คัมภีร์วิถีเซียน 1479-1481

ตอนที่ 1479 เขตต้องห้ามแม่น้ำอเวจีและ...

 

มู่ชิงได้ยินพลันหัวเราะออกมา พลิกฝ่ามือหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ ในมือมีไข่มุกกลมๆ สีแดงโลหิตสามเม็ดปรากฏขึ้น


 


 


ขนาดเท่าหัวแม่มือ เปล่งแสงระยิบระยับ


 


 


ลิ่วจู๋พยักไหล่ทั้งสองข้าง ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างพร่าง บนหัวไหล่เขามีแขนสองข้างงอกออกมา


 


 


แขนข้างหนึ่งกำแผ่นป้ายสีดำรูปสามเหลี่ยมเอาไว้ อีกข้างหนึ่งถือสมบัติทรงกรวยสีฟ้าเอาไว้


 


 


และเมื่อแขนเดิมทั้งสองของเขาร่ายอาคมอยู่เบื้องหน้า จากนั้นเสียงพรึ่บก็ดังขึ้น เสาลำแสงสีดำสายหนึ่งพ่นออกมาจากปาก เปล่งแสงสว่างพร่างแล้วโจมตีไปยังหมอกสีเงิน


 


 


เสียง “หึ่งๆ” ดังขึ้น ไม่รู้ว่าเสาลำแสงสีทองมีอิทธิฤทธิ์ใด หมอกสีเงินสัมผัสกับมัน ก็ปรากฏท่าทีต้านทานไม่ไหว ระเบิดเสียงดังกึกก้องออกมา


 


 


มู่ชิงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น ก็ชูมือหนึ่งขึ้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


 


 


ชั่วขณะนั้นไข่มุกกลมสีแดงโลหิตสามเม็ดพลันเรียงกันเป็นเส้นแล้วพุ่งออกไปกลายเป็นอัสนีเพลิงสีแดงโลหิตสามเม็ด


 


 


หลังจากเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นสามเสียงดังขึ้น หลังจากที่เปลวเพลิงสีโลหิตขนาดเท่าศีรษะสามกลุ่มระเบิดออก หมอกสีเงินก็เริ่มแตกกระจายออก


 


 


หมอกสีเงินและลำแสงสีดำจากเปลวเพลิงสีโลหิตโรมรันเข้าด้วยกัน ทางเดินทั้งเส้นเริ่มสั่นเทา


 


 


หานลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงและลิ่วจู๋ หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างระงับไม่อยู่


 


 


การพังทลายและยุบตัวของมิติเวลาที่ปริแตก แม้ว่าเขาจะเคยผ่านมาหลายครั้งแล้ว และรอดชีวิตมาได้หลังจากการเดินทางข้ามห้วงมิติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมั่นใจว่าจะหลบหลีกห้วงเวลาที่พังทลายได้ ก่อนหน้าโชคดีหนีมาได้ มันก็แค่โชคดีของเขาเท่านั้น นอกเสียจากจะฝึกฝนได้ระดับมหายานหรือระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้ามองข้ามอันตรายจากห้วงมิติเวลา


 


 


ในตอนนั้นแขนใหม่ทั้งสองของลิ่วจู๋พลันขยับพร้อมกัน


 


 


ภายใต้การสั่นเทาของแผ่นป้ายสามเหลี่ยม พ่นหมอกเพลิงสีแดงสดจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ปกคลุมไปทั่วเบื้องหน้า สมบัติทรงกรวยอีกชิ้นหนึ่งก็เปล่งเสียงคำรามออกมา พริบตานั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งทะยานออกไป


 


 


ในครานั้นเองมู่ชิงเองก็สะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา


 


 


มีการโจมตีจากสามคนให้หลัง หมอกสีเงินก็ถอยไปด้านหลังแล้วพลันแตกตัวออกกระจายออก


 


 


เมื่อหมอกสีเงินถูกบีบจนต้องร่นถอยไปสิบจั้งเศษแล้ว ในที่สุดเสียงคำรามอันดังสนั่นก็หายวับไป


 


 


ทั้งห้วงมิติเวลาถูกเชื่อมต่อกัน เผยทางออกสู่ห้วงมิติเวลาอีกอันหนึ่งออกมา


 


 


หานลี่แววตาเปล่งประกาย มองเห็นทางออกอย่างชัดเจน


 


 


ด้านนอกมีลำแสงสีขาวอ่อนเปล่งแสงพร่างพราว ในเวลาเดียวกันก็มีพายุเย็นยะเยือกพัดเข้ามา


 


 


แม้ว่าหานลี่จะมีลำแสงวิญญาณปกป้องร่างเอาไว้ แต่ก็ยังรู้สึกสั่นสะท้านยามเมื่อพายุเย็นยะเยือกพัดผ่านผิวกาย


 


 


ความเย็นยะเยือกของพายุสามารถทะลุผ่านลำแสงวิญญาณตรงเข้ามากระทบร่างกายได้ หากไม่ใช่เพราะเขามีเพลิงเย็นห้าสีอยู่ ครานั้นคงเสียเปรียบไม่น้อย


 


 


โชคดีที่พายุนี้ผ่านไปแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น จากนั้นก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ


 


 


หานลี่พ่นลมหายออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง


 


 


ลิ่วจู๋มองปากหลุมแววตาเปล่งประกายระยิบระยับ ร่างกายพลิ้วไหวพุ่งกระโจนออกไป ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยอย่างราบเรียบดังออกมาจากลำแสงหลีกหนี


 


 


“ตอนนี้เปิดทางเดินแล้ว! พวกเจ้าเรียกสหายที่เหลือเข้ามาเถิด ข้าจะไปดูด้านนอกก่อน!”


 


 


เอ่ยยังไม่ทันจบร่างของลิ่วจู๋ก็ออกไปจากปากหลุมแล้ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปท่ามกลางลำแสงสีขาว


 


 


มู่ชิงพลันขมวดคิ้ว กลับออกคำสั่งโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา


 


 


“วิญญาณทอง เจ้าเรียกตี้เสวี่ยและสหายหลานเข้ามาก่อนกองทัพเถิด ข้าจะพาสหายหานล่วงหน้าไปก่อน”


 


 


“ขอรับ นายท่าน!” วานรสีทองตอบรับ ร่างกายหมุนติ้วๆ กลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งไปด้านหลัง


 


 


ส่วนหานลี่กลับทำได้เพียงตามมู่ชิงไปยังทางออกอย่างเงียบๆ


 


 


ครู่ต่อมาเบื้องหน้าของหานลี่พลันมีแสงเจิดจ้า คนมาปรากฏที่อีกห้วงมิติเวลาหนึ่ง


 


 


แต่สถานการณ์เบื้องหน้ากลับทำให้หานลี่ฉายแวววตาประหลาดใจออกมา


 


 


เห็นเพียงห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง มีผิวน้ำสีขาวขวางกั้นเอาไว้


 


 


น้ำนี้เป็นสีขาวนวล ออกขุ่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าลึกเท่าไหร่ แต่เมื่อมองปราดไปทั้งซ้ายและขวาล้วนมองไม่เห็นปลายทาง


 


 


บนผิวน้ำมีพายุเย็นยะเยือกกลุ่มหนึ่งพัดปลิวไหวอยู่


 


 


สิ่งที่น่าแปลกก็คือพายุขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าผิวน้ำจะยังสงบเยือกเย็นดังกระจกอยู่ ไม่กระเพื่อมเลยสักนิด ราวกับเป็นน้ำนิ่งก็ไม่ปาน


 


 


