พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1477-1480
บทที่ 1477 ทุ่งน้ำแข็งโบราณ
Ink Stone_Fantasy
สิบคืนหนึ่งวัน สิบวันหนึ่งคืน แสงอาทิตย์อ่อนจางที่ส่องสว่างอยู่ไกลๆ ไปหลบอยู่ตรงไหนอีกก็ไม่รู้ ฟ้ามืดอีกแล้ว แต่กลับมองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าอย่างชัดเจน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหา อินทรีสามหัวบินอยู่นท้องฟ้าในระดับที่สูงมาก ปราณชั่วร้ายที่ปกคลุมปิดบังอยู่ใต้เท้าไกลมาก อากาศบนที่สูงสะอาดสดชื่น ทำให้คนรู้สึกเหมือนตัวอยู่ในดาราจักร เหมียวอี้เหมือนได้กลับไปยังดาราจักรที่ตัวเองคุ้นเคยอีกครั้ง
พอทอดสายตามองไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล แต่ทำไมถึงออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ได้?”
อั้นโยวหลินที่อยู่ข้างกันตอบว่า “พวกเราก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร ท้องฟ้าอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ไม่ว่าเจ้าจะเหาะได้สูงหรือเร็วแค่ไหน ก็เหมือนว่าไม่มีทางไปอยู่รวมกับดาราจักรผืนนั้นได้เลย ได้ยินว่าแม้แต่เผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ในปีนั้นก็ทำไม่ได้เหมือนกัน สำหรับพวกเรา ดาราจักรผืนนี้คือที่ที่ใฝ่ฝันแต่เอื้อมไม่ถึงตลอดไป” พอพูดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “ได้ยินว่าดาราจักรและพื้นดินนอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ นักพรตสามารถวิ่งไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ถ้าวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองก็จะเป็นแบบนี้จริงๆ ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ”
ผู้หญิงที่ไม่ว่าเวลาไหนก็หน้าบึ่งอยู่ตลอดเวลาราวกับเขาติดเงินนาง ในตอนนี้ในดวงตาฉายแววเคลิบเคลิ้มอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน ถามอีกว่า “ได้ยินว่าสรรพสิ่งต่างๆ ภูตผีปีศาจมารเซียนพระที่อยู่ข้างนอกใช้ดาราจักรร่วมกัน มีโลกมนุษย์เจริญรุ่งเรือง ระหว่างคนด้วยกันสามารถยอมทิ้งหัวสละชีพเพราะคำว่า ‘มิตรภาพ’ ระหว่างชายหญิงสามารถร่วมเป็นร่วมตายกันเพราะกับว่า ‘รัก’ สรรพสิ่งมากมายยิ่งผ่านประสบการณ์มากก็ยิ่งขบคิดไม่รู้ลืม ไม่เหมือนแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่แห้งเหี่ยวตลอดมาไม่เคยเปลี่ยน เป็นแบบนี้หรือเปล่า?”
คำถามนี้ทำให้เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เจ้าอยากจะออกไปดูสักหน่อยมั้ยล่ะ?”
อั้นโยวหลินกล่าวอย่างโหยหาสิ่งนี้ “ก็อยากจะออกไปดูอยู่หรอก แต่ไม่มีทางออกไปได้เลย กลัวก็แต่ว่าถ้าครั้งหน้าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์มากวาดล้างที่นี่ ข้าจะรอดชีวิตต่อไปได้หรือเปล่าก็ยังเป็นปัญหาเลย ข้าไม่เข้าใจ เป็นดาราจักรที่ภูตผีปีศาจมารพระเซียนอยู่ร่วมกันแท้ๆ ทำไมถึงไม่ยอมรับพวกเราอยู่แค่พวกเดียว ทำไมถึงต้องขังพวกเราไว้ที่นี่。”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองนาง ขณะที่เห็นนางเงยหน้ามองดาราจักรอย่างเหม่อลอย เขาก็บอกว่า “ถ้าเจ้าช่วยข้าจัดการเรื่องนี้ให้ดีๆ ข้าก็จะลองพยายาม ดูว่าจะพาเจ้าออกไปข้างนอกได้หรือไม่”
อั้นโยวหลินพลันหันกลับมา แล้วถามด้วยแววตาเป็นประกาย “นายท่านพูดจริงเหรอ?”
เหมียวอี้บอกว่า “แต่เจ้าต้องเข้าใจเอาไว้อย่างหนึ่ง สิ่งมีชีวิตข้างนอกยอมให้พวกเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ ปราณมรณะบนตัวเจ้ารุนแรงเกินไป ถ้าคนทั่วไปแตะต้องเจ้าก็คงจะมีอันตรายถึงชีวิต เวลาต้นไม้ใบหญ้าเจอเจ้าก็จะต้องเหี่ยวเฉา ก็เหมือนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อก่อนที่นี่มีธรรมชาติงดงาม แต่หลังจากการปรากฏตัวของพวกเจ้า ที่นี่กลายเป็นแบบไหนไปแล้วล่ะ? ต่อให้เจ้าออกไปแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะปรับตัวกับสภาพต่างๆ ในชีวิตได้ พอโผล่หน้าออกไป คนในโลกก็จะมองเจ้าเป็นสิ่งอัปมงคล ไม่มีใครให้เจ้าอยู่ด้วยได้ ถึงตอนนั้นก็จะมีคนที่โผล่มาจัดการเจ้าเร็วมาก ทำให้เจ้าสลายหายไป มีราคาที่ต้องจ่ายมากขนาดนี้ เจ้ายังอยากจะไปอีกเหรอ?”
อั้นโยวหลินแทบจะไม่ลังเลอีก “ขอเพียงนายท่านพาข้าออกไปได้ ข้าก็จรับมืออย่างระมัดระวัง”
เหมียวอี้จึงถามว่า “แล้วแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่ถ้ำมังกรรังหงส์ล่ะ? ถ้าข้าพาเจ้าออกไปด้วย เจ้าจะตัดใจทิ้งที่นี่ลงเหรอ?”
อั้นโยวหลินจึงถามกลับมา “ข้างนอกไม่มีแหล่งทรัพยากรฝึกตนอย่างอื่นเลยเหรอ? ทำให้วรยุทธ์เพิ่มสูงขึ้นได้เหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ถ้าสามารถออกจากที่นี่ได้ ข้าสามารถยอมทิ้งพลังวิญญาณมรณะ ไม่ต้องเพิ่มวรยุทธ์อีกก็ได้”
เหมียวอี้พยักหน้า “ได้! ข้าตอบตกลง ขอเพียงเจ้าช่วยข้าทำเรื่องครั้งนี้ให้สำเร็จ ข้าก็จะหาทางพาเจ้าออกไป ส่วนจะพาเจ้าออกไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ข้าก็ไม่รับประกันนะ แต่เจ้าต้องตอบตกลงข้าเรื่องหนึ่ง หลังจากออกไปแล้วคลุกคลีหรือเข้าใกล้มนุษย์ธรรมดา”
“ได้! ตราบใดที่ท่านสามารถพาข้าออกไปได้ ข้าก็รับรองว่าจะไม่เปิดเผยกับใครว่าท่านเป็นคนพาข้าออกไป”
เหมียวอี้ไม่พูดอะไรอีก เขาไม่รู้ว่าการที่ตัวเองตอบตกลงนางเรื่องนี้เป็นการช่วยหรือทำร้ายนางกันแน่ แต่เขารู้ว่าอาศัยศักยภาพอย่างอั้นโยวหลิน ถ้าออกไปก็มีแต่จะต้องตายแน่นอน นอกเสียจากจะไม่โผล่หน้าไปหาใครเลย ตราบใดที่อยากได้ทรัพยากรฝึกตน นั่นก็เป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นในสักวันอยู่แล้ว มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก
ในใจเขาได้แต่แอบยิ้มเจื่อน รู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก ตนไปตอบตกลงเรื่องแบบนี้กับวิญญาณชั่วร้ายได้อย่างไร แบบนี้ไม่ใช่การสร้างปัญหาให้ตัวเองหรอกเหรอ ตัวเองเป็นคนหัวร้อนบุ่มบ่ามจริงๆ ด้วย
เขาอยากจะกลับคำพูด แต่ก็พูดไม่ออกแล้ว
เขาไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “พวกเจ้าก่อตัวขึ้นมาจากแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายในถ้ำมังกรรังหงส์ แล้วแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายนั่นมาจากไหน?”
