ลำนำบุปผาพิษ 1478-1485
บทที่ 1478 กลัวข้าจะหลอกลวงเจ้างั้นหรือ?
“เล่นละคร! เล่นละครตบตาต่อไป!” หลานไว่หู่ที่อยู่ด้านข้างระเบิดอารมณ์ออกมา “แม่ดอกบัวขาวช่างโหดร้ายเป็นที่สุด! ท่านแสร้งทำตัวน่าสงสาร…”
นางไม่อาจตะโกนถ้อยคำด้านหลังออกมาได้เนื่องจากเยี่ยนเฉินสะบัดชายเสื้อสกัดจุดนางเอาไว้ เมื่อสะบัดชายเสื้ออีกครั้ง หลานไว่หู่ก็ตกลงไปในทะเลสาบอันเย็นเยือกนั้น ตามมาด้วยคำพูดเย็นชาของเยี่ยนเฉิน “หลานไว่หู่ ข้าตามใจเจ้ามากเกินไปแล้ว! เจ้าสงบจิตสงบใจอยู่ที่นี่เสีย!”
จิ้งจอกน้อยแช่น้ำอยู่ตรงนั้นโดยถูกสกัดจุดทั้งตัว พูดจาอันใดไม่ได้ มองดูเยี่ยนเฉินประคองมารดาเยี่ยนขึ้นเกี้ยวไปอย่างไร้หนทาง แม้แต่เหลิ่งอู๋ซวงที่บาดเจ็บยังถูกจัดม้านั่งตัวหนึ่งให้คนยกเดินไปอย่างเหมาะสม
ผู้คนเหล่านั้นเดินจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบเยี่ยนเฉินไม่ได้หันกลับมามองนางอีกเลย กลับเป็นมารดาเยี่ยนที่อยู่บนเกี้ยวกับเหลิ่งอู๋ซวงบนม้านั่งเหลือบมองนางลงมาจากด้านบนแวบหนึ่ง แววตาเต็มเปี่ยมด้วยชัยชนะ…
ความสงบหวนคืนริมฝั่งทะเลสาบดังเดิม แม้แต่คนผู้หนึ่งก็มองไม่เห็น
ถึงแม้จิ้งจอกน้อยถูกสกัดจุด ทว่านางก็ไม่ได้จมลงไปในน้ำ ยังคงเผยให้เห็นศีรษะกับหัวไหล่กึ่งหนึ่ง
น้ำทะเลสาบเย็นเยือก หัวใจของจิ้งจอกน้อยก็เย็นเยือกเช่นกัน นางร้องไห้อย่างไร้สุ้มเสียง หยาดน้ำตาร่วงหล่นทีละหยดๆ…
ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าร้องไห้อยู่ตรงนั้นนานเท่าใดแล้ว อาจจะเนิ่นนานหรืออาจเพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ เบื้องหน้านางพลันปรากฏให้เห็นอาภรณ์สีฟ้าคราม ชายอาภรณ์แทบจะปกคลุมใบหน้านาง
นางเงยหน้าขึ้น น้ำตาเอ่อล้นดวงตา ใบหน้าที่มองเห็นนั้นก็คือใบหน้างดงามล่มเมืองของหลานเยวี่ย เขาหลุบตาลงมองนาง เอ่ยถามนางเพียงหนึ่งประโยค “อยากไปกับข้าหรือไม่?”
จิ้งจอกน้อยไม่พูดไม่จา เพียงมองเขาอย่างตกตะลึง สายตาฉายแววความระแวดระวัง
หลานเยวี่ยทอดถอนใจ “กลัวข้าจะหลอกลวงเจ้างั้นหรือ?”
สายตาจิ้งจอกน้อยยิ่งระแวดระวังมากขึ้น
หลานเยวี่ยถอดเสื้อคลุมด้านนอก เสื้อคลุมด้านในออกอย่างช้าๆ…
จิ้งจอกน้อยรีบหลับตาลงทันที แทบจะก่นด่าคนบ้าในใจ
“ไว่หู มองข้าสิ”
จิ้งจอกน้อยหลับตาแน่นขึ้นกว่าเดิม เกรงว่าจะมองเห็นสิ่งใดที่ไม่ควรเห็น
หลานเยวี่ยเหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่าง จึงอดไม่ได้หัวเราะเย้ยหยันไปคราหนึ่ง “โง่งม! เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าดูส่วนสงวนของข้าหรืออย่างไร? เจ้าฝันไปเถอะ! ดูเอวข้านี่! แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นใคร”
จิ้งจอกน้อยยังคงอยากรู้อยากเห็น นางลืมตาขึ้น สิ่งที่มองเห็นคือหลานเยวี่ยเผยเอวบางขาวผ่องอันทรงพลังให้เห็น บนเอวของเขามีบางอย่างเหมือนรอยสักหรือว่าปาน คล้ายใบหน้าจิ้งจอก คล้ายกับที่แขนของจิ้งจอกน้อยอย่างน่าประหลาดใจ เพียงแต่ใบหน้าจิ้งจอกของเขาดูหล่อเหลายิ่งกว่า อีกทั้งบนหัวจิ้งจอกยังมีมงกุฎเล็กๆ สวมอยู่
จิ้งจอกน้อยเบิกตาโต หลานเยวี่ยกล่าว “ตอนนี้จะไปกับข้าแล้วหรือไม่? ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง ไม่แน่อาจเป็นเรื่องน่าตกใจ…”
ในที่สุดจิ้งจอกน้อยก็พยักหน้า เมื่อหลานเยวี่ยสะบัดชายเสื้อ ร่างกายของจิ้งจอกน้อยก็โบยบินขึ้นจากน้ำเข้าสู่อ้อมกอดเขา
เส้นผมและร่างกายของนางเปียกโชก แต่หลานเยวี่ยกลับไม่รังเกียจ อุ้มนางแล้วหันกายไปในทันที…
“วางนางลง!” เสียงที่คมชัดดังมาจากริมฝั่ง เยี่ยนเฉินกลับมาได้ทันกาล ใบหน้าเขาพลันเขียวคล้ำเมื่อเห็นภาพฉากนี้ มองหลานเยวี่ยที่ยืนบนผืนน้ำด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง
หลานเยวี่ยอุ้มจิ้งจอกน้อยหันกายไปอย่างเนิบนาบ หยักยิ้มมุมปาก “เจ้ามาช้าไปเสียแล้ว!” อีกทั้งยังเอ่ยถามจิ้งจอกน้อยในอ้อมกอด “เจ้าอยากอยู่ต่อหรือจะไปกับข้า?”
จิ้งจอกน้อยหลับตาลง เอนศีรษะแนบอกหลานเยวี่ย เอ่ยคำพูดออกมาสามคำ “ไปกับเจ้า”
หลานเยวี่ยเหลือบมองเยี่ยนเฉินแวบนึ่ง พร้อมอมยิ้ม “ได้ยินแล้วกระมัง?”
ใบหน้าเยี่ยนเฉินซีดเผือด ย่ำน้ำพุ่งตัวมาทันใด “จิ้งจอกน้อย จิตใจคนผู้นี้ไม่อาจคาดคะเน เจ้าไปกับเขาไม่ได้! หลานเยวี่ย วางนางลง มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพร่วมสำนัก ทำให้เจ้าเลือดตกยางออก!”
——————————————————————-
บทที่ 1479 เจ้ารู้สึกดุจมีเสียงฟ้าร้องกลางศีรษะเลยใช่หรือไม่?
