก็โมโหหนัก ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เริ่มชักขาวิ่ง หลังจากอ้อมผ่านม้วนภาพมาแล้ว นางที่ตัวเตี้ยกว่าเด็กหนุ่มชุดขาวพลันกระโดดขึ้นอย่างปราดเปรียว ตราประทับในมือกระแทกลงบนหน้าผากของชุยฉานดังเพี๊ยะ


สีหน้าของเด็กหนุ่มชุยฉานเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ สายตาเลื่อนลอย ยื่นมือไปลูบคลำหน้าผากที่แดงและบวมมากกว่าเดิม เขาพลันโยนห่อสัมภาระทิ้ง นั่งยองยกมือกุมหัวร้องตะโกนดัง “ไม่ต้องมีชีวิตอยู่มันแล้ว ไม่ว่าใครก็รังแกข้าผู้อาวุโสได้!”


แม่นางน้อยรู้สึกผิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ย้ายมือที่ถือตราประทับไปไว้ด้านหลัง แอบซ่อนเครื่องมือก่อคดีไว้เงียบๆ จากนั้นจึงเริ่มศึกษาม้วนภาพวาด หวังว่าจะสามารถพาอาจารย์อาน้อยออกมาได้


……


เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน คล้ายคลึงกับ “ใต้น้ำ” ที่วิญญาณกระบี่ดึงเขาเข้าไปในครั้งแรก รอบด้านมีแต่ความว่างเปล่า ด้วยเหตุนี้จึงขับดันให้ “วัตถุที่จับต้องได้จริง” บางอย่างยิ่งดูเหมือน “ของจริง” ยกตัวอย่างเช่นเบื้องหน้าห่างออกไปไกลมีกำแพงสูงทอดตัวอยู่ ไม่ว่าเฉินผิงอันจะยืดคอยาวแค่ไหนก็ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดของกำแพง


สตรีชุดขาวที่ยืนอยู่ข้างกายเขายื่นมือมาจับเส้นผมสีดำสนิทที่ถูกมัดรวบไว้ด้วยผ้าไหมสีทอง เอ่ยยิ้มๆ “ที่นี่เป็นทั้งในม้วนภาพแม่น้ำและภูเขา แล้วก็เป็นในจิตสำนึกของเหวินเซิ่งด้วย หากจะให้พูดก็ค่อนข้างซับซ้อนวุ่นวาย เจ้ารู้แค่ว่าเมื่อออกกระบี่ที่นี่ ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ไม่ต้องกังวลเรื่องใด และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ข้ายอมรับปากตาเฒ่า หาไม่คงเปิดฉากต่อสู้ตั้งแต่ตอนอยู่บนหน้าผาริมแม่น้ำไปแล้ว”


มืออีกข้างหนึ่งของนางพลันกดลงบนไหล่ของเฉินผิงอัน “อยู่ตรงนี้ใกล้เกินไป เจ้าเลยมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ข้าจะพาเจ้าขยับถอยไปหน่อย ถอยไปสักแปดร้อยลี้ก่อนก็แล้วกัน”


เฉินผิงอันรู้สึกว่าร่างทั้งร่างเหมือนถูกพายุหอบเอาไป ไม่รู้ว่าถอยหลังไปไกลแค่ไหน สุดท้ายพอยืนได้มั่นคง เด็กหนุ่มไม่มีเวลาสนใจความไม่สบายตัวและช่องโพรงลมปราณที่กำลังเดือดพล่าน เขาอ้าปากค้าง มอง “ภูเขาลูกนั้น” ภูเขาลูกหนึ่งที่มองจากระยะไกลถึงแปดร้อยลี้ก็ยังใหญ่มหึมาได้ถึงขนาดนี้?


เมื่อเทียบกับมันแล้ว ภูเขาพีอวิ๋นที่บ้านเกิดน่าจะเหมือนเนินดินเล็กๆ เลยกระมัง?