อั้นโยวหลินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามาจากไหน”
“ได้ยินมาว่าที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ฟ้ากลมดินเหลี่ยม กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต ไม่มีทางหาปลายสุดเจอเลย เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม
อั้นโยวหลินส่ายหน้า “ถ้าฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยมแล้วจะไม่มีปลายสุดได้ยังไง ที่บอกว่าใหญ่นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่มีปลายสุด ได้ยินว่าถ้าเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จะเจอช่องสุญญะผืนหนึ่ง ถ้าบุกฝ่าช่องสุญญะออกไปก็จะไปโผล่อีกฝั่งหนึ่งในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่มีวันออกไปได้ก็เท่านั้นเอง แต่ทำหรับนักพรตที่อยู่ข้างนอก ถ้าไม่สามารถเหาะเหินได้ แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็กว้างใหญ่มาก เดินเท่าไรก็ไปถึงปลายสุดได้ยากจริงๆ”
แบบนี้…เหมียวอี้พยักหน้าเงียบๆ เขาเข้าใจแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ต้องเดินไปสัมผัสมากๆ หน่อยถึงจะเข้าใจ
จำเป็นต้องบอกไว้ก่อน ว่าการให้อั้นโยวหลินเป็นคนนำทางเป็นการจับพลัดจับผลูแต่เลือกคนถูกจริงๆ ระหว่างทางถ้าบังเอิญเจอจุดไหนที่พลังปราณเยอะเกินไป ยกตัวอย่างเช่นถ้าจ้างหน้ามีปราณเหี้ยมโหดรุนแรงเกินไป นางก็จะควบคุมให้อินทรีสามหัวบินอ้อมทันที ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าเป็นอาณาเขตของใคร แต่นางเดาว่าสถานที่แบบนี้อาจจะมียอดฝีมือที่พวกเขามีเรื่องด้วยไม่ไหวอยู่ ยอมอ้อมไปไกลดีกว่า ไม่ยอมล่วงล้ำเข้าไป
เหมียวอี้พบว่าผู้หญิงคนนี้ช่างข่มอารมณ์เก่งจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางเป็นวิญญาณมรณะหรือเปล่า เวลาพูดจาฟังดูไร้ชีวิตชีวา
เดี๋ยวก็อ้อมไปทางทิศตะวันตก เดี๋ยวก็อ้อมไปทางทิศตะวันออก เป็นแบบนี้ตลอด เหมียวอี้นับนิ้วคำนวณ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้เวลาไปเกือบครึ่งปีแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งปี อากาศก็เริ่มเย็นลงทีละนิด บนแผ่นดินข้างหน้าปรากฏทุ่งหิมะที่กว้างใหญ่ไพศาล
บินอยู่บนท้องฟ้าเหนือทุ่งหิมะเป็นเวลาสองวันเต็มๆ ที่ราบสูงหิมะอันโอ่อ่าอลังการแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ภูเขาน้ำแข็งนั้นเป็นภูเขาน้ำแข็งที่แท้จริง ยอดเขาน้ำแข็งสีฟ้าสดใสมีทั้งสูงทั้งต่ำติดกันเป็นพืด ยอดเขาน้ำแข็งที่สูงก็เรียกได้ว่าตั้งตระหง่านเทียมฟ้า ไม่มีแสงแดดส่องสะท้อนแต่กลับเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆ หิมะขาวเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นโลกอัญมณีสีฟ้าที่ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสดชื่นสบายใจจริงๆ
“น่าจะถึงทุ่งน้ำแข็งโบราณแล้ว…” น้ำเสียงของอั้นโยวหลินฟังดูตื่นเต้นปนหวาดกลัวนิดหน่อย
เหมียวอี้เอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง ไม่ใช่แค่นาง แม้แต่อินทรีสามหัวที่อยู่ใต้เท้าก็ตัวสั่นเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะหยุดลอยอยู่กลางอากาศแล้ว ไม่บินไปข้างหน้าอีก เจ้าสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยอมเป็นคนแต่ยอมกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ยังไม่เบิกสติปัญญา ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางและหนีกลับทันที
อั้นโยวหลินลงมืออย่างรวดเร็ว เก็บมันไว้ในกำไลเก็บสมบัติทันที
เมื่อไม่มีสัตว์พาหนะแล้ว ทั้งสองก็ตกลงจากท้องฟ้าพร้อมกัน เหยียบลงบนแผ่นน้ำแข็งผืนหนึ่งที่เป็นสีฟ้าใสราวกับกระจก
“เป็นอะไรไป?” เหมียวอี้ที่เหยียบลงพื้นขมวดคิ้วถาม
อั้นโยวหลินมองไปรอบๆ ด้วยสายตาหวาดกลัวเล็กน้อย “ข้ารู้สึกถึงบางสิ่งที่ข่มวิญญาณชั่วร้ายอย่างพวกเราโดยธรรมชาติ อยู่ข้างหน้านี้เอง…ไฟ เป็นไฟหยินแท้”
เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทันที ชั่วพริบตานั้นเขาก็เข้าใจแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าในอากาศที่อยู่ข้างหน้าจะมีธาตุไฟสีฟ้าที่เล็กจนตาเปล่ามองไม่เห็นล่องลอยอยู่ ราวกับเป็นวิญญาณสีฟ้า ที่แท้แสงสว่างสีฟ้าที่อ่อนจางนั่นก็คือธาตุไฟหยินนี่เอง
ไม่น่าเชื่อว่าธาตุไฟหยินของที่นี่จะเข้มข้นขนาดนี้! เหมียวอี้เรียกได้ว่าดีอกดีใจมาก สงสัยจะไม่ได้มาผิดที่แล้ว
“ข้างหน้าข้าไม่กล้าไปต่อแล้ว” อั้นโยวหลินหันกลับมา แล้วพูดด้วยแววตามีหวังนิดหน่อยว่า “รังหงส์น่าจะอยู่ลึกในภูเขาน้ำแข็งข้างหน้า นายท่านบอกว่ามีหนทางพาข้าเข้าไปได้ ไม่รู้ว่าจะรักษาคำพูดหรือเปล่า”
เดี๋ยวกลับมาเหมียวอี้ก็ยังต้องให้นางพาตนไปที่ถ้ำมังกรอีก ต่อให้อยากจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง แต่ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ เขาจึงพยักหน้าบอกว่า “ข้าพูดคำไหนคำนั้น เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ในเมื่อข้ากล้ามา อุปสรรคเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
อั้นโยวหลินดีใจมาก รีบบอกว่า “ต่อไปก็ต้องพึ่งนายท่านแล้ว”
“แค่ไปกับข้าก็พอ” เหมียวอี้โบกแขนเสื้อ แล้วไหลไปตามแผ่นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว อยู่ที่นี่ต่อให้ไม่ใช่ความเร็วในการเหาะ แต่ก็ช้าไม่ได้เช่นกัน
อั้นโยวหลินรีบเหาะตามไป หลังจากตามทันแล้ว เดิมทีอยากจะดึงเหมียวอี้ให้เหาะไปด้วยกัน แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมตกอยู่ในมือของตน ดังนั้นนางจึงเหยียบลงพื้น แล้วไหลไปพร้อมกับเหมียวอี้
เมื่อเห็นว่ากำลังจะได้ล่วงล้ำเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยปีศาจสีฟ้า เหมียวอี้ก็โบกมือชี้ เคล็ดวิชาอัคนีดาราถูกปล่อยออกมาแล้ว ปีศาจสีฟ้าที่ล่องลอยก็หลีกทางให้ทั้งสองพุ่งไปข้างหน้าต่อทันที
พอเห็นแบบนี้ อั้นโยวหลินที่มีใบหน้าบึ้งตึงก็เผยสีหน้าแทบบ้าแล้ว นางพบว่าเหมียวอี้ไม่ได้หลอกลวงนาง มีหนทางพานางไปจริงๆ ด้วย
ใครจะคิดว่าชั่วพริบตาที่ทั้งสองเพิ่งจะบุกเข้าไปในโลกปีศาจสีฟ้า ความรู้สึกที่แย่ถึงขีดสุดก็ทำให้ทั้งสองตกใจจนขนลุกขนชันแล้ว
ปราณสังหารที่น่าสะพรึงกลัวจนทำให้คนหยุดหายใจกลุ่มหนึ่งได้เล็งพวกเขาสองคนไว้แล้ว ยังไม่ทันรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร พลังอิทธิฤทธิ์อันน่าสะพรึงกลุ่มหนึ่งที่แข็งแกร่งจนทำให้ทั้งสองไม่มีทางต้านทานได้ก็ดึงทั้งสองเข้าไปแล้ว
หลังจากหยุดแล้ว ทั้งสองก็ค่อยๆ หันตัวและหันหน้ากลับมา เห็นเพียงเนินหิมะแห่งหนึ่งอยู่ตรงหน้าทั้งสอง ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก เมื่อครู่นี้ตอนสัมผัสได้ถึงปราณสังหารอันน่าสะพรึงกลัว พวกเขาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว
จู่ๆ เนินหิมะก็โผล่ขึ้นมาจากรอยแยก แล้วแตกกระจายเกลื่อนพื้น ชายชุดแดงคนหนึ่งที่ผิวขาวหมดจดผมยาวคลุมบ่ากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง ดูผอมบาง ดื้อรั้น หล่อเหลา รอบกายมีปราณสังหารสีเลือดลอยวนเวียน ปราณสังหารนั้นวนอยู่รอบกายเขาราวกับมังกร แล้วก็เจาะเข้าไปในร่างกายเขา ลายเลือดดอกหนึ่งตรงหว่างคิ้วจางลงทีละนิด ส่วนเขาก็ลืมตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวอย่างช้าๆ พร้อมยืนขึ้น จ้องทั้งสองที่กำลังตกใจพลางเผยรอยยิ้มทีละนิด
เหมียวอี้ตกใจ แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าในกองหิมะนี้จะซ่อนวิญญาณสังหารระดับบงกชกลายเอาไว้ ดูจากการลงมือเมื่อครู่นี้ เหมือนจะเป็นเป็นระดับบงกชกลายขั้นสูงแล้ว ทำไมตอนตำหนักสวรรค์กวาดล้างถึงปล่อยให้คนประเภทนี้หลุดรอดไปได้? อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ที่ตนจะต้านทานไหวเลย จึงถามเสียงต่ำว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“อวี้ซา!” ชายชุดแดงตอบพร้อมรอยยิ้ม
“หา!” อั้นโยวหลินถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วอุทานอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าเองเหรออวี้ซา?”
ผู้ที่เรียกตัวเองว่าอวี้ซาพยักหน้า “หลบมาหลายปีขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่ายังมีคนจำข้าได้ด้วย”
เหมียวอี้หันกลับมาถามอั้นโยวหลิน “เขาเป็นใคร? เจ้ารู้จักเหรอ?”
อั้นโยวหลินส่ายหน้าอย่างสิ้นหวังและกังวลเป็นพิเศษ
สายตาของอวี้ซากลอกไปมาบนตัวของทั้งสอง จากนั้นยิ้มเผยฟันขาวทั้งปาก “น่าสนใจ วิญญาณมรณะดวงหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่กับนักพรตที่มาจากภายนอก พวกเจ้าจะไปไหนกัน จะไปรังหงส์เหรอ? ข้าก็อยากไปเหมือนกัน พาข้าไปด้วยกันสิ ทั้งสองคิดว่ายังไงบ้าง?”
บทที่ 1478 อวี้ซา
Ink Stone_Fantasy
ยังต้องถามอีกเหรอว่าคิดยังไง? ทั้งสองไม่อยากพาเขาไปด้วยแน่นอน
ดูจากท่าทางของอั้นโยวหลิน พอเห็นอวี้ซาท่านนี้แล้วก็เหมือนจะตกใจจนไม่กล้าพูด เหมียวอี้จึงไม่หวังว่านางจะมีวิธีการอะไรแล้ว บอกไปตรงๆ เลยว่า “พวกเราก็อยากจะไปดูรังหงส์สักหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำยังไงถึงจะได้เข้าไป หวังว่าผู้อาวุโสจะชี้แนะสักหน่อย”
อวี้ซามองเขาพลางยิ้มบางๆ “ตอนอยู่ต่อหน้าข้า เล่นละครแบบนี้ไม่สนุกหรอก ถึงข้าจะโดนหิมะผนึกไว้ แต่ก็เห็นเจ้าร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไฟหยินแท้นั่นได้ ถือโอกาสตอนที่ข้ายังทนไหว อย่ายั่วโมโหข้าเลย”
“แล้วถ้าข้าไม่พาเจ้าไปล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
อวี้ซาบอกว่า “งั้นข้าก็ทำได้เพียงอาศัยกายหยาบของเจ้าแล้วค่อยคิดหาทางเข้าไป แต่ในเมื่อเจ้ามีวิชาควบคุมไฟแล้ว ข้าจำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วยเหรอ ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงพาวิญญาณนี่เข้าไปด้วย แต่เดาว่าเจ้าก็คงจะมีจุดหมายของตัวเอง พวกเรามาร่วมงานกันเถอะ หลังจากเข้าไปแล้วก็ต่างคนต่างเอาสิ่งที่ต้องการ เป็นยังไง?”
