คัมภีร์วิถีเซียน 1471-1473
ตอนที่ 1471 เคล็ดวิชาเรียกอัสนี
หลายวันต่อมา ประตูใหญ่ของห้องสงบพลันเปิดออก หานลี่ที่เก็บตัวอยู่ในนั้นเป็นเวลาหกวันก็เดินออกมา
แม้ว่าใบหน้าจะปรากฏสีหน้าอ่อนล้า แต่รอยยิ้มเล็กๆ ในดวงตากลับไม่อาจปิดบังได้
ดูเหมือนการหลอมยันต์ในหลายวันนี้จะประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก
วันนี้ไม่ใช่วันที่มู่ชิงถ่ายทอดหลักแห่งการควบคุมอัสนี หานลี่เดินออกมาเพียงแค่อยากจะผ่อนคลายประสาทที่ตรึงเครียดอยู่ตลอดเท่านั้น
ถึงอย่างไรการผ่อนคลายก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง
พื้นที่ของถ้ำแก่นพฤกษาไม่ได้เล็กไปกว่าพระราชวังเพลิงโลหิตสักเท่าไหร่ หานลี่เดินช้าๆ ไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหน้าห้องสงบ แล้วเดินเตร่ไปยังทุกหนทุกแห่งภายในถ้ำ
ครึ่งชั่วยามต่อมา หานลี่มาปรากฏตัวที่ประตูข้างบานหนึ่ง มองดูลำแสงสีเขียวมรกตที่เปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนประตูไม่หยุด ก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา
สถานที่ส่วนใหญ่ของถ้ำแก่นพฤกษานั้นเขาเคยเดินมาแล้วหลายรอบ
ทว่ามีสถานที่ที่วางอาคมไว้หลายจุด กลับไม่สามารถมองเห็นต้นสายปลายเหตุได้เลย
โดยเฉพาะสองแห่งที่มีการวางอาคมต้องห้ามอย่างหนาแน่น ทำให้หานลี่มองแล้วเกิดความหวาดกลัวและรู้สึกสงสัยยิ่งนัก
ลานด้านข้างแห่งหนึ่งที่เรียกว่า “สวนเพลงมรกต” ก็คือหนึ่งในนั้น
ทว่าทะลุอาคมต้องห้ามที่หนาแน่นนี้เข้าไปนั้นเผยให้เห็นปราณวิญญาณพฤกษาบริสุทธิ์เสี้ยวเล็กๆ ทำให้เขาเดาได้แปดเก้าส่วนว่าที่นี่คือสวนสมุนไพรแห่งหนึ่ง
ยาวิญญาณที่แม้แต่มู่ชิงซึ่งเป็นถึงราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์ยังให้ความสำคัญ หรือว่าจะเป็นบุปผาวิญญาณหรือผลวิญญาณชนิดใดกัน?
ขณะที่หานลี่ครุ่นคิดอยู่ก็เกิดรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดที่เหมือนเป็นการเตือนอย่างไม่หนักหนาอะไรของมู่ชิง หานลี่ก็หัวเราะขื่นๆ ในใจครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้
อาคมต้องห้ามของที่นี่หนาแน่นเช่นนี้ มู่ชิงจะไม่ใส่ใจที่นี่เป็นพิเศษได้อย่างไร
อย่ามองว่าตอนนี้รอบๆ ว่างเปล่าไร้ผู้คนเลย ตนอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่ว่าจะถูกจับตามองอยู่หรือไม่ จะสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร
หานลี่แอบส่ายหน้า พลันเอามือไพล่หลังแล้วเดินไปยังทิศทางอื่น
เขาไม่ได้เดินเตร่ไปทางอื่นนานนัก หนึ่งชั่วยามต่อมาก็กลับมายังห้องสงบของตัวเองด้วยสีหน้าผ่อนคลายแล้ว
…
ภายในค่อนปีต่อมา หานลี่ยังคงใช้ชีวิตอย่างจืดชืดวันแล้ววันเล่า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในด้านหลักแห่งอัสนีนั้น เขามีพรสวรรค์เหนือผู้คนหรือเป็นเพราะเคล็ดวิชาควบคุมอัสนีที่คาดไม่ถึงว่าคนอย่างมู่ชิงจะถ่ายทอดด้วยความลำบากเช่นนั้น
ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ คิดไม่ถึงว่าหานลี่จะเข้าใจเคล็ดวิชานี้ได้ถึงแปดเก้าส่วนแล้ว เหลือเพียงปัญหาเรื่องความคล่องแคล่วที่เพิ่มเข้ามา
มู่ชิงเห็นดังนี้ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ระยะเวลาสองปีใกล้จะถึงเวลาแล้ว จึงเชิญพวกลิ่วจู๋และหญิงงามมารวมตัวที่วิหารเซียนพฤกษาอีกครั้ง
สามวันต่อมา หานลี่มาพบราชาปีศาจทั้งเหล่านี้ในวิหารเซียนพฤกษาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้หยวนเหยากับเหยียนลี่ไม่ได้มาด้วย ให้ความคิดที่ยังลงเหลือในใจเขารู้สึกค่อนข้างผิดหวัง
ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยยังคงมาในสภาพชายชุดโลหิตสองคนเดินเคียงกันมาซึ่งทำให้แยกแยะจริงเท็จไม่ออก
“อะไรนะ สหายหานเข้าใจและพลิกแพลงเคล็ดวิชาเรียกอัสนีของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้แล้ว น้องมู่ เจ้าคงไม่โกหกหลอกหลวงกันกระมัง” หญิงงามผมขาวพูดด้วยความตกตะลึง พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่เชื่อ
ตัวนางในตอนนี้นั่งอยู่ลำพังที่ด้านหนึ่งภายในวิหารใหญ่
“เรื่องนี้สำคัญยิ่ง น้องสาวจะโกหกหลอกลวงได้อย่างไร พูดตามจริง ที่สหายหานสามารถเข้าใจเคล็ดวิชาเรียกอัสนีซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของเคล็ดวิชาควบคุมอัสนีได้เร็วเช่นนี้ แม้แต่น้องสาวเองก็รู้สึกตกตะลึงจริงๆ ภายหลังน้องสาวจึงได้รู้ว่าที่แท้สหายหานก็ใช้สมบัติไผ่อัสนีทองมาทำเป็นศาสตราอาคมประจำกาย หากเป็นเช่นนี้ สามารถควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้รวดเร็วเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้ว” มู่ชิงหัวเราะคิกคักอยู่ในแสงสีดำ
“ใช้ไผ่อัสนีทองทำเป็นศาสตราอาคมประจำกาย? สหายหาน เจ้าช่างใจกล้ามากพอจริงๆ หรือไม่รู้ว่าทำเช่นนี้แล้ว จะถูกเทวะอัสนีย้อนกลืนกินได้ง่ายสุดๆ? การที่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ก็เป็นเรื่องที่แปลกมากแล้วจริงๆ” หญิงงามผมขาวตะลึงงัน พลันหันไปมองหานลี่แล้วกล่าวด้วยท่าทางน่าสะพรึงกลัว
“เทวะอัสนีย้อนกลืนกิน? ดูเหมือนข้าน้อยจะไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน ขอถามสาเหตุของอาวุโสด้วยขอรับ” หานลี่ได้ยินคำนี้กลับรู้สึกตกตะลึงจริงๆ
“ทำไมล่ะ น้องมู่ไม่มเคยพูดเรื่องนี้กับสหายหานเลยรึ?” หญิงงามผมขาวขมวดคิ้วคราหนึ่ง แล้วถามมู่ชิง
“ข้าสังเกตเห็นตั้งนานแล้ว สหายหานพรสวรรค์ล้ำลึก ควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้เสถียรเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีแววส่อให้เห็นถึงการโดนย้อนกลืนกินแม้แต่น้อย ย่อมไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้” มู่ชิงตอบกลับอย่างไม่รู้สึกหนักหนาอะไร
“หึ นี่ก็แค่คำพูดของเจ้าคนเดียวเท่านั้น พวกข้ายังไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองเลย!” หญิงงามผมขาวแค่นเสียงคราหนึ่ง แล้วมองหานลี่อย่างประเมินอีกรอบ ก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
มู่ชิงหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไรอีก ลิ่วจู๋ที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยโพล่งขึ้นมา “พอแล้ว ไม่ต้องพูดไร้สาระอย่างอื่นแล้ว แม่นางมู่เชิญพวกเรามาคงไม่ได้แค่อยากจะขยับฝีปากพูดสองสามประโยคหรอก สหายหานเรียนรู้เคล็ดวิชาเรียกอัสนีสำเร็จจริงหรือไม่ ย่อมต้องให้พวกเราดูด้วยตาตัวเองถึงจะยอมรับ”
น้ำเสียงของลิ่วจู๋ราบเรียบไม่ไหวติง ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะมู่ชิงหรือหญิงงามผมขาวได้ยินวาจานี้ ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวแล้วเงียบปากกัน
ส่วนหนึ่งในชายชุดโลหิตโลหิตสองคน ในเวลานี้กลับยิ้มเอ่ยขึ้นมา “สหายน้อยหาน ในเมื่อเจ้าเรียนรู้เคล็ดวิชาเรียกอัสนีของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้สำเร็จแล้ว ก็ลองเรียกหลอมต่อหน้าพวกเราสักหน่อยเถอะ”
หลังจากได้ยินทั้งสองคนพูดเช่นนี้ หานลี่ก็ข่มความตื่นตระหนกระคนสงสัยเรื่องการย้อนกลืนกิน แล้วโค้งคำนับเล็กน้อย “อาวุโสทั้งหลายกำชับเช่นนี้ ชนรุ่นหลังจะรีบปฏิบัติตามทันที เพียงแต่อานุภาพของเคล็ดวิชาเรียกอัสนีนั้นไม่เบา หากเป็นที่นี่…”
หานลี่พูดพลางกวาดสายตามองดูรอบๆ วิหารใหญ่
“สหายหานพูดมาก็ถูก แม้ว่าวิหารเซียนพฤกษาของข้านี้จะมีอาคมต้องห้ามอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจรับอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายไว้ได้ พวกเราควรไปดูข้างนอกเถอะ” มู่ชิงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินนำไปทางประตูวิหาร
ราชาปีศาจที่เหลือเห็นดังนี้ก็หันมามองหน้ากันคราหนึ่ง แล้วพากันตามออกไป
หานลี่ย่อมเดินออกไปด้วยเช่นกัน
ปีศาจเวรยามของเหวพสุธาที่เฝ้าอยู่นอกประตูวิหาร เมื่อเห็นราชาปีศาจมากมายเช่นนี้ ต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึง
แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปถามอะไร
ผ่านไปพักหนึ่ง แต่ละคนก็มาหยุดอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าวิหารเซียนพฤกษา สายตาทุกคนล้วนจับจ้องไปบนร่างของหานลี่
เมื่ออยู่ภายใต้การจับจ้องของตัวตนระดับที่มากมายสูงเช่นนี้ หานลี่ก็หัวเราะขื่นๆ ในใจคราหนึ่ง แต่ก็ยังเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบบนร่างด้วยอารมณ์เยือกเย็น พลันลอยขึ้นกลางอากาศ
จนกระทั่งมาถึงกลางอากาศต่ำเหนือพื้นดินยี่สิบจั้งเศษ เขาจึงคอยลอยคว้างกลางอากาศไม่ขยับเขยื้อน
ทันทีที่สองมือตั้งท่าร่ายคาถา ก็เกิดเสียงโครมดังสนั่น ประกายแสงสีทองเรียวเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้าล้อมรอบกายแล้วโคจรไม่หยุด
ตามด้วยประกายอัสนีที่ค่อยๆ หนาขึ้น ขยายตัวอย่างบ้าคลั่งไปทั่วทุกสารทิศ
ชั่วครู่เดียว ภายในแสงอัสนีอันน่าสะพรึงนี้ก็ค่อยๆ ก่อรูปร่างเป็นตาข่ายสายฟ้าทรงกลมขนาดมหึมา
ในขณะเดียวกันนั้น ภายใต้การกระตุ้นคาถาของหานลี่ อักขระประหลาดก็ทะลักพรั่งพรูอย่างบ้าคลั่งออกจากมือทั้งสอง อักขระแต่ละตัวเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ พากันจมหายเข้าไปในประกายอัสนีที่อยู่รอบด้านอย่างไร้ร่องรอย
ฉากอันมหัศจรรย์ล้ำลึกพลันปรากฏขึ้น!
พริบตาที่อักขระจมเข้าไปในประกายอัสนีรอบทิศทาง ทันใดนั้นทั้งหมดก็แตกออกราวกับฟองสบู่ กลายเป็นรัศมีแสงสีทองสลัวๆ เส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้ง
หานลี่ที่อยู่ท่ามกลางรัศมีแสง รูปร่างเลือนรางไม่ชัดเจน ทว่าในปากเปล่งคาถาคลุมเครืออย่างต่อเนื่อง
ภายใต้การโคจระของรัศมีแสงสีทอง อักขระสีทองที่อยู่ภายในนั้นเกิดการพลิกตัวไม่หยุด พร้อมส่งเสียงหึ่งๆ ดังแว่วออกมา และค่อยๆ กลายเป็นเสียงแหลมแสบแก้วหูขึ้นเรื่อยๆ!
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงอัสนีบาตดังขึ้น!
ชั่วพริบตาที่รัศมีแสงเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ก็หายไปอย่างไร้สาเหตุ
หานลี่ก็ปรากฏร่างออกมาอีกครั้ง
มือหนึ่งตั้งท่าร่ายคาถา อีกมือหนึ่งคลายนิ้วมือออกเบาๆ ห่างจากฝ่ามือสูงขึ้นไปหลายฉื่อ มีก้อนกลมขนาดใหญ่เท่ากำปั้นลูกหนึ่ง ราวกับทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ กำลังลอยคว้างอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
ก้อนกลมนี้ดูไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย นอกจากลวดลายคล้ายอักขระที่พื้นผิวเว้านูนไม่ราบเรียบแล้ว แสงยังดูหม่นหมองผิดปกติ ไร้ซึ่งแรงกดวิญญาณใดๆ ทั้งสิ้น
ราวกับภาชนะธรรมดาทั่วไปชิ้นหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเห็นก้อนกลมสีทองนี้ ใบหน้าราชาปีศาจที่เฝ้าดูอยู่เบื้องล่างต่างก็เผยสายตาประหลาดใจออกมา
ตัวหานลี่ในตอนนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฝ่ามือที่ประคองก้อนกลมสีทองลอยกลางอากาศ พลันดีดนิ้วทั้งห้าเบาๆ คราหนึ่ง
“ฟ้าว!” ก้อนกลมสีทองกลายเป็นลำแสงสีทองดวงหนึ่งพุ่งทยานไปยังชั้นบรรยากาศสูง
เพียงแค่แวบเดียวก็หายไปแล้ว
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ในมืออีกข้างหนึ่งของหานลี่ส่งเสียงดังเปรี๊ยะคราหนึ่ง เกิดแสงอัสนีสว่างวาบ อักขระสีทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งก็พุ่งทยานไปยังที่สูงอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
“โครม!”
กลางอากาศสูงบริเวณใกล้เคียงเกิดพายุหมุนขึ้นอย่างฉับพลัน เมฆดำปกคลุมอย่างหนาแน่น แสงตะวันสีทองดวงหนึ่งพลันปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ ท่ามกลางเมฆดำ ตามด้วยกลิ่นอายทำลายล้างอันน่าสะพรึงของดวงตะวันสีทองที่พุ่งทยานขึ้นสู่ฟ้า
พื้นผิวของแสงตะวันเปล่งแสงอัสนีนับไม่ถ้วนอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงฟ้าร้องดังเกริกก้องอย่างไม่ขาดสาย เสียงทุ้มตำชวนให้ตกตะลึง
หญิงงามกับชายชุดโลหิตและคนอื่นๆ ที่อยู่เบื้องล่างต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี
“ยั้งมือก่อน! หยุดเคล็ดวิชาเรียกอัสนีของเจ้าเดี๋ยวนี้ เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องปล่อยอานุภาพที่แท้จริงของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาจริงๆ ก็ได้” จู่ๆ ก็มีคนหนึ่งพูดห้ามปรามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขรึมอย่างกะทันหัน ที่แท้ก็คือลิ่วจู๋
หานลี่ได้ยินก็ตกตะลึง ทว่าก็ได้แต่พูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน “อาวุโสบอกให้ชนรุ่นหลังยั้งมือตอนนี้ คงสายไปหน่อย ชนรุ่นหลังยังควบคุมเคล็ดวิชานี้ไม่คล่องแคล่ว ตอนนี้ไม่อาจหยุดเคล็ดวิชานี้ได้”
เพิ่งจะสิ้นเสียงพูดของหานลี่ ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องดังลั่นที่ทยอยดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จู่ๆ แสงตะวันสีทองก็พ่นลำแสงสีทองสายหนึ่ง หนาประมาณอ่างน้ำ พุ่งลงไปยังเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
พุ่งใส่พื้นดินว่างเปล่าไร้ผู้คนที่อยู่เบื้องหน้าหานลี่พอดี
สถานการณ์ที่ชวนให้ตกตะลึงพรึงเพริดพลันปรากฏขึ้น
ทุกที่ที่ลำแสงพุ่งผ่าน พื้นหินสีเขียวที่ก่อตัวมาจากอาคมต้องห้ามจนแข็งราวกับโลหะบริสุทธิ์ เพียงแค่แตะถูกก็สลายกลายเป็นธุลีอย่างไร้สุ้มเสียง ปรากฏเป็นโพรงใหญ่สีดำมืดมิดเส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้ง
ลำแสงสีทองมีความยาวประมาณฉื่อกว่า พริบตาที่แสงตะวันกลางอากาศแตะสลาย ลำแสงสีทองก็หายไปอย่างน่าประหลาด
หลังจากปล่อยการโจมตี้นี้ หานลี่กลับมีสีหน้าค่อนข้างซีดเซียว ปีกสองข้างบนแผ่นหลังขยับคราหนึ่ง ก็ค่อยๆ ลอยลงมาข้างล่างอย่างช้าๆ
ในตอนนี้ เมฆดำพลันกระจายออกรอบด้าน ท้องฟ้าคืนสู่สภาพดังเดิม
ยามที่ร่างพลิ้วไหว ชายชุดโลหิตคนหนึ่งกับหญิงงามชุดขาวก็ปรากฏตัวที่ข้างๆ ถ้ำใหญ่พร้อมกัน แล้วก้มหน้ามองไปยังเบื้องล่าง
เห็นเพียงภายในโพรงที่ดำมืด มีกลิ่นเผาไหม้เตะจมูกโชยออกมา และความลึกของถ้ำนี้ลึกจนไม่อาจมองเห็นถึงจุดสิ้นสุดได้
“เข้าใจเคล็ดวิชาเรียกอัสนีอย่างที่คาดไว้จริงๆ ความน่ากลัวของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายก็สมคำร่ำลือจริงๆ! ต่อให้พวกเราไม่ทันได้ป้องกัน ก็ไม่กล้ารับการโจมตีนี้โดยตรง” หญิงงามผมขาวเผยความประหลาดใจในดวงตา พลางพูดพึมพำคนเดียว
ชายชุดโลหิตมองดูโพรงถ้ำด้วยแววตาเปล่งประกายไม่หยุด คล้ายกับมีสิ่งอื่นให้ครุ่นคิด
ลิ่วจู๋กับมู่ชิงกลับไม่ได้เดินเข้ามาดูอย่างละเอียด
ในสองคนนี้ คนหนึ่งแค่มองครั้งเดียวก็อาจจะมองทะลุถึงอานุภาพของเคล็ดวิชาเรียกอัสนีของหานลี่แล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งเคยเห็นหานลี่สำแดงมาหลายครั้งแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องเข้าไปฮือฮาอะไรด้วย
“สหายทั้งหลายคงจะพอใจกับเคล็ดวิชาควบคุมอัสนีของสหายหานสินะ!” มู่ชิงพลันยิ้มจางๆ ขึ้นมา
ตอนที่ 1472 แม่น้ำอเวจี
“แม้จะยังไม่ค่อยคล่อง แต่อานุภาพไม่เป็นที่สงสัยแล้ว สามารถทำลายอาคมต้องห้ามของแม่น้ำอเวจีได้ แต่จากการสำแดงเมื่อครู่นี้ ข้ากลับมองออกถึงสาเหตุบางประการที่สหายหานไม่ถูกเทวะอัสนีย้อนกลืนกินแล้ว ตอนแรกที่สหายหานเรียกหลอมไผ่อัสนีทอง พลังยุทธ์ในร่างก็เหนือกว่าผู้ที่อยู่ระดับเดียวกันหลายเท่าเช่นเดียวกับตอนนี้หรือไม่?” ลิ่วจู๋พยักหน้าเสร็จก็ถามโพล่งขึ้นมา
“ไม่ผิด หลายปีก่อนชนรุ่นหลังเคยฝึกฝันเคล็ดวิชาประหลาดชนิดหนึ่งจริงๆ แม้ว่าความเร็วในการฝึกฝนจะช้ากว่าคนทั่วไปบ้าง แต่พลังยุทธ์นั้นล้ำลึกกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันจริงๆ ที่ชนรุ่นหลังไม่ถูกเทวะอัสนีย้อนกลืนกินก็เพราะเหตุนี้” หานลี่ที่ร่วงมาถึงพื้นแล้วตอบอย่างฉับพลัน
“แม้ว่าจะไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด แต่ก็น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญ ถึงอย่างไรเดิมทีพลังยุทธ์ก็คือพื้นฐานของอิทธิฤทธิ์ทั้งหมด อิทธิฤทธิ์แบบเดียวกันเมื่อสำแดงออกมาจากผู้ที่มีพลังยุทธ์แตกต่างกัน อานุภาพย่อมแตกต่างกันมาก เมื่อควบคุมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายด้วยพลังยุทธ์ที่เหนือกว่าระดับเดียวกันของสหาย ย่อมสามารถยับยั้งการย้อนกลืนกินของเทวะอัสนีได้ดีมาก อีกทั้งก่อนหน้านี้สหายหานยังไม่รู้วิธีควบคุมอัสนีที่แท้จริงมาโดยตลอด การย้อนกลืนกินก็อาจจะยิ่งเหลือเพียงน้อยนิดแล้ว” ลิ่วจู๋อธิบายด้วยท่าทางสงบนิ่ง
“พูดเช่นนี้ ต่อไปชนรุ่นหลังสำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนี ก็ยังมีโอกาสถูกย้อนกลืนกิน” หานลี่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
“เรื่องนี้ก็ไม่แน่ ที่เจ้าสามารถปลอดภัยได้จนถึงทุกวันนี้ นอกจากสาเหตุที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเจ้าเคยกินสมบัติธรณีสวรรค์อะไรมา หรืออาจจะครอบครองสมบัติวิเศษบางอย่าง เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาล้ำเลิศอะไรบางอย่าง จึงช่วยให้เจ้าระงับการย้อนกลืนกินได้ตลอด อย่างน้อยที่สุด จากการที่เจ้าสำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนีเมื่อครู่นี้ ข้ามองไม่เห็นลักษณะที่ส่อให้เห็นถึงการย้อนกลืนกินใดๆ แต่ตัวเจ้าในตอนนี้ อยู่ในระดับนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้” ลิ่วจู๋พูดน้ำเสียงนิ่งอยู่ตลอด
แม้ว่าหานลี่จะไม่กล้าเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายทั้งหมด แต่สีหน้าย่อมดูแย่ลงเป็นธรรมดา
คำพูดของอีกฝ่ายชัดเจนมาก แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่เป็นอะไร แต่หลังจากที่พัฒนาระดับอีกครั้ง จะสามารถยับยั้งการย้อนกลืนกินของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้ตลอดหรือไม่ ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
หญิงงามผมขาวได้ยินคำพูดของลิ่วจู๋ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย พลันหันมาถามหญิงสาวที่อยู่ภายในแสงสีดำด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้องมู่ชิง เจ้าให้พวกเรามารวมตัวกันที่นี่ ไม่ใช่แค่จะให้สหายหานสำแดงเคล็ดวิชาเรียกอัสนีอย่างเดียว ยังมีอะไรจะพูดอีกสินะ!”
มู่ชิงได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย พลันยิ้มอ่อน “ไม่ผิด ที่จริงแล้วน้องสาวมีคำพูดบางอย่างอยากจะพูดกับสหายทั้งหลาย ในเมื่อแม้แต่พี่ลิ่วจู๋ก็ยังคิดว่าสหายหานสามารถสำแดงอานุภาพของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้เพียงพอแล้ว ข้าเห็นว่าสองปีต่อจากนี้ สหายหานไม่จำเป็นต้องไปที่ของพี่สาวหลานแล้ว ไม่กี่ปีที่เหลือนี้ก็ให้เขาทำความคุ้นเคยกับหลักแห่งการควบคุมอัสนีอยู่ในถ้ำแก่นพฤกษา สหายทั้งหลายคิดว่าอย่างไร!” มู่ชิงไม่คิดจะปิดบังเจตนาของตนแม้แต่น้อย จึงพูดออกมาอย่างสบายๆ
“แม้ว่าสหายหานจะเข้าใจเคล็ดวิชาเรียกอัสนีแล้ว แต่หลักแห่งการควบคุมอัสนีของเจ้ากับข้าในจุดเล็กๆ ก็ยังแตกต่างกันอยู่ ให้สหายหานมาเรียนกับข้าสองปี มีสิ่งใดที่ไม่ควร อีกทั้งเรื่องที่คุยก่อนหน้านี้ก็ตกลงกันไว้แล้ว! น้องมู่คิดจะกลับคำ แม่เฒ่าก็ต้องยอมรับ” หญิงงามผมขาวสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมา พลันกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว
“เหอะๆ พี่สาวหลานพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก พวกข้าเพียงแค่ต้องการยืมอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของสหายหานทำลายอาคมต้องห้ามที่แม่น้ำอเวจีเท่านั้น เหตใดต้องทำเรื่องเกินจำเป็นด้วยเล่า สำหรับข้อตกลงก่อนหน้านี้ ในเมื่อเรื่องที่ตกลงมีการเปลี่ยนแปลง มีการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวบ้างจะเป็นไรไป” มู่ชิงกลับพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“พี่ลิ่วจู๋ สหายตี้เซวี่ย พวกเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร? ต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของน้องมู่ชิงด้วยรึ?” หญิงงามผมขาวไม่สนใจมู่ชิงอีกต่อไป หันกลับมาถามสองคนที่เหลือแทน
“เหอะๆ ผู้เฒ่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับหลักแห่งการควบคุมอัสนีแม้แต่น้อย สำหรับเรื่องนี้จะอย่างไรก็ได้ สหายทั้งสองตัดสินกันเองก็แล้วกัน” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งหัวเราะหึๆ แล้วบอกปัดอย่างไม่หนักหนาอะไร ท่าทางไม่คิดจะเข้าไปร่วมการโต้แย้งของมู่ชิงกับหญิงงาม
เมื่อเห็นชายชุดโลหิตแสดงท่าทีเช่นนี้ หญิงงามผมขาวก็รู้สึกตกตะลึง พลันเกิดความงุนงงสงสัยขึ้นแวบหนึ่ง แต่ฉับพลันก็กลอกตามาทางร่างของลิ่วจู๋ผู้ลึกลับ
ลิ่วจู๋ที่สวมผ้าคลุมดำกำลังก้มหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ที่สหายทั้งสองพูดมาล้วนมีเหตุผล ในด้านหนึ่งสหายหานเข้าใจและพลิกแพลงอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายได้แล้ว จะอยู่รับการถ่ายทอดจากสหายหลานเป็นเวลาสองปีก็ไม่มีความจำเป็นแล้วจริงๆ อีกด้านหนึ่ง เรื่องการเปลี่ยนแปลงข้อตกลง ก็ไม่ดีสำหรับสหายหลาน เอาเช่นนี้เถอะ ข้าเห็นว่าระยะเวลาสองปีก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว สหายหลานแค่ชี้แนะสหายหานหนึ่งปีก็พอแล้ว เวลาที่เหลือแค่ให้เขาอาศัยอยู่คนเดียวสักแห่งก็พอแล้ว” ลิ่วจู๋เงยหน้าขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวออกมาเช่นนี้
ได้ยินคำนี้ หญิงงามผมขาวก็ขมวดคิ้วคราหนึ่ง ส่วนมู่ชิงก็มีท่าทีเงียบขรึม
“ข้ารู้ว่าเจ้าสองคนต่างก็ไม่อยากตกลงเงื่อนไขนี้ แต่อย่าลืมล่ะ การใหญ่ใกล้มาถึงแล้ว แม้แต่การที่พวกเราจะสามารถเข้าไปในแม่น้ำอเวจีได้หรือไม่นั่นก็เป็นเรื่องที่ยังสรุปไม่ได้ หากพวกเจ้าทำให้เสียการใหญ่เพราะไม่พอใจกัน ต่อให้ในใจจะมีแผนดีแค่ไหน ก็มีแต่พาให้คว้าน้ำเหลวเท่านั้น หรือว่าพวกเจ้าคิดจะละทิ้งโอกาสที่หมื่นปีมีครั้งเดียวนี้จริงๆ?” ลิ่วจู๋ไม่รอให้หญิงทั้งสองพูดอะไร ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
ฟังคำนี้จบ หญิงสองคนก็หน้าเปลี่ยนสี อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากันทีหนึ่ง
หญิงงามแววตาเปล่งประกายระยิบระยับ ทันใดนั้นก็ขยับริมฝีปากเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดเสียงกับมู่ชิง
และเมื่อคำพูดที่ถ่ายทอดเสียงเข้าไปในหูของมู่ชิง หญิงผู้นี้ก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่อย่างฉับพลัน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จึงค่อยเอ่ยปากขึ้นอย่างลังเล “หากที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง ของสิ่งนั้นจะตัดใจมอบให้ข้าได้อย่างไร”
“น้องสาวมู่น่าจะเข้าใจดี เข้ามีกายเป็นภูติ ต่อให้ของสิ่งนั้นวิเศษวิโสเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับข้าแล้วกลับไม่มีประโยชน์เลย” หญิงงามผมขาวตอบกลับด้วยท่าทีไม่ไหวติง
“ตามคำพูดของพี่สาวหลาน ข้าตกลงรับเงื่อนไขนี้” ดูเหมือนสิ่งที่หญิงงามผมขาวพูดมานั้นจะสำคัญกับมู่ชิง เพียงแค่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็ยอมรับปากแล้ว
“ดี ข้าคิดว่าคราวนี้น้องมู่จะไม่ผิดคำพูดอีก” หญิงงามผมขาวแย้มยิ้ม พลันเกิดพายุทมิฬลอยขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งจากไปแล้ว
เมื่อเห็นฉากนี้กับตา ชายชุดโลหิตสองคนก็มีสายตาตกตะลึง ส่วนลิ่วจู๋กลับไม่มีท่าทางเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ราวกับไม่เห็นการจากไปของหญิงงาม
“สหายทั้งสอง น้องสาวเจรจากับพี่สาวหลานเรียบร้อยแล้ว สหายหานไม่จำเป็นต้องไปที่ของนางแล้ว เวลาที่เหลือก็ให้สหายหานอยู่ลำพังสักแห่ง ให้เขาทำความคุ้นเคยกับหลักแห่งการควบคุมอัสนีด้วยตัวเองเถอะ สหายทั้งสองคิดว่าอย่างไร?” มู่ชิงถามด้วยรอยยิ้ม
“หึๆ ผู้เฒ่าก็ยังถือตามประโยคนั้น ทั้งหมดให้สหายทั้งสองจัดการกันเอง ผู้เฒ่าจะไม่แทรกมือเข้ามายุ่ง” สีหน้าภายในดวงตาของชายชุดโลหิตกลับมาเป็นปกติ พลันหัวเราะประหลาดคราหนึ่ง
“ตราบใดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใหญ่ ข้าก็ไม่มีความเห็นใดๆ” ลิ่วจู๋ก็ด้วยท่าทางเยือกเย็น
มู่ชิงได้ยินดังนี้ย่อมดีอกดีใจยกใหญ่
หานลี่ที่ยืนอยู่ที่เดิมกลับแอบถอนหายใจคราหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่รู้เรื่องนั้น มู่ชิงกับหญิงงามผมขาวผู้นั้นได้บรรลุข้อตกลงอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา นี่จึงทำให้เขารู้สึกกลุ้มใจและไม่สบายใจขึ้นมา
ไม่นานนัก ลิ่วจู๋กับชายชุดโลหิตสองคนก็พากันออกจากที่แห่งนี้
ด้วยเสียงเรียกของมู่ชิง หานลี่จึงตามนางเข้าไปในวิหารใหญ่อีกครั้ง
“สหายหาน เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ฟังคำพูดของพวกเราแล้ว ในใจน่าจะคิดหาทางบ้างแล้วสินะ ทว่าตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ควรจะอธิบายเรื่องบางอย่างกับเจ้าแล้ว จะได้ขจัดความสงสัยภายในใจของสหายไปด้วย ข้าสามารถตอบคำถามที่เจ้าอยากรู้ได้สามข้อ จำไว้ให้ดี ตอบแค่สามข้อเท่านั้น หลังจากนี้ไม่ว่าจะคำถามอะไร ข้าก็จะไม่อธิบายแม้แต่คำเดียว แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หลังจากที่น้องหานเข้าไปในแม่น้ำอเวจีแล้ว จำเป็นต้องให้เจ้าช่วยทำเรื่องหนึ่ง” เมื่อกลับมานั่งบนดอกไม้ยักษ์สีทองอีกครั้ง มู่ชิงก็พูดกับหานลี่ด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ทำเรื่องหนึ่ง?” หานลี่รู้สึกใจหายวาบ พลันถามด้วยความระมัดระวัง
“ไม่ผิด ภายในสองปีนี้ที่ข้าถ่ายทอดหลักแห่งการควบคุมอัสนีให้เจ้า และชี้แนะการฝึกฝนบางอย่างให้กับเจ้ามากมายเช่นนี้ รวมถึงการตอบคำถามสามข้อนี้ ให้เจ้าทำเรื่องหนึ่งเพื่อข้าคงไม่นับว่าเกินไปหรอกกระมัง” มู่ชิงใช้ดวงตาอันงดงามจ้องมองหานลี่ พลางพูดอย่างช้าๆ
“ย่อมไม่เกินไปอยู่แล้ว ทว่าชนรุ่นหลัง…” หานลี่ยิ้มฝืนๆ คราหนึ่ง ยังคิดที่จะพูดอะไรอีก แต่มู่ชิงก็โบกมือแล้วพูดแทรกขึ้นมา “วางใจ ไม่ให้เจ้าทำเรื่องที่เกินความสามารถตัวเองหรอก พูดถึงสาเหตุ ที่จริงแล้วแค่คิดจะยืมพลังของอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเจ้าเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเจ้าคงเข้าใจว่าตัวตนระดับพวกเราให้ความสนใจเจ้าเป็นพิเศษจริงๆ แล้วกระมัง”
มู่ชิงดูมีท่าทีเด็ดขาดขึ้นมา
หานลี่ได้ยินแล้วกลับรู้สึกโล่งอก หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่ออาวุโสกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังก็ไม่มีอะไรจะปฏิเสธ ในแม่น้ำอเวจี ตราบใดที่ไม่เกินความสามารถ และไม่อันตรายถึงชีวิต ชนรุ่นหลังก็สามารถรับปากทำเรื่องหนึ่งให้อาวุโสได้”
“หึๆ เจ้าพูดได้รัดกุมมาก! แต่เรื่องนี้ก็ไม่สำคัญ เจ้าถามมาเถอะ!” มู่ชิงหัวเราะอย่างมีเลศนัย พลันเอามือกอดอกแล้วกล่าว
“ชนรุ่นหลังอยากทราบว่า ตกลงแล้วแม่น้ำอเวจีคือสถานที่ประเภทใดกันแน่ และที่นั่นมีอันตรายชนิดใดอยู่” หานลี่เงยหน้าสบตามู่ชิงคราหนึ่ง พลันถอนหายใจแล้วถามออกมาสองคำถาม
“แม่น้ำอเวจีคือช่องว่ามิติอิสระแห่งหนึ่งที่พวกเราสี่คนพบโดยบังเอิญที่ชั้นล่างสุดของเหวพสุธาเมื่อหลายร้อยปีก่อน ในนั้นเต็มไปด้วยภูและวิญญาณดุร้ายที่ตลบอบอวลไปด้วยปราณทมิฬ สำหรับความอันตรายในนั้นย่อมไม่อาจคำนวณได้ อย่าว่าแต่ในนั้นมีราชาภูตหรือปีศาจวิญญาณที่พลังไม่น้อยกว่าพวกข้าเลย มีบางที่ก็ยิ่งอันตรายมาก แม้แต่พวกข้าก็ยังเลี่ยงไม่ทัน พูดแบบนี้ก็แล้วกัน ปีนั้นพวกเราราชาปีศาจในเหวพสุธาไม่ได้มีสี่คนแต่มีห้าคน ตอนที่พวกเราค้นพบช่องว่างมิติแห่งนี้ครั้งแรก หนึ่งในพวกเราได้ร่วงตายในนั้น แม้ว่าครั้งนั้นพวกเราไม่ค่อยรู้จักช่องว่างมิตินั้นเท่าไหร่ ยังไม่ได้เตรียมการให้รอบด้าน แต่ความอันตรายในนั้นแค่คิดก็พอรู้” มู่ชิงไม่รู้สึกประหลาดใจกับคำถามของหานลี่แม้แต่น้อย เพียงแค่อธิบายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเท่านั้น
หานลี่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักใจ แต่ปากก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย “แม่น้ำอเวจีแห่งนี้อาวุโสทั้งหลายน่าจะตั้งชื่อกันเองสินะ! ในเมื่อเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าเช่นนี้ ย่อมต้องมีสาเหตุบางอย่างกระมัง!”
“คิกๆ คำถามนี้ข้องสหายน้อยหาน ควรจะนับเป็นคำถามข้อที่สามหรือไม่?” มู่ชิงส่งเสียงหัวเราะน่าฟังออกจากปาก
“ย่อมไม่นับอยู่แล้ว คำถามข้อที่สามของชนรุ่นหลังคือ…” หานลี่รีบพูดปฏิเสธ คิดจะเอ่ยถามคำถามข้อที่สาม แต่มู่ชิงกลับหยุดเสียงหัวเราะลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ช่างเถอะ คำถามนี้ของเจ้าไม่ถือว่าเป็นคำถามอะไร ข้าจะอธิบายให้เจ้าโดยไม่คิดเงื่อนไขก็แล้วกัน ภายในช่องว่างมิตินั้นถูกวารีทมิฬประหลาดหนาประมาณหมื่นจั้งปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น คนธรรมดาเข้าไปในนั้น ก็จะวิญญาณสลายและถูกกวาดออกในทันที และร่างที่กลายเป็นศพทมิฬก็จะล่องลอยอยู่ในวารีทมิฬนี้ไปตลอดกาล ดังนั้นพวกเราจึงได้เรียกช่องว่างมิตินี้ว่าเช่นนี้”
ตอนที่ 1473 ไม้ทมิฬและวานรทอง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” หานลี่บ่นพึมพำ รู้สึกประทับใจกับเหวพสุธา
“เอาล่ะ ข้าจะตอบคำถามข้อสุดท้ายให้ เจ้าลองคิดให้ละเอียดเถิด” มู่ชิงเอ่ยอย่างเย็นชา
“ข้าอยากรู้ว่าหลังจากเข้าไปในเหวพสุธาแล้ว อาวุโสอยากให้ชนรุ่นหลังทำอะไร!” หานลี่ขบคิดเล็กน้อย แล้วพลันเอ่ยถาม
แม้ว่าเขาจะอยากถามถึงแผนการที่เหล่าราชันย์ปีศาจจะเข้าไปในแม่น้ำอเวจี แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็กังวลเรื่องของตัวเองมากกว่า
ไม่ถามเรื่องนี้ให้เข้าใจ เขาก็ไม่อาจวางใจได้
“เจ้าอยากถามเรื่องนี้จริงๆ หรือ?” มู่ชิงรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ท่านอาวุโสได้โปรดแถลงไขด้วย!” หานลี่ตอบด้วยความมั่นใจอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ในเมื่อเจ้าไม่เสียดายโอกาสในการถามคำถามสุดท้าย ก็ไม่ใช่ว่าจะบอกไม่ได้ ง่ายมาก ข้าอยากให้เจ้าพาข้าไปเอาของที่มีประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างมากชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่ของสิ่งนี้มีมารชั่วร้ายปกปักษ์รักษาอยู่ หากข้าไปคนเดียวมันจะยุ่งยากมาก และมีเพียงอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเจ้าที่ควบคุมมันได้” สตรีเอ่ยอย่างราบเรียบ
“มาร! แม่น้ำอเวจีไม่ใช่แหล่งที่ภูตจะมารวมกันหรือ?” หานลี่ขมวดคิ้วรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
“ที่นั่นมีภูตและวิญญาณชั่วร้ายอยู่จำนวนมากจริง แต่ก็ยังมีมารปะปนอยู่ด้วย สาเหตุนั้นไม่ต้องถามข้าหรอก ข้าเองก็ไม่รู้” มู่ชิงใช้น้ำเสียงที่เข้มงวดเอ่ยขึ้น
ชั่วขณะนั้นหานลี่พลันรู้สึกหมดคำพูด!
“ทว่า เจ้าวางใจ มีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายคอยช่วย และมีข้าที่จะลงมือเอง ย่อมจัดการมารตัวนั้นได้อย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้ขอแค่เอาของสิ่งนั้นกลับมาได้ ข้าจะมอบสมบัติให้เจ้าชิ้นหนึ่งเช่นกัน ในฐานะบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน เจ้าจะต้องสนใจของสิ่งนั้นมากแน่” แววตาของมู่ชิงฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา
“ของ?” หานลี่เผยสีหน้าฉงน
“ตอนนั้นที่คลื่นปีศาจเหวพสุธาระเบิดขึ้น ข้าเคยสังหารอาวุโสของเผ่าวิญญาณเหาะเหินไปคนหนึ่ง จึงได้โลหิตศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้ของเผ่าวิญญาณเหาะเหินมาขวดหนึ่ง จากที่ข้ารู้มาแม้ว่าจะไม่ใช่โลหิตศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้ของสาขาพวกเจ้า แต่ก็ยังเป็นสมบัติที่ประเมินค่ามิได้สำหรับเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเจ้า” มู่ชิงเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง
“เป็นโลหิตศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้ชนิดใด!” หานลี่พลันตะลึงงันไปจริงๆ
“โลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ของนกยูงห้าสี ของสิ่งนี้ เจ้าคิดเห็นอย่างไร แม้ว่าเจ้าจะไม่อาจใช้ได้ แต่หากเอากลับไปที่เผ่า จะมีประโยชน์แค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว” คำพูดของมู่ชิงเต็มไปด้วยเจตนายั่วยวน
มิน่าล่ะ!
ไม่ต้องพูดถึงว่าแต่ไหนแต่ไรมาเผ่าวิญญาณเหาะเหินให้ความสำคัญกับโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างไร แม้แต่เผ่าประหลาดเผ่าอื่นๆ ได้ของสิ่งนี้ไปก็ยังมองว่ามันคือสมบัติ
ถึงอย่างไรเสียโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้นั้นไม่ว่าใช้ปรุงยาหรือหลอมยุทธภัณฑ์ก็ล้วนมีผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อ!
นกยูงห้าสีนั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเหล่าจิตวิญญาณเที่ยงแท้ เป็นวิหคที่น่ากลัวจัดอยู่ในอันดับแรกๆ ของจิตวิญญาณเที่ยงแท้
หานลี่พลันรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
เขาฝึกฝนตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้ง และได้เรียนรู้ไปสามชนิดแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีเคล็ดวิชาลับแปลงกายของนกยูงห้าสีด้วย
ขอแค่ดูดซับโลหิตวิญญาณนี้เข้าไปในร่าง เขาก็จะสามารถฝึกฝนคาถานี้ได้ทันที และสามารถแปลงกายเป็นนกยูงห้าสีได้
ตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้ง ยิ่งเรียนมากเท่าไหร่ อานุภาพก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น
ตามที่ในคาถากล่าวเอาไว้ ทุกครั้งที่เรียนรู้การแปลงกายได้หนึ่งชนิด ก็จะทำให้อานุภาพของการแปลงกายที่เรียนรู้ไปก่อนหน้าเพิ่มขึ้นสามส่วน
ตามทฤษฎีแล้วหากสามารถรวมการแปลงกายทั้งหมดที่เรียนรู้เข้าด้วยกัน ก็จะทำให้อานุภาพเพิ่มขึ้นมากกว่าสี่เท่า
แน่นอนว่าเดิมทีอานุภาพของการแปลงกายก็จะเพิ่มขึ้นตามพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว
คาถาตื่นจากจำศีลเพิ่มขึ้นหลายเท่า ก็จะเพิ่มขึ้นโดยพื้นฐานอยู่แล้ว
เช่นนั้นเมื่อประกอบกับการเรียนรู้การแปลงกายหลายๆ ชนิด
ความน่ากลัวของคาถาตื่นจากจำศีล แค่คิดก็รู้แล้ว
และ ‘ลำแสงเทวะห้าสี’ ที่นกยูงห้าสีมี ก็ยิ่งเลื่องลือในแดนวิญญาณ
ว่ากันว่าทุกแห่งที่ลำแสงห้าสีนี้กวาดผ่านไป ของเบญจธาตุจะถูกกักเอาไว้ ลำแสงเทวะดูดปราณของหานลี่ก็จัดอยู่ในประเภทนี้เช่นกัน
แน่นอนว่าอานุภาพที่แท้จริงของทั้งสอง นั้นแตกต่างกันแน่นอนอยู่แล้ว
หานลี่มีสีหน้าเป็นปกติ แต่แววตาตกตะลึงระคนดีใจเล็กๆ ยังคงไม่อาจปิดบังมู่ชิงได้
นางหัวเราะน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ดูแล้วสหายหานคงจะพึงพอใจโลหิตเที่ยงแท้ของนกยูงห้าสีเป็นอย่างมาก เช่นนั้นล่ะก็ ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ข้าจะเอาโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ครึ่งหนึ่งให้เจ้าก่อน หลังจากภารกิจสำเร็จ ค่อยให้อีกครึ่งหนึ่ง”
มู่ชิงเอ่ยจบ มือหนึ่งพลันตบไปที่ดอกบัวสีทองใต้ร่าง ชั่วขณะนั้นพลันพ่นขวดเล็กๆ สีแดงสดออกมาขวดหนึ่ง
สตรีผู้นี้ใช้มือคว้าออกไป ขวดเล็กๆ บินไปหาหานลี่
แววตาของหานลี่ฉายแววประหลาดใจ คว้าขวดเล็กๆ เอาไว้ในมือ ทันใดนั้นก็เปิดฝาขวดออกทันที
ชั่วขณะนั้นพลันมีเสียงเพรียกอันไพเราะดังออกมาจากขวดสีแดงสด ลำแสงห้าสีทะลักออกมา มีอะไรสักอย่างบินออกมาจากด้านใน
เสียง “แกร๊ก” ดังขึ้น หานลี่พลันปิดฝาขวดลงอีกครั้งด้วยความรวดเร็วอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ชั่วพริบตานั้นเขาได้ใช้จิตสัมผัสกวาดเข้าไปในขวด
แม้นว่าจะไม่เคยเห็นโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ชนิดนี้มาก่อน แต่จากกลิ่นอายอันน่าอัศจรรย์ที่แผ่ออกมาจากด้านใน ก็น่าจะเป็นของจริงถึงจะถูก
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบโลหิตวิญญาณให้!” หานลี่ไม่เกรงใจอีกต่อไป เก็บขวดโลหิตเ้ขาไป ค้อมตัวลงแล้วเอ่ยขอบคุณ
“หึๆ ถึงครานั้นอย่าลืมช่วยข้าอีกแรงก็แล้วกัน ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว ขอแค่ไม่ใช่ชั้นสามลงไป ทุกแห่งในเหวพสุธาเจ้าย่อมเลือกที่ฝึกฝนได้ตามใจ สามปีให้หลังเมื่อข้าเตรียมการเสร็จ จะเรียกเจ้ามาอีกครั้ง” มู๋ชิงพยักหน้าจากนั้นออกคำสั่งส่งแขก
หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรตามมารยาทอีก รอบกายเปล่งแสงสีเขียวเจิดจ้า กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไป
กระพริบวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีหายวับไปจากประตูวิหารอย่างไร้ร่องรอย
มู่ชิงมองลำแสงหลีกหนีของหานลี่ที่หายวับไป รอยยิ้มในแววตาหายวับไปอย่างไม่เห็นเงา
ครู่ต่อมาสตรีผู้นี้ก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม
ชั่วขณะนั้นดอกไม้สีทองใต้ร่างพลันมีลำแสงสีดำเปล่งแสงมะเมื่อม เขตอาคมลำแสงสีดำปรากฎขึ้น
เงาร่างคนกระพริบวาบ มู่ชิงหายวับไปจากบนดอกไม้สีทอง เขตอาคมสีดำเองก็หายวับไปเช่นกัน
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นในถ้ำแก่นพฤกษาที่มู่ชิงใช้ฝึกฝน ตรงประตูหน้าสวนเพลงมรกตที่ถูกเขตอาคมเป็นชั้นๆ ผนึกเอาไว้ เขตอาคมลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบเช่นกัน มู่ชิงปรากฎตัวขึ้น
เมื่อสตรีผู้นี้ปรากฎตัวก็เงยหน้าขึ้นมองประตูอันมหึมาเบื้องหน้าแวบหนึ่ง ร่างกายพลิ้วไหว ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น
เขตอาคมเป็นชั้นๆ บนประตูราวกับผิวน้ำถูกสัมผัสอย่างไรอย่างนั้น กระเพื่อมจนเกิดเป็นระลอกคลื่นกลางอากาศ แต่มู่ชิงกลับมีลำแสงสีดำไหลโคจรอยู่ ชั่วพริบตาก็ละลายหายเข้าไปในประตูอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาอีกด้านของประตูใหญ่ เงาร่างของมู่ชิงพลันเปล่งแสงสว่างวาบปรากฎขึ้น
และเบื้องหน้าของสตรีผู้นี้ กลับมาปรากฎท่ามกลางสวนดอกไม้ยักษ์หลากสีสัน
ดอกไม้ยักษ์เหล่านี้ล้วนมีขนาดที่น่าตกตะลึง ใหญ่หน่อยมีขนาดสองสามจั้ง เล็กหน่อยมีขนาดสองสามฉื่อ บ้างก็ผลิกลีบเบ่งบาน บ้างก็หุบแน่นเป็นดอกตูมๆ
แต่ทุกดอกล้วนแผ่ไอวิญญาณอันน่าประหลาดใจออกมา
ตรงกลางของดอกไม้ยักษ์เหล่านี้มีทางเดินเล็กๆ ที่คดเคี้ยวไปมาอยู่
มู่ชิงเดินเข้าไปในทางเดินท่ามกลางหมู่มวลบุปผาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เดินไปได้เป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หลังจากผ่านดอกไม้ยักษ์มาไม่รู้กี่ดอก ก็มองไม่เห็นมวลบุปผาอีก เบื้องหน้ากลับเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวเหลืองปรากฎขึ้น
ตรงใจกลางของทุ่งหญ้าต้นไม้ยักษ์สีดำสนิทต้นหนึ่งตั้งตระงห่านอยู่
ต้นไม้ต้นนี้มีความสูงห้าสิบหกสิบจั้ง ขนาดใหญ่ยักษ์ แต่ภายนอกดูน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก
ตรงกลางของต้นไม้ทั้งต้นราวกับมีเขตแดนไร้รูปร่างอยู่ ครึ่งหนึ่งมีใบหนาแน่น เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ อีกครึ่งหนึ่งแห้งโกร๋น ไม่มีใบไม้สักใบ ราวกับเป็นต้นไม้ที่ยืนต้นตายก็มิปาน
มองต้นไม้ยักษ์สีดำเบื้องหน้า แววตาของมู่ชิงเปล่งประกาย หยุดฝีเท้าห่างจากต้นไม้ไปสิบจั้งเศษ
แทบจะในเวลาเดียวกันเบื้องหน้าต้นไม้ยักษ์ฝั่งที่มีใบหนาแน่นก็มีลำแสงสว่างวาบ จากนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมา ตรงเข้ามามู่ชิง
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฎขึ้น
ลำแสงสีดำบนร่างของมู่ชิงถูกหมอกสีดำห่อเอาไว้ ก็คลายออกทันที เผยเงาร่างเย้ายวนอรชนอ้อนแอ้นออกมา
หน้าตาที่แท้จริงเผยออกมา
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีผู้งดงามผิวสีดำคล้ำ
บางทีสตรีผู้นี้ก็ไม่นับว่างดงามที่สุดในแผ่นดิน แต่จิตสังหารตรงหว่างคิ้วที่แทบจะก่อตัวขึ้นอย่างหนาแน่นนั้น กลับทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้
“ตาเฒ่าจินอยู่หรือไม่!” สตรีจ้องเขม็งไปยังต้นไม้ยักษ์สีดำแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความเย็นชา
ลำแสงสีทองสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เงาสีทองกลุ่มหนึ่งปรากฎขึ้นเบื้องหน้ามู่ชิง และประสานมือคารวะสตรีผู้นั้น
“คารวะนายท่าน วิญญาณจินอยู่ที่นี่มาโดยตลอด!”
คาดไม่ถึงว่าเงาร่างสีทองจะเป็นวานรสูงสามฉื่อที่มีลำแสงสีทองเปล่งแสงทั่วเรือนกาย แผ่นหลังมีสามง่ามและกระบี่สั้นไขว่กันอยู่ หนวดสีขาวยาวครึ่งฉื่อ ดวงตาทั้งสองเป็นสีดำเป็นมันวาว สีหน้าเคารพนับถือ
“ตาเฒ่าจินลุกขึ้นเถิด! ช่วงนี้ไม่มีผู้ใดลักลอบเข้ามาที่นี่สินะ” คาดไม่ถึงว่ามู่ชิงจะปฏิบัติต่อวานรสีทองตัวนี้อย่างเกรงใจเป็นพิเศษ ยกมือขึ้นให้วานรลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“ไม่มี สองปีมานี้ตาเฒ่าจินไม่เคยอยู่ห่างร่างของนายท่านแม้แต่ก้าวเดียว ไม่พบความผิดปกติใดๆ” วานรตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ดีมาก ที่ผ่านมาต้องขอบคุณตาเฒ่าจินจริงๆ เจ้าก็รู้ แม้ว่าอิทธิฤทธิ์ของข้าจะไม่ต่างกับคนอื่นๆ นัก แต่ร่างมายาที่สร้างขึ้นจากพฤกษาวิญญาณนั้นมีจุดอ่อนที่ถึงชีวิต จึงต้องรบกวนตาเฒ่าจินช่วยปกป้อง” มู่ชิงถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย
“เหตุใดนายท่านต้องกล่าวเช่นนี้ด้วย ตอนนั้นข้าเป็นแค่วานรป่าธรรมดาที่มักจะมาเล่นใกล้ๆ กับร่างของนายท่านเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะนายท่านคอยสนับสนุน จะมีวิญญาณจินวันนี้ได้อย่างไร! และยิ่งไปกว่านั้นครั้งที่แล้ว วิญญาณจินไม่ได้ตรวจสอบจนตกหลุมพรางของผู้อื่น จนเกือบจะทำให้ร่างของนายท่านถูกคนชิงไป หากไม่ใช่เพราะนายท่านสังหรณ์ใจไม่ดี ยอมเสียปราณแท้ครึ่งหนึ่ง ระเบิดตนเองทำร้ายอีกฝ่าย เกรงว่าวิญญาณจินคงทำผิดที่ไม่อาจกอบกู้ได้แล้ว แต่เช่นนี้ร่างพฤกษาวิญญาณของนายท่านจะกลับมาเป็นดังเดิมได้ เกรงว่าก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี” วานรกลับเอ่ยด้วยสีหน้าละอายใจ
“เรื่องครั้งที่แล้วก็ไม่อาจโทษเจ้าได้ เป็นเพราะข้าประมาทคิดว่ามีพวกลิ่วจู๋อยู่ด้วย จะไม่มีผู้ใดทำอะไรร่างหลักของข้าได้ ถึงได้ให้คนทะลวงเข้ามาในมิติเวลา ทว่าในเมื่อคนผู้นั้นแอบเข้ามาในที่ที่ข้าซ่อนร่างหลักเอาไว้ได้ และยังล่อเจ้าออกไปได้ ก็มีเพียงคนที่คุ้นเคยกับถ้ำแก่นพฤกษาเท่านั้น คนผู้นี้คือผู้ใด ข้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่แค่คนผู้นี้ก็ถูกผู้อื่นบงการอยู่ ข้าจึงไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น พลาดเรื่องใหญ่อย่างแม่น้ำอเวจีไป ถึงได้แสร้งทำเป็นไม่รู้เช่นนี้ รอจนข้ากลับมาจากแม่น้ำอเวจี และได้ทุกอย่างกลับมาแล้ว ข้าจะตัดเอ็นถลกหนังมันเป็นการแก้แค้นให้กับร่างหลักของข้า” มู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึม แววตาฉายจิตสังหารออกมาขณะเอ่ย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น