หลานเยวี่ยเชิดหน้าขึ้นเย้ยยิ้ม “คนชนเผ่าข้าให้พวกเจ้ามาเหยียดหยามได้ที่ไหน?! ในเมื่อพวกเจ้าดูแลนางให้ดีไม่ได้ ยังมีคุณสมบัติอื่นใดมาเหนี่ยวรั้งนางไว้ได้อีก?!”
เยี่ยนเฉินตกตะลึง “คนชนเผ่าเจ้าอะไรกัน?!”
หลานเยวี่ยยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่พูดจาอันใดอีก นิ้วมือในแขนเสื้อพลันทำมุทราประหลาดอย่างหนึ่ง ระลอกคลื่นประหนึ่งลำแสงสาดสะท้อนปรากฏขึ้นกลางอากาศ หลานเยวี่ยอุ้มจิ้งจอกน้อยย่ำเท้าลงกลางระลอกคลื่นนั้น จากนั้นก็หายตัวไปกลางอากาศ…
…
หุบเขาหลังสายฝนพรำ บรรยากาศพลบค่ำของฤดูใบไม้ร่วงยิ่งหนาวเหน็บ
ภายนอกถ้ำแห่งหนึ่ง กองไฟกองหนึ่งกำลังลุกไหม้
จิ้งจอกน้อยนั่งกอดอกอยู่ข้างกองไฟ ริมฝีปากซีดขาว ใบหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาบวมแดง จุดของนางถูกคลายแล้ว ดังนั้น นางจึงเอ่ยถามสิ่งที่อยากถามที่สุด “เจ้าเป็นพี่ชายของข้าหรือ?”
เขาแซ่หลาน บนร่างกายมีสัญลักษณ์ใบหน้าจิ้งจอก ดูอย่างไรก็เหมือนพี่น้องที่พลัดพรากจากกัน
ถึงแม้ที่นางเอ่ยเป็นประโยคคำถาม ทว่าภายในใจกลับมั่นใจอยู่แล้วเก้าส่วน มิเช่นนั้นนางไม่มีทางมากับเขาอย่างง่ายดายแน่
หลานเยวี่ยยกมือโยนเสื้อผ้าให้นางชุดหนึ่ง “เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ออกมาแล้วข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”
ทั่วทั้งร่างกายของจิ้งจอกน้อยยังคงเปียกชุ่ม ต้องการเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่พอดี จึงวิ่งเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในถ้ำ
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางออกมานั่งข้างกองไฟอีกครั้งหนึ่ง “ยามนี้ เจ้าพูดได้แล้ว เจ้าเป็นพี่ชายที่พลัดพรากของข้าใช่หรือไม่? ท่านพ่อให้เจ้ามาตามหาข้า? ท่านพ่อของพวกเราเป็นคนในเผ่าจิ้งจอกคราม?”
หลานเยวี่ยแก้ไขนาง “ท่านพ่อเจ้าให้ข้ามาตามหาเจ้าจริงๆ แต่ว่าขอโทษด้วย ข้าไม่ใช่พี่ชายเจ้า ข้ากับเจ้าไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่น้อย”
ภายในดวงตากลมโตของหลานไว่หู่ฉายแววผิดหวัง “แต่เจ้าก็แซ่หลาน อีกทั้งยังมีปานที่เหมือนกันกับข้า…”
หลานเยวี่ยหยักริมฝีปากยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยเข้าใจเผ่าจิ้งจอกครามเสียเลย เผ่าของพวกเราแซ่หลานกันทั้งหมด ส่วนเรื่องปานที่เจ้าพูดถึง…ความจริงแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่ปาน แต่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง สัญลักษณ์การหมั้นหมายกันระหว่างชายหญิงของเผ่าจิ้งจอกคราม”
ดวงหน้าน้อยๆ ของหลานไว่หู่ซีดขาว “หมั้น…หมั้นหมาย?!” นางผลุดลุกขึ้นยืน “เจ้าหลอกลวงข้าอีกแล้ว! ตั้งแต่เด็ก ข้าเติบโตมาในเมืองเยี่ยนจือ ก่อนที่เจ้าจะมาเข้าร่วมสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร! ไปหมั้นหมายกับเจ้าไว้เมื่อใดกัน?! อีกอย่างปานนี้ของข้ามีมาตั้งแต่ข้าจำความได้ ตอนนั้นข้าก็ยังไม่รู้จักเจ้า…”
หลานเยวี่ยยิ้มหดหู่ “นั่นเป็นเพราะการหมั้นหมายของพวกเราเป็นการหมั้นหมายครั้งวัยเยาว์ กล่าวอย่างถูกต้องก็คือการคลุมถุงชน ตอนเจ้ายังอยู่ในครรภ์มารดา ท่านพ่อของเจ้าก็หมั้นหมายเจ้ากับข้าแล้ว”
หลานไว่หู่ตกตะลึงอ้าปากค้าง ถอยหลังไปสองก้าว “ข้าไม่เชื่อ!”
หลานเยวี่ยมองดูดวงหน้าน้อยๆ ที่เขียวคล้ำและขาวซีดสลับไปมาของนาง “เจ้ารู้สึกดุจมีเสียงฟ้าร้องกลางศีรษะเลยใช่หรือไม่?”
หลานไว่หู่กัดฟันจ้องมองเขา ไม่พูดจาอันใด สำหรับนางแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่เสียงฟ้าร้องครืนครานกลางศีรษะ แต่เหมือนกับฟ้าผ่ากลางศีรษะเลยต่างหาก!
หลายเยวี่ยคลายมือ “อย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้า ความจริงตอนข้าเพิ่งรู้ก็รู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าร้องกลางศีรษะเช่นกัน คิดว่าคนหนุ่มอัจฉริยะ หน้าตาหล่อเหลา สง่าผ่าเผย โดดเด่นกว่าใครอย่างข้า ไม่รู้มีหญิงสาวมากมายขนาดไหนในเผ่าจิ้งจอกครามพึงใจชอบพอข้า โยนกิ่งต้นมะกอก[1]ให้ข้ามากมาย อย่างไรก็ควรมีความรักอันน่าตื่นเต้นมีชีวิตชีวารอคอยข้าอยู่ หญิงสาวที่ข้ารักต้องเป็นคนงดงามที่สุด เฉลียวฉลาดที่สุด อ่อนโยนเป็นที่สุด…จะเป็นการหมั้นหมายครั้งวัยเยาว์ธรรมดาได้อย่างไร?! ข้าหดหู่อยู่หนึ่งเดือนเต็มเมื่อทราบเรื่องนี้!”
หลานไว่หู่นิ่งอึ้ง
นางยังคงไม่เชื่อ หลานเยวี่ยเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของเจ้าคือใคร?”