“ทำงานร่วมกันเหรอ? แต่สิ่งที่ข้าเห็นคือการขู่คุกคามนะ” เหมียวอี้บอก
อวี้ซาโบกมือเบาๆ “ผิดแล้ว! ถ้าไม่ได้การช่วยเหลือจากข้า อาศัยวรยุทธ์อย่างเจ้าน่ะ เกรงว่าจะเข้าไปได้ยากมาก หรือเจ้าคิดว่าตรงนี้มีแค่ข้าคนเดียวที่อยากเข้าไปในรังหงส์?”
เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินมองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก แล้วเหมียวอี้ก็ถามว่า “อย่าบอกนะว่าที่นี่ยังมีคนอื่นซ่อนอยู่อีก?”
อวี้ซาพยักหน้า “เกรงว่าเจ้าคงจะโดนคนอื่นจับตามองตั้งนานแล้วน่ะสิ เป็นเพราะพวกเจ้าผ่านอาณาเขตที่ข้าคุมพอดี พวกเขาไม่รู้ตื้นลึกหน้าบางของข้าก็เลยไม่กล้าบุ่มบ่ามก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเจ้าจึงต้องการใครสักคนเพื่อเบิกทางให้เจ้า ข้าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนะ”
“หมายความว่า ข้ายังสามารถเลือกคนอื่นมาร่วมงานได้อีกเหรอ” เหมียวอี้กล่าว
อวี้ซายิ้มบางๆ “เจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้ว เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?” จู่ๆ สายตาก็กวาดไปที่อั้นโยวหลิน ปราณสังหารที่ดุร้ายกลุ่มหนึ่งพลันปล่อยออกมาพร้อมกัน ควบคุมอั้นโยวหลินไว้ทั้งตัว
ถึงแม้เป้าหมายที่เล็งไว้จะไม่ใช่เหมียวอี้ แต่ปราณสังหารที่ล่องหนนั้นก็ทำให้เหมียวอี้รู้สึกเจ็บแปลบ ราวกับมีมีดล่องหนกำลังกรีดเนื้อตัวเองอยู่
“เอื้อ…” อั้นโยวหลินครางเสียงต่แสดงความเจ็บปวดทันที ทำสีหน้าขื่นขมทรมาน แต่กลับโดนควบคุมจนไม่มีทางหลุดพ้นได้ ปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการอยู่อย่างนั้น
ที่น่ากลัวก็คือ ผิวภายนอกของอั้นโยวหลินราวกับมีรอยแยก ราวกับกำลังจะโดนบางอย่างฉีกให้ขาด
“หยุดนะ!” เหมียวอี้พลันตะคอก
ปราณสังหารหายไปอย่างไร้ร่องรอย อั้นโยวหลินที่โล่งเหมือนยกหินออกจากอกนั่งคุกเข่าบนพื้น ร่างกายสั่นไปทั้งตัว รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เยียวยาบาดแผล รอยแยกบนผิวหนังสมานตัวอย่างช้าๆ เงยหน้ามองไปทางอวี้ซาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
อวี้ซามองเหมียวอี้พลางหรี่ตายิ้ม “พูดแบบนี้ แสดงว่าตอบตกลงแล้วเหรอ?”
“ข้ามีทางเลือกรึไงล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
อวี้ซาเชิดคางไปทางภูเขาน้ำแข็งที่สูงต่ำสลับกันเป็นพืด “งั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ข้ารอมาหลายปีแล้ว รอไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“เจ้าไม่ถามหน่อยเหรอว่าข้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ถาม
อวี้ซายิ้มเบาๆ “สามารถผ่านทางที่ตำหนักสวรรค์ปิดล้อมเข้ามาได้ นอกจากคนของตำหนักสวรรค์แล้วจะเป็นใครไปได้อีก เจ้าเป็นใครก็ไม่สำคัญสำหรับข้าหรอก สิ่งที่ข้าต้องการก็คือเข้าไปในรังหงส์แล้วได้รับพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้มาต่อต้านการกวาดล้างครั้งต่อไปของตำหนักสวรรค์”
เหมียวอี้ยังอยากอ้างฐานะตำหนักสวรรค์มาขู่สักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกอะไร เลยไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงหยิบเกราะรบออกมาสวมบนตัว
“เกราะรบของเจ้าดูไม่เลวเลยนะ” อวี้ซายิ้มมุมปาก และหยิบเกราะรบผลึกแดงออกมาสวมใช่เช่นกัน เป็นเกราะรบเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสองครั้ง เห็นได้ชัดว่าตำหนักสวรรค์ไม่ได้มอบให้เขา หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีแม่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ตายด้วยน้ำมือของชายคนนี้
อั้นโยวหลินที่ลุกขึ้นยืนอีกครั้งก็หยิบเกราะรบขึ้นมาสวมเช่นเดียวกัน
เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินยังไม่ทันเตรียมตัวเสร็จ จู่ๆ อวี้ซาก็ใช้สองมือตบบ่าทั้งสองแล้วบอกว่า “ไปทางบกจะปลอดภัยและมั่นใจกว่า เหาะบนท้องฟ้าดึงดูดสายตาคนอื่นเกินไป ถ้าโดนล้อมโจมตีขึ้นมาจะแย่ ไม่ใช่แค่คนอื่นที่จ้องอยากได้ ในภูเขายังมีสัตว์ประหลาดมากมายซ่อนตัวอยู่ ข้าเคยเห็นเองกับตาว่าหลังจากมียอดฝีมือเข้าไปแล้วก็มีเสียงต่อสู้ดังขึ้น น้องชาย เรื่องเบิกทางให้ข้าจัดการเถอะ เจ้าแค่รับหน้าที่ควบคุมไฟหยินแท้”
ไม่รอให้เหมียวอี้ตอบตกลง ทั้งสามก็ไถลไปยังจุดลึกของทุ่งน้ำแข็งแล้ว เมื่อเจอเนินหรือทางกั้นก็จะกระโดดเบาๆ เป็นแนวครึ่งวงกลมผ่านไป รวดเร็วถึงขีดสุด
ในขณะนี้เอง เหมือนจะมีคนทนไม่ไหวแล้ว ทางซ้ายมีเงาคนสองคน ทางขวามีเงาคนหนึ่งคน พุ่งเข้ามาเร็วมากราวกับดาวตก
ทั้งสามหยุดอย่างกะทันหัน อวี้ซาใช้ฝ่ามือสองข้างกด เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินราวกับเป็นตะปูสองตัว มีเสียงดังปั้ง ใช้หน้าอกไถลพื้นหยุดพร้อมกัน แล้วจมลงในผิวน้ำแข็งด้านล่าง
อวี้ซาที่กวาดสายตามองซ้ายมองขวายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม ผมยาวปลิวไสวอยู่ใต้เกราะหัว เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินรู้สึกได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่ปกป้องพวกเขาเอาไว้
จนกระทั่งสามคนนั้นจู่โจมเข้ามาใกล้ อวี้ซาก็พลันหมุนตัวราวกับลม ราวกบัมีเงามายาพันมือ หมื่นนิ้วดีดพร้อมกัน รอบกายมีแสงกระบี่สีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนกลืนเข้าคายออก สามคนที่พุ่งเข้ามาป้องกันไม่ทัน ชั่วพริบตาเดียวก็โดนกลืนหายไปแล้ว
“อา…อา…อา…” มีเสียงกรีดร้องสามครั้งดังทั่วทั้งทุ่งน้ำแข็ง
อวี้ซาที่กำลังหมุนตัวด้วยความเร็วสูงพลันหยุดกะทันหัน สองฝ่ามือที่ยกแบขึ้นทางซ้ายและขวาจีบเป็นรูปดอกไม้ รอบกายมีแสงกระบี่สีเลือดยาวร้อยจั้งจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งก่อตัวขึ้นจากปราณสังหาร ทำให้เขาดูเหมือนเม่น รอจนกระทั่งตอนที่เขาวางมือสองข้างลงอย่างช้าๆ แสงกระบี่ที่อยู่รอบกายก็จางลงไปทีละนิดราวกับเงามายา ทั้งสามที่ดิ้นพล่านอยู่กลางอกาศทยอยกันตกลงพื้นแล้ว
แต่กลับเห็นอวี้ซาดีดนิ้วสามครั้งติดต่อกัน เงานิ้วสามเงาถูกปล่อยออกมาราวกับเป็นแสงกระบี่อีกครั้ง เหมือนมีอัสนีบาตสีเลือดสามสายแวบกะพริบอยู่กลางอากาศ ตัดศีรษะสามคนนั้นตกลงพื้นแล้ว
ปราณสังหารดุจกระบี่ เมื่อดีดนิ้วออกมา ก็ราวกับอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงๆ กำจัดทิ้งในชั่วพริบตาเดียว!
อั้นโยวหลินทำสายตาตระหนกตกใจกลัว เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง เขาเห็นกับตาว่าสามคนที่บุกเข้ามาเป็นนักพรตระดับบงกชกลายเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนอวี้ซากำจัดทิ้งเพียงชั่วดีดนิ้วแล้ว เมื่ออยู่ข้างนอกวรยุทธ์อวี้ซาอาจจะไม่นับว่าสูงมาก แต่ถ้าอยู่ข้างนอกก็นับว่ามีศักยภาพน่าหวาดกลัวจริงๆ!
ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนอั้นโยวหลินได้ยินชื่อ ‘อวี้ซา’ แล้วมีท่าทางหวาดกลัวขนาดนั้น
ในที่ลับตรงจุดไกลๆ ยังมีอีกคนที่กำลังแอบมอง ถ้าจะพูดให้ถูกคือรอจังหวะลงมือ แต่พอเห็นวิธีการของอวี้ซาที่ลงมือกับจัดได้ในชั่วพริบตาเดียว ทุกคนก็พากันตกใจ แล้วก็หายตัวไปอย่างเงียบๆ เหมือนจะเดาตัวตนของอวี้ซาได้แล้ว ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปมีเรื่องด้วยไหว
อวี้ซาที่กวาดสายตามองซ้ายมองขวาแสยะยิ้ม การโจมตีนี้เรียกได้ว่าใช้กำลังทั้งหมดที่มี ทั้งเป็นการเปิดเผยฐานะ ทั้งเป็นการเขย่าขวัญพวกที่คิดไม่ซื่อว่าอย่าอยากได้อะไรซี้ซั้ว
โจมตีครั้งเดียวก็ได้ผล ทำให้คนที่แอบมองอยู่ในที่ลับตกใจจนถอยออกไป จากนั้นอวี้ซาก็โบกมือให้สามศพบนพื้นลอยขึ้นมา แล้วโบกมือกวาดเข้ากำไลเก็บสมบัติตัวเอง จากนั้นขยุ้มฝ่ามือสองข้างไปทางผิวน้ำแข็ง เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินถูกถึงขึ้นมาจากผิวน้ำแข็งแล้ว ตกอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “มิน่าล่ะเจ้าถึงรอดจากการกวาดล้างของตำหนักสวรรค์ได้ มีศักยภาพจริงๆ”
อวี้ซาบอกว่า “นั่นเป็นเพราะข้าหลบไวต่างหาก ไม่อย่างนั้นต่อให้มีศักยภาพขนาดไหนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตำหนักสวรรค์อยู่ดี” สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ตัวอั้นโยวหลิน “การไปหุบเขาน้ำแข็งครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีสถานการณ์อะไรโผล่มาอีก ข้าทั้งต้องปกป้องเจ้า ทั้งต้องปกป้องนาง กลัวก็แต่จะเกิดเหตุไม่คาดคิด ในเมื่อมีข้าร่วมเดินทางปกป้อง ก็ไม่จำเป็นต้องพานางไปด้วยแล้ว วิญญาณอาฆาตเล็กๆ แบบนี้จะกลายเป็นตัวถ่วง ไม่เอาก็ได้หรอก เกราะรบของนางยกให้เจ้าแล้ว”
อั้นโยวหลินตกใจมาก รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะลงมือสังหารนาง เหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน จิตใต้สำนึกสั่งให้ตะโกนว่า “หยุดนะ!”
อวี้ซาเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ “นางยังมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ? ข้ารู้ว่าตอนพวกเจ้าอยู่ข้างนอกมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ระหว่างชายหญิง เจ้าคงไม่ได้ชอบนางหรอกใช่มั้ย? คนหน้าตายอย่างนางทำให้เจ้าหวั่นไหวได้วยเหรอ? อย่าบอกนะว่าสดใสมีชีวิตชีวากว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างนอก?”
ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องปกป้องอั้นโยวหลิน เขาเองก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน มีเพียงเหตุผลเดียวที่ปกป้องเขาได้ นั่นก็คือเดี๋ยวตอนที่ต้องไปถ้ำมังกรก็ยังต้องใช้งานนางอีก แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ? ตอนนี้เขาเห็นเงาคนอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นในแววตาสิ้นหวังของอั้นโยวหลิน เงาของคนที่เขาทิ้งไปที่อุทยานหลวง คนคนนั้นก็เคยมองเขาด้วยแววตาสิ้นหวังแบบนี้เช่นกัน…
“ให้นางเข้ามาอยู่ในกำไลเก็บสมบัติของข้าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องฆ่านางเสมอไป” เหมียวอี้กล่าว
อวี้ซาเลิกคิ้ว เขาไม่อยากเก็บอั้นโยวหลินไว้ ต่อให้สามารถไปที่รังหงส์ได้อย่างราบรื่น เขาก็ยังจะฆ่านางทิ้งอยู่ดี เขาจะปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายดวงอื่นมาแบ่งแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายกับเขาได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้ยังต้องการความร่วมมือจากเหมียวอี้ ดังนั้นเขาจึงวางมือลง ปล่อยนางแล้ว
เหมียวอี้พลิกมือถือกำไลเก็บสมบัติหันไปทางอั้นโยวหลิน นาพยักหน้าให้เขาด้วยความซาบซึ้ง นับว่าตอบตกลงแล้ว
เหมียวอี้จึงโบกมือเก็บนางใส่ไวในกำไลเก็บสมบัติ
อั้นโยวหลินเป็นวิญญาณอาฆาต สภาพแวดล้อมในกำไลเก็บสมบัติทำอะไรนางไม่ค่อยได้
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกว่า “ไปกันเถอะ!”
อวี้ซาวางฝ่ามือบนบ่าเขา แล้วทั้งสองก็ถลันตัวไปด้วยกัน ไถลอยู่ในภูเขาน้ำแข็งที่สูงต่ำไม่เสมอกันด้วยความเร็ว
หุบเขาน้ำแข็งที่อยู่ในภูเขา ประหลาดอันตรายเกินคาดเดา บางครั้งก็ยื่นออกมา บางครั้งก็กว้างใหญ่ บางครั้งก็สูงชัน โครงสร้างที่เกือบจะเหมือนภาพมายาเผยสีน้ำเงินที่งดงามให้เห็นทุกที่
หลังจากบุกเข้ามากลางหุบเขาน้ำแข็งแล้ว การมีเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดเป่าธาตุไฟหยินที่เข้มข้นก็เรียกได้ว่าทำให้อวี้ซาโล่งอกมาก ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยวรยุทธ์ของเขาอย่างเดียว ต่อให้จะมีศักยภาพมากกว่านี้ แต่เกราะอิทธิฤทธิ์ก็ทนการกัดกร่อนไม่ไหวอยู่ดี ถึงอย่างไรธาตุไฟหยินประหลาดนี้ก็ข่มเขาเหมือนกัน
ระดับความหนาวเหน็บเข้ากระดูกในหุบเขาน้ำแข็งทำให้เหมียวอี้แปลกใจอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฝึกวิชาธาตุไฟจึงต้านทานความหนาวได้ เขาก็คงรู้สึกหนาวเหน็บไร้ที่เปรียบเช่นกัน ตอนที่ทั้งสองหยุดพักเพื่อจำแนกทิศทาง เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปบิหน่อน้ำแข็งต้นหนึ่ง แต่พยายามออกแรงแล้วก็ยังทำให้หักไม่ได้ ยังต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่น้อยเลยกว่าจะหักได้
เสียงแกร๊กดังก้องอยู่ในหุบเขานานมาก เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วก็มองดูหน่อน้ำแข็งที่หักไว้ในมืออีก แล้วก็ใช้นิ้วเคาะ เหมือนจะนึกไม่ถึงว่ามันจะแข็งแรงทนทานขนาดนี้
อวี้ซาที่กำลังแยกแยะทิศทางหันมามองแวบหนึ่งแล้วบอกว่า “น้ำแข็งที่นี่ไม่ใช่น้ำแข็งธรรมดา แต่เป็นน้ำแข็งหนา มีมาตั้งแต่เกิดแดนดึกดำบรรพ์แล้ว จะบอกว่าเป็นน้ำแข็งหนาร้อยล้านปีก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป มันย่อมแข็งแรงทนทานเป็นธรรมดา” เสียงพูดของเขาดังก้องอยู่ในหุบเขาน้ำแข็ง
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง เหมียวอี้แอบพยักหน้า แล้วจู่ๆ ร่างกายก็ขยับ โดนอวี้ซาลากไปข้างหน้าต่อแล้ว
เพื่อหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างตามที่ปากอวี้ซาบอก ทั้งสองทะลุไปยังจุดที่สภาพพื้นที่ค่อนข้างต่ำตลอดทาง พยายามหลีกเลี่ยงที่สูงเพราะสะดุดตาเกินไป
ทว่าตอนที่เพิ่งผ่านแนวภูเขาแถบหนึ่งได้ไม่นาน จู่ๆ อวี้ซาก็กดบ่าเหมียวอี้ ทั้งสองหยุดนิ่งพร้อมกัน เห็นเพียงอวี้ซากวาดมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าระแวดระวัง
เหมียวอี้จึงถามว่า “เป็นอะไรไป? เพิ่งจะสิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “คิกคัก” ดังแว่วมา เสียงใสดุจระฆัง เป็นเสียงหัวเราของผู้หญิง ทั้งยังเป็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งด้วย
บทที่ 1479 หงส์อัคคีน้ำแข็ง
สถานการณ์แบบนี้ค่อนข้างแปลก ที่นี่จะมีกลุ่มผู้หญิงโผล่มาหัวเราะได้อย่างไร
เหมียวอี้เอียงหน้าช้าๆ มองไปทางอวี้ซา แล้วถามเบาๆ ว่า “นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?”