ลิ่วจู๋ลอยอยู่บนผิวน้ำเบื้องหน้าห่างไปไม่ไกลนัก กำลังทอดสายตามองเบื้องหน้าไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา


 


 


“นี่ก็คือแม่น้ำอเวจี!” หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยพึมพำออกมา


 


 


“ใช่แล้ว ข้าอยากข้ามแม่น้ำสายนี้ เข้าไปในแดนแม่น้ำอเวจีที่มีหมอกวารีปกคลุม จำต้องอาศัยพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของสหายหาน” มู่ชิงเอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


“ชนรุ่นหลังจะพยายามอย่างสุดกำลัง!” หานลี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม


 


 


มู่ชิงพลันพยักหน้า ยามที่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ลิ่วจู๋ที่อยู่เบื้องหน้าก็ใช้มือหนึ่งตะปบไปทางกลางอากาศเหนือผิวน้ำ


 


 


ชั่วขณะนั้นมือยักษ์สีดำข้างหนึ่งพลันปรากฏออกมา ตะปบลงไปด้านล่างอย่างดุดัน


 


 


แต่เมื่อมือยักษ์จมไปในผิวน้ำได้สามสี่จั้ง เสียง “วี้ด” ก็ดังขึ้น ลำแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากน้ำ


 


 


เสียงแหวกอากาศดังไปทั่วทุกแห่งที่วิ่งผ่านไป ชั่วพริบตามือยักษ์สีดำก็กลายเป็นรูพรุน หายวับไป


 


 


“นี่คืออะไร?” หานลี่พลันตื่นตะลึง


 


 


“นี่คือปลาประหลาดชนิดหนึ่งในแม่น้ำอเวจี ร่างกายเล็กบางดุจเข็ม ตอบสนองต่อทุกสิ่งที่เข้าใกล้ผิวน้ำ และจะบินขึ้นมาโจมตีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มองข้ามไม่ได้ และเจ้าสิ่งนี้ก็เป็นแค่อันตรายที่เล็กที่สุดในแม่น้ำอเวจีเท่านั้น ขอแค่มีพลังยุทธ์มั่นคงก็สามารถใช้ลำแสงวิญญาณปกป้องร่างต้านทานได้ อันตรายก็ไม่สู้แม้กระทั่งน้ำในแม่น้ำอเวจี! สิ่งเดียวที่น่าปวดหัวก็คือปลาชนิดนี้ชอบอยู่กันเป็นฝูง หากเริ่มทำการโจมตีแล้วมันจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกเสียจากกว่าจะสังหารปลาในละแวกนี้ไปจนเกลี้ยงเท่านั้น” ในที่สุดมู่ชิงก็หันกลับมา อธิบายอย่างส่งเดชมาสองประโยค


 


 


หานลี่ได้ยินคำนี้ ก็เข้าใจได้ในทันที


 


 


ครานั้นทางเดินทางด้านหลังพลันมีเสียงดังขึ้น


 


 


หานลี่หันหน้าไปมองเห็นผู้สวมชุดสีโลหิตสองคนเหยียบอยู่บนหุ่นเชิดโลหิตม่วง สตรีผู้งดงามผมสีขาวพาเงาร่างสีดำแปดร่าง หยวนเหยา และเหยียนลี่บินตามมาอย่างต่อเนื่อง


 


 


ด้านหลังพวกเขาเป็นกองทัพปีศาจที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด หุ่นเชิดทุกตัวรวมทั้งทหารภูตเกราะจันทรา


 


 


ชั่วพริบตาก็ยึดครองพื้นที่กลางอากาศกว่าครึ่งของทางออกตรงทางเดินเอาไว้ ลอยตัวอยู่เต็มไปหมด


 


 


“พี่ลิ่วจู๋ เป็นอย่างไรบ้าง? เขตอาคมในแม่น้ำอเวจีไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสินะ” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งใช้เท้าหนึ่งตบไปบนหุ่นเชิดสีม่วงโลหิต พลางบินตรงเข้ามาหาหานลี่และพวก ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตอีกคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง


 


 


“ไม่มี เหมือนกับตอนที่เราเข้ามาทุกระเบียบนิ้ว!” ลิ่วจู๋ถอนสายตาออกจากผิวน้ำ แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ


 


 


“เช่นนั้นการทลายเขตอาคมต้องห้ามในครั้งนี้ ต้องพบกับเหตุการณ์เช่นเดิมแน่” เสียงของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเคร่งขรึม


 


 


“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น! ทว่าครั้งนี้พวกเราเตรียมตัวมามากมายขนาดนี้ คงไม่มีการบาดเจ็บล้มตายแบบครั้งที่แล้วแน่” สตรีผู้งดงามเรือนผมสีขาวบินเข้ามาแล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ


 


 


“อืม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่พวกเราร่วมมือกันทลายเขตอาคมแยกแม่น้ำสายนี้ ส่วนอันตรายอย่างอื่นนั้นก็ไม่ต้องกังวล เอาล่ะ พวกเราโปรดเตรียมตัว เริ่มการทลายเขตอาคมได้ สหายหานถึงเวลาที่เจ้าต้องปล่อยอัสนีเทวาออกมาช่วยพวกเราโจมตีไอมารในน้ำอเวจจีแล้ว ขอแค่ทำให้ไอมารสลายไป พวกเราก็แยกน้ำอเวจีได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว” ”ลิ่วจู๋เลื่อนสายตาไปจ้องหานลี่ แล้วเอ่ยอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก


 


 


“เหล่าสหายโปรดวางใจ ข้าน้อยคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาเรียกอัสนีแล้ว ไม่มีทางพลาดแน่” หานลี่ค้อมตัวลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ


 


 


“หึๆ มีคำพูดนี้ของเจ้าก็วางใจแล้ว” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งหัวเราะฮ่าๆ ออกมา


 


 


สตรีผู้งดงามเรือนผมสีขาวเองก็พยักหน้า!


 


 


ทันใดนั้นราชันย์ปีศาจทั้งสี่ก็กวักมือ ชั่วขณะนั้นปีศาจระดับสูงกลุ่มนั้นพลันกรูกันออกมา ทยอยกันควักยุทธภัณฑ์ประหลาดๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มวางเขตอาคมอะไรสักอย่าง


 


 


เงาสีดำแปดสายและหุ่นเชิดธาตุทองที่มีลำแสงสีดำเปล่งประกายสิบกว่าตัวเองก็ถูกสตรีผู้งดงามและตี้เสวี่ยเรียกรวมตัว และเตรียมตัวอะไรสักอย่าง


 


 


หานลี่ลอยอยู่กลางอากาศแล้วพลันสะบัดแขนเสื้อ ฉับพลันนั้นธงเล็กๆ สีเขียวแปดด้ามพลันบินออกมาจากมือ หลังจากหมุนโคจรรอบหนึ่ง ก็รวมตัวกันกลายเป็นเขตอาคมธาตุอัสนีเปล่งแสงประจุไฟฟ้าสีเขียวออกมา


 


 


โดยล้อมหานลี่เอาไว้ตรงใจกลางของเขตอาคมพอดี


 


 


“สหายหาน เจ้าจะทำอะไร!” วานรสีทองที่กลับมาข้างกายของหานลี่อีกครั้ง และคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของหานลี่อยู่โดยตลอด เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันตกตะลึง อดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้


 


 


“ไม่มีอะไร นี่คือเขตอาคมสนับสนุนที่ผู้แซ่หานศึกษาค้นคว้ามาด้วยตนเอง ไม่เพียงสามารถทำให้เคล็ดวิชาเรียกอัสนีมั่นคง ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเพิ่มอานุภาพให้เล็กน้อยด้วย” หานลี่เอ่ยอย่างคลุมเครือ


