คัมภีร์วิถีเซียน 1468-1470
ตอนที่ 1468 วิญญาณรับใช้
ทว่าในขณะที่หานลี่กำลังจ้องมองตัวตนที่แปลกประหลาดพวกนี้อยู่ ชายชุดโลหิตคนหนึ่งก็พูดกับหานลี่โดยพลัน “ทำไมรึ สหายหานสนใจวิญญาณรับใช้เหล่านี้ของผู้เฒ่าหรือ?”
“วิญญาณรับใช้? ชนรุ่นหลังหูตาแคบ เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกจริงๆ” หานลี่ตกตะลึง พลันตอบกลับอย่างซื่อตรง
“หึๆ สหายไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลก วิญญาณรับใช้เหล่านี้เดิมทีเป็นครึ่งหุ่นเชิดชนิดหนึ่งที่ผู้เฒ่าหลอมขึ้นด้วยวิธีเฉพาะตัว” ภายในน้ำเสียงของชายชุดโลหิตผู้นั้นเผยถึงความภาคภูมิใจออกมา
“ครึ่งหุ่นเชิด? ต่อไปชนรุ่นหลังต้องเปิดหูเปิดตาสักหน่อยแล้ว” หานลี่แสดงสีหน้าตื่นตะลึงปราดหนึ่ง พลันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม
“สหายหานสนใจวิญญาณรับใช้พวกนี้เป็นอย่างยิ่ง ดูท่าจะรู้จักวิชาหุ่นเชิดอยู่เหมือนกันสินะ ผู้เฒ่าสามารถชี้แนะเจ้าได้บ้าง แต่ตอนนี้ควรไปที่ตำหนักเพลิงทมิฬกันก่อนเถอะ!” ชายชุดโลหิตอีกคนหนึ่งนัยน์ตาเปล่งแสงประหลาดวูบหนึ่ง แล้วกล่าวออกมาเช่นนี้
หานลี่ย่อมไม่พูดตอบรับใดๆ เพียงแค่พยักหน้าตกลงเท่านั้น
ดังนั้นทุกคนจึงพากันเดินเข้าไปในพระราชวัง ประตูตำหนักพลันเปิดออกเองอย่างช้าๆ
ส่วนอสูรเต่าอเวจีที่หยุดอยู่หน้าพระราชวังนั้น ก็ดำลงไปในทะเลสาบหินภูเขาไฟที่มันอยู่ด้วยความสบายอกสบายใจอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หานลี่กับชายชุดโลหิตสองคนก็มาปรากฏภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่งซึ่งมีพื้นที่ร้อยจั้งเศษ
ที่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเก้าอี้หรือสิ่งของอื่นๆ ทั้งหมด ล้วนหลอมมาจากหินหยกประหลาดสีดำแดงชนิดหนึ่ง เมื่อสัมผัสแล้วให้ความรู้สึกร้อนอบอ้าว แต่เมื่อความร้อนนี้เจาะเข้าไปในร่าง กลับกลายเป็นความรู้สึกหนาวเย็นแทน
เดี๋ยวร้อยเดี๋ยวหนาว ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
หานลี่สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของเก้าอี้หยกที่อยู่เบื้องล่าง ในใจก็แอบชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง
ในตอนนี้ เขานั่งอยู่ข้างหนึ่งของโถงตำหนัก ส่วนใจกลางของโถง ย่อมเป็นชายชุดโลหิตสองคนที่นั่งเคียงบ่าด้วยกัน
บนโต๊ะสีดำแดงเบื้องหน้าทั้งสามคนต่างเต็มไปด้วยสุรารสเลิศและผลประหลาดจำนวนหนึ่ง แต่ละโต๊ะมีเงาคนร่างหนึ่งซึ่งมีหมอกสีชมพูปกคลุมคอยยืนปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้านหลัง
ทุกครั้งที่ดื่มสุราเสร็จ เงาคนก็จะเดินเข้ามาด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม รีบเติมถ้วยเหล้าจนเต็มด้วยความคล่องแคล่ว
เงาคนภายในหมอกสีชมพูเหล่านี้ไม่เหมือนกับเงาคนภายในหมอกสีเทาเหล่านั้น ไม่เพียงแต่เงาแต่ละร่างมีรูปร่างอ้อนแอ้นอรชร ภายในหมอกยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้ผู้ที่ดมกลิ่นรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
ด้วยระยะห่างที่ใกล้เช่นนี้ หานลี่ย่อมต้องมองอย่างประเมินวิญญาณรับใช้เหล่านี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบเป็นธรรมดา ใบหน้าปรากฏอารมณ์คล้ายกับคาดคิดไว้แล้วเป็นพักๆ
“สหายหานมองออกถึงความลึกล้ำของวิญญาณรับใช้หรือไม่?” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งดื่มสุราวิญญาณในจอกจนหมด แล้วเอ่ยถามขึ้นมาด้วยใบหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“ชนรุ่นหลังโง่เขลา เพียงแค่มองออกว่าวิญญาณรับใช้เหล่านี้คล้ายวิญญาณแต่ไม่ใช่วิญญาณ คล้ายวัตถุแต่ไม่ใช่วัตถุ สำหรับความมหัศจรรย์ลี้ลับนี้ไม่อาจมองออกได้” หานลี่ยิ้มคราหนึ่งแล้วตอบกลับ