หลานไว่หู่ส่ายหน้า หลานเยวี่ยยิ้มบางๆ “ท่านพ่อของเจ้าเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งยวดในเผ่าจิ้งจอกคราม เขาเป็นราชครูของเผ่าจิ้งจอกคราม”
—————————————————————————-
[1] โยนกิ่งต้นมะกอก กิ่งต้นใบมะกอกเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ หมายถึงการให้โอกาสกับใครบางคน
บทที่ 1480 หากฝ่ายหนึ่งตายจาก โลงศพจะถูกฝังไว้ข้างๆ
หลานไว่หู่จับต้นชนปลายไม่ถูก หลานเยวี่ยจึงบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเผ่าจิ้งจอกครามให้นางฟัง
บุคคลผู้สูงศักดิ์ในเผ่าจิ้งจอกครามย่อมต้องเป็นประมุขเผ่าจิ้งจอกคราม ทว่าผู้มีอำนาจ มีความสามารถมากที่สุดกลับเป็นราชครู ซึ่งเทียบเท่ากับบทบาทของสมเด็จพระสังฆราช สามารถตัดสินใจปลดและแต่งตั้งประมุขเผ่าจิ้งจอกครามได้
อีกทั้งเผ่าจิ้งจอกคราม บุรุษมากสตรีน้อย มีกฎเกณฑ์ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างหนึ่งคือ สตรีที่ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงของเผ่าจิ้งจอกครามแต่งงานกับคนนอกได้ ทว่าบุรุษของเผ่าจิ้งจอกครามกลับไม่ได้รับอนุญาตให้มีความสัมพันธ์กับสตรีนอกเผ่า
ยิ่งไปกว่านั้นเผ่าจิ้งจอกครามยังมีกฎผัวเดียวเมียเดียว ทั้งชีวิตแต่งงานได้เพียงกับแค่คนเดียวเท่านั้น หากฝ่ายหนึ่งตายจาก โลงศพจะถูกฝังไว้ข้างๆ เพื่อแสดงความรักใคร่ทั้งหมด
ฐานะราชครูหลานสูงส่ง ว่ากันตามเหตุผล เขาควรแต่งงานกับองค์หญิงสูงศักดิ์ที่สุดของเผ่าจิ้งจอกคราม ทว่าเขากลับจับพลัดจับผลูไปตกหลุมรักมนุษย์หญิงผู้หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็คือมารดาของหลานไว่หู่
ราชครูหลานได้พบมารดาของหลานไว่หู่โดยบังเอิญขณะที่เขาปกปิดฐานะตนเองเดินทางไปนอกเผ่า และเป็นรักแรกพบ
ราชครูหลานย่อมรู้ดีว่าเรื่องนี้จะก่อให้เกิดการต่อต้านทั้งเผ่าจิ้งจอกคราม ทว่าอย่างไรเสียเขาก็มีวิธี หาทางเปลี่ยนสายเลือดของนางอันเป็นที่รัก ให้นางมีรูปลักษณ์คล้ายคนเผ่าจิ้งจอกคราม พาเข้าไปภายในดินแดนของเผ่าจิ้งจอกครามแล้วแต่งงานกันอย่างราบรื่น
ยามมารดาหลานตั้งครรภ์ ราชครูหลานทราบเพศของลูกตนเองล่วงหน้า เพื่อให้ลูกของตนมีที่พึ่งพิงสุดท้ายที่ดีที่สุด เขาตั้งใจเสนอเรื่องการแต่งงานนี้กับประมุขเผ่าจิ้งจอกครามเป็นพิเศษ ตอนนั้นหลานเยวี่ยอายุแปดขวบ โดดเด่นเป็นสง่า เผยให้เห็นพรสวรรค์มากมาย ถูกแต่งตั้งให้เป็นทายาท หากไม่มีเหตุการณ์ใดผิดพลาด เขาจะเป็นประมุขเผ่าจิ้งจอกครามในอนาคต
ประมุขเผ่าจิ้งจอกครามย่อมต้องการเกี่ยวดองกับราชครูหลานเช่นกัน เขาพึงพอใจกับการหมั้นหมายนี้เป็นอย่างมาก จึงตอบตกลงและจัดพิธีหมั้นหมายพิเศษของเผ่าจิ้งจอกครามให้เด็กทั้งสองล่วงหน้า ดังนั้นหลานไว่หู่ที่ยังอยู่ในครรภ์มารดากับหลานเยวี่ยในวัยเยาว์จึงหมั้นหมายกัน บนร่างกายของแต่ละคนจึงมีสัญลักษณ์พิเศษ
ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ตัวตนของมารดาหลานถูกเปิดเผย ก่อให้เกิดการต่อต้านจากทั้งเผ่าจิ้งจอกคราม ตำแหน่งราชครูหลานจึงเริ่มสั่นคลอน
หลังจากนั้นมารดาหลานหนีไปในค่ำคืนจันทรามืดมิด พายุลมโหม ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีข่าวคราว ไม่มีใครรู้ว่านางไปไหนแล้ว
ส่วนราชครูหลานกลับสูญเสียความทรงจำอย่างแปลกประหลาด จดจำเรื่องราวของมารดาหลานไม่ได้ จึงไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเขา เขายังคงเป็นราชครูหลานผู้สูงส่ง ช่วยเหลือประมุขเผ่าจิ้งจอกคราม
จนกระทั่งก่อนหน้านี้หนึ่งปี ราชครูหลานฝึกฝนจนถูกธาตุไฟเข้าแทรก ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าความทรงจำฟื้นคืนกลับมาในช่วงเวลาก่อนสิ้นลมหายใจ จดจำมารดาหลานขึ้นได้ เขาจึงเรียกหลานเยวี่ยเข้าไปพบเพื่อบอกเรื่องราวเหล่านี้ให้ทราบ ฝากฝังให้ตามหาภรรยากับบุตรสาวของตน และใช้วิชาลับของราชครูบนร่างหลานเยวี่ย ขอเพียงแค่หลานเยวี่ยตามหาบุตรสาวเขาพบ พานางกลับมาอย่างปลอดภัยและรับนางเป็นภรรยา เขาจึงจะได้รับสืบทอดเป็นประมุขเผ่าจิ้งจอกคราม มิเช่นนั้น ชั่วชีวิตนี้เขาก็อย่าได้คิดจะได้สืบทอดตำแหน่งประมุขเผ่าจิ้งจอกครามอีกเลย
ยามหลานเยวี่ยรับทราบเรื่องการหมั้นหมายนี้ก็รู้สึกดุจมีเสียงฟ้าผ่ากลางศีรษะไปแล้ว ซ้ำยังถูกราชครูหลานใช้สัญญานี้บีบบังคับ ยิ่งทำให้เขาโกรธเกรี้ยว จึงถามราชครูกลับ “เวลาล่วงเลยไปเนิ่นนานเช่นนี้แล้ว บางทีลูกสาวของท่านอาจออกเรือนไปแล้วก็ได้ หรือว่าหากนางออกเรือนแล้วข้าก็ต้องยื้อแย่งนางมาแต่งงานให้ได้งั้นหรือ?”