 


 


ตั้งแต่ที่รู้ว่าหากตนเองสำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนีแล้วอาจจะถูกอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแว้งกัด หานลี่ก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงคิดหาวิธีแก้ไขอย่างหนัก


 


 


เขตอาคมเล็กนี้คือวิธีการแก้ไขชนิดหนึ่งที่เขาคิดได้จากการกักตน


 


 


เขาใช้ยันต์อัสนีผนึกรวมกันกลายเป็นเขตอาคม มีประสิทธิภาพในการดูดซับพลังอัสนีที่ปล่อยออกมา และเมื่อวางเขตอาคมแปดทวารดูดอัสนีที่คิดค้นขึ้นเข้าไปอีก ก็สามารถเพิ่มอานุภาพของเคล็ดวิชานี้ได้หลายเท่า เมื่อถูกอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแว้งกัดตอนที่สำแดง ก็สามารถใช้เขตอาคมนี้ดึงพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเข้าไปในเขตอาคม แล้วหลีกเลี่ยงการเพลี้ยงพล้ำได้


 


 


แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้จะได้ผลจริงๆ หรือไม่ หรือมีผลมากแค่ไหน หานลี่ไม่เคยถูกอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายแว้งกัด แน่นอนว่าย่อมไม่แน่ใจ


 


 


แต่การวางเขตอาคมนี้ตอนที่สำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนี ก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย ส่วนสิ่งที่เขาพูดว่าจะช่วยเพิ่มพลานุภาพนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นแค่คำพูดส่งเดชเท่านั้น


 


 


เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้วานรสีทองพลันพยักหน้าดังคาด และไม่ได้เอ่ยอะไรอีก


 


 


มู่ชิงและพวกมองไปปราดหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจมองอะไรออกได้


 


 


ถึงอย่างไรเสียความพิเศษของเขตอาคมชุดนี้ก็อยู่ที่ธงเขตอาคม ส่วนวิชายันต์อัสนีของธงอาคมนั้นก็เป็นสิ่งที่หานลี่ต้องทุ่มเทอย่างหนักถึงจะควบคุมได้ แม้ว่าราชันย์ปีศาจเหล่านี้จะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย แต่ก็ไม่อาจมองสิ่งนี้ออกได้


 


 


เห็นได้ชัดว่าปีศาจตนอื่นต่างได้รับการฝึกฝนมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง เวลาแค่หนึ่งกาน้ำชา เขตอาคมยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบสามสิบจั้งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ


 


 


เขตอาคมนี้สร้างขึ้นจากยุทธภัณฑ์ต่างๆ กว่ายี่สิบชิ้น หนึ่งในนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นจานสีดำขนาดเท่าปากชาม ส่วนน้อยคือของประหลาดๆ อย่างไม้บรรทัด วงแหวน ก้อนผลึกเป็นต้น


 


 


แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากของเหล่านี้กลับถูกหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขตอาคม ไม่มีความแปลกแยกเลยสักนิด


 


 


และตรงใจกลางเขตอาคม ลิ่วจู๋และมู่ชิงกำลังยืนเคียงไหล่กัน


 


 


เงาสีดำแปดสายที่อยู่อีกด้านกลับเรียงตัวกันเป็นแถว สองมือของทุกคนล้วนไปที่ไหล่ของผู้ที่อยู่หน้าสุด ราวกับถังหูลู่ที่ร้อยเข้าด้วยกัน


 


 


หญิงงามผมขาวยืนอยู่เบื้องหน้าเงาสีดำทั้งหมด สีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก


 


 


ส่วนทางด้านผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต ไม่เพียงร่างกายของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่ขยายใหญ่ขึ้นร้อยเท่า หุ่นเชิดธาตุทองสิบกว่าตนพลันมารวมตัวกันอยู่ตรงกลาง คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันกลายเป็นหุ่นเชิดโกเลมสูงยี่สิบสามสิบจั้งตัวหนึ่ง ในมือมีมีดยักษ์เปล่งแสงพร่างพราว 

 

 


ตอนที่ 1480 ร่วมมือทลายเขตอาคม

 

“สหายหาน เจ้าเตรียมเคล็ดวิชาเรียกอัสนีให้ดีเถิด พอพวกเราเรียกก็ปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเลย” ลิ่วจู๋ลอยชุดพลิ้วไสวอยู่ตรงใจกลางของเขตอาคมยักษ์ ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้


 


 


หานลี่พยักหน้าสองมือพลันร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นประจุไฟฟ้าสีทองบนเรือนร่างพลันหมุนวน ตาข่ายไฟฟ้าชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นแล้วขยายตัวออกไป หลังจากเสียงวี้ดๆ ดังขึ้นสองครั้ง ก็กลายเป็นลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่ง


 


 


ยันต์สีทองเริงระบำไปทั่วทุกทิศทาง ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบรวมตัวกันกลายเป็นลูกบอลกลมสีทองเม็ดหนึ่ง ลอยพลิ้วอยู่บนฝ่ามือข้างหนึ่ง


 


 


ครานี้หานลี่ไม่ได้สำแดงอะไรต่ออีก แค่ใช้มือใหญ่ถือลูกบอลเอาไว้แล้วมองดูสถานการณ์อยู่ด้านข้างด้วยความเย็นชา


 


 


ลิ่วจู๋ มู่ชิงและพวกกลับเริ่มลงมือทลายเขตอาคม


 


 


เห็นเพียงลิ่วจู๋และมู่ชิงบริกรรมคาถา อาวุธที่ปีศาจระดับสูงใต้ฝ่าเท้ายี่สิบตนควบคุมอยู่เปล่งแสงนับหมื่นแสงออกมา กลายเป็นเขตอาคมชั่วพริบตาก็กลายเป็นหลุมยักษ์สีดำ ไอวิญญาณฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนจากรอบๆ ไปรวมตัวกันรอบกายของลิ่วจู๋และมู่ชิง


 


 


ชั่วพริบตาลิ่วจู๋และพวกทั้งสองก็มีลำแสงวิญญาณหลากสีสันสองกลุ่มห่อหุ้มอยู่ ร่างกายเปล่งแสงระยิบระยับ ราวกับเทพเจ้าสององค์ก็ไม่ปาน


 


 


อีกด้านเงาสีดำแปดสายเบื้องหน้าหญิงงามเรือนผมสีขาวพลันประกบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน แล้วแยกออกอีกครั้ง ในมือมีระฆังเล็กๆ สีดำสนิทปรากฎขึ้น


 


 


ภายนอกของระฆังดูเก่าแก่อย่างหาที่เปรียบ แม้กระทั่งตรงขอบยังมีร่องรอยการผุพัง!