อวี้ซายกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อย บอกใบ้ว่าอย่าส่งเสียง แล้วจู่ๆ ก็หันไปมองผาน้ำแข็งที่สูงชันด้านข้าง
เหมียวอี้ก็มองตามเช่นกัน เขาฟังออกแล้ว เสียงหัวเราะของกลุ่มผู้หญิงดังมาจากกำแพงน้ำแข็งหนานั้น ไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะ แต่มีทั้งเสียงหัวเราะทั้งเสียงพูดคุย คุยว่าวันนี้จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนดี เสียงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น ทันใดนั้นบนกำแพงน้ำแข็งสีฟ้าก็มีขาวข้างหนึ่งก้าวออกมา ตามติดด้วยผู้หญิงสวยแช่มช้อยคนหนึ่งเดินออกมา เป็นผู้หญิงที่สวมชุดนางในสีฟ้าทั้งตัว ผิวกายขาวหมดจด ใบหน้างดงามดุจภาพวาด สดใสเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่สาวน้อยแสนสวยทยอยกันเดินออกมาจากกำแพงน้ำแข็งสิบกว่าคน
ที่จริงแล้วเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกงดงามที่สุด แต่สภาพการณ์แปลกประหลาดจริงๆ เพราะไม่เห็นว่ากำแพงน้ำแข็งจะมีคลื่นอะไรเลย และไม่เห็นรอยแยกอะไรด้วย สาวน้อยกลุ่มนั้นทำราวกับกำแพงน้ำแข็งนั่นไม่มีอยู่ มองเห็นเป็นเหมือนอากาศ ออกมาตามอำเภอใจ บนกำแพงน้ำแข็งไม่มีร่องรอยหรือความเคลื่อนไหวอะไรเลยสักนิด
พอเหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ก็เห็นถึงลับลมคมในแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นวิญญาณน้ำแข็ง ในใจอดไม่ได้ที่จะอุทานว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แห่งนี้เก่าแก่โบราณใช้ได้เลย ตอนอยู่ที่พิภพเล็กเขาเคยเห็นวิญญาณน้ำแข็งที่ตำหนักน้ำแข็งมาก่อน เพียงแต่มีลักษณะเป็นเหมือนตัวอ่อนของคน ที่เหมือนคนตั้งแต่ศีรษะยันเท้าแบบนี้ใช่ว่าใช้เวลาสั้นๆ แล้วจะทำได้
สาวน้อยกลุ่มหนึ่งที่เดินตัดผ่านจากข้างหน้ามองข้ามสองคนนี้ไปเลย ราวกับทั้งสองไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาพวกนาง ดูเหมือนไม่มีเจตจาเป็นศัตรูกับทั้งสองเลยสักนิด เอาแต่พูดคุยหัวเราะกับเพื่อนสาวของตัวเอง ทยอยกันเดินเนิบนาบเข้าไปในผาน้ำแข็งที่อยู่ตรงข้าม แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
วิญญาณน้ำแข็งพวกนี้ไม่ได้เป็นฝ่ายมาหาเรื่องพวกเขาก่อน พวกเขาก็ไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นกัน
ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นสักนิดเลยเหรอ? เหมียวอี้กับอวี้ซาสบตากันโดยจิตใต้สำนึก
ขณะที่ทั้งสองเพิ่งจะโล่งใจ ใครจะคิดว่าข้างหลังจะมีเสียงหัว “คิกคิก” ของพวกผู้หญิงดังมาอีก ทั้งสองหันกลับไปมองพร้อมกัน เห็นกลุ่มสาวน้อยที่เดินหายเข้าไปในกำแพงน้ำแข็งเดินออกมาอีกแล้ว ยังคงพูดคุยหัวเราะกันเหมือนเดิม ดูจากหน้าตาแล้วยังเป็นสาวน้อยกลุ่มเดิมก่อนหน้านี้ เดินช้าๆ เข้าไปในกำแพงน้ำแข็งที่อยู่ตรงข้ามอีก ยังไม่แตะต้องทั้งสองแม้แต่ผมเส้นเดียวเหมือนเดิม
รอจนกระทั่งเสียงหัวเราะไปไกลแล้ว ทั้งสองก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ขณะที่อวี้ซากำลังจะพาเหมียวอี้ออกจากที่นี่ ใครจะคิดว่าเสียงหัวเราจะดังเข้ามาใกล้อีก
ทั้งสองหันหน้าไปมองทางขวาพร้อมกัน เห็นกลุ่มสาวน้อยเดินพูดคุยหัวเราะออกมาอีกแล้ว แต่รอบนี้กลับเดินจากด้านข้างเข้ามาหาพวกเขา ยังคงมองไม่เห็นพวกเขา เดินตรงเข้ามาชนทั้งสองเลย
มือของอวี้ซาที่พาดบนบ่าเหมียวอี้ขยับเล็กน้อย พาเหมียวอี้ไถลข้างหน้าต่อ หลบเลี่ยงสาวน้อยกลุ่มนั้น
กระทั้งหลังจากสาวน้อยกลุ่มนั้นเข้าไปในกำแพงน้ำแข็งตรงข้ามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกครั้ง อวี้ซาก็อดทนเสียเวลาต่อไปไม่ไหวแล้ว รีบพาเหมียวอี้หนีไปอย่างรวดเร็ว ผ่านเข้าไปในหุบเขาน้ำแข็งที่คดเคี้ยวด้านหน้าต่อ
ทว่าในครั้งนี้ เสียงหัวเราะขงสาวน้อยกลุ่มนั้นกลับเหมือนวิญญาณที่ตามติด ไม่ว่าทั้งสองจะไปที่ไหน เสียงหัวเราะก็ดังมาจากกำแพงน้ำแข็งข้างซ้ายและขวาตลอด ราวกับเป็นเงาตามตัว ราวกับอยู่ข้างกายพวกเขาตลอด
ความรู้สึกที่เหมือนโดนเล่นอยู่ในฝ่ามือคนอื่นแบบนี้ทำให้คนรู้สึกอึดอัดมาก
เหมียวอี้ยังดีหน่อย เพราะเขาหวังว่าจะให้เกิดเรื่อง ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะหลุดพ้นจากอวี้ซาได้ เขารู้อยู่แก่ใจ ว่าต่อให้เคล็ดวิชาอัคนีดาราของตนจะควบคุมวิญญาณชั่วร้ายได้ขนาดไหน แต่ก็มีพลังต่างกับอวี้ซามากเกินไป ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี้ซาเลย มีแต่ต้องให้เกิดเรื่องขึ้นเท่านั้นถึงจะหลุดพ้นจากอีกฝ่ายได้ ไม่อย่างนั้นถ้าไปที่รังหงส์ได้อย่างราบรื่นจริงๆ ก็รับประกันได้ยากว่าอวี้ซาจะเก็บคนหมดประโยชน์อย่างเขาไว้ต่อไป
ที่สำคัญก็คือ มีความเป็นไปได้น้อยที่วรยุทธ์ของวิญญาณน้ำแข็งพวกนี้จะสูงกว่าอวี้ซา กอปรกับเคล็ดวิชาที่เขาฝึกสามารถควบคุมวิญญาณน้ำแข็งได้เช่นกัน มีสองสิ่งนี้ถ่วงดุลกันก็ยังมีความมั่นใจจะรับมือกับวิญญาณน้ำแข็งบ้างนิดหน่อย แต่กับอวี้ซาเขาไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ดังนั้นเขาจึงหวังจะให้เกิดเรื่อง
ส่วนรายละเอียดว่าจะเลือกอะไร ก็ยังต้องดูว่าว่าตอนอวี้ซากับวิญญาณน้ำแข็งพวกนี้สู้กันเป็นอย่างไร ถ้าศักยภาพของวิญญาณน้ำแข็งพวกนี้สูงเกินไป เช่นนั้นก็ช่างเถอะ อย่างน้อยอวี้ซาก็ยังไม่ทำอะไรเขาตอนนี้
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือ อวี้ซากักเขาเอาไว้ในมือตลอด ทำให้เขามีความตั้งใจแต่ไร้ความสามารถ อยู่ในระยะที่ใกล้กันกันขาดนี้ ยามเผชิญหน้ากับยอดฝีมืออย่างอวี้ซา แค่อีกฝ่ายดีดนิ้วก็กำจัดเขาได้แล้ว เลิกคิดเรื่องหนีไปได้เลย
ตอนนี้ทั้งตัวเขาตกอยู่ในสภาวะฉุกเฉินแล้ว สายตาเป็นประกายล่อกแล่กเป็นระยะ กำลังรีบคิดหาวิธีการ ดูว่าจะอาศัยโอกาสนี้หนีไปได้หรือไม่ ถ้าเข้าไปถึงรังหงส์ได้จริงๆ แบบนั้นก็อันตรายเกินไป อาจจะโดนอวี้ซากำจัดทิ้งได้ทุกเมื่อ ตัวเองไม่มีกำลังจะตอบโต้ได้เลย
ในตอนนี้ ปราณสังหารบนตัวอวี้ซากลับปราฏให้เห็นรางๆ ภายใต้การก่อกวนซ้ำไปซ้ำมาของวิญญาณน้ำแข็งพวกนั้น เขาเริ่มร้อนรนบ้างแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ตระหนักได้ว่าการที่อีกฝ่ายทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะไม่มีสาเหตุ จะต้องจัดการยากแน่นอน จะต้องได้เผชิญหน้ากันในไม่ช้าก็เร็ว หลบไม่ได้แล้ว
ดังนั้นจึงใช้ฝ่ามือกดหยุดเหมียวอี้เอาไว้ ทั้งสองต้องหยุดเดินทางอีกครั้ง
เป็นอย่างที่คาดไว้ มีกลุ่มสาวน้อยเดินออกมาจากกำแพงน้ำแข็งอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับมองเห็นพวกเขาสองคน เอามือป้องปากหัวเราะมาตลอดทาง ชี้มาที่ทั้งสองราวกับกำลังวิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อย ๆ แล้วก็หายไปในกำแพงน้ำแข็งที่อยู่อีกข้าง
เห็นได้ชัดเจนมาก ครั้งนี้เปลี่ยนคนแล้ว ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วเป็นสาวน้อยอีกกลุ่ม สิ่งนี้ทำให้อวี้ซาและเหมียวอี้แอบถอนหายใจ ถ้ายังเป็นผู้หญิงกลุ่มเดิมเหมือนก่อนหน้านี้ แบบนั้นก็อาจจะน่ากลัวไปหน่อย ถึงแม้อวี้ซาจะกำลังไถลผ่านน้ำแข็ง แต่วรยุทธ์ก็เห็นๆ กันอยู่ เขาไม่ได้ชักช้าเลย ถ้าสาวน้อยกลุ่มก่อนหน้านี้ใช้วิธีเดินในน้ำแข็งแล้วยังตามพวกเขาทัน ก็ไม่ต้องพูดเยอะแล้วว่าอีกฝ่ายมีพลังเป็นอย่างไร
เสียงหัวเราะโผล่อยู่ข้างหลังอีกครั้ง เหมียวอี้หันกลับไปมอง แต่อวี้ซากลับหน้านิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้หันกลับไปข้างหลังอีก
เห็นเพียงสาวน้อยที่เดินทะลุกำแพงออกมาอีกครั้งเปลี่ยนท่าทางจากก่อนหน้านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ สะบัดกระโปรงนางในเต้นระบำแล้ว
ครั้งนี้พวกนางไม่ได้เดินไปไหน ยังคงอยู่ในหุบเขา เต้นระบำพร้อมยิ้มเบาๆ อยู่ตรงหน้าทั้งสอง เหมือนจะอยากจะให้ทั้งสองเชยชม
อวี้ซาไม่ปล่อยมือที่พวาดไว้บนบ่าเหมียวอี้เลย หันตัวมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเหมียวอี้ มองเหล่าสาวน้อยเต้นระบำด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางยกมือข้างหนึ่งอย่างช้าๆ
เหมียวอี้เหลือบมองมือที่เขาชูขึ้นแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย พูดในใจว่าจะเกิดเรื่องแล้ว!
