พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1473-1476
บทที่ 1473 ได้ของดีมาแล้ว
Ink Stone_Fantasy
ความวุ่นวายตรงหน้าจบลงแล้ว เฮยทั่นกระโดดลงจากเนินกรวดทรายสูงโดยไม่ขออนุญาต วิ่งมาที่หน้าหลุมลึกหลุมนั้นแล้วกระโดดลงไป
ครั้งนี้เหมียวอี้ไม่ได้ห้าม รู้แล้วว่าเฮยทั่นจะไปทำอะไร เจ้าสัตว์ที่ตะกละตัวนี้จะต้องเอาแต่คิดถึงไข่มุกวิญญาณอาฆาตของเก้าคนนั้นแน่นอย
ครั้งนี้ดวงดีพอสมควร เฮยทั่นเจอไข่มุกวิญญาณอาฆาตสี่เม็ดที่ยังไม่โดนเผาทำลายแล้ว จากนั้นก็เห็นเหมียวอี้กระโดดลงมาเก็บของที่เก้าคนนั้นทิ้งไว้อีก
เมื่อปิดปากหวังกงแล้ว เหมียวอี้ก็สบายใจแล้วเช่นกัน ตอนนี้ไม่รีบเดินทางแล้ว
เหมียวอี้อยู่ในหลุมลึกและนำของที่ได้จากคนพวกนี้รวมทั้งหวังกงและจิ้งหูเหนียงเหนียงออกมานับและจัดระเบียบ สำหรับเหมียวอี้ ของพวกนี้ไม่นับว่ามีมูลค่าสูงเท่าไรนัก ไม่มีทั้งลูกแก้วพลังปรารถนา ไม่มีทั้งของประเภทยาแก่นเซียน นอกจากเกราะรบบนตัวหวังกง ก็ไม่มีของอะไรที่ทำให้เหมียวอี้ชายตาแลได้เลย
แต่ก็ค้นเจอไข่มุกบนตัวคนพวกนี้ไม่น้อยเลย มีไข่มุกวิญญาณอาฆาต ไข่มุกวิญญาณเหี้ยมโหด ไข่มุกวิญญาณมรณะและไข่มุกวิญญาณสังหาร เหมียวอี้โยนไข่มุกสามชนิดหลังให้เฮยทั่นทดสอบดู และเฮยทั่นก็ไม่ถือสาอะไรเลยอย่างที่คาดไว้ มันตวัดลิ้นกลืนลงท้องเม็ดแล้วเม็ดเล่า กินแบบไม่กลัวปวดท้องเลยสักนิด กินหมดแล้วก็ยังมองเม็ดที่เหลือในมือเหมียวอี้ตาปริบๆ
เดิมทีเหมียวอี้อยากจะโยนไปให้เฮยทั่นพร้อมกันเลย แต่ก็รู้สึกว่าของพวกนี้อาจจะมีประโยชน์ ถึงได้หยิบกระจกทองแดงบานนั้นออกมา โยนลูกน้องของหวังกงที่โดนขังอยู่ข้างในออกมา
พอคนคนนั้นโผล่หน้าออกมา แล้วเห็นอาวุธกับเกราะรบของหวังกงวางอยู่บนพื้น เขาก็ตกใจทันที มองเหมียวอี้ด้วยสีหน้าตกใจกลัว พลางถามอย่างประหลาดใจสงสัยว่า “ท่านสังหารประมุขค่ายของพวกเราเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “เขามารนหาที่ตายกับข้าเอง จะให้ข้าปล่อยเขาไปรึไง? หวังกงตายไปแล้ว เจ้าจะยอมสวามิภักดิ์ต่อข้ารึเปล่า?”
ข้ามีทางเลือกรึไงล่ะ? คนคนนั้นถอนหายใจ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่หวังกงก็ตายแล้วเหมือนกัน จึงยิ้มอย่างขื่นขมพร้อมบอกว่า “ข้าน้อยยอมแล้ว!”
“เจ้าชื่ออะไร?” เหมียวอี้ถาม
คนคนนั้นตอบอย่างห่อเหี่ยวนิดหน่อยว่า “ผู้น้อยย่วนต๋า”
“ย่วนต๋า…” เหมียวอี้จดจำชื่อนี้ไว้ แล้วกำไข่มุกวิญญาณสีต่างๆ ออกมา พร้อมถามว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย นอกจากของประเภทไข่มุกวิญญาณอาฆาตพวกนี้จะช่วยเสริมวรยุทธ์ให้พวกเจ้าแล้ว ยังมีประโยชน์อะไรอย่างอื่นอีก?”
ย่วนต๋าถอนหายใจแล้วตอบว่า “ตอบนายท่าน ก็ย่อมใาเพื่อเติมพลังงานลงในอาวุธอยู่แล้ว อยู่ในนี้เทียบกับข้างนอกไม่ได้หรอก ไม่มีปัจจัยและทรัพยากรในการหลอมสร้างเครื่องมืออาวุธ เครื่องมือทั้งหมดล้วนเป็นของผู้บุกรุกที่โดนฆ่า ตั้งแต่ตำหนักสวรรค์ปิดล้อมที่นี่เอาไว้ ก็ตัดขาดแหล่งทรัพยากรในการทำเครื่องมือแล้ว กอปรกับโดนตำหนักสวรรค์กวาดล้างสองครั้ง เครื่องมือที่ทิ้งไว้ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็มีไม่เยอะแล้ว เช่นเดียวกัน โดนตัดขาดแหล่งทรัพยากรยาเจี๋ยตันจากภายนอกที่จะใช้เติมพลังงานให้อาวุธเครื่องมือ ทำได้เพียงใช้ไข่มุกวิญญาณมาเติมพลังงาน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ใช้ไข่มุกวิญญาณก็มีข้อดีเหมือนกัน นายท่านเคยประมือกับพวกเราแล้ว คาดว่าคงรู้ว่าโดยทั่วไปแล้วไม่สามารถฆ่าพวกเราให้ตายได้โดยตรง”
novel-lucky
เหมียวอี้งงนิดหน่อย ชูไข่มุกวิญญาณที่รองอยู่ในฝ่ามือขึ้นมา แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ฟังจากที่เจ้าบอก หรือว่าต้องใช้ไข่มุกวิญญาณพวกนี้ถึงจะฆ่าพวกเจ้าให้ตายได้?”
ย่วนต๋าส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าไข่มุกวิญญาณทุกชนิดจะใช้ได้ผล ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใช้ไข่มุกวิญญาณอาฆาตสู้กับร่างวิญญาณอาฆาตอย่างพวกเรา ก็จะไม่ได้ผล ไม่มีผลในการข่มกัน ไข่มุกวิญญาณทั้งสี่ชนิดมีบทบาทในการข่มกัน ถ้าใช้อาวุธไข่มุกวิญญาณต่างชนิดกันมาทำร้ายพวกเรา ก็จะเหมือนน้ำใสที่มีน้ำเสียเข้าไปปะปน จะสร้างความเสียหายให้พวกเราไม่น้อยเลย ถ้าอยากให้ร่างกายฟื้นตัวกลับมา ก็จะต้องกวาดล้างสิ่งเจือปนให้สะอาดก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้ ถ้าใช้ไข่มุกวิญญาณที่มีฤทธิ์ข่มกันมาโจมตีจุดสำคัญของพวกเรา ก็เหมือนมนุษย์อย่างพวกเจ้าที่โดนโจมตีจุดสำคัญ อันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน”
เหมียวอี้เข้าใจในทันที พยักหน้าซ้ำๆ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!”
“อาวุธไข่มุกวิญญาณจะสร้างความเสียหายให้นักพรตชนิดอื่นได้มากกว่า” ย่วนต๋ากล่าวเสริม
เหมียวอี้พยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว นี่คือเรื่องธรรมชาติ สมมติว่าในอาวุธชิ้นหนึ่งผสมพลังของไข่มุกวิญญาณ หากโดนมันทำร้ายขึ้นมา แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลจากการโดนปราณชั่วร้ายซึมเข้าร่างกายเป็นอย่างไร คาดว่าผลคงไม่ต่างจากปราณปีศาจโลหิตสักเท่าไร
พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็คว้าทวนเกล็ดย้อนขึ้นมาสะบัดกลางอากาศ บนตัวทวนมีปราณปีศาจโลหิตลอยขึ้นมาจางๆ ทันที จากนั้นก็ชี้ไปที่ย่วนต๋า แล้วถามว่า “ปราณปีศาจโลหิตในทวนนี้ทำร้ายเจ้าได้หรือเปล่า?”
