พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1471-1472
บทที่ 1471 จะสู้หรือไม่สู้!
Ink Stone_Fantasy
ไม่ต้องบอกเลย ทั้งสองไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน สามารถบ่งชี้ได้ตรงๆ ว่ามาหาเหมียวอี้ ก็แสดงว่าจำลักษณะพิเศษของเหมียวอี้ได้แล้ว ชายที่ขี่เฮยทั่นที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ จะไม่ให้จำได้ก็คงยาก
“มาหาข้า?” เหมียวอี้ใช้หัวทวนจิ้มที่หน้าอกเขา พลางถามเสียงเรียบว่า “แล้วเจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าข้ามาทางนี้แล้ว?”
คนคนนั้นรีบบอกว่า “ไม่ใช่ผู้น้อยที่รู้ก่อน แต่เป็นประมุขค่ายที่ส่งคนสิบคนไปค้นหาทั้งสิบทิศทาง บังเอิญว่าข้าเห็นท่านตั้งแต่ไกลๆ เลยมายืนยันให้แน่ใจ ถึงได้มาล่วงเกินท่านแล้ว ข้าน้อยไร้มารยาทล่วงเกิน ท่านได้โปรดอภัย!”
ให้อภัยหรือไม่ให้อภัยก็อีกเรื่องหนึ่ง มีเพียงคนสิบคนออกมาตามหาตน สงสัยหวังกงจะส่งกำลังพลมาน้อยเพราะไม่อยากให้ข่าวแพร่ไปในวงกว้าง เหมียวอี้ถามอีกว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าใช้ระฆังดาราบอกหวังกงแล้วเหรอ?”
คนคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทันที อึกอักไม่กล้าตอบ
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ไม่ต้องถามอีกแล้ว อีกฝ่ายแจ้งให้หวังกงรู้แล้วแน่นอน หวังกงก็ทำลังจะมาทางนี้แน่ๆ
พอนึกขึ้นได้ว่าหวังกงใกล้จะมาถึงแล้ว ความเร็วในการวิ่งตะบึงของเฮยทั่นนั้นสู้ความเร็วในการเหาะของอีกฝ่ายไม่ได้แน่นอน ถามอะไรอย่างอื่นไม่ทันแล้ว เหมียวอี้ถามถึงจุดหมายปลายทางเสียเลย “รู้หรือเปล่าว่าถ้ำมังกรรังหงส์อยู่ตรงไหน? ถ้ากล้าโกหกแม้แต่คำเดียว รับรองว่าข้าจะทำให้เจ้าตายเดี๋ยวนี้!”
คนคนนั้นเงยหน้าแยกแยะทิศทางโดยรอบ แล้วชี้ไปทางซ้ายและขวา “ถ้ำมังกรรังหงส์ไม่ได้อยู่ที่เดียวกันที่หนึ่งอยู่ทิศตะวันออก ที่หนึ่งอยู่ทิศตะวันตก อยู่ปลายสุดคนละฝั่ง ถ้าใช้ทะเลทรายหินแห่งนี้เป็นเขตแดน ไปทางซ้ายก็น่าจะเป็นทิศของถ้ำมังกร ไปทางขวาก็น่าจะเป็นทิศของรังหงส์”
เหมียวอี้มองไปทางซ้ายและขวาที่เขาชี้ ถ้าไปทางถ้ำมังกร ถึงแม้จะค่อนข้างไกลจากที่ตั้งของค่ายพยัคฆ์ดำ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการไปทางอาณาเขตนั้นครึ่งหนึ่ง ดีไม่ดีอาจจะเจอหวังกงก็ได้ ไปทางขวาแล้วเลือกรังหงส์จะเหมาะสมกว่า จึงถามทันทีว่า “ตอนนี้ถ้าไปทางรังหงส์ จะไปเจออาณาเขตของใครหรือเปล่า?”
คนคนนั้นแยกแยะให้อีกครั้ง “น่าจะเป็นอาณาเขตของประมุขค่ายอั้นโยวหลินของค่ายป่าครึ้ม”
“พลังของอั้นโยวหลินนั่นแข็งแกร่งกว่าหวังกงรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม
คนนั้นตอบว่า “ทั้งสองวรยุทธ์สูสีกัน แต่กำลังของทั้งค่ายป่าครึ้มเข้มแข็งกว่าค่ายพยัคฆ์ดำ”
พอแล้ว! ตอนนี้รู้เท่านี้ก็พอแล้ว หลุดพ้นจากหวังกงให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เขาไม่อยากพัวพันกับหวังกง ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด เขารีบลงมือผนึกวรยุทธ์ของคนคนนั้น แล้วรีบปรีดไถเครื่องมือบนตัวอีกฝ่ายจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะหยิบกระจกทองแดงที่ได้มาจากจ้านหรูอี้ขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม กระจกทองแดงกระพริบแสงวับวาบ มันขยายใหญ่ขึ้นแล้ว เหมียวอี้คว้าคนคนนั้นโยนเข้าไปในกระจกทองแดง กักขังเขาไว้ในนั้นแล้ว
วิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นแปลกประหลาดนิดหน่อย เหมียวอี้กลัวว่าจะมีอะไรที่ตัวเองไม่รู้เปลี่ยนแปลงไป ถ้าใช้เชือกมัดเซียนมัดไว้ก็กลัวว่าจะไม่เหมาะสม จึงขังไว้ในกระจกทองแดงเสียเลย ทำแบบนี้ก็จะไม่กลัวแล้วว่าจะมีปราณชั่วร้ายโผล่ออกมา
พอเก็บกระจกทองแดง เหมียวอี้ก็กระโดดขึ้นบนหลังเฮยทั่น ไม่สามารถไปทางเดิมได้อีกแล้ว แบบนั้นจะถูกหวังกงไล่สังหารได้ง่าย จึงใช้ทวนเกล็ดย้อนชี้ไปทางที่เรียกว่าค่ายป่าครึ้ม “ไป!”
เฮยทั่นเบี่ยงออกจากทางที่อยู่ข้างหน้า แล้วปลดปล่อยฝีเท้าวิ่งตะบึงด้วยความเร็ว
ผลปรากฏว่าไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่หันกลับไปมองเป็นระยะอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ บนท้องฟ้าข้างหลังไกลๆ มีคนตามมาแล้ว ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าคงจะโดนหวังกงเพ่งเล็งแล้ว เดิมทีคิดว่ารอจนเข้าอาณาเขตคนอื่นไปแล้ว ค่ายพยัคฆ์ดำของหวังกงก็จะกำเริบเสิบสานไม่สะดวกอีก นึกไม่ถึงว่าทำขนาดนี้แล้วยังหนีไม่พ้น
ดูเหมือนว่าการที่คนก่อนหน้านี้ขาดการติดต่อไป จะทำให้คนที่ตามมาทีหลังระมัดระวังตัวแล้ว ผู้ที่มาแค่จ้องอยู่ไกลๆ ไม่ได้เข้ามาใกล้เลย เมื่ออยู่ไกลเกินไปก็อาจใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ผล คาดว่าเขาคงจะรอให้กำลังหนุนมาถึงแล้วค่อยลงมือกับเหมียวอี้
เป็นอย่างที่คาดไว้ ผ่านไปไม่นาน ก็มีอีกเก้าคนปรากฏตัวที่ท้องฟ้าด้านหลัง มารวมตัวกับคนคนนั้นแล้ว จากนั้นก็มีคนหนึ่งนำหน้า แล้วอีกเก้าคนก็เรียงแถวหน้ากระดานอยู่ข้างหลัง ก่อนจะประชิดเข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองให้ละเอียด เห็นเพียงคนที่นำหน้ามามีรูปร่างกำยำ หน้าขาวไร้หนวดเครา ดวงตาโต สวมเกราะรบผลึกแดง คาดว่าคงจะเป็นหวังกง ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำคนนั้น
ก่อนหน้านี้ได้ยินสาวใช้เคยบอกไว้ ว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์หาของประเภทเกราะรบได้ยาก เดิมทีนั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากโดนตำหนักสวรรค์ปราบสองครั้ง ของจำนวนมากก็โดนตำหนักสวรรค์ยึดไป วิญญาณชั่วร้ายทั่วไปมีอาวุธดีๆ สักชิ้นก็ไม่เลวแล้ว คนที่สามารถสวมเกราะรบผลึกแดงได้ นอกจากหวังกง ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำก็ไม่น่าจะมีใครแล้ว
เหมียวอี้หันกลับมามอง เฮยทั่นที่รับหน้าที่แบกวิ่งตะบึงไม่หยุด
หลังจากคนกลุ่มนั้นประชิดเข้ามาใกล้ หวังกงก็โบกมืออย่างไม่รีบร้อน “จับเขาไว้!”
เก้าคนข้างหลังถืออาวุธพุ่งลงมาหาเหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่างทันที ส่วนเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะลงมือเลยสักนิด เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอกจริงๆ เขาต้องการปิดบังความลับเพื่อที่จะหุบร่างตนไว้คนเดียว เขาเตรียมจะทอดทิ้งลูกน้องที่พามาด้วยอยู่แล้ว ถ้าสามรถช่วยเขาจับเหมียวอี้ได้ก็ยิ่งดี แต่ถ้าจับเหมียวอี้ไม่ได้ก็จะโดนเหมียวอี้ฆ่า เขาจะได้ไม่ต้องลงมือเองทีหลัง
ที่ให้ลูกน้องลงมือก่อนก็เพราะมีจุดประสงค์อีกอย่าง เขาได้ยินมาแล้วเช่นกันว่าในมือเหมียวอี้ทีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวนิดหน่อย แต่เขาก็พอจะรู้จักธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง ประกอบกับลูกธนูดาวตกสามารถยิงได้มากสุดห้าดอก ก่อนหน้านี้คงจะใช้ไปแล้วหลายดอก ถ้าให้ลูกน้องอีกเก้าคนโดนธนูของอีกฝ่ายไปอีกเก้าดอก ต่อให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จะยังหลงเหลืออานุภาพ แต่อาศัยวรยุทธ์บงกชรุ้งของเขา อานุภาพก็ไม่น่าจะเยอะแล้ว ถึงอย่างไรบนตัวเขาก็ยังมีเกราะรบผลึกแดงอยู่
ทว่าเหมียวอี้จะเห็นสถานที่บ้าๆ นี่อยู่ในสายตาได้อย่างไร เขาแค่ไม่อยากพัวพันอยู่กับหวังกงเท่านั้นเอง กลัวว่าถ้าพลาดแล้วจะมีคนรอดออกไปปล่อยข่าวว่ามีคนที่น่าหมายปองอย่างเขาอยู่ แต่ในเมื่อเผชิญหน้ากันแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่กลัวที่จะสู้สักตั้ง ถึงแม้กวาดสายตามองไปแล้วจะพบว่าในบรรดาเก้าคนนั้นจะมีนักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่งสองคน ส่วนที่เหลือก็มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดขึ้นไป แต่ทำให้เหมียวอี้ตกใจไม่ได้หรอก
เฮยทั่นที่กำลังวิ่งตะบึงพลันพ่นควันสีขาว บนตัวมีไอหมอกสีขาวพ่นออกมาเป็นพักๆ ขณะเดียวกันก็สะบัดตัวหยุดกะทันหัน หมอกขาวหนาทึบหมุนวนครอบตัวมันไว้ ภายใต้การพลังอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือจากเหมียวอี้ หมอกขาวกระจายไปย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางไอหมอก เหมียวอี้กระโดดลงจากสัตว์พาหนะ ถือโอกาสเก็บเฮยทั่นเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วพลิกมือยิงกระบี่เล็กเพลิงจิตกลุ่มหนึ่งไปทั่วทุกทิศ พอสะบัดไหล่หนึ่งที ลูกกลมสีแดงลูกเล็กที่ห้อยอยู่บนบ่าก็พลันขยายใหญ่กลายเป็นลูกกลมสีแดงลูกใหญ่
พอเหมียวอี้ชกบนลูกกลมตีไม่พังหนึ่งที ลูกกลมตีไม่พังก็พลิกครอบตัวเขาเอาไว้ ปิดล้อมเขาไว้อย่างแน่นหนาพร้อมเสียงดังแกร๊ก
เหมียวอี้ที่สีหน้าเรียบเฉยถือทวนเฉียงอยู่ในมือ ดูสุขุมใจเย็นผิดปกติ กำลังเฝ้ารออย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์ผิดปกติ หวังกงก็รีบหยุดอยู่บนท้องฟ้า แล้วเหลือบมองหมอกขาวพลางขมวดคิ้ว ในฐานะที่เป็นวิญญาณอาฆาต เขาย่อมแยกออกว่าหมอกขาวนี้ไม่ใช่ปราณอาฆาต แต่เป็นหมอกของจริง เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังเล่นลูกไม้อะไร
เก้าคนที่เร่งตามมาข้างหลังก็หยุดแล้วเช่นกัน พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก สุดท้ายนักพรตบงกชรุ้งคนหนึ่งก็ตบฝ่ามือลงมาหนึ่งครั้ง
ที่ผิวดินมีเสียงดังสะเทือน ชั่วพริบตาเดียวหมอกขาวก็หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฝุ่นดินที่ตลบอบอวล ด้านล่างเกิดเป็นหลุมลึกหลุมหนึ่ง ในหลุมมองไม่เจอเป้าหมาย เห็นเพียงลูกกลมสีแดงขนาดใหญ่
ทั้งเก้าคนรีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองโดยรอบ แต่ในลูกกลมสีแดงกลับมีเสียงของเหมียวอี้ดังขึ้น “ข้าไม่ได้มีบุญคุณความแค้นกับทุกคน ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันด้วย?”
ที่แท้ก็หลบอยู่ในลูกกลมสีแดง ทั้งเก้าคนถลันตัวไปเหยียบลงท่ามกลางฝุ่นดิน ถืออาวุธล้อมเอาไว้ พวกเขาไม่รู้ชัดว่าลูกกลมสีแดงคืออะไรกันแน่ จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ทั้งเก้าเดินวนสำรวจ เตรียมพร้อมป้องกัน
นักพรตบงกชรุ้งคนที่เพิ่งจะลงมือส่งเสียงถามว่า “คนที่ฆ่าอนุภรรยาสุดที่รักของประมุขค่ายก็คือเจ้าเองเหรอ?”
ในลูกกลมสีแดงมีเสียงตอบอันราบเรียบของเหมียวอี้ “ที่แท้ก็มาเพื่อจิ้งหูเหนียงเหนียง ถูกต้องแล้ว ข้าสังหารนางเอง ทุกคนอยากจะทำอะไรล่ะ?”
คนนั้นพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ช่างใจกล้านัก เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย โผล่หัวออกมาให้จับซะดีๆ โทษจะได้เบาลง!”
“ออกน่ะต้องออกอยู่แล้ว เพียงแต่ใครจะรับโทษก็ยังไม่แน่หรอก!” เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
พอพูดจบ ทั้งห้าคนก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที จู่ๆ ในฝุ่นดินที่ตลบอบอวลก็มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์โผเข้ามา พวกเขาหันขวับ เห็นเงามายาของบางสิ่งกำลังยิงล้อมเข้ามาอย่างแน่นหนา
ทั้งเก้ารีบร่ายอิทธิฤทธิ์โบกอาวุธต้านทาน ทว่าสิ่งที่ยิงมาเหมือนจะฝ่าเกราะอิทธิฤทธิ์ได้ ขนาดโดนอาวุธของพวกเขาจนระเบิดแล้วก็ยังกวาดโผเข้ามา ครอบพวกเขาเอาไว้ราวกับเป็นตาข่ายผืนใหญ่แล้วหดลง ไม่มีช่องว่างให้ลอดออกไปได้เลย ไม่นานก็พบว่าเหมือนจะมีวัตถุโปร่งแสงบางอย่างมาสิงร่าง
“อา…” เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว มีบางคนเหาะขึ้นมาแล้วขยุ้มบนร่างกายตัวเองราวกับอยากจะฉีกหนังตัวเองออก แต่ก็ไม่สามารถทนรับความทรมานจากการแผดเผานี้ได้ พอเหาะขึ้นมาได้ก็ตกลงไปอีก กลิ้งอยู่บนพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย หวังจะกลิ้งเพื่อดับเปลวเพลิงล่องหนที่อยู่บนร่างกาย
หวังกงที่ดูอยู่บนท้องฟ้าเห็นลูกน้องทั้งเก้าเหมือนโดนไฟเผา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีควันลอยขึ้นมาราวกับจะมีขี้เถ้าปลิวว่อน โดยเฉพาะเสียงร้องโหยหวนที่น่าสังเวชใจก็ยิ่งทำให้ทนฟังไม่ไหว ฉากนี้เรียกได้ว่าทำให้เขาสูดหายใจอย่างตกตะลึง
เขาเคยได้ยินฉากแบบนี้มาจากสาวใช้ที่กลับมารายงานแล้ว ความน่ากลัวที่บรรยายออกมานั้นไม่จำเป็นต้องเอาตัวไปสัมผัสเองเลย แค่ได้เห็นตอนนี้ก็ขนพองสยองเกล้าแล้ว
ปั้ง! พอเกิดเสียงดัง ลูกกลมใหญ่สีแดงก็คลายออกแล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว คลายเป็นเม็ดถั่วสีแดงมาห้อยอยู่บนบ่าของเหมียวอี้
เหมียวอี้กวาดสายตามองฝุ่นควันที่ยังล้นทะลัก เดิมทีอยากจะใช้ประโยชน์จากหมอกที่เฮยทั่นปล่อยออกมาเพื่อปิดบังการจู่โจมโดยกระบี่เล็กเพลิงจิต แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะลงมือกะทันหัน ปัดกวาดฝุ่นควันออกไปแล้ว แต่ฝุ่นควันที่ตลบอบอวลก็ยังมีผลในการปิดบังการลอบโจมตีเหมือนเดิม
เขาเงยหน้ามองหวังกงที่ทำสีหน้าหวาดระแวงกลัวอยู่บนฟ้า อดไม่ได้ที่จะแอบอุทานว่าน่าเสียดาย น่าเสียดายที่ล่อลงมากำจัดพร้อมกันทีเดียวไม่ได้
เขาโบกมือปล่อยเฮยทั่นออกมา เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหางมองไปรอบๆ ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
แต่พอเห็นเหมียวอี้ใช้เท้าเหยียบคนที่กลิ้งอยู่บนพื้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนอย่างไร กรีดร้องโหยหวนขนาดไหน แต่รองเท้ายาวที่เป็นโลหะก็เหยียบอีกฝ่ายไว้บนพื้นอย่างไม่สนใจ
เสียงกรีดร้องโหวยหวนดังอยู่ใต้เท้า ควันที่เกิดจากการเผากำลังลอยขึ้นอยู่ใต้เท้า เหมียวอี้ยกมือลบโคลนซ่อนจิตตรงหว่างคิ้ว เผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า หลังจากแสดงพลังแล้ว ทวนเกล็ดย้อนในมือก็พลันชี้ขึ้นฟ้า แล้วตะโกนถามอย่างเย็นเยียบว่า “หวังกง หนิวอยู่นี้แล้ว กล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งมั้ย!”
หวังกงในที่อยู่บนท้องฟ้าเปลี่ยนแววตาไม่หยุด ตกใจกับความทรงพลังของเหมียวอี้นิดหน่อย เห็นได้ชัดว่าลังเลแล้ว
เหมียวอี้ที่รออยู่สักพักแล้วไม่เห็นอีกฝ่ายตอบ จู่ๆ ก็ใช้เท้าเตะ ทำให้ที่อยู่ใต้เท้ากระเด็นออกไปพร้อมควันและเสียงกรีดร้อง จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นขี่บนหลังเฮยทั่นอย่างคล่องแคล่ว แล้วใช้ส้นเท้าสองข้างเคาะที่ท้องสองข้างของเฮยทั่น
“อ๋าว!” เฮยทั่นเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมคำรามเสียงยาว แล้วจู่ๆ ก็ปลดปล่อยฝีเท้าวิ่งตะบึง พุ่งในแนวเฉียงขึ้นมาจากหลุมลึก อาศัยแรงกระโจนขึ้นมา ทะยานขึ้นจากหลุมที่ลึกหลายสิบจั้ง หลังจากเหยียบลงพื้นแล้วก็วิ่งวนอยู่ริมหลุมอย่างร้อนรน คำรามเสียงต่ำใส่หวังกงที่อยู่บนฟ้าเป็นระยะ
ทั้งคนทั้งสัตว์พาหนะล้วนสวมชุดเกราะ เสริมสง่าราศีให้กันและกัน ดูทรงพลานุภาพมาก
เสียงมังกรคำรามดังขึ้น เหมียวอี้โบกทวนชี้หวังกงที่อยู่ไกลๆ อีกครั้ง ตะโกนถามเสียงดังว่า “จะสู้หรือไม่สู้!”
บทที่ 1472 เจดีย์งามวิจิตรโผล่มาอีกแล้ว
Ink Stone_Fantasy
นักพรตบงกชทองขั้นเก้าคนหนึ่งก้าวก้าวอวดดีขนาดนี้ ทำให้หวังกงเดือดดาลมาก ทว่าถึงแม้จะโกรธ แต่กลับไม่ขาดสติสัมปะชัญชะ เสียงกรีดร้องในหลุมยังดังอยู่ สิ่งประหลาดลึกลับที่ทำร้ายคนทำให้เขาค่อนข้างหวาดกลัว
แต่หวาดกลัวก็ส่วนหวาดกลัว ไม่อาจะหยุดจุดประสงค์ในการแย่งกายหยาบของเหมียวอี้ได้ ถ้าทำสำเร็จขึ้นมา ผลประโยชน์ที่ได้รับก็ควรค่าแก่การยอมแลก
แต่เขาก็ไม่ได้บุ่มบ่าม ยังลอยอยู่บนฟ้า แววตาวูบไหวไม่หยุด กำลังคุร่นคิดแผนรับมือ
เหมียวอี้กลับไม่ยอมเสียเวลากับเขาต่อไปอีก เอาทวนปักลงบนพื้น ช้อนหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา ลูกธนูดาวตกตั้งอยู่บนสาย เกิดเสียงดังปั้ง ลูกธนูสามดอกยิงออกไปพร้อมกัน ลำแสงสามสายยิงขึ้นไปบนฟ้าแล้ว
หวังกงโบกมือช้อนบางสิ่งขึ้นมา โล่แผ่นหนึ่งอยู่ในมือแล้ว เขาไม่หลบหลีก แค่เอาโล่มาบังตรงหน้า
เสียงปั้งดังสามครั้ง แขนเขาสะเทือนจนชินชา สะเทือนจนกระเด็นถอยหลัง สะเทือนจนพลังวิญญาณกระจัดกระจายไปหลายส่วน เขาแอบตกใจไม่ใช่น้อย ได้ยินอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตำหนักสวรรค์มานานแล้ว พอได้เห็นของจริงวันนี้ ก็พบว่ายอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ
พอวางโล่ลง หวังกงก็โผล่หน้ามาดู ในใจเกิดความคิดบางอย่างทันที จู่ๆ ก็พุ่งลงมา พุ่งลงพื้นดินเป็นแนวเส้นตรง
แค่เหมียวอี้เห็นโล่ในมืออีกฝ่าย ก็รู้แล้วว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้แบบตัวต่อตัว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็คงไม่ส่งผลอะไรต่อหวังกงสักเท่าไร
ตรงนี้เพิ่งจะโบกมือเก็บลูกธนูดาวตกสามดอกกลับมา เหมียวอี้มองตามเงาร่างของหวังกงที่เหยียบลงพื้น สีหน้าตึงเครียดทันที
เห็นเพียงตอนที่หวังกงพุ่งตัวด้วยความเร็วขนาบกับพื้นเข้ามา ก็โบกดาบฟันผิวดินไปด้วย ทำให้เกิดเสียงดังตูมตาม พื้นราบกระเพื่อมเป็นลูกคลื่น ภายใต้การพลังอิทธิฤทธิ์ประสมโรงของหวังกง ทะเลทรายหินที่มีทรายและหินปลิวว่อนสายหนึ่งก่อตัวเป็นกำแพงกรวดทราย กำแพงคลื่นขนาดยักษ์ถูกดันเข้ามา ทั้งพื้นดินสั่นไหวเสียงดังโครมคราม
ส่วนร่างของหวังกงก็ซ่อนอยู่หลังกำแพงคลื่นกรวดทราย ทำให้แยกไม่ออกว่าร่างกายของเขาอยู่ทางไหน
เหมียวอี้เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายในทันที อีกฝ่ายกำลังรังแกที่เขาเหาะไม่ได้ ไม่มีทางข้ามผ่านกำแพงคลื่นใหญ่นั่นได้ ทั้งยังป้องกันการลอบจู่โจมโดยเพลิงจิตของตนได้ด้วย เตรียมจะกลิ้งเข้ามาหาตนแล้ว
“อ๋าว!” เฮยทั่นคำรามใส่กำแพงคลื่นอย่างเกรี้ยวกราด ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ
“อยู่ตรงนี้!” เหมียวอี้ตะโกนบอก ใช้มือช้อนทวนเกล็ดย้อนที่เสียบอยู่ข้างๆ แล้วพลิกตัวขึ้นมา แล้วเหาะไปเหยียบบนหัวเฮยทั่นเพื่ออาศัยแรง นับว่าเป็นการเตือนเฮยทั่นเช่นกัน ทั้งตัวเหยียบลงพื้นและพุ่งออกไปแล้ว ในมือถือทวนในแถวเฉียง ฝีเท้ารวดเร็วราวกับบิน บุกเดี่ยวพุ่งเข้าไปหากำแพงคลื่นที่ม้วนเข้ามาอย่างห้าวหาญ
“ฮัดชิ่ว…” เฮยทั่นจามหนึ่งที แล้วก็เบิกตากว้าง ท่าทางเหมือนตกใจมาก เหมือนนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะใช้กำลังปะทะกับหวังกงตรงๆ
เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบบนร่างกายบุกเดี่ยวพุ่งเข้าไปหาคลื่นที่โหมซัดสาดที่พัดม้วนเข้ามา
ชั่วพริบตาที่ชนปะทะกัน เหมียวอี้ก็โบกทวนกวาดอย่างดุเดือด ปั้ง! ฟันเข้าไปในกระแสทรายม้วนจนเกิดเป็นรูโหว่
ทว่ากลับไม่มีผลในการต้านทานใดๆ รูโหว่สมานตัวอีกครั้ง เรียกได้ว่าโดนกระแสทรายดูดกลืนเข้าไปในนั้นในชั่วพริบตาเดียว เฮยทั่นตกใจจนใช้กรงเล็บตะกุยพื้นไม่หยุด
หวังกงที่ซ่อนตัวอยู่ในคลื่นทรายกรวดดีใจทันที เขาซ่อนตัวอยู่ข้างในแล้วมองเห็นการเคลื่อนไหวของเหมียวอี้ได้ง่าย แต่เหมียวอี้กลับมองไม่เห็นเขา บวกกับเสียงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตอนเหมียวอี้พุ่งเข้ามา ทำให้เขาจับตำแหน่งของเหมียวอี้ได้ทันที เรียกได้ว่าพุ่งเข้ามาในชั่วพริบตาเดียว ใช้ดาบฟันเข้าไปที่เหมียวอี้อย่างบ้าระห่ำ
เหมียวอี้ที่พุ่งเข้าไปในกรวดทรายม้วนหลับตาลง ขณะที่พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานกรวดทรายที่พุ่งโจมตีเข้ามา เขาก็กำลังตั้งใจฟังเสียง
แทบจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่อันตรายประชิดเข้ามา เหมียวอี้พลิกมือเผยเจดีย์งามวิจิตร เจดีย์พลันขยายใหญ่ขึ้น ฐานเจดีย์พลันขยายออก ครอบอันตรายและกรวดทรายที่ม้วนเข้ามาเอาไว้ด้วยกัน
ในเมื่อเขากล้าพุ่งเข้ามาใช้กำลังปะทะกันตรงๆ ก็ย่อมมองออกแล้วว่าในวิกฤติยังมีโอกาส สามารถคว้าโอกาสที่ผ่านมาเพียงแวบเดียวแล้วโจมตีได้อย่างไม่ลังเล ไม่ยอมพลาดโอกาส
ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม จู่ๆ หวังกงที่ควงดาบฟันเข้ามาอย่างบ้าคลั่งก็พบว่าตัวเองคว้าน้ำเหลว เสียงดังสนั่นหวั่นไหวข้างหูพลันหายไป ภาพตรงหน้าสว่างชัดเจน พบว่าตัวเองกำลังเหาะลงมาจากฟ้าแล้ว เขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์หยุดตัวเองไว้กลางอากาศ ขณะมองดูกรวดทรายผืนใหญ่ที่อยู่ข้างกายตกลงพื้น เขาก็หันไปรอบๆ อย่างประหลาดใจสงสัย เพราะรอบข้างเงียบสงบมาก ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งตกใจ
ไม่น่าเชื่อว่าทะเลทรายหินที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตจะหายไปแล้ว ตรงหน้ามีแต่ภูเขาไฟหลายลูกที่มีควันโขมง ในปากปล่องภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อยู่ข้างล่างสามารถมองเห็นหินหลอมเหลวสีแดง เขาคิดไปเองโดยสัญชาตญานว่าตัวเองตาฝาก ทว่ากลิ่นอายที่ทำให้รู้สึกกดดันโดยธรรมชาติที่ปล่อยออกมาจากภูเขาไฟก็ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความกลัวนิดหน่อย ทำให้เขาต้องสงสัยว่านี่อาจจะไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง
เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมจู่ๆ ฉากตรงนี้จึงเปลี่ยนแปลงไป แทบจะไม่มีเค้าลางอะไรบอกล่วงหน้าเลย เหมือนจู่ๆ ก็ข้ามมาอีกมิติหนึ่ง ที่นี่คือที่ไหน?
บนทะเลทรายหิน เสียงดังสนั่นสะเทือนพื้นดิน กำแพงคลื่นกรวดทรายที่เมื่อครู่นี้ยังพลิกม้วนพลันเปลี่ยนเป็นไร้เรี่ยวแรง ฉากที่มีลักษณะดุดันเมื่อครู่นี้เปลี่ยนเป็นอ่อนแอลงแล้ว ความโอ่อ่าที่มืดฟ้ามัวดินตกลงมาทับถมกันราวกับกองทราย
“ฮัดชิ่ว…” เฮยทั่นที่ตามหนึ่งทีจ้องมองตาไม่กระพริบ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ยังไม่ทันได้ยินเสียงการต่อสู้เลย ทำไมจู่ๆ ก็หยุดแล้วล่ะ?
บึ้ม! กรวดทรายสายหนึ่งที่ขยายอยู่บนทะเลทรายหินพลันระเบิดออก เจดีย์งามวิจิตรบินขึ้นมาลอยอยู่กลางอากาศ เจดีย์มีเจ็ดชั้น แต่ละชั้นกำลังหมุนวนอยู่อย่างนั้น ด้านล่างมีเงาคนคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาเหยียบบนเนินกรวดทรายสูง เป็นเหมียวอี้นั่นเอง
เฮยทั่นวิ่งตะบึงเข้ามาด้วยความเร็วปานสายลมทันที แล้วกระโจนตัวขึ้นไปบนเนินกรวดทรายสูง พอเหยียบลงตรงหน้าเหมียวอี้ก็สั่นหัวส่ายหาง มองไปรอบๆ แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ไอ้เวรนั่นมันไปไหนแล้วล่ะ?”
เหมียวอี้ไม่สนใจ เอาทวนไปปักไว้บนกรวดทราย แล้วใช้สองมือร่ายวิชาดรรชนี แผ่รังสีออกมาหลายสาย เริ่มขับเคลื่อนเจดีย์งามวิจิตร
ในเจดีย์งามวิจิตร หวังกงที่ลอยอยู่กลางอากาศและประหลาดใจสงสัยไม่หยุดพลันก้มหน้ามองใต้เท้า เห็นเพียงหินหลอมเหลวสีแดงในภูเขาไฟหลายลูกไหลกลิ้งขึ้นมาอย่างรุนแรง มีมนุษย์ไฟห้าคนโผล่ขึ้นมาจากหินหลอมเหลวอย่างช้าๆ ลอยขึ้นมาจากปากภูเขาไฟ แล้วทันใดนั้นมนุษย์ไฟก็เพิ่มความเร็ว พุ่งไปหาหวังกงที่อยู่บนฟ้าจากห้าทิศทางพร้อมกัน
หวังกงตกใจมาก ในฐานะที่เป็นวิญญาณชั่วร้าย เขาเป็นสิ่งที่กลัวธาตุไฟโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลย เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดฟันปราณดาบออกมาอย่างบ้าคลั่ง มีเสียงระเบิดดังห้าครั้ง ทำให้มนุษย์ไฟห้าคนระเบิดกลายเป็นหินหลอมเหลวในชั่วพริบตาเดียว
เมื่อเห็นว่ามีอานุภาพแค่นิดเดียว ไม่เพียงพอที่จะสร้างภัยคุกคามให้ตนเลย หวังกงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาได้ผ่อนคลาย ในปากภูเขาไฟห้าลูกข้างล่างก็มีมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวโผล่มาอีกห้าคนแล้ว พวกมันโผเข้ามาจากห้าทิศทางอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้เขาตกใจในครั้งนี้ก็คือ การโจมตีของมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวห้าคนนี้เร็วกว่าห้าคนก่อนมาก
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ แม้แต่พลังต้านทานก็เหนือกว่าห้าคนก่อน ปราณดาบห้าสายของเขาฟันออกไป ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้มนุษย์ไฟหินหลอมเหลวห้าคนนี้หายไปไม่ได้ มันล้อมโจมตีพัวพันอยู่กับเขาทันที
ดาบในมือยกขึ้นแล้วปล่อยลง ทำศึกเดือดกับมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวทั้งห้าอย่างสุดชีวิต มนุษย์ไฟหินหลอมเหลวโดนเขาฟันพังไปตัวแล้วตัวเล่า
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจไม่เบาก็คือ มนุษย์ไฟหินหลอมเหลวพวกนั้นฆ่าเท่าไรก็ไม่หมด เขาฆ่าตายไปตัวหนึ่งก็มีโผล่มาอีกตัวหนึ่ง ทั้งยังมีพลังแข็งแกร่งมากขื้นเรื่อยๆ ด้วย แต่ละตัวที่โผล่ขึ้นมาใหม่ล้วนมีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขา แค่ไม่มีสติปัญญามากเท่าเขาก็เท่านั้นเอง
ทั้งมีพลังพอๆ กับเขา ทั้งโผล่ออกมาไม่หยุดหย่อน เขาทั้งหนีทั้งสู้ แต่ที่นี่เหมือนจะมีแต่ภูเขาไฟ แทบจะไม่มีทางวิ่งไปถึงปลายทางเลย มีมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวที่ฆ่าไม่หมดโผล่มาตลอด
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ในใจหวังกงก็รู้สึกสิ้นหวัง ขณะที่สู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็ส่งเสียงขอร้องว่า “ท่านเหมียว หวังคนนี้ไม่รู้จักกลัวตายเอง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หวังผิดไปแล้ว ถ้าไปล่วงเกินตรงไหนก็ได้โปรดใจกว้าให้อภัย มีเงื่อนไขอะไรก็เจรจากันได้ ปล่อยข้าไปสักครั้งเถอะ!” เห็นได้ชัดว่าเดาออกแล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางเหมียวอี้
มีเสียงดังแว่วมาจากเจดีย์งามวิจิตร เหมียวอี้ไม่แยแสเลย ควบคุมเจดีย์งามวิจิตรต่อไป มาถึงขั้นนี้แล้วมีหรือที่จะไว้ชีวิตหวังกงได้ ตอนนี้ถึงคราวที่เขาจะฆ่าปิดปากแล้ว
เฮยทั่นได้ยินแล้วกลับร่าเริง มองดูเจดีย์เจ็ดชั้นที่หมุนซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด แล้วเดาะปากพูดว่า “ที่แท้ก็ขังไว้ข้างในนี่เอง!”
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หวังกงที่ทำศึกเดือดไม่หยุดก็อ่อนเปลี้ยไร้แรงแล้ว ไม่มีแรงเหลือมากพอที่จะสู้กันกลางอากาศได้อีก ตกลงพื้นมาสู้กับมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวพวกนั้น และในที่สุดเขาก็ค้นพบความไม่ชอบมาพากลในนี้ นั่นก็คือเวลาที่เขาลงมือเบาลง อานุภาพการลงมือโจมตีของมนุษย์ไฟหินหลอมเหลวก็อ่อนแอลงแล้วเช่นกัน เพียงแต่มนุษย์ไฟมีพลังสูสีกับเขาอยู่ตลอด สิ่งนี้ทำให้เขาหมดแรงตายได้
เขาเองก็ไม่ได้โง่ ไม่นานก็รู้ถึงวิธีแก้วิกฤติตรงหน้าแล้ว เขาหยิบโล่ออกมาป้องกัน ไม่โจมตีโต้ตอบอีก ได้แต่ดันทรังทนต้านทานอยู่อย่างนั้น เป็นอย่างที่คาดไว้ ผ่านไปไม่นาน อานุภาพการโจมตีของมนุษย์ไฟก็เริ่มอ่อนแรงลงทีละนิด
“เฮอะ!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม นี่ไม่ใช่เจดีย์งามวิจิตรเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว ที่ด้านนอกจะไม่รู้ถึงความเคลื่อนไหวของข้างใน เขาย่อมสังเกตได้ว่าหวังกงมีจุดประสงค์อะไร จึงเอียงหน้าบอกว่า “โจรอ้วน เจ้ามีอาหารกินอีกแล้ว เข้าไปเถอะ”
ฐานของเจดีย์งามวิจิตรที่หมนุวนอยู่บนฟ้าพลันมีรอยแยก เฮยทั่นกระโจนขึ้น พุ่งเข้าไปแล้ว
หวังกงที่ต้านทานอยู่ข้างในพลันเงยหน้า พบว่าบนฟ้ามี ‘หน้าต่างฟ้า’ โผล่ออกมาและหุบลงแล้ว แต่มีของสิ่งหนึ่งตกลงมา เห็นเพียงเฮยทั่นโผลงมาจากฟ้า
หวังกงที่เหนื่อยล้าหมดแรงตกใจมาก พยายามใช้โล่ผลักมนุษย์ไฟคนหนึ่งออกไป แล้วถลันตัวหนีออกมา
เฮยทั่นที่ตกลงพื้นดังโครมดีดเท้ากระโดดเข้าไป มันขยุ้มกรงเล็บกลางอากาศ ตุ้บ! ตะปบหวังกงลงกับพื้น จากนั้นโผตามไป กดหวังกงที่พยายามจะลุกขึ้นไว้บนพื้น ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมีเกราะหัวหรือไม่ มันอ้าปากงับลงไปเลย กัดไปพร้อมๆ กับเกราะหัว
หวังกงที่โดนเฮยทั่นใช้กำลังอันป่าเถื่อนกดไว้พยายามดิ้นรน แต่กลับสลัดให้หลุดได้ยาก
มนุษย์ไฟกระจายตกลงพื้นราวกับโคลนเหลว ภูเขาไฟพังถล่มจมลง สภาพพื้นที่เปลี่ยนเป็นแนวภูเขา มีสายน้ำไหลลงมาจากต้นน้ำ ตามแนวภูเขากลายเป็นแม่น้ำเอง บนพื้นดินเขียวชอุ่ม ต้นไม้ใหญ่เติบโตอย่างรวดเร็วจนตาเปล่าสังเกตเห็นได้ มีลมพัดช้าๆ เรียกได้ว่าชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนฟ้าเปลี่ยนแผ่นดินใหม่แล้ว
เฮยทั่นมองดูความเปลี่ยนแปลงรอบๆ อย่างงุนงง จากนั้นก็ไม่สนใจแล้ว ใช้กรงเล็บควักเข้าไปในเกราะรบต่อ แล้วก็คว้าเกราะรบที่ยังคงสั่นไหวขึ้นมา ไม่นานก็มีไข่มุกวิญญาณอาฆาตสีขาวลายสีรุ้งตกลงมา มันก้มหน้าใช้ลิ้นตวัดหนึ่งที ม้วนไข่มุกวิญญาณอาฆาตมาไว้ในปาก จากนั้นก็กลืนลงท้องด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
จู่ๆ ก็มีถ้ำแห่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาข้างกายมัน มองออกว่าด้านนอกคือทะเลทรายหิน ของที่หวังกงทิ้งไว้ถูกพลังอิทธิฤทธิ์กลุ้มหนึ่งม้วนออกไป แล้วก็มีเสียงเหมียวอี้ดังตามมา “กินหมดแล้วยังไม่โผล่หัวออกมาอีก”
เฮยทั่นกระโดดออกมา เหยียบลงบนเนินกรวดทรายสูง พอหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ก็เห็นเจดีย์งามวิจิตรพลันหดเล็กและตกลง โดนเหมียวอี้โบกมือกวาดเก็บเอาไว้แล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น