เป็นอย่างที่คาดไว้ จู่ๆ อวี้ซาก็ดีดนิ้ว ปราณสังหารที่ดุร้ายราวกับกระบี่สายหนึ่งกวาดผ่านไป ผู้หญิงพวกนั้นตกใจจนหน้าถอดสี แต่จะหลบแต่ก็หลบไม่ทันแล้ว
แสงกระบี่ที่เหมือนอัสนีบาตสีแดงกวาดผ่านไปพร้อมเสียงดัง เสียงหัวเราะกลายเป็นเสียงร้องตกใจแล้ว สาวน้อยสิบกว่าคนโดนฟันเอวขาด ไม่มีใครรอดสักคน
กลุ่มสาวน้อยที่โดนสังหารสูญเสียรูปร่างมนุษย์ทันที กลายเป็นละอองน้ำใสพังกระจาย ชั่วพริบตาเดียวก็ก็อบอวลไปด้วยไอหนาวที่เข้าจู่โจมแล้ว
วัตถุรูปละอองน้ำใสพลันระเบิดกระจาย ผนึกไว้ทั้งหุบเขา
จู่ๆ ในหุบเขาก็ปรากฏภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งที่ใสระยิบระยับดุจอัญมณี เหมียวอี้กับอวี้ซาตัวแข็งทื่อ กระดุกกระดิกไม่ได้ ชั่วพริบตาเดียวก็โดนผนึกไว้ในภูเขาน้ำแข็งที่แข็งแรงทนทานแล้ว
เงงาคนในภูเขาน้ำแข็งสั่นไหว ผ่านไปไม่นาน ผู้หญิงสิบกว่าคนนั้นก็ปรากฏตัวอีกครั้ง อยู่ตรงหน้าทั้งสองนี่เอง พวกนางมองผนึกน้ำแข็งราวกับไม่มีตัวตน มองเหมือนเป็นอากาศ เต้นระบำอยู่ในภูเขาน้ำแข็งที่แข็งแรงทนทาน เพียงแต่เวลาที่อีกฝ่ายขยุ้มมือ ก็จะมีกระบี่น้ำแข็งออกมาจากมือ
นี่เป็นการเต้นระบำเสียที่ไหนกัน พวกนางกำลังจะปลิดชีพสองคนนี้ชัดๆ
พออวี้ซาที่อยู่ในผนึกน้ำแข็งขยับบ่าเล็กน้อย บนตัวเขาก็มีแสงกระบี่ปราณสังหารระเบิดออกมาอย่างเฉียบพลันราวกับเป็นเม่นทันที สาดยิงไปทั่วสารทิศราวกับเป็นรังสี
บึ้ม! ฟ้าสะท้านดินสะเทือน ภูเขาน้ำแข็งในผนึกน้ำแข็งรวมทั้งหุบเขาน้ำแข็งที่อยู่สองฝั่งโดนพลังมหาศาลฉีกจนแตกกระจายทันที น้ำแข็งทั้งก้อนเล็กก้อนใหญ่ปลิวว่อน ตกกระแทกเสียงดังโครมรามบนภูเขาน้ำแข็งที่อยู่รอบๆ
โชคดีที่อวี้ซาหว่านแหไปฝั่งเดียว แสงกระบี่ปราณสังหารไม่ได้ระเบิดมาทางเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นก็ทำให้ร่างของเหมียวอี้ฉีกได้ภายในชั่วพริบตาเดียว
สาวน้อยสิบกว่าคนที่เต้นระบำอยู่ในน้ำแข็งร่างฉีกในชั่วพริบตาเดียว แต่พวกนางเหมือนฆ่าเท่าไรก็ไม่ตาย พวกนางปรากฏตัวอีกครั้งท่ามกลางก้อนน้ำแข็งที่ปลิวว่อน
ทว่าไม่รอให้พวกนางได้ลงมืออีกครั้งหรอก อวี้ซาโบกมือกวาดกลางอากาศแล้ว ดีดนิ้วทั้งห้าอย่างต่อเนื่อง แสงกระบี่สีเลือดหลายสายฟันร่างพวกนางแหลกอีกครั้ง
มาถึงขั้นนี้แล้ว อวี้ซาก็ไม่มีอะไรให้น่าปิดบังอีก เขาคว้าแขนเหมียวอี้เหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว หมายจะหลุดพ้นจากการพัวพันของผู้หญิงพวกนั้น
ใครจะคิดว่าจู่ๆ บนท้องฟ้าจะมีภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งโผล่มาขวางทางไว้ พออวี้ซาดีดนิ้ว แสงกระบี่ก็โจมตีภูเขาน้ำแข็งจนระเบิด
หลังจากนั้น ทั้งสองก็รีบหยุดอยู่กลางอากาศ เห็นเพียงหลังจากภูเขาน้ำแข็งระเบิดออกแล้วก็มีสาวน้อยวิญญาณน้ำแข็งโผล่ออกมาอีกเยอะมาก มาขวางทางอยู่ข้างหน้า
ทั้งสองหันมองไปรอบๆ ระหว่างแนวภูเขาที่สูงต่ำสลับกันรอบๆ มีสาวน้อยวิญญาณน้ำแข็งลอยขึ้นมาไม่หยุด ปิดล้อมทุกทางของทั้งสองเอาไว้อย่างหนาแน่น
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้อวี้ซาลำบากใจเลย สิ่งที่ทำให้เขาระวังตัวอย่างสูงก็คือจุดแสงสีรุ้งกลุ่มหนึ่งที่ลอยมาด้วยความเร็วสูงจากที่ไกลๆ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นตั้งแต่อยู่ไกลๆ แล้ว
จุดแสงสีรุ้งลอยมา แล้วจู่ๆ ก็กระจายกันบิน จากจุดแสงที่มีเจ็ดสีรวมกลุ่มกัน เหมือนจะกลายเป็นภาพนกแบบง่ายๆ ภาพหนึ่ง ‘นก’ จำนวนหลายร้อยตัวบินวนรอบทั้งสองอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
และภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ด้านล่างก็พลันส่องสว่าง กลายเป็นสีฟ้าสะดุดตาในชั่วพริบตาเดียว บนภูเขาแต่ละลูกมีเปลวเพลิงโผล่ขึ้นมา เป็นเปลวเพลิงสีฟ้าที่โชติช่วง
เหมียวอี้เรียกได้ว่าไม่แปลกตากับเปลวเพลิงนี้ มันคืออัคคีน้ำแข็ง!
อัคคีน้ำแข็งหลายกลุ่มบินขึ้นมาบนท้องฟ้า บินไปหานกสีรุ้งจำนวนหลายตัว
เหมียวอี้เริ่มเบิกตากว้างทีละนิด ตามที่อัคคีน้ำแข็งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ากลายเป็น ‘นก’ ที่มีเลือดเนื้อ ทำให้ ‘นก’ พวกนั้นรวมเป็นร่างที่สมบูรณ์ หงส์เฟิ่งหวงที่มีชีวิตปรากฏตัวแล้ว เป็นหงส์เพลิงสีฟ้า ตอนนี้กำลังบินว่อนอยู่รอบตัวทั้งสอง
ฉากนี้งดงามจนทำให้คนตกตะลึงตาค้าง เหมือนความฝันเกินไปแล้ว ทว่าในดวงตาอวี้ซากลับฉายแววหวาดกลัวทีละนิด ออกแรงจับบ่าเหมียวอี้ พร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “ตอนนี้ฝากความหวังไว้ที่เจ้าแล้ว”
“ข้า…” เหมียวอี้หันขวับ ทำสีหน้าตกตะลึงมาก “ข้าไม่เคยเห็นด้วยซ้ำว่าไฟสีฟ้านั่นคืออะไร ไม่รู้จักแล้วจะรับมือได้ยังไง!”
สาวน้อยวิญญาณน้ำแข็งสิบกว่าคนที่ล้อมอยู่พลันพุ่งเข้ามา พออวี้ซาโบกมือกวาด แสงกระบี่หลายสายก็ฟันสาวน้อยพวกนั้น
แต่กลับเป็นอย่างที่คาดไว้ แกร๊ง! ภูเขาน้ำแข็งลูกใหญ่โผล่ขึ้นกลางอากาศอีกแล้ว ผนึกทั้งสองเอาไว้ในนั้นทั้งเป็นๆ
บึ้ม! บนตัวอวี้ซามีแสงกระบี่ปราณสังหารโผล่ออกมาอีกครั้ง ลำแสงสีเลือดยิงไปสี่ทิศจนภูเขาน้ำแข็งระเบิด
อวี้ซาที่ดึงแขนเหมียวอี้ยังไม่ทันได้หนี แกร๊ง! โดนภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมากลางอากาศผนึกไว้แล้ว บึ้ม! ภูเขาน้ำแข็งระเบิดออกอีกครั้ง แกร๊ง! ทั้งสองโดนล้อมไว้อีกครั้ง…
ทั้งสองคนที่ต้องการจะเหาะหนีราวกับเป็นฉากที่ขาดๆ หายๆ เดี๋ยวไปเดี๋ยวหยุด หนีได้ไม่เร็วแล้ว
วูบ! หงส์อัคคีน้ำแข็งนับร้อยตัวที่กำลังบินว่อนพ่นเปลวเพลิงที่ดุเดือดออกมาพร้อมกัน พ่นอัคคีน้ำแข็งสีฟ้าแสนสวยออกมา มองข้ามภูเขาน้ำแข็งที่ระเบิดและก่อตัวใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก พ่นผ่านชั้นน้ำแข็งหนาออกไป เผาไปหาสองคนที่กำลังโดนขังโดยหลบหลีกสิ่งขวางกั้นรอบๆ
บทที่ 1480 ถ้าไม่เอาก็เสียของเปล่าๆ
บึ้ม! อวี้ซาโบกแขนระเบิดปราณสังหารอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง สะเทือนจนผนึกน้ำแข็งแตกกระจาย จากนั้นก็ใช้มือข้างเดียวก่อกวนซ้ำๆ ปราณสังหารไหลหมุนวนราวกับมังกรคลั่ง จากนั้นก็เสียง ‘วึง’ ปราณสังหารราวกับเป็นลม ครอบทั้งสองเอาไว้ในนั้นแล้ว
ภูเขาน้ำแข็งที่ยังระเบิดไม่หมดผนึกพวกเขาเอาไว้อีกแล้ว ราวกับถูกผนึกไว้ในลูกกลมสีเลือดขนาดใหญ่
อัคคีน้ำแข็งร้อยสายพ่นทะลุภูเขาน้ำแข็งเข้ามา สาดอ้อมปราณสังหารที่ครอบคลุมทั้งสองเอาไว้ราวกับเป็นลูกกลมสีเลือด ชั่วพริบตานั้นปราณสังหารที่ก่อตัวรวมกันถูกเผาอย่างรวดเร็วแบบที่ตาเปล่าสังเกตได้ ไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากอัคคีน้ำแข็งได้เลย
อวี้ซาที่อาศัยเกราะปราณสังหารกั้นจนเป็นรูปทรงกลมอยู่ในภูเขาน้ำแข็งทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว รู้ว่าอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงออกแรงเขย่าบ่าเหมียวอี้พร้อมตะโกนอย่างโมโหว่า “เจ้ายังไม่ลงมืออีก จะยืนรอความตายเฉยๆ รึไง?”