ย่วนต๋าตกใจจนจิตใต้สำนึกสั่งให้ถอยหลัง นึกไม่ถึงว่าในทวนของเหมียวอี้จะมีสิ่งนี้อยู่ เขาพยักหน้าบอกว่า “ย่อมทำร้ายได้อยู่แล้ว แต่เกรงว่าเมื่อสู้กับร่างของวิญญาณเหี้ยมโหดจะไม่ได้ผลอะไร”
เหมียวอี้เข้าใจ ปราณปีศาจโลหิตก็เป็นเพียงดีบัวในยาเม็ดโลหิต ปราณปีศาจโลหิตที่อยู่ในยาเม็ดโลหิตย่อมไม่เข้มข้นเท่าปราณชั่วร้ายในร่างของวิญญาณชั่วร้ายที่เกิดขึ้นการจากฝึกตนอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาขาย่อยของปราณเหี้ยมโหดอย่างปราณโลหิตเลย ย่อมข่มปราณเหี้ยมโหดบริสุทธิ์แท้ในร่างของวิญญาณเหี้ยมโหดไม่ได้อยู่แล้ว
พอมองดูไข่มุกวิญญาณสี่สีในฝ่ามือ ในใจก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เขาไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมสิ่งนี้ได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นก็สามารถใส่เข้าไปในทวนเกล็ดย้อนเพื่อใช้งานได้โดยตรงแล้ว เป็นเพราะเดิมทีในทวนเกล็ดย้อนมีช่องว่างห้าช่องที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างสำรองไว้สำหรับควบคุมยอดผลึกห้าธาตุ เกราะรบบนตัวเขาก็ทำแหล่งสำรองเอาไว้เช่นเดียวกัน
แน่นอน ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีประโยชนอะไรเลย อาวุธอย่างอื่นสามารถกลืนกินพลังงานของไข่มุกวิญญาณได้ ทวนเกล็ดย้อนของเขาก็สามารถทำได้เช่นกัน แค่ประสิทธิภาพคงไม่ต่างอะไรกับปราณปีศาจโลหิตที่อยู่ในทวน สามารถสู้กับร่างของวิญญาณชั่วร้ายทั้งสามชนิดได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเอามาใช้แทนที่
เพียงแต่มีของสิ่งหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ทดลองได้ เขาเก็บทวนเกล็ดย้อน พอโบกมือหนึ่งครั้ง ลูกธนูดาวตกหกดอกก็เรียงแถวหน้ากระดาน ลอยอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ทำไมถึงมีลูกธนูดาวตกหกดอกน่ะเหรอ? ก็เป็นเพราะเขามีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สองคันไง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งคันใช้ลูกธนูได้สามดอก ตอนนี้ก็ย่อมมีลูกธนูดาวตกหกดอกอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าบนตัวจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เยอะเกินไปแล้วโดนตรวจเจอ อย่าว่าแต่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สองคันเลย ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันเขาก็มี
พอย่วนต๋าที่ยืนอย่างเคารพนอบน้อมอยู่ข้างๆ เห็นลูกธนูดาวตกหกดอก สีหน้าก็กระตุกอย่างรุนแรงครู่หนึ่ง พอจะเดาออกแล้วว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร
“พอดีเลย ลูกธนูดาวตกของข้าใช้ไปหลายครั้งแล้ว ต้องการเติมพลังงานพอดีเลย เติมไข่มุกวิญญาณไปก็ไม่น่าจะมีปัญหาใช่มั้ย?” เหมียวอี้เหล่มองย่วนต๋าพร้อมเอ่ยถาม
ย่วนต๋าพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของนายท่านก็จะต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่นอน”
“ข้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” เหมียวอี้ขานตอบ แล้วเลือกไข่มุกวิญญาณที่มีระดับค่อนข้างสูง หยิบลูกธนูดาวตกหนึ่งดอกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เติมพลังงาน เติมไข่มุกวิญญาณเม็ดนั้นใส่เข้าไป ให้ลูกธนูดาวตกกลืนกินพลังงาน
เขาเลือกไข่มุกวิญญาณสี่ชนิด เติมพลังงานใส่ลูกธนูดาวตกสี่ดอก ส่วนลูกธนูดาวตกอีกสองดอกที่เหลือก็เลือกไข่มุกวิญญาณอีกสองชนิดใส่เข้าไปแบบส่งเดช
หลังจากทำเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ้มอย่างปีติยินดี “ตอนนี้ก็ดีเลย ไม่ว่าจะเจอวิญญาณชั่วร้ายชนิดไหน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของข้าก็รับมือได้ทั้งนั้น”
เขาเอียงหน้ามองเฮยทั่นที่กำลังมองตาปริบๆ คิดในใจว่า จะให้มันกินตะกละอีกไม่ได้แล้ว ถ้าสามารถออกไปจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้ ก็จะต้องเอาไข่มุกวิญญาณออกไปเยอะๆ หน่อย ต่อไปถ้าใครกล้ามาพาลหาเรื่อง ก็จะให้เขาได้ลิ้มรสลูกธนูของข้า
novel-lucky
“ใช่แล้ว!” ย่วนต๋ายิ้มแห้ง แต่ในใจกลับรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อาศัยอานุภาพของลูกธนูดาวตกนี้บวกกับไข่มุกวิญญาณสี่ชนิด ถ้าโดนโจมตีขึ้นมา ผลจะเป็นอย่างไรก็จินตนาการได้ไม่ยากเลย
ลูกธนูห้าดอกถูกเก็บไปแล้ว เหมียวอี้คว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมาหนึ่งคัน นำลูกธนูที่ใส่วิญญาณสังหาตั้งไว้บนสาย แล้วก็ง้างสายออก ขณะที่มีลำแสงไหลเวียน บนตัวลูกธนูก็มีปราณสังหารสีเลือดลอยวนเวียน พอหันตัวมา ปลายลูกธนูก็เล็งไปหาย่วนต๋าที่อยู่ข้างๆ แล้ว ทำให้ย่วนต๋าตกใจจนถอยหลังหลายก้าว “นายท่าน…”
เหมียวอี้หัวเราะทันที พอเห็นเขาหวาดกลัวแบบนี้ ก็แสดงว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องโกหก สายธนูคลายลงอย่างช้าๆ ลำแสงหายไปแล้ว ปราณสังหารสีเลือดบนลูกธนูก็หายไปอย่างช้าๆ เช่นกัน เขาอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น “เดี๋ยวต่อไปถ้าเจอคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ก็ต้องให้ลิ้มลองอานุภาพของมันสักหน่อย” พูดจบก็เก็บอาวุธในมือแล้ว ไม่ขู่อีกแล้ว
ย่วนต๋าตกใจจนชาวาบหนึ่งศีรษะ เขาถอนหายใจแรงๆ แล้วพูดคล้อยตามว่า “นายท่านพูดถูก ถ้าเจอพวกไม่รู้กาลเทศะก็ต้องสั่งสอนสักหน่อย”
“ฟึดฟัด!” เฮยทั่นทำเสียงฟึดฟัด แล้วพูดดูถูกว่า “มีลักษณะของสวีถังหรานนี่นา!”
ย่วนต๋างุนงง ไม่รู้ว่าสวีถังหรานที่มันพูดถึงคือใคร
เหมียวอี้เหล่ตามองเฮยทั่นแวบหนึ่ง รู้ว่าเฮยทั่นกำลังด่าย่วนต๋าว่าขี้ประจบ การประจบสอพลอของสวีถังหรานนั้น ขอเพียงเป็นคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ สวีถังหรานก็จะไม่มองข้ามเลย รวมทั้งสัตว์พาหนะของเหมียวอี้ด้วย พอเห็นเฮยทั่นสวีถังหรานก็จะหรี่ตายิ้มพร้อมเรียกว่า ‘พี่เฮย’ หลังจากรู้ว่าเฮยทั่นชอบกินสัตว์น้ำ ก็หามาให้ทุกวันไม่ขาดมือเลย
เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าสวีถังหรานคือใคร “เอาล่ะ คุยธุระสำคัญกันเถอะ ก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องที่ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าให้ละเอียด ตำแหน่งของถ้ำมังกรรังหงส์นั่นอยู่ตรงไหน?”
ย่วนต๋ากุมหมัดตอบ “ข้าไม่เคยไปถ้ำมังกรรังหงส์ ตำแหน่งโดยละเอียดข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ทิศทางคร่าวๆ ก็คือทางที่บอกนายท่านไว้ก่อนหน้านี้”
“สถานที่ตั้งอยู่ตรงไหน เจ้าก็ต้องรู้สิ?” เหมียวอี้ถาม
ย่วนต๋าพยักหน้า “ข้ารู้ ถ้ำมังกรตั้งอยู่ที่ ‘หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ’ ส่วนรังหงส์ตั้งอยู่ที่ ‘ทุ่งน้ำแข็งโบราณ'”
“หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ…ทุ่งน้ำแข็งโบราณ…” เหมียวอี้พึมพำ จดจำสองชื่อนี้เอาไว้แล้ว
ย่วนต๋าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ จึงถามหยั่งเชิงว่า “นายท่านจะไปทำอะไรที่ถ้ำมังกรรังหงส์?” เขามองออกว่าเหมียวอี้ไม่ใช่คนของแดนมรณะดึกดำบรรพ์เลย ชัดเจนว่าเป็นนักพรตที่มาจากข้างนอก กายหยาบที่มีเลือดเนื้อนี้ทำให้เขาใจสั่นหวั่นไหวอยู่บ้าง แต่เขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ ถ้าไม่อยากตายก็ต้องว่านอนสอนง่ายหน่อย
เช่นเดียวกัน เขาเองก็เข้าใจว่าทำไมหวังกงต้องการจะจับตัวเหมียวอี้แต่ไม่ยอมพาคนมาด้วยเยอะๆ ถึงขั้นฆ่าสาวใช้พวกนั้นหมดด้วยข้อหา ‘ปกป้องเหนียงเหนียงไม่ดี’ ที่แท้ก็มีจุดประสงค์แบบนี้นี่เอง เกรงว่าถ้าให้หวังกงบรรลุเป้าหมายแล้วจริงๆ ตนก็รอดชีวิตกลับไปไม่ได้อยู่ดี
เหมียวอี้ไม่ได้อธิบายว่าเพราะอะไร แต่หยิบกระจกทองแดงออกมา หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ให้กระจกขายใหญ่ ก็เอียงหน้าบอกใบ้ย่วนต๋า
ย่วนต๋าเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อ รู้สึกจนใจพอสมควร ได้แต่กระโดดเข้าไปแต่โดยดี หายเข้าไปในกระจกแล้ว
กระจกทองแดงหดเล็กลง เหมียวอี้เก็บเอาไว้ จากนั้นคว้าทวนเกล็ดย้อนไว้ในมือ กระโดดขึ้นขี่หลังเฮยทั่น พอใช้สองเท้าเหยียบบนกรวยแหลมสองข้างที่เกราะรบของเฮยทั่น เฮยทั่นก็กระโจนออกจากหลุมทันที แล้ววิ่งตะบึงต่อไปยังจุดลึกที่เวิ้งว้าง
บนทะเลทรายหินมีสภาพพื้นที่สูงต่ำไม่เสมอกันและไม่ใหญ่ ลักษณะพื้นที่กว้างโล่งเกินไป ปราณชั่วร้ายรวมตัวกันได้ยาก โดนลมพัดกระจายตัวได้ง่าย ย่อมดึงดูดวิญญาณชั่วร้ายไม่ได้เช่นกัน เพราะเหตุนี้หนทางจึงราบรื่น
หลังจากเดินทางไปได้อีกเกือบครึ่งวัน เฮยทั่นที่วิ่งตะบึงไม่หยุดพักก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง จากนั้นก็ค่อยๆ หยุด แล้วทอดสายตามองไปข้างหน้าพร้อมเหมียวอี้ ในที่สุดก็มาถึงบริเวณชายขอบของทะเลทรายหินแล้ว
ที่แปลกก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าตรงหน้าจะเป็น ‘แดนสีเขียว’ ที่ดำทะมึนผืนหนึ่ง มีทุ่งหญ้าปรากฏให้เห็นแล้ว ด้านหลังทุ่งหญ้าเป็นป่าผืนใหญ่
พืชพรรณที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์โดนปราณชั่วร้ายทำลายหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตรงหน้าจะมีทุ่งหญ้าและป่าไม้ เป็นเรื่องประหลาดเหมือนเจอผีตอนกลางวันแสกๆ ทั้งยังเป็นทุ่งหญ้าและป่าสีดำด้วย ขนาดเฮยทั่นยังมองออกเลยว่ามีปัญหา “น่าจะถึงอาณาเขตของอั้นโยวหลินแล้วนะ จะทำยังไงดี?”