สตรีร่างสูงใหญ่สีหน้าเคร่งเครียด “ยังมีเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือเมื่อเหวินเซิ่งรับปากว่าจะตีกันที่นี่ก็สามารถมอบสิทธิพิเศษให้เจ้าเพิ่มเติมได้เล็กน้อย”


เฉินผิงอันตื่นตะลึงจนไม่อาจจะตะลึงไปมากกว่านี้อีกแล้ว เขารู้สึกปากคอแห้งผาก “อะไรหรือ?”


นางจ้องมองดวงตาทั้งคู่ของเด็กหนุ่ม “เมื่ออยู่ที่นี่ เวลาที่เจ้าออกกระบี่ จะมีตบะเหมือนกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น แต่กลับเป็นภาพมายาที่เหมือนจริงมากที่สุด ข้าหวังว่าเมื่อถึงช่วงเวลานั้น เจ้าจะรับสัมผัสถึงความรู้สึกนั้นอย่างละเอียด สำหรับการฝึกตนในอนาคตแล้ว การทำเช่นนี้…ไม่มีประโยชน์กับเจ้า”


นางพูดเองตลกเอง ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ไหว “เอาล่ะ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้เรื่องหนึ่ง อย่าเอาแต่ฝึกวิชาหมัดอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าเอาแต่คิดว่าฝึกหมัดก็เพื่อให้มีชีวิตรอด แบบนั้นมันไม่ได้เรื่องเกินไป จะมีปณิธานแค่นี้ได้อย่างไร? เจ้าลองคิดดูสิ เจ้าคือใคร?”


เฉินผิงอันตอบซื่อๆ “เฉินผิงอัน?”


ตอบไม่ตรงคำถามก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ประเด็นสำคัญคือถ้าเจ้าไม่ใช่เฉินผิงอันแล้วยังจะเป็นคนอื่นได้อีกหรือ?


นางโน้มตัวลงลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม “นอกจากเป็นเฉินผิงอันแล้ว ยังเป็นเจ้านายของข้าด้วย”


เด็กหนุ่มรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย


บนยอดเขามีผู้เฒ่ากำลังกระฟัดกระเฟียด “ดีนักนะ ก่อนหน้านี้รีบจะเป็นจะตาย ตอนนี้ไม่รีบแล้วรึ?”


วิญญาณกระบี่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชี้ไปยังภูเขาลูกนั้น “นั่นคือภูเขาสูงของห้าขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


สายตาของนางที่มองไกลไปยังภูเขาลูกนั้นฉายประกายร้อนแรง “ถ้าอย่างนั้นหากมีภูเขาขวางมหามรรคาของเจ้า เจ้าควรจะทำอย่างไร?”


เฉินผิงอันตอบเบาๆ “ปีนข้ามไป”


มุมปากของนางตวัดโค้งขึ้น ไม่ได้โมโห ยังถามต่อว่า “แต่ถ้าในมือเจ้ามีกระบี่อยู่ล่ะ?”


เฉินผิงอันนึกถึงภาพที่ตนถือมีดผ่าฟืนบุกเบิกเส้นทางแล้วถามกลับ “เปิดภูเขาเพื่อเดินไป?”


นางหัวเราะเสียงดัง “ใช่!”


สตรีสูงใหญ่ก้าวเดินไปข้างหน้า มายืนอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน นางประกบนิ้วเข้าด้วยกัน ตวัดไปเบื้องหน้าฝั่งซ้ายแล้วลากปาดมาทางขวาช้าๆ


แสงจุดหนึ่งที่เล็กมากๆ พลันระเบิดจากตำแหน่งที่อยู่ฝั่งซ้ายสุด


ประหนึ่งดวงตะวันที่ลอยอยู่กลางนภา


จากนั้นก็ขยายไปทางขวา


ทุกครั้งที่แสงเจิดจ้าพร่าตาปริขยายหนึ่งชุ่น เงาร่างของสตรีสูงใหญ่ก็จะหม่นแสงลงไปหนึ่งส่วน


สุดท้ายเฉินผิงอันมองเห็นว่าด้านหน้ามีกระบี่ไร้ฝักเล่มหนึ่งลอยหนึ่งอยู่ ราวกับว่ารอให้คนมากุมมันไว้ในมือนานนับพันนับหมื่นปีแล้ว


เส้นแสงสลายหายไปหมด


เด็กหนุ่มเดินไปข้างหน้าช้าๆ ยื่นมือคว้าที่ด้ามกระบี่


วินาทีนั้นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่กุมกระบี่ยาวรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินพลิกกลับ ช่องลมปราณทั้งหมดในร่างพากันสั่นสะเทือน กระแสลมรอบกายปั่นป่วนพัดแรงจนเด็กหนุ่มแทบจะลืมตาไม่ขึ้น


เฉินผิงอันจึงหลับตาลง พูดด้วยใจที่ตรงกันว่า “ออกเดินทางร่วมกัน!”