ราชครูหลานกล่าว “หากนางออกเรือนหรือมีคนในใจอยู่แล้ว เจ้าก็ปรึกษากับนางให้ยกเลิกการหมั้นหมายนี้ได้ ขอเพียงแค่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายต่างยินยอม สัญญาการหมั้นหมายนี้ย่อมยกเลิกได้โดยอัตโนมัติ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะไม่ถูกกฎเกณฑ์นี้ผูกมัดอีกต่อไป”
เมื่อราชครูพูดจบก็วางใจตายตาหลับ หลงเหลือเรื่องราวอุรุงตุงนังเช่นนี้รอให้หลานเยวี่ยไปจัดการ
เพื่อตำแหน่งประมุขเผ่าในอนาคต เพื่อฟื้นคืนอิสรภาพของร่างกาย หลานเยวี่ยจึงได้ฝืนทนอดกลั้นออกตามหาหลานไว่หู่…
——————————————————————–
บทที่ 1481 มารดาเยี่ยนมาเยือน
แต่คลื่นมนุษย์กว้างใหญ่ไพศาล ต้องการตามหาคนที่ยามนั้นยังอยู่ในครรภ์มารดาอยู่เลยย่อมยากเย็นเข็ญใจยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นคือราชครูหลานผู้นี้พึ่งพาไม่ค่อยได้เลยจริงๆ เขากับมารดาหลานครองรักกันจนแม้กระทั่งบุตรก็ใกล้จะลืมตาดูโลกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะไม่ทราบเลยว่าบ้านเกิดของมารดาหลานคือที่ไหน บอกเพียงว่าปีนั้นทั้งสองคนบังเอิญพบกันยามที่ท่องอยู่ในยุทธภพ…
หลานเยวี่ยตามหาคู่หมั้นในตำนานผู้นี้มาปีครึ่งแล้ว หากมิใช่ตรานี้บนร่างเขายังอยู่ตลอดมา เขาแทบนึกว่าคู่หมั้นผู้นี้ลาโลกไปเสียแล้ว!
หลานเยวี่ยเล่าอย่างฉาดฉาน ในที่สุดก็อธิบายทุกอย่างนี้จนกระจ่างแล้ว จากนั้นก็มองจิ้งจอกน้อย “ตอนนี้เจ้ารู้แล้วสินะว่าข้าเกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างไร? มีอะไรอยากพูดไหม?”
ปฏิกิริยาตอบสนอของจิ้งจอกน้อยในวันนี้เห็นได้ชัดว่าเชื่องช้าไปหลายจังหวะ เอ่ยถามไปตามสัญชาตญาณ “อะไรนะ…ความเห็นอะไร?”
หลานเยวี่ยมองนางโดยไม่พูดอะไร
ปฏิกิริยาตอบสนองของกู้ซีจิ่วกลับมาแล้ว “อันที่จริงเจ้าตามหาข้าเพื่อถอนหมั้นสินะ? ง่ายมาก ข้าเห็นด้วย”
หลานเยวี่ยกระอักกระอักอยู่ครู่หนึ่ง หรี่ตามองนาง “แค่นี้หรือ?”
จิ้งจอกน้อยนิ่งไปพักหนึ่ง ช้อนตามองเขา “บิดาข้าเป็นราชครูเผ่าจิ้งจอกครามจริงๆ หรือ?”
“ของแท้แน่นอน”
“เจ้าไม่ได้จำผิดใช่ไหม? บนร่างข้านอกจากปานนี้แล้วไม่มีสัญลักษณ์อื่นๆ ของเผ่าจิ้งจอกครามเลยนะ บางทีอาจเป็นแค่ปานที่ดูคล้ายกันเท่านั้น…”
หลานเยวี่ยส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ “ถึงอย่างไรเจ้าก็มีสายเลือดของมนุษย์อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคือมารดาของเจ้าก็ไม่ธรรมดายิ่งนัก นางเคยเรียนกรู้เวทวิชาเฉพาะของเผ่าจิ้งจอกครามกับราชครูหลานมาบ้าง นางปกปิดอย่างมิดชิดเพื่อไม่ให้ผู้ใดหาพบ จึงผนึกสัญลักษณ์พิเศษของเผ่าจิ้งจอกครามบนร่างเอาไว้โดยเฉพาะเท่านั้น”
“เจ้ารู้ได้ยังว่ามิใช่เดิมทีข้าก็ไม่มีอยู่แล้ว แต่เป็นถูกผนึกไว้?”
หลานเยวี่ยมองนาง “เจ้าคิดว่าตัวข้าที่จับสังเกตเจ้ามานานถึงเพียงนี้เป็นคนตาบอดหรืออย่างไร? คนอื่นอาจมองไม่ออก แต่อย่าได้ฝันว่าจะเล็ดรอดจากสายตาของข้าได้! หากเจ้าไม่เชื่อ รัชทายาทอย่างข้าสามารถปลดผนึกบนร่างเจ้าให้ได้นะ”
เขาทำมุทรา มีแสงสีครามห่อหุ้มจิ้งจอกน้อยเอาไว้ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เก็บมือ “เรียบร้อยแล้ว”
หลานไว่หู่มองตัวเอง ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนไป จึงมองเขาอย่างสงสัย
หลานเยวี่ยถอนหายใจ “ดูท่าเจ้าคงไม่รู้ว่าสัญลักษณ์ของเผ่าจิ้งจอกครามคืออะไร” เขาลุกขึ้นยืน หมุนตัวเบาๆ คราหนึ่ง รอบกายคล้ายมีแสงสีครามห่อหุ้มไว้ เมื่อแสงสีครามสลายไป รูปโฉมของเขาก็เปลี่ยนไป
นัยน์ตาดอกท้อคงเดิมหางตาเรียวเฉี่ยวขึ้นมา ม่านตากลายเป็นแนวตั้ง มีระลอกแสงเย้ายวนดั่งภูตมาร จมูกโด่งกว่าเก่า ริมฝีปากฉ่ำวาวยิ่งขึ้น อาภรณ์บนร่างก็กลายเป็นสีครามสมุทร บนอาภรณ์มีลายจิ้งจอกเลี้ยวลดคดเคี้ยว ราวกับหางจิ้งจอกที่โบกพลิ้ว
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ายังคงเป็นคนผู้นั้น ทว่ากลิ่นอายกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นทรงเสน่ห์เย้ายวน งดงามจนทำให้คนหยุดหายใจ
ยามที่เขาเป็นหลานเยวี่ยมนุษย์ธรรมดา จะอ่อนน้อมสง่างาม สุภาพดุจหยก
ยามนี้เป็นเปลี่ยนเป็นรัชทายาทเผ่าจิ้งจอกครามแล้ว กลับแฝงความงามเย้ายวนที่ล่อลวงใจคนได้เอาไว้ ราวกับถ้ามองเขามากไปสักแวบก็จะถูกเขาดูดวิญญาณเอาได้ และกลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมากนัก มีท่วงท่าของผู้เป็นราชันประการหนึ่ง
“คนเผ่าจิ้งจอกครามทราบวิชาเปลี่ยนร่าง นี่เป็นรูปโฉมที่แท้จริงของประมุขอย่างข้า หล่อเหลายิ่งนักใช่ไหม?”
หลานไว่หู่พยักหน้า “งดงามที่สุด” พลางมองตัวเอง “ข้าก็ใช้วิชาเปลี่ยนร่างได้หรือ?”