 


 


ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสอง คนหนึ่งมีหุ่นเชิดภูตสีม่วงโลหิตอยู่บนไหล่ อีกคนกลับร่างกายพลิ้วไหวไปอยู่เหนือศีรษะของหุ่นเชิดธาตุทองขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นใหม่


 


 


ปากของหุ่นเชิดภูตสีม่วงโลหิตเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา สองมือถูกันไปมา คาดไม่ถึงว่าจะมีขวานสีม่วงแดงยาวสิบจั้งปรากฎขึ้นท่ามกลางลำแสงสีโลหิตที่เปล่งแสงพร่างพราว


 


 


ผิวของขวานด้ามนี้มีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงระยิบระยับ ถูกหุ่นเชิดชูขึ้นด้วยมือทั้งสอง และชี้ไปทางผิวน้ำเบื้องหน้า


 


 


หุ่นเชิดธาตุทองเองก็ชูมีดยักษ์ในมือขึ้นเช่นกันด้วยการกระตุ้นจากผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต ผิวของมันเปล่งแสงสีดำกระพริบวาบๆ


 


 


เสียงอึกทึกดังขึ้น ในที่สุดลิ่วจู๋ก็ใช้มือหนึ่งตบออกไป


 


 


เสาลำแสงสีดำสายหนึ่งพ่นออกมาจากฝ่ามือ


 


 


ครั้งนี้เสาลำแสงหนากว่าตอนที่อยู่ในทางเดินของห้วงมิติเวลาหลายเท่า ทุกแห่งที่เสาลำแสงกวาดผ่านไป ทำให้แม้กระทั่งห้วงมิติเวลาบิดเบี้ยวยับย่นเป็นชั้นๆ


 


 


เสาลำแสงเปล่งแสงเจิดจ้าจมหายเข้าไปในผิวน้ำ


 


 


แม่น้ำอเวจีที่แต่เดิมดูเหมือนน้ำนิ่ง คราแรกพลันไม่แยแส แต่เมื่อเสาลำแสงสีดำพ่นเข้ามาไม่หยุด ในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลง


 


 


คราแรกระลอกคลื่นเริ่มกระเพื่อมเป็นชั้นๆ ทันใดนั้นน้ำในแม่น้ำอเวจีก็เริ่มหมุนวนโดยมีเสาลำแสงเป็นศูนย์กลาง และยิ่งไปกว่านั้นยังรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ และเปล่งเสียงร้องครืดคราดออกมา


 


 


มู่ชิงเองก็ลงมือ


 


 


ดอกไม้สีทองใต้ฝ่าเท้าหมุนติ้วๆ ดูดม่านลำแสงรอบๆ เข้าไปกว่าครึ่ง จากนั้นก็ขยายขนาดขึ้น ตั้งตระหง่าน กลายเป็นธรรมจักรยักษ์สีทองเรืองรอง ตรงเข้าไปหาทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า


 


 


ธรรมจักรขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้ง ยังไม่ทันได้สัมผัสกับผิวน้ำก็ระเบิดเสียงพายุและอัสนีออกมา ลำแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้าแล้วสับลงไปยังผิวน้ำ


 


 


ชั่วขณะนั้นผิวน้ำที่แต่เดิมหมุนวนพลันมีลำแสงสีทองสว่างวาบ ในที่สุดก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมาแล้วแยกตัวออก!


 


 


หลุมสีขาวค่อยๆ ปรากฎขึ้นจากเสาลำแสงที่อยู่ใจกลางและขยายขนาดไปเรื่อยๆ แต่ม่านน้ำรอบๆ พลันสั่นกระเพื่อม ทำให้หลุมนี้ไม่มั่นคง ท่าทางเหมือนจะพังทลายได้ทุกเมื่อ


 


 


เสียง “วี๊ด” ดังขึ้น เงาโลหิตขวานยักษ์สีม่วงแดงด้ามหนึ่งและมีดลำแสงสีดำเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา


 


 


ภายใต้การร่วมมือกันโจมตีที่มากมายขนาดนี้ หลังจากเสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น แม่น้ำอเวจีก็ถูกแยกออก หุบเขากลางสายน้ำสูงยี่สิบสามสิบจั้ง กว้างสิบจั้งเศษค่อยๆ ก่อตัวขึ้น


 


 


แต่ในครานั้นม่านน้ำรอบๆ พลันเปล่งเสียงครืนๆ ประหลาดๆ ดังขึ้น จากนั้นเส้นไหมสีดำที่เปล่งแสงระยิบระยับก็ปรากฎขึ้นในน้ำอเวจี รวบไปทางหุบเขายักษ์


 


 


ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น!


 


 


การโจมตีเดิมจากสี่ราชันย์ปีศาจไม่ว่าจะเป็นเสาลำแสง ธรรมจักรหรือว่ามีดลำแสงถูกเส้นไหมสีดำรวบเอาไว้ ก็ทยอยกันสั่นเทาหม่นแสงลง ท่าทีการโจมตีผ่อนลง และเริ่มมีท่าทีเสื่อมอานุภาพลง


 


 


“สหายหานยังไม่ลงมือ รออะไรอยู่” เสียงอันเย็นชาของลิ่วจู๋ดังออกมาจากม่านลำแสงหลากสี


 


 


จากการนำไอวิญญาณฟ้าดินมารวมตัวกันกลายเป็นธรรมจักรยักษ์ และยังประคับประคองให้มันปล่อยเสาลำแสงสีดำออกมาในเวลาเดียวกัน ก็ทำให้มันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มู่ชิงที่ควบคุมธรรมจักรยักษ์สีทองด้านข้างก็เป็นเช่นเดียวกัน


 


 


เห็นได้ชัดว่าอิทธิฤทธิ์ทั้งสองล้วนทำให้สูญเสียลมปราณไปจำนวนมาก แม้นว่าจะอาศัยพลังของเขตอาคมก็ยังไม่อาจประคับประคองต่อไปได้นานนัก


 


 


หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง มือถือลูกบอลสีทองเอาไว้กลางอากาศ นิ้วทั้งห้าดีดไปมาเบาๆ


 


 


เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ลูกบอลสีทองกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นไปกลางอากาศ


 


 


อีกมือหนึ่งชี้นิ้วออกไปอย่างรวดเร็ว อักขระยันต์สีทองขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นและพุ่งออกไปเช่นกัน


 


 


หลังจากเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ดังขึ้น บรรยากาศรอบๆ ก็เกิดพายุหมุนขึ้น เมฆสีดำทอดตัวอยู่เต็มท้องฟ้า ดวงอาทิตย์สีทองปรากฎขึ้นท่ามกลางหมู่เมฆสีดำ กลิ่นอายที่ดูเหมือนจะถล่มฟ้าดินทะลักออกมาจากเมฆสีดำพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


 


ชั่วพริบตานั้นผิวของดวงอาทิตย์ก็กระพริบวาบๆ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุ่มต่ำจนน่าตกใจ


 


 


หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม ปากพลันบริกรรมคาถาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา นิ้วหนึ่งชี้ไปยังผิวน้ำเบื้องหน้า


 


 


ยันต์สีทองเปล่งแสงเจิดจ้า!


 


 


เสาลำแสงสีทองขนาดเท่าถังน้ำพ่นออกมาจากดวงอาทิตย์ หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้งก็โจมตีไปยังน้ำในแม่น้ำอเวจี


 


 


เสียง “ปัง” ประหลาดๆ ดังออกมาจากผิวน้ำ ชั่วพริบตาที่เสาลำแสงสีทองสัมผัสกับผิวน้ำ ก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีทองม้วนวนแผ่ออกไปรอบด้านเป็นวงๆ


 


 


สถานการณ์ที่น่าตกตะลึงปรากฎขึ้นท่ามกลางเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น


 


 


ทุกแห่งที่ลำแสงอัสนีกวาดผ่านไป เส้นไหมสีดำแวววาวที่ปรากฎขึ้นในแม่น้ำอเวจีล้วนกลายเป็นฝุ่นควันท่ามกลางลำแสงสีทอง!