กระบี่เล่มยาวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง


ประหนึ่งเสียงร้องก้องที่จักจั่นฤดูใบไม้ร่วงบนยอดไม้สูงสุดเปล่งใส่ฟ้าดิน!


—–




บทที่ 151 เด็กหนุ่มมีกระบี่ฟันภูเขา

โดย

ProjectZyphon

ซิ่วไฉเฒ่ายืนอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่งเหนือยอดเขา ลมภูเขาพัดโชยให้ชายแขนเสื้อสองข้างของเขาปลิวสะบัดดังฟึ่บฟั่บ


ผู้เฒ่าผมขาวที่ยืนรับลมอยู่บนยอดเขาสูงเวลานี้ ไหนเลยจะยังเหลือกลิ่นอายของความยากจนข้นแค้นอยู่อีก?


ซิ่วไฉเฒ่ามองเห็นว่าจุดที่ห่างไปไกลแปดร้อยลี้พลันมีแสงสว่างเล็กๆ จุดหนึ่งเปล่งวาบขึ้นมา ต่อให้อยู่ไกลขนาดนี้ จุดแสงนั้นก็ยังคงทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกแสบตาเล็กน้อย ผู้เฒ่าจึงพยักหน้าเบาๆ “เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ แม้ว่าคมกระบี่จะทื่อกว่าในคำเล่าลืออยู่มาก แต่กำลังฮึกเหิมห้าวหาญที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในกลับไม่ลดทอนลงไปมากนัก ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ เวลายาวนานนับหมื่นปี สรรพสิ่งแปรผัน มหาสมุทรเปลี่ยนเป็นผืนนา ยังสามารถรักษาจิงชี่เสินไว้ได้ในปริมาณเท่านี้ แต่ว่า…”


เพียงไม่นานซิ่วไฉเฒ่าก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าจะอาศัยภูเขาลูกนี้ ทำให้พวกเจ้าที่รู้ถึงความยากลำบากถอยร่นกลับไป จะอย่างไรซะเรื่องการต่อยตีกันนี้เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง มันทำลายความปรองดองนี่นะ”


ชื่อเสียงของภูเขาในนิมิตบนผืนภาพใต้ฝ่าเท้าของผู้เฒ่าลูกนี้โด่งดังจนไม่อาจจะโด่งดังไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว


ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดของเก้าทวีปใหญ่มีเทือกเขาใหญ่นามว่าสุ้ยซาน ยิ่งใหญ่ไพศาล เรียกได้ว่าผงาดเหนือผืนดินสูงใหญ่เทียมฟ้า บนยอดเขามีป้ายศิลาที่สลักด้วยมือของปรมาจารย์มหาปราชญ์ว่า “จ้าวแห่งใต้หล้า” หน้าผามีฝีมือแกะสลักของหลี่เซิ่งคำว่า “บรรพบุรุษแห่งห้าขุนเขา” มีถ้อยคำที่ลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋าทิ้งไว้ว่า “วายุพัดโชย” มีสี่ตัวอักษร “เพียงข้าบู๊ตึ๊ง”ที่อริยะสำนักการทหารใช้นิ้วแกะสลัก


ลำพังเพียงแค่หินแกะสลักอักษรใช้บวงสรวงซึ่งจักรพรรดิแต่ละยุคสมัยของแต่ละทวีปส่งมายังที่แห่งนี้ก็มีมากถึงหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าก้อน ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรแบบหวัดหรือแบบบรรจงก็มีหมด หน้าผาและตัวอักษรที่เต็มไปด้วยความลี้ลับเหล่านี้มีมาตั้งแต่หอขึ้นฟ้าบนยอดเขาสุ้ยซานไล่ยาวลงมาถึงกึ่งกลางภูเขา ปูชนียสถานอันเลื่องชื่อลือนามมีให้เห็นแทบทั่วทุกหนแห่ง