“เป็นสิ่งที่คล้ายวิญญาณแต่ไม่ใช่วิญญาณ คล้ายวัตถุแต่ไม่ใช่วัตถุดีๆ นั่นแหละ! วิญญาณรับใช้เหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นวัตถุครึ่งวิญญาณชนิดหนึ่ง พฤติกรรมของพวกมันคล้ายกับคนปกติอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่ร่างของมันมีจิตวิญญาณบริสุทธิ์และจิตวิญญาณดั้งเดิมอยู่ การกระทำในตอนนี้เป็นแค่การตอบรับตามธรรมชาติของจิตใต้สำนึกของพวกมัน และถูกข้าใช้ประโยชน์จากเคล็ดวิชาลับหุ่นเชิดเข้ามาเสริมการควบคุมเท่านั้น แต่ร่างเดิมของพวกมัน คือวิญญาณสองชนิดที่ไม่สามารถเปิดใช้สติปัญญาได้ ซึ่งข้าพบในภูเขาเพลิงอเวจี จากนั้นจึงหลอมเข้าไปในร่างของหุ่นเชิดก็เท่านั้น” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งยิ้มกล่าว ในที่สุดก็อธิบายความเป็นมาคร่าวๆ ของวิญญาณรับใช้เหล่านี้
“หลอมวิญญาณเข้าภายในร่างของหุ่นเชิด!” หานลี่ได้ยินดังนี้ เผยสีหน้าค่อนข้างประทับใจออกมา แทบจะนึกถึงทารกปราณที่สองของตัวเองที่เคยยืมร่างของหุ่นเชิดเข้าไปอาศัยขึ้นมาในทันที
“ไม่ผิด วิญญาณเหล่านี้ยังไม่ก่อรูปร่างเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมและจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงโอนอ่อนผ่อนตามสุดๆ อีกทั้งยังมีแสนรู้ คำสั่งง่ายๆ บางอย่างก็สามารถทำได้ไม่มีผิดพลาด บวกกับตัวมันที่สามารถหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของหุ่นเชิดได้ ความจริงแล้วก็คือวัตถุดิบชั้นเลิศที่ใช้หลอมวิญญาณรับใช้ และด้วยเหตุนี้ ผู้เฒ่าถึงได้อาศัยอยู่ที่ภูเขาเพลิงโลหิตเป็นเวลานานเช่นนี้” ชายชุดโลหิตกล่าว
“นี่ก็คือศาสตร์แห่งหุ่นเชิดที่อาวุโสเชี่ยวชาญ ไม่เช่นนั้นแม้ว่าคนอื่นจะพบพวกมัน ก็ไม่อาจคิดถึงและเพลิงแพลงเคล็ดวิชาหุ่นเชิดมาโกหกได้”
อย่ามองว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยพูดง่ายเลย แค่ความลำบากและยุ่งยากของการหลอมวิญญาณชนิดหนึ่งเขาไปในหุ่นเชิด ตัวเขาที่เชี่ยวชาญวิชาหุ่นเชิด ย่อมรู้ถึงไส้ถึงพุงอยู่แล้ว
ดังนั้นสองสามประโยคนี้ หานลี่พูดจริงด้วยใจจริง
“หากสหายน้อยชื่นชอบ ผู้เฒ่าสามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับ “หลอมวิญญาณเข้าสู่วัตถุ” ให้สหายน้อยได้” ชายชุดโลหิตสองคนคล้ายกับมองบางอย่างออก ครั้นสบตากันคราหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็พูดออกมาอย่างราบเรียบ
“ข้าน้อยยังไม่เคยทำประโยชน์ให้อาวุโสเลย จะกล้ารับความเมตตาง่ายๆ ได้อย่างไร” หานลี่ค่อนข้างรู้สึกเกินคาด พลันเผยสีหน้าลังเล
“ฮ่าๆ ก็แค่วิชาจิ๊บจ๊อยเท่านั้น สหายน้อยหานไม่จำเป็นต้องเกรงใจเกินไป จะได้ทำสิ่งที่ชอบในหนึ่งเดือน ผู้เฒ่ามีหลายสิ่งที่ต้องพึ่งพา ยังต้องการให้สหายน้อยช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง!” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม น้ำเสียงยิ่งดูสุภาพขึ้นไปอีก
หานลี่โคจรความคิดอย่างรวดเร็ว จำต้องยืนขึ้นแล้วกล่าวขอบคุณ
“อาวุโสตี้เซวี่ย ชนรุ่นหลังมาถึงที่นี่แล้ว จำเป็นต้องช่วยหลอมหุ่นเชิดอย่างไร สามารถบอกชนรุ่นหลังได้หรือไม่” หานลี่นั่งลงอีกครั้ง แล้วถามด้วยความลังเลเล็กน้อย
“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน สหายน้อยเพิ่งจะมาถึงพระราชวังเพลิงโลหิตเป็นครั้งแรก เชิญดื่มสุราอย่างถึงอกถึงใจก่อนเถอะ วันนี้ก็พักผ่อนดีๆ สักหนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยคุยก็ยังไม่สาย” ชายชุดโลหิตโบกมือ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ยอมคุยเรื่องนี้ในตอนนี้
หานลี่หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง จำต้องนั่งลงแล้วดื่มสุราวิญญาณอีกจอกตามที่พูด!