 


 


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ลิ่วจู๋และพวกพลันรู้สึกดีอกดีใจ รีบร้อนกระตุ้นอิทธิฤทธิ์โจมตีผิวน้ำอย่างต่อเนื่อง ส่วนหญิงงามผมขาวที่ยังไม่ได้ลงมืออีกด้าน ก็เปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมาเช่นกัน


 


 


ชั่วขณะนั้นเงาสีดำแปดตนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางพลันมีลำแสงสีดำเปล่งประกายอยู่บนเกราะสงคราม รวบรวมไอทมิฬเข้าด้วยกัน แล้วพวยพุ่งส่งมาหาหญิงงามผมขาว


 


 


แม้นว่าราชันย์ภูตเกราะจันทราทั้งแปดจะมีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมสูญขั้นปลาย แต่ไอทมิฬทั้งแปดที่รวบรวมได้นั้น ก็ยังคงน่าตกใจ


 


 


เงาภูตขนาดใหญ่ตนหนึ่งปรากฎขึ้นลางๆ เหนือศีรษะของสตรีผู้งดงาม


 


 


ระฆังใบเล็กสีดำในมือของหญิงงามผมขาวเปล่งแสงสีดำเจิดจ้าออกมา ชั่วพริบตาก็หมุนวนพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสองสามจั้ง


 


 


แววตาของหญิงงามเปล่งประกายประหลาดๆ ยื่นนิ้วออกไปนิ้วหนึ่ง ร่ายไปกลางอากาศเบาๆ


 


 


เสียง “หง่าง” ของระฆังดังขึ้น


 


 


คลื่นลำแสงสีดำชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นบนระฆังยักษ์ ทอตัวเต็มท้องฟ้ากระโจนไปยังหุบเขาที่อยู่ตรงกลางแม่น้ำอเวจี


 


 


ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น


 


 


เมื่อคลื่นลำแสงสีดำสัมผัสกับหุบเขา ชั่วพริบตาก็กลายเป็นม่านลำแสงสีดำทะมึนชั้นหนึ่ง ชั่วครู่ก็รองใต้ม่านน้ำรอบๆ เอาไว้ ตรงกลางแม่น้ำอเวจีมีทางเดินสีดำของจริงปรากฎขึ้น


 


 


เมื่อถูกอิทธิฤทธิ์ของลิ่วจู๋และพวกกระตุ้นม่านลำแสงนี้ก็ดูเหมือนจะขยายตัวทอดยาวไปจนมองไม่เห็นปลายทางอย่างไรอย่างนั้น


 


 


หานลี่มองเห็นฉากทุกอย่าง แม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจ แต่เพื่อต่อกรกับเส้นไหมสีดำแวววาวที่ปรากฎขึ้นบนแม่น้ำอเวจีอย่างต่อเนื่อง ก็ทำได้เพียงกระตุ้นดวงอาทิตย์สีทองกลางอากาศไม่หยุด พ่นเสาลำแสงสีทองสายแล้วสายเล่าออกมา ช่วยลิ่วจู๋และพวกกระตุ้นไม่หยุด


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกันเมื่อหุบเขาสีดำทอดตัวลึกเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ลิ่วจู๋ มู่ชิงและพวกก็เริ่มกระตุ้นเขตอาคมใต้ร่าง ทำให้การโจมตีของตัวเองโจมตีไปจุดหนึ่งอย่างต่อเนื่องไม่หยุด หานลี่เห็นเช่นนั้นก็มองไปยังดวงอาทิตย์สีทองสองสามดวงที่ขึ้นมาทดแทนกลางอากาศ แล้วทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


 


 


เขาไม่ได้มีจิตสัมผัสแข็งแกร่งถึงขนาดที่จะสามารถควบคุมอัสนีเทวาให้ไปตกที่เป้าหมายในระยะไกลขนาดนั้นได้


 


 


ทว่าโชคดีที่เคล็ดวิชาเรียกอัสนีมีความสามารถไม่น้อย ขอแค่เสาลำแสงสีทองโจมตีไปใกล้ๆ ประจุไฟฟ้าอัสนีก็แผ่ขยายไปและยังคงทำลายเส้นไหมสีดำที่อยู่ไกลออกไปทั้งหมดได้ แน่นอนว่าเมื่อหุบเขาทอดตัวลึกเข้าไปไม่หยุด หานลี่ก็จำใจต้องปลุกความฮึกเหิม ใช้อาคมควบคุมเสาลำแสงสีทองทอดตัวลึกเข้าไปด้วย โชคดีที่ไม่ต้องกำหนดตำแหน่งที่แม่นยำอะไร ขอแค่ควบคุมระยะห่างคร่าวๆ ได้ก็พอแล้ว


 


 


ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงยังคงผ่อนคลายอยู่


 


 


หนึ่งเค่อต่อมาฉับพลันนั้นพลันมีเสียงดังสนั่นดังออกมาจากหุบเขาอีกด้านหนึ่ง!


 


 


มู่ชิงได้ยินเสียงนี้พลันเอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจทันทีว่า


 


 


“ในที่สุดก็เปิดทางได้แล้ว!”


 


 


ทันใดนั้นสตรีผู้นี้ก็กวักมือเรียก ครู่ต่อมาธรรมจักรสีทองก็บินกลับมาจากส่วนลึกของหุบเขา กลายเป็นดอกไม้ยักษ์สีทองอีกครั้ง ปรากฎขึ้นใต้ฝ่าเท้า


 


 


สตรีผู้งดงามผมขาวและพวกเองก็มีสีหน้าปิติยินดี ทยอยกันเก็บอิทธิฤทธิ์กลับมาเช่นกัน


 


 


“เยี่ยม! ทางเดินนี้น่าจะอยู่ได้สักสองสามชั่วยาม พอให้พวกเราข้ามแม่น้ำอเวจีไปได้แล้ว แต่ยังคงต้องระวังการโจมตีของภูตในแม่น้ำอเวจี ให้พวกมันเข้าไปก่อนเถิด จะเข้าไปในแดนแม่น้ำอเวจีได้กี่ตน ก็ขึ้นอยู่กับดวงของพวกมันแล้ว ให้พวกมันหนีเอาชีวิตตรอดไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังก็แล้วกัน” หลังจากที่แววตาของลิ่วจู๋เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบสองสามครั้ง ก็มองไปยังปีศาจระดับต่ำเหล่านั้นแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


มู่ชิงและพวกได้ยินคำนี้ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้ายินดีหายวับไป


 


 


หานลี่ที่สลายเคล็ดวิชาเรียกอัสนีออก กลับอดที่จะตกตะลึงไม่ได้!


 


 


และในตอนนั้นเองหุ่นเชิดและทหารภูตทั้งหมดก็รวมตัวกันอยู่ที่ทางเข้า และยิ่งไปกว่านั้นยังแบ่งออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวาตรงขอบอย่างแปลกประหลาด ปีศาจอสูรระดับต่ำเหล่านั้นกำลังทยอยกันถูกจัดให้มารวมอยู่ตรงกลางโดยการก่นด่าของปีศาจระดับสูง


 


 


จำนวนนับหมื่นตนนี้แทบจะปิดทางเดินทั้งสายให้ลอดผ่านไปไม่ได้!