ซิ่วไฉเฒ่ามองไปยังแสงกระบี่ที่เปล่งประกายพร่างพราวด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่ปรากฏตัวครั้งตรงปากบ่อโบราณ เขาเคยเห็นท่าจับกระบี่ของเฉินผิงอันมาก่อน เป็นท่าทางที่แทบจะทนมองไม่ได้ ขนาดซิ่วไฉเฒ่าที่ไม่ถนัดด้านวรยุทธ์ก็ยังมองต่อไม่ไหว แต่บัดนี้เมื่อเห็นท่าจับกระบี่พาดขวางไว้ด้านหน้าตัวเองของเด็กหนุ่ม ซิ่วไฉเฒ่าก็มีเพียงความรู้สึกเดียว


มั่นคง


มือที่กุมกระบี่ของเด็กหนุ่มมั่นคงมาก ใจก็สงบนิ่ง เยือกเย็นอย่างมาก ดังนั้นปณิธานและจิตใจของเขาจึงยิ่งมั่นคง


หลังจากที่สตรีสูงใหญ่กรอกปณิธานแห่งกระบี่ทั้งหมดเข้าไปใน “กระบี่โบราณ” แล้ว นาทีถัดมานางก็มาปรากฎตัวอยู่เหนือทะเลสาบจิตใจของเด็กหนุ่มเฉินผิงอันด้วยเรือนกายที่เป็นภาพมายาล่องลอย แผ่กลิ่นอายที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเดิม ดวงตาสีทอง เท้าสีชาด เมื่อนางแตะปลายเท้าเบาๆ ลงบนผิวทะเลสาบจนเกิดเป็นริ้วคลื่นกระเพื่อม จึงเกิดเป็นเสียงที่ดังขึ้นในหัวใจของเด็กหนุ่ม


น้ำเสียงอ่อนโยนของนางดังก้องอยู่ในห้องหัวใจของเฉินผิงอัน “ไม่ต้องรีบร้อนลงมือ ปรับตัวเข้ากับความรู้สึกของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบให้ได้เสียก่อน”


“กระบวนท่าวิชากระบี่ที่เรียกกันก็มีอยู่แค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น ไม่อาจเล่นสรรหาลูกไม้อะไรได้มากมาย นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างยุทธภพกับตระกูลเซียนบนภูเขาในยุคหลัง ผู้ฝึกลมปราณหลอมรวมลมปราณให้เป็นหนึ่งเดียว ปณิธานกระบี่ที่ฟูมฟักออกมาได้มีมากนับพันนับหมื่น บ้างลึกซึ้งบ้างตื้นเขิน บ้างสูงบ้างต่ำ หากคนอื่นคือบ่อน้ำธารน้ำ เจ้าคือทะเลสาบคือแม่น้ำ แน่นอนว่ามีโอกาสชนะร้อยเท่าพันเท่า”


“ปราณกระบี่สั้นยาวขึ้นอยู่กับสภาพการบุกเบิกช่องโพรงลมปราณในร่างกาย ยิ่งบุกเบิกเปิดช่องโพรงลมปราณได้มากเท่าไหร่ พลังแฝงก็ถูกขุดลงไปอย่างลึกล้ำมากเท่านั้น คนอื่นมีแค่พื้นที่มงคลระดับล่างแห่งหนึ่ง แต่เจ้ากลับได้ครอบครองถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลทั้งหมด ความต่างของสองฝ่ายนี้ราวฟ้ากับดิน! เส้นชีพจรเหมือนเส้นทาง ยิ่งกว้างขวางแข็งแรงมากเท่าไหร่ คนอื่นได้แค่เดินบนสะพานไม้ทางไส้แกะ แต่เจ้ากลับได้เดินบนเส้นทางกว้างใหญ่ทอดยาวสู่สวรรค์ แล้วจะเอาชนะเจ้าได้อย่างไร?”


