ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 147-158

ตอนที่ 147 บุรุษล้วนชอบลองของใหม่

 

อันหว่าจรือ “……..” นางคิดว่าตนเองชกออกไปเต็มแรง แต่ที่จริงแล้วกลับชกลงไปบนปุยดอกฝ้าย 


 


 


คำพูดของตนเอง นางแพศยาผู้นั้นเห็นเป็นแค่เพียงลมพัดผ่านหูหรือ? 


 


 


” ขี้ผึ้งทาปากอะไร? ” สีหน้าของนางเคร่งขรึมลง พูดอย่างอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก 


 


 


ครั้งก่อนนางเพียงแต่เอ่ยปากไปเล่นๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่านางตัวร้ายผู้นี้จะมาทวงของกับตนโดยปราศจากความละอายเลยแท้จริงๆ? 


 


 


เกรงว่าที่บอกว่าต้องการขี้ผึ้งทาปากคงจะเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น แต่การหาโอกาสเข้าใกล้ฝ่าบาทต่างหากจึงจะเป็นเป้าหมายของนาง 


 


 


พอเห็นกิริยาของนางเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ไม่คิดจะเกรงใจอีกต่อไป “ดูท่าความจำของเจ้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ “ 


 


 


พูดแล้ว นางก็หันไปเรียกเจ้าไก่ขนฟูที่ขุดหิมะหาที่อึอยู่ด้านข้างให้เข้ามาหา 


 


 


เจ้าไก่ขนฟูกำลังอึได้ครึ่งทางก็ถูกเรียกเช่นนี้ ย่อมไม่พอใจอยู่บ้าง 


 


 


ทรวงอกของมันขยับขึ้นลง ฝ่าเท้าก็จิกลงไปบนพื้น ” ติ๊งต๊องมันคิดถึงเจ้าพวกงูพิษสีแดงของเจ้ามากเลย ดูท่าแล้วคงจะเต็มใจค้นดูจากบนร่างของเจ้าหน่อย ดูสิว่ายังมีของกินอีกหรือไม่ “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดจบ ก็เห็นเจ้าไก่ขนฟูนั่นดีใจจนตีปีก ท่าทางพร้อมท่ีจะบุกเข้าไปได้ทุกเมื่อ 


 


 


อันหว่านจือคิดถึงสถาพตอนที่ตนเองถูกจิกจนพรุนในครั้งก่อน ก็ตระหนกจนหน้าเปลี่ยนสี 


 


 


” ตู๋กูซิงหลัน ข้าขอเตือนเจ้าก่อน ที่นี่เป็นตำหนักตี้หัว ไม่ใช่ที่ๆ เจ้าจะมาก่อความวุ่นวายได้! ข้าเป็นถึงนางกำนัลประจำพระองค์ของฝ่าบาท หากว่าเจ้าทำอะไรกับข้า ฝ่าบาทจะต้องไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่! “ 


 


 


” ทุกวันนี้คนในวังต่างก็รู้ดีว่า ข้าคือสตรีที่ได้ใกล้ชิดกับฝ่าบาทมากที่สุด หากว่าเส้นผมของข้าหลุดไปสักเส้นเจ้าก็อย่างหวังจะได้เอาตัวรอดไปได้เลย! “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก เดินเข้าไปหานางอีกหลายก้าว สองตาจดจ้องมองนางอย่างแน่วแน่ ” ดูท่าเจ้าจะไม่รู้จักมารยาทจริงๆ “ 


 


 


พูดแล้ว นางก็ยื่นมือออกไปปลดปิ่นของอันหว่านจือลงมา ทันทีที่ปินหลุดออก มวยผมของอันหว่านจือก็หลุดลงมา ตู๋กูซิงหลันใช้ปลายนิ้วสะกิดเล็กน้อย เส้นผมของนางก็คลี่ออกอย่างง่ายดาย 


 


 


อันหว่านจือตกตะลึงไปแล้ว นางทั้งตกใจทั้งกรุ่นโกรธ เส้นผมของนางถูกบำรุงด้วยเห่อโส่วหวู่ถึงได้ดกดำเงางามดุจขนกา แม้แต่พระสนมทั้งหลายในวังยังยากที่จะเปรียบเทียบได้ แต่ว่านังตัวร้ายนี่อยู่ๆ ก็มาสยายผมนาง! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเชยคางของนางเอาไว้ 


 


 


จากนั้นก็ดึงกริชของตนออกมา นาบลงไปที่ดวงตาของอันหว่านจือ ” เราไม่ได้แตะต้องเจ้าสักเส้นผม แต่จะลงมือสักพันรอยคงได้สินะ” 


 


 


” ของที่รับปากว่าจะให้เรา จะมอบออกมาหรือไม่? “ 


 


 


อันหว่านจือถูกลูบไล้ใบหน้าเช่นนี้ นางเองก็ชักจะมีโทสะขึ้นมาแล้ว 


 


 


” ความอดทนของเรามีขีดจำกัด หากเจ้ายังจะพล่ามไร้สาระ เราก็ไม่รังเกียจที่จะลงมือโกนผมให้เจ้า “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดจบประโยค โทสะในใจของอันหว่านจือก็ยิ้งพลุ่งพล่านขึ้นสูง 


 


 


นางขบฟันกรอด กุมอกเสื้อเอาไว้ ถอยหลังไปหลายก้าว ” ฝ่าบาทเคยรับสั่งชื่นชมเส้นผมของข้าว่านุ่มนวลดุจปุยเมฆ เจ้าตายแน่ พระองค์จะต้องไม่ทรงปล่อยเจ้าไปแน่ “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมาในทันที ” เจ้าช่างดื้อด้านเสียจริงๆ “ 


 


 


นางยิ้มงดงามกว่าเดิม “ลูกชายอยู่ในตำหนักตี้หัวที่ด้ายหลังของเจ้านี้เอง เจ้าไปเรียกเขาออกมา เราจะดูซิว่า เขาจะไม่ปล่อยเราไปอย่างไร” 


 


 


อันหว่านจือกำหมัดแน่น นังตัวร้ายนี้ไม่ได้จงใจที่ไหนกัน? 


 


 


ฝ่าบาทพึ่งจะทรงพิโรธกลับวังไป หากนางไปรบกวนตอนนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการเติมฟืนลงไปในเตาหลอมยาหรือ? 


 


 


นางได้แต่กล้ำกลืนความโกรธลงไป ครู่ต่อมาถึงได้ค่อยๆ ล้วงเอาตลับสีผึ้งทาปากขนาดไข่ไก่ออกมา ” ให้เจ้า! “ 


 


 


ตลับขี้ผึ้งถูกโยนใส่หน้าตู๋กูซิงหลัน แต่ว่านางมีปฎิกิริยาว่องไว ตวัดฝ่ามือก็รับเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


นางควงกริชในฝ่ามือเป็นวงกลม จากนั้นก็เสียบมันลงไปในรองเท้าบูท ท่วงท่าแคล่วคล่องไม่ติดขัด กระทั่งอันหว่านจือที่กำลังหวาดผวายังตกตะลึง 


 


 


นางเคยแต่ได้ยินว่าตู๋กูซิงหลันก่อนเข้าวังเป็นเพียงคุณหนูผู้อ่อนแอเท่านั้น ทำไม…… 


 


 


ครู่ต่อมาตู๋กูซิงหลันก็จดจ้องเข้าไปในดวงตาของนาง “เห็นแก่พระพักตร์ของฉางซุนฮองเฮา เราจะปล่อยเจ้าเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น หากว่ายังมีครั้งที่สาม ที่หลุดไปจะไม่ใช่แค่เส้นผมแน่” 


 


 


สายตาของนางจ้องไปยังลำคอของอันหว่านจือ อันหว่านจือก็รู้สึกว่าลำคอตีบตันขึ้นมา ราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างบีบรัดเอาไว้ 


 


 


นางรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา กระทั่งหัวใจยังรู้สึกเหน็บหนาว 


 


 


นังตัวร้าย……..ตกลงเจ้าเป็นอะไรกันแน่? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่รอให้อันหว่านจือกล่าวอะไร ก็ไปจากตำหนักตี้หัว 


 


 


อันหว่านจือมองตามเงาหลังของนาง สายตาปรากฎแววเกลียดชัง และความแค้นอย่างรุนแรง 


 


 


……………………………. 


 


 


เมื่อฟ้าใกล้มืดค่ำขันทีฝ่ายพิธีการนำของมารับซูเม่ยเข้าไปในพระตำหนักตี้หัว 


 


 


ข่าวที่ว่าซูกุ้ยเฟยถูกรับเข้าไปถวายตัวแพร่สะพัดไปทั่ววังอย่างรวดเร็ว ทำให้รอบๆ ด้านนอกของตำหนักตี้หัวกลายเป็นจุดรวมตัวของพระสนมจำนวนไม่น้อย แม้ว่าจะเป็นกลางฤดูหนาวที่มีหิมะตกจำนวนมากก็ไม่อาจดับไฟในใจของพวกนางไปได้ 


 


 


เดิมทีพวกนางยังเข้าใจว่าขันทีน้อยในตำหนักตี้หัวปล่อยข่าวลือออกมา เพราะตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์มาก็ยังมิเคยเรียกผู้ใดไปถวายตัวมาก่อน 


 


 


กระทั่งเมื่อเห็นเกี้ยวสีทองที่ขันทีฝ่ายพิธีการหาบมาถึงประตูพระตำหนักตี้หัว พวกนางถึงได้อิจฉาจนตาแดงไปตามๆ กัน 


 


 


” คนที่เกิดมาสวยช่างไม่เหมือนผู้อื่นจริงๆ ซูกุ้ยเฟยเพียงกลับเข้าวังมาก็เป็นที่โปรดปราน เฮ่อ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเราจึงจะได้รับน้ำฝนจากฝ่าบาทบ้าง” 


 


 


” อย่าได้รีบร้อน ไม่แน่ว่าพอฝ่าบาทได้ลิ้มรสสตรีสักครั้ง ก็จะอดพระทัยไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว “ 


 


 


” จริงสิ ถึงแม้ซูเม่ยจะงดงาม แต่ฝ่าบาทก็คงจะมิได้เรียกนางถวายตัวทุกวัน เหล่าบุรุษล้วนชื่นชอบลองของใหม่ ของเดิมหากได้ชิมนานๆ ก็เลี่ยน “ 


 


 


“ใช่ๆๆๆๆ ถึงเวลานั้นโอกาสของพวกเราย่อมต้องมาถึง “ 


 


 


” อ้ายหยา เช่นนี้ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นั้นจะรู้สึกเช่นไรบ้างกัน เคยได้ยินมาใช่ไหม นางกับซูเม่ยนะรักกันปานพี่น้อง คราวนี้ฝ่าบาทรับสั่งให้ซูเม่ยถวายตัว คนในตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นั่นจะไม่พลิกกลายเป็นศัตรูกับนางหรือ? 


 


 


“ฮิๆๆ ไทเฮากับซูกุ้ยเฟยแย่งชิงฝ่าบาท เช่นนี้คงจะสนุกเสียยิ่งกว่าในโรงงิ้วเสียอีก” 


 


 


” เช่นนั้นพวกเราก็รอชมเรื่องสนุกกันเถอะ” 


 


 


………………………… 


 


 


ในพระตำหนักตี้หัว ซูกุ้ยเฟยนั่งอยู่บนเกี้ยวรับตัว ที่ขันทีทั้งสี่หามมาวางไว้ในห้องบรรทมของฝ่าบาท 


 


 


ยามที่ขันทีทั้งสี่หามเข้ามานั้น ต่างก็อดเกิดความสงสัยขึ้นมาเงียบๆ ไม่ได้ว่า ช่วงนี้พวกมันกินข้าวน้อยไปหรือไม่ คนสี่คนยกพระสนมคนเดียวเข้ามา ทำไมถึงได้กินแรงขนาดนี้ 


 


 


ซูกุ้ยเฟยผู้นี้ถึงแม้จะร่างสูงโปร่งมากอยู่สักหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นสตรี พวกมันช่วยกันยกเข้ามาไยจึงรู้สึกว่าหนักกว่าบุรุษผู้หนึ่งเสียอีก? 


 


 


ยามค่ำคืนที่เงียบสงัด สายลมภายนอกพัดไม่ยอมหยุด 


 


 


พระตำหนักตี้หัวกลับคึกครื้น เหล่าขันทีน้อยต่างสุมหัวรวมกันที่ระเบียงนอกพระตำหนักพูดจากระซิบกระซาบกันไม่หยุด 


 


 


อันหว่านจือชงชาร้อนๆ ออกมากาหนึ่ง เตรียมส่งเข้าไปในห้องพระบรรทม 


 


 


เหล่าขันทีน้อยต่างไม่กล้ารั้งตัวนาง ยังดีที่หลี่กงกงมาทันเวลา ” แม่นางอัน อย่าได้โทษว่าบ่าวเฒ่าไม่ได้เตือนท่านก่อน วันนี้หากท่านก้าวขาเข้าไปในห้องบรรทมของฝ่าบาทเพียงก้าวเดียว เกรงว่าท่านอาจเดินตัวตั้งเข้าไปแต่ต้องนอนหงายออกมา” 


 


 


” หลี่กงกง ข้าเพียงแต่จะเข้าถวายน้ำชาเท่านั้น ทุกคืนก่อนเข้าบรรทม ฝ่าบาทมักจะทรงดื่มชาที่ช่วยให้บรรทมได้ง่ายขึ้น” 


 


 


หลี่กงกงก็มิไรรั้งนางอีก เขาเดิมเลี่ยงไปที่ด้านข้าง “คำพูดของบ่าวเฒ่ามีเพียงเท่านี้ ท่านไปเถอะ หากฝ่าบาทลงมีรับสั่งลงโทษลงมา ต่อให้เป็นอันหร่วนกูกูก็ปกป้องท่านไว้ไม่ได้” 


 


 


อันหว่านจือเห็นเขามิได้รั้งนางไว้อีก ก็ชักจะเกิดความลังเลขึ้นมา 


 


 


นางยกน้ำชาเดินไปจนถึงด้านนอกของห้องบรรทม แต่พอถึงข้างประตูกลับไม่กล้าเคาะประตูเข้าไปง่ายๆ 


 


 


จึงได้แต่ถือน้ำชาเอาไว้ดักฟังอยู่ข้างประตูนั้นเอง 


 


 


ภายในห้อง เงาตะเกียงสว่างวิบๆ 


 


 


ซูเม่ยสวมชุดแดงเจิดจรัส ใบหน้าปราศจากการแต่งเติม แม้กระทั่งเครื่องประดับผมใดๆ ก็ล้วนถูกถอดออกไปจนหมด เส้นผมเพียงแต่ถูกมวยเอาไว้อย่างหลวมๆ เท่านั้น 


 


 


เมื่อไร้ซึ่งเครื่องสำอางค์ใดๆ ช่วยแต่งเติม เส้นสายบนใบหน้าจึงมิได้ดูอ่อนโยนเช่นยากปกติ 


 


 


จีเฉวียนประทับอยู่บนเก้าอี้นอน พิงพระองค์ไปกับเบาะนุ่ม ดวงพระเนตรหงส์กวาดมองซูเม่ยอย่างเย็นชา “ถอดเสื้อผ้า”  

 

 


ตอนที่ 148 ชะตาชีวิตถูกลิขิต

 

ซูเม่ยคิ้วกระตุก “ฝ่าบาทเพคะ วันนี้หม่อมฉันไม่ค่อยสบาย ร่างกายไม่สะดวก ไม่อาจถวายตัวได้เพคะ” 


 


 


นางกล่าวเสนอแนะว่า ” ที่ข้างนอกมีหูอยู่บนกำแพง ไยพระองค์ไม่ทรงเรียกนางเข้ามาถวายปรนิบัติ? “ 


 


 


จีเฉวียนไม่สนใจคำพูดของเขา เพียงตรัสว่า ” เราสั่งให้เจ้าถอด เจ้าก็ถอดเสีย” 


 


 


ซูเม่ย “…….” 


 


 


นางถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ราวกับว่าจะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ นางปลดสายคาดเอวออกหลวมๆ ก็ล้วงลงไปเอาบางสิ่งออกมาจากในกางเกงชั้นใน 


 


 


ทันใดนั้นกลิ่นคาวของเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วห้องบรรทม 


 


 


จีเฉวียนทรงเหลือบพระเนตรมองมา ก็เห็นว่าในมือของซูเม่ยนั้นมีชิ้นผ้าเปื้อนโลหิตที่แดงฉาดบาดตาอยู่ 


 


 


” ฝ่าบาทเพคะ วันนี้หม่อมฉันมีระดู ไม่อาจถวายการปรนิบัติได้ พระองค์กลับไม่ทรงเชื่อ หม่อมฉันได้แต่บังอาจนำหลักฐานมาถวายให้ทอดพระเนตรแล้ว” 


 


 


ทูลแล้ว นางก็เดินมาจนถึงเบื้องหน้าจีเฉวียน โยนผ้าเปื้อนโลหิตแดงฉาดผืนนั้นลงไปบนโต๊ะเบื้องพระพักตร์ 


 


 


อาจเพราะกะแรงมากไปหน่อย ทันทีที่โยนลงไป เลือดก็กระเซ็นออกมา 


 


 


ละอองเลือดนั้นกลายเป็นจุดแดงๆ บนฉลองพระองค์ของฝ่าบาท 


 


 


เห็นไหมเล่านางเฉลียวฉลาดเพียงไร! 


 


 


บุรุษที่เป็นโรคบ้าความสะอาดเช่นจีเฉวียน ไม่มีทางที่จะยอมแตะต้องสตรีที่มีระดูอยู่แน่ 


 


 


จีเฉวียนเอนพระองค์ลงบนเบาะนุ่ม พระขนงขมวดขึ้นส่อแววเย็นชาขึ้นมา 


 


 


” เพื่อให้ไทเฮาได้ทรงอุ้มพระราชนัดดาโดยไว เราไม่ถือสา ” พระองค์ตรัสพลาง ก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดละออกเลือดบนพระองค์ไปพลางๆ 


 


 


ท่าทางเช่นนั้นคล้ายกลับมิได้รังเกียจนางอยู่จริงๆ 


 


 


คราวนี้ซูเม่ยกลับไม่ไหวเสียเองแล้ว แต่สายพระเนตรของจีเฉวียนกลับจดจ้องนางอยู่ตลอด คล้ายกับว่าสามารถอ่านนางออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น ทำให้นางรู้สึกหมดหนทางจะหลบหนี 


 


 


” ฝ่าบาท พระวรกายมังกรของพระองค์สำคัญล้ำค่า หากว่าสัมผัสถูกโลหิตสกปรกของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่อาจจะสู้หน้าบรรพกษัตริย์ทั้งหลายได้แล้ว” 


 


 


ซูเม่ยกล่าวต่อไปอีกว่า ” ถึงอย่างไร ดับเทียนแล้วสตรีทุกคนก็เหมือนกันหมด หากพระองค์ประสงค์จะต้องการจริงๆ ละก็ หม่อมฉันเชื่อว่าอันหว่านจือจะต้องคล้อยตามพระประสงค์ด้วยความยินดีเป็นแน่” 


 


 


” กุ้ยเฟย เจ้าไม่ได้ยินหรือไร ที่ไทเฮามีพระประสงค์คือ ต้องการให้เราโปรดปรานเจ้า ไม่ใช่ผู้อื่น ” จีเฉวียนยังคงประทับอยู่ที่เดิม ภายใต้แสงเทียนสาดส่อง พระพักตร์ที่งดงามนั้นราวกับถูกฉาบไล้ด้วยแสงสว่างชั้นหนึ่ง แต่ก็ดูเย็นชาอย่างที่สุดเช่นกัน 


 


 


หัวใจของซูเม่ยเจ็บปวดราวถูดมีดแทง ทำเอานางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ 


 


 


” เก็บของนี่ไปซะ” จีเฉวียนเหลือบพระเนตรไปมองผ้าซับระดูที่เปื้อนโลหิตจนชุ่มโชกแวบหนึ่ง สีพระพักตร์เย็นยะเยือก 


 


 


ท่าทางของพระองค์ ดูราวกับเทพเจ้าที่ไม่จำเป็นต้องกินดื่มใดๆ เกือบจะปราศจากกลิ่นไอมนุษย์ 


 


 


ไหนเลยจะมีทีท่าของฮ่องเต้ที่ต้องการจะรับสนมได้กัน 


 


 


ซูเม่ยค่อยๆ หยิบผ้าซับระดูกลับไป แถมยังใส่กลับไปในกางเกงทั้งต่อหน้า 


 


 


นางไม่นึกไม่ฝันจริงๆ ว่า วิธีที่น่ารังเกียจเช่นนี้จะใช้ไม่ได้ผล 


 


 


พอพึ่งจะใส่กลับไป ก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งเสียงเย็นว่า “ถอดเสื้อผ้า อย่าให้เราต้องพูดถึงสามรอบ” 


 


 


ซูเม่ยก้มศีรษะลงมองดูตนเอง ได้แต่ถอดเสื้อคลุมสีแดงเพลิงนั้นออกอย่างหมดปัญญา นางกำหมัดแนบแน่น กระทั่งเส้นโลหิตหลังมือยังปูดโปนเป็นสีเขียว 


 


 


” ต่อไป ” จีเฉวียนจ้องมองนางอย่างเชยชา 


 


 


ซูเม่ยสูดหายใจลึกๆ “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องปิดบัง หม่อมฉันยินดีรับโทษ “ 


 


 


จีเฉวียนมิได้ทรงแปลกพระทัยแม้แต่น้อย เพียงตรัสอย่างเรียบเฉยว่า ” ว่ามา “ 


 


 


ซูเม่ยถวายคำนับเขาอย่างเต็มพิธีการ กล่าวด้วยน้ำเสียงละอายอย่างที่สุดว่า ” หม่อมฉันมีกลิ่นตัว! เกรงว่าจะเป็นที่ระคายเคืองของฝ่าบาท นี่คงจะไม่ดีละมั้งเพคะ? “ 


 


 


” แม้แต่เรื่องที่เจ้ามีระดูเราก็ยังไม่รังเกียจ ไหนเลยจะกลัวว่าเจ้ามีกลิ่นตัวได้อีก? ” จีเฉวียนรับสั่งอย่างจริงจัง จมูกที่ไวต่อกลิ่นเหม็นของเขาก็มิได้ย่นจมูกเลยสักครั้ง 


 


 


ซูเม่ยได้แต่คุกเข่าลงไปให้เขา 


 


 


” หากยังไม่ลงมือ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะถอดให้เจ้าด้วยตนเอง ” ถึงแม้จะตรัสเช่นนั้น จีเฉวียนก็ยังคงประทับนั่งอยู่เดิม ดวงเนตรหงส์ของพระองค์ทอดมองอย่างเย็นชา 


 


 


ซูเม่ยถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก ในที่สุดค่อยถอดเสื้อออกตัวหนึ่ง 


 


 


เมื่อต้องมาถวายตัววันนี้ นางสวมเสื้อผ้ามาเจ็ดแแปดตัวเป็นพิเศษ ห่อตัวเองจนกลายเป็นบะจ่างก้อนหนึ่ง 


 


 


” ถอดให้หมด ” สุรเสียงของจีเฉวียนเย็นเฉียบ ” เจ้าไม่ถอดหมด แล้วจะมีหลานมาถวายไทเฮาได้อย่างไร “ 


 


 


ดูแต่ละคำๆ ของเขาสิ อะไรๆ ก็ไทเฮา หากใครไม่รู้มีหวังเข้าใจว่าเขาให้มีเด็กไปตุ๋นถวายไทเฮาบำรุงร่างกายหรอก 


 


 


ซูเม่ยถอดออกจนเหลือเพียงตัวสุดท้ายในอึดใจเดียว นางก็ไม่ยอมขยับอีกแล้ว 


 


 


ที่ท่อนลางของชุดที่ขาวสะอาดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด 


 


 


” ฝ่าบาท เคยทรงได้ยินหรือไม่ หากมีสัมพันธ์ขณะมีระดูจะทำให้คนเจ็บป่วย ” นางงัดเอาไม่สุดท้านออกมา 


 


 


จีเฉวียน ” เราเป็นโอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์ย่อมไม่ถูกโรคร้ายรบกวน” 


 


 


ซูเม่ย “……….” ถึงกับพูดไม่ออก 


 


 


อาจเพราะคืนนี้สวมใส่เสื้อผ้ามามากชิ้นไป สายรัดเส้นสุดท้ายเริ่มคลายเล็กน้อย พอเมื่อครูนางขยับเขยื่อนตัววุ่นวาย ยามนี้จึงทำให้มีแอเปิ้ลสองลูกโผ่ลออกมาจากหน้าอก 


 


 


แอปเปิ้ลที่แวววาวกลิ้งกุลุกๆ ลงมา หล่นลงไปหยุดแทบเท้าของจีเฉวียน 


 


 


จีเฉวียนทอดพระเนตรมองแวบหนึ่ง ผลแอปเปิ้ลที่สดใหม่ สีแดงฉ่ำ ขนาดใหญ่ประมาณกำหมัดทั้งสองผล 


 


 


สายพระเนตรมองไปทางซูเม่ย คราวนี้ทรวงอกของนางกลับแบนราบลง 


 


 


” หืม? ” จีเฉวียนทรงหยิบแอปเปิ้ลลูกหนึ่งมาวางลงบนโต๊ะ “ซูเม่ย ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะแก้ตัวกับเราเสียหน่อยหรือ? “ 


 


 


มุมปากของซูเม่ยกระตุก นางหัวเราะออกมาช้าๆ ” ฝ่าบาทเพคะ ผู้คนในใต้ล้าล้วนแตกต่าง ถึงหม่อมฉันจะเป็นโฉมงามอันดับสองของต้าโจว แต่ว่าหน้าอกกลับเล็ก …ดังนั้นจึงไม่มีทางอื่นต้องเอาของพวกนี้ยัดใส่ไว้ หม่อมฉันเพียงแต่รักสวยรักงาม มิได้มีใจจะโกหกหลองลวงฝ่าบาทเลยเพคะ” 


 


 


จีเฉวียนหัวเราะเสียงเย็น คว้าแอปเปิ้ลผลนั้นกัดลงไปคำหนึ่งต่อหน้าต่อตาซูเม่ย 


 


 


” ฝ่าบาท ไม่นะเพคะ! ” ซูเมยร้องออกมาเสียงดัง ก็เงียบไป 


 


 


ที่ด้านนอกตำหนัก เดิมทีอันหว่านจือได้ยินไม่ชัดฟังไม่รู้เรื่องว่าในห้องบรรทมคุยอะไรกัน ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงของซูเม่ยตะโกนร้องออกมา นางอิจฉาขึ้นมาเสียจนตัวสั่นสะท้าน 


 


 


เดิมผู้ที่สมควรจะนอนลงบนเตียงมังกรในตอนนี้ควรจะเป็นนางต่างหาก! 


 


 


ผู้ที่สมควรจะได้รับความรักความเอ็นดูจากฝ่าบาทก็คือนาง! 


 


 


ทำไมกัน…..ทำไมนางถึงต้องมาทนฟังเสียงพรอดรักของฝ่าบาทกับซูเม่ย? 


 


 


” ซูเม่ย อายุสิบเก้า วันที่เกิดมา สรรพสัตว์ล้วนน้อมคำนับ ” จีเฉวียนหยิบแอปเปิ้ลอีกลูกขึ้นมา ตรัสอย่างไม่เร็วไม่ช่า 


 


 


“หย่งเฉิงอ๋องและชายารักใคร่กลมเกลียวหาใดเปรียบ ปีที่แต่งงานนั้นก็ได้ให้กำเนินบุตรคนหนึ่ง แต่ว่าบุตรชายคนโตกลับสิ้นบุญไป ห้าปีหลังจากนั้นก็ให้กำเนิดบุตรติดต่อกันสามคน แต่โชคร้ายล้วนตายแต่เยาว์วัย “ 


 


 


ขณะที่พระองค์ตรัสนั้น สีหน้าของซูเฟยที่ยิ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ 


 


 


” ตอมาภายหลัง หย่งเฉิงอ๋องได้พบกับผู้สูงส่งท่านหนึ่ง ผู้สูงส่งท่านนั้นได้ตรวจดูดวงชะตาให้เขา บอว่าชะตาของเขาถูกลิขิตไว้แล้ว ชีวิตนี้ไม่อาจมีบุตรชาย มีได้เพียงบุตรสาว” 


 


 


พระองค์ยิ่งตรัส สีหน้าของซูเม่ยก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ 


 


 


นางหรี่ตาลง จดจ้องไปยังพระองค์บ้าง ” ฝ่าบาทช่างรอบรู้อย่างกว้างขวาง แม้แต่เรื่องครอบครัวของเหล่าขุนนางยังทราบกระจ่างชัด” 


 


 


” หย่งเฉิงอ๋องจงรักภัคดีต่อเรา เราย่อมต้องใส่ใจขุนนางที่ภัคดีเช่นนีเป็นพิเศษอยู่แล้ว” 


 


 


จีเฉวียนโยนแอปเปิ้ลในมือเล่น ดวงเนตรหงส์มองไปทางซูเม่ย ” ช่างบังเอิญเหลือเกิน เมื่อสิบเก้าปีก่อนหย่งเฉิงอ๋องก็มีบุตรชายอีกคน กุ้ยเฟย เจ้าลองว่ามาซิ บุตรชายผู้นั้นหายไปไหนกัน? “ 


 


 


สีหน้าซูเม่ยอึมครึมหนักหนา สายตาทอดมองไปบนร่างของจีเฉวียน  

 

 


ตอนที่ 149 จะมีใครงดงามกว่าข้าอีก?

 

นางมิค่อยได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้องค์นี้ จึงไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นจอมเจ้าเล่ห์ช่างวางแผนขนาดนี้ 


 


 


เรียกนางมาที่ตำหนักตี้หัวเพื่อถวายตัวที่ไหนกัน เห็นอยู่ว่าเขาต้องการเอาชีวิตนางชัดๆ! 


 


 


จีเฉวียนขยับพระองค์ประทับยืนขึ้น เสด็จมาถึงเบื้องหน้านาง ยัดแอปเปิ้ลลงไปในอ้อมอกของนาง ” หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาเกรงว่าบุตรคนที่ห้าจะสิ้นไปตั้งแต่น้อยอีก จึงได้เลี้ยงเขาดังบุตรสาวมาโดยตลอด ทั้งยังบอกออกไปสู่ภายนอกว่าเขาเป็นสตรี เรื่องนี้จึงถูกเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด สุดท้ายแล้ว คุณชายน้อยห้าของหย่งเฉิงอ๋องที่เป็นบุรุษปลอมเป็นสตรีมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยนั้น ก็เข้าวังมากลายเป็นกุ้ยเฟยของเรา “ 


 


 


ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ถามอีกประโยคว่า “ซูเม่ย เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม? “ 


 


 


ซูเม่ยถือแอปเปิ้ลผลนั้นไว้ โดยมิได้เสแสร้างใดๆ อีก กระทั่งสายตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชากว่าเดิม ” ในเมื่อฝ่าบาทก็ทรงทราบแต่แรก แล้วไยยังจะต้องมาเล่นละครเช่นนี้กับข้าด้วย? “ 


 


 


จีเฉวียนยืนอยู่ข้างๆ เขา ยิ้มเย็นๆ ออกมา ” เป็นบุรุษแท้ๆ แต่กลับต้องใช้ชีวิตอยู่ในฐานะของสตรี เกรงว่าสิบเก้าปีมานี้เจ้าคงจะคิดว่าตนเองเป็นสตรีไปแล้วละมั้ง “ 


 


 


” เราอนุญาตให้เจ้าไปเขาจงหลิงเฝ้าสุสานถวายพระมารดา ก็เพราะเห็นแก่หย่งเฉิงอ๋องจึงได้เว้นทางรอดแก่เจ้าสายหนึ่ง เดิมทีชั่วชีวิตนี้เราจะไม่เรียกเจ้ากลับเข้าวัง เจ้าสามารถท่องไปได้ทั่วแผ่นดิน แต่ว่าเจ้ากลับต้องการกลับมาวังหลวง” 


 


 


” กลับมาก็แล้วไปเถอะ แต่เจ้ากลับใช้ฐานะกุ้ยเฟย ไปล่อลวงไทเฮา ช่วยโอกาสยามเข้าใกล้สนิทสนมกับนาง ดูท่าเจ้าคงไม่คิดจะอยากรักษาหัวของตนเองเอาไว้อีกแล้วสินะ” 


 


 


พอเขายกตู๋กูซิงหลันขึ้นมาพูด สีหน้าของซูเม่ยก็เปลี่ยนไปในทันที ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงได้ยินเขากล่าวปนหัวเราะออกมา “ฝ่าบาท ข้ากับอาหลันเติบโตมาด้วยกัน ดูแลห่วงใยนางก็ถือเป็นเรื่องปกติ ทำไมในสายตาพระองค์จึงกลายเป็นล่อลวงและฉวยโอกาสไปได้เล่า? “ 


 


 


พูดแล้ว เขาก็ล้วงเอาเข็มเงินเล่มหนึ่งขึ้นมาจากแขนเสื้อขว้างออกไปทางหน้าต่าง เข็มนั้นก็ปักลงไปบนลำคอของอันหว่านจือ นอกจากประโยคที่ว่า ” ไม่นะเพคะ ” อันหว่านจือก็ไม่ได้ยินประโยคใดอีกเลย 


 


 


เมื่อโดนเข็มบินไปเล่มหนึ่ง นางก็ล้มลงไปบนพื้น สลบปางตายไปจริงๆ 


 


 


จีเฉวียนมิได้สนพระทัยอันหว่านจือที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นเลย สายพระเนตรของพระองค์ยังคงจับจ้องอยู่บนร่างของซูเม่ย ตรัสตอบเพียงประโยคเดียวว่า ” ช่างไม่รู้จักละอาย” 


 


 


ซูเม่ยได้ยินแล้ว ก็มิได้วางตนสงบนิ่งอีก เขาหัวเราะออกมาราวกับนางปีศาจ “ฝ่าบาท นับตั้งแต่อาหลันเกิดมา ข้าก็อยู่เคียงข้างนางมาโดยตลอด ยามที่นางยังเป็นทารกนั้น ข้าเคยป้อนข้าว เปลี่ยนผ้าอ้อมให้นาง หากมิใช่ว่าท่านพ่อท่านแม่ไม่อนุญาตให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตเป็นบุรุษ ข้าก็คงจะสู่ของอาหลันไปตั้งนานแล้ว แม้แต่เจ้าเด็กจีเย่ว์นั้นก็อย่าได้คิดจะมาติดพันอาหลัน” 


 


 


” แต่เพราะว่ามีฐานะอันคลุมเคลือเช่นนี้ ข้าจึงไม่มีหนทางจะไปสู่ขอนาง ได้แต่เลือกเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ขอเพียงได้อยู่เป็นเพื่อนนางข้าก็มีความสุขแล้ว” 


 


 


เมื่อซูเม่ยกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา ก็ถอดถอนหายใจยาวอีก 


 


 


ตลอดช่วงหลายปีมานี้ เขาได้แต่เก็บงำความลับที่ตนเองเป็นบุรุษเอาไว้ นอกจากบิดามารดาแล้วก็ไม่มีบุคคลที่สี่รู้อีก คิดไม่ถึงว่าพระปรีชาสามารถของฮ่องเต้จะจะแผ่ไปทั่วแผ่นดินจริงๆ แม้แต่เรื่องราวที่ลึกลับขนาดนี้ก็ยังถูกเขาค้นพบ 


 


 


ค้นพบแล้วก็แล้วไปเถอะ แต่การที่พระองค์ทรงรู้ฐานะของเขาอยู่ตั้งแต่แรก แต่กลับทรงแกล้งทำเป็นไม่ทราบสิ่งใดอีก 


 


 


ฮ่องเต้เช่นนี้ ช่างเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจลอบวางแผนเก่งนัก 


 


 


ที่ผ่านมาต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เขาเองก็เคยคิดหากว่าวันหนึ่งความลับถูกเปิดเผยออกมา เขาจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อความลับนี้ถูกฝ่าบาทพบเข้าแล้ว เขากลับมิได้รู้สึกกังวลใดๆ อีก 


 


 


ทั้งยังรู้สึกว่า เป็นการปลดปล่อยอย่างหนึ่ง 


 


 


แต่ว่าความรู้สึกที่มีต่ออาหลันนั้น ราวกับว่าเขาได้รู้จักนางมาตั้งแต่ในชาติก่อนแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นตู๋กูฮูหยินอุ้มท้องใหญ่โตตอนที่เขาอยู่บนท้องถนน เขาก็ติดตามไปอย่างไม่อาจหักห้ามตนเองได้ 


 


 


ถึงขนาดติดตามเข้าไปในบ้านของผู้อื่น 


 


 


ต่อมายามเมื่ออาหลันจะเกิดมานั้น เขาก็คอยเฝ้ารับใช้อยู่ด้วนนอก 


 


 


เพื่อจะได้เป็นคนแรกที่ได้เห็นเด็กน้องคนนั้น 


 


 


จากนั้นนะหรือ เขาก็มักจะรู้สึกอยู่เสมอๆ ว่าบนร่างของเด็กน้อยนั่นมีสิ่งใดขาดหายไป จนกระทั่งเมื่อกลับเข้าวังมาแล้วได้พบอาหลันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็พบว่าหลังจากที่เขารอคอยมานานหลายปี ในที่สุดนางก็มาแล้ว 


 


 


ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนี้ ความรู้สึกผูกพันกันตั้งแต่ชาติก่อนจนมาถึงชาตินี้ ทำให้เขามองออกตั้งแต่ในแวบแรกเลยทีเดียว 


 


 


ซูเม่ยพูดออกไปตั้งมากมาย แต่จีเฉวียนกลัยสาดน้ำเย็นใส่เขา ” นางไม่ใช่สตรีที่เจ้าจะสามารถคิดถึงได้ “ 


 


 


ซูเม่ยชะงักงั้นไปครู่หนึ่ง ดวงตาราวหมาจิ้งจอกคู่นั้นจ้องมองจีเฉวียน ” เช่นนั้นแล้วจะอย่างไร? ยามนี้นางเป็นไทเฮา บุรุาและสตรีทั้วทั้งแผ่นดินต่างก็ไม่มีสิทธิได้นางไป” 


 


 


พูดแล้วซูเม่ยก็ถวายคำนับให้กับจีเย่ว์ ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นมองด้วยความวิงวอนกึ่งขอร้อง ” ฝ่าบาท บิดาของข้าเป็นขุนนางเก่ามาสามรัชกาล หากพูดอย่างไม่น่าฟัง พวกเราเป็นฝ่ายตรงข้ามกับการแย่งชิงบันลังค์ของอี้อ๋อง จวนหย่งเฉิงอ๋องมีกองกำลังยิ่งใหญ่ ดังนั้นข้าขอกราบทูลของพระเมตตาอย่างอุคอาจ โปรดทรงอนุญาตให้ข้าอยู่ในวังหลวงด้วยฐานกุ้ยเฟยต่อไป” 


 


 


วรองค์ของจีเฉวียนสูงกว่าเขาเล็กน้อย ในแววตาของพระองค์มีแต่ความเหน็บหนาว ” เจ้าคิดว่าเราจะเก็บบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ในวังหลังหรือ? เราคิดอยากจะมีหญ้างอกเงยอยู่บนหัวหรือไง? “ 


 


 


ซูเม่ยก็เถียงเขากลับในทันที ” ฝ่าบาท วังหลีงมีสนมสามพันนาง แต่จะมีใครงดงามไปกว่าข้าอีก? “ 


 


 


จีเฉวียนตอบชื่อหนึ่งออกไปอย่างไม่ต้องคิดว่า ” ตู๋กูซิงหลัน” 


 


 


ซูเม่ย ” ไทเฮาไม่ถือเป็นดอกไม้งามในวังหลัง นางเป็นพระมารดาเลี้ยงของพระองค์ ต่อให้….. ก็ไม่มีทางมาทำพระพระเศียรของพระองค์เขียวไปได้” 


 


 


พอได้ฟังแล้ว สายพระเนตรของจีเฉวียนก็ยิ่งเย็นชากว่าเดิม สายพระเนตรของพระองค์ราวกับกำลังส่งสัญญาณตักเตือนออกมา ” นั่นจะอย่างไรก็เป็นมารดาเลี้ยงของเรา ไม่ถึงรอบให้เจ้าต้องมาคอยดูแล เจ้าอยู่ให้ห่างจากนางหน่อย “ 


 


 


สีหน้าของซูเม่ยอึมครึมไปชั่วขณะ พอคิดขึ้นมาได้ว่าตนมองเห็นสายตาที่จีเฉวียนมีต่ออาหลัน หัวใจของเขาก็อึดอัดขึดข้องหายใจไม่ออกไปหมด ” ฝ่าบาท ไยพระองค์จะต้องทรงทำเช่นนี้ หรือเพราะถูกอาหลันทำให้หวั่นไหวเข้าแล้ว? “ 


 


 


พอเขากล่าวประโยคนี้ออกไป บรรยากาศในห้องก็อึดอัดขึ้นมาทันที จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง สาดแววอันตรายออกมาในทันที “ซูเม่ย ดูท่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่มานานไปหน่อยแล้ว” 


 


 


เขาจะไปหวั่นไหวได้อย่างไร? เขาก็แค่มีปัญหาเรื่องหัวใจกับสายตาเท่านั้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคือ ไทเฮา นางไม่สมควรอยู่ใกล้บุรุษอื่นใดทั้งนั้น! 


 


 


ต่อให้เป็นสตรีด้วยกันก็ไม่ได้! 


 


 


พอเห็นพระองค์มีปฎิกิริยาเช่นนี้ สายตาของซูเม่ยก็ยิ่งเย็นเฉียบขึ้นไปอีก 


 


 


เขาเข้าใจดีว่าความรู้สึกที่หลงรักใครสักคนนั้นเป็นเช่นไร ในตอนที่สายตาของอาหลันมีแต่เพียงจีเย่ว์ เขาเองก็รู็สึกเช่นนี้เหมือนกัน! 


 


 


เพียงได้เห็นผู้ใดแตะต้องนางก็อิจฉาจนจะเป็นบ้า! กระทั่งความคิดที่จะฆ่าจีเย่ว์ให้ตายก็ยังมี 


 


 


ดังนั้นเขาจึงอยู่ฝ่ายที่ขัดขวงจีเย่ว์ ทั้งยังขอให้บิดามารดาสนับสนุนจีเฉวียน 


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าเบื้องหน้ามีหมาป่า เบื้องหลังมีเสือ ทั้งสองต่างมิใช่ตัวดี 


 


 


ในเมื่อจีเฉวียนไม่อยากยอมรับ เขาก็จะไม่ถามให้มากความ เพียงแตาถวายคำนับอีกครั้ง ” ขอฝ่าบาทโปรดอภัย เป็นข้ากล่าวมากความไปเอง” 


 


 


จีเย่ว์พึ่งจะไปได้ไม่ทันไร ตอนนี้กลับมีจิ้งจอกเฒ่าที่ฝีมือสูงส่งว่าจีเย่ว์เสียอีก ทำเอาซูเม่ยถึงกับปวดหัวหนัก 


 


 


ที่เขาอาศัยฐานะของอสตรีเข้ามาในวังหลัง ก็เพราะอยากจะอยู่กับอาหลัน เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่า น้ำพัดมาเส้นทางก็บังเกิด นึกไม่ถึงว่าไปได้ครึ่งทางจะมีฮ่องเต้โผล่ขึ้นขวางมาเสียได้ 


 


 


แต่ยังดีที่ฮ่องเต้ผู้นี่ยังไม่ยอมรับ นี้จึงยังพอจะมีโอกาสให้เขาอยู่บ้าง 


 


 


ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า ” เราอนุญาตให้เจ้ารั้งอยู่ในวังหลังได้ เฉพาะยามกลางวันเท่านั้น ต่อไปทุกคืนเจ้าจะต้องมาถวายตัวที่ตำหนักตี้หัว” 


 


 


ซูเม่ยคิดว่าตนเองฟังผิดไปแล้ว เขาคิดว่าด้วยพระอุปนิสัยของฮ่องเต้จะต้องไปปล่อยตนเองไปโดยง่าย นี่หากไม่เพียงไม่สับเขาเป็นท่อน ก็คงจะต้องให้เขาได้รับความเจ็บปวดทางผิวกายบ้าง แต่ว่าที่ให้มาถวายตัวทุกๆ คืน เช่นนี้จะหมายความว่าอย่างไร?  

 

 


ตอนที่ 150 ไม่มีความสามารถเช่นนั้น

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่เขาถึงได้ทูลออกไปว่า ” ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นบุรุษ มิอาจถวายตัวปรนนิบัติได้ “ 


 


 


” เจ้าเป็นกระเทย เราสั่งให้เจ้าถวายตัว เจ้าก็ต้องทำ ” จีเฉวียนไม่ให้โอกาสเขาได้ปฎิเสธแม้แต่น้อย 


 


 


ซูเม่ยรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว อยู่ดีๆ เขาก็นึกถึงข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่ววังหลังขึ้นมา เรื่องของฝ่าบาทและท่านราชครูที่ไม่ว่าใครที่รู้ต่างก็ไม่กล้าพูดออกมา 


 


 


จีเฉวียนทางหนึ่งก็มีความสัมพันธ์อันคลุมเคลือกับราชครู ทางหนึ่งก็หมายตาอาหลัน สองด้านต่างคว้าเอาไว้ไม่พอ แม้กระทั่งตัวเขาก็ยังจะรวบเอาไปด้วย?  


 


 


สายตาของซูเม่ยสาดประกายเย็นวาบขึ้นมา เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามเขาก็ยังไม่อาจต่อต้านได้สำเร็จ 


 


 


ครู่ต่อมาก็ได้ยินฝ่าบาทรับสั่งอีกว่า “อีกสิบเดือนจะต้องมีทำตอบให้ไทเฮา ในเมื่อนางชมชอบราชนัดดานัก ก็มีให้นางเสีย” 


 


 


คราวนี้ซูเม่ยถึงกับ……นี่ฮ่องเต้ทรงไม่ถือสาเขาที่ไหนกัน?  


 


 


เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากำลังผลักเขาไปสู่ความตายโดยแท้ เขาเป็นบุรุษ จะไปเอาพระราชนัดดาจากไหนมาถวายให้ได้กัน?  


 


 


” ฝ่าบาท กระหม่อม……ไม่มีความสามารถแบบนั้นจริงๆ พะยะค่ะ” 


 


 


” นั่นมันเรื่องของเจ้า เจ้าไปหาทางจัดการเอาเอง ในเมื่อนางต้องการลูกของเจ้า เจ้าก็ไปคิดหาวิธีเอา” 


 


 


จีเฉวียนตรัสเพียงเท่านี้ ซูเม่ยก็เข้าใจขึ้นมาอีกหลายส่วนแล้ว ฮ่องเต้ต้องการให้เขาไปหลับนอนกับสตรีอื่น จากนั้นก็มีลูกออกมาให้อาหลันอุ้มเล่น?  


 


 


ช่างเป็นฮ่องเต้ที่ดีนัก!  


 


 


แม้แต่สายโลหิตราชวงศ์ก็ยังไม่สนใจ!  


 


 


คิดจะใช้วิธีนี้ ขับไล่เขาไปจากข้างกายอาหลัน แล้วยังกล้าพูดว่าไม่ได้พอใจในตัวอาหลันอีกหรือ?  


 


 


ตรัสแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาอีก เพียงทอดพระเนตรมองเขาอย่างเย็นชา ” เราเหนื่อยแล้ว ต้องการจะพักผ่อน” 


 


 


ซูเม่ยตัดสินใจถอยหลังไปในทันที เพื่ออาหลันแล้ว เขาจะต้องรักษาความบริสุทธิ์ของร่างกายนี้เอาไว้ให้ได้!  


 


 


” เจ้านอนบนพื้น เราจะนอนบนที่นอน หากว่ามีเสียงดังจนทำให้ตื่น……..” พอพูดถึงตรงนี้จีเฉวียนก็หยุดไปชั่วขณะ “หากว่ามีเสียงดังจนทำให้ตื่น เราก็อาจจะฆ่าคน” 


 


 


ซูเม่ย “………..” แบนนี้แหละที่เขาว่า เห็นแล้วไม่สบอารมณ์ เลยคิดหาวิธีมากำจัดกัน จะอย่างไรเขาก็ถือเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของหย่งเฉิงอ๋อง มีหรือที่จะถูกฆ่าเอาได้ง่ายๆ กัน?  


 


 


 


 


 


…………………………. 


 


 


 


 


 


ดึกดื่นมากแล้ว แต่ไฟในพระตำหนักบรรทมยังคงไม่ถูกดับลง เหล่าขันทีน้อยต่างพากันลอบมองมาแต่ไกล แล้วก็อดที่จะหน้าแดงไปตามๆ กันไม่ได้ 


 


 


นี่ฝ่าบาท……….นานเกินไปแล้วหรือไม่ ไม่รู็ว่าซูกุ้ยเฟยจะรับไหวได้กี่รอบกัน 


 


 


 


 


 


……………… 


 


 


 


 


 


วันรุ่งขึ้น ยามที่ฝ่าบาทและซูกุ้ยเฟยต่างก็ตื่นบรรทมกันแล้ว เหล่าขันทีน้อยถึงได้เขาไปดูแลภายในห้องบรรทม 


 


 


จุ๊ๆๆ …..ในห้องบรรทมถึงกับมีสภาพเละเทะวุ่นวายไปหมด!  


 


 


โดยเฉพาะบนเตียงบรรทม ราวกับได้ผ่านสงครามที่รุนแรงมาอย่างไรอย่างนั้น แถมยังมีรอยเลือดพวกนั้นอีก ไม่ต้องคิดก็รู้เลยว่าเมื่อคืนนี้มีความเคลื่อนไหวที่คึกคักเพียงไหนกัน 


 


 


เรื่องของฝ่าบาทกับท่านราชครูจะยังคลุมเครืออย่างไรนั้นไม่มีใครรู้ แต่ว่ากับซูกุ้ยเฟยนั้น …….อันนี้สิของจริง ถึงขนาดที่รั้งเอาไว้ไม่อยู่แล้ว 


 


 


ยามที่ข้ารับใช้ในวังได้เห็นซูกุ้ยเฟยเสด็จออกไปนั้น นางมีท่าทางระทดระทวย สีหน้าปราศจากสีเลือด เส้นผมล้วนยุ่งเหยิง ไหนเลยจะดูงดงามเย้ายวนเหมือนยามปกติได้อีก ดูไปประหนึ่งลูกแกะตัวน้อยที่พึ่งรอดชีวิตจากการถูกหมาป่าตัวใหญ่รังแกมา 


 


 


ใบหน้าของข้ารับใช้ทั้งหลายยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ต่างคนก็ต่างพยายามเข้าไปแสดงความยินดีกับนาง 


 


 


” กุ้ยเฟยเพคะ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปท่านก็ถือเป็นอันดับหนึ่งในวังหลังแล้วนะเพคะ ฝ่าบาททรงโปรดปรานท่านนัก “ 


 


 


” ใช่เพคะ กุ้ยเฟย พวกบ่าวไม่เคยเห็นฝ่าบาททรงโปรดปรานผู้ใดเช่นนี้มาก่อนเลย” 


 


 


” ขอแสดงความยินดีกับกุ้ยเฟย “ 


 


 


เสียงแสดงความยินดีมากมายนั้น ซูเฟยคล้ายจะได้ยินอยู่เพียงริมหูเท่านั้น 


 


 


เขานอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบอยู่ทั้งคืน กระทั้งผ้าซับระดูผืนนั้นยังเย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็ง หากรู้แต่แรกละก็คงจะไม่ต้องเทเลือดกระต่ายลงไปมากมายถึงเพียงนั้น 


 


 


ตอนนี้ร่างกายของเขาหนักอึ้งไปหมด เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็เจออันหว่านจือขวางรออยู่ข้างหน้า 


 


 


เมื่อคืนอันหว่าจรือสลบอยู่ด้านนอกตลอดทั้งคืน วันนี้สีหน้าของนางจึงไม่สู้ดี กระทั่งริมฝีปากก็ยังเย็นแข็งจนเกือบม่วง 


 


 


พอเห็นซูเม่ยที่มีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง อันหว่านจือก็ยิ่งคิดไปถึงเสียงที่ไหนยินเมื่อคืนนี้ สีหน้าของนางจึงยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก 


 


 


ในเมื่อมีผู้คนมากมายลอบดูอยู่ นางย่อมไม่กล้ากระทำอะไรกับซูเม่ย เพียงแต่จ้องเขม็งไปที่หน้าอกของเขา 


 


 


นางขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที ….ตอนอยู่ในเขาจงหลิงนางเคยไปมาหาสู่กับซูเม่ยอยู่หลายครั้ง นางจำได้ว่า หน้าอกของซูเม่ยไม่ได้เล็กเพียงเท่นนี้ 


 


 


ซูเม่ยไม่สนใจนาง เพียงมุ่งตรงออกจากตำหนักตี้หัวไป 


 


 


เขาไม่ได้กลับไปตำหนักชุ่ยเว่ย แต่ว่ามุ่งไปทางตำหนักเฟิ่งหมิง 


 


 


หิมะหยุดตกแล้ว แต่ว่ายังมิได้ละลายไป ลมหนาวพัดไม่ยอมหยุด ทำให้อากาศเย็นยิ่งกว่ายามหิมะตกเสียอีก 


 


 


พอเขามาถึงประตูใหญ่ของตำหนักเฟิ่งหมิง ก็ได้เห็นตู๋กูซิ่งหลันในทันที นางยังคงสวมชุดสีเขียวดำเช่นเดิม เกล้าผมอย่างง่ายๆ และมิได้แต่งหน้าเลยแม้แต่น้อย 


 


 


ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นคนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรง 


 


 


” อาหลัน ” เขาร้องเรียกออกไป ร่างกายที่หนักอึ้งพยายามก้าวออกไป 


 


 


ยามที่ตูกู๋ซิงหลันได้เห็นซูเม่ยนางค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง มีที่ไหนกันที่พึ่งผ่านคืนถวายตัวแล้ววิ่งมาหาตนเอง?  


 


 


แต่ก็ไม่รู่ว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อคืนนี้นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ พอคิดว่าอีกไม่นานตนเองจะได้มีหลานที่งดงามน่ารักขึ้นมา ในใจก็เอาแต่ตื่นเต้นไม่ยอมหยุด 


 


 


พอเห็นท่าทางที่อ่อนล้าเปราะบางของซูเม่ย นางก็อดสงสารไม่ได้ 


 


 


” อาหลัน” ซูเม่ยเรียกนางติดติดๆ กัน ยื่นมือออกไปหานาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเข้าไปรับตัวเขาเอาไว้ ถึงได้พอว่ามือทั้งสองของเขาร้อนระอุ 


 


 


” ทำไมเจ้าถึงมีไข้ได้? ตู๋กูซิงหลันรีบพยุงเขาเข้าไปในตำหนักเฟิ่งหมิง พาเขาไปนอนบนเก้าอี้เอนของตนเอง 


 


 


จากนั้นก็รีบไปสั่งเชียนเชียนให้นำน้ำร้อน ผ้าเช็ดตัวมา ช่วยเขาเช็ดหน้าด้วยตนเอง 


 


 


ซูเม่ยนอนอยู่บนพื้นมาทั้งคืน ท่ามกลางฤดูหนาวที่รุนแรง จีเฉวียนกลับไม่ยอมให้ผ้าห่มเขาสักผืน แม้กระทั่งเสื้อคลุมของเขาก็ยังริบไปด้วย 


 


 


เช่นนั้นก็ยังแล้วไปเถอะ แต่เขายังเปิดหน้าต่างเอาไว้ช่องหนึ่ง ให้ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาหาตนเอง ซูเม่ยโดนรังแกเช่นนี้อยู่ทั้งคืน 


 


 


พอโดนเช่นนี้ไปเข้า ร่างกายก็ชักจะจับไข้ขึ้นมา ยามนี้จึงร้อนรุ่มไปทั้งตัว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันช่วยเขาเช็ดเสร็จ ข้อมือก็ถูกซูเม่ยเกาะกุมเอาไว้ เขาหรี่ตาจิ้งจอกนั้นมองดูนาง กล่าวเสียงอ่อนล้าว่า ” อาหลัน ข้าตายแล้วหรือยัง? “ 


 


 


“พูดจาเลอะเทอะอะไร? ” ตู๋กูซิงหลันใช้มืออีกข้างลูบศีรษะของเขา “ก็แค่มีไข้ นอนลงพักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย” 


 


 


นางพูดพลางก็ช่วยเขาจัดมุมผ้าห่มไปพลาง พอเห็นว่าที่แถวคอของซูเม่ยมีรอยถลอก ก็อดที่จะจุปากไม่ได้ “อายุยังน้อยจะทำอะไรก็ต้องดูแต่พอประมาณ ดูสิทำไมถึงได้เป็นเสียขนาดนี้” 


 


 


ซูเม่ยฟังแล้วยิ่งน้อยใจหนักขึ้นไปอีก สีหน้าโศกเศร้าปานจะร้องไห้ ” ฝ่าบาท เขาไม่ใช่คน” 


 


 


เห็นอยู่ชัดๆ ว่านั่นนะเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ กระทั่งเขาที่ยังเป็นแค่ผู้เยาว์ที่อ่อนแอเช่นนี้ ก็ยังโดนรังแกเสียทีจนเจ็บช้ำ 


 


 


เขาเป็นบุรุษในคราบสตรีมาสิบเก้าปี แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าตนเองเกือบจะกลายเป็นสตรีไปแล้ว ทั้งกิริยาอาการ วิธีวางตัวและแสดงออก เขาไม่เคยทำให้เกิดช่วงโหว่เลยแม้แต่น้อย แม้แต่อาหลันเองก็ดูไม่ออก 


 


 


แต่ว่าจีเฉวียนกลับมองทะลุรู้ตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


ทั้งยังวางแผนรังแกเขาเช่นนี้ นี่มันจอมมารชัดๆ  


 


 


” เขาก็เป็นขนาดนี้แล้วยังจะ….” ตู๋กูซิงหลันแสนประหลาดใจ หรือจะเป็นเพราะว่านางบอกว่าเขาไม่ไหว ทั้งยังได้ตักเตือนเขาไปบ้าง เขาถึงได้มาบีบคั้นอย่างบ้าคลั่งเอากับร่างกายของเสี่ยวซูเฟย 


 


 


พอเห็นซูเม่ยที่ท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ ตู๋กูซิงหลันก็เกิดความใจดีมีเมตตาที่มีอยู่ไม่บ่อยนัก นางรู้สึกว่าครั้งนี้คนเองติดค้างซูเม่ยอยู่บ้างแล้ว  

 

 


ตอนที่ 151 คำรักรำพัน

 

” อาหลัน ฝ่าบาทมีประสงค์ให้ข้าถวายตัวทุกคืน” ซูเม่ยอาศัยจังหวะที่นางกำลังสงสารตนเอง เริ่มป้ายสีจีเฉวียนอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


” เจ้าไม่รู้หรอกว่าเขาน่ากลัวขนาดไหน เขาเป็นพวกชอบความรุนแรง ” ความสามารถในการสาดน้ำมันลงไปของซูเม่ยนับว่าดีอยู่ไม่น้อย ” ฝ่าบาทตรัสว่า จะต้องให้ข้าตั้งครรภ์ภายในหนึ่งเดือนให้ได้” 


 


 


พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็น้อยอกน้อยใจอย่างที่สุด 


 


 


เชียนเชียนได้แต่คอยดูแลอยู่ข้างๆ ว่ากันตามจริง หากไม่ใช่เพราะว่าสีหน้าซูเม่ยทุกข์ระทม นางคงจะนึกสงสัยว่าซูเม่ยมาหาเจ้านายของตนเองเพื่ออวดอ้างแล้ว 


 


 


เพราะเหล่าพระสนมในวังหลังนี้ หากเคาะสมองออกมาดูใครบ้างละจะไม่ต้องการให้ฝ่าบาทเหลียวแลนางให้มากหน่อย 


 


 


นางกลับดีนัก ได้รับความโปรดปรานมาแค่คืนหนึ่ง ก็สามารถทำให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยใจให้นางตั้งครรภ์องค์ชายแล้ว 


 


 


นี่ต้องเข้าใจก่อนว่า ตามธรรมเนียมของแคว้นต้าโจวนั้น หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานสตรีผู้หนึ่งแล้ว ก็ไม่แน่ว่าสตรีผู้นั้นจะมีสิทธิ์คลอดองค์ชายได้ 


 


 


จะมีองค์ชายได้หรือไม่นั้นย่อมต้องแล้วแต่ฮ่องเต้จะทรงมีพระประสงค์ 


 


 


หากไม่ต้องการ จบเรื่องแล้วก็จะถูกพาตัวไปยังห้องๆ หนึ่ง ดื่มยาสลายบุตรลงไปชามหนึ่ง ภายในการจัดการของเหล่าหมัวมัวก็สามารถขับออกไปราวของเสียอย่างหนึ่งได้ 


 


 


ซูเฟยไม่เพียงแต่เป็นสตรีคนแรกที่ฝ่าบาทโปรดให้ถวายตัว ฝ่าบาทยังมีพระประสงค์ให้นางตั้งครรภ์ เมื่อมองไปข้างหน้า ในวังหลังยังมีผู้ใดมีโชคลาภเช่นนี้ได้อีก?  


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกมึนศีรษะไปบ้างเล็กน้อย นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจีเฉวียนยามอยู่บนเตียงจะกลายเป็นพวกชอบความรุนแรงได้อย่างไร 


 


 


จีเฉวียนถึงแม้จะมิใช่ตัวดีเท่าไหร่ แต่นางก็รู้สึกว่า กับสตรีของตนเองแล้ว เขาไม่มีทางเป็นพวกที่ชอบความรุนแรงไปได้หรอก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันงงงันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่ปล่อยให้ซูเฟยกุมมือของตนเองเอาไว้ นางก็คอยเอาผ้าอุ่นๆ เช็ดหน้าให้เขา 


 


 


โบราณมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า มารดาสูงศักดิ์มีบุตรยิ่งใหญ่ เสี่ยวซูเฟยนับว่าอยู่ในเงื่อนไขข้อนี้ ขอเพียงฮึดสู้สักหน่อย คลอดองค์ชายหรือองค์หญิงออกมาสักคน ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาไปเลยก็ได้ 


 


 


ในบรรดาเหล่าลูกสะใภ้มากมายในวังหลัง คนที่ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดนอกจากเสี่ยวหยวนเฟยแล้ว ก็มีแต่เสี่ยวซูเฟยนี่ละ 


 


 


เสี่ยวหยวนเฟยนั้นเอาแต่ร่ำร้องเรื่องที่ว่าจีเฉวียนไม่มีขนหน้าอก เกรงว่าอยู่กับฝ่าบาทไปก็คงจะไม่ได้ผลอะไรออกมา 


 


 


แต่เสี่ยวซูเฟยนั้น บรรยากาศเวลาอยู่ร่วมกับฝ่าบาท ดูไปราวกับภาพวาดของจิ้งจอกพันปี ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าช่างโดดเด่นและดึงดูดสายตามากจริงๆ  


 


 


ตู๋กูซิงหลันเป็นคนเช่นไรกัน ผู้อื่นดีกับนางสักหน่อย นางย่อมดีคืนเป็นสิบเท่า 


 


 


เพราะฉะนั้นนางคาดหวังอย่างยิ่งว่าซูเม่ยจะสามารถคลอดบุตรชายหรือหญิงสักคนแล้วได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา 


 


 


ซูเม่ยเห็นสีหน้าของนางแล้ว ในใจแทบจะมีเลือดหยาดหยด ความรักที่ถูกทับถมเอาไว้ในใจแค่นั้นยังไม่พอ ยังมีข้อกีดขวางด้วยศักดิ์ฐานะที่ไม่อาจก้าวข้ามได้อีก ทำให้เขาหัวใจของเขาราวกับถูกแผดเผา 


 


 


ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขายังพอจะประคับประคองความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานนี้ไปได้บ้าง 


 


 


แต่ไม่รู้ว่าทำไม นับตั้งแต่ที่ตนเองกลับเข้าวังมาและได้เห็นนาง ความรู้สึกที่ถูกทับถมไว้ทั้งหมดก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่อีก 


 


 


เขาชอบตู๋กูซิงหลันในยามนี้! ชอบอย่างที่สุด! ชอบอย่างไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น!  


 


 


ราวกับว่ารอคอยนางรอมานานนับพันปีแล้ว 


 


 


แต่ยามนี้เมื่อมีจีเฉวียนคอยจดจ้องตะครุบนางอยู่ข้างๆ ไม่ว่าเขาจะคิดดูอย่างไร ช้าเร็วอาหลันจะต้องถูกเจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นจับกลืนกินลงไปแน่ๆ  


 


 


โดยเฉพาะสาวน้อยเช่นอาหลันนี้ ย่อมไม่มีทางรับมือกับจิ้งจอกเฒ่าอย่างจีเฉวียนได้เด็ดขาด หากไม่ระมัดระวังตัวเมื่อไร ก็อาจตกลงไปในกับดักของเขาได้ทุกเมื่อ เมื่อนั้นก็มิอาจหลบหนีได้อีก 


 


 


อาหลันของเขาสมควรได้เป็นนางพญาหงส์บนท้องฟ้า จะได้มิต้องถูกจีเฉวียนกักขังเอาไว้ในมุมเล็กๆ ของวังหลวง กลายเป็นนกในกรงทอง 


 


 


คิดถึงตรงนี้ขึ้นมา เขาก็คว้ามือของอาหลันเอาไว้แนบแน่นกว่าเดิม ” อาหลัน ข้า….” 


 


 


เขายังไม่ทันได้กล่าวคำพูดของตนเองออกมา ที่ประตูตำหนักมีสายตาเย็นชากวาดมองเข้ามา เป็นจีเฉวียนที่ทรงชุดมังกรทอง ยกพระบาทก้าวใหญ่ๆ เข้ามาข้างในตำหนัก 


 


 


” สนมรัก เราพึ่งจะตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเจ้าแล้ว เจ้าช่างแสนกตัญญู รีบมาเฝ้าไทเฮาอยู่ที่นี่หรือ? “ 


 


 


ขณะที่ตรัสอยู่นั้น มุมประโอษฐ์ของจีเฉวียนก็ขยับยกขึ้น แย้มสรวลให้อย่างใส่พระทัย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่ง จึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ 


 


 


เห็นท่าทางที่คึกคักเข้มแข็งของเขาเช่นนี้ ใครไม่รู้คงจะนึกว่าเขาเป็นจงหยวนบู๊เข้าให้ 


 


 


ซูเม่ยเกือบจะกระโดดขึ้นมาทั้งตัวแล้ว คำพูดที่ยังไม่ทันได้กล่าวออกมาเป็นต้องกลืนลงท้องไปอีกครั้ง 


 


 


จีเฉวียนเห็นซูเม่ยนอนอยู่บนเบาะอ่อนของตู๋กูซิงหลัน ดวงเนตรของเขาก็พลันเกิดไอเย็นขึ้นมา แต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงมิได้หายไปไหน เขาเดินเข้าไปใกล้ นั่งลงใกล้ซูเม่ย ” ดูสิ เพราะว่าเมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยเกินไป ไม่สบายหรือ? “ 


 


 


จีเฉวียนตรัสออกไปได้อย่างชนิดที่ว่าหน้าไม่แดงใจไม่เต้นแรง ทั้งยังคว้าเอาผ้าอุ่นๆ บนมือของตู๋กูซิงหลันมาช่วยเช็ดหน้าให้ซูเม่ยอีกด้วย 


 


 


ไม่เพียงเท่านั้นยังไม่ลืมที่จะกล่าวประโยคสร้างความเข้าใจผิดให้ผู้คนอีกว่า ” เมื่อคืนสนมรักต้องเหนื่อยยากมากแล้ว” 


 


 


ประโยคนี้ขนาดตู๋กูซิงหลันฟังแล้วยังรู้สึกถึงความอบอุ่นซึมซาบออกมาได้เลย 


 


 


แต่ว่าเมื่อซูเม่ยได้ฟัง หากเขายังกล้าร่ำร้องออกมาคำหนึ่งมีหวังต้องถูกจีเฉวียนประหารทิ้งแน่ 


 


 


เมื่อวานนี้พระองค์ก็ทรงเตือนเขาเอาไว้แล้ว ให้เขาอยู่ห่างๆ จากอาหลัน 


 


 


แต่วันนี้พอฟ้าสางเขาก็พุ่งมาหาอาหลันก่อน แน่นอนว่าจะต้องทำให้พระองค์พิโรธเป็นแน่ 


 


 


” ไม่ๆๆๆ หม่อมฉันไม่ลำบาก ฝ่าบาททรงราชการเหน็ดเหนื่อย นั้นจึงจะนับว่าลำบากจริงๆ ” ซูเม่ยงัดเอามารยาของสาวน้อยออกมา ทำเอาจีเฉวียนคลื่นไส้จนแทบกระอัก 


 


 


น่าเสียดายที่ฝ่าบาททรงเป็นผู้ที่มีพระทัยเข็มแข็งดุจภูผา พระองค์เพียงแต่ปรายพระเนตรน้อยๆ คิดจะทรงตรวจสอบดูว่าตู๋กูซิงหลันมีท่าทีเช่นไร 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ด้านข้างของเขา ดวงตาดอกท้อของนางจับจ้องอยู่บนคนทั้งสอง ใบหน้ายังคนด้านชา ไม่มีสีแดงเลยแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่ยังคงเป็นประกายสุกใส 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่เป็นโสดมานานจนถึงขั้นชินชาแล้ว ทุกวันนี้หน้าหนาขนาดที่มีดก็ยังบาดไม่เข้า 


 


 


ถ้อยคำพรอดรักรำพันของคนทั้งคู่ไม่สามารถกระทบกระเทือนนางได้เลย 


 


 


อ๋อ นอกจากว่าพวกเขาจะลงมือทำกันจริงๆ ให้ดูสักรอบ 


 


 


” ไทเฮา ท่านดูสิ เพื่อจะให้ท่านได้อุ้มหลายโดยไว ร่างกายของกุ้ยเฟยแทบจะโดนคว้านเสียแล้ว” ว่าแล้ว จีเฉวียนก็กระซิบลงไปที่ข้างหูของตู๋กูซิงหลันอย่างหน้าไม่อาย 


 


 


เขาไม่เชื่อหรอกว่า ตู๋กูซิงหลันจะไม่มีปฎิกิริยาเลยแม้แต่น้อย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขากำลังโอ้อวดตนเองอยู่ 


 


 


นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวออกมาด้วยความจริงใจว่า “ฝ่าบาท ร่างกายของเสี่ยวซูเฟยไม่อาจรองรับความรุนแรงมากเกินไปได้ ครั้งต่อๆ ไปพระองค์ควรจะอ่อนโยนมากกว่านี้สักหน่อยนะเพคะ “ 


 


 


จีเฉวียน “……….” เขากำลังแสดงความโปรดปราน “สตรี” อีกคนต่อหน้านาง แต่นางกลับไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยจริงๆ หรือ?  


 


 


ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเพื่อจะได้หาโอกาสยั่วยวนเขานางถึงขนาดคิดหานับพันนับร้อยวิธีไม่ใช่หรอกหรือ?  


 


 


ตอนที่อยู่ในทะเลสาบหยู่จื่อถาน ไม่ใช่ว่าขนาดหลังเท้าของเขายังจะจูบเลยมิใช่หรือ 


 


 


ตอนนี้มาทำเป็นหน้าใหญ่ใจกว้าง ทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก 


 


 


ในพระทัยของจีเฉวียนยิ่งทียิ่งคุกรุ่นขึ้นมาเรื่อยๆ รอยแย้มสรวลของเขากลายเป็นยิ้มแต่หน้าตาไม่ยิ้มเสียแล้ว “ตามแต่ไทเฮาจะทรงโปรด เราจะ ‘อ่อนโยน’ กับกุ้ยเฟยให้มากกว่านี้ “ 


 


 


ตรัสแล้ว ก็เห็นเขาคว้าตัวซูเม่ยขึ้นมาจากเบาะอ่อน “กุ้ยเฟยเป็นสตรีของเรา ในเมื่อเจ็บป่วยเราก็ควรจะดูแล จงอย่าได้มาอยู่รบกวนความเงียบสงบของไทเฮา ติดตามเรา กับตำหนักตี้หัวเถอะ “ 


 


 


ตรัสจบแล้ว ก็มิได้รอให้ซูเม่ยได้พูดอะไรทั้งสิ้น จัดแจงคว้าตัวเขาออกไปจากตำหนักเฟิ่งหมิงในทันที 


 


 


ชนิดที่ว่าหิ้วคอเขาลอยออกไปเลย ถึงซูเม่ยจะมีน้ำหนักตัวกว่าร้อยชั่ง แต่กลับลอยละลิ่วออกไปราวลูกไก่ตัวหนึ่ง 


 


 


พอมองเห็นว่าตู๋กูซิงหลันกำลังห่างออกไปทุกที ซูเม่ยก็ได้แต่มองอย่างแสนอาลัย 


 


 


กลับไปตำหนักตี้หัวคราวนี้ ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะถึงขนาดตอนเขา ให้กลายเป็นสตรีไปจริงๆ   

 

 


ตอนที่ 152 นังคนไม่รู้จักความสงบเสงี่ยม

 

อีกเพียงแค่ครึ่งเดือนก็จะถึงช่วงสิ้นปีแล้ว ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็พากันคึกคักขึ้นมา 


 


 


ขณะเดียวกันข่าวของซูกุ้ยเฟยก็แพร่สะพัดออกไปถึงนอกวังแล้ว 


 


 


ชาวเมืองหลวงต่างก็ปรบมือด้วยความยินดี ขอบคุณเทวดาฟ้าดิน ในที่สุดฝ่าบาทก็ลืมพระเนตร รู้จักโปรดปรานพระสนมบ้างแล้ว 


 


 


ก่อนหน้านี้ข่าวลือต่างก็แพร่สะพัดกันไปทั่ว ว่าฝ่าบาททรงถูกไทเฮาล่อลวงจนสูญเสียกระทั่งพระวิญญาณไปแล้ว 


 


 


โปรดปรานพระสนมหรือ ดีเลย จะได้ทำให้ไทเฮาต้องถอดใจอย่างไร้ทางเลือก 


 


 


ดูท่ารอจนถึงปีหน้า ท้องของซูกุ้นเฟยก็คงจะมีสัญญาณอะไรออกมาบ้างแล้วละมั้ง? 


 


 


พวกเขาต่างก็รอคอยองค์ชายและองค์หญิงด้วยใจจดจ่อมานานแล้ว 


 


 


………………………… 


 


 


หยวนเฟยเตร็ดเตร่อยู่นอกวังมาหลายวันแล้ว หลายปีก่อนนั้นพระบิดาเป็นฝ่ายตัดสินพระทัยมาสวามิภัคดิ์กับต้าโจวด้วยพระองค์เอง อีกทั้งพระบิดายังเคยช่วยชีวิตอดีตฮ่องเต้เอาไว้ ดังนั้นในแคว้นต้าโจว ชาวหนานเจียง (ชาวแดนใต้) จึงมีอิสระอยู่พอสมควร 


 


 


ในเมืองหลวงก็มีชาวหนานเจียงทำมาค้าขายอยู่ค่อนข้างมาก 


 


 


บนถนนทิศเหนือมีตลาดนัดกลางคืนอยู่แห่งหนึ่ง แถบนั้นเป็นแหล่งรวมตัวของชาวเผ่าต่างๆ ในแคว้นต้าโจว นางเองก็มาเตร่อยู่แถวนี้เป็นวันที่สามแล้ว เพื่อจะตามหาหมอผีที่เชื่อถือได้ 


 


 


เพื่อเบี้ยเลี้ยงของนางในปีหน้านางย่อมต้องทุ่มเทอย่างยิ่งแล้ว 


 


 


ดังนั้นค่ำคืนนี้ นางจึงมาอีกครั้ง 


 


 


ท้องฟ้าพึ่งจะมืดค่ำ ทั่วทั้งตลาดกลางคืนก็สว่างไสวขึ้นมา 


 


 


แสงโคมแวววาม เรืองรองระยิบระยับ 


 


 


หยวนเฟยแต่งกายเช่นสาวน้อยชาวหนานเจียง เมื่ออยู่ในตลากนัดย่อมเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว 


 


 


นางใช้ผ้าปิดบังโฉมหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากแดงเรียบลื่นดุจไข่มุกทั้งบนล่าง ดวงตาดำกลมโตงดงามเรืองรองเช่นเดียวกับแสงโคม ยิ่งดูน่าหลงใหล 


 


 


ในตลาดกลางคืนมีลมโชมมาเป็นระยะ เมื่อลมพัดมาแต่ละที กระดิ่งในตลาดกลางคืนก็ส่งเสียงกรุ้งกริ๋งไปตามลม 


 


 


หยวนเฟยประทับยืนอยู่ข้างร้านริมทางที่ขายตัวหนอนตากแห้ง ฟังเสียงกระดิ่งลมที่ลอยมา ทำให้นางอดที่จะคิดถึงค่ำคืนในแดนหนานเจียงของพวกนางไม่ได้ 


 


 


ฤดูหนาวของหนานเจียงมิได้หนาวเย็นรุนแรงเช่นเมืองหลวง ยามค่ำคืนพวกเขามักจะก่อกองไฟ ผู้คนต้างจับมือกับและกันร้องเพลงเต้นรำไปรอบๆ 


 


 


บนข้อมมือและข้อเท้าของบรรดาสาวน้อยล้วนพระดับไว้ด้วยกระพรวน ยามที่เต้นรำก็จะเกิดเสียงเช่นเดียวกันกับกระดิ่งลมเหล่านี้ น่าฟังยิ่งนัก 


 


 


ยามนั้นทุกๆ ที่ล้วนเปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะ ทั้งยังคึกคักสนุกสนานเสียยิ่งกว่าตลาดนัดแห่งนี้เสียอีก 


 


 


หากว่าท่านพ่อมิได้สิ้นไป หากว่านางยังมิได้เข้าวังมา ยามนี้นางก็สมควรจะอยู่ที่หนานเจียง ยังคงเป็นเช่นเด็กสาวที่มีแต่ความสุขและสดใส 


 


 


 


 


 


ยิ่งคิดไปๆ มุมปากของนางก็ยิ่งปรากฎยอยยิ้มขึ้นมา 


 


 


เจ้างูเขียวเลื้อยลงมาจากข้อมมือของนางพันตัวลงไปบนท่อนแขนเพื่อจะนอนหลับ สายพันธุ์ของมันนี้ต้องการการพักผ่อนมาเป็นพิเศษ 


 


 


ตัวมันเองก็มิได้นอกเหนือไปเช่นกัน 


 


 


หยวนเฟยประทับยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก็มองเห็นเงาร่างของคนที่ดูคุ้นเคยอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถึงแม้ว่าผู้นั้นจะแต่งกายเชกเช่นคนธรรมดา แต่จากใบหน้านั้น นางสามารถจดจำได้ในทันที นั่นคือองค์หญิงใหญ่มิใช่หรือ? 


 


 


องค์หญิงใหญ่ที่สูงศักดิ์ เสด็จมาทำอะไรในตลาดนัดกลางคืนกัน? 


 


 


หยวนเฟยมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าที่ข้างกายขององค์หญิงใหญ่นั้นไม่มีผู้ติดตามเลยสักคน 


 


 


นางจึงตามหลังไปด้วยความระมัดระวัง 


 


 


เมื่อถึงท้ายตลาดกลางคืน มีเรือนไม้ที่เก่าจนทรุดโทรมอยูห้องหนึ่ง ที่ด้านนอกของเรือนไม้แขวนธงเก่าๆ สีแดงเลือดที่ดูสะดุดตา หยามเฟยเห็นแล้วพาลรู้สึกขนลุกขึ้นมา ราวกับว่าที่แขวนอยู่นั้นมิใช่ธง แต่ว่าเป็นหัวคนผู้หนึ่ง 


 


 


องค์หญิงใหญ่พึ่งจะเสด็จถึงปากประตูของเรือนไม้นั้น ยังไม่ทันจะเข้าไป หยวนเฟยก็อาศัยดวงตาที่ว่องไวมือเท้าที่รวดเร็ว คว้าพระองค์กลับออกมาก่อน 


 


 


เมื่อดึงออกมาได้ นางก็พบว่าพระหัตถ์ขององค์หญิงใหญ่นั้นเย็นเฉียบเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งอีก 


 


 


เย็นเสียจนหยวนเฟยยังสะดุ้ง นางเงยหน้ามององค์หญิงใหญ่ ก็เห็นว่าแววตาของพระองค์นั้นว่างเปล่า 


 


 


ราวกับว่าได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว และก็เหมือนดั่งหลุมดำที่มืดมิดที่คอยจะดึงดูดนางให้หล่นลงไป 


 


 


หยวนเฟยชะงักไปเล็กน้อย ยังไม่ทันได้มีปฎิกิริยาเช่นไร ก็พลันรู้สึกว่าที่เบื้องหน้านั้นดำมืด หัวสมองมึนเพราะถูกคนใช้ถุงเหวี่ยงเข้าใส่ 


 


 


นางรีบพยายามสงบจิตใจ มือข้างหนึ่งก็เกาะกุมพระหัตถ์ขององค์หญิงใหญ่เอาไว้ ร่างกายก็ก้าวถอยหลังออกไป มืออีกข้างก็พยายามจะสบัดถุงผ้าสีดำที่ครอบลงมาบนศีรษะ 


 


 


มือของนางพึ่งจะขยับ ก็มีคนเข้ามาจับตัวนางเอาไว้ 


 


 


เป็นบุรุษร่างใหญ่ที่มีเรี่ยวแรงมากมาย 


 


 


หยวนเฟยที่เอวบางร่างน้อย พอถูกบุรุษร่างใหญ่พวกนั้นลงมือเพียงเบาๆ ก็ทำเอานางเห็นแต่ดาวระยิบระยับไปหมด 


 


 


ภายใต้การดิ้นรนที่ไม่อาจต่อต้าน นางก็ถูกควบคุมตัวไว้ในที่สุด ทั้งคนและงูต่างก็ถูกครอบไปทั้งตัว 


 


 


องค์หญิงใหญ่ที่ยืนอย่ด้านข้าง ก็มิได้ส่งเสียงใดๆ เลยตั้งแต่ต้นจนจบ 


 


 


หยวนเฟยถูกครอบศรีษะเอาไว้ ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ เพียงได้ยินพวกที่พยายามจับตัวนางเอาไว้กล่าวว่า ” นายท่าน มีแม่นางน้อยผู้หนึ่งพยายามจะเข้ามาทำเสียเรื่อง พวกเราจึงช่วยกันจับตัวมาแล้ว “ 


 


 


‘นายท่าน’ ผู้นั้นมิได้สนใจในตัวนาง ผ่านไปอีกพักใหญ่ ถึงได้กล่าวเสียงแหบต่ำออกมาว่า ” นางยังเป็นพรมจรรย์ เก็บเอาไว้ก่อน เอาตัวไปขังไว้ในคุก” 


 


 


“ขอรับ” เหล่าบุรุษร่างใหญ่พวกนั้นรีบเคลื่อนไหว 


 


 


เมื่อผ้าบนศีรษะถูกถอดออกไป หยวนเฟยมองออกไปรอบด้านก็พบแต่ความมืดมิด แสงโคมในตลาดนัดไม่อาจส่องมาถึง 


 


 


องค์หญิงใหญ่ประทับยืนอยู่ข้างๆ ตัวนาง ราวกับถูกสิ่งใดควบคุมเอาไว้ 


 


 


ที่เบื้องหลังของเหล่าคนพวกนั้น มีคนสวมชุดคลุมสีดำอยู่ผู้หนึ่ง ฟังเสียงแล้วคล้ายว่าจะเป็นบุรุษ 


 


 


หยวนเฟยพยายามหรี่ตามองดู แต่น่าเสียดายที่ใบหน้านั้นอยู่ภายใต้ผ้าคลุมจึงมองได้ไม่ชัดเจน 


 


 


ใต้พระบาทของโอรสสวรรค์ ในเมืองหลวงแท้ๆ กลับมีคนกล้าทำตัวเป็นโจรเรียกค่าไถ่จับตัวนางมา ทั้งยังเป็นช่วงเวลาปลายปีอีกด้วย 


 


 


พอนางเหลือบตามองดู ก็ได้ยินเสียงคนผู้นั้นพูดว่า ” ควักลูกตาของนางออกมาซะ “ 


 


 


หัวใจของหยวนเฟยก็กระตุกขึ้นมาในทันที ทั้งสองมือสองเท้าของนางล้วนถูดมัดเอาไว้ จึงไม่อาจใช้พิษได้ หวังไฉ่ก็ถูกโยนทิ้งไปด้านหนึ่ง จนร่อแร่ปางตาย ถึงแม้ว่านางจะรู้กับวิชาต่อสู้แบบแมวสามขาอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องเผชิญกันบุรุษตัวใหญ่ถึงสองคน ก็ถือว่าเสียงเปรียบอยู่ช่วงใหญ่ 


 


 


บุรุษสองคนนั้นล้อมวงเข้ามา คนหนึ่งจับนางกดลงไปบนพื้น อีกคนก็จับใบหน้าของนางขึ้นมา ตระเตรียมจะควักลูกตาของนาง 


 


 


หยวนเฟยพยายามดิ้นรนจนสุดชีวิต กลับถูกบุรุษร่างใหญ่นั้นตบหน้าอย่างแรงครั้งหนึ่ง กำลังนั้นรุนแรงอย่างที่สุด ทำเอาหัวสมองของนางแทบจะแตกออก เกือบจะหมดลมหายใจไปด้วย 


 


 


เมื่อเห็นว่านางยังเหลือเรี่ยวแรงต่อต้านอยู่ บุรุษผู้นั้นก็ยิ่งตบนางซ้ำไปซ้ำๆ มาอีกหลายหน ตบจนหยวนเฟยรู้สึกมึนงงไปหมด 


 


 


ปากของนางกระอักเลือดออกมา จมูกก็มีเลือดไหลเช่นกัน 


 


 


” นังพวกที่ไม่รู้จักสงบเสงี่ยม หาเรื่องตาย! ” บุรุษผู้นั้นตบตีนางไปก็ด่าทอไปด้วย กระทั่งนางสิ้นฤทธิ์หมดเรี่ยวแรง ไม่อาจส่งเสียงแล้ว ถึงได้หยุดมือ 


 


 


หยวนเฟยปิดตาแน่น ในใจก็รู้สึกว่าตนเองนั้นกำลังตกนรกแห่งความลำบากอย่างที่สุด 


 


 


นางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขัดขืนแล้ว ได้แต่คิดว่าคนต้องจบสิ้นชีวิตแน่แล้ว 


 


 


ฝ่ามือของคนผู้นั้นก็พุ่งลงมาอีก กำลังจะสัมผัสกับดวงตาของนางอยู่แล้ว 


 


 


ในทันใดนั้นเอง ประตูใหญ่ของเรือนไม้ก็ถูกกระชากออก บุรุษที่ตบตีนางผู้นั้นก็ถูกสับเป็นสองท่อนลงตรงหน้านาง! 


 


 


เลือดสดเหล่านั้นสาดกระเซ็นใส่หน้า ทำเอานางแทบจะจมลงไปในความอุ่นร้อนของเลือดเหล่านั้น ท่ามกลางอากาศของฤดูหนาวที่โหมรุนแรงหัวใจของนางตระหนกจนแทบจะหลุดออกมา 


 


 


ศพของบุรุษที่ถูกสับเป็นสองท่อนนั้นถูกทิ้งเอาไว้ด้านหนึ่ง 


 


 


หยวนเฟยพยายามจะลืมตาขึ้นมา แต่กระทั่งขนตาของนางก็ยังเต็มไปด้วยหยดเลือด 


 


 


เมื่อมองออกไป ภายใต้แสงโคมที่สว่างอยู่นั้น ก็มีเพียงประกายของดาบใหญ่ที่วาววับอยู่ ครู่นึ่งคอยมองเห็นเรือนร่างที่แข็งแกร่งและองอาจนั้น 


 


 


ภายใต้แสงสว่างของตลาดกลางคืน นางมองไม่เห็นใบหน้าของเขา 


 


 


ในตอนนั้นเองที่นางพยายามอ้าปากเอ่ยเรียกออกไปนั้น ” ช่วยข้า…..” 


 


 


น้ำเสียงของนางยังไม่ทันขาดคำ บุรุษร่างใหญ่กำยำผู้นั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าตัวองค์หญิงใหญ่ขึ้นมา และแขนอีกข้างก็กำลังจะอุ้มนางเอาไว้ 


 


 


มือของบุรุษผู้นั้นยังไม่ทันจะได้สัมผัสนาง ก็เห็นว่าดาบใหญ่ในเมื่อของเขาบินออกไปในทันที แทงทะลุร่างของคนที่กำลังจะเขามาจนร่างลอยไปปักติดบนกำแพง 


 


 


องค์หญิงใหญ่ที่ถูกเขาแบกเอาไว้บนบ่าลื่นตกลงมา บุรุษผู้นั้นก็ชะงักไปในทันที เขารีบรุ่นไปตรงหน้าองค์หญิงโอบนางขึ้นมาในอ้อมอกอีกครั้งอย่างอ่อนโยน  

 

 


ตอนที่ 153 บุรุษในดวงใจ

 

คราวนี้ หยวนเฟยค่อยสมารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน 


 


 


คนผู้นี่ก็คือ…………….แม่ทัพผู้พิชิต ตู๋กูจุน มิใช่หรือ?  


 


 


ทันทีที่องค์หญิงใหญ่อยู่ในอ้อมกอดของเขา นางก็สิ้นสติไป 


 


 


หยวนเฟยพยายามฝืนถ่างสติตนเองเองไว้ นางมองไปยังตู๋กูจุน ตู๋กูจุนเองก็มองมาที่นางเช่นกัน เขากระชากดาบเล่มใหญ่ออกมาจากร่างของบุรุษผู้นั้น ปัดผ่านร่างของหยวนเฟยเบาๆ เชือกที่มัดนางเอาไว้ก็หลุดออกจนหมด 


 


 


หยวนเฟยมีเลือดเปรอะเปื้อนทั่วทั้งใบหน้า ดังนั้นเขาจึงมองไม่ออกว่าสาวน้อยนางนี้คือผู้ใดกัน 


 


 


เขาในยามนี้ก็ไม่มีกระจิตกระใจมาสนใจสาวน้อยนางหนึ่ง ดาบใหญ่ในฝ่ามือยังมีเลือดหยดไม่ขาดตอน ดวงตาทั้งคู่ของเขาจดจ้องไปยังบุรุษชุดดำที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืด 


 


 


ท่ามกลางห้องที่ทรุดโทรมของเรือนไม้เก่าๆ หลังนี้ ร่างของชายผู้นั้นปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดำมืดออกมา ดูไปยิ่งให้ความรู้สึกชั่วร้ายประหนึ่งปีศาจ 


 


 


” เจ้าคือผู้ใดกันแน่? แม้แต่องค์หญิงยังกล้าแตะต้อง! ” ตู๋กูจุนไม่กล่าวคำพูดไร้สาระ เขาวาดดาบชี้ออกไปในทันที 


 


 


หากไม่ใช่เพราะเขาคอยจับตาดูองค์หญิงใหญ่อยู่ เกรางว่าในค่ำคืนนี้คงเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับนางแล้ว 


 


 


บุรุษชุดดำผู้นั้นซ่อนร่างเอาไว้ใต้ชุดคลุมสีดำอย่างมิดชิด ทั้งยังมิได้กล่าววาจาโต้ตอบเขา 


 


 


คนผู้นั้นกวาดตามองมาที่ทางพวกเขารอบหนึ่ง ในมือก็ปรากฎแส้เหล็กสีดำขึ้นมา บนแส้เต็มไปด้วยหนามแหลมเสมือนกริชทั่วทั้งเส้น เขาไม่เสียงเวลากล่าววาจาสักคำก็กวาดแส้พุ่งมาทางตู๋กูจุนแล้ว 


 


 


ตู่กูจุนตวัดดาบขวางออกไป แส้นั้นก็พัดรัดดาบของเขาเอาไว้ ทันทีที่พันได้รอบหนึ่ง คนผู้นั้นก็ออกแรงกระชากอย่างแรง 


 


 


ด้วยพละกำลังที่รุนแรง ตู๋กูจุนถูกกระชากจนก้าวล้ำไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง กล้ามเนื้อบนหัวไหล่ของเขาเกร็งขึ้นมา เขาพลิกมือขึ้นเอื้อมไปกระตุกกลับครั้งหนึ่ง 


 


 


คนชุดดำผู้นั้นก็ถูกเขาดึงจนโผเข้ามา ร่างกายของคนผู้นั้นคล้ายจะเบามาก ตลอดร่างคล้ายจะมีควันจางๆ สายหนึ่งครอบคลุมอยู่ เขาปลิมมาตามแรงดึงจนมาถึงข้างตัวหยวนเฟย 


 


 


คนชุดดำใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นเอาไว้ มืออีกข้างก็คว้าตัวหยวนเฟย ใช้อุ้มมือของตนเองบีบลำคอของนาง ดึงนางมาขวางหน้าตนเองไว้ 


 


 


ดาบใหญ่ของตู๋กูจุนกำลังแทงออกไป พอเผชิญกับหยวนเฟย ดาบนั้นก็ถูกเขาตวัดกลับมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


” แม่ทัพผู้พิชิต ขอน้อมเตือนท่านประโยคหนึ่ง ทางที่ดีอย่าได้ข้องเกี่ยวเรื่องของผู้อื่น ” ในที่สุด คนชุดดำผู้นั้นก็กล่าววาจาออกมา 


 


 


มือของเขาข้างหนึ่งบีบลำคอของหยวนเฟยเอาไว้ อีกข้างหนึ่งก็ถือแส้ ตลอดร่างล้วนสวมใส่ชุดสีดำสนิท ที่ด้านนอกเริ่มมีผู้คนสังเกตเห็นความผิดปกติบ้างแล้ว 


 


 


คนผู้นั้นเหลือบมองอยู่แวบหนึ่ง ก็ไม่คิดจะรั้งอยู่อีก เขาซัดฝ่ามือใส่หยวนเฟยออกไปครั้งหนึ่ง 


 


 


ฝ่ามือนี้ซัดเข้ากลางแผ่นหลังของนาง นางถูกกระแทกจนกระอักเลือดออกมาในทันที คนลอยเข้าไปหาตู๋กูจุน 


 


 


ตู๋กูจุนรีบตวัดเก็บดาบใหญ่ ยื่นมือออกไปรับตัวหยวนเฟยไว้ 


 


 


ทันทีที่รับตัวหยวนเฟยได้ เขาก็รู้สึกถึงแรงลมของลูกศรดอกหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาจากด้านหน้า ในทิศทางที่เป็นศีรษะของหยวนเฟยพอดิบพอดี 


 


 


อาศัยช่วงเวลาเพียงชั่วประกายไฟแวบหนึ่ง ตู่กูจุนก็พลักนางออกไป ลูกศรจึงปักเข้าสู่ทรวงอกของเขาแทน 


 


 


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงแค่กระพริบตา หยวนเฟยเองก็ยังไม่อาจจะตั้งสติได้ทัน 


 


 


ลูกศรดอกนั้นยังไม่ทันสิ้นแรง ก็มีลูกศรอีกหลายสิบดอกพุ่งตามมา 


 


 


ตู๋กูจุนวางตัวองค์หญิงใหญ่ลง มือกุมดาบใหญ่กระชับมั่น พอกวาดดาบออกไปลูกศรทั้งหมดก็ถูกสกัดเอาไว้ เขากระทืบเท้าลงไปครั้งหนึ่ง ไม้แผ่นหนึ่งก็บินออกไป กลายเป็นตัวสกัดลูกศรที่กำลังพุ่งออกมา 


 


 


ลูกศรมากมายกระเด็นไปปักติดบนขอบประตู ผู้คนที่อยู่ภายนอกพากันตกใจวุ่นวาย ต่างตะโกนร่ำร้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ 


 


 


ตู๋กูจุนเหลือบตาไปที่ด้านนอกแวบหนึ่ง ภายใต้แสงโคมสว่างไสว เขาเห็นเงาดำของคนกลุ่มหนึ่งหมอบนิ่งอยู่บนอาคารฝั่งตรงข้าม เงาดำกลุ่มนั้นกำลังจับตาดูสถานการณ์ ตระเตรียมจะบุกลงมาที่เรือนไม้แห่งนี้ 


 


 


เขาก็ไม่ขบคิดให้มากความอีก มือข้างหนึ่งโอบอุ้มองค์หญิงใหญ่ มืออีกข้างกุมดาบไว้ ทะลายกำแพงที่ด้านหลังออกเป็นช่องทางสายหนึ่ง ขยับเท้าเตรียมจะจากไป 


 


 


ก่อนที่จะก้าวออกไป เขาก็คิดขึ้นมาได้ จึงเหลือบตากลับไปมองสาวน้อยที่มีเลือดท่วมตัวซุกร่างอยู่ในมุมๆ หนึ่ง  


 


 


” หากไม่อยากตายก็ติดตามข้ามา” 


 


 


หยวนเฟยฝืนขยับร่างกายลุกขึ้นไปยืนอยู่ด้านข้างของเขา ร่างกายที่สูงใหญ่ของตู๋กูจุนมอบความรู้สึกปลอดภัยให้กับนาง บนอกของเขายังคงมีลูกศรดอกหนึ่งปักอยุ่ เขาใช้ดาบตัดด้ามมันออกจนสั้น ทั้งๆ ที่บนศีรษะของเขาหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาชั้นหนึ่ง คนกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา 


 


 


หยวนเฟยมองดูริมฝีปากของเขา ก็เคร่งเครียดขึ้นมา ” ท่านแม่ทัพ ลูกศรนี้มีพิษ “ 


 


 


ตู๋กูจุนอยู่ในสนามรบมานานหลายปี ย่อมจะต้องรู้สึกได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะถอยก่อน ไม่ได้ติดตามไล่ล่าชายชุดดำผู้นั้นไป 


 


 


” ไป” เขากล่าวออกไปคำหนึ่ง ก็พบว่าฝีเท้าของสาวน้อยผู้นั้นกำลังอ่อนแรง เพียงแค่เดินก็ยังต้องฝืนใช้กำลังอย่างมาก 


 


 


เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจวางดาบของตนเองลง คว้าหยวนเฟยขึ้นมาบนบ่าตนเอง 


 


 


ทางหนึ่งโอบอุ้มองค์หญิงใหญ่ ทางหนึ่งก็แบกหยวนเฟยเอาไว้ ดาบใหญ่ยอมไม่อาจจะนำไปด้วยได้แล้ว 


 


 


หยวนเฟยเพียงแต่รู้สึกว่าฝ่าเท้าเบาวูบ ศีรษะมึนงง จากนั้นห้องเก่าๆ ในเรือนไม้หลังนั้นก็ห่างไกลตนเองออกไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว 


 


 


รอจนนางรู้สึกตัวได้สติขึ้นมา คนก็อยู่ในจวนตระกูลตู๋กูแล้ว 


 


 


” ท่านแม่ทัพ! ” กองทหารตระกูลตู๋กูเห็นเขามีเลือดอยู่เต็มร่าง บนอกยังมีลูกศรปักอยู่ดอกหนึ่ง ก็พากันตกใจจนหน้าถอดสี 


 


 


ตู๋กูจุนค่อยๆ วางองค์หญิงใหญ่และหยวนเฟยลง 


 


 


” องค์หญิงถูกลอบทำร้าย พวกเจ้าจงเฝ้าเอาไว้ให้ดี ” เขาสั่งแล้วตนเองก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง 


 


 


ล้วนเป็นสีดำทั้งหมด!  


 


 


เหล่าลูกน้องทั้งหลายเห็นแล้วก็พากับตระหนกจนหัวใจแทบจะกระโดดออกมา ท่านแม่ทัพแม้อยู่ท่ามกล่างสงครามก็ไม่เคยกระอักเลือดมาก่อน!  


 


 


เขากล่าวแล้วก็ค่อยวางตัวหยวนเฟยลง ” แม่นางผู้นี้ได้รับบาดเจ็บ เรียกหมอมาดูอาการรักษานางด้วย รอให้นางหายดี ค่อยส่งกลับบ้านไป “ 


 


 


พูดแล้วร่างของเขาก็โอนเอนไปมา 


 


 


” ดาบของข้าแม่ทัพยังอยู่ที่ถนนทิศเหนือ ไปเอากลับมาด้วย” 


 


 


สิ้นเสียงประโยคสุดท้าย ร่างกายใหญ่โตของเขาก็โอนเอนจนล้มลง 


 


 


เหล่าลูกน้องต่างโถมเข้ามาพยุงอย่างรีบร้อน หลายคนต่างช่วยกันพยุ่งเขาเข้าเรือน 


 


 


หยวนเฟยกัดฟันหอบฝีเท้าอ่อนแรงติดตามเข้าไป 


 


 


เลือดบนใบหน้าของนางแห้งแล้ว เมื่อครู่ถูกกระหน่ำตบตี ศีราะมึนงงไปหมด พอเมื่อครู่ได้พักสักหน่อยจึงดีขึ้นมาก 


 


 


ในจวนตระกูลตู๋กูมีแพทย์อยู่โดยเฉพาะตู๋กูจุนพึ่งจะเข้าเรือนไป ก็มีแพทย์ติดตามเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาถอดเสื้อผ้าของตู๋กูจุนออกจนเกลี้ยงเกลาต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย 


 


 


” สวรรค์ ลูกศรนี้พุ่งเข้าสู้หัวใจ หากว่ายังปักลึกลงไปอีกครึ้งนิ้ว เกรงว่าวันพรุ่งนี้จะต้องกลายเป็นวันระลึกถึงท่านแม่ทัพเสียแล้ว! ” สีหน้าของแพทย์ผู้นั้นเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง เขามองดูใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว ริมฝีปากก็กลายเป็นสีม่วงขึ้นมา ในใจของเขาก็ยิ่งร่ำร้อง 


 


 


เหล่าลูกน้องทั้งหลายได้ยินเข้าก็ตะลึงจนหนังศีรษะชาวาบ 


 


 


” พิษชนิดนี้รุนแรงอันตราย ความสามารถในวิชาแพทย์ของข้ามีอยู่จำกัด ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร พวกเจ้ารีบส่งคนเข้าวังไปเชิญหมอหลวงมาดูแลเถอะ” 


 


 


เขาพึ่งจะพูดจบ ก็เห็นตู๋กูจุนพยายามลืมตาขึ้นมาอย่างกินแรง ” ไม่ต้องไป อย่าได้ทำให้น้องเล็กเป็นกังวล” 


 


 


” ท่านแม่ทัพ! เวลาเช่นนี้ท่านจะยังมาห่วงสิ่งใดให้มากความอีก? ” เหล่าลูกน้องทั้งหลายต่างก็ร้อนรนจนจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว เวลาเช่นนี้สมควรจะรีบแจ้งคุณหนูให้รู้จึงจะถูก!  


 


 


” ข้าแม่ทัพบอกว่าไม่ต้องไปก็คือไม่ต้องไป ” ตู๋กูจุนกระแอมไอออกมาอีกสองครั้ง ล้วนเป็นโลหิตสีดำสนิท 


 


 


ลูกน้องทั้งหลายไม่กล้าล่วงเกินเขา ได้แต่หุบปากเงียบลง 


 


 


” อ้ายยะ แล้วนี่จะทำเช่นไรดี ” ท่านหมอร้อนใจจนเหงื่อออกท่วมศีรษะ ท่านแม่ทัพทำไมถึงได้ดื้อดึงเช่นนี้? “ 


 


 


ทั้งๆ ที่อากาศยังหนาวเย็นอยู่แท้ๆ แต่ยามนี้เขากลับร้อนรุมเสียจนมีเหงื่อท่วมไปหมด 


 


 


หยวนเฟยมองดูด้านข้าง นางเช็ดถูใบหน้าที่มีแต่คราบเลือดแห้งๆ ” ให้ข้าลองดู” 


 


 


” เจ้ารึ? เจ้าเป็นเพียงสาวน้อยนางหนึ่ง ข้าเป็นแพทย์มาสามสิบปียังไม่มีความมั่นใจสักนิด เจ้าจะทำอะไรได้หรือ? “  

 

 


ตอนที่ 154 บุรุษที่แปลกประหลาด

 

” เรื่องรักษา ข้าทำไม่เป็น แต่ถ้าจะให้ถอนพิษก็พอจะทำได้” หยวนเฟย เดินไปนั่งลงที่ข้างกายเขา 


 


 


” ท่านแม่ทัพช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้ายอมสมควรตอบแทนมีน้ำใจของท่าน ขอท่านแม่ทัพโปรดเชื่อถือข้าเถอะ ”  


 


 


ตู๋กูจุนมองดูดวงตาของนาง สาวน้อยผู้นี้องอาจกล้าหาญ ดวงตาของนางมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม 


 


 


” รบกวนแม่นางแล้ว” 


 


 


เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ดวงตาหนักอึ้ง คิดแต่จะหลับลงไปเท่านั้น 


 


 


” ท่านแม่ทัพ! ” เหล่าลูกน้องต่างรู้สึกว่าเขาประมาทเกินไปแล้ว สตรีที่ไม่มีที่มาผู้หนึ่งบอกให้เชื่อก็เชื่อถือได้หรือ?  


 


 


หยวนเฟยไม่กล่าววาจาไร้สาระอีก เพียงเห็นนางล้วงเอาเข็มเงินออกมาจากกำไลข้อมือ ยื่นมือไปเหนือทรวงอกของตู๋กูจุน ” ค่อนข้างจะเจ็บอยู่บ้าง ขอท่านแม่ทัพอดทนสักครั้ง” 


 


 


พูดแล้วก็เห็นนางปักเข็มลงไปบนปากแผลของตู๋กูจุนเพียงรวดเดียวก็สิบกว่าเข็ม หลังจากนั้นก็ล้วงเอาหนอนสีดำออกมาจากในถุงข้างเอว วางลงบนจุดที่ปักเข็มเอาไว้ นอนดำได้กลิ่นคาวเลือด ก็ขบกัดลงบนผิวหนังมุดลงไปใต้ผิวหนัง 


 


 


ดวงตาของท่านหมอกลายเป็นไข่ไก่ ” นี่……….. นี่เป็นหนอนพิษ! แม่นางน้อย เจ้าเรียนรู้อะไรไม่เรียน ทำไมเรียนรู้วิชาทำร้ายผู้คน! “ 


 


 


ผู้ที่รายล้อมอยู่ต่างก็ตกตะลึงไป พอพวกเขาเห็นหนอนสีดำเหล่านั้นคลานเข้าไปใต้ร่างของท่านแม่ทัพแต่ละคนก็คิดจะลงมือฆ่านางปีศาจน้อยผู้นี้เสีย 


 


 


” หนอนที่สามารถทำร้ายคน ก็สามารถช่วยคนได้ แก่ๆ อย่างเจ้าไม่รู้จักก็ช่างเถอะ อย่าได้รบกวนข้าช่วยคน” 


 


 


นางต้องการให้หนอนเหล่านี้เข้าไปในเลือดเนื้อของเขา ดูดพิษร้ายเหล่านั้นออกมาให้หมด 


 


 


ท่านหมอโดนตอกหน้าไปรอบหนึ่ง ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเรื่องพิษจึงได้แต่เฝ้าดูอยู่ที่ด้านข้าง 


 


 


หยวนเฟยไม่คิดจะเสียสมาธิเมื่อของนางขยับต่ำลงไปที่บนอกของตู๋กูจุนก็พบว่า 


 


 


ดูสิ! มีขนหน้าอกด้วย! แถมยังดกดำนุ่มแน่นยิ่งกว่าบุรุษที่แข็งแกร่งของชาวหนานเจียงเสียอีก 


 


 


นี่เป็นบุรุษคนแรกในต้าโจวที่นางเห็นว่ามีขนหน้าอก ต่อให้ต้องทุ่มเทชีวิตลงไปนางก็จะต้องช่วยเขาให้ได้  


 


 


ท่ามกลางความมึนงงตู๋กูจุนรู้สึกจั๊กจี้ตรงหน้าอก ยุบยิบๆ เท่ากับว่ามีมือเล็กๆ คู่หนึ่งกำลังลูบไล้ไปมา 


 


 


 


 


 


……………………… 


 


 


 


 


 


 


 


 


เรื่องที่องค์หญิงใหญ่ถูกทำร้าย ท่านแม่ทัพผู้พิชิตได้รับบาดเจ็บ มีผู้เห็นเหตุการณ์อยู่ไม่น้อย เพียงไม่นานข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงจีเฉวียน แม้กระทั่งตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้  


 


 


นางออกจากวังตั้งแต่กลางดึก ทันทีที่มาถึงจวนตระกูลตู๋กู ก็เข้าไปดูพี่ใหญ่ในทันที ยามที่เข้าไปนั้น นางเห็นเพียงตู่กูจุนกำลังหลักพักผ่อนอยู่ ร่างท่อนบนของเขาถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าขาว สีหน้าค่อนข้างสงบนิ่ง หากไม่ใช่เพราะว่าเขากำลังหายใจอยู่ ตู๋กูซิ่งหลันก็คงคิดว่าเขาได้ตายไปแล้ว นางกวาดสายตามองดู เห็นสาวน้อยที่มีเลือดท่วมตัวผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ที่ปลายเตียง มือเล็กๆ ข้างหนึ่ง ยังเอื้อมาสัมผัสกับหน้าอกของพี่ชายตนเอง เมื่อนางเดินเข้าไป หยวนเฟยก็รู้สึกตัว หันศีรษะกลับมามองนาง กล่าวว่า ” วางใจเถอะ พิษของเขาถูกกำจัดไปแล้ว” 


 


 


นางยอมเสียหนอนพิษไปถึงสิบสองตัว ถึงได้ช่วยชีวิต ผู้มีพระคุณผู้นี้เอาไว้ได้ ทันทีที่นางพูดออกมา ก็ได้ยินเสียงของตู๋กูซิง่หลันกล่าวว่า ” เสี่ยวหยวนเฟยเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร 


 


 


” พูดไปแล้วก็คงเป็นเรื่องยาว หยวนเฟยหัวเราะเบาๆ ” สรุปก็ คือว่า ในเมืองหลวงไม่ค่อยสงบนัก” ว่าแล้วนางก็ค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วแน่น นางนั่งลงที่ข้างตัวของตู๋กูจุน พอตรวจสอบดูจนแน่ใจว่าพี่ชายไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต หัวใจที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศถึงได้สงบลงได้ เพียงแต่ดวงตาคู่นั้น ปรากฏแววเย็นยะเยือกออกมา คนในครอบครัวของนางตู๋กูซิงหลัน ผู้ใดที่กล้าแตะต้อง นางจะต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่า 


 


 


ในเมื่อพี่ชายโดนลูกศรไปดอกนึง เช่นนั้นฝ่ายตรงข้าม สมควร ได้รับพันศรแทงหัวใจ!  


 


 


หยวนเฟยมองดูนาง อยู่ๆ ก็อดที่จะรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาไม่ได้ กระทั่งปลายเท้าก็ยังรู้สึกเย็นวูบวาบ  


 


 


ครู่ต่อมาตู๋กูซิงหลันค่อยสั่งให้สาวใช้ในจวนนำหยวนเฟยไปชำระร่างกาย หาเสื้อผ้าใหม่ของนางให้หยวนเฟยสวมใส่ ตัวนางเองคอยเฝ้าตู๋กูจุนอยู่ข้างๆ กระทั่งฟ้าสางแล้วตู๋กูจุนถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา 


 


 


” น้องเล็ก……………… เจ้ามาได้อย่างไร” ตู๋กูจุนเห็นสีหน้าของนางเป็นกังวลในใจก็รู้สึกเจ็บปวดนัก เขาอุตส่าห์สั่งพวกลูกน้องเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ให้รบกวนนาง 


 


 


” ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าท่านแม่ทัพผู้พิชิตได้รับบาดเจ็บแล้วข้าที่เป็นน้องสาว จะไม่รู้ได้อย่างไร ” ตู๋กูซิงหลันกุมมือของตู๋กูจุนเอาไว้ ” ต่อไปหากเกิดเรื่อง จะต้องบอกข้าเป็นคนแรกพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันสมควรรักใคร่ปรองดองเอาไว้” 


 


 


 


 


 


ตู๋กูจุนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ค่อยคลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง ยกมือช้าๆ อย่างกินแรงอยู่บ้าง ลูบศีรษะของน้องสาวเบาๆ พี่ใหญ่ร่างกายแข็งแรงดุจเหล็กกล้า ย่อมสามารถปกป้องเจ้าได้ไหนเลยจะต้องให้เจ้ามาคอยปกป้องด้วย` 


 


 


น้องสาวผู้นี้เติบโตขึ้นแล้วรู้จักปกป้องดูแลผู้อื่น ครู่หนึ่งเขาค่อยถามว่า องค์หญิงใหญ่ทรงเป็นเช่นไร 


 


 


” นางนอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องรับแขก” มีเชียนเชียนคอยดูแลอยู่ 


 


 


 


 


 


ยามที่นางไปแอบมองดูองค์หญิงใหญ่ พระองค์บรรทมอยู่ แต่ถึงจะหลับไม่ได้สติ ก็ยังคงท่องชื่อหนึ่งไม่หยุด ฟู่หม่า (ราชบุตรเขย) ฉางซุนซู่ แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร นางก็ไม่ยอมตื่น ราวกลับว่ากำลังติดอยู่ในความฝัน 


 


 


ตู๋กูจุนขมวดคิ้วแน่น ” ช่วงนี้นางมักจะ ไปกราบไหว้ ฟู่หม่าที่สุสานอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งจะมีท่าทางจิตใจล่องลอย ราวกับคนที่ไร้วิญญาณ ข้าดูแล้วไม่วางใจ จึงได้ติดตามนางไว้อยู่ตลอด  


 


 


เมื่อคืนนี้เห็นนางเข้าไปที่ถนนเหนือ บริเวณตลาดกลางคืน ในเรือนไม้หลังหนึ่ง ดูท่าทางแปลกประหลาดอยู่บ้าง ตอนที่บุกเข้าไปก็พบบุรุษชุดดำ ที่มีท่าทางลึกลับผู้หนึ่ง “ 


 


 


” ท่าทางลึกลับหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันจับประเด็นสำคัญเอาไว้  


 


 


” เป็นบุรุษที่ดูแปลกประหลาดผู้หนึ่ง” ตู๋กูจุนทบทวนความทรงจำรอบหนึ่ง ” ข้ามองไม่เห็นหน้าของเขา น้ำเสียงก็ฟังไม่ออกว่าเป็นคนมาจากที่ใด “ 


 


 


” ผู้ที่สามารถทำให้พี่ใหญ่บาดเจ็บได้ ย่อมสมควรมีฝีมือไม่ธรรมดา ” ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็นำยาที่ได้มาจากท่านหมอ ป้อนให้เขาดื่มทีละช้อน  


 


 


ตู๋กูจุนได้รับการดูแลเช่นนี้ ก็แปลกประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาจดจำได้ว่ายามที่น้องเล็กป่วยเมื่อตอนเด็กๆ นั้น ตอนป้อนยา เขาและเจ้ารองต้องช่วยกันหลอกล่อนาง ใช้วิธีมากมายที่เตรียมไว้นับร้อยอย่าง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่ง น้องเล็กจะเป็นคนป้อนยาให้กับเขา  


 


 


” แล้วแม่นางน้อย พี่ถอนพิษให้ข้าเล่า? ” ดื่มยาไปได้ครึ่งชาม ตู๋กูจุนก็คิดถึง แม่นางน้อยเมื่อวานขึ้นมาได้ เขามองไปรอบทิศ เขามองไปรอบทิศสี่ด้านก็ไม่เห็นตัวคน  


 


 


” นางเองก็ได้รับบาดเจ็บ รอจนนางหายดีแล้ว ข้าจะส่งนางกลับไปบ้านด้วยตัวเอง แม่นางน้อยผู้นั้นช่วยชีวิตข้าไว้ครั้งหนึ่ง ข้าสมควรจะต้องขอบคุณนาง” 


 


 


 


 


 


ขณะที่เขาพูดเรื่องนี้ออกมา หยวนเฟยที่เพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยก็เดินเข้าประตูมาและได้ยินอยู่พอดี แต่ไหนแต่ไร นางไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าของชาวต้าโจว ยามนี้สวมใส่ผ้าไหมที่งดงามอยู่บนล่าง บ่าวหญิงของจวนตู๋กู ยังเปลี่ยนทรงผมเป็นแบบสตรีต้าโจวให้กับนาง ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นเคยเข้าไปใหญ่ 


 


 


” เป็นท่านแม่ทัพที่ช่วยข้าไว้ สมควรเป็นข้าที่ต้องขอบคุณท่านต่างหาก” 


 


 


ตู๋กูจุนหันมามองเห็นนางสวมใส่กระโปรงสีแดง เส้นผมสีดำยาวดุจคลื่นในทะเล ดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูแล้วช่างแตกต่าง กับสตรีทั่วไปที่มีผิวขาว ในทางตรงกันข้ามนั้น ผิวพรรณของนาง เหมือนกับเมล็ดงาคั่วของคนที่มีสุขภาพดี ยามที่นางเดินเข้ามาใกล้ เสียงกระพรวนก็ดังขึ้นเบาๆ ช่างน่าฟังนัก  


 


 


 


 


 


หยวนเฟยเดินมาถึงข้างกายเขา ใบหน้าเล็กๆ นั้นทาบลงไปบนทรวงอกของเขา ” ร่างกายของท่านแม่ทัพแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป แต่ยังไม่สมควรเคลื่อนไหวให้มาก ขอเพียงผ่านไปอีก 1 เดือนก็จะฟื้นฟูดังเดิม” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ด้านข้างของนาง นางเองก็คุ้นเคยกับการแต่งตัว ในแบบสาวน้อยหนานเจียงของหยวนเฟย อยู่ๆ ได้เห็นนางแต่งตัวเช่นนี้ ยังเกือบจะจำไม่ได้มองไม่ออกไปเหมือนกัน  

 

 


ตอนที่ 155 ความชอบธรรม

 

” เสี่ยวเฟยของพวกเราช่างงดงามน่าดูนัก ” ตู๋กูซิงหลัน หยุดป้อนยาครึ่งชามไปครู่หนึ่ง นางหัวเราะเสียงเบา 


 


 


สาวน้อยผู้นี้ดูอย่างไรก็ไม่ใช่สตรีอ่อนแอเปราะบาง ที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ซุ่มไร้เสียงไปวันๆ อย่างเด็ดขาด 


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเสื้อผ้าของข้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ข้าไม่มีทางยอมสวมใส่เสื้อผ้าของท่านเด็ดขาด” 


 


 


หยวนเฟยละใบหน้าออกจากหน้าอกของตู๋กูจุน ใบหน้าของนางแดงระเรื่ออยู่บ้าง 


 


 


” อย่าได้เห็นว่า เพราะท่านชื่นชมข้า แล้วข้าจะไปชอบท่านนะ ข้าไม่ชอบสตรี…….” หยวนเฟยพูดพลางก็ถอยหนีห่างจากนางไปอีกนิด 


 


 


” ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าชอบบุรุษที่มีขนหน้าอก” ตู๋กูซิ่งหลันบีบปลายจมูกของนางเบาๆ อย่างหยอกเย้า 


 


 


ใบหน้าของหยวนเฟยยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก นางก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ” เจ้าพูดจาไร้สาระอันใดกัน” 


 


 


นางพูดไปก็ไม่ลืมถลึงตาใส่ตู๋กูซิงหลัน พลางเหลือบตามองดูตู๋กูจุนด้วยใจเต้นแรง 


 


 


ร่างกายท่อนบนของ ตู๋กูจุนถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลมากกว่าครึ่ง ตู๋กูซิงหลันจึงไม่ได้เห็นว่าบนร่างของเขาเป็นเช่นไร ย่อมไม่รู้ว่าพี่ชายตนเองมีขนหน้าอก 


 


 


ข้างตู๋กูจุนฟังแล้วก็คิดถึงมือเล็กๆ ที่ลูบไล้หน้าอกของเขาเมื่อวานขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดูหยวนเฟยอยู่แวบหนึ่งนึง ” คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยเมื่อวานนี้ก็คือพระสนม ข้าแม่ทัพเสียมารยาทไปแล้ว “ 


 


 


ตู๋กูจุนคิดจะลุกขึ้นมาคำนับ นางก็รีบเข้ามากดให้เขานอนลงบนเตียงเบาๆ 


 


 


 


 


 


” ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บ อย่าได้มากมารยาทไปเลย เมื่อกลับเข้าวังแล้ว ข้าจะต้องกราบทูลฮ่องเต้ให้ตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตอย่างแน่นอน” 


 


 


สีหน้าของหยวนเฟยยังคงแดงก่ำไม่หาย โชคยังดีที่นางไม่ใช่คนผิวขาว ดังนั้นแก้มสองข้างที่แดงขึ้นมาจึงดูไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ 


 


 


” เช่นนี้……พวกท่านก็สนทนากันไปก่อนเถอะ ข้าจะไปดูองค์หญิงใหญ่” 


 


 


ไม่รอให้สองพี่น้องตู๋กูทันพูดอะไร นางก็ชิงวิ่งหนีไปราวสายลมหอบหนึ่ง 


 


 


” นางช่างน่ารักจริงๆ ” ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังของนางก็อดที่จะยิ้มออกมาราวกับพวกแม่สื่อไม่ได้ ทั้งยังหันไปมองพี่ชายใหญ่ของตนเอง ถามความเห็นอีกว่า ” พี่ใหญ่ว่าใช่หรือไม่? “ 


 


 


” น้องเล็กน่ารักที่สุด” บุรุษที่พันปีจะมีสักคนหนึ่งเช่นตู๋กูจุน นอกจากน้องเล็กของเขาแล้ว สตรีอื่นดูอย่างไรก็เหมือนๆ กันไปหมด ถึงแม้ว่าหยวนเฟยจะดูพิเศษกว่าสตรีทั่วไปอยู่บ้าง แต่อย่างไรน้องเล็กก็ยังดีที่สุด ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ นางรู้สึกว่า นิสัยเช่นพี่ใหญ่นี้ คงได้แต่เป็นโสดไปพันปีเสียแล้ว 


 


 


………………………………….. 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเพิ่งจะป้อนยาอีกครึ่งชามให้ตู๋กูจุนจนหมดก็เห็นเชียนเชียนวิ่งมาด้วยความรีบร้อน 


 


 


” นายหญิงเจ้าคะ ท่านรีบมาดูเร็วๆ เข้า อาการองค์หญิงใหญ่ไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ! “ 


 


 


ตู๋กูจุนได้ยินเข้าเขากลับรีบร้อนยิ่งกว่าตู๋กูซิงหลันเสียอีก เขาแทบจะถลาลงจากเตียง แผลที่พึ่งพันผ้าไว้ฉีกออก เลือดสดใหม่ซึมออกมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบพาเขากลับไปบนเตียง “พี่ใหญ่ท่านอย่าได้ ใจร้อน 


 


 


มีข้าอยู่นี่ องค์หญิงใหญ่จะต้องไม่ทรงเป็นอะไร” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปชั่วขณะ นางรู้มาตลอดว่าพี่ใหญ่ห่วงใยองค์หญิงใหญ่แต่คิดไม่ถึงว่านางจะประเมินความรู้สึกนี้ต่ำเกินไป 


 


 


เพียงแค่ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิงใหญ่ แม้แต่ชีวิตของตนเองเขาก็ไม่ไยดีแล้ว 


 


 


” ข้าไม่เป็นอะไร” ใบหน้าของตู๋กูจุนขาวเผือก เขากดบาดแผลที่ฉีกบนหน้าอกไว้ พยายามจะลงจากเตียงให้ได้ 


 


 


” ข้าจะไปดูนาง” พูดแล้วเขาก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้า ใส่เสื้อคลุม เดินมุ่งไปทางเรือนทิศตะวันตก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันติดตามอยู่ด้านหลังของเขา เห็นพี่ชายใหญ่เดินเหินอย่างมั่นคงดูไปไม่คล้ายคนที่ได้รับบาดเจ็บมา 


 


 


จะอย่างไร เขาก็ผ่านสงครามมาตลอดหลายปี บาดเจ็บมานับครั้งไม่ถ้วน บาดแผลครั้งนี้สำหรับเขาแล้วไม่นับว่าเป็นอะไรได้ 


 


 


ในเรือนทิศตะวันตก หยวนเฟยนั่งอยู่ข้างๆ เตียงขององค์หญิงใหญ่ 


 


 


องค์หญิงใหญ่ทรงหลั่งเหงื่อท่วมใบหน้า หอบหายใจอย่างอึดอัดไปทั้งร่าง 


 


 


ก่อนหน้านี้นางยังไม่มีอาการเช่นนี้ แต่ตอนนี้อาการกลับรุนแรงขึ้น คล้ายดั่งคนเป็นไข้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่ยอมรู้สึกตัว 


 


 


ยามที่ตู๋กูซิงหลันและตู๋กูจุนมาถึง ก็เห็นมุมโอษฐ์ขององค์หญิงใหญ่มีเลือดซึมออกมา ตู๋กูจุนรีบเข้าไปที่ข้างกายขององค์หญิงใหญ่ เขาบีบโอษฐ์ของนางเอาไว้ ใส่หลังมือตนเองเข้าไปทันที เพียงครู่เดียวก็เห็น หลังมือของเขาถูกองค์หญิงใหญ่กัดจนมีเลือดออก เลือดสดไหลลงจากหลังมือของเขาลงไปถึงปลายคางของนาง 


 


 


” ข้าเคยเห็น คนที่กัดลิ้นตนเองมามาก นางจะต้องตกอยู่ในฝันร้าย ทุกข์ทรมานจนทำร้ายตนเอง” ตู๋กูจุนปล่อยให้นางกัดหลังมือของตน โดยมิได้ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย 


 


 


” ท่านแม่ทัพ ท่านพึ่งจะได้รับบาดเจ็บมา…….” หยวนเฟยเห็นเขาถูกกัดเช่นนั้น ก็รู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง 


 


 


นางเป็นคนที่กลัวความเจ็บปวดที่สุด หากถูกกัดจนเลือดออกเช่นนี้ เปลี่ยนเป็นตัวนางคงจะทนไม่ได้แน่ นางพูดพลางก็รีบควานหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ส่งไปให้เขา ตู๋กูซิงหลันรีบเข้าไปช่วยดึงมือของตู๋กูจุนออกมา จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าใส่เข้าไปในปากขององค์หญิงใหญ่แทนป้องกันไม่ให้นางกัดลิ้นตนเองจนขาด ตลอดช่วงเวลานั้นอาการขององค์หญิงใหญ่ยิ่งทียิ่งแย่ลง นางทุกข์ทรมานอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ปิดตาอยู่แต่กลับมีน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ขาด 


 


 


” นางเป็นอะไรกันแน่ ถูกสะกดหรือไม่ เมื่อวานยามที่ข้าได้พบกับนาง ก็รู้สึกว่า จิตใจของนางไม่อยู่กับตัว ราวกับคนที่ไร้วิญญาณ “ 


 


 


เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่แสนจะอันตรายเมื่อคืนนี้ สีหน้าของหยวนเฟยก็ย่ำแย่ลง ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของนางได้ แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังเงียบงันไปชั่วขณะ นางมองดูองค์หญิงใหญ่ ที่มีอาการคล้ายถูกกักขังอยู่ในความฝัน ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงองค์หญิงใหญ่ส่งเสียงครวญครางอยู่ตลอด พระหัตถ์กำแน่นเข้า เล็บจิกลงไปในใจกลางฝ่ามือจนมีโลหิตไหลออกมา 


 


 


” ปีศาจความฝัน” 


 


 


ผ่านไปอีกครู่ใหญ่นางถึงได้กล่าวคำนี้ออกมา 


 


 


วิญญาณทมิฬก็คลานออกมาจากเงาของนางปีนขึ้นไปบนหัวไหล่ 


 


 


” ดูถ้าข้าจะประมาทโลกใบนี้ไปเกินไปแล้ว ถึงขนาดมีผู้ที่เลี้ยงปีศาจความฝันไว้ด้วยหรือ” วิญญาณทมิฬย่นจมูก 


 


 


มันพยักหน้าเอาคางอ้วนๆ ของมันชี้ไปทางตู๋กูซิงหลันกล่าวว่า ” ขอร้องข้าสิ เจ้าขอร้องข้า ข้าจะไปเรียก ไอ้ตัวเล็กนั่นออกมา ” ตู๋กูซิงหลันหันไปเขกหัวมันรอบหนึ่ง 


 


 


วิญญาณทมิฬใช้มือสั้นๆ ของมันกอดหัวทุยๆ เอาไว้ส่งเสียงครางหงิงๆ ออกมา บรรยากาศภายในห้องเงียบงันวังเวง ได้ยินแต่เสียงลมพัดวูบ ตู๋กูจุนและหยวนเฟยต่างก็หันไปมองตู่กูซิงหลัน ทั้งสองต่างไม่เข้าใจว่าทำไมนานจะต้องทุบตีบ่าของตนเองด้วย 


 


 


คราวนี้ ภายใต้สายตาที่เย็นเยือกของตู๋กูซิงหลัน วิญญาณทมิฬ ได้แต่ทำท่าทางหงอยๆ อย่างน่าสงสาร มันกระโดดลงไปบนร่างขององค์หญิงใหญ่ เพียงชั่วแว็บเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำ หายเข้าไปในหน้าผากขององค์หญิงใหญ่ 


 


 


ปีศาจความฝันเช่นพวกมันนี้ สามารถกลืนกินความฝัน และสามารถกักขังผู้คนให้ติดอยู่ในความฝันได้ ยามที่ตู๋กูซิงหลันได้พบกับวิญญาณทมิฬนั้น มันเป็นปีศาจร้ายกาจที่ได้กลืนความฝันมานับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อนางสามารถกำราบมันได้สำเร็จ ก็ขี้เกียจจะเปลี่ยนชื่อใหม่ให้มัน จึงเรียกมันว่าวิญญาณทมิฬมาโดยตลอด 


 


 


ปีศาจระดับสูงเช่นวิญญาณทมิฬ สามารถควบคุมจิตใจของมนุษย์ ให้กระทำซ้ายขวาได้ตามต้องการ 


 


 


ปีศาจระดับสูงเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะสามารถกลืนกินความความคิดในความฝันได้เท่านั้น แต่ยังสามารถกลืนกินปีศาจด้วยกันได้อีกด้วย พวกมันมีพลังและความสามารถในการฝึกฝนการบำเพ็ญตนและสามารถจำแลงกายได้ มีพลังในการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างไร้ขีดจำกัด 


 


 


ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วย่อมไม่มีปีศาจที่ยอมให้มนุษย์ควบคุมได้โดยง่าย 


 


 


วิญญาณทมิฬนั้นเป็นปีศาจที่ตู๋กูซิงหลันกระทำพันธสัญญาด้วย ทั้งคู่จึงมีจิตใจที่เชื่อมโยงถึงกัน สิ่งที่วิญญาณทมิฬได้พบเห็นในความฝันขององค์หญิงใหญ่ นางเองก็สามารถมองเห็นได้เช่นกัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยืนพิงกำแพงด้านหนึ่ง ในมือปรากฎแผ่นยันต์ใบหนึ่งขึ้นมา นางค่อยๆ ปิดตาลงช้าๆ 


 


 


ทันทีที่ปิดตาลง นางก็เห็นภูเขาและท้องทะเลรายล้อมอยู่เต็มไปหมด ที่ด้านข้างก็เป็นหุบเหวไร้ก้นบึ้งแห่งหนึ่ง 


 


 


ท่ามกลางบรรยากาศของสงคราม โลหิตและซากศพท่วมพื้น ซุ่มเสียงกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความน่ากลัวและสงสาร องค์หญิงใหญ่ทรงคุกเข่าลงที่ข้างกายคนผู้หนึ่ง  

 

 


ตอนที่ 156 ฝันร้าย

 

ตลอดพระองค์ขององค์หญิงใหญ่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต ทรงกุมมือของคนผู้นั้นเอาไว้อย่างแนบแน่น น้ำพระเนตรที่รินไหลเหือดแห้งไปนานแล้ว ทั่วร่างของพระองค์เต็มไปด้วยรอยบาดแผลจากคมดาบ 


 


 


ร่างของผู้ที่พระองค์ทรงกุมมือเอาไว้ ปราศจากลมหายใจไปแล้ว เป็นเพียงร่างที่เหลืออยู่เท่านั้น พระองค์เฝ้าอยู่ข้างศพนั้น ร่ำร้องเสียงกึกก้อง 


 


 


” อาซู่ อย่าทิ้งข้าไป” 


 


 


” อาซู่ เจ้าลืมตามองดูข้าก่อน” 


 


 


” อาซู่ บุตรสาวของพวกเราคลอดออกมาแล้ว นางไม่อาจอยู่โดยไม่มีบิดา “ 


 


 


นางตรัสประโยคเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า 


 


 


” เจ้าเคยบอกว่า เจ้าจะอยู่เคียงข้างข้าไปช่วยชีวิต เจ้าโกหกข้า” 


 


 


นางเรียกอยู่นานแสนนาน ร่างนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหว 


 


 


นางคุกเข่าพับลงไปบนพื้น โอบกอดร่างที่เย็นเฉียบของเขาเอาไว้ หางตามีน้ำตาที่มีเลือดปะปนอยู่ไหลออกมา ” เจ้าโกหกข้า….โกหกข้า….” 


 


 


ฉากที่มองเห็นอยู่นั้น ทำให้ตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดไปทั้งหัวใจเช่นกัน ในสมองของนางปรากฎภาพเหล่านั้นขึ้นมา 


 


 


ทำให้นางปวดระบมไปทั้งศีรษะ 


 


 


กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง อาการค่อยสงบลงได้ 


 


 


” อาซู่ อยู่ร่วมเป็นตายร่วมฝัง ในเมื่อเจ้าไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไปด้วย “ 


 


 


น้ำตาโลหิตเหือดแล้วไปแล้ว องค์หญิงใหญ่หันไปทอดพระเนตรหุบเหวไร้ก้นบึ้งที่ข้างตัว ทันใดนั้นไม่รู้ว่านางเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน นางโอบอุ้มศพนั้นขึ้นมา หมุนตัวไปเตรียมจะกระโดดหน้าผา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองเห็นมือสีดำขนาดใหญ่ที่ปรากฎขึ้นข้างกายองค์หญิง กำลังจะผลักนางตกลงไป 


 


 


” รีบรั้งนางไว้” ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงออกไปทันที 


 


 


ในความฝันนั้น วิญญาณทมิฬส่งเสียงคำรามออกมา ร่างที่ขมวดเป็นก้อนกลมถูกอุ้มมือสีดำข้างหนึ่งแหวกมา อุ้งมือสีดำข้างนั้นสลายร่างกลมๆ นั้นออกไป จากนั้นก็มีร่างของหมาป่าดำตนหนึ่งกระโดดออกมา หมาป่ามีขนาดเพียงหนึ่งจั้งเท่านั้น มันยืนอยู่ริมเหวลึก บนร่างของมันก็มีกลิ่นไอชั่วร้ายอยู่จางๆ เช่นกัน 


 


 


ที่แท้ร่างเดิมของถวนจื่อก็เป็นเจ้าอสูรประหลาดตัวนี้น่ะเอง 


 


 


ทันทีที่ได้ยินเสียงสั่งของตู๋กูซิงหลัน หมาป่าดำตัวนั้นก็ขย้ำลงไปบนมือสีดำ เพียงคำเดียวก็กัดกระชากมือสีดำนั้นออกมาครึ่งหนึ่ง 


 


 


มันกลืนกินมือครึ่งนั้นลงไป 


 


 


ขณะเดียวกันองค์หญิงใหญ่ก็โอบศพนั้นกระโดลงไปในเหวลึกแล้ว 


 


 


ร่างของนางที่นอนอยู่บนเตียงแสดงความเจ็บปวดรวดร้าวออกมา หางตาปรากฎน้ำตาเป็นสายเลือด ตู๋กูจุนที่ยืนอยู่ข้างเตียงของนาง อยากจะทำทุกทางเพื่อรับความเจ็บปวดนั้นเอาไว้เอง 


 


 


” นี่เป็นวิชามายาที่ชั่วร้ายเลวทราม แม้แต่หนอนพิษของพวกเราชาวหนานเจียงก็ยังมิได้ทำร้ายผู้คนจนทรมานถึงเพียงนี้ ” หยวนเฟยรีบเข้าไปดูแลองค์หญิงใหญ่ นางนึกไม่ออกเลยว่าองค์หญิงจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง 


 


 


ทั้งๆ ที่โอษฐ์ของพระองค์ถูกผ้าอุดไว้ นางยังคงได้ยินเสียงเรียกขานชื่อหนึ่งไม่ยอมหยุด ” อาซู่” 


 


 


นางรู้ว่านามของราชบุตรเขยก็คือฉางซุนซู่ แต่นึกไม่ถึงว่าผ่านมาก็ตั้งหลายปีแล้ว องค์หญิงกลับยังไม่ลืมเลือนราชบุตรเขย ทั้งยังคำนึงหาอย่างหนักหน่วง 


 


 


” องค์หญิงใหญ่ ตื่นเถอะๆ! ” ตู๋กูจุนตบเบาๆ ลงบนพระพักตร์ของพระองค์ พยายามลองปลุกให้ทรงรู้สึกตัว 


 


 


แต่องค์หญิงใหญ่กลับไม่ได้ยินเลยแม้สักน้อย อาการกลับทรุดลงยิ่งกว่าเดิม เพียงครู่เดียวลมหายใจก็ยิ่งเบาบางอ่อนแรงลงไปอีก อ่อนจางจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ มือเท้าก็เย็นเป็นน้ำแข็งไปจนหมด 


 


 


สมองของตู๋กูจุนแทบจะระเบิด เพียงคิดว่านางอาจจะตาย เลือดในกายของเขาก็แทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง 


 


 


” จีฉุน เจ้าตื่นเดี๋ยวนี้! ” เขาส่งเสียงดังกว่าเดิม ตบลงไปบนพระพักตร์ขององค์หญิงอีก ” หากเจ้าตาย แล้วซุ่นเอ๋อร์จะทำเช่นไร? ฉางซุนซู่อยู่ในปรโลกพอได้เห็นเจ้า เขาจะยังสงบสุขได้อีกหรือ? “ 


 


 


หยวนเฟยอยู่ที่ข้างกายเขา นางรู้สึกได้ว่าร่างกายของตู๋กูจุนเองก็กำลังฝืนเอาไว้เช่นกัน 


 


 


เดิมที่บาดแผลนั้นก็ฉีกขาดอยู่แล้ว ยามนี้ผ้าพันแผลที่หน้าอกของเขาถูกย้อมจนเป็นสีแดงฉาน เลือดไหลซึมออกมานอกผ้า เลือดที่อุ่นร้อนจากอกของเขาไหลออกมา หยดลงบนหลังมือขององค์หญิงใหญ่ 


 


 


ในความฝัน วิญญาณทมิฬที่แปลงร่างกลับเป็นหมาป่ากระโดดตามลงไปในหุบเหวลึก เพียงครู่เดียวก็เห็นมันคาบเององค์หญิงใหญ่และศพนั้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


เท้าของมันตะกุยออกไปเพียงไม่กี่ที ก็พาพวกเขามาถึงบริเวณที่สะอาดสะอ้านแห่งหนึ่ง 


 


 


จิตใจขององค์หญิงใหญ่ราวกับตายด้านไปแล้ว แม้ว่าอยู่ๆ นางจะได้เห็นหมาป่าตัวหนึ่งปรากฎขึ้นอย่างไร้ที่มา นางก็ไม่มีปฎิกิริยาเลยสักนิด 


 


 


เพียงแต่โอบกอดศพของฉางซุนซู่เอาไว้ไม่ยอมขยับ 


 


 


” หาตัวปีศาจฝันร้ายนั่นออกมา ให้เจ้าจัดการได้ตามอำเภอใจ ” ตู๋กูซิงหลันออกคำสั่งกับวิญญาณทมิฬอีกครั้ง 


 


 


นางยังคงยืนพิงอยู่ข้างกำแพง แผ่นยันต์ในมือยังถูกคีบเอาไว้แน่น 


 


 


ทันทีที่นางสั่งออกไป ภูเขาที่รายล้อมอยู่รอบๆ ก็แปลเปลี่ยนเป็นแม่น้ำโลหิต สายน้ำนั้นกำลังคลุ้มคลั่ง ราวกับงูร้ายตัวหนึ่งที่กำลังจะม้วนกลืนองค์หญิงใหญ่เข้าไป 


 


 


ที่นี่เป็นโลกแห่งความฝัน ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นที่จริงแล้วมีแต่ความว่างเปล่า แต่ว่าสำหรับผู้คนหรือจิตใจที่ถูกดูดเข้ามาในความฝันนี้กลับมีผลร้ายอย่างรุนแรง 


 


 


และผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดนั้นย่อมเป็นเจ้าของความฝัน 


 


 


หากว่าองค์หญิงใหญ่ทรงติดอยู่ในเหวลึกของความฝัน นางก็จะกลายเป็นเพียงร่างที่เดินได้แต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ หากเปรียบเทียบกับคนที่ตายแล้วก็ไม่แตกต่างกัน 


 


 


วิญญาณทมิฬกระโดดลงไปในทะเลเลือดนั้น มันกลายร่างอีกครั้งอย่างรวดเร็วเปลี่ยนเป็นภูเขาสูงขนาดเล็กลูกหนึ่ง ต้านทานทะเลเลือดที่คลุ้มคลั่งราวกับงูนั้นไว้ 


 


 


มันอ้าปากที่แดงฉานไปด้วยโลหิต กลืนกินทะเลเลือดที่ราวกับงูน้ำตัวนั้นลงไป 


 


 


งูเลือดตัวนั้นพลิกตัวหนี โอบล้อมไปรอบตัวมัน พยายามจะกลืนกินมันเช่นกัน 


 


 


หางตาขององค์หญิงใหญ่มีโลหิตไหลซึมออกมาอีก นางไม่สนใจไยดีวิญญาณทมิฬ โอบกอดศพของฉางซุนซู่ไว้ เตรียมจะหันไปกระโดดเหวอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


พอนางขยับตัว ทันใดนั้นก็ปรากฎเงาร่างหนึ่งผุดขึ้นมาขวางเอาไว้ นางหันไปมองดู ก็เห็นตู๋กูจุนที่สวมเกราะเงิน มือถือดาบฬใหญ่ขวางอยู่เบื้องหน้านาง 


 


 


” จีฉุน กลับไปกับข้า” 


 


 


จีฉุนพอเห็นเขา ก็เริ่มมีปฎิกิริยาขึ้นมา ดวงตาของนางปรากฎแววแห่งความเคียดแค้นชิงชังอย่างที่สุด 


 


 


” อาซู่ตายในน้ำมือของเจ้า เจ้าก็ฆ่าข้าไปด้วยกันเสียเถอะ “ 


 


 


” กลับไปกับข้า” ตู๋กูจุนย้ำประโยคนั้นอย่างหนักแน่นอีกครั้ง 


 


 


” ซุ่นเอ๋อร์กำลังรอเจ้าอยู่ “ 


 


 


พอเอ่ยถึงชื่อนี้ขึ้นมา จีฉุนก็เริ่มฟิ้นฟูความคิดขึ้นมาได้ นางกอดศพในอ้อมแขนเอาไว้แน่น ” ซุ่นเอ๋อร์…….ซุ่นเอ๋อร์……” 


 


 


ใช่แล้ว บุตรสาวของนางกับอาซู่ 


 


 


” ซุ่นเอ๋อร์ไม่อาจไร้มารดา ” ตู๋กูจุนกุมข้อมมือขององค์หญิงไว้ ยกมืออีกข้างขึ้นมาผลักศพของฉางซุนซู่ลงไปทางเหวลึก 


 


 


อีกด้านหนึ่ง วิญญาณทมิฬกำลังต่อสู้กับทะเลเลือดที่ราวกับงูที่คุ้มคลั่ง ตลอดร่างของมันมีแต่รอยแผล 


 


 


วิญญาณทมิฬได้เปรียบกว่าขั้นหนึ่ง ” ในดวงตาทั้งสองข้างที่แดงก่ำประดุจเลือดของมันปรากฎสายฟ้าสีแดงขึ้นมา รอยแผลทั่วทั้งตัวของมันก็ประสานกันอย่างรวดเร็ว 


 


 


” ตอนที่อั๊วได้เป็นปีศาจร้ายนั้น เจ้ามันก็แค่ไข่ใบหนึ่ง” 


 


 


ทะเลโลหิตนั้นถูกมันกลืนกินลงไปกว่าครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือได้แต่ดิ้นรนอยู่บนพื้นอย่างคุ้มคลั่ง 


 


 


 


 


 


วิญญาณทมิฬมิได้ให้โอกาสมันต่อต้านเลยแม้แต่น้อย กรงเล็บที่แหลมคมของมันตวัดออกมา ก็อ้าปากกว้างที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้น มันใช้กรงเล็บฉีกกระชากปีศาจนั้นออกเป็นชิ้นๆ กลืนกินลงไปราวกับขบเคี้ยวน้ำตาลเม็ด 


 


 


เมื่อกินจนหมดก็อิ่มเอมเปรมปรีอย่างพออกพอใจ 


 


 


คราวนี้ หุบเหวลึกที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็ทะยอยหายไปจนหมด วิญญาณทมิฬจดจ้องมองดูร่างของตนเอง มันติดตามตู๋กูซิงหลันข้ามภพมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่มันสามารถฟื้นฟูร่างเดิมได้ส่วนหนึ่ง ถึงแม้ว่าร่างนี้จะมีกำลังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของร่างเดิมที่มันเคยมี แต่ว่าความองอาจนี้ก็ยังทำให้มันพอใจอยู่ไม่น้อย 


 


 


หากว่าสามารถฟื้นฟูร่างเดิมเหมือนในชาติก่อนได้ ก็คงจะดียิ่ง 


 


 


……………………………. 


 


 


ภายในเรือนตะวันตกของตระกูลตู๋กู 


 


 


ผู้คนในห้องเพียงรู้สึกถึงสายลมเย็นยะเยือกหอบหนึ่งพัดผ่านตนเอง พวกเขาคับคล้ายคับคลาว่าได้เห็นไอสีดำลอยออกมาจากหน้าผากขององค์หญิงใหญ่ 


 


 


จากนั้นนางก็สงบลงในทันที 


 


 


ขณะที่พวกเขายังงงงันกันอยู่นั้น ก็เห็นตู๋กูซิงหลันที่ยืนพิงกำแพงอยู่ตลอดรีบเข้ามาแปะยันต์แผ่นหนึ่งลงบนหน้าผากขององค์หญิงใหญ่เอาไว้  

 

 


ตอนที่ 157 ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปปกป้...

 

เพียงแค่ยันแผ่นนั้นสัมผัสลงไปเบาๆ ก็สลายหายไปในทันทีราวกับว่า มันไม่เคยได้สัมผัสกับร่างกายขององค์หญิงมาก่อน 


 


 


ยันต์ติดตามนี้สามารถติดตามกระแสพลังของคำสาปได้  


 


 


พูดง่ายๆ ก็คือเป็นดั่งจมูกของสุนัขดมกลิ่นนั่นเอง 


 


 


บนร่างขององค์หญิงใหญ่ยังมีกลิ่นอายของปีศาจความฝันอยู่ หากอาศัยพลังของยันต์ติดตามนี้ ก็จะสามารถหาร่อยรอยของคนที่ใช้อาคมกับนางออกมาได้ 


 


 


แต่การสร้างยันต์ชนิดนี้ไม่ง่ายเลย ไม่เพียงจะต้องสิ้นเปลืองพละกำลังไปมาก ในหนึ่งปีนางก็สามารถใช้ออกได้เพียงครั้งเดียว 


 


 


พวกเขายังไม่ได้สอบถามตู๋กูซิงหลันว่าทำอะไรลงไป ก็เห็นองค์หญิงใหญ่ถอนหายใจยาว เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา  


 


 


ทันทีที่นางรู้สึกตัวก็ทอดพระเนตรเห็นตู๋กูจุน 


 


 


” จีฉุน” ตู๋กูจุนส่งเสียงเรียกนางครั้งหนึ่ง บนหน้าอกของเขายังคงมีเลือดหยาดหยดออกมา ไหลลงไปบนหลังหัตถ์ของนาง ” ตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว” 


 


 


จีฉุนพึ่งจะรู้สึกตัว ยังคงสับสนระหว่างความจริงกับความฝัน 


 


 


นางทอดพระเนตรเห็นใบหน้าของตู๋กูจุน ก็เกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา กำหมัดทุบลงไปบนอกของเขา “ตู๋กูจุน เจ้าฆ่าอาซู่ แล้วยังผลักเขาลงเหวไปอีก ข้าเกลียดเจ้า! ข้าจะให้เจ้าชดใช้ชีวิตให้อาซู่!  


 


 


นางกระหน่ำหมัดลงไป ตู๋กูจุนก็ไม่ได้หลบหลีก 


 


 


ทุกหมัดของจีฉุนล้วนกระแทกลงไปบนบาดแผลของเขา เดิมทีบาดแผลนี้ก็ฉีกขาดแล้ว ยามนี้ก็ยิ่งเจ็บซ้ำลงที่เดิมอีก 


 


 


เลือดสดของเขารินไหลออกมา ย้อมหมัดของจีฉุนจนแดงฉาน 


 


 


หยวนเฟยมองดูจากด้านข้าง ทำเอาหัวใจของนางเองเจ็บปวดแทน บุรุษผู้นี้ทำไมถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เขาไม่รู้จักหลบหลีกหรือไร?  


 


 


กระทั่งจีฉุนเหน็ดเหนื่อยแล้ว ตู๋กูจุนถึงได้กล่าวว่า ” ทูลองค์หญิง กระหม่อมไม่อาจตายได้” 


 


 


เขารับปากฉางซุนซู่เอาไว้ จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ปกป้องพวกนางแม่ลูก 


 


 


หัตถ์ของจีฉุนเปื้อนไปด้วยเลือด ทำเอานางรู้สึกถึงความเหนอะหนะที่อุ่นร้อนขึ้นมา นางถึงได้รู้สึกตัวอย่างเต็มที่ นี่เป็นความจริง มิใช่ความฝัน 


 


 


เมื่อเจ็ดวันก่อน เป็นวันครบรอบรำลึกถึงอาซู่ นางไปกราบไหว้ที่สุสาน พอกลับมาก็งุนงงไม่ค่อยได้สติ รู้สึกเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย 


 


 


ในความฝันนั้นนางและอาซู่พึ่งจะผ่านพิธีวิวาห์ เขาก็ลาไปสนามรบ สิ้นชีวิตอยู่บนภูเขาท่ามกลางทะเลเลือด 


 


 


คนที่เคยพูดบ่อยๆ ว่าจะรักนางไปทั้งชาติ ปกป้องนางไปชั่วชีวิต จะไม่กลับมาอีกแล้ว 


 


 


ในความฝันนั้นเขาตายอย่างน่าอนาถนัก ดาบเดียวแทงทะลุหัวใจ สิ้นไปในทันที 


 


 


กระทั่งยามนี้เมื่อนางคิดขึ้นมา ก็รู้สึกว่าหัวใจถูกคนมาควักออกไปอย่างโหดเ**้ยม 


 


 


จีฉุนพยายามเก็บงำความปวดร้าวราวกับหัวใจถูกทิ่มแทงนั้นเอาไว้ นางปิดเนตรลง ” เจ้าไปซะ ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าอีก” 


 


 


” ได้ ข้าไป ” ตู๋กูจุนลุกขึ้นยืน ” เพียงแต่ไม่อาจทำตามพระประสงค์ในประโยคหลังขององค์หญิงได้ เมื่อท่านมีอันตราย ข้าจำเป็นจะต้องปกป้องชีวิตของท่าน” 


 


 


ใบหน้าของเขาขาวซีด พยายามเก็บอาการบาดเจ็บเอาไว้ เขาเดินออกไปจากเรือนตะวันตกท่ามกลางสายตาเกลียดชังของจีฉุน 


 


 


” เสี่ยวหยวนเฟย รบกวนเจ้าช่วยดูแลพี่ใหญ่แทนข้าหน่อยเถอะ” ตู๋กูซิงหลันหันไปขอร้องหยวนเฟย 


 


 


เมื่อครู่นางไม่ได้ห้ามองค์หญิงใหญ่ทำร้ายพี่ชาย เพราะรู้ว่าในใจของพระองค์เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างลึกล้ำ 


 


 


พี่ชายยอมทนเช่นนี้ จะต้องรู้จักหนักเบาอยู่แล้วแน่ 


 


 


พอได้ฟังคำพูดของพี่ชาย ขนาดนางที่เป็นคนโสดมานานแสนนานยังรู้สึกประทับใจขึ้นมาเลย ถ้าจะบอกว่าพี่ใหญ่ไม่ได้ชอบองค์หญิงละก็ นางไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด 


 


 


แต่เพราะไปฆ่าสามีของผู้อื่น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฆาตกรที่ฆ่าสามี จะให้องค์หญิงใหญ่ทนได้เช่นไร 


 


 


หยวนเฟยชะงักไปชั่วครู่ ก็พยักหน้า ติดตามออกไปทันที 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสั่งให้เชียนเชียนไปชงชาสงบใจมา 


 


 


ในห้องจึงมีแต่เพียงองค์หญิงใหญ่และตู๋กูซิงหลันเท่านั้น นางหยิบผ้าสะอาดมาเช็ดคราบเลือดบนหัตถ์ 


 


 


” องค์หญิง หากวางความแค้นลงจึงจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ หากว่าท่านราชบุตรเขยยังคงอยู่ เขาย่อมต้องคาดหวังให้ท่านมีความสุข ” ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่ข้างกายนาง 


 


 


ที่ปีศาจฝันร้ายสามารถกักขังพระองค์เอาไว้ในความฝันได้ ก็เป็นเพราะว่าองค์หญิงใหญ่คำนึงหาอยู่ตลอดเวลา แม้ผ่านมานานหลายปีก็ยังคงตอกย้ำอยู่กับตนเอง 


 


 


” ท่านถูกมนต์ควบคุมเข้าแล้ว เป็นพี่ใหญ่ไปช่วยท่านกลับมา ” ผ่านไปครู่หนึ่งตู๋กูซิงหลันก็พูดขึ้นมาอีก 


 


 


” ไทเฮา หากท่านจะมาขอร้องให้ข้าให้อภัยตู๋กูจุนละก็ ท่านจงล้มเลิกความตั้งใจเสียเถอะ ” จีฉุนเอนตัวอยู่บนฟูก ” ท่านไม่เคยต้องเผชิญกับความทุกข์และความสิ้นหวังเช่นเดียวกันกับข้า…….” 


 


 


” ข้าเป็นองค์หญิงใหญ่ของต้าโจว สามีข้าอาจตายในสงครามได้ สามารถตายเพื่อชาติบ้านเมืองได้ แต่ไม่สมควรจะต้องมาตายด้วยมือของทหารของชาติตนเอง! “ 


 


 


” อาซู่ห่วงใยชาติบ้านเมือง ถึงแม้เข้าจะเป็นเพียงขุนนางบุ๋น แต่สงครามกับพวกริวกิว (โอกินาว่า , ญี่ปุ่น) ในปีนั้น กองทหารสิบหมื่นของตระกูลตู๋กูถูล้อมเอาไว้ เป็นสามีของข้าที่บุกป่าผ่าวงล้อมเข้าไปส่งเสบียง ช่วยชีวิตทหารทั้งสิบหมื่นของตู๋กูจุน อยู่ร่วมต้อสู้ในแนวหน้ากับพวกเขาทั้งวันทั้งคืน ถึงได้ได้สามารถเอาชัยเหนือพวกริวกิวได้ “ 


 


 


” แต่ว่าต่อมาละ………เขากลับตายเสียแล้ว” 


 


 


จีฉุนพยายามหักห้ามอารมณ์ที่พลุงพล่านของตนเอง “เขาตายด้วยน้ำมือของคนที่เขาช่วยเอาไว้ “ 


 


 


นางพยายามหักห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา จนร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งร่าง 


 


 


ท่าทางเช่นนี้ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นเป็นต้องปวดใจแน่แท้ 


 


 


” เขาไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าซุนเอ๋อร์ ไม่มีโอกาสได้ร่ำลาข้าเลยสักคำ” 


 


 


” เป็นข้าที่ผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรรับปากให้เขาไปสงคราม ข้าสมควรรั้งเขาเอาไว้ในเมืองหลวง ไม่ให้เขาไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว” 


 


 


” เขาเป็นถึงราชบุตรเขย สามารถอยู่อย่างมีเกียรติสูงส่งไปชั่วชีวิต เดิมเขาไม่จำเป็นต้องไปแนวหน้าเลยด้วยซ้ำ” 


 


 


จีฉุนสูดลมหายพระทัยติดๆ กัน 


 


 


พอเห็นร่างที่สั่นสะท้านอย่างรุนแรงของพระองค์ ตู๋กูซิงหลันก็ลุกขึ้นมา โอบกอดพระองค์ไว้เบาๆ  


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ยามที่จีฉุนพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา หัวใจของนางก็พลอยเจ็บปวดไปด้วย ราวกับว่านางเองก็เคยได้ผ่านเหตุการณ์ที่ขมขื่นทรมานหัวใจเช่นนี้มาแล้วเหมือนกัน 


 


 


องค์หญิงใหญ่มิได้ปฎิเสธอ้อมกอดของนาง พระองค์เองก็คล้ายกับจะลืมไปแล้วว่า กี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยได้รับการปลอบประโลมจากผู้อื่น 


 


 


น้ำพระเนตรที่ทรงพยายามหักห้ามเอาไว้ ก็รินไหลลงมาไม่ขาดสายในทันที 


 


 


ตู๋กูซิงหลันโอบกอดและตบหลังให้พระองค์เบาๆ นางไม่รู้ว่าสมควรจะกล่าวอะไร หากจะให้พระองค์อภัยให้พี่ชายใหญ่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว 


 


 


เรื่องนี้ตัวนางก็จะต้องรับผิดชอบเช่นกัน ไม่อาจปล่อยให้พี่ชายใหญ่เอาชีวิตไปชดใช้ให้ฉางซุนซู่ได้เด็ดขาด 


 


 


ต่อไปภายภาคหน้า นางจะต้องพยายามทุ่มเทดูแลสองแม่ลูกคู่นี้ให้ดี 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคอยปลอบประโลมนางโดยมิได้กล่างวาจาใด จีฉุนก็ร้ำไห้อย่างหนักอยู่ในอ้อมแขนของนาง เมื่อได้ปลดปลอยระบายออกมา คนก็ผ่อนคลายลงมาก 


 


 


นางถูกปีศาจความฝันกักขังอยู่นาน ร่างกายอ่อนแอลงมาก เมื่อร้องไห้จนเหน็ดเหนื่อยก็ยิ่งอ่อนล้าเข้าไปอีก หลังดื่มชาสงบใจลงไปไม่นานก็หลับลึกลงไป 


 


 


แต่คราวนี้เป็นการหลับอย่างสงบ บนหัวตาและหางคิ้วไม่มีร่องรอยของความทุรนทุรายอีก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันห่มผ้าให้นาง ทั้งยังจุดกำยานหอมสงบใจให้ ถึงได้วางใจลงได้บ้าง 


 


 


” เชียนเชียน เจ้าไปที่จวนองค์หญิง รับตัวซุ่นเออร์มาที่นี่” ครู่ต่อมานางก็หันไปร้องสั่งเชียนเชียน 


 


 


แต่กลับไม่ได้ยินเชียนเชียนขานรับ 


 


 


พอนางมองออกไปด้านนอก ก็เห็นร่างกลมๆ สีชมพูของเด็กหญิงตัวน้อยกำลังพุ่งเข้ามาทางนาง ” ท่านย่าน้อย ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ้าคะ? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอุ้มเด็กหญิงน้อยขึ้นมา ” ไม่เป็อะไรหรอก นางแค่เหนื่อยเกินไปเท่านั้น นอนสักตื่นหนึ่งก็หายแล้ว “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอุ้มซุ่นเออร์เอาไว้ หอมแก้มกลมๆ นั้นไปฟอดหนึ่ง ” หลายวันนี้มาพักอยู่ในจวนของย่าน้อยดีไหม? “ 


 


 


” แล้ว ท่านน้าฮ่องเต้เล่าเจ้าคะ? ” ซุ่นเออร์หันไปมองดูรอบๆ “ท่านน้าฮ่องเต้พาซุนเออร์มา พระองค์ก็ประทับอยู่ที่บ้านของท่านย่าน้อยด้วยใช่ไหมเจ้าคะ? “ 


 


 


คราวนี้ตู๋กูซิงหลันถึงได้หันไปมองเห็นจีเฉวียน เขามักจะสวมใส่แต่ชุดสีดำอยู่ตลอด ช่วงเวลารุ่นสางเช่นนี้แสงสว่างยังคงขมุกขมัวอยู่มาก หากไม่ได้สังเกตให้ดีก็คงมองไม่เห็นเขา 


 


 


ยามปกติช่วงเวลานี้ ฮ่องเต้จะต้องเตรียมพระองค์สำหรับการประชุมเช้า 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจึงคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาด้วย 


 


 


ที่แท้เมื่อครู่นี้ จีเฉวียนอุ้มซุ่นเออร์รออยู่ข้างนอกมาโดยตลอด  

 

 


ตอนที่ 158 เมื่อใจไม่อยู่กับตัว ตัวก็...

 

ตู๋กูซิงหลันช่างอ่อนโยนกับองค์หญิงใหญ่มากเกินไปแล้ว ความอ่อนโยนถึงเพียงนี้แม้แต่พระองค์เองก็ยังไม่เคยได้ทอดพระเนตรมาก่อน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอุ้มซุ่นเออร์ออกมาจากในเรือน ค่อยนำเสด็จจีเฉวียนออกไปด้านข้างเรือน หันไปยกมือ”ไฮ” ทักเขาคำหนึ่ง 


 


 


จีเฉวียนมองดูกิริยาของนาง ก็อดที่จะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดไม่ได้ เขารัดนางอย่างแนบแน่น 


 


 


ซุ่นเออร์จึงได้แต่กลายเป็นไส้ขนมเปี๊ยอยู่ตรงกลาง 


 


 


จีเฉวียนยื่นมือออกไปรับตัวเด็กน้อยมา ส่งต่อให้หลี่กงกง “พาท่านหญิงน้อยไปรับประทานอาหารเช้า” 


 


 


หลี่กงกงไหนเลยจะกล้ารั้งอยู่นาน พอรับตัวท่านหญิงน้อยได้ก็จากไปอย่างรวดเร็วทันที 


 


 


ฤดูหนาวยามเช้าฟ้าสว่างช้า รอบด้านยังขมุกขมัว ราวกับยามเย็นที่พระอาทิตย์พึ่งจะลับไป 


 


 


จีเฉวียนยังคงกอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น นานอีกพักใหญ่ถึงได้ยอมปล่อยนาง 


 


 


เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้อยากกอดนาง เขารู้สึกโหยหาอย่างประหลาด 


 


 


เพียงแต่คิดว่าสตรีที่เยาว์วัยเช่นนาง ตนเองยังเป็นเพียงแค่สาวน้อยแท้ๆ กลับต้องไปปลอบประโลมผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าสิบปี เช่นนี้……..เห็นแล้วช่างน่าปวดใจเพียงไร 


 


 


เขามิได้กล่าวอะไรออกมา ทำเอาตู๋กูซิงหลันงงงันไปอยู่เหมือนกัน 


 


 


” ฝ่าบาท พระองค์เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ? ” ตัวนางมีเลือดเปื้อนอยู่ เป็นกลิ่นคาวเลือดของตู๋กูจุน แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้าง 


 


 


” ใกล้ช่วงสิ้นปีแล้วแท้ๆ กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ที่ใต้หนังตาของเรา เรามิได้ตาบอด ย่อมไม่อาจทำเป็นนั่งดูโดยไม่เห็นได้ ” จีเฉวียนล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองออกมาผืนหนึ่ง จับมือของนางเช็ดให้อย่างละเอียดละออ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันตะลึงงันไป นางไม่รู้ว่าฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่ 


 


 


ฮ่องเต้ทมิฬกลายเป็นเจ้าชายกบที่อบอุ่นอ่อนโยนได้ด้วยหรือ? 


 


 


ช่วงเวลาแบบนี้นางไม่ควรจะทำเรื่องอะไรให้เขาต้องหงุดหงิดอารมณ์เสียขึ้นมาสินะ 


 


 


” เราเคยบอกแล้ว อย่าออกจากวังเพียงลำพัง ” จีเฉวียนทางหนึ่งเช็ดเลือดให้นาง ทางหนึ่งตรัสไปพร้อมกัน “องค์หญิงใหญ่ทรงฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน ย่อมรู้จักปกป้องตนเอง คนที่ถูกแค่ลมก็เป่าจนปลิวได้แบบเจ้า จะทำอะไรได้” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ” ข้าเอาหินมาถ่วงไว้บนอกก็ได้” 


 


 


จีเฉวียน “………..” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังพูดอีกว่า ” ข้ายังตีฮ่องเต้สุ….” 


 


 


คำสุดท้ายนั้นนางย่อมไม่ได้พูดออกมา แต่กลืนลงท้องไป ค่อยยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน ” ตีท่านก็ได้” 


 


 


จีเฉวียนยอกพระหัตถ์ขึ้นมาเขกศีรษะนางครั้งหนึ่ง ” เจ้าไปอยู่นิ่งๆ ให้เราเสียเถอะ” 


 


 


เขาเขกนางไม่แรง เพียงแค่ทำให้นางรู้สึกเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น 


 


 


นางทำท่าน้อยอกน้อยใจไปในทันที ยามออกจากวังรีบร้อนจัดกระทั่งไม่ได้หยุดม้าเลยสักนิด พอมาถึงแม้แต่น้ำอุ่นก็ยังไม่ได้ดื่มสักอึก เรื่องวุ่นวายพึ่งจะจบลง ยามนี้หิวจนท้องโหวงเหวง 


 


 


ท้องที่ว่างเปล่าของนางร่ำร้องออกมาดังครืดคราดต่อพระพักตร์จีเฉวียน 


 


 


” มาเถอะ ไปทานอาหารเช้ากัน ” จีเฉวียนตรัสแล้ว เสด็จนำนางเข้าไปในห้องว่างห้องหนึ่ง 


 


 


โดยไม่ทันรู้ตัว ห้องนั้นก็ตระเตรียมโจ๊กอุ่นและเครื่องเคียงต่างๆ เอาไว้แล้ว อีกทั้งยังมีแตงหวานที่นางชอบกินที่สุด กระทั่งไม้เสียบเล็กๆ ก็มี 


 


 


ไม้เสียบทองคำ! 


 


 


” ทำออกมาจากในวัง พึ่งส่งมาถึงเมื่อครู่นี้ รีบทานขณะยังร้อนเถอะ” จีเฉวียนประทับลงด้านหนึ่ง ทรงตักโจ๊กให้นางด้วยพระองค์เอง 


 


 


โจ๊กละเอียดที่มีเนื้อบดผสม แค่ฝีมือปรุงโจ๊กก็นับว่าไม่ธรรมดา กลิ่นหอมของโจ๊กผสมกับกลิ่นเนื้อ เพียงดมไปครั้งหนึ่งก็ทำเอานางอยากอาหารขึ้นมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันมาจดจ้องมองเขา 


 


 


จีเฉวียนสีพระพักตร์เคร่งขรึมลง ใช้ช้อนตักไปคำหนึ่ง ชิมดูก่อนด้วยพระองค์เอง ” ไม่มีพิษ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “………” เรื่องมีพิษหรือไม่นั้น ช่างมันไปเถอะ นางเพียงแต่รู้สึกหวาดกลัววิธีการต้มกบในน้ำอุ่นที่เขาใช้อยู่บ้างเท่านั้น 


 


 


” รีบทาน ทานเสร็จก็กลับเข้าวัง เรายังต้องรีบกลับไปประชุมยามเช้า ” จีเฉวียนเร่งรัดนาง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูช้อนที่เขาเคยใช้ ก็ลังเลเล็กน้อย 


 


 


นางเป็นคนที่เรื่องมากเรื่องของกินของใช้อยู่บ้าง ชามช้อนที่คนอื่นเคยแตะต้องหรือไม่สะอาดนางล้วนไม่ยอมใช้ ผลไม้ที่มีคนกัดแล้วนางไม่มีทางไปกัดเป็นคำที่สองแน่นอน 


 


 


” ฝ่าบาท หากว่าให้ข้าใช้ช้อนที่พระองค์ทรงเสวยโจ๊กไปแล้วมากินข้าวละก็…..” ตู๋กูซิงหลันยังคงลังเล 


 


 


” เราบ้วนปากแล้ว” จีเฉวียนทรงคิดไม่ถึงมาก่อยว่าตนเองจะถูกรังเกียจเช่นนี้ 


 


 


สตรีที่ไม่รู้ความผู้นี้! เขาไม่สมควรจะออกจากวังมาส่งข้าวเช้าให้นางเลย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหงอยไปชั่วขณะ ค่อยตอบว่า ” ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้รังเกียจพระองค์ เพียงแต่…..นี้ไม่ใช่การจูบกันทางอ้อมหรอกหรือ? “ 


 


 


จูบกันทางอ้อม! 


 


 


คำพูดไม่กี่คำนั้นทำเอาจีเฉวียนทรงตะลึงไปแล้ว เขาสมควรรู้แต่แรกว่าในสมองของสตรีผู้นี้มีแต่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ 


 


 


” จูบจริงๆ กับปากของเราก็เคยมาแล้ว เจ้ายังจะไปกังวลกับจูบทางอ้อมอีกทำไม หืม? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “!!! ” อย่าไปพูดถึงเรื่องนี้ได้ไหม? มันน่าละอาย ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าทำผิดตำแหน่งแม่เลี้ยงนี้ไปแล้ว 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น……หลายวันนี้เขาพึ่งจะไปโปรดปรานเสี่ยวซูเฟยมาเองไม่ใช่หรือ ไม่ทันไรก็หันมาใช้วิธีต้มน้ำอุ่น (ต้มกบ) กับนางเสียแล้ว มันจะดีหรือ? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกระพริบตาปริบๆ มองดูจีเฉวียน 


 


 


ฮ่องเต้ยุคโบราณช่างมากรักมากน้ำใจเสียจริง ถึงแม้จะบอกว่าในสามวังหกตำหนักเขาคิดจะโปรดปรานใครก็ย่อมได้ แต่ตู๋กูซิงหลันอย่างไรเสียก็มาจากโลกยุคปัจจุบัน มุมมองความรักของนางยังคงเป็นเรื่องของคนสองคนตราบจนสิ้นชีวิต 


 


 


เอาเถอะ ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรีเจ้าชู้ที่ชอบชมดูสาวงามไปทั่ว 


 


 


แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่เพียงแค่การดูเท่านั้น อย่างมากที่สุดก็แค่จับมือลูบหน้าเป็นพอ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ก็รู้สึกว่าตนเองมิได้เจ้าชู้จนเกินไป 


 


 


วิญญาณทมิฬที่ได้กลืนกินปีศาจฝันร้ายในความฝันขององค์หญิงใหญ่ก็โผล่ออกมา ” เจ้าไม่ได้เจ้าชู้ แค่รักไปทั่วๆ “ 


 


 


คำนี้ตู๋กูซิงหลันยังชอบฟังอยู่บ้าง 


 


 


จีเฉวียนเห็นนางนิ่งงันไปไม่พูดไม่จา ติ่งพระกรรณทั้งสองข้างก็แดงขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเป็นถึงประมุขของแว่นแคว้นหนึ่ง จะพูดจาโดยไม่คิดเช่นนี้ได้อย่างไร 


 


 


” เจ้าอย่าได้คิดมากไป ทุกวันนี้ในใจของเรามีซูกุ้ยเฟยอยู่แล้ว ย่อมไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าหรอก” 


 


 


ประโยคนี้น่าขัดใจนัก แต่เขากลับตรัสออกมาอย่างเป็นจริงเป็นจังที่สุด 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคนโจ๊ก รับคำเบาๆ นางถอนหายใจออกมาเบาๆ แย้มยิ้มทั้งหัวคิ้วและดวงตา “เช่นนั้นก็ดีเลย” 


 


 


ถึงแม้ว่าจะคาดเอาไว้อยู่แล้วว่านางจะมีปฎิกิริยาเช่นนี้ แต่ว่าจีเฉวียนก็ยังคงรู้สึกเสียพระทัยอยู่ดี 


 


 


หลายวันนี้หมอหลวงซุนมาจับชีพจรถวาย สภาพร่างกายเป็นปกติดี ไม่มีปัญหาในที่ใด แต่ว่าเป็นหัวใจของเขาที่มีปัญหา 


 


 


จิตใจหดหู่ มีแต่ความวิตกกังวล 


 


 


” ฝ่าบาท พระองค์ทรงมีผู้ใดอยู่ในพระทัยเข้าแล้ว ” หมอหลวงซุนจับชีพจรไปมาอยู่นาน ก็ถวายข้อสรุปออกมาเช่นนี้ 


 


 


ถึงวันนี้ผู้คนต่างก็รู้ว่า ฝ่าบาททรงยกซูกุ้ยเฟยเป็นคนโปรดในพระทัย 


 


 


” พวกเราเหล่าบุรุษนั้น เมื่อชื่นชอบสตรีขึ้นมาสักคน จิตใจก็จะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร่างกายก็ไม่เป็นอิสระอีก” 


 


 


” จิตใจเปลี่ยนแปลงง่าย อารมณ์ขึ้นลงรวดเร็ว เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงพระองค์ทรงโปรดปรานประทับอยู่ร่วมกับซูกุ้ยเฟยอย่างกลมเกลียวอยู่เสมอ นานไปก็จะดีขึ้นเองพะยะค่ะ” 


 


 


ฝีมือการประจบสอพอของหมอหลวงซุนนับว่าสูงส่งจนถึงก้นม้าแล้ว หลังจากที่ถวายการตรวจครั้งนี้แล้วจึงมีรับสั่งให้ลดขั้นเขา 


 


 


จากหัวหน้าแพทย์หลวงเหลือเพียงเด็กต้มยาก็พอ 


 


 


จีเฉวียนทรงคิดทบทวนถ้อยคำของหมอหลวงซุน ทรงรู้สึกว่าเขาผิดแล้ว 


 


 


พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่อาจมีพระทัยให้กับสตรีใครใดคนหนึ่ง 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ซูเม่ยก็เป็นบุรุษทั้งแท่ง 


 


 


แต่หากถอยมามองดูก้าวหนึ่ง ต่อให้เขาเกิดความสนใจในผู้ใด เขาย่อมไม่มีทางเอ่ยจากปากก่อนเป็นแน่ 


 


 


เมื่อนั่งอยู่บนบัลลังค์ฮ่องเต้ ก็ไม่อาจลำเอียงรักใคร่ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น 


 


 


ฉะนั้นมีแต่ต้องให้อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน อย่างสุดจิตสุดใจ เขาค่อยฝืนตอบรับไปด้วยความลำบากใจ เช่นนี้จึงจะเหมาะสมและถูกต้อง 


 


 


เพียงแต่คนที่เคยเทิดทูนเขาจนลอยขึ้นฟ้า ยามนี้กลับไม่ค่อยจะยอมเทิดทูนเขาอีกแล้ว 


 


 


อยู่ๆ จีเฉวียนก็ทรงตรัสถามออกมาในทันใดว่า ” ตู๋กูซิงหลัน ตอนนั้นที่เจ้าปฎิเสธไม่ยอมแต่งงานกับเรา ยามนี้ไม่เสียใจอยู่บ้างจริงๆ หรือ? “ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)