 


 


ภายใต้การออกคำสั่งของเหล่าราชันย์ปีศาจ ชั่วขณะนั้นทหารภูตและหุ่นเชิดจากทั้งสองฝั่งก็เริ่มบินเข้าไปในทางเดิน


 


 


พายุทมิฬที่ห่อหุ้มร่างของภูตเกราะจันทราเอาไว้พลันสลายออกในทันที ในที่สุดก็เผยรูปร่างที่แท้จริงของพวกมันออกมา


 


 


ทุกตนล้วนสวมเกราะครึ่งตัวสีดำเป็นมันวาว มือหนึ่งถือขวาน สามง่ามและอาวุธมีดต่างๆ เอาไว้ ผิวหนังที่เผยออกมาจากเกราะสีดำล้วนเป็นสีเทาตุ่นๆ ราวกับซากศพก็ไม่ปาน ส่วนหัวกลับถูกเพลิงภูตสีเขียวกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้


 


 


ภายใต้เปลวเพลิงสีเขียวที่เปล่งแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าคือหัวกะโหลกที่มีหน้าตาดุดัน


 


 


ภูตทมิฬเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ปิดปากเงียบไม่เปล่งคำพูดใดๆ บนร่างมีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ออกมาจางๆ


 


 


หานลี่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงมองไปยังเหล่าภูต ดวงตาทั้งสองอดที่จะหรี่ลงไม่ได้


 


 


เดิมทีแดนแม่น้ำอเวจีก็มีภูตผีอยู่จำนวนมากอยู่แล้ว แต่ลิ่วจู๋และพวกก็ยังคงหลอมทหารภูตขึ้นจำนวนมาก ดูแล้วคงจะมีความลับอะไรแน่


 


 


ครู่ต่อมาปีศาจระดับต่ำที่มีหุ่นเชิดและทหารภูตก็ถูกออกคำสั่งให้ทยอยกันบินเข้าไปในทางเดิน


 


 


ลิ่วจู๋และพวกปีศาจระดับสูงเหล่านั้นกลับมองอยุ่ด้านนอกทางเดินอย่างเย็นชา ครานี้ไม่มีท่าทีจะเข้าไปเลยสักนิด


 


 


ชั่วพริบตาที่ปีศาจระดับต่ำเข้าไปในทางเดินของหุบเขาสีดำนั้น ม่านลำแสงสีดำรอบๆ ก็มีลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ เสียง “ฟิ้วๆ” ดังแหวกอากาศมา เส้นไหมสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากทั้งสี่ทิศแปดด้าน


 


 


เป้าหมายของพวกมันล้วนเป็นปีศาจระดับต่ำที่อยู่ตรงใจกลาง ส่วนหุ่นเชิดและภูตทมิฬที่อยู่ทั้งสองฝั่ง เส้นไหมสีเงินกลับไม่สนใจเลยสักนิด 

 

 


ตอนที่ 1481 ผลึกของวิญญาณอเวจี

 

เส้นไหมสีเงินเหล่านี้แน่นอนว่าย่อมเป็นปลาประหลาดแห่งแม่น้ำอเวจีที่หานลี่เห็นตอนแรก


 


 


ประหลาดเหล่านี้แต่ละตัวล้วนมีลักษณะบางยาวเหมือนเข็ม เแม้ว่าส้นไหมสีเงินที่วาดขึ้นมาจะไม่อาจทำอะไรปีศาจระดับสูงได้ แต่กลับเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อปีศาจระดับต่ำที่ไม่อาจปล่อยลำแสงวิญญาณออกมาปกป้องร่างได้


 


 


ชั่วพริบตาปีศาจหลายร้อยตัวที่ล่วงหน้าเข้าไปในทางเดินก็ถูกแทงจนร่างเป็นรูพรุนกว่าครึ่ง แล้วล้มตึงลงกับพื้น


 


 


ปีศาจที่ทะลักเข้ามาจากด้านหลังพลันตกตะลึง แต่ปีศาจจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกำลังสำแดงลำแสงวิญญาณออกมา ภูตทมิฬและหุ่นเชิดที่อยู่ทั้งสองด้านเองก็โบกสะบัดอาวุธมีดในมือ ชั่วขณะนั้นพลันต้านทานเส้นไหมสีเงินกว่าครึ่งเอาไว้ด้านนอก


 


 


เส้นไหมสีเงินที่อยู่ท่ามกลางม่านลำแสงสีดำยังคงพุ่งออกไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ส่วนปีศาจระดับต่ำที่เข้าไปอยู่กลางทางเดินต่างพยายามวิ่งหนีไปอีกด้านอย่างสุดชีวิตโดยมีผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่งเปล่งเสียงร้องยาวๆ กระตุ้น


 


 


แม้ว่าจะเป็นปีศาจระดับต่ำ แต่เมื่อบินอย่างเต็มอัตรา ความเร็วของแต่ละตนล้วนน่าตกใจ


 


 


ไอปีศาจหมุนวนเป็นเกลียว ปีศาจจำนวนไม่น้อยข้ามผ่านทางเดินกว่าครึ่งไปได้แล้ว


 


 


และในตอนนั้นเองความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฎขึ้น!


 


 


เงาสีดำเป็นสายๆ พลันปรากฎขึ้นกลางม่านลำแสงสีดำที่อยู่รอบๆ เสียงร้องประหลาดๆ ดังออกมาจากทั้งสี่ด้านแปดทิศ


 


 


เงาดำสนิทรูปทรงแตกต่างกันพลันปรากฎขึ้น บีบทะลักออกมาจากม่านลำแสงอย่างแปลกประหลาด


 


 


เงาสีดำเหล่านั้นบ้างก็อ้าปากออกพ่นลูกธนูน้ำสีขาวเป็นกลุ่มๆ ออกมา บ้างกลับเผยเขี้ยวแหลมคมเต็มปากออกมากระโจนเข้าฉีกทึ้งโรมรันกับปีศาจจนกลายเป็นก้อนกลมๆ


 


 


ปกติแล้วปีศาจที่ถูกธนูน้ำพ่นใส่จะทยอยกันล้มตึงจบชีวิตลง ที่มีลำแสงวิญญาณปกป้องร่าง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่อาจต้านทานการลอบโจมตีจากลูกธนูน้ำได้ ชั่วพริบตาผิวกายพลันมีไอสีดำปรากฎขึ้น แต่ก็ต้านทานเอาไว้ได้แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น


 


 


ส่วนปีศาจที่ฉีกทึ้งกับเงาสีดำเหล่านั้น เมื่อถูกกัดก็ดิ้นรนได้แค่เล็กน้อย แล้ววิญญาณก็แตกสลายไป ชั่วพริบตาซากศพก็กลายเป็นน้ำเหม็นคาวอาบย้อมไปทั่ว


 


 


คิดไม่ถึงว่าในปากของเงาสีดำเหล่านั้นจะมีพิษ!


 


 


“นี่คือภูตทมิฬ!”


 


 


แววตาของหานลี่มีลำแสงสีฟ้าเปล่งประกาย มองทุกอย่างอยู่ไกลๆ ด้วยความตระหนกตกใจ


 


 


ภายใต้เนตรวิญญาณ แน่นอนว่าเขาย่อมเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน เงาสีดำเหล่านี้คือซากวิญญาณรูปร่างประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน แต่แค่ครานี้ล้วนกลายเป็นเหมือนผีดิบที่ไม่มีจิตสำนึก แค่พยายามกระโจนเข้าไปหาปีศาจที่มีชีวิต ไม่สนหุ่นเชิดและทหารภูติที่อยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่งเลยสักกระผีก


 


 


แน่นอนว่าปีศาจระดับต่ำจำนวนนับไม่ถ้วนเองก็ไม่ใช่ว่าไม่มีกำลังต้านทาน ภายใต้การเสียเปรียบในคราแรกพวกมันบ้างก็พ่นลูกบอลเพลิงเป็นดวงๆ ออกมา บ้างก็ปล่อยเคล็ดวิชาสมบัติเมฆวายุต่างๆ ออกมาโถมโจมตีไปยังภูติทมิฬเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ทว่าสิ่งที่ทำให้ปีศาจประหวั่นพรั่นพรึงก็คือไม่ว่าจะใช้เคล็ดวิชาใดโจมตีไปบนร่างของภูติทมิฬเหล่านี้ ก็จะทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบและจมหายเข้าไปในร่างของพวกมันอย่างไร้ร่องรอย


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่มีผลเลยสักนิด!