“จะสนทำไมว่าเป็นอาณาเขตของใคร พุ่งเข้าไปเลย ถ้าพุ่งเข้าไปไม่ได้ก็สังหารเข้าไป พ่อเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย สถานที่เส็งเคร็งแบบนี้ข้าไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ไป!” เหมียวอี้แสยะยิ้มพลางโบกทวนชี้ไปข้างหน้า บอกใบ้ว่าเฮยทั่นไม่ต้องสนใจ พุ่งไปอย่างเดียวก็พอ
บทที่ 1474 พุ่งสังหารไม่หยุด
Ink Stone_Fantasy
ตอนแรกที่ฆ่าจิ้งหูเหนียงเหนียง ก็เรียกได้ว่าดวงตาพร่าเลือนเพราะไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่นี่ ไม่รู้ว่าจะเจออันตรายและปัญหาแบบไหน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว คำชี้แนะของหยางชิ่งช่วยเขาปัดเป่าหมอกหนาได้ ช่วยจัดระเบียบความคิดของเขา เมื่อมีความมั่นใจก็ไม่กลัวแล้ว
ส่วนเฮยทั่นก็เป็นพวกไม่กลัวว่าจะสร้างเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมีเหมียวอี้ให้ท้าย มันก็มีเหตุผลในการก่อกบฏแล้วจริงๆ เลือดร้อนพุ่งขึ้นหัวทันที ไม่สนว่าข้างหน้าจะเป็นทะเลเพลิงภูเขาดาบหรือเหวลึกหมื่นจั้ง มันปลดปล่อยฝีเท้าพุ่งออกไปแล้ว
หลังจากคนกับสัตว์พาหนะพุ่งข้าไปไกลแล้ว ถึงได้พบว่าทุ่งหญ้าแห่งนี้ต่างกับทุ่งหญ้าทั่วไปมาก มองไกลๆ เห็นเป็นสีดำ แต่ที่จริงแล้วเป็นผลจากการมองเห็นสีเทาที่กองรวมกัน และไม่ใช่ลักษณะการเจริญเติบโตที่หนาแน่นเหมือนทุ่งหญ้าทั่วไป เพราะในระหว่างนั้นมีระยะห่างประมาณหนึ่งช่วงแขน หญ้าแต่ละกอสูงเท่าคนหนึ่งคน ใบสาวเป็นเส้นๆ ด้านบนเป็นใบเลื่อย ปราณชั่วร้ายที่ลอยมาจะวนเวียนอยู่ในระหว่างนั้นและสลายไปได้ยาก และป่าด้านหลังก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พุ่มของต้นไม้ล้วนมีบทบาทในการกรองปราณชั่วร้าย
สำหรับคนกับสัตว์พาหนะที่พุ่งเข้ามา ถึงแม้หญ้าพวกนี้จะสูงเท่าคนหนึ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับความสูงของเฮยทั่นแล้วก็ยังห่างกันนิดหน่อย ย่อมปิดบังสายตาของเหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนตัวเฮยทั่นไม่ได้อยู่แล้ว คนกับสัตว์พาหนะคู่นี้เรียกได้ว่าพุ่งเข้าไปแบบไม่ลดความเร็ว พุ่งเข้าไปเสียงวูบราวกับลมพายุ
แต่ใครจะคิดว่าเรื่องประหลาดจะเกิดขึ้นแล้ว พอมีการเคลื่อนไหว ทุ่งหญ้าก็กระเพื่อมราวกับคลื่น เหมือนโดนลมเป่าให้ขยับ กิ่งใบโบกไหวเหมือนคลื่นทะเล ถ้าให้พูดตามความจริงก็คือเหมือนใช้หนวดปลาหมึกตีกวน เหมือนยื่นออกมาตีกวน กิ่งใบพัวพันเข้ามา พัวพันไปที่ขาทั้งสี่ของเฮยทั่นไม่หยุด
ทว่าพลังชนโจมตีของเฮยทั่นก็โหดจริงๆ หญ้าประหลาดที่พัวพันโดนถอนขึ้นมาทั้งราก ดูเหมือนต้านทานเฮยทั่นไม่ไหวเลย แต่ช่วยไม่ได้ที่บนทุ่งหญ้ามีหญ้าประหลาดเยอะเกินไป ไม่นานข้างหลังเฮยทั่นก็ถอนหญ้าได้กองใหญ่ ราวกับกำลังดึงภูเขาเล็กๆ ลูกกหนึ่ง
บนตัวเฮยทั่นก็โดนพัวพันไว้ไม่น้อยเช่นกัน ทำให้ร่างกายของมันเปลี่ยนเป็นอ้วนฉุ เฮยทั่นวิ่งไปพลางอ้าปากกัไปพลาง ดูบ้าระห่ำนิดหน่อย ส่วนภูเขาเล็กๆ ที่มันลากอยู่ข้างหลังก็โดนหนวดปลาหมึกยื่นเข้ามาล้อมดึงเช่นกัน ทำให้ภูเขาเล็กยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนเหมียวอี้ก็ทนรำคาญไม่ไหว หญ้าประหลาดที่ยืนเข้ามาพันก็ไม่ปล่อยเขาเหมือนกัน ในสถานการณ์แบบนี้ทวนเกล็ดย้อนไม่มีประโยชน์อะไร เขาจำเป็นต้องใช้กระบี่บินฟันตทั่วทิศอย่างรวดเร็ว ฟัน ‘หนวดปลาหมึก’ ที่เข้ามาพัวพันให้ขาดสะบั้น แต่ก็ไม่เห็นเขามีท่าทางหวาดกลัวเลยสักนิด
ต่อให้ให้เฮยทั่นใช้แรงดึงภูเขาได้ แต่ทำแบบนี้ก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน บางครั้งความเหนียวทนทานก็คือวิธีการที่ดีในการสู้กับกำลังอันป่าเถื่อน ผ่านไปไม่นานความเร็วของเฮยทั่นก็ลดลงแล้ว ยิ่งช้าลงเรื่อยๆ เริ่มจะวิ่งไม่ไหวแล้ว และหญ้าประหลาดรอบข้างก็มีหนวดปลาหมึกยื่นเข้ามาไม่หยุด ในที่สุดก็กดดันให้พวกเขาหยุดแล้ว
ในตอนนี้เอง ในมือเหมียวอี้ก็มีเสียงดัง ‘พรึ่บ’ เพลิงเดือดกลุ่มหนึ่งระเบิดลุกโชน ในมือเหมียวอี้ถือหินไขมันเพลิงที่ใช้จุดไฟ พอพลิกฝ่ามือ กลุ่มเปลวเพลิงก็ตกลงใต้ท้องเฮยทั่น ชั่วพริบตาเดียวก็ครอบเขากับเฮยทั่นเอาไว้ในเพลิงเดือดแล้ว อุณหภูมิสูงดุร้าย
novel-lucky
มีเสียง “ซ่าๆ” ดังขึ้น หนวดปลาหมึกหญ้าประหลาดที่กำลังพัวพันพวกเขาคลายออก หลีกหนีและหดกลับไปอย่างหวาดกลัวในชั่วพริบตาเดียว พวกที่หนีไม่ทันก็มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ชั่วพริบตานั้น ก็ไม่เห็นอะไรพัวพันบนตัวทั้งสองเลยสักนิด หายหมดเกลี้ยงในรวดเดียว
เหมียวอี้พลิกฝ่ามือ ใช้นิ้วสองข้างคีบหินไขมันเพลิงอีกก้อนหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็โดนไฟที่อยู่ข้างล่างจุดจนลุกโชนแล้ว จากนั้นโยนไปข้างหลัง ไปตกอยู่บนภูเขาหญ้าที่เฮยทั่นกำลังลาก ใช้เวลาไม่นานก็เผาจนเกิดควันหนาพัดม้วนออกมา
ภูเขาหญ้าที่ทับถมกันจนเป็นกองใหญ่กระวนกระวายราวกับเป็นสัตว์ที่มีชีวิต หนวดปลาหมึกถอนออกจากลุกลี้ลุกลย บางต้นขนาดโดนถอนรากขึ้นมาแล้วก็ยังไต่ออกไปอย่างรวดเร็ว สถานที่ตรงนั้นคึกคักมาก ทำให้เหมียวอี้กับเฮยทั่นได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่
พรึ่บ! มีเสียงดังอีกรอบ เหมียวอี้ใช้นิ้วดีดหินไขมันเพลิงออกไปอีกก้อน พอโดนเพลิงสว่างโชติช่วงที่กำลังลุกโชนมันก็ติดไฟทันที แล้วก็ตกลงลุกไหม้อยู่บนพื้นข้างหน้าอีก ยังไม่จบเท่านั้น เห็นเหมียวอี้ดีดหินไขมันเพลิงออกมาอีกหลายก้อน ราวกับดีดลูกไฟออกมา ปลิวตกข้างหน้าตลอดทาง
“ยังไม่ไปอีกเหรอ? อยากจะกลายเป็นถ่านดำให้เหมือนกับชื่อเฮยทั่นจริงๆ หรือไง?” กระบี่ในมือเหมียวอี้กำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เฮยทั่นที่กลัวโลกจะไม่วุ่นวายเหลียวซ้ายแลขวารอดูเรื่องสนุก บนตัวมันมีเสียงเคาะ “แกร๊งๆ” สองที
เฮยทั่นปลดปล่อยฝีเท้าวิ่งอย่างบ้าระห่ำทันที เริ่มบุกไปอีกแล้ว พุ่งฝ่าทางไฟที่เผาไหม้ตลอดทาง ราวกับวิ่งตะบึงเหยียบมังกรไฟ เหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนหลังมันดีดหินไขมันเพลิงออกมาไม่หยุด ลูกไฟตกปูทางอยู่ข้างหน้า กวาดอุปสรรคที่ขวางหน้าให้เฮยทั่น หญ้าประหลาดที่อยู่ข้างหน้าถูกถอนขึ้นมาโดยตรง รากหญ้าแบกพงหญ้าวิ่งไปสองข้างทางราวกับมีขา หลบหลีกเพลิงเดือด
หลังจากหินไขมันเพลิงก้อนสุดท้ายถูกปล่อยไป เหมียวอี้ก็พลิกมือช้อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา ลูกธนูดาวตกดอกหนึ่งที่ผสมกับไข่มุกวิญญาณอาฆาตถูกตั้งอยู่บนสายธนูแล้ว พอมีเสียงระเบิดดังขึ้น ลำแสงสายหนึ่งก็ยิงไปยังป่าไม้ด้านหลังทุ่งหญ้า
novel-lucky
การยิงธนูดอกนี้เป็นการทดสบอันตรายที่อยู่ข้างหน้า และเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของลูกธนูดาวตกที่ผสมกับไข่มุกวิญญาณแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดทางด้วย
แกร๊ง! เฮยทั่นพุ่งชนต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าต้นหนึ่งที่โดนลูกธนูดาวตกยิงทะลุ พลังของต้นไม้ใหญ่แบบนี้จะต้านทานลูกธนูดาวตกไหวได้อย่างไร ลูกธนูดาวตกยิงเข้าไปเป็นแนวเส้นตรงแล้ว หลังจากทะลุผ่านต้นไม้ใหญ่นับร้อยที่อยู่ข้างหน้าในอึดใจเดียวจนหมดพลังและปักอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งด้านหลัง มันก็เด้งกลับมาเองอีก พลิกเลี้ยวกลางอากาศและลอยกลับมา
เห็นเพียงต้นไม้ใหญ่ที่โดนยิงมีท่าทางราวกับมีชีวิตขึ้นมา กิ่งใบขยับราวกับแขนขา บนแผลที่โดนลูกธนูยิงเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว ราวกับมีน้ำหมึกหยดหนึ่งหยดปนเปื้อนบนน้ำใส ต้นไม้ใหญ่พวกนี้ทยอยกันคลานขึ้นมาบนผิวดินทั้งราก ชนกันมั่วไปหมดทุกทิศ
หินไขมันเพลิงก้อนสุดท้ายตกลงริมขอบป่าไม้ เพลิงเดือดที่ลุกโชนประชิดเข้ามาใกล้จนต้นไม้บริเวณนั้นรีบถอนรากขึ้นมาเป็นเท้า รีบหลบหนีอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้ว่าเพลิงเดือดเป็นอริกับพวกมันจริงๆ
ต้นไม้ใหญ่ที่ขวางทางอยู่ข้างหน้าหนีออกไปแล้ว ลูกธนูดาวตกลอยกลับมา เหมียวอี้ง้างลูกธนูบนสายอีกครั้ง แล้วยิงออกไปเป็นแนวเส้นตรง พอเจอจุดที่มีหญ้ารกปนกับป่าทึบ เขาก็พลิกมือดีดหินไขมันเพลิงออกไปกำจัดอุปสรรค เบิกทางล่วงหน้าให้เฮยทั่นตลอดทาง
เฮยทั่นตื่นเต้นดีใจ มันชอบความรู้สึกเวลาที่ได้บุกไปข้างหน้าแบบเทพขวางฆ่าเทพ พระขวางฆ่าพระ ชอบดูทุกสิ่งที่ขวางหน้าพังทลาย ราวกับไม่ว่าใครก็ขวางการบุกตะลุยของมันไม่ได้ นี่ก็คือความสนุกของสัตว์พาหนะตัวหนึ่ง
เหมียวอี้ก็ไม่ปรานีเลยสักนิดเช่นกัน ให้ความรู้สึกเหมือนไม่กลัวการก่อเรื่อง ใครกล้าขวางทางก็จะถล่มใส่ไปพร้อมกัน ไม่สนใจว่าเป็นอาณาเขตของใคร
กลยุทธ์ชั้นยอด กลยุทธ์ชั้นกลาง กลยุทธ์ชั้นต่ำของหยางชิ่งถูกเขาโยนทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว ที่หยางชิ่งกำชับให้เขาระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีกก็ถูกเขาโยนทิ้งไปแล้วเช่นกัน
เขาตั้งปณิธานแล้ว ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไปถ้ำมังกรรังหงส์ ในเมื่อรู้แล้วว่าบนเส้นทางยาวไกลนี้จะต้องพบปัญหาในไม่ช้าก็เร็ว ในเมื่อมีแผนรับมือแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เมื่อเจอกับเศษเดนที่ขวางทางก็ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ ฆ่ามันเสียเลย!
สามารถไปถ้ำมังกรรังหงส์คนเดียวได้ก็ยิ่งดี ถ้าไม่ไหวจริงๆ แล้วโดนคนขวางไว้ก็ค่อยว่ากัน เอาเป็นว่าก่อนที่จะมีอะไรขวางได้ก็ไม่มีอะไรน่าก้มหัวให้
แน่นอน เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนเช่นกัน
หลังจากพุ่งออกมาจากป่าผืนใหญ่แล้ว บางครั้งก็ขึ้นลงเนินเขา บางครั้งก็อ้อมหุบเขา บางครั้งก็เจอป่าภูเขาแปลกๆ ภายใต้สถานการณ์ที่สามารถหลบเลี่ยงสายตาได้ เขาก็จะไม่บุกเข้าไปตรงๆ ถ้าอ้อมได้ก็อ้อม สรุปก็คือเป้าหมายที่กำหนดไว้จะไม่เปลี่ยน
ทว่าสร้างปัญหาใหญ่ขนาดนี้ไว้ที่ค่ายป่าครึ้ม ฝ่ายที่เป็นค่ายป่าครึ้มก็ไม่ใช่คนตายเสียหน่อย หลังจากพุ่งออกจากป่าผืนใหญ่ได้หนึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดก็โดนขวางไว้แล้ว
บนท้องฟ้ามีคนมากมายเหาะเข้ามา สะกดรอยตามเหมียวอี้ที่วิ่งตะบึงอยู่ด้านล่าง ส่วนเหมียวอี้ก็แค่เงยหน้ามองเฉยๆ ไม่สนใจพวกเขา ให้เฮยทั่นวิ่งไปข้างหน้าต่อ
ตอนที่พุ่งออกจากแนวภูเขาที่ยาวเป็นพืดติดต่อกัน ก็ปรากฏทุ่งกว้างที่มีลักษณะพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบ ข้างหน้ามีคนนับร้อยกำลังรวมตัวรอเขาอยู่ด้วยสีหน้าดุร้ายราวกับเสือ
กลุ่มคนที่เหาะอยู่บนฟ้าก็นำหน้าเขาไปแล้วเช่นกัน ไปเหยียบลงท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้า คนที่เป็นหัวหน้าโบกทวนชี้พร้อมตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ใครกันบังอาจมาพาลเกเรที่ค่ายป่าครึ้ม ยังไม่รีบยอมให้จับแต่โดยดีอีก”
เฮยทั่นที่กำลังวิ่งหันกลับมามองแวบหนึ่ง เหมียวอี้ไม่พูดอะไรสักคำ โบกมือช้อนทวนเกล็ดย้อนออกมา เขาถือทวนเฉียงลง ทำท่าเหมือนเตรียมบุกสังหาร
เฮยทั่นเข้าใจเจตนาของเขาทันที มันมองไปข้างหน้า ไม่ใช่แค่ไม่หยุด แต่กลับเร่งความเร็วพุ่งเข้าใส่ฝูงชนด้วยซ้ำ ขาทั้งสี่วิ่งเร็วราวกับเงาผี ในดวงตาฉายแววเลือดร้อนบ้าระห่ำ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลยสักนิด คนที่เป็นหัวหน้าก็ชี้ทวนตะโกนสั่ง “หยุดนะ!”
ซวบ! เหมียวอี้กระโจนสัตว์พาหนะพุ่งเข้ามาด้วยท่วงท่าดุร้าย คนคนนั้นรีบหันข้างหลบ ขณะเดียวกันก็ใช้ทวนแทงไปที่เอวของเหมียวอี้
เหมียวอี้เบี่ยงตัวพร้อมออกทวนด้วยความเร็วปานฟ้าผ่า ออกทีหลังแต่ถึงก่อน ปลายทวนแหลมคมที่ปล่อยปราณปีศาจโลหิตแทงโดนหัวใจของคนคนนั้น แล้วเสยอีกฝ่ายกระเด็นออกไป จากนั้นก็ออกทวนราวกับมังกร เฮยทั่นใช้หัวชนเบิกทาง ส่วนเขาก็ใช้ทวนเสยทางซ้ายและขวาอย่างต่อเนื่อง คนที่เตรียมจะเหาะหนีก็โดนเขาใช้ทวนผ่าหน้าอกฟันลงมา
บุกเดี่ยวพร้อมสัตว์พาหนะหนึ่งตัวและทวนหนึ่งด้าม ราวกับผ่าตัดฟันคลื่น ชั่วอึดใจเดียวก็สังหารฝ่ากระบวนทัพที่เข้ามาขวางได้แล้ว คนสิบกว่าคนล้มลงพื้น ไม่มีใครสู้กับเหมียวอี้ได้เกินสองท่าเลย พื้นฐานที่เหล่าไป๋ปูไว้ให้ในปีนั้นไม่ใช่เล่นๆ ฝึกไว้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ในวันนี้ สังหารคนกลุ่มนี้ได้อย่างง่ายดายราวกับใช้มือหยิบของในกระเป๋า ที่จริงยิ่งนับวันเหมียวอี้ก็ยิ่งรู้สึกถึงความสำคัญของพื้นฐานที่เหล่าไป๋ให้ฝึกอย่างหนักในปีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะการฝึกที่ยากลำบากสุดขีดในปีนั้น เหมียวอี้ก็ยอมรับว่าตัวเองอาจจะเดินมาไม่ถึงวันนี้ก็ได้ เขาได้ลิ้มรสสิ่งที่เรียกว่า ‘กลิ่นหอมของดอกเหมยเกิดจากความหนาวเหน็บ’ แล้ว เรียกได้ว่าได้สัมผัสกับตัวเอง
และลักษณะการบุกสังหารที่เหี้ยมหาญทรงพลังแบบนี้ก็ทำให้คนที่เหลือกลัวจนตัวสั่น พากันหนีหัวซุกหัวซุน
ท่ามกลางเสียงกีบเท้าม้า เฮยทั่นพุ่งออกจากวงที่มีคนกรีดร้องโหยหวน มันยังไม่เปลี่ยนทิศทาง พุ่งเข้าไปในแนวภูเขาไกลๆ ราวกับควันกลุ่มหนึ่งต่อ เหมียวอี้ที่กำลังถือทวนในแนวเฉียงไม่แม้แต่ตะหันกลับไปมองด้วยซ้ำ คนกับสัตว์พาหนะคู่นี้ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย จากไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ช่างผ่อนคลายสบายใจจริงๆ!
กลุ่มคนที่เหลือบ้างก็ลอยอยู่บนฟ้า บ้างก็ยืนนิ่งอยู่บนพื้น ต่างก็กำลังมองสัตว์พาหนะตัวนั้นวิ่งไปไกลด้วยสีหน้าหวาดกลัว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครไล่ตามไปอีก
ตอนนี้คนที่เหลือรู้สึกว่าตัวเองโชคดี โชคดีที่คนไปขวางสัตว์พาหนะตัวนั้นก่อนหน้านี้ไม่ใช่ตน ไม่อย่างนั้นคนที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นในตอนนี้ก็คงเป็นตนแล้ว
มีบางคนได้สติกลับมาแล้วตะโกนว่า “รีบไปรายงานประมุขค่าย!”
มีบางคนรีบช่วยรักษาบาดแผลให้เพื่อนร่วมงานที่นอนร้องโหยหวนอยู่บนพื้น การรักษาพวกเขาก็เรียบง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์อะไร แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์ควักเลือดชั่วร้ายทิ้งไปพร้อมกับเนื้อ อย่างมากก็แค่วรยุทธ์ลดลงก็เท่านั้นเอง ส่วนพวกที่โดนโจมตีจุดสำคัญก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นแล้ว ตายไปแล้ว!
บทที่ 1475 เอาชนะกำลังพลนับพัน
Ink Stone_Fantasy
หลังจากสังหารฝ่าออกมาแล้ว เฮยทั่นที่วิ่งข้ามแม่น้ำข้ามภูเขาราวกับวิ่งบนพื้นราบมาตลอดทางก็มีท่าทางสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ราวกับไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยหมดแรง ถึงแม้จะเป็นเพราะพลังเท้าของมันแข็งแกร่งเกินใคร แต่ในขณะเดียวกันมันก็ชอบความรู้สึกเวลาที่เท้าได้เหยียบพื้นวิ่งห้อ ความรู้สึกเวลาได้วิ่งอย่างเต็มที่นั้นทำให้มันชอบยิ่งกว่าตอนเหาะเสียอีก
เหมียวอี้ก็ชอบความรู้สึกเวลาได้ปล่อยตัวแบบนี้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ข้างนอกมีสาเหตุเยอะเกินไปที่ทำให้เขาไม่ได้ปลดปล่อยฝีมือเต็มที่ ครั้งนี้ได้ปลดปล่อยอย่างถึงอกถึงใจแล้วจริงๆ โดยเฉพาะการได้ร่วมมือกับเฮยทั่นบุกสังหาร เหมือนได้รื้อฟื้นความรู้สึกในปีก่อนๆ อีกครั้ง
แต่ตลอดทางที่ผ่านมานี้ จากป่าไม้และท้องทุ่งที่ได้เห็นในบางครั้ง เขาก็รู้แล้วว่ายากที่จะหลุดพ้นออกจากค่ายป่าครึ้มได้ ตลอดทางล้วนมีคนจับตาดูอยู่ แล้วจะหนีพ้นได้อย่างไร?
ขณะที่ขี่เฮยทั่นวิ่งตะบึงตลอดทาง เขาก็กำลังรออยู่เช่นกัน เขาเชื่อว่าประมุขค่ายอั้นโยวหลินแห่งค่ายป่าครึ้มใกล้จะมาแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากนั้นเกือบสองชั่วยาม บนท้องฟ้าก็มีเงาคนสิบกว่าคนเหาะมา ไล่ตามเขาอยู่บนฟ้าด้านข้างพร้อมมองสำรวจเขา
เหมียวอี้ก็เอียงหน้ามองสำรวจพวกเขาเช่นกัน คนที่นำหน้ามาเป็นผู้หญิงสวมเกราะรบผลึกแดง เกราะรบชุดนั้นไม่ค่อยพอดีตัวนางสักเท่าไร มันเป็นเกราะรบของผู้ชาย ทว่าสถานที่แบบแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็เรียกร้องอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรปัจจัยก็มีจำกัด
ผู้หญิงคนนี้ไม่นับว่าสวย แต่ก็ไม่นับว่าอัปลักษณ์ นางกำลังทำหน้าบึ้งตึง ทำเหมือนเขากำลังติดหนี้นางอยู่ แต่จะสวยหรือไม่สวยก็ไม่เป็นไร ถึงแม้เหมียวอี้เพิ่งจะได้คลุกคลีกับวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้หลังจากมาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ที่แดนฝึกตนแค่วันสองวัน รู้ถึงลักษณะพิเศษของร่างวิญญาณประเภทนี้ ถ้าพวกเขายังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์ ก็จะไม่แบ่งแยกตัวเมียและตัวผู้ ตอนที่กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วก็ค่อยกำหนดเพศตามความชอบของตัวเอง วิญญาณชั่วร้ายบางดวงก็อยากกลายเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ
ดังนั้นชายหญิงที่อยู่ที่นี่จึงไม่มีความปรารถนาเรื่องความรัก ยกตัวอย่างเช่นอนุภรรยาสิบสามคนของประมุขหวังกงค่ายพยัคฆ์ดำ นักหมดล้วนเป็นแต่ในนามตามประเพณีของนักพรตข้างนอก เกรงว่าที่มากกว่านั้นจะแค่เป็นสัญลักษณ์ ที่จริงแล้วจะเอาไว้ทำลูกน้องเพื่อใช้งาน ให้คอยช่วยคุมเก้าขุนเขาสี่ลำน้ำ ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกระหว่างชายหญิงสักเท่าไร
เหมียวอี้เดาว่าต่อให้วิญญาณชั่วร้ายพวกนี้จะรู้จักการผสมพันธุ์ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วอยู่ดี หลังจากรู้สถานการณ์จากปากย่วนต๋า เขาสงสัยว่าถ้าวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้เล่นไม่ซื่อ ยกตัวอย่างเช่นถ้าวิญญาณสังหารกับวิญญาณอาฆาตอยู่ด้วยกัน ถ้าผสมพันธุ์กันกันขึ้นมาจริงๆ ก็จะเป็นการปลิดชีพกันและกัน
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ คนของที่นี่ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือว่าเป็นสัตว์บกสัตว์ปีก ที่จริงแล้วเป็นสิ่งของชนิดหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงวิญญาณชั่วร้าย ตามธรรมชาติไม่มีการแบ่งแยกตัวเมียและตัวผู้ ที่จริงนักพรตผีก็คล้ายกับพวกเขานิดหน่อย เพียงแต่จุดที่นักพรตผีแตกต่างก็คือ ก่อนที่นักพรตผีจะกลายเป็นนักพรตผีก็มีการแบ่งแยกเพศเมียและเพศผู้อยู่แล้ว รู้จักความรักระหว่างชายหญิงโดยธรรมชาติ
ที่จริงไป๋เฟิ่งหวงก็เป็นร่างวิญญาณประเภทหนึ่ง ถึงแม้จะกลายเป็นผู้หญิงแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ค่อนข้างสงสัยว่าไป๋เฟิ่งหวงจะเข้าใจความรู้สึกระหว่างชายหญิงหรือเปล่า
แน่นอน วิญญาณชั่วร้ายพวกนี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน ต่อให้วรยุทธ์จะต่ำกว่านี้แต่ก็จะไม่แก่ชราลง ตอนที่กลายเป็นคนมีหน้าตาเป็นแบบไหนก็จะเป็นแบบนั้นตลอด เป็นสิ่งที่ทำให้คนอิจฉาเหมือนกัน
ความคิดเพ้อเจ้อแบบนี้ก็แค่แวบเข้ามาในหัวเหมียวอี้เท่านั้น วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสองตรงหว่างคิ้วของผู้หญิงหน้าบึ้งทำให้เหมียวอี้เดาออกแล้วว่านางคือตัวหลักที่ตนกำลังรออยู่
ชายวัยกลางคนสองคนที่เหาะตามอยู่ทางซ้ายและขวาล้วนมีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง ข้างหลังคือกลุ่มนักพรตที่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดขึ้นไป
ฝ่ายหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงอยู่บนพื้น อีกฝ่ายกำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้า ต่างก็กำลังมองประเมินกันอยู่
“เป็นเขาเหรอ?” ผู้หญิงที่กำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้าหันกลับมาถาม
ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นที่โชคดีที่รอดพ้นเงื้อมมือเหมียวอี้ไปได้ตอบว่า “ประมุขค่าย เป็นคนคนนี้แหละขอรับ แค่ชั่วพบหน้ากันหัวหน้าก็ตายด้วยทวนของเขาแล้ว เขาพุ่งฝ่ากระบวนทัพของพวกเราร้อยคนไปได้ในอึดใจเดียว ชั่วพริบตาเดียวก็ใช้ทวนเสยพวกเราร่วงไปสิบกว่าคนแล้ว คนร้อยกว่าคนทำให้เขาหยุดการพุ่งสังหารเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ ห้าวหาญมากจริงๆ!”
จากชื่อเรียกก็สามารถรู้ได้แล้วว่าเหมียวอี้ตัดสินไม่ผิดพลาด คนคนนี้ก็คืออั้นโยวหลิน ประมุขค่ายป่าครึ้ม
“เขาไม่มีของวิเศษที่ร้ายกาจอะไรเหรอ?” อั้นโยวหลินขมวดคิ้วถาม
“ไม่มี มีแค่สัตว์พาหนะกับทวนด้ามเดียวเท่านั้น ไม่มีใครขวางได้” คนคนนั้นตอบ
“เฮอะ!” ชายวัยกลางคนวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งที่อยู่ทางขวาทำเสียงฮึดฮัด “บางทีเจ้าอาจจะพูดเกินไปหรือเปล่า เขามีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าเท่านั้น เจ้าคงไม่จงใจพูดเกินจริงเพื่อปกปิดที่พวกเจ้าต่อสู้ไม่ดีหรอกใช่มั้ย?”
คนคนนั้นรีบบอกว่า “หัวหน้าใหญ่ขุย เปล่าจริงๆ ข้าน้อยพูดความจริงทุกประโยค ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามพวกพี่น้องที่รอดชีวิตได้เลย หัวหน้าชงรบตายไปแล้ว จะปลอมแปลงเรื่องราวได้ยังไง! หัวหน้าใหญ่ว่าน…” เขามองไปทางนักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่งอีกคนด้วยสายตาขอร้อง เห็นได้ชัดว่าหวังให้เขาช่วยพูดให้
หัวหน้าใหญ่ว่านท่านนั้นมองไปที่อั้นโยวหลิน แล้วบอกว่า “ประมุขค่าย ไม่ว่าจะจริงหรือโกหก แค่ทดสอบก็รู้แล้ว ลองทดสอบฝีมือสักหน่อยค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
“ใช่แล้ว! ใครอยากจะไปทดสอบสักหน่อยมั้ย?” อั้นโยวหลินพยักหน้า
หัวหน้าใหญ่ว่านมองไปที่อีกคนหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ในเมื่อหัวหน้าใหญ่ขุยไม่เชื่อ คิดว่าลูกน้องของข้าโกหก ไม่สู้ให้คนของหัวหน้าใหญ่ขุยไปทดสอบสักหน่อยสิ”
อั้นโยวหลินเอียงหน้ามองมา “หัวหน้าใหญ่ขุยยินดีจะไปทดสอบสักหน่อยมั้ย?”
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ แค่ไปตั้งกระบวนทัพทดสอบเขาให้ประมุขค่ายเอง” หัวหน้าใหญ่ขุยกุมหมัดคารวะอย่างหนักแน่น จากนั้นก็แสยะยิ้มใส่หัวหน้าใหญ่ว่าน
อั้นโยวหลินเตือนว่า “เกราะรบบนตัวเขาดูไม่ธรรมดา แม้แต่สัตว์พาหนะก็ยังสวมเกราะรบขั้นสูง ทั้งยังกล้าบุกเดี่ยวมาตลอดทาง เกรงว่าคงจะไม่ใช่คนธรรมดา ต้องระวังเอาไว้”
“ขอรับ!” หัวหน้าใหญ่ขุยเอ่ยรับแล้วเร่งความเร็ว
เหมียวอี้ที่ขี่เฮยทั่นวิ่งตะบึงตลอดทางเงยหน้าเป็นระยะ พอจะเข้าใจความคิดของพวกเขาแล้ว พวกเขาตกใจที่ตนบุกไปข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผย ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของตนจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม แต่คงจะไม่ให้ตนออกจากอาณาเขตของอั้นโยวหลินไปได้ง่ายๆ เช่นกันสินะ?
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม สิ่งที่เขาเดาก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว
ตอนที่เพิ่งพุ่งออกจากหุบเขาแห่งหนึ่ง ก็เห็นบนแนวภูเขาด้านหน้ามีกลุ่มคนรออยู่อย่างหนาแน่นแล้ว เกรงว่าจะมีประมาณหลายพันคน
หัวหน้าใหญ่ขุยยืนอยู่บนยอดเขาฝั่งตรงข้าม ข้างหลังเป็นกำลังพลของเขา
พออั้นโยวหลินยกมือ ผู้ติดตามก็หยุดอยู่บนท้องฟ้า แล้วมองไปยังเหมียวอี้ที่อยู่ด้านล่าง ดูว่าเขาจะรับมืออย่างไร
ในหลายปีมานี้ของเหมียวอี้ เพื่อความอยู่รอด เพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดี เพื่อให้พวกพี่น้องได้มีอนาคตดีๆ ตามเขาทัน เขาต้องเอาตัวรอดจากความตายนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าไม่เสี่ยงอันตรายก็ไม่รวย ในศึกเล็กต้องสู้กับคนหลายสิบถึงหลายร้อย ในศึกใหญ่ต้องสู้ตายกับคนนับล้าน เคยควบสัตว์พาหนะวิ่งตะบึงผ่ากลางทัพใหญ่หลายแสนเช่นกัน ทั้งยังเคยบุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านด้วย ผ่านศึกเล็กศึกใหญ่มาตั้งกี่รอบเขาเองก็นับไม่ถ้วนแล้ว กระบวนทัพเล็กๆ นี้มีหรือที่จะอยู่ในสายตาเขา
ถ้าเปลี่ยนเป็นหยางชิ่ง ถ้ามีวิธีการแก้ปัญหาโดยไม่ต้องใช้กำลัง ก็จะไม่ใช้กำลังไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ถึงอย่างไรก็มีนักพรตบงกชรุ้งหลายคนกำลังจ้องมองมาอย่างดุร้ายเหมือนเสือ
แต่สำหรับเหมียวอี้ วิธีการแก้ปัญหาของเขาไม่เหมือนหยางชิ่ง
ตอนนี้เขาใช้สองเท้าเตะท้องสองข้างของเฮยทั่นเบาๆ เฮยทั่นที่วิ่งแบบเฉลี่ยความเร็วจึงเร่งความเร็วทันที ความเร็วเพิ่มขึ้นย่างกะทันหัน พุ่งออกจากหุบเขาด้วยความเร็วสูง พุ่งไปหาแนวภูเขาที่อยู่ตรงข้ามจนมีฝุ่นควันฟุ้งตามหลังตลอดทาง
“ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ถ้าใครจับเขาไว้ได้ ข้าจะตบรางวัลอย่างงาม!” หัวหน้าใหญ่ขุยที่ยืนอยู่บนยอดเขาหันซ้ายหันขวา แล้วโบกทวนตะโกนว่า “ฆ่า!”
เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาดีแล้ว มีหนึ่งร้อยคนพอดี แต่กลับรวบรวมไว้แต่คนฝีมือดี ล้วนเป็นนักพรตบงกชทอง ไม่เหมือนกำลังพลร้อยคนที่มาขวางก่อนหน้านี้ที่ยังมีนักพรตบงกชม่วงและบงกชแดงรวมอยู่ด้วย
“ฆ่า!” หนึ่งร้อยคนที่อยู่บนยอดเขาตะโกนพร้อมพุ่งออกมา พุ่งเข้ามาสามชั้น มีทั้งสูง กลาง ต่ำจนเป็นรูปกรวย พุ่งลงมาจากภูเขา พุ่งสังหารเข้าไปหาเหมียวอี้ที่พุ่งขนาบพื้นเข้ามา
ดวงตาสองข้างของเฮยทั่นฉายแววตื่นเต้นดีใจ เร่งความเร็วอีกนิดหน่อย
เหมียวอี้เปลี่ยนจากถือทวนมือเดียวเป็นถือสองมือ บนทวนเกล็ดย้อนมีปราณปีศาจโลหิตลอยออกมา เกราะรบบนตัวก็เป็นแบบนี้เช่นกัน
“อา!” มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นก่อน
ชั่วพริบตาเดียวกระบวนทัพรูปกรวยกับเหมียวอี้ก็ชนปะทะกัน หัวหน้าคนหนึ่งที่โจมตีนำมาก่อนกระเด็นออกไปแล้ว สภาพเหมือนกำลังพลร้อยคนที่มาดักทางก่อนหน้านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพบหน้ากันเท่านั้น คนกับสัตว์พาหนะคู่นี้ราวกับเป็นท่อนไม้ต้นหนึ่ง ชนเข้าไปกลางกระบวนทัพรูปกรวย ชนจนกระบวนทัพวุ่นวายไร้ระเบียบ มีเสียงกรีดร้องดังอย่างต่อเนื่อง เงาคนกระเด็นมั่วไปหมด
เหมียวอี้ออกทวนเร็วราวกับพายุคลั่ง เฮยทั่นที่พุ่งชนกระบวนทัพรูปกรวยสะบัดหางฟาดทางซ้ายทีขวาทีอย่างบ้าระห่ำ
พุ่งชนกลางกระบวนทัพแล้วฝ่าออกไปราวกับตัดคลื่น ทะลุผ่านทั้งกระบวนทัพออกไปโดยตรง คนกับสัตว์พาหนะคู่นี้ทิ้งเอาไว้เพียงคนยี่สิบกว่าคนที่กลิ้งล้มระเนระนาดบนพื้น แล้ววิ่งตะบึงต่อไปไม่หยุดพัก พุ่งเข้าไปหาคนนับพันบนยอดแล้ว
ภาพนี้ทำให้คนมองตาพร่ามัวจริงๆ อั้นโยวหลินรวมทั้งผู้ติดตามที่ลอยอยู่บนฟ้าสูดหายใจอย่างตกตะลึง เคยเห็นนักพรตที่มีพลังแข็งแกร่งมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนที่มีความสามารถในการเข่นฆ่าห้าวหาญทรงพลังขนาดนี้ อั้นโยวหลินอุทานอย่างตกตะลึงว่า “เป็นทหารกล้าจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นทหารกล้าลูกน้องใคร ทำไมถึงบุกเดี่ยวมาอยู่ที่นี่ ถ้าสามารถทำให้เขาสวามิภักดิ์ค่ายป่าครึ้มของข้าได้…” นางเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้เงื่อนไขอะไรมาเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้
แต่นางก็รู้ดี ว่าถ้ามีศักยภาพมากขนาดนี้ ถ้าได้รับทรัพยากรฝึกตนที่เพียงพอ เกรงว่าค่ายป่าครึ้มเล็กๆ คงจะสนองความต้องการของอีกฝ่ายไม่ได้ จู่ๆ ในหัวนางก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา จะแต่งงานกับเขาดีมั้ยนะ? ไม่รู้เหมือนกันว่ามนุษย์จะชอบฐานะนี้หรือไม่ ถ้าหากอีกฝ่ายตอบตกลง ต่อให้มอบค่ายป่าครึ้มให้ ขอเพียงได้ฐานะสามีภรรยากันแล้ว เกรงว่าผลประโยชน์ที่จะได้จากการบุกเบิกขยายอาณาเขตในอนาคตคงจะเยอะกว่านี้ นี่คือข้อตกลงที่ได้กำไรมาก
หัวหน้าใหญ่ขุยที่อยู่บนภูเขาฝั่งตรงข้ามสีหน้าเปลี่ยนทันที ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว จนใจที่ตอนนั้นยังไม่ได้ทดสอบฝีมือ!
“ลุย!” หัวหน้าใหญ่ขุยโบกมือ ผลปรากฏว่าไม่มีใครตอบสนอง พอหันซ้ายหันขวา ก็พบว่าลูกน้องทำสีหน้าหวาดกลัวกันหมด ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครกล้าบุกเลย
ทว่าสถานการณ์แบบนี้ก็ทำให้เขาคิดอะไรมากไม่ได้ หนึ่งคนกับหนึ่งตัวพุ่งขึ้นมาบนภูเขาแล้ว เขาไม่มีเวลามาขู่ลูกน้องแล้ว
ตัวเองเป็นหนึ่งในหัวหน้าใหญ่ของค่ายป่าครึ้ม ถ้าระดับบงกชรุ้งสู้ระดับบงกชทองไม่ได้ ในภายหลังเขายังจะมีที่ยืนในค่ายป่าครึ้มได้อย่างไร?
เขาโบกมือถือดาบยาวไว้ในมือ ชั่วพริบตาเดียวก็ถลันตัวลงไปแล้ว มองลงไปหาเหมียวอี้ที่พุ่งขึ้นมาด้านบน ควงแขนฟันดาบออกมาหนึ่งครั้งอย่างบ้าคลั่ง หมายจะจัดการให้สำเร็จในครั้งเดียว ฟันเหมียวอี้ให้ตกลงใต้ม้าในดาบเดียว
เหมียวอี้พุ่งขึ้นมาโดยไม่หลบหลีก และไม่ได้ใช้ของวิเศษอะไรด้วย เขาออกทวนด้วยความเร็วถึงขั้นสุดเท่าที่ตัวเองจะควบคุมไหว มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วหมุนวนอยู่บนทวนเกล็ดย้อน พุ่งชนใส่ดาบยาวที่ฟันเข้ามาอย่างห้าวหาญ!
ไม่น่าเชื่อว่านักพรตวรยุทธ์บงกชทองจะกล้าใช้กำลังปะทะกับนักพรตวรยุทธ์บงกชรุ้ง!
ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่หยุดหายใจและเบิกตากว้างมองดูฉากนี้
บึ้ม! เกิดเสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ผิวดินแยกออกจากกัน หมู่ขุนเขาที่อยู่รอบข้างสั่นไหวและถล่มพัง สะเทือนจนฝุ่นควันตลบอบอวลบนผืนแผ่นดินใหญ่
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือ ดาบยาวในมือหัวหน้าใหญ่ขุยกระเด็นออกไปแล้ว ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังกลับมาอย่างเลอะเลือนเล็กน้อย เห็นเขาควบคุมร่างกายไม่ได้ ชัดเจนว่าเลอะเลือนเพราะการโจมตีครั้งนี้แล้ว
เหมียวอี้ก็ร่างสะเทือนเช่นกัน แต่กำลังอันป่าเถื่อนของเฮยทั่นกลับน่าทึ่ง มันยังคงพุ่งไปข้างหน้าต่อ แทบจะทำให้เหมียวอี้ตกจากหลังแล้ว
พอเหมียวอี้บังคับร่างให้นิ่งได้ ก็ใช้สองเท้าเหยียบบนหนามแหลมสีดำตรงท้องสองข้างของเฮยทั่น จากนั้นดีดตัวขึ้นมา แล้วเหยียบบนหัวเฮยทั่นอีก อาศัยพลังชนโจมตีของเฮยทั่นเพื่อดีดตัวออกจากเฮยทั่นอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสตอนที่หัวหน้าใหญ่ขุยยังไม่หายดี ใช้มือข้างเดียวส่งทวนออกไปกลางอากาศ ทวนแทงทะลุเกราะรบผลึกม่วงของหัวหน้าใหญ่ขุยเสียงดังฉึก ทะลุเข้าหัวใจของหัวหน้าใหญ่ขุย ทวนนี้เรียกได้ว่าดุดัน มั่นคง แม่นยำ!
ทันใดนั้นเฮยทั่นก็ใช้กำลังทั้งหมดกระโจนขึ้นมา รับตัวเหมียวอี้เอาไว้ หนึ่งคนกับหนึ่งตัวกระโดดเป็นแนวเส้นครึ่งวงกลม ตกลงบนยอดเขาพอดี
เหมียวอี้ลากทวนไปกับพื้น เสยให้หัวหน้าใหญ่ขุยที่ติดดอยู่บนหัวทวนหลุดออกไป ปล่อยให้กลิ้งลงไปตามภูเขา
“อ๋าว!” เฮยทั่นคำรามลากเสียงยาวพลางวิ่งวนรอบภูเขา รู้สึกเบิกบานสำราญใจ
เหมียวอี้ที่ขี่เฮยทั่นวิ่งวนโบกทวนชี้ไปยังกลุ่มคนที่ยืนตะลึงเหม่อ สีหน้าดุร้ายเหี้ยมโหด คนหลายพันคนบนภูเขาตกใจจนถอยหลังพร้อมกันทันที ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
บทที่ 1476 ผู้นำทาง
Ink Stone_Fantasy
มีคนไม่น้อยรีบเหาะหนีให้ไกลจากภูเขาลูกนี้
พวกอั้นโยวหลินที่อยู่บนม้องฟ้าด้านหลังก็ตกใจจนเหม่อค้างแล้วเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ในมือเหมียวอี้ หัวหน้าใหญ่ขุยจะรับมือไม่ได้แม้แต่ท่าเดียวด้วยซ้ำ นี่เป็นการสู้ระหว่างนักพรตบงกชรุ้งกับนักพรตบงกชทองนะ จะเป็นไปได้อย่างไร? นักพรตบงกชทองคนนี้เป็นใครกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะห้าวหาญได้ถึงขนาดนี้!
หัวหน้าใหญ่ว่านเอียงหน้ามาถ่ายทอดเสียง “ประมุขค่าย ถ้าอยากจะสู้กับคนคนนี้ เกรงว่าจะต้องให้พี่น้องที่อยู่ตรงหน้าร่วมแรงสู้ตาย ต้องไม่กลัวไม่ถอยถึงจะรั้งเขาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางสกัดขวางการบุกสังหารของเขาได้เลย” มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือตอนนี้มีเพียงการให้ประมุขค่ายลงมือเองเท่านั้นถึงจะมีความเป็นไปได้ ทว่าเขาก็ไม่สะดวกจะบัญชาการให้ประมุขค่ายออกรบ
อั้นโยวหลินเงียบไป เคยเห็นฉากต่อสู้กันมาก่อน แต่นางไม่อยากสู้ศึกนี้เลย ประการแรกเป็นเพราะอยากดึงตัวเหมียวอี้มาอยู่ที่ค่ายป่าครึ้ม ประการต่อมาเป็นเพราะต่อให้นางลงมือเอง แต่ก็ไม่สามารถกำจัดทิ้งได้ภายในการโจมตีครั้งเดียว ลงมือกับเหมียวอี้แล้วไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ
ทว่าการที่นางไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าเหมียวอี้จะไม่มีการตอบสนอง จู่ๆ เหมียวอี้เลี้ยวหัวทวน ชี้ไปทางนางที่อยู่บนฟ้าไกลๆ พร้อมตะโกนว่า “อั้นโยวหลินออกมาคุยกับข้า!”
สายตาของทุกคนมองไปที่อั้นโยวหลินทันที คนที่อยู่ข้างกายอั้นโยวหลินก็ยิ่งสับสนงงวย อย่าบอกนะว่าเป็นฝ่ายท้าสู้ประมุขค่ายก่อน?
อั้นโยวหลินแววตาวูบไหว เกิดความคิดบางอย่างในใจแล้ว โบกมือคว้าทวนยาวไว้ในมือแล้ว
“ประมุขค่าย ไม่สู้ทุกคนเข้าไปพร้อมกันเลยล่ะ” หัวหน้าใหญ่ว่านที่อยู่ข้างๆ กล่าว
แต่ใครจะคิดว่าอั้นโยวหลินจะโบกทวนขวาง “ไม่จำเป็น ทุกคนหยุดอยู่ตรงนี้ ถ้าข้าไม่อนุญาตก็ห้ามเข้ามา”
หัวหน้าใหญ่ว่านพูดไม่ออก เขาเองก็มีเจตนาดี ไม่อยากเห็นอั้นโยวหลินเป็นอะไรไป หัวหน้าใหญ่ขุยตายไปแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับอั้นโยวหลินอีก เขาก็กังวลว่าเหมียวอี้จะพุ่งเป้ามาที่เขาต่อ ถ้าแม้แต่อั้นโยวหลินยังต้านทานไม่ไหว แล้วเขาจะต้านทานไหวเหรอ? เขารู้สึกว่ามีอั้นโยวหลินรับหน้าแล้วทุกคนสู้พร้อมกันจะปลอดภัยกว่า ใครจะคิดว่าอั้นโยวหลินจะปฏิเสธแล้ว ทำได้เพียงมองดูอั้นโยวหลินเหาะออกไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้
อั้นโยวหลินที่เหาะขึ้นมาใหล้ท้องฟ้าเหนือภูเขาลอยลงมาช้าๆ ลดระดับควาสูงลงแล้ว จากนั้นก็มองต่ำลงมา มองสำรวจเหมียวอี้ซึ่งๆ หน้า พร้อมถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร เหตุใดต้องเปิดฉากสังหารในเขตค่ายป่าครึ้มของข้า?”
เมื่อเห็นนางพูดจาสุภาพ สีหน้าดุร้ายของเหมียวอี้ก็ลดลง เขาหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองในนั้น แล้วหยิบบัตรขุนนางของตัวเองออกมา ก่อนจะโยนให้พร้อมกัน
อั้นโยวหลินที่รับของมาไว้ในมือรู้สึกงงงวย ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร จนกระทั่งหลังจากได้เห็นบัตรขุนนางของเหมียวอี้แล้ว นางก็เรียกได้ว่าตกใจมาก นางจึงดูตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกอีกแผ่นที่เหมียวอี้เพิ่งลงไว้ พอเปรียบเทียบกับตราอิทธิฤทธิ์ในบัตรขุนนางอย่างละเอียดแล้ว ก็แน่ใจแล้วว่าเป็นคนคนเดียวกัน
นางพลันเงยหน้า แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร เหมียวอี้ก็ชิงถามก่อนว่า “มีคนมากมายขนาดนี้ล้อมหนิวอยู่ อย่าบอกนะว่าจะสู้ตายกับหนิวจริงๆ?”
อั้นโยวหลินเข้าใจความหมายของเขาแล้ว เขากำลังมีบางอย่างจะเจรจากับนางเป็นการส่วนตัว นางอดไม่ได้ที่จะลังเลนิดหน่อย สายตาที่มองเหมียวอี้ก็ยิ่งวูบไหวไม่สงบนิ่ง
ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้เอาแต่วิ่งบนพื้นดินตลอด ที่แท้ก็เป็นเพราะอยู่ที่นี่แล้วเหาะไม่ได้นี่เอง ตอนแรกเห็นเหมียวอี้วิ่งอยู่ท่ามกลางปราณชั่วร้ายโดยไม่เป็นอะไร ก็ยังนึกว่าเหมียวอี้เป็นวิญญาณชั่วร้ายเหมือนกัน สงสัยจะมาจากนอกแดนแดนมรณะดึกดำบรรพ์
ร่างกายที่มีเลือดเนื้ออยู่ตรงหน้านางแล้ว ถ้าบอกว่าไม่ใจสั่นหวั่นไหวเลยก็แสดงว่าโกหก แต่นางก็ไม่รู้ว่ามีคนจากข้างนอกเข้ามาเยอะเท่าไรกันแน่ เป็นเหมียวอี้เข้ามาคนเดียวหรือมีคนกลุ่มใหญ่เข้ามา ทำไมจู่ๆ จึงมีคนจากข้างนอกเข้ามา อย่าบอกนะว่าตำหนักสวรรค์จะมากวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีกแล้ว?
นางไม่เคยผ่านประสบการณ์ตอนตำหนักสวรรค์กวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่เคยได้ยินจากคนเก่าคนแก่ที่รอดชีวิต นางคิดว่าน่ากลัวมาก ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าทั้งหมดโดยไม่ปรานี ขอเพียงเป็นวิญญาณชั่วร้ายก็จะฆ่าทันที ไม่มีเหตุผลอะไรต้องคุยเลย!
ประการต่อมาเป็นเพราะเหมียวอี้อาละวาดอย่างกล้าหาญไร้ความเกรงกลัว แล้วเปิดเผยตัวตนของตัวเองอย่างไม่กังวลอะไร ท่าทางเหมือนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และเมื่อครู่นี้ก็ยิ่งแสดงพลังต่อสู้อันห้าวหาญ นางจึงไม่มั่นใจว่าจะจัดการเหมียวอี้ได้หรือไม่
นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วโยนแผ่นหยกสองแผ่นคืนให้เหมียวอี้ จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ถอยไปให้หมด!”
หัวหน้าใหญ่ว่านและคนอื่นๆ ตะลึงงัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ให้นางดูอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ทุกคนถอยไปแล้ว
และในตอนนี้ทุกคนก็ต้องให้มีเรื่องน้อยๆ เข้าไว้ ในเมื่อประมุขค่ายลั่นวาจาแล้ว พวกเขาก็ทยอยกันถอยออกไปเช่นกัน
เมื่อเห็นทุกคนถอยออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บทวนในมือ กระโดดลงจากตัวเฮยทั่น แล้วเงยหน้ามองอั้นโยวหลิน อีกฝ่ายหลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็เก็บทวนในมือแล้วลอยลงเยียบพื้นเบาๆ
ทั้งสองสบตากันโดยอยู่ห่างกันประมาณครึ่งจั้ง นับว่ายืนใกล้กันพอแล้ว
“นึกไม่ถึงว่าประมุขค่ายอั้นจะเป็นวีรสตรี” เหมียวอี้กล่าวชมตามมารยาท สายตากลอกกลิ้งบนตัวอีกฝ่าย “เพียงแต่เกราะรบไม่ค่อยพอดีตัวเท่าไร”
อั้นโยวหลินกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “สถานที่เล็กๆ จะเทียบกับสถานที่ใหญ่ๆ ของโลกภายนอกได้ยังไง ทำให้นายท่านหนิวเห็นเรื่องน่าขำแล้ว ฟังจากคำพูดนายท่าน เหมือนจะเคยได้ยินเรื่องข้ามาก่อนใช่มั้ย?”
เหมียวอี้พลิกมือหยิบเกราะรบผลึกแดงชุดหนึ่งออกมา แล้วโยนไว้บนพื้น “ได้ยินคนอื่นพูดมา ไม่ทราบว่าประมุขค่ายอั้นรู้จักเกราะรบชุดนี้รึเปล่า?”
อั้นโยวหลินตรวจสอบอย่างจริงจัง จากนั้นก็ตกตะลึงทันที ถึงแม้นางกับหวังกงของค่ายพยัคฆ์ดำจะอยู่ที่ทะเลทรายหินคนละผืน แต่ก็นับว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน เคยเจอกันมาก่อน และเกราะรบที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ขาดแคลน นางย่อมมองออกถึงที่มาที่ไปได้อย่างรวดเร็ว ถามว่า “นี่คือเกราะรบของหวังวงแห่งค่ายพยัคฆ์ดำเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ถูกแล้ว ข้าได้ยินชื่อประมุขค่ายอั้นมาจากเขานี่แหละ”
อั้นโยวหลินถามหยั่งเชิงอย่างระแวงสงสัย “เกราะรบที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หายากมาก ถ้าอยากจะได้เกราะรบผลึกแดงสักชุดก็ไม่ง่ายเลย ไม่น่าเชื่อว่าหวังกงจะยินดีมอบเกราะรบให้นายท่าน คงจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับนายท่านสินะ?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าสังหารเขาทิ้งแล้ว ความสัมพันธ์นี้…เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะสงสัยแบบนี้ แต่พอได้ยินเหมียวอี้ยอมรับจากปากตัวเอง นางก็ยังตกใจไม่ใช่น้อย พลังของนางสูสีกับหวังกง อีกฝ่ายสังหารหวังกงได้แล้ว เกรงว่าตนก็คงจะลำบากพอสมควร รู้สึกโชคดีที่ตนไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ นางเม้มริมฝีปากแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าทำไมนายท่านต้องฆ่าหวังกง?”
เหมียวอี้แสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “พอข้าเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็เกือบจะเข้าไปในอาณาเขตของเขาแล้ว เป็นเพราะข้าไม่คุ้นเคยการใช้ชีวิตที่นี่ ก็เลยไปหาเขา ต้องการให้เขาพาไปถ้ำมังกรรังหงส์ ใครจะไปคิดว่าเขาจะไม่รู้จักกลัวตาย บังอาจอยากได้กายหยาบของข้า ข้าก็ต้องฆ่าเขาทิ้งอยู่แล้ว!”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายเหมือนกัน ด้วยความที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ถ้าเปลี่ยนเป็นนาง ก็เกรงว่าจะคิดอยากได้เหมือนกัน! อั้นโยวหลินแอบพึมพำ แต่พอได้ยินว่าต้องการจะไปถ้ำมังกรรังหงส์ นางก็ใจเต้นอยากควบคุมไม่ได้ จึงภามหยั่งเชิงอีกว่า “ทำไมนายท่านถึงอยากจะไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์ล่ะ?”
“นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าเรียกเจ้ามาเจรจา ไม่อย่างนั้นถ้าข้าจะไปจริงๆ เจ้าก็รั้งข้าไม่ได้หรอก” เหมียวอี้ตอบ
ล้วนเป็นคำโกหกทั้งนั้น สาเหตุที่แท้จริงก็คือหลังจากผ่านศึกที่ค่ายป่าครึ้มมา เขาก็เข้าใจแล้ว ว่าถ้าต้องการจะผ่านอาณาเขตของใครสักคนไปที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณเพียงลำพัง ก็เหมือนว่าจะไม่น่าเป็นไปได้
อั้นโยวหลินพอจะเดาได้รางๆ แล้วว่าเหมียวอี้ต้องการอะไร แต่ไม่กล้าแน่ใจ “นายท่านกำลังหมายความว่า?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ก็อย่างที่บอก ข้าไม่คุ้นเคยกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ อยากจะให้เจ้าเป็นผู้นำทาง พาข้าไปที่ถ้ำมังกรรังหงส์สักครั้ง แน่นอน หลังจากผ่านเรื่องหวังกงมาแล้ว ข้าก็รู้ว่าพวกเจ้าต้องการอะไร เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ให้เจ้าช่วยเฉยๆ หรอก ข้าจะช่วยพาเจ้าเข้าไปถ้ำมังกรรังหงส์”
นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องดีๆ ขนาดนี้ อั้นโยวหลินย่อมดีใจมากอยู่แล้ว นางก็ยังไม่ถึงขั้นเลอะเลือน ถามอย่างสงสัยว่า “ตำหนักสวรรค์ต้องการจะกวาดล้างพวกเรา แต่นายท่านกลับต้องการจะช่วยให้ข้าเข้าไปในถ้ำมังกรรังหงส์เพื่อให้ข้าเติบโตขึ้นเหรอ?”
เหมียวอี้บอกว่า “เรื่องของตำหนักสวรรค์ก็คือเรื่องของตำหนักสวรรค์ ข้ามาที่นี่ก็ย่อมมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนในภายหลังเจ้าจะโดนกวาดล้างหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเจ้า เจ้าหลบได้ก็ดี แต่ถ้าหลบไม่ได้แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ? ตอนนี้ข้าแค่อยากจะถามเจ้าคำเดียว ถ้าตอบตกลงก็ไป ถ้าไม่ตอบตกลงก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น ข้าจะไปหาคนต่อไป”
เรื่องดีๆ แบบนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป อั้นโยวหลินแอบโน้มน้าวให้ตัวเองใจเย็น แล้วถามอีกว่า “นายท่านไม่กลัวว่าข้าจะมีเจตนาไม่ซื่อเหมือนหวังกงเหรอ?”
เหมียวอี้เหล่ตามอง ในดวงตาฉายแววดูถูก “ต่อให้เจ้าได้กายหยาบของข้าไปแล้วยังไงต่อล่ะ เจ้าคิดว่าถ้ำมังกรรังหงส์เข้าไปง่ายๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าได้กายหยาบของข้าแล้วจะเข้าไปได้เหรอ?”
“หรือว่าในนั้นยังมีลับลมคมในอะไรอีก?” อั้นโยวหลินถาม
“เจ้าไปถึงแล้วก็จะรู้เอง จะไปหรือไม่ไป ตอบมาตรงๆ” เหมียวอี้มีท่าทีแข็งกร้าวมาก ถ้าไม่ได้ลงไม้ลงมือไปก่อนหน้านี้ ก็ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวแข็งกร้าวแบบนี้เช่นกัน
อั้นโยวหลินลังเลนิดหน่อย ในใจยังคงสงสัย แต่สุดท้ายก็ต้านทานความยั่วยวนของถ้ำมังกรรังหงส์ไม่ไหว แข็งใจตอบตกลงแล้ว “ดี! ข้าจะไปเป็นนายท่านสักครั้ง ไม่ทราบว่าจะออกเดินทางเมื่อไร?”
“ไม่จำเป็นต้องชักช้า ไปตอนนี้เลย” เหมียวอี้ตอบ
“ได้! นายท่านรอสักครู่ ให้ข้าเตรียมงานในค่ายไว้ก่อน” อั้นโยวหลินกุมหมัดคารวะ แล้วถลันตัวออกไป ไปสั่งงานของค่ายป่าครึ้มกับหัวหน้าใหญ่ว่าน
ผ่านไปไม่นาน กำลังพลค่ายป่าครึ้มที่อยู่รอบๆ ก็ถอนกำลังไปหมดแล้ว หัวหน้าใหญ่ว่านที่เหาะไปไกลหันกลับมามองทางนี้เป็นระยะ ไม่รู้ว่าอั้นโยวหลินต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่อั้นโยวหลินก็ย่อมไม่บอกเขาอยู่แล้ว
รอจนกระทั่งอั้นโยวหลินกลับมาที่ภูเขาอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ขี่อยู่บนตัวเฮยทั่นแล้ว “ไปเถอะ!”
อั้นโยวหลินโบกมือ “ไม่รีบ! ถ้าไปจากทางบกมีอุปสรรคอันตรายเยอะเกินไป อย่าว่าแต่ไปถึงถ้ำมังกรรังหงส์เลย เกรงว่าจะเข้าใกล้ไม่ได้ด้วยซ้ำ นายท่านรอสักครู่ ข้าจะหาพลังเท้าให้นายท่าน”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ก็เห็นนางหาพลังเท้ามาให้แล้ว เป็นอินทรีสามหัวสีเทาตัวหนึ่งที่กางปีกแล้วยาวถึงสองจั้ง พอมันโฉบลงมาเกาะบนยอดเขา เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปลูบมัน พบว่าอินทรีสามหัวตัวนี้เกิดจากวิญญาณมรณะ
ด้วยเหตุนี้เฮยทั่นจึงไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย เหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับมันแล้ว แต่ก็ยังเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้แต่โดยดี
อั้นโยวหลินถอดเกราะรบบนตัว แล้วแนะนำเหมียวอี้ว่า “ถ้านายท่านอยากไปถ้ำมังกรรังหงส์จริงๆ ก็ถอดเกราะรบบนตัวออกดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าคนอื่นเห็นของบนตัวนายท่านแล้วอยากได้ จากที่ไม่มีปัญหาก็จะมีปัญหาแล้ว”
เหมียวอี้ใช้สมองคิดนิดหน่อยก็เข้าใจสิ่งที่นางพูดแล้ว แดนมรณะดึกดำบรรพ์นั้นขาดแคลนแหล่งเกราะรบ ดังนั้นเกราะรบบนตัวเขาจึงสะดุดตาเกินไปจริงๆ ไม่ใช่เรื่องดีที่จะสวมใส่โอ้อวด เขาถึงเชื่อฟังนาและถอดเกราะรบออก
ทั้งสองทยอยกันกระโดขึ้นบนตัวอินทรีสามหัว อั้นโยวหลินถามอีกว่า “ไปถ้ำมังกรหรือจะไปรังหงส์?”
“รังหงส์!” เหมียวอี้ตอบ
อั้นโยวหลินโบกมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “วี้ด!” อินทรีสามหัวส่งเสียงร้องพร้อมกันทั้งสามหัว แล้วกางปีกทะยานขึ้นท้องฟ้า กระพือปีกแบกทั้งสองคนบินขึ้นฟ้าสูงไปไกลแล้ว
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น