จู่ๆ เสียง “แปะๆ” ก็ดังขึ้นสองสามที หนึ่งในชายชุดโลหิตใช้มือหนึ่งตบเบาๆ
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นอกประตูตำหนักมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ทันใดนั้นกลิ่นหอมเตะจมูกก็โชยเข้ามา หญิงสาววัยเยาว์ใบหน้าสะสวยทั้งสิบสองคนก็เดินเข้ามา แต่ละคนสวมชุดกระโปรงห้าสี รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร
“นี่คือ…”
หานลี่ใช้สายตากวาดมองไปบนหมอกสีชมพูจางๆ ที่แผ่ออกจากร่างของหญิงสาวเหล่านี้ ใบหน้าก็แสดงท่าทีเข้าใจอย่างฉับพลัน
หญิงสาวเหล่านี้เป็นตัวตนแบบเดียวกับวิญญาณรับใช้ที่มีหมอกสีชมพูปกคลุมซึ่งยืนอยู่ด้านหลังอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เพียงแต่หมอกสีชมพูบนร่างของหญิงสาวเหล่านี้เปลี่ยนเป็นจางลง เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงชัดเจน
ร่างกายของพวกนางไม่รู้ว่าหลอมมาจากวัตถุดิบชนิดใด ไม่ว่าจะเป็นสีผิวหรือกิริยาท่าทาง ล้วนเหมือนกับหญิงสาวของเผ่าวิญญาณเหาะเหินทั่วไปทุกประการ แม้กระทั่งบนแผ่นหลังยังมีปีกขนนกสีเขียวอ่อนอยู่หนึ่งคู่
ภายใต้แสงวิญญาณที่เปล่งประกายภายในดวงตาหลายหน หานลี่มองไม่ออกถึงเคล็ดวิชาลวงตาใดๆ ที่อำพรางบนร่างของหญิงสาวเหล่านี้ ที่แท้ก็คือรูปโฉมภายนอกที่แท้จริงของพวกนาง
หุ่นเชิดที่เหมือนคนจริงราวกับแกะเช่นนี้ หานลี่รู้สึกค่อนข้างตกตะลึงพรึงเพริด
เมื่อก่อนนี้หุ่นเชิดทารกปราณขั้นปลายที่แดนมนุษย์ของเขาสามารถตบตาคนอื่นได้ ในด้านหนึ่งเป็นเพราะผิวหนังของหุ่นเชิดใช้วัตถุดิบล้ำค่าที่เรียกว่า “หยกอ่อนตะคอกวิญญาณ” ซึ่งคล้ายกับผิวหนังคนราวกับแกะ บวกกับหุ่นเชิดทารกปราณขั้นสุดท้ายในตอนนั้น เดิมทีคนทั่วไปก็ไม่สามารถใช้จิตสัมผัสมองทะลุได้ ดังนั้นในยามที่เผชิญกับศัตรู จึงสามารถทำให้อีกฝ่ายสติปัญญาสับสนครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างกับคนจริงๆ ได้
แต่ร่างของวิญญาณรับใช้เหล่านี้ไม่มีทางเป็น “หยกอ่อนตะคอกวิญญาณ” ได้ แม้กระทั่งจิตสัมผัสที่เขาฝืนปล่อยออกไป หลังจากที่กวาดมองบนร่างของหญิงสาวพวกนี้แล้ว ก็ถูกปัดออกจากร่างอย่างน่าประหลาด
หานลี่ไม่มองหญิงสาวเหล่านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะลังเล
หากคิดจะดึงดันค้นหาจุดที่วิญญาณรับใช้เหล่านี้ไม่เหมือนคนปกติ ก็คือขณะที่ดวงตาของหญิงสาวเหล่านี้เปล่งประกาย ค่อนข้างเชื่องช้าเล็กน้อย ราวกับขาดวิญญาณของคนปกติไปเล็กน้อย
ขณะที่หานลี่แอบชมเปาะอยู่ในใจ ในตอนนั้นเอง ภายในตำหนักใหญ่ทั้งสองข้างก็ถูกชายเยาว์ใหญ่ที่มีหมอกจางๆ สีเทาปกคลุมกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมาอย่างช้าๆ
แต่ละคนมีใบหน้าหล่อเหลา ในมือต่างถือเครื่องดนตรีรูปร่างประหลาด นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น
ครู่ต่อมา เสียงเพลงอันไพเราะก็ดังขึ้นในตำหนักใหญ่ ทำให้ผู้ที่ฟังรู้สึกสบายอกสบายใจ ขณะที่ร่างของหญิงสาวใบหน้างดงามเหล่านั้นพลิ้วไหว พลันเต้นรำอย่างอ่อนช้อยตามเสียงดนตรีท่ามกลางตำหนักใหญ่
เห็นเพียงหญิงสาวเหล่านี้เอวบางพลิ้วไหว ชั่วขณะหนึ่ง อาภรณ์ห้าสีก็โบกพลิ้วไปรอบๆ พร้อมแผ่กลิ่นหอมประหลาดไปทุกหนทุกแห่ง
หานลี่นั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนจะถูกการเต้นที่เต็มไปด้วยลีลาอันหยาดเยิ้มของหญิงสาวเหล่านี้ สองตาหรี่ลงเล็กน้อย จ้องเขม็งไม่พูดจา
ชายชุดโลหิตสองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเหลือบมองหานลี่สองสามที เห็นหานลี่มีท่าทีคล้ายกำลังมัวเมาอยู่ สองคนก็หันมามองกันด้วยดวงตาเปล่งประกาย
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร เสียงดินตรีก็หยุดลง หญิงสาวทั้งสิบสองก็หยุดการเต้นรำแล้วพากันยืนนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนอยู่กับที่
“สหายน้อยหาน เจ้ารู้สึกว่าวิญญาณรับใช้นางรำของผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง แม้ว่าพวกนางจะไม่ใช่วิญญาณรับใช้ประเภทผู้คุ้มกัน ทว่าแต่ละตัวต่างก็เชี่ยวชาญการเต้นรำหายากถึงร้อยแบบ ปีนั้นผู้เฒ่าหลอมขึ้นด้วยความชื่นชมไปชั่วขณะ ต้องสิ้นเปลืองเวลาไปพักหนึ่งจริงๆ” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งพลันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ฝีมือประณีตเหนือธรรมชาติจริงๆ ดูไม่ออกเลยว่าต่างจากคนจริงๆ อย่างไร” หานลี่ถอนหายใจเบาคราหนึ่ง พลันกล่าวชม
“เหอะๆ ในเมื่อสหายน้อยชอบของสิ่งนี้ ผู้เฒ่าก็จะมอบวิญญาณรับใช้นางรำสิบสองตัวพร้อมกับวิญญาณรับใช้นักดนตรียี่สิบสี่ตัวให้สหายน้อย” ชายชุดโลหิตกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