นางกวาดตามองไปรอบด้าน พอเห็นสภาพการณ์ของจิตใจเด็กหนุ่มแล้วก็คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า เอ่ยเบาๆ “เข้าใจหรือไม่?”


เด็กหนุ่มกำลังปรับตัวเข้ากับความรู้สึกของตบะขอบเขตสิบอย่างยากลำบาก บวกกับที่กระแสลมรอบกายซัดตลบปั่นป่วนวุ่นวายอย่างถึงที่สุด แม้แต่ดวงตาก็ยังลืมไม่ขึ้น นั่นก็ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะอ้าปากพูดเลย ยังดีที่นางบอกกับเขาว่าแค่พูดในใจก็พอ เด็กหนุ่มจึงตอบนางไปตามตรงว่า “เข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร”


นางกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะเสียงดังกังวาน


เฉินผิงอันไม่เข้าใจ จึงพยายามปรับตัวเข้ากับตัวเองที่กลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบต่อไป


ความรู้สึกประหลาดเช่นนั้น เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก


เหมือนคนหิวโหยที่กระเพาะส่งเสียงร้องโครกคราก แล้วจู่ๆ ก็ถูกอัดแน่นด้วยเนื้อชิ้นใหญ่ ไม่เหลือช่องว่างไว้แม้แต่เสี้ยวเดียว ช่องโพรงลมปราณทั้งหมดถูกอัดจนพองแน่น


ลมปราณพลังต้นกำเนิดที่เดิมทีเป็นคล้ายมังกรไฟที่ว่ายวนพลันเปลี่ยนจากขนาดเท่าเส้นด้ายมาเป็นขนาดเท่าปลาหนีชิวอย่างน่าเหลือเชื่อ มันแหวกว่ายส่ายสะบัดไปทั่วเส้นชีพจรในร่างกาย พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค อีกทั้งยังคอยห่อหุ้มเอาลมปราณจากในช่องโพรงลมปราณต่างๆ ที่ผ่านระหว่างทาง เหมือนลูกหิมะที่กลิ้งไถลลื่น ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าหากไม่กลายเป็นเจียวหลงที่แท้จริงจะไม่ยอมเลิกราอย่างไรอย่างนั้น


ในร่างใสสะอาดดุจกระจก เส้นชีพจรในร่างแผ่ขยายดุจกิ่งทองใบหยก


ลมปราณที่แท้จริงไร้สิ่งเจือปน กลับคืนสู่สภาวะธรรมชาติดั้งเดิม อายุขัยยืนยาว


วิธีการแต่ละอย่างที่หลินโส่วอีเคยพูดถึงผุดขึ้นมาในใจของเฉินผิงอันตามลำดับ


เหนือทะเลสาบหัวใจ เสียงของนางเอ่ยขึ้นว่า “ยังขาดความน่าสนใจอีกเล็กน้อย จะอย่างไรซะผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป”


จากนั้นนางเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล ทะลุผ่านจิตใจห้องโอสถของเฉินผิงอัน มองตรงไปยังหินยักษ์ที่อยู่บนยอดเขาลูกนั้นแล้วถามยิ้มๆ “เจ้าว่าอย่างไร? หาไม่แล้วเจ้าทำหน้าหนาย้ายภูเขาสุ้ยซานลูกนี้มาต้านรับศัตรู หากชนะก็คงไม่สมเกียรติเท่าไหร่”


“แค่ให้พวกเจ้ายอมศิโรราบทั้งกายและใจก็พอ”


ซิ่วไฉเฒ่ารับรู้เสียงจากจิตนั้นก็พลันหัวเราะเสียงดังก้อง ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถอนสายตากลับมา ไล่มองขึ้นไปยังภูเขาทั้งลูก สุดท้ายจ้องนิ่งไปบนหน้าผาแห่งหนึ่งที่ด้านบนมี “แบบตัวอักษร” ประหลาดที่เซียนกระบี่บรรพกาลใช้ปราณกระบี่ที่เปี่ยมล้นเขียนเอาไว้ นั่นก็คือ “แบบกระบี่บิน” ที่ดึงดูดให้ผู้ฝึกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาเยี่ยมชม ถึงขั้นที่ว่าลงทุนสร้างกระท่อมหยาบๆ ไว้เบื้องล่างหน้าผาเพื่อทำความเข้าใจกับวิถีกระบี่จากแบบอักษรนี้ด้วย