 


 


ครานี้ปีศาจทั้งหมดต่างขนพองสยองเกล้า


 


 


“เจ้าโง่! ภูติทมิฬไม่อาจออกห่างจากแม่น้ำอเวจีได้มากนัก แค่วิ่งออกจากทางเดินก็ปลอดภัยแล้ว” น้ำเสียงที่เย็นชาของลิ่วจู๋พลันดังสะท้อนไปมาในทางเดิน สั่นสะเทือนโสตประสาทหูทั้งสองข้างของปีศาจทั้งหมด


 


 


ชั่วขณะนั้นปีสาจระดับต่ำถึงได้เข้าใจ ทันใดนั้นก็ไม่สนการโจมตีภูติทมิฬอีก แค่พยายามบินไปยังอีกด้านของทางเดินอย่างสุดชีวิต


 


 


ระยะห่างหมื่นจั้งเศษสำหรับปีศาจที่มีความรวดเร็วเหล่านี้ แค่ไม่กี่ชั่วอึดใจก็ข้ามผ่านไปได้แล้ว


 


 


ส่วนปีศาจที่เหลือที่มีหุ่นเชิดและภูตทมิฬปกป้องอยู่ แม้ว่าจะถูกปลาประหลาดและภูตทมิฬลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บหนัก ทว่าโชคดีที่ปีศาจระดับต่ำมีจำนวนไม่มากนัก ปีศาจที่ล้มตายจึงเป็นแค่หนึ่งในห้าส่วนจากปีศาจที่กระโจนเข้าไปในทางเดินเท่านั้น


 


 


ฝูงปีศาจระดับต่ำด้านหลังก็ยังคงทะลักเข้ามาราวกับคลื่นน้ำโดยมีปีศาจระดับสูงเป็นผู้กระตุ้น


 


 


กลิ่นอายโลหิตคละคลุ้งไปทั่วทั้งทางเดิน


 


 


มู่ชิง สตรีผู้งดงามและพวกที่อยู่ด้านนอกเห็นสถานการณ์ในทางเดิน ใบหน้าพลันเผยสีหน้าตึงเครียดออกมา กลับยังคงไม่มีผู้ใดลงมือช่วย เหมือนว่ากำลังรอคอยอะไรสักอย่างอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ในตอนที่หานลี่กำลังขมวดคิ้วคาดเดาเจตนาของคนอื่นอยู่ในใจนั้น กลางอากาศในทางเดินก็มีเงายักษ์สีดำปรากฎขึ้น


 


 


พลิ้วไหวอย่างรุนแรง ม่านลำแสงสีดำที่แต่เดิมมั่นคงมากพลันสั่นเทา


 


 


เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น หนวดยักษ์สองสามเส้นโจมตีทลายม่านลำแสงออกราวกับงูเหลือมยักษ์ ชั่วครู่ก็ทะลวงเข้าไปในทางเดิน


 


 


แค่กวาดไปอย่างส่งเดชก็ม้วนเอาปีศาจสิบกว่าตนที่หลบไม่ทันเข้าไป ดึงออกจากม่านลำแสงในแม่น้ำอเวจีอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า


 


 


หลังจากเสียงร้องครวญครางสิบกว่าเสียงดังขึ้น ปีศาจเหล่านั้นก็ดูเหมือนว่าจะถูกเงาสีดำยักษ์กลืนกินเข้าไปในท้อง จากนั้นหนวดยักษ์ก็ปรากฎขึ้นในทางเดินอีกครั้ง


 


 


ชั่วขณะนั้นพลันเกิดความโกลาหลขึ้นในบรรดาปีศาจระดับต่ำที่อยู่รอบๆ!


 


 


“ปรากฎกายแล้ว ลงมือ!”


 


 


เหล่าราชันย์ปีศาจเห็นหนวดปรากฎขึ้น พลันรู้สึกปิติยินดีขึ้นพร้อมกัน ลิ่วจู๋ยิ่งร้องตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเลย


 


 


ชั่วขณะนั้นผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสอง ลิ่วจู๋ มู่ชิง สตรีผู้งดงามและพวกรวมห้าคนพลันมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนเรือนร่าง และหายวับไปจากที่เดิม


 


 


ครู่ต่อมากลางอากาศที่หนวดปรากฎขึ้น ร่างห้าคนปรากฎขึ้นอีกครั้ง


 


 


มู่ชิงและพวกสี่คนชูมือขึ้นตะปบออกไปกลางอากาศพร้อมกัน


 


 


มือลำแสงยักษ์หลากสีสันสี่มือพลันปรากฎขึ้นทันที หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็ตะปบไปที่หนวดคนละเส้นแล้วออกแรงดึงลงมาด้านล่างพร้อมกัน


 


 


สิ่งมีชีวิตระดับหลอมร่างสี่คนลงมือพร้อมกัน เกรงว่าแม้แต่ภูเขายักษ์หมื่นใบมีดก็ยังถูกถอนขึ้นมาได้


 


 


เมื่อเสียงคำรามดังขึ้น เสียง “ปัง” พลันดังขึ้น เจ้าของหนวดถูกพลังมหาศาลสี่กลุ่มดึงจากม่านลำแสงเข้าไปในทางเดิน


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นก้อนเนื้อยักษ์สีขาวโพลน!


 


 


ไร้จมูกไร้ตา มีเพียงปากยักษ์ที่กินพื้นที่เกือบครึ่งตัวคน กว่าครึ่งของก้อนเนื้อมีหนวดยาวๆ เจ็ดแปดเส้น กว่าครึ่งถูกมือลำแสงตะปบเอาไว้ ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยได้เลยสักนิด หนวดเส้นอื่นๆ กลับโบกสะบัดไปมาอยู่กลางอากาศ ทุบลงมาหาเหล่าราชันย์ปีศาจอย่างแรง


 


 


เสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชาดังขึ้น!


 


 


กระบี่ลำแสงสีดำสนิทสายหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ ลำแสงสีดำสว่างวาบ ผ่าก้อนเนื้อยักษ์ออกเป็นสองส่วนจากใจกลาง


 


 


เงาร่างคนสายหนึ่งพุ่งออกไปราวกับกลุ่มควัน พลิ้วไหวเล็กน้อยแล้วควักสิ่งหนึ่งออกมาจากก้อนเนื้อ จากนั้นลำแสงพลันมัวหม่นลงปรากฎร่างขึ้น


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นลิ่วจู๋ที่เมื่อครู่ไม่ได้ลงมืออะไรเลย


 


 


ครานี้เขาใช้มือหนึ่งถือผลึกหินสีขาวนวลเอาไว้เม็ดหนึ่ง ขนาดเท่าไข่ไก่ เปล่งแสงระยิบระยับ


 


 


“ในที่สุดก็ได้ผลึกวิญญาณอเวจีมา มีสิ่งนี้วันข้างหน้าก็สบายแล้ว” ลิ่วจู๋พิจารณาของในมือแล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ


 


 


สตรีผู้งดงาม มู่ชิงและพวกเห็นว่าได้ผลึกหินนี้มาอย่างราบรื่น ก็เผยสีหน้าปลื้มอกปลื้มใจออกมา


 


 


“หึๆ ในแม่น้ำอเวจีจะมีจิตวิญญาณของแม่น้ำอเวจีอาศัยอยู่เพียงตนเดียวเท่านั้น การเคลื่อนไหวที่รุนแรงขนาดนี้ ไม่มีทางไม่ไปรบกวนสิ่งนี้ได้ แม้ว่ามันจะมีอิทธิฤทธิ์ แต่จะสู้พวกเราที่ร่วมมือกันโจมตีได้อย่างไร” ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตเองก็หัวเราะหึๆ อย่างแปลกประหลาดออกมา


 


 


ใช่แล้ว! การร่วมมือกันเมื่อครู่ของคนเหล่านั้นดูเหมือนจะง่ายดาย แต่กลับเป็นผลมาจากการฝึกฝนมาหลายครั้ง ถึงได้สังหารจิตวิญญาณของแม่น้ำอเวจีที่มีความสามารถไม่น้อยลงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้


 


 


“ในเมื่อได้ของแล้ว พวกเราก็รีบข้ามไปเถิด ครั้งนี้มีเพียงภูตทมิฬที่ปรากฎตัว ไม่พบภูตโหดเ**้ยมตนอื่นที่พบครั้งที่แล้ว ก็นับว่าโชคดีแล้ว” มู่ชิงสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวม้วนวนออกไป ชั่วขณะนั้นพลันโผเข้าไปหาซากของภูตทมิฬที่แตกออกเป็นชิ้นๆ แล้วเอ่ยปากอย่างราบเรียบในเวลาเดียวกัน


 


 


คนอื่นๆ ไม่ได้มีเจตนาคัดค้านอะไร ทันใดนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งเป็นสายๆ ทยอยกันพุ่งแหวกอากาศไปยังทางเดินอีกด้าน


 


 


ครานี้อีกด้านของทางเดินสีดำ รอจนลิ่วจู๋และพวกออกคำสั่งกับเหล่าปีศาจระดับสูงทุกคนแล้ว ก็เริ่มควบคุมลำแสงหลีกหนีบินเข้ามาในทางเดิน


 


 


หานลี่และวานรสีทองตามหลังปีศาจตนอื่นๆ ไป และจมหายเข้าไปข้างในเช่นกัน


 


 


สิ่งมีชีวิตระดับสูงอย่างหานลี่นั้น แน่นอนว่าการโจมตีของปลาประหลาดและภูตทมิฬย่อมไม่เพียงให้หวาดกลัว โดยเฉพาะตอนนี้ความเร็วของพวกเขาเหนือกว่าปีศาจระดับต่ำเป็นอย่างมาก


 


 


แค่ชั่วครู่พวกเขาก็ข้ามผ่านทางเดินมาได้อย่างปลอดภัย ปรากฎตัวกลางอากาศที่ไร้ที่สิ้นสุด


 


 


ส่วนปีศาจระดับต่ำที่บินออกมาจากทางเดินนั้น ก็ยังคงบินออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร ในที่สุดปีศาจสองสามหมื่นตัว ทหารภูตเกราะจันทราและหุ่นเชิดก็บินออกมาจากทางเดินสีดำจนหมด


 


 


ทหารภูตและหุ่นเชิดยังพอว่าแทบจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่ปีศาจระดับต่ำนั้นไม่เพียงจะหายไปส่วนหนึ่ง แม้แต่ตนที่มาปรากฎตัวที่นี่ก็ยังมีตนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย โชคดีที่ปีศาจเหล่านี้ล้วนมีพลังฟื้นฟูที่น่าตกใจ จึงไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มนัก


 


 


ลิ่วจู๋และพวกกลับทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ กลับรวมตัวกันปรึกษาอะไรกันสักอย่าง


 


 


หานลี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ แววตาเปล่งประกายสว่างวาบขณะพิจารณาทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า


 


 


เขาในครานี้อยู่เหนือพื้นดินไปสองสามพันจั้ง มองไปรอบๆ รอบๆ ล้วนเป็นเม็ดทรายสีดำสนิท และมีต้นหญ้าสีดำเหลืองความยาวสองสามชุ่นงอกอยู่ เผยให้เห็นความรกร้างอย่างน่าตกใจ


 


 


และเหนือศีรษะของพวกเขาก็มีน้ำของแม่น้ำอเวจีรวมตัวกันกลายเป็นท้องฟ้าสีขาวโพลน ราวกับว่าปกคลุมไปทั่วทั้งผืนดินก็ไม่ปาน


 


 


“ตามแผนที่วางไว้ ภูตทมิฬเกราะจันทราอยู่ด้านหน้า หุ่นเชิดอยู่ด้านหลัง” เหล่าราชันย์ปีศาจหารือกันเสร็จแล้ว หลังจากยืนยันตำแหน่งคร่าวๆ แล้ว ลิ่วจู๋ก็บินเข้ามาปากก็ออกคำสั่งไปด้วย


 


 


ชั่วขณะนั้นทุกคนพลันเกิดความโกลาหลขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังแบ่งออกเป็นสองสามกลุ่ม จากนั้นก็มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร


 


 


หานลี่ยังคงอยู่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงพร้อมกับวานรสีเหลือง


 


 


ร่างแน่งน้อยของมู่ชิงยืนอยู่บนดอกไม้ยักษ์สีทอง และคอยนั่งบัญชาการปีศาจระดับสูงอยู่ฝูงหนึ่ง


 


 


ลิ่วจู๋และสตรีผู้งดงามนำทหารภูตแปดพันตน และอาคมพายุทมิฬอยู่ด้านหน้า แน่นอนว่าผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตทั้งสองพลันกระตุ้นหุ่นเชิดอยู่ด้านหลัง


 


 


ทั้งกองทัพดูเหมือนมังกรยักษ์สีดำตัวหนึ่งที่เหาะไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็สลัดทางออกของทางเดินด้านหลังออกอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม ทั้งกองทัพก็บินออกมาจากทะเลทรายสีดำผืนนั้น ผลคือเบื้องหน้ามีของที่ทำให้หานลี่สูดลมหายใจเข้าด้วยความสยดสยอง


 


 


กระดูกสีขาวโพลนทอดสายตามองไปไม่เห็นปลายทาง!


 


 


ทางที่กองทัพเคลื่อนไปมีโครงกระดูกต่างๆ เรียงรายจนกลายเป็นที่ราบ โครงกระดูกเหล่านี้มีขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน เห็นได้ชัดว่าเป็นซากของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด พวกมันบ้างก็กองสูงตระหง่าน บ้างก็เป็นด่างๆ แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่คร่ำครึ


 


 


และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นเหม็นเน่าที่โชยออกมาเป็นระลอกๆ พลันลอยมาจากที่ราบในส่วนลึกของโครงกระดูกนั้น


 


 


ทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นยิ่งรู้สึกกระสับกระส่าย


 


 


แต่กองทัพแค่หยุดชะงักไปเล็กน้อย ลิ่วจู๋และหญิงงามผมขาวที่เป็นผู้นำก็นำทัพเข้าไปในกองกระดูกนั้น


 


 


เข้ามาในรวดเดียวสิบลี้เศษ แต่สิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตายังคงเป็นสีขาวโพลน และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายเหม็นคละคลุ้งยังลอยตลบอบอวลขึ้นเรื่อยๆ


 


 


หานลี่ใช้ลำแสงวิญญาณห่อหุ้มร่างกันกลิ่นเหม็นนี้เอาไว้ แต่สายตากลับกวาดไปซ้ายทีขวาทีไม่หยุด รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าออกมาเป็นบางครั้งคราว


 


 


แม้นว่าที่นี่จิตสัมผัสจะยังคงถูกกดเอาไว้ แต่จากความสามารถเนตรวิญญาณวารีกระจ่างของเขา กลับมองเห็นทุกอย่างที่อยู่ไกลๆ ได้อย่างง่ายดาย


 


 


ฉับพลันนั้นสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจของหานลี่พลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด แล้วร้องอุทานออกมาเบาๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)