หลานเยวี่ยหัวเราะเบาๆ “ข้าผู้เป็นรัชทายาทจะคืนร่างเดิมให้เจ้าก่อนแล้วกัน อันที่จริงข้าก็สนใจใคร่รู้ยิ่งนักว่าร่างเดิมของเจ้าจะเป็นเช่นกัน” พลางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อจิ้งจอกน้อยได้เห็นตัวเองในกระจกก็เหม่อลอยไปพักหนึ่ง
รูปโฉมของนางที่อยู่ในกระจกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลนัก นัยน์ตาที่เดิมทีกลมโตเป็นรูปผลซิ่งก็กลายเป็นนัยน์ตาจิ้งจอกเรียวเฉี่ยวเช่นเดียวกัน ม่านตาเป็นขีด นัยน์ตาสีไพลินส่องประกาย จมูกโด่งริมฝีปากแดง เดิมทีรูปร่างของนางค่อนข้างแบนราบ ทรวงอกค่อนข้างเล็ก ยามนี้กลับอกผายเอวคอด โค้งเว้าเย้ายวน เรียกขานว่านางมารได้เลย
บทที่ 1482 มารดาเยี่ยนมาเยือน 2
อาภรณ์บนร่างที่เดิมทีเป็นสีขาวก็กลายเป็นสีครามสดใส ตรงชายกระโปรงปักลายหางจิ้งจอกฟูฟ่องไว้ หางจิ้งจอกนั้นดูทรงเสน่ห์มากชั้นเชิงกว่าหางจิ้งจอกบนอาภรณ์ของหลานเยวี่ยเสียอีก ยามที่ร่างกายนางเคลื่อนไหวเล็กน้อย ชายกระโปรงจะกระเพื่อมเบาๆ ราวกับหางจิ้งจอกที่โบกสะบัดไปตามสายลม
หลานเยวี่ยค่อยๆ กวาดสายตาเพ่งพิศนาง จดจ้องที่ม่านตาขีดสีไพลินของนาง หางจิ้งจอกตรงชายกระโปรง…ความประหลาดใจพาดผ่านนัยน์ตาแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “นึกไม่ถึงเลย…” กล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งไป
จิ้งจอกน้อยยังคงประหม่าอยู่บ้าง “นึกไม่ถึงอะไรหรือ?”
“นึกไม่ถึงเลยว่าสายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามของเจ้าจะบริสุทธิ์ยิ่งนัก”
จิ้งจอกน้อยเม้มริมฝีปาก “บริสุทธิ์กว่าเหลิ่งอู๋ซวงอีกหรือ?”
หลานเยวี่ยดูหมิ่น “นางไม่อาจเทียบกับเจ้าได้ ไม่คู่ควรจะยกรองเท้าให้เจ้าเลยด้วยซ้ำ นางมีสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกครามเพียงน้อยนิดเท่านั้น ส่วนเจ้ากลับเป็น…สายเลือดเผ่าจิ้งจอกครามที่บริสุทธิ์ที่สุด…ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นธิดาของราชครูหลาน รูปโฉมจึงคล้ายคลึงเขาที่สุด”
ที่เผ่าจิ้งจอกคราม สายเลือดที่สูงส่งที่สุดก็คือสายเลือดของราชครูหลาน ถึงขั้นสูงส่งกว่าประมุขเผ่าเสียอีก
ราชครูหลานมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งโดยกำเนิด ไม่นึกเลยว่าถึงเขาจะครองคู่กับมนุษย์ สายเลือดของเด็กที่กำเนิดออกมาก็ยังคงบริสุทธิ์ปานนี้อยู่ ที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้นคือพลังวิญญาณก็บริสุทธิ์ยิ่งนักเช่นกัน เด็กที่มีสายเลือดเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก!
หากนางกลับสู่เผ่าจิ้งจอกครามด้วยรูปโฉมที่แท้จริง คาดว่าชายโสดทั้งเผ่าจิ้งจอกครามคงคลั่งไคล้นางกันหมด ปรารถนาจะแต่งนางเป็นภรรยา!
หลานไว่หู่ไม่รู้เลยว่าสายเลือดของตนก่อให้เกิดระลอกคลื่นบางอย่างขึ้นในใจหลานเยวี่ยแล้ว นางหลุบตาลง “แต่มารดาของเขากลับบอกว่าข้าชั้นต่ำที่สุด…”
“นั่นเป็นนางตาบอดเอง!” น้ำเสียงหลานเยวี่ยอ่อนโยน
“นางบอกว่าบุตรชายของนางมีเพียงคนที่เชื้อสายสูงส่งเท่านั้นถึงจะคู่ควร ข้าเป็นนกกระจอกที่เข้าไปในรังพญาหงส์…บอกว่าข้าชั้นต่ำ ไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นสาวใช้ของเหลิ่งอู๋ซวงด้วยซ้ำ ยามที่ข้าจมอยู่ในสระเหลิ่งอู๋ซวงยังส่งกระแสเสียงมาหาข้าด้วย ให้ข้าสำเหนียกเสียบ้าง ชาตินี้พี่เยี่ยนเฉินเป็นเพียงของนางเท่านั้น เนื่องจากมีแต่นางเท่านั้นที่คู่ควรกับเขา…”
หล่านไว่หู่บ่นกับตัวเอง จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “หากว่ามารดาเขาทราบฐานะของข้าเข้าต้องสำนึกเสียใจเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจมาขอความเมตตาจากข้า ไม่ดูแคลนข้าอีก…”
ใบหน้าหล่อเหาของหลานเยวี่ยเคร่งขรึมขึ้นมา “อะไรกัน? เจาคิดจะใช้ฐานะของเจ้าไปสั่นคลอนนางอีกครั้ง ให้นางยอมรับเจ้าหรือไง?”
หลานไว่หู่ส่ายศีรษะ “ไม่เอา!”
หลานเยวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นเจ้าจะทำยังไงต่อ?”
หลานไว่หู่นิ่งไปครู่หนึ่ง “ข้าอยากกลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์”
หลานเยวี่ยยิ้ม ทว่าแววตากลับไม่ได้ยิ้มสักเท่าใด “เจ้ารู้สึกว่าเยี่ยนเฉินไม่ใช่คนเช่นนั้น เขาจะต้องไปตามหาเจ้าที่สำนักใช่ไหม?”
หลานไว่หู่หลุบตาลงไม่พูดอะไร เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ความรักที่บ่มเพาะมามิใช่จะตัดขาดได้ง่ายดายปานนั้น นางชิงชังมารดาของเยี่ยนเฉิน แต่กลับชังเยี่ยนเฉินไม่ลง เพียงแค่ผิดหวังยิ่งนัก คับข้องหมองใจมาก…
หบานเยวี่ยต้อนถามต่อ “หากว่าเขาไปหาเจ้าที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เจ้ายังจะไปกับเขาอีกไหม?”
คราวนี้หลานไว่หู่ส่ายหน้าอย่างรวดเร็วนัก “ข้าจะไม่ไปจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีกแล้ว!” นางไม่คิดจะล่วงเข้าประตูใหญ่ตระกูลเยี่ยนอีกแล้ว เอาเกี้ยวแปดคนหามมาเชิญนางก็ไม่ไป!
หลานเยวี่ยหรี่ตาเล็กน้อย นางบอกว่าจะไม่ไปจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แต่ไม่ได้บอกว่าจะตัดขาดกับเยี่ยนเฉินอย่างแน่นอน…
“ไว่หู่ เจ้ายังคงคาดหวังในตัวเยี่ยนเฉินอยู่ใช่หรือไม่? ยังคงหวังให้เขามาหาเจ้าสินะ?” หลานเยวี่ยถามออกมาตรงๆ
จิ้งจอกน้อยตะลึงงัน ไม่พูดอะไร
น้ำเสียงหลานเยวี่ยเยียบเย็นเล็กน้อย “เจ้าเป็นคนเผ่าจิ้งจอกคราม เด็กสาวเผ่าจิ้งจอกครามล้วนแต่มีเกียรติ เจ้าไม่มีความเด็ดเดี่ยวขนาดนี้เชียวหรือ? ถ้าเขาเอ่ยขอโทษเจ้าแค่ไม่กี่ประโยค เจ้าก็จะอภัยให้เขาอย่างปรีดาแล้วใช่ไหม?”
—————————————————————————
บทที่ 1483 มารดาเยี่ยนมาเยือน 3
หลานไว่หู่สูดหายใจนิดๆ ส่ายหน้าให้ “ไม่!” นางรู้ว่าเยี่ยนเฉินจะมาหานางแต่บาดแผลของนางสาหัสเกินไป ไม่อยากพบเขาชั่วคราว
หลานเยวี่ยแย้มยิ้ม “เจ้ามั่นใจว่าเยี่ยนเฉินจะมาหาเจ้าโดยเร็วสินะ?”
หลานไว่หู่เชิดหน้า “เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า?” นางมั่นใจจริงๆ เยี่ยนเฉินชอบนาง ไม่ทิ้งขว้างไม่ไยดีนางเนิ่นนานถึงเพียงนั้นหรอก จะโทษก็ต้องโทษคนในครอบครัวของเขาที่ไม่ดี บ้าอำนาจเกินไป
หลานเยวี่ยดีดเล็บทีหนึ่ง “เด็กน้อยที่น่าสงสาร ข้าพนันได้เลยว่าเขาจะไม่มาหาเจ้าภายในสิบวัน ในใจของเขาวางบิดามารดาไว้เป็นที่หนึ่ง บิดามารดาจะขัดขวางไม่ให้เขาไปตามหาเจ้าที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ และเขาก็เป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง ย่อมต้องเชื่อฟัง รอให้ความโกรธของบิดามารดาทุเลาลง ไม่แน่ว่าเขาถึงคิดจะไปรับเจ้ากลับมา ไปหาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์สักหน่อย เขาเห็นเจ้าเป็นของตาย รู้ว่าเจ้าชอบเขา ไม่ว่าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร แค่ปลอบโอ๋นิดหน่อยก็ไม่มีอะไรแล้ว…รอจนกล่อมเจ้าได้ ก็จะพาเจ้ากลับไปที่ตระกูลเยี่ยนอีก เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับมารดาเยี่ยนเช่นเดิม อ้อ แน่นอน หากว่าเจ้าไม่ต้องการให้มารดาเยี่ยนปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนั้น เจ้าก็สามารถเปิดเผยฐานะของเจ้าได้ ใช้ฐานะแลกเปลี่ยนกับความรักของเจ้า…”
วาจานี้ทำร้ายคนยิ่งนัก หลานไว่หู่ชะงักไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ เขาจะมาหาข้าทันทีแน่นอน!”
หลานเยวี่ยส่ายหน้า “เจ้ายังไม่เข้าใจบุรุษ…เจ้ากล้าพนันกับข้าไหมล่ะ?”
‘พนันหรือ? พนันอะไร?”
“พนันว่าเขาจะไปหาเจ้าภายในสิบวันหรือไม่ หากว่าเขามาหาจริงๆ นับว่าข้าแพ้ สัญญาหมั้นหมายของพวกเราจะสิ้นสุดลง และข้าจะช่วยออกสินเจ้าสาวให้เจ้าในฐานะที่เป็นคนของเผ่าจิ้งจอกครามด้วย หากว่าเจ้าแพ้ เช่นนั้นก็ต้องประกาศให้ทั้งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ทราบว่าเจ้ากับข้ามีสัญญาหมั้นหมายกัน เจ้าต้องตัดขาดกับเขา และต้องไม่ไปมาหาสู่กันอีก” หลานเยวี่ยสบตาหลานไว่หู่ “เจ้ากล้าพนันไหมล่ะ?”
หลานไว่หู่นิ่งงันไปพักใหญ่ สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “กล้า!”
ระยะทางจากเมืองเยี่ยนจื่อไปถึงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ สามวันก็ไปถึงแล้ว หากว่าไม่มาภายในสิบวัน นั่นแสดงว่าในใจเขานางไม่มีความสำคัญเลยจริงๆ…เช่นนั้นเหตุใดนางต้องยึดติดกับความรักครั้งนี้ไม่ยอมปล่อยวางด้วยเล่า?
เพียงแต่ นางมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเยี่ยนเฉินจะมาหานางทันเวลา ถึงเวลานั้นนางจะเล่าความอยุติธรรมทั้งหมดที่นางได้รับออกมา เยี่ยนเฉินจะต้องเชื่อนางแน่…
ทั้งสองกำหนดสัญญาเดิมพันขึ้น หลานไว่หู่ก็ไม่สนใจจะผิงไฟแล้ว กระโดดผลุงขึ้นมา “พวกเรากลับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์กันเถอะ!” เลี่ยงไม่ให้เยี่ยนเฉินไปถึงแล้วหานางไม่พบ…
อย่างไรเสียจิ้งจอกน้อยก็ไร้เดียงสา ความคิดแทบจะเขียนไว้บนหน้าแล้ว หลานเยวี่ยย่อมทราบว่านางคิดอะไรอยู่ นัยน์ตามืดดำ ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมเล็กน้อย ทว่ากลับยิ้มออกมา “ได้ ข้าจะพาเจ้ากลับไป เพียงแต่เจ้าก็ต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่งด้วย ฐานะของข้าเป็นความลับ เจ้าต้องสาบานว่าจะไม่แพร่งพรายให้ผู้ใดทราบ ยังมีอีก ฐานะของเจ้าก็อย่าเพิ่งเปิดเผยในยามนี้ด้วยเช่นกัน เจ้าจะได้เห็นว่าถ้าไม่มีฐานะนี้อยู่ เยี่ยนเฉินจะจริงใจต่อเจ้าหรือไม่…”
หลานไว่หู่ตอบรับ เพียงแต่นางยังคงฉงนอยู่บ้าง “การพนันเช่นนี้มีผลดีกับเจ้าตรงไหนกัน?”
เขามาหานางเพื่อถอนหมั้นมิใช่หรือ? ถ้านางชนะดังว่า เขาก็ต้องมอบสินเจ้าสาวให้ ถ้านางแพ้ สิ่งที่เขาจะได้ก็คือพันธะชั่วชีวิตเขา ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะเขาก็ไม่ได้รับผลดีอะไรเลย…
หลานเยวี่ยยิ้มนิดๆ “มีผลดีสิ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ระหว่างเจ้ากับข้าก็นับว่ามีผลตัดสินเพียงอย่างเดียว อาจจะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต หรือไม่ก็ตัดขาดกัน”
หลานไว่หู่เงียบไปแล้ว
นางไม่กังวลเลยว่าตัวเองจะแพ้ เนื่องจากมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเยี่ยเฉินจะมาหานางได้ทันเวลา…
หากว่าชนะพนันนครั้งนี้เรื่องการวิวาห์กับหลานเยวี่ยก็จะถูกเพิกถอน นับว่าเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
กู้ซีจิ่วที่ชมเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ด้านข้างมาโดยตลอดอดถอนหายใจไม่ได้
บทที่ 1484 มารดาเยี่ยนมาเยือน 4
เรื่องราวหลังจากนี้เธอไม่ต้องดูก็ทราบผลลัพธ์แล้วกระมัง? เยี่ยนเฉินมาหานางไม่ทันเวลา มิเช่นนั้นจิ้งจอกน้อยคงไม่ต้องประกาศเรื่องหมั้นหมายกับหลานเยวี่ย และคงไม่ก้าวมาถึงจุดนี้…
หลานไว่หู่ที่อยู่ในห้วงฝันมีหยาดน้ำตาซึมตรงหางตา “ทำไมล่ะ…ทำไมถึงไม่มาหาข้า? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าข้ารีบกลับมาทันที…แต่ท่านกลับไม่มา…”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจเบาๆ มิน่าเล่าจิ้งจอกน้อยถึงไม่ยอมเล่าเรื่องพวกนี้ ประการแรกคืออย่างไรเสียนางก็เป็นเด็กที่น้ำใจงาม ไม่อยากว่าร้ายพ่อแม่ของอีกฝ่าย ประการที่สองคือรักษาคำสัตย์ที่มีกับหลานเยวี่ย ถ้าพูดมากไป เกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยฐานะของหลานเยวี่ยเอาได้
ไม่นึกเลยว่าหลานเยวี่ยจะมีฐานะเช่นนี้ เป็นรัชทายาทเผ่าจิ้งจอกคราม…
เขามาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์สามปีเต็มแล้ว กล่าวก็คือการแตกหักของหลานไว่หู่กับเยี่ยนเฉินเกิดสองปีครึ่งแล้ว
ถ้าว่ากันตามเหตุผล เขาหาหลานไว่หูพบ หมั้นหมายกันไว้แล้ว ก็น่าจะพาหลานไว่หู่กลับเผ่าจิ้งจอกครามสิ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นรัชทายาทผู้สูงส่ง มีฐานะเป็นรัชทายาทของเผ่าทว่าปกปิดตัวตนอยู่ที่โลกภายนอกนานๆ ก็ไม่ดีกระมัง? ถ้างั้นเขาทำแบบนี้ทำไมกัน?
หรือว่าจิ้งจอกน้อยจะไม่ยอมไปกับเขา? ดังนั้นเขาจึงต้องอยู่ที่นี่เพื่อสร้างความประทับใจให้นางหรือ?
ไม่คล้ายว่าจะใช่!
หลานเยวี่ยมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ใช่คนสมถะเรียบง่าย แถมเขาไม่เพียงแต่ปกปิดฐานะไว้เท่านั้นยังซ่อนเร้นไว้ไม่น้อยด้วย…
มารดาเยี่ยนใส่ใจฐานะของหลานไว่หู่ ข้อนี้กู้ซีจิ่วเข้าใจ แต่ที่เยี่ยนเฉินชอบพอจิ้งจอกกลับไม่เกี่ยวข้องกับฐานะเลย
ส่วนหลานเยวี่ย เขาอาจจะไม่จริงใจต่อจิ้งจอกน้อยก็ได้ อันที่จริงเขาตามตื๊อจิ้งจอกน้อยก็เพราะฐานะของนางเท่านั้น จากเหตุการณ์ที่เห็นในความฝัน สายเลือดของจิ้งจอกน้อยเมื่ออยู่ที่เผ่าจิ้งจอกครามก็จะสูงส่งอย่างยิ่งเช่นกัน ทำให้หลานเยวี่ยที่เย่อหยิ่งจองหองเกิดความหวั่นไหวขึ้นมา…
กู้ซีจิ่วมองจิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างกาย เด็กน้อยคนนั้นนางขดตัวเป็นก้อน ดูเหมือนจะรู้สึกไม่ปลอดภัยยิ่งนัก
เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วมองไม่ออกเลยว่าความรู้สึกที่จิ้งจอกน้อยมีต่อเยี่ยนเฉินจะลึกล้ำยิ่งนัก เรื่องราวที่พบเห็นในความฝัน บ่งบอกว่าจิ้งจอกน้อยมีความรู้สึกต่อเขาอย่างลึกซึ้งยิง ยิ่งรู้สึกลึกล้ำเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บหนักมากเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงก่อตัวเป็นฝันร้ายที่นางสลัดทิ้งไม่หลุด
นัยน์ตาของกู้ซีจิ่วฉายแววเยียบเย็นแวบหนึ่ง จิ้งจอกน้อยเป็นคนที่นางใส่ใจ ได้รับความอยุติธรรมหนักหนาถึงเพียงนี้ ไม่อาจปล่อยให้ถูกรังแกเปล่าๆ ได้! บัญชีแค้นนี้เธอจะช่วยนางทวงกลับมาเอง! เห็นทีว่าเธอคงต้องหาเวลาไปเยือนเมืองเยี่ยนจื่อสักคราแล้ว ไปพบมารดาเยี่ยนผู้นั้นกับเหลิ่งอู๋ซวง ประชันศึกแก่งแย่งชิงดีภายในเรือนกับสองคนนี้…
กู้ซีจิ่ววางแผนไว้ยอดเยี่ยมนัก แต่มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าถ้าไม่บังเอิญก็ไม่ใช่นิยายแล้ว เธอไม่ทันหาเวลาไปเยี่ยนเยือนถึงเรือนชาน พอเช้าตรู่นางก็ได้รับข่าว มารดาเยี่ยนกับเหลิ่งอู๋ซวงมาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แล้ว!
ยามที่ได้รับข่าวนี้ จิ้งจอกน้อยกำลังแต่งตัวอยู่ เด็กคนนี้เก็บเรื่องราวไว้กับตัวเอง ในฝันได้รับความอยุติธรรมจนกลายเป็นเช่นนั้น ทว่าหลังตื่นนอนก็กลายเป็นดอกทานตะวัน เดินวนเวียนอยู่รอบกายกู้ซีจิ่วอย่างสุขสันต์เบิกบาน
เมื่อได้ยินเด็กรับใช้มารายงานเช่นนี้ หวีในมือของจิ้งจอกน้อยก็หลุดมือร่วงลงพื้น ดวงหน้าน้อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด
แววตากู้ซีจิ่ววูบไหวเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะส่งตัวเองมาให้ถึงหน้าประตู! ดีเหลือเกิน!
เธอฉวยมือจิ้งจอกน้อยทันที “ไปเถอะพวกเราไปพบพวกนางกัน”
เท้าของหลานไว่หูดั่งหยั่งรากไว้ “ข้าไม่อยากพบพวกนาง…”
กู้ซีจิ่วแกล้งทำเป็นไม่รู้ปมในใจของนาง “ทำไมไม่ไปล่ะ? ไปเถอะ ถึงอย่างไรตระกูลเยี่ยนก็เลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่ มารดาของเยี่ยนเฉินก็นับว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้าเช่นกัน ถ้าเจ้าไม่ไปพบก็คงไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้นคือตัวเจ้าก็ไม่ได้ติดค้างอะไรพวกนาง ไปเถอะน่า ไปกัน!”
พลางลากนางไปโดยไม่พูดไม่จา
จิ้งจอกน้อยเชื่อฟังกู้ซีจิ่วเสมอมา ยามนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงติดตามไป
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่อนุญาตให้แขกจากภายนอกเข้ามาง่ายๆ เพียงแต่เยี่ยนเฉินเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของสำนัก เมื่อมารดาของเขามากู่ฉานโม่จึงไว้หน้ายิ่งนัก เชื้อเชิญไปที่โถงรับรองโดยตรง
————————————————————————
บทที่ 1485 มารดาเยี่ยนมาเยือน 5
เมื่อกู้ซีจิ่วกับจิ้งจอกน้อยไปถึง มีผู้คนมากมายรวมตัวกันภายในห้องโถง เยี่ยนเฉินมีสหายที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มากมาย ผู้ร่วมฝึกฝนก็ไม่น้อย คนเหล่านี้ล้วนมาเยี่ยมเยียนรุ่นพี่สักหน่อย
เสียงปีติยินดีคับคั่งในห้องโถง บรรยากาศคึกคักเป็นที่สุด
กู้ซีจิ่วเคยเห็นมารดาเยี่ยนในภาพความทรงจำของจิ้งจอกน้อยแล้ว บัดนี้พบว่ารูปลักษณ์ของหญิงผู้นี้กลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเสียเท่าใด บุคลิกก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดเช่นกัน
มารดาเยี่ยนเป็นคนงดงาม อากัปกิริยาสง่างามดังดอกกล้วยไม้ ทุกท่วงท่ากิริยาล้วนแฝงความสง่างามมีชาติตระกูล อีกทั้งยังอ่อนโยนยิ่งนัก ยามมองฝูงชนรุ่นเยาว์ สายตาเต็มเปี่ยมด้วยความรักใคร่เอ็นดู ใครจะไปคิดว่าคนเช่นนี้จะเป็นมีดอ่อนนุ่มทิ่มแทงคนไม่ชดใช้ชีวิต?
ส่วนเหลิ่งอู๋ซวง รูปลักษณ์งดงามเช่นกัน อาภรณ์ขาวพิสุทธิ์พลิ้วไหว เผยให้เห็นกลิ่นอายของหญิงสาวมีชาติตระกูล
เยี่ยนเฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ เหนือความคาดหมายของกู้ซีจิ่วสักเล็กน้อย
เมื่อกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หู่เข้ามา ศิษย์พี่ศิษย์น้องของสำนักศึกษาชุมสวรรค์เหล่านั้นต่างลุกขึ้นยืน ในตอนนี้กู้ซีจิ่วคือความภาคภูมิใจของพวกเขา และก็เป็นผู้นำเจตนารมณ์ของพวกเขา บารมีสูงส่งกว่ากู่ฉานโม่เล็กน้อย
ผู้คนเหล่านี้พบเจอนางย่อมกล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้นเป็นเรื่องธรรมดา
แน่นอนว่าจิ้งจอกน้อยมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี คนมากมายพูดคุยกับนางเช่นกัน
มารดาเยี่ยนกับเหลิ่งอู๋ซวงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน สายตาของมารดาเยี่ยนร่อนลงบนมือกู้ซีจิ่วกับจิ้งจอกน้อยที่จับกุมกันไว้ แย้มยิ้มยินดี “เจ้าก็คือแม่นางกู้? ข้าได้ยินเฉินเอ๋อร์พูดถึงเจ้าอยู่บ่อยๆ ช่างเป็นหงสาในหมู่มวลชนจริงๆ…” เอ่ยคำพูดมากมายในสถานการณ์ที่เหมาะสม
สายตามารดาเยี่ยนหันเหกลับมาบนร่างของจิ้งจอกน้อยอย่างสงบเยือกเย็น ใบหน้ายังคงเป็นใบหน้าที่รักใคร่เอ็นดูนั้นไม่เปลี่ยนแปลง “ไว่หู่ ไม่เจอเสียนานเลย ให้อาสะใภ้ดูเจ้าชัดๆ หน่อยสิ สูงขึ้นมาไม่น้อยเลยนี่”
ฝ่ามือจิ้งจอกน้อยเย็นเฉียบ นางแทบไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อฮูหยินที่รอยยิ้มซ่อนมีดผู้นี้อย่างไรดี เพียงแต่ขบเม้มริมฝีปากไม่ตอบโต้อันใด กุมมือเล็กของกู้ซีจิ่วแน่นขึ้น ราวกับต้องการหาที่พึ่งพิง
กู้ซีจิ่วตบมือเล็กๆ ของนาง สายตาพลันตกลงบนร่างของมารดาเยี่ยน “เยี่ยนฮูหยินชมเกินไปแล้ว” แล้วยิ้มอีกครา “เรียนฮูหยินตามตรง ตอนนั้นกู้ซีจิ่วก็เคยเป็นนกกระจอกที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างในสายตาของฝูงชน ถูกผู้คนกลั่นแกล้ง ต่อว่าข้าอยู่จวนแม่ทัพก็เป็นลูกเป็ดขี้เหร่ที่บินเข้ามาในหมู่หงสา…”
เยี่ยนฮูหยินรีบกล่าว “นั่นเป็นเพราะพวกนางมีตาหามีแววไม่ แม่นางถึงจะเป็นพญาหงส์ที่แท้จริง”
เหลิ่งอู๋ซวงก็เยินยอนาง “ใช่แล้ว แม่นางกู้มีความสามารถเพียงนี้ ตอนนั้นพวกนางกล่าวเยี่ยงนั้นช่างตาบอดเสียจริง”
กู้ซีจิ่วอมยิ้ม “ก่อนหน้าที่เป็ดขี้เหร่จะกลายเป็นหงสา บนโลกใบนี้มีผู้ใดบ้างเล่าที่ตามีแวว? มองหงสาเป็นเป็ดขี้เหร่ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ท่านว่าใช่หรือไม่? เยี่ยนฮูหยิน คุณหนูเหลิ่ง?”
เยี่ยนฮูหยินกับเหลิ่งอู๋ซวงมองหน้ากันแวบหนึ่ง พวกนางดูมีเลศนัย รู้สึกว่ากู้ซีจิ่วกำลังต่อว่าพวกนาง อีกทั้งยังทำให้นางไม่มีโอกาสโต้เถียง ทำได้เพียงเอ่ยว่าใช่
พวกนางสงสัยอย่างยิ่งว่าจิ้งจอกน้อยฟ้องอันใด อดไม่ได้ที่จะมองหลานไว่หู่อีกหลายครา
เยี่ยนฮูหยินพลันหันเหสายตาไปทางหลานไว่หู่ กวักมือเรียกนาง “ไว่หู่ มานี่สิ ไม่ได้เจอกันเสียนาน อาสะใภ้คิดถึงเจ้ามากจริงๆ”
หลานไว่หู่ไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน โดยเฉพาะการปฏิสัมพันธ์กับคนที่รังเกียจ ยิ่งไม่อยากเห็นใบหน้าตีสองหน้าของอีกฝ่าย ดังนั้นฝีเท้านางเสมือนหยั่งราก ยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เยี่ยนฮูหยินถือโอกาสทอดถอนใจเบาๆ “เด็กคนนี้ผูกใจพยาบาทแล้ว…”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “เอ๊ะ? ไว่หู่ใสซื่อจิตใจดีงามเสมอมา ไม่เคยผูกใจพยาบาทกับผู้ใด นางจะผูกใจพยาบาทกับผู้มีพระคุณเลี้ยงดูนางมาอย่างเยี่ยนฮูหยินได้อย่างไรเล่า? เยี่ยนฮูหยินคงเข้าใจผิดแล้วกระมัง?”
เยี่ยนฮูหยินทอดถอนใจ “แม่นางกู้ไม่รู้อะไร เมื่อสองปีก่อนไว่หู่มีเรื่องเข้าใจผิดกับข้านิดหน่อย ความจริงก็ต้องโทษข้าด้วยที่ข้าเข้มงวดไม่มากพอ ทำให้มีคนซุบซิบนินทาไว่หู่ นางได้ยินเข้าจึงโกรธมากและให้บทเรียนกับพวกนาง…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น