“เอาไปได้เลย เอาไปได้มากน้อยเท่าไหร่ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า ตอนนั้นเจ้าเด็กจั่วก็เหมือนเจ้า ยัไม่ได้เรียนวิชากระบี่อย่างเป็นทางการ แต่เดินขึ้นเขามาชมอักษรตัวนี้โดยบังเอิญ พอมองก็เอาไปได้ถึงหกตัวอักษร พรสวรรค์ในการฝึกกระบี่เป็นเช่นใดก็เห็นได้ในทันที ท่ามกลางบรรดาผู้ฝึกกระบี่ย่อมมีอัจฉริยะที่โดดเด่น แต่อัจฉริยะก็มีแบ่งเล็กใหญ่ ห้าตัวอักษรย่อมกลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาได้แน่นอน เฉินผิงอัน ยังต้องดูด้วยว่าฐานกระดูกของเจ้าเป็นอย่างไร!”


เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ตัวอักษรโบราณเรียบง่ายขนาดใหญ่เจ็ดตัวที่อยู่บนหน้าผาหินก็บินออกมา พุ่งฉิวเข้าหาเฉินผิงอันที่ห่างไปไกลแปดร้อยลี้ พริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างกายเขาแล้วกลายมาเป็นตัวอักษรโบราณขนาดเท่าฝ่ามือ ส่องแสงสีทองเจิดจ้าเปล่งรัศมีเรืองรอง อักษรแต่ละตัวหมุนติ้วล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน


เห็นเพียงว่าเมื่อถึงท้ายที่สุดไม่มีอักษรสักตัวยอมเข้าใกล้เฉินผิงอัน ยิ่งนานก็ยิ่งทิ้งระยะห่างออกมา และในที่สุดก็หันหัวกลับพุ่งไปยังทิศเดิมที่จากมา


ซิ่วไฉเฒ่าที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ทั้งประดักประเดิดทั้งละอายใจ พึมพำเบาๆ ว่า “จะแสดงฝีมือกลับปล่อยไก่เสียแล้ว ผิงอันน้อย ขอโทษนะ ข้าไม่นึกว่าตัวอักษรพวกนี้จะไม่เห็นหน้ากันขนาดนี้…”


สตรีที่ยืนเหยียบอยู่บนทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันแค่นเสียงเย็น


ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มแห้งประจบ “รับมือยาก รับมือยากจริงๆ แบบนี้ควรจะทำอย่างไรดี? ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวข้าเปลี่ยนมาใช้วิธีประหยัดแรงกายแรงใจก็แล้วกัน ไม่ยากสำหรับข้าหรอก ข้าสนิมสนมกับเทพภูเขาเขาสุ้ยซานดี เขามีทรัพย์สินอะไร ข้ารู้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็…”


“อักษรเจ็ดตัวนั้นไม่ยอมรับข้า ข้าไม่แปลกใจ”


และเวลานี้เองเฉินผิงอันก็หรี่ตาขึ้นให้เป็นเสี้ยวเล็กๆ ไม่ใช้จิตสื่อสารกับสตรีร่างสูงใหญ่อีกต่อไป แต่พูดออกมาตามตรง “และอันที่จริงแล้วข้าเองก็ไม่ได้ต้องการพวกมัน จริงๆ นะ!”


หัวใจนางสั่นสะท้าน


เด็กหนุ่มเพิ่มแรงมือที่ถือจับกระบี่เล่มยาว เอ่ยเนิบช้า “ตอนที่ข้าฝึกวิชาหมัดมักจะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งมาโดยตลอดว่า หากฝึกถึงท้ายที่สุดแล้ว การออกหมัดของข้าจะเร็วมาก ถึงขั้นรู้สึกว่าจะต้องเร็วที่สุดด้วย ตอนนี้ข้ามีท่านอยู่ข้างกาย ข้าก็พอใจแล้ว ไม่ต้องการตัวอักษรอะไรทั้งนั้น กระบี่ที่ข้าจะปล่อยไปจากหนึ่งจะต้องเร็วมาก! เชื่อข้าเถอะ มันต้องเร็วมากแน่ๆ!”