เหมียวอี้โบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์นิดหน่อย แต่กลับไม่เห็นว่าจะเกิดผลอะไรกับอัคคีน้ำแข็ง จึงกล่าวอย่างตกใจเช่นกันว่า “ข้าเพิ่งเคยเห็นเปลวเพลิงสีฟ้านี่เป็นครั้งแรก ถ้าจะรับมือกับมัน ก็ต้องให้เวลาข้าคิดหลายๆ วันหน่อย”
“หลายวันเหรอ?” อวี้ซาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ตอนนี้เขาถึงขั้นอยากจะฆ่าเหมียวอี้แล้ว ขนาดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้ว เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะโดนอัคคีน้ำแข็งโจมตีฝ่าเข้ามาได้ แค่ตอนนี้ยังต้านทานลำบากเลย ตอนนี้เจ้ามาบอกข้าว่าขอเวลาหลายวันงั้นเหรอ? ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะล่ะ?
เมื่อเห็นเขามองตนด้วยสายตาโมโห เหมียวอี้ก็บอกเสียงดังทันทีว่า “หนึ่งวัน ให้เวลาข้าหนึ่งวัน ข้าจะจัดการมันได้แน่นอน!”
อวี้ซาโมโหจนหัวเราะ มองไปที่ปราณสังหารอบกายที่เริ่มเปราะบางลงทีละนิด เขาจะต้านทานได้หนึ่งวันก็แปลกแล้ว จึงหันกลับมาจ้องเหมียวอี้อีก แล้วลงมือมือราวกับกับแลบ รีบผนึกพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ แล้วโยนไว้ในกำไลเก็บสมบัติของตัวเองโดยตรง
ข้างกายขาดตัวถ่วงไปชั่วคราว อวี้ซาหมุนตัวด้วยควาเร็วสูง ปราณสังหารที่พัดม้วนอยู่บนตัวกระเพื่อมออกมาอีกครั้ง ปราณสังหารราวกับเกราะลม ระเบิดลำแสงนับหมื่นสายออกมาอย่างบ้าคลั่ง
บึ้ม! ผนึกน้ำแข็งโดนระเบิดอีกแล้ว อัคคีน้ำแข็งที่พ่นอยู่รอบกายโดนบีบให้ถอยกลับไปด้วยการใช้วิธียอมทุ่มทุกอย่างของเขา
ลำแสงคล้ายอัสนีบาตสีเลือดที่ปล่อยออกมาจากนิ้วกวาดล้างอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทำให้ผนึกน้ำแข็งที่ก่อรูปขึ้นในชั่วพริบตาเดียวระเบิดพังไม่หยุด อัสนีบาตสีเลือดพุ่งออกมา ลักษณะอุกอาจราวกับเทพขวางฆ่าเทพ พระขวางฆ่าพระ ถึงแม้อัคคีน้ำแข็งที่หงส์เฟิ่งหวงนับร้อยพ่นออกมาจากลดทอนอานุภาพของอัสนีบาตสีเลือดที่ยิงเข้ามาไปไม่น้อย แต่อานุภาพยังคงอยู่
แทบจะชั่วพริบตาเดียว หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าร้อยตัวระเบิดออกพร้อมกัน ร่างแยกกลางอากาศ เพลิงสีฟ้าระเบิดเต็มท้องฟ้า
อวี้ซาที่ยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อโจมตีป้องกันใช้ ‘แสงกระบี่’ ไม่หยุดราวกับตัวจะกลายเป็นเม่น ดันทุรังฝ่าผนึกน้ำแข็งที่ปิดล้อมเขาไว้ไม่หยุด ใช้วิธีหมุนร่างกายที่เต็มไปด้วยเข็มพุ่งกำจัดสิ่งขีดขวางทุกอย่างและทะลวงฝ่าวงล้อม
จุดแสงเจ็ดสีที่แยกตัวกลางอากาศกลับมาร่วมตัวเป็นรูป ‘นกบิน’ อีกครั้ง อัคคีน้ำแข็งที่ระเบิดออกก็จะมารวมตัวเติมเต็มให้กลายเป็นเลือกเนื้อเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวหงส์อัคคีน้ำแข็งก็ฟื้นชีพอีกครั้ง แล้วไล่ตามพ่นอัคคีน้ำแข็งล้อมปราบต่อ
โดนกดดันถึงขั้นนี้แล้ว อวี้ซาแทบจะเป็นบ้าประสาทเสีย ไม่เสียดายที่จะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดเพื่อฝ่าวงล้อม ถ้าอยู่ต่อไปก็จะมีแต่ตายสถานเดียว รังหงส์ที่อยู่ในจุดลึกของทุ่งน้ำแข็ง ตอนนี้เขาไม่กล้าไปแล้ว มีแต่ต้องคิดหาทางฝ่าออกไปก่อน รอให้เหมียวอี้คิดวิธีรับมือได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
สาวน้อยวิญญาณน้ำแข็งนับไม่ถ้วนรอบกายที่โผเข้ามาไม่หยุดได้หายไปแล้ว ไม่ว่าอวี้ซาจะฝ่าสิ่งกีดขวางด้มากขนาดไหน พวกนางก็ยังกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งหลายลูกมาผนึกเขาไม่หยุด ต่อให้ถ่วงความเร็วในการฝ่าวงล้อมของอวี้ซาได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม เห็นให้ชัดว่าอยากจะกำจัดอวี้ซาให้สิ้นซาก
สิ่งหนึ่งคืออุปสรรคขัดขวางที่ไม่มีขีดจำกัด สิ่งหนึ่งกำลังทุ่มทุกอย่างเพื่อฝ่าวงล้อม ความเคลื่อนไหวที่ทำให้ฟ้าถล่มดินทลายได้สะเทือนไปถึงพวกวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ไกลๆ ให้เหาะขึ้นมา พากันมองมาทางนี้อย่างประหลาดใจสงสัย ที่อยู่ไกลเกินไปก็มองไม่ชัดมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เห็นเพียงตรงเส้นขอบฟ้ามีปราณสังหารพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีฟ้าโชติช่วงผืนหนึ่ง
เหมียวอี้ที่ถูกโยนเข้าในกำไลเก็บสมบัติแค้นจนกัดฟันกรอด เขาเห็นอวี้ซาตกอยู่ในสภาพที่ถูกตัดขาด เลยอยากจะกดดันให้อวี้ซาปล่อยเขาออกไป ต่อให้จะโยนเขาออกไปเป็นโล่ป้องกันก็ยังดี นึกไม่ถึงว่าไอ้สารเลวอวี้ซาจะผนึกวรยุทธ์ของเขาแล้วโยนไว้ในกำไลเก็บสมบัติ เหมือนอวี้ซาจะตัดสินใจแล้วว่าถ้าตัวเองรอดออกจากตรงนี้ไปไม่ได้ เหมียวอี้ก็อย่าได้คิดเลยว่าจะได้รอดออกไป
“ไอ้เวรเอ๊ย ขนาดจะตายก็ยังลากข้าไปรับกรรมด้วย…” เหมียวอี้ด่าเขา
พอมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง ก็พบว่าในกำไลเก็บสมบัติวงนี้กองของเอาไว้เต็ม คาดว่าคงจะเป็นของที่อวี้ซาเก็บสะสมจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาหลายปี ที่สะดุดตาที่สุดก็คือวิญญาณชั่วร้ายามดวงที่โดนฆ่าตอนเข้ามาในทุ่งน้ำแข็งก่อหน้านี้ ยังไม่จัดได้จัดการนับของเลย
ตอนนี้เหมียวอี้ไม่สนใจของในกำไลเก็บสมบัติ ที่สำคัญคือต่อให้สนใจก็เอาไปด้วยไม่ได้ ตัวเองโดนผนึกพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ใช้บ่าแบกกับมือถือจะขนไปได้สักเท่าไรเชียว?
คิดหาทางหลุดพ้นก่อนต่างหากที่เป็นหนทางที่ถูกต้อง ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ ไม่สามารถออกจากกำไลเก็บสมบัติวงนี้ได้เลย
ทำยังไงดีล่ะ? เหมียวอี้เดินไปเดินมาอบ่างกระวนกระวาย ถ้าไม่รีบออกไป จะตกอยู่ในมืออวี้ซาเหมือนเดิม หรือจะตกอยู่ในมือของวิญญาณน้ำแข็งพวกนั้น หรือจะโดนขังอยู่ในกำไลเก็บสมบัติตลอดไป อาศัยพพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาในตอนนี้ การโดนผนึกแบบนั้นอาจจะทำให้ตายได้
ถ้าอยากจะหลุดพ้น อันดับแรกก็ต้องคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวก่อน ต้องมีคนช่วยเขาคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัว
เขามองกำไลเก็บสมบัติที่อยู่บนข้อมือตัวเอง เขามีลูกมืออยู่สองคน นั่นก็คืออั้นโยวหลินกับย่วนต๋า แต่ที่สำคัญคือพลังอิทธิฤทธิ์โดนผนึกไว้ เขาไม่สามารถเรียกสองคนนี้ออกมาได้
เพี้ยะ! จู่ๆ เหมียวอี้ก็ตบหน้าผากตัวเองอย่างดีใจ ก้มหน้ามองกระเป๋าสัตว์ที่อยู่ตรงเอว ลืมไปได้อย่างไรว่าในมือยังมีเฮยทั่นอยู่อีกตัว
ของอย่างอื่นเขาอาจจะไม่สามารถเรียกออกมาจากกระเป๋าสัตว์ได้ แต่เฮยทั่นกับเขานั้นรู้ใจกันที่สุด
เขารีบสงบสติอารมณ์โดยเร็ว แล้วตบกระเป๋าสัตว์ตรงแล้ว ตบแรงขึ้นเรื่อบๆ นี่เป็นจังหวะการร้องขอความช่วยเหลือ
แคว่ก จู่ๆ บนกระเป๋าสัตว์ก็มีรูโหว่ ตามติดด้วยเสียง “ปั้ง” กระเป๋าสัตว์ระเบิดออกแล้ว
เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหางแหวกกระเป๋าสัตว์ออกมาเอง มันส่ายหางสั่นหัวอยู่ท่ามกลางหมอกควันที่ระเบิดออก มันหันกลับมามองเหมียวอี้ที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง แล้วหันตัวเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “นี่คือพื้นที่ว่างในกำไลเก็บสมบัติเหรอ? มันเรื่องอะไรกัน?”
เหมียวอี้โบกมือ่หมอกควันที่ตลบอบอวล แล้วใช้นิ้วส่งสัญญาณว่าไม่ให้มันพูด เขากำลังรวบรวมสามธิสนใจความเคลื่อนไหวของอวี้ซา
ผลปรากฏว่าไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ ของอวี้ซาแล้ว เขาเข้าใจทันที ถ้าไม่ใช่เพราะอวี้ซากำลังอยู่ในสภาวะฉุกเฉินจนไม่มีเวลามาสนใจ ก็แปลว่าอวี้ซาตายแล้ว ไม่อย่างนั้นยามเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ในกำไลเก็บสมบัติ ก็เป็นไปไม่ได้ที่อวี้ซาจะไม่สังเกตเห็น
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เหมียวอี้ก็รู้ว่าจำเป็นต้องรีบแล้ว รีบรูดกำไลเก็บสมบัติที่ใส่อั้นโยวหลินไว้ก่อนหน้านี้ออกมา แล้วโยนไว้บนพื้น “รีบเปิดกำไลเก็บสมบัติวงนี้ เร็วเข้า!”
“ทำให้พังไปเลยเหรอ?” เฮยทั่นถาม
“เออ! มัวพูดมากอะไรอยู่ได้ เร็วๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นจะตายกันหมด!” เหมียวอี้คำรามใส่
เฮยทั่นใช้กรงเล็บแหลมมสองข้างเสียบเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติทันที พอกรงเล็บแหลมคมที่สวมเกราะรบแหลมสำหรับกรงเล็บฉีกดึง ก็มีเสียงระเบิดดังปั้ง ผงผลึกตลบอบอวล อั้นโยวหลินกลิ้งออกมา แล้วมองไปรอบๆ อย่างงุนงงตกตะลึง จากนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดหมอกหนาตรงหน้า พอเห็นเหมียวอี้ นางก็ตะลึงงันทันที
เหมียวอี้รีบบอกว่า “ข้าโดนอวี้ซาผนึกพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว เร็วเข้า รีบคลายผนึกให้ข้า ไม่อย่างนั้นจะต้องตายอยู่ที่นี่กันหมด”
อั้นโยวหลินไม่มีเวลามาถามอะไรแล้ว รีบลงมือช่วยคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวเขา
พอพลังอิทธิฤทธิ์กลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็ดีใจมาก หยิบกำไลเก็บสมบัติอีกวงออกมา แล้วบอกอั้นโยวหลินว่า “รีบเข้าไปหลบ”
เดิมทีอั้นโยวหลินอยากจะถามว่าเขาเป็นอะไรไป แต่พอเห็นเขารีบร้อนขนาดนี้ ก็ไม่ถามอะไรมากแล้ว เพราะนางเชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่ทำร้ายนาง จึงมุดเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติทันที
เหมียวอี้ใส่กำไลเก็บสมบัติไว้บนข้อมือ แล้วหยิบทวนเกล็ดย้อนออกมา หลังจากกระโดดขึ้นขี่เฮยทั่นแล้ว ก็หยิบเจดีย์งามวิจิตรออกมา ขณะกำลังจะพุ่งตัวออกไป จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปมองของจำนวนมากที่กองอยู่ในพื้นที่ว่างของที่นี่ แววตาเขาเป็นประกายทันที ถ้าไม่เอาก็จะเสียของ
เขาโบกมือกวาดต่อเนื่องกันหลายครั้ง เก็บของที่กองรวมกันเข้าในกำไลเก็บสมบัติของตัวเองทั้งหมด ไม่ปล่อยผ่านเลยสักชิ้น แม้แต่ของที่อยู่บนตัวศพวิญญาณชั่วร้ายทั้งสามนั่นก็เก็บไปพร้อมกันเลย จากนั้นก็โบกทวนชี้แล้วตะโกนว่า “โจรอ้วน โจมตีบุกออกไป!”
เฮยทั่นวิ่งตะบึงออกมาอย่างบ้าคลั่ง เกราะรบที่แหลมคมทั้งตัวชนใส่ผนังอย่างดุดัน
วัสดุที่ใช้หลอมสร้างกำไลเก็บสมบัติไม่ใช่ของระดับสูงเท่าไรนัก มีหรือที่จะต้านทานเกราะรบผลึกแดงบนตัวเฮยทั่นได้….
อวี้ซาที่กำลังทุ่มเททุกอย่างเพื่อฝ่าวงล้อมออกไปพบว่าบนข้อมือมีเสียงระเบิดดัง “ปั้ง” ตามด้วยฝุ่นควันที่ระเบิดออกมาอย่างตลบอบอวล
อวี้ซาเดือดดาลมาก ย่อมเดาออกแล้วว่าใครบางคนเล่นตุกติก ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวในกำไลเก็บสมบัติแล้ว เดาออกแล้วเช่นกันว่าเหมียวอี้ไม่ยอมถูกควบคุม แต่เขากำลังโดนล้อมโจมตี จึงไม่ได้แบ่งสมาธิมาสนใจว่าเหมียวอี้ที่อยู่ข้างในกำลังทำอะไร
อย่างน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาแน่ใจ นั่นก็คือเหมียวอี้ไม่กล้าหนีไปจากเขา อยู่ที่นี่ถ้าไม่มีเขาปกป้องก็จะตายสถานเดียว
แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะโจมตีฝ่ากำไลเก็บสมบัติของเขาโดยตรง เขาคิดไม่ตกว่าเหมียวอี้หลุดออกจากผนึกวรยุทธ์ของเขาได้อย่างไร
ท่ามกลางฝุ่นควันที่ระเบิดออกมีบางสิ่งปรากฏขึ้น อวี้ซาที่กำลังหมุนตัวฝ่าวงล้อมดีดนิวปล่อยอัสนีบาตสีเลือดออกมาสามสาย โจมตีสิ่งที่หนีออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ใครจะคิดว่าสิ่งที่หนีออกมาจะไม่ใช่เหมียวอี้ แต่เป็นเจดีย์วิเศษผลึกแดงหลังหนึ่ง เจดีย์โดนลำแสงดรรชนีสามสายของเขาโจมตีจนแสงอ่อน เจดีย์วิเศษขนาดใหญ่ลอยฝ่าผนึกน้ำแข็งที่โจมตีลงมาราวกับดาวตก แล้วไปเสียบอยู่บนภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง
วิญญาณน้ำแข็งกับหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่ล้อมโจมตีไม่สนว่าจะเป็นเจดีย์วิเศษอะไร สนใจแค่โจมตีอวี้ซา ถ้าในเจดีย์วิเศษมีอะไรโผล่ออกมา ก็ย่อมมีคนไปรับมืออยู่แล้ว
กำไลเก็บสมบัติบนข้อมือของตัวเองคือสมบัติทั้งหมดที่เขามี แต่ไม่เห็นของอย่างอื่นตกพื้นเลย เห็นเพียงเจดีย์วิเศษหลังหนึ่งที่ตนไม่เคยเห็นหนีออกมา อวี้ซาไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามีคนม้วนเก็บสมบัติเขาไปหมดแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเหมียวอี้หลบอยู่ในเจดีย์วิเศษหลังนั้น
อวี้ซาโมโหจนเป็นบ้าแล้วจริงๆ เขาที่กำลังฝ่าวงล้อมอยู่ที่เดิม ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมทุ่มทั้งชีวิตแล้ว โจมตีไปยังเจดีย์วิเศษที่อยู่บนยอดเขาไกลๆ
เหมียวอี้ที่อยู่ในเจดีย์งามวิจิตรตกใจมาก เฮยทั่นที่เขาขี่อยู่กำลังพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล วิ่งหลบกระแสน้ำที่อุกอาจบนผืนแผ่นดิน สภานการณ์ข้างในเหมือนฟ้าถล่มแผ่นดินแยกจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าเขาสัมผัสได้ว่าเจดีย์งามวิจิตรกำลังโอนเอนใกล้จะล้ม พลังงานที่เหลืออยู่ทำให้ประคับประคองต่อไปไม่ไหวแล้ว
เขาเดาว่าถ้าออกไปก็มีโอกาสสูงที่จะโดนโจมตี ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้ ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ถ้าใช้ ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ จริงๆ ไม่ได้ทนทานเท่าผลึกแดงอย่างเจดีย์งามวิจิตรเลย หลบอยู่ใน ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ยามเจอกับยอดฝีมือบงกชกลายก็มีโอกาสได้รับบาดเจ็บหนัก
แต่เจดีย์งามวิจิตรนี้ต่างออกไป ไม่ใช่แค่หนาทนทานเท่านั้น ข้างในยังมีพื้นที่ว่างที่สร้างขึ้นเองด้วย พลังโจมตีจากข้างนอกยากที่จะมาถึงตัวเขาได้โดยตรง
แต่เขานึกไม่ถึงว่าพอเจดีย์งามวิจิตรออกมาแล้วจะโดนโจมตีจนโอนเอนทันที พลังงานแทบจะหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าระดับแกนของเจดีย์งามวิจิตรต่ำเกินไป เขาไม่ได้กังวลว่าเจดีย์งามวิจิตรจะโดนโจมตีพัง เพราะของวิเศษผลึกแดงที่แข็งแกร่งทนทานขนาดนี้ไม่ได้โดนโจมตีฟังง่ายๆ แต่ถ้าพลังงานที่โคจรประคับประคองไม่ไหว เจดีย์งามวิจิตรก็จะกลับสู่รูปร่างเดิม ถ้าไม่มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือ เขาก็จะโดนขังอยู่ในนี้ตลอดไป
เขาอยู่ข้างในถึงแม้จะควบคุมเจดีย์วิเศษได้ แต่กลับไม่สามารถเติมพลังงานให้เจดีย์วิเศษได้
ไม่ออกไปไม่ได้แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องโดนขังตายอยู่ในนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสัญชาตญาณของเขาบอกว่าแค่อยากจะอาศัยเจดีย์วิเศษเพื่อหลบการโจมตีระลอกนี้เฉยๆ
“โจรอ้วน ถึงเวลาสู้ตายแล้ว ไป!” เหมียวอี้ตะโกนเสียงดัง แล้วโบกทวนชี้ ข้างหน้าพลันปรากฏช่องว่าง เฮยทั่นทะยานขึ้นฟ้าออกไปโดยตรง
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น