ฉับพลันภายในดวงตาที่ตกตะลึงของหานลี่ก็มองเห็นชายชุดโลหิตคนหนึ่งก็ชูมือข้างหนึ่ง ชี้ไปที่นางรักและนักดนตรีที่อยู่สองฝั่งอย่างต่อเนื่อง
หลังจากเกิดเสียง “ปังๆ” ดังขึ้นหลายหน เส้นไหมสีโลหิตจำนวนหลายเส้นพลันพุ่งออกจากฝ่ามือของชายชุดโลหิตสองคน ครู่ต่อมาก็ทะลุร่างของวิญญาณรับใช้ทั้งหมด
เมื่อเก็บเส้นไหมสีโลหิตเข้าไป วิญญาณรับใช้ทั้งหมดก็พากันล้มระเนระนาดบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อนราวกับสิ่งที่ตายไปแล้ว
ในตอนนี้ ชายชุดโลหิตใช้มืออีกข้างหนึ่งตะปบลงบนพื้นอย่างพลิ้วไหว
ทันใดนั้น ภายในม่านแสงผืนหนึ่ง ร่างของวิญญาณรับใช้เหล่านี้หดเล็กลงในชั่วพริบตา กลายเป็นหุ่นไม้ขนาดประมาณชุ่นกว่า จากนั้นก็ลอยขึ้นกลางอากาศแล้วพุ่งมาทางหานลี่ ก่อนที่จะตกลงบนโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าแล้วเรียงกันเป็นแถว
“สัญลักษณ์ภายในร่างของวิญญาณรับใช้เหล่านี้ถูกข้าเก็บคืนแล้ว สหายน้อยเพียงแค่ใช้เคล็ดวิชาลับที่ข้าให้ไปหลอมขึ้นมา ก็สามารถควบคุมได้ดั่งใจแล้ว” ชายชุดโลหิตหัวเราะเบาแล้วกล่าว
“อาวุโสให้ค่าตอบแทนโดยไม่มีความดีความชอบ ของขวัญมูลค่าสูงเช่นนี้ชนรุ่นหลังจะกล้ารับได้อย่างไร!” หานลี่ก้มหน้ามองวิญญาณรับใช้หุ่นไม้ที่อยู่ตรงหน้า อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด รีบกล่าวปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง
“หึๆ ก็แค่ของเล่นบางส่วนเท่านั้น ทำไมรึ หรือว่าสหายน้อยรู้สึกว่าของขวัญของผู้เฒ่าราคาถูกเกินไป ไม่คู่ควรที่จะรับไว้?” ชายชุดโลหิตคนหนึ่งสีหน้ามืดครึ้ม น้ำเสียงดูเยือกเย็นขึ้นมา
หานลี่ได้ยินคำนี้ หน้าก็เปลี่ยนสีเล็กน้อย พลันผสานหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มเจื่อนแล้วกล่าว “ในเมื่ออาวุโสเมตตาเช่นนี้ ชนรุ่นหลังปฏิเสธก็เป็นการไม่เคารพแล้ว”
แขนเสื้อพลันสะบดลงบนโต๊ะ ทันใดนั้นแสงสีเขียวพลันสว่างวาบ วิญญาณรับใช้หุ่นไม้ทั้งหมดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว นี่ก็คือเคล็ดวิชาลับในการหลอมวิญญาณรับใช้ วิธีหอมวิญญาณเข้าสู่วัตถุกับวิธีเรียกหลอมวิญญาณรับใช้อยู่ในนี้หมดแล้ว กลางคืนสหายน้อยสามารถนำกลับไปศึกษาดูก่อนสักรอบ จากนี้จะมีประโยชน์ในการช่วยผู้เฒ่าหลอมหุ่นเชิดเป็นอย่างมาก” ชายชุดโลหิตพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ อีกคนหนึ่งพลันโบกมือ กระบอกไม้ไผ่สีดำเปรอะก็พวยพุ่งออกไป
“ขอบพระคุณอาวุโสเป็นอย่างยิ่ง!”
ในเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานจะมอบให้ หานลี่ก็ไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้ว หลังจากกล่าวขอบคุณเสร็จ ก็ยื่นมือข้างหนึ่งคว้าออกไป ของสิ่งนี้ก็ ร่วงลงกลางฝ่ามืออย่างช้าๆ
ตอนที่ 1469 หุ่นเชิดโลหิตม่วง
หานลี่พลันเก็บกระบอกไม้ไผ่ ด้วยการต้อนรับอันแสนจะอบอุ่นสุดๆ ของตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ย หานลี่จึงอยู่ในตำหนักเพลิงทมิฬนี้ต่ออีกเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม งานเลี้ยงจึงจะสิ้นสุด
จากนั้นด้วยการนำทางของวิญญาณรับใช้ที่อยู่ข้างหลังเขา ก็ถูกพามาพักผ่อนในห้องสงบของตำหนักปีกข้าง
หานลี่ปิดประตูบานใหญ่ของห้องสงบเสร็จ ทันทีที่พลิกฝ่ามือก็หยิบธงเขตอาคมออกมาตั้งหนึ่ง
ครั้นชูมือแล้วโบกคราหนึ่ง ลำแสงสิบกว่าสายก็พวยพุ่งออกมาแล้วหายไปในอากาศ
ม่านแสงห้าสีสลัวๆ หนึ่งชั้นพลันปรากฏขึ้นบนผนังกำแพงสี่ด้านของห้องสงบ
ตอนนี้หานลี่จึงค่อยรู้สึกโล่งใจ พลันนั่งขัดสมาธิลงบนเสื่อกลมผืนหนึ่งที่อยู่กลางห้องสงบ แล้วหลับตาครุ่นคิดพิจารณา
ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยปฏิบัติกับเขาอย่างสุภาพในฐานะของราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์เช่นนี้ ออกจะไม่ค่อยปกติจริงๆ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
หรือว่าการช่วยหลอมหุ่นเชิดนี้จะยากเย็นอย่างเหลือหลาย ทำให้ตัวประหลาดเฒ่ามีความคิดเช่นนี้
หานลี่ส่ายหัวเบาๆ รู้สึกไม่น่าเป็นไปได้
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำเรื่องเหล่านี้ ตนก็ไม่กล้าที่จะไม่พยายามเต็มที่ อีกทั้งพูดในมุมกลับ นอกจากคนลึกลับนามว่าลิ่วจู๋แล้ว ดูเหมือนมู่ชิงกับหญิงงามแซ่หลานที่มากับหยวนเหยาต่างก็มีเจตนาคิดจะดึงเขาเป็นพวกกันทั้งสิ้น
แม้แต่มู่ชิงยังไม่คิดจะให้เขายุ่งเกี่ยวหญิงงามผมขาวเลย
ดูเหมือนนอกจากให้เขาทำลายอาคมต้องห้ามแม่น้ำอเวจีแล้ว ในนั้นจะต้องมีสาเหตุอื่นๆ อย่างแน่นอน อย่างมากก็คงจะเกี่ยวข้องกับอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่เขาครอบครองอยู่
ขณะที่หานลี่โคจรความคิดอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งก็แยกแยะความเกี่ยวพันในนี้ได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง แล้วหลับตาลงอีกครั้ง
แม้จะไม่รู้ว่าราชาปีศาจของเหวพสุธาเหล่านี้คิดวางแผนอะไรกันอยู่ แต่ถ้าหากหนึ่งในนั้นยังรู้จักบันยะบันยังอยู่ ความปลอดภัยของตนก็ยังไม่ต้องกังวลชั่วคราว
หานลี่แววตาเปล่งประกายสองสามหน พลันสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง หุ่นไม้หลากสีหลายสิบตัวก็พวยพุ่งออกมา แต่ละตัวต่างหมุนวนอยู่เบื้องหน้า ลอยคว้างอยู่กลางอากาศไม่ร่วงลงมา
เมื่อใช้มีข้างหนึ่งคว้าไป มนุษย์ไม้ตัวหนึ่งก็ร่วงลงมาในมือโดยตรง
ดวงตาของเขาเปล่งแสงสีน้ำเงินวาบหนึ่ง เริ่มตรวจสอบมนุษย์ไม้เหล่านี้อย่างละเอียด
บางทีอาจจะเป็นเพราะระยะห่างไกลจึงไม่สามารถตรวจดูความมหัศจรรย์ล้ำลึกของหุ่นเชิดวิญญาณรับใช้เหล่านี้ได้ชัดเจน แต่ในตอนนี้เมื่อใช้มือสัมผัสดู และถ่ายจิตสัมผัสผ่านทางห้านิ้วซึมเข้าไปในร่างมนุษย์ไม้โดยตรง กลับไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย
ครู่ต่อมา หานลี่โยนมนุษย์ไม้ที่อยู่ในมือไปในอากาศด้วยสีหน้าประหลาด พลันคว้ามนุษย์ไม้อีกตัวหนึ่งมาไว้ในมือ
เพียงแค่ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา! หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ หานลี่ก็ตรวจสอบมนุษย์ไม้ทั้งหมดได้หนึ่งรอบ
แม้ว่าโครงสร้างเขตอาคมภายในมนุษย์ไม้จะลึกล้ำและซับซ้อนจนเกินไป ด้วยระดับของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถมองอะไรออกได้ในชั่วขณะ แต่ก็ไม่เหมือนกับถูกเล่นลูกไม้อะไร ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ให้อยู่
แน่นอนว่าตรงจุดนี้หานลี่ยังไม่สามารถแน่ใจได้ทั้งหมด
ถึงอย่างไรวิญญาณรับใช้ก็เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาหุ่นเชิด เหนือกว่าที่เขาเรียนมาในแดนมนุษย์ก่อนหน้าเป็นอย่างมาก
โชคดีที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยนำวิธีการหลอมดังกล่าวมอบให้เขาครบถ้วนสมบูรณ์ เพียงแค่เขาพากเพียรศึกษาเจาะลึกสักหน่อย ก็สามารถเข้าใจเคล็ดวิชาหุ่นเชิดนี้ได้แล้ว
ถึงเวลามนุษย์ไม้เหล่านี้จะเป็นปัญหาจริงหรือไม่ ย่อมรู้ได้อย่างชัดเจน
ก่อนที่จะถึงตรงนี้ เขาจะไม่ยอมใช้ของเหล่านี้ และเก็บไว้อย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันบางสิ่งที่เกินคาด
เมื่อในใจคิดเช่นนี้ หานลี่ก็สะบัดกำไลเก็บของบนมือข้างหนึ่ง ในมือก็ปรากฏตลับไม้สีทองอ่อนออกมาหนึ่งใบ
พื้นผิวของตลับไม้นี้มีลวดลายแปลกตา มีอักขระพลิ้วไหวอยู่ลางๆ ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดา
เมื่อหานลี่เปิดฝาออก ก็กวักมือไปทางมนุษย์ไม้ที่ลอยอยู่กลางอากาศอีกครั้ง
ทันใดนั้นม่านแสงสีเขียวสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาจากตลับไม้ ม้วนเก็บหุ่นไม้ทั้งหมดเข้าไปในตลับสีทอง
ครั้นปิดฝาตลับเสร็จ ก็พลิกมืออีกข้างหนึ่ง ในมือของหานลี่ก็ปรากฏยันต์หลากสีออกมาหลายแผ่น
แสงวิญญาณพลันสว่างวาบ ยันต์เหล่านั้นก็ถูกติดซ้อนทับกันเป็นกากบาทบนตลับไม้ เพื่อปิดผนึกมันไว้
หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น หานลี่จึงค่อยรู้สึกโล่งใจได้อย่างแท้จริง พลันหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่จดบันทึกวิธีการเรียกหลอมวิญญาณรับใช้ออกมา ก่อนที่จะใช้จิตสัมผัสแทรกซึมเข้าไป แล้วเริ่มเข้าฌานศึกษาอย่างละเอียด
เขาจมเข้าไปในความล้ำลึกของเคล็ดวิชาลับใหม่เอี่ยมนี้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ประตูใหญ่มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นหลายหน หานลี่จึงค่อยตื่นจากการเข้าฌานอย่างฉับพลัน นำกระบอกไม้ไผ่เก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไม่เสียดายแล้วยืนขึ้น
ประตูใหญ่พลันเปิดออก ด้านนอกมีวิญญาณรับใช้ตัวหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทายืนอยู่
วิญญาณรับใช้ตัวนี้ไม่สามารถพูดได้ แต่มันชูมือข้างหนึ่งขึ้น ชั่วพริบตาแสงโลหิตดวงหนึ่งก็ระเบิดออกภายในฝ่ามือ เสียงของตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยก็ดังออกมาอย่างช้าๆ
“สหายน้อย โปรดตามวิญญาณรับใช้นี้มารวมตัวที่โถงหลอมโลหิตเถิด พวกข้าจะหารือเรื่องหลอมหุ่นเชิดอย่างเป็นทางการแล้ว”
แค่ประโยคสั้นๆ ประโยคเดียวเนี่ยนะ!
จากนั้นเสียงของตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยก็ขาดหายไป แสงโลหิตก็สลายหายไปในเวลาเดียวกัน
“นำทางไป!” หานลี่กล่าวกำชับอย่างไม่เกรงใจ
วิญญาณรับใช้โค้งคำนับเล็กน้อย พลันหมุนกายแล้วเดินอย่างพลิ้วไหว คิดไม่ถึงว่าขณะเดินจะพลิ้วไหวไร้สุ้มเสียง เบาเหมือนไม่มีวัตถุกายภาพ
หากเมื่อวานนี้ไม่ได้เปิดหูเปิดตาเคล็ดวิชาลับหุ่นเชิดของตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ย บางทีหานลี่อาจจะยังสนใจสิ่งนี้อยู่ แต่ตอนนี้เพียงแค่มองทีหนึ่ง ก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ แล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หานลี่ก็มาปรากฏภายในพื้นที่ลับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่เบื้องล่างของพระราชวังเพลิงโลหิต
เมื่อมองดูทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่
สถานที่ที่มีชื่อว่าโถงหลอมโลหิตแห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นโถงมหึมาที่หลอมมาจากผลึกก้อนหนึ่งที่ผ่าออกมาจากหินภูเขาไฟที่หลอมละลายใต้พิภพ
กว้างประมาณสามถึงสี่ร้อยจั้ง ผนังสี่ด้านล้วนเปล่งแสงสีขาวจางๆ
และเมื่อมองออกไปนอกผนังผลึกโปล่งแสงเหล่านี้ ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นหินหลอมละลายสีแดงฉานที่โหมซัดสาด แต่ผนังผลึกนี้กลับไม่สะเทือนแม้แต่น้อย ภายในโถงก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนอบอ้าวใดๆ
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ทำให้หานลี่รู้สึกตกตะลึง ที่ทำให้เขาถึงกับตาค้างก็คือ ภายในหินหลอมละลายเบื้องล่างโถงผลึกแห่งนี้ มีหุ่นเชิดมหึมาราวกับขุนเขา ร่างสูงพันจั้งกำลังอาบหินภูเขาไฟหลอมละลายอยู่
หุ่นเชิดตัวนี้ร่างของมันสวมเกราะศึกสีดำทมึน สองแขนยาวเลยเข่า ผิวหนังเปล่งแสงสีแดงม่วงระยิบระยับ มีแผ่นเกล็ดขนาดเท่าข้อมือขึ้นตามผิวหนัง
แต่เมื่อมองไปบนศีรษะของมัน หานลี่ก็รู้สึกหนาวยะเยือกในใจอีกครั้ง
ศีรษะของหุ่นเชิดตัวนี้ไม่เพียงแต่มีเขาสีขาวงอกข้างเดียว ยังมีปากเป็นเสือและจมูกสิงโต คิดไม่ถึงว่าบนหน้าจะมีดวงตาโลหิตประหลาดสีดวง ตาสองดวงไม่ต่างจากคนปกติ ส่วนอีกสองดวงโผล่ที่แก้มสองข้าง และยังมีตาอีกสองดวงปรากฏที่หลังศีรษะ
ดวงตาโลหิตเหล่านี้ ทุกดวงที่อยู่บนศีรษะต่างกลอกไปมาอย่างช้าๆ แผ่แสงเย็นยะเยือกอันน่าสะพรึงออกมา ให้ความรู้สึกขนพองสยองเกล้าอย่างน่าประหลาด
“นี่ก็คือหุ่นเชิดโลหิตม่วงของอาวุโส แต่ดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณแล้ว หรือว่าอาวุโสจะใช้เคล็ดวิชาลับหลอมวิญญาณเข้าสู่ร่างกับมันแล้ว!” หลังจากมองดูหุ่นเชิดมหึมาอย่างละเอียดอยู่นาน หานลี่จึงค่อยสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยปากขึ้น
“หึๆ ดูเหมือนเมื่อคืนนี้สหายน้อยจะศึกษาเคล็ดวิชาลับหุ่นเชิดที่ผู้เฒ่าให้ไปจริงๆ ไม่ผิด หุ่นเชิดโลหิตม่วงตัวนี้ได้ทำการหลอมวิญญาณเข้าสู่ร่างแล้ว ทว่าภายในนั้นไม่ได้หลอมวิญญาณอ่อนแอเหมือนกับวิญญาณรับใช้ลงไป แต่เป็นจิตแยกของตัวผู้เฒ่าเอง” ภายในโถงผลึกปรากฏเพียงชายชุดโลหิตคนหนึ่ง เขามองเห็นความตกตะลึงบนใบหน้าของหานลี่ ก็หัวเราะประหลาดแล้วกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ชนรุ่นหลังก็รู้สึกว่าหุ่นเชิดที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ วิญญาณทั่วไปไม่สามารถควบคุมได้ตามใจนึก แต่ด้วยจิตสัมผัสที่แก่กล้าของอาวุโส แม้ว่าจะเป็นเพียงจิตแยกก็ไม่มีปัญหาอย่างเด็ดขาด” ในที่สุดหานลี่ก็เคลื่อนสายตาออกจากหุ่นเชิดโลหิตม่วง พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน
“สหายน้อยเคยเห็นหุ่นเชิดตัวนี้แล้ว คงจะรู้แล้วสินะว่าเพราะเหตุใดผู้เฒ่าจำเป็นต้องให้สหายอยู่ที่พระราชวังเพลิงโลหิตเป็นเวลานานเช่นนี้ ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้สหายน้อยทำเรื่องอะไรอย่างอื่นหรอก เพียงแต่ต้องการให้สหายน้อยกระตุ้นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายบางส่วนเข้าไปในชุดเกราะนั้น จากนั้นข้าก็จะทำการแก้ไขเขตอาคมยันต์ที่อยู่บนนั้นทุกเมื่อตามที่มีการเปลี่ยนแปลงของเทวะอัสนี ในกระบวนการนี้ จะเสียสมาธิไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียว ไม่เช่นนั้นความสำเร็จก่อนหน้าก็จะล้มเหลวทั้งหมด” น้ำเสียงของตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยดูจริงจังขึ้นมา
“ขอรับ ชนรุ่นหลังจะเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของอาวุโส จะพยายามเต็มที่อย่างแน่นอน” หานลี่รู้สึกใจหายวาบ พลันตกปากรับคำ
“ดีมาก สหายน้อยวางใจ ผู้เฒ่าจะไม่ให้เจ้าทำงานเปล่าๆ หรอก หลังจากหลอมหุ่นเชิดนี้เสร็จแล้ว นอกจากวิธีการหลอมวิญญาณรับใช้ก่อนหน้านี้แล้ว ผู้เฒ่ายังมีของบางส่วนมอบให้สหายด้วย” หลังจากตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยได้ยินก็ดูเหมือนจะดีใจสุดๆ พลันยิ้มกว้างแล้วกล่าวด้วยความดีอกดีใจ
ฉับพลันก็เห็นชายชุดโลหิตตั้งท่าร่ายคาถามือหนึ่ง พลางกล่าวคำร่ายจากปาก
ฉากที่คาดคิดไม่ถึงพลันปรากฏขึ้น
เห็นเพียงหุ่นเชิดมหึมาที่อยู่เบื้องล่าง จู่ๆ ศีรษะก็ขยับขึ้น ขณะที่ดวงตาโลหิตทั้งหกเปล่งประกายพร้อมกัน สองมือก็ตั้งท่าร่ายคาถาขึ้น ทันใดนั้นรอบกายก็ปลดปล่อยลำแสงสีม่วงออกมาหมื่นสาย
ทุกแห่งที่ลำแสงสีม่วงนี้พาดผ่าน หินหลอมละลายทั้งหมดก็พากันร่นถอยในทันที ชั่วพริบตาก็ปรากฏเขตแดนมหึมาสีม่วงที่เบื้องล่าง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ที่ใต้เท้าของชายชุดโลหิตกับหานลี่มีแสงสีขาวสว่างขึ้นวาบหนึ่ง พื้นผลึกที่แข็งทนทานผิดปกติในตอนแรกก็สลายหายไปราวกับภาพลวงตา
ทันใดนั้นร่างของทั้งสองก็ร่วงลงมายังเบื้องล่าง
แม้ว่าหานลี่จะค่อนข้างเกินคาด แต่ภายใต้ปีกสองข้างบนแผ่นหลังที่สั่นไหว สภาพที่กำลังร่วงลงมาก็เชื่องช้าลงในทันที
ส่วนตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยกลับเปล่งแสงโลหิตสว่างพร่างไปทั้งร่าง สภาพมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน
ร่างของหานลี่เหาะลงมายังเบื้องล่าง ชั่วพริบตาก็ร่วงลงบนที่สูงระดับเดียวกับศีรษะของหุ่นเชิดโลหิตม่วง ขณะที่ผ่านตาโลหิตดวงหนึ่งของมันไป ตาดวงนี้ก็เคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน ดวงตาสีโลหิตจ้องมองมาที่หานลี่
หานลี่รู้สึกเย็นสันหลังวาบ ร่างพลันแข็งค้าง ราวกับตลอดทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยพลังไร้ลักษณ์มหาศาล
ภายในชั่วพริบตา หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ บนหน้าผากผุดเหงื่อกาฬออกมาแผงหนึ่ง
โชคดีที่ตาปีศาจมหึมาจั้งกว้าดวงนี้เพียงแค่เปล่งแสงประหลาดวูบหนึ่ง ก็ฟื้นคืนสู่สภาพปกติในทันที จ้องมองไปทางอื่น
ตอนนี้หานลี่จึงค่อยโล่งใจไปเปราะใหญ่ พลางซับเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากเบาๆ
ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า เหตุใดตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยถึงได้ให้ความสำคัญกับหุ่นเชิดตัวนี้เช่นนี้
พลังของหุ่นเชิดโลหิตม่วงตัวนี้ เกรงว่าจะเหนือกว่าตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยเองเสียอีก ไม่เช่นนั้นเพียงแค่มองไปคงไม่ส่งแรงกดดันอย่างหนักให้เขาเช่นนี้แน่
เมื่อครู่นี้เขาแทบคิดที่จะเปิดใช้เนตรอาคมสูญสลายเพื่อต้านทานดวงตาอันน่าหวาดกลัวนั้นด้วยความทนไม่ไหว
ยังดีที่สุดท้ายแล้วยังมีเคล็ดวิชาขับเคลื่อนสนับสนุนอยู่ จึงพอถูไถทนไปได้ เมื่อเห็นเช่นนี้ หุ่นเชิดตัวนี้ไม่เพียงร่างกายมหึมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดูเหมือนในด้านพลังของจิตสัมผัสจะมีสิ่งที่ล้ำลึกอยู่อีก
หานลี่ที่ค่อนข้างตกตะลึงพรึงเพริดในใจจึงไม่กล้าอยู่ที่บริเวณใกล้เคียงของศีรษะหุ่นเชิด รีบถลาลงมายังเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วครู่เดียวก็มาถึงบริเวณหน้าอกของหุ่นเชิดแล้ว
ชายชุดโลหิตรออยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว!
หานลี่ใช้สายตากวาดมองไปบนเกราะศึกสีดำทมึนนี้ พลันตกตะลึงเล็กน้อย ภายในดวงตาก็เผยความงุนงงออกมาเสี้ยวหนึ่ง
เมื่อเข้าไปดูเกราะศึกนี้ใกล้ๆ บนนั้นเรียบเนียนราวกับกระจก ไหนเลยจะมีเขตอาคมยันต์
“หรือว่าตัวประหลาดเฒ่านี้คิดจะ…” หานลี่รู้สึกระแวงในใจขึ้นมา
“น้องหาน เนื่องจากจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเจ้า ข้าจะอธิบายวิธีจารึกเขตอาคมยันต์บนชุดเกราะง่ายๆ ให้เจ้าฟัง จากนั้นในขณะที่เริ่มทำการจารึกเขตอาคมยันต์ เจ้าก็คอยสนับสนุนข้าใส่อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเข้าไป สุดท้ายเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจึงค่อยปิดผนึกพลังของเขตอาคมยันต์กับอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายพร้อมกัน ในระหว่างนั้นหากมีสิ่งใดไม่เหมาะสม ข้าก็จะคอยบอกเจ้าทุกเมื่อ” ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยอธิบายคำที่หานลี่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
ตอนที่ 1470 ยันต์สองชนิด
ระหว่างการกระตุ้นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายเข้าไปในเขตอาคมยันต์โดยตรงกับกระตุ้นเข้าไปในระหว่างจารึกเขตอาคมยันต์นั้น ย่อมเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
วิธีแรกนั้นทำได้ง่ายมาก แต่วิธีหลังจะต้องสนับสนุนจารึกเขตอาคมยันต์อย่างเป็นขั้นตอน จิตสัมผัสที่สูญเสียไปมากมายนั้นแค่คิดก็พอจะรู้ หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่อีกฝ่ายแสดงความเมตตากับเขาเช่นนี้
แม้ว่าหานลี่จะยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่สีหน้าบนใบหน้าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง พลันรับปากอย่างเต็มคำ
เห็นหานลี่แสดงท่าทีเคารพนอบน้อมเช่นนี้ ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ร่างของตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี้ยพลันเคลื่อนไหว ทยานเฉียงขึ้นไปข้างบนสองสามก้าว ร่างของเขาก็มาอยู่ที่ด้านข้างหน้าอกของหุ่นเชิดอย่างฉับพลัน
ครั้นสั่นแขนเสื้อคราหนึ่ง ขวดเล็กสีแดงอ่อนใบหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา
ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยชูมือขึ้น ใช้มือหนึ่งดีดขวดเล็กเบาๆ
ทันใดนั้นปากขวดก็เปิดออกด้วยตัวเอง ของเหลวสีม่วกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากข้างใน ครั้นหมุนวนรอบหนึ่งก็ลอยคว้างอยู่กลางอากาศในบริเวณใกล้เคียง พร้อมเปล่งแสงวิญญาณอ่อนๆ
ทั่วทั้งร่างของตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยคลุมด้วยชุดคลุมยาวสีโลหิต แต่ภายใต้สายตาที่เคร่งขรึม คาถาภายในมือเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ลึกล้ำซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
“สหายหานต้องจับตาดูให้ละเอียดแล้ว! เคล็ดวิชาจารึกเขตอาคมยันต์ชุดนี้สามารถเพิ่มความยอดเยี่ยมให้กับหุ่นเชิดได้มากมาย อีกเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ฟังเล็กน้อย จะมีโอกาสเรียนรู้ความล้ำลึกได้มากเท่าไหร่ ต้องดูที่สติปัญญาของสหายน้อยแล้ว หากสามารถเรียนรู้ได้มากหน่อย ตอนที่ช่วยสนับสนุนเขตอาคมยันต์ของผู้เฒ่าก็จะสบายขึ้นมาบ้าง” จู่ๆ เสียงประหลาดก็ดังมาจากข้างหลังของหานลี่
หานลี่ตกตะลึง พลันหันกลับไป จึงพบว่าด้านหลังไม่รู้ว่าชายชุดโลหิตอีกคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่
อีกฝ่ายราวกับว่าอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด แต่เขากลับไม่ได้สังเกตถึงการมีอยู่แม้แต่น้อย
“ขอบคุณอาวุโสที่ถ่ายทอดศาสตร์แห่งเขตอาคมยันต์ ชนรุ่นหลังจะต้องตั้งใจอย่างแน่นอน” หานลี่ผสานหมัดคารวะทีหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยความเคารพนอบน้อม
ชายชุดโลหิตผู้นี้กลับโบกมือ แสดงเจตนาให้หานลี่สนใจการกระทำของชายชุดโลหิตอีกคนหนึ่ง
หานลี่มองไปข้างหน้าอีกครั้ง
เห็นเพียงชายชุดโลหิตอีกคนหนึ่ง มีหนึ่งตั้งท่าร่ายคาถา ส่วนอีกมือหนึ่งเหวี่ยงไปทางของเหลวสีม่วงกลางอากาศสองสามที
“ปัง!” ของเหลวสีม่วงแตกออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งแล้วระเบิดอย่างฉับพลัน กลายเป็นอักขระขนาดเท่ากำปั้นทยอยพุ่งไปยังเกราะศึกมหึมาทีละตัวๆ
แสงวิญญาณพลันสว่างวาบ อักขระแต่ละตัวก็พากันจมเข้าไปในเกราะศึกอย่างไร้ร่องรอย แต่ฉับพลันก็ส่งเสียงเพรียกเบาๆ ขึ้นเป็นระลอกๆ แล้วปรากฏออกมาบนพื้นผิวของเกราะศึกอีกครั้ง
หลายนิ้วของชายชุดโลหิตโยกไหวอย่างรุนแรงราวกับหนักเกินพันชั่ง อักขระเหล่านี้ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงและรวมกลุ่มขึ้นใหม่ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเขตอาคมยันต์สีม่วงขนาดย่อมๆ ประมาณจั้งกว่าอย่างน่าอัศจรรย์
อักขระบางส่วนที่อยู่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ราวกับว่ายังก่อรูปร่างไม่เสร็จ
ขณะที่หานลี่มองดูจนเคลิบเคลิ้ม ชายชุดโลหิตที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปากอธิบายขึ้น “เขตอาคมยันต์นี้เรียกว่า “จารึกทองคำ” ประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ ไม่มี แต่สามารถทำให้เกราะศึกแข็งแรงทนทานเป็นอย่างยิ่ง พอที่จะป้องกันการโจมตีของศาสตราอาคมทั่วไปได้โดยที่ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย เขตอาคมยันต์แบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นที่หนึ่งคือ…”
ระดับความรู้ในด้านเคล็ดวิชาหุ่นเชิดและศาสตร์ของเขตอาคมของหานลี่นั้นก็ไม่น้อยเช่นกัน ขณะที่เฝ้าดูกระบวนการจารึกเขตอาคมยันต์ของตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ย พลางฟังตัวประหลาดเฒ่าอีกคนหนึ