สตรีพยักหน้ารับ


แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับอึ้งงัน ก่อนจุ๊ปากพูด “วิธีพูดเช่นนี้เหมือนตอนที่เสี่ยวฉียังเด็กจริงๆ”


ในดวงตาของผู้เฒ่ามีรอยยิ้ม แต่กลับจงใจแค่นเสียงเย็น “ข้าอยากจะเห็นนักว่ากระบี่นี้จะสามารถทำให้ตบะขอบเขตสิบของเจ้าปลดปล่อยพลังของขอบเขตที่สิบเอ็ดหรือขอบเขตที่สิบสอง! เฉินผิงอัน อย่าถ่วงแข้งถ่วงขา ไม่ใช่ว่าถึงเวลานั้นกลับปล่อยพลังได้แค่ขอบเขตเจ็ดเสียล่ะ มาๆๆ หากยังไม่ปล่อยกระบี่นี้ออกมา ต้นหวงฮวาคงเย็นชืดหมดแล้ว!” (เป็นการพูดเยาะเย้ยถึงคนที่มาสายหรือทำอะไรชักช้า)


หลังจากหยอกล้อเด็กหนุ่มจบ ผู้เฒ่าก็ทรุดตัวนั่งขัดสมาธิ พูดงึมงำ “สำนักกวีมีคำกล่าวว่า ‘สิบปีลับหนึ่งกระบี่ คมกระบี่แววประกาย เพียงแต่ยังไม่เคยลอง วันนี้เอามาให้ท่านดู ใครได้รับความยุติธรรมโปรดบอกกล่าว’ แต่ใต้หล้ามีเรื่องอยุติธรรมมากมายถึงเพียงนั้น ทว่ากลับมีกระบี่แค่เล่มเดียว”


ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกว้าง ไม่เหลืออารมณ์เศร้าตรมหม่นหมองอีกต่อไป กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “อีกอย่างคนอื่นเขาลับกระบี่สิบปี แต่กระบี่เล่มนั้นในมือเจ้าเฉินผิงอันต้องใช้เวลาเป็นหมื่นปีเลยนะ”


เฉินผิงอันกับสตรีร่างสูงใหญ่เอ่ยเสียงทุ้มหนักแทบจะในเวลาเดียวกัน “ไป!”


เฉินผิงอันเริ่มห้อตะบึงไปเบื้องหน้า


เด็กหนุ่มถึงกับวิ่งลากกระบี่


ซิ่วไฉเฒ่าที่เห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตาได้แค่ส่ายหน้ายิ้ม


เด็กหนึ่งเชิดหน้าวิ่งห้อไปด้านหน้า


เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นสูง เงื้อกระบี่ฟันลงเบื้องล่าง


รอบด้านไร้สรรพสำเนียง


ไม่มีแสงกระบี่น่าตื่นตาที่สาดส่องไปทั่วฟ้าดิน ไม่มีปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานทอดยาวดุจสายรุ้ง


แต่วินาทีนั้น บนภูเขายักษ์เหนือยอดเขา ผู้เฒ่าทีเดิมทีนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้พลันเบี่ยงตัว


เหนือทะเลสาบหัวใจ ร่างของสตรีดิ่งฮวบลงไปยังก้นทะเลสาบ นางหลับตาพลางเอ่ยเนิบช้า “หนึ่งหมื่นปีแล้ว”


เวลาเดียวกันนั้นข้างบ่อน้ำโรงเตี๊ยมชิวหลู หลี่เป่าผิงที่พินิจพิเคราะห์ม้วนภาพวาดอยู่ตลอดเวลาพลันเบิกตากว้าง ตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ “ทำไมจู่ๆ ม้วนภาพวาดถึงมีรอยแตกเพิ่มขึ้นมารอยหนึ่งล่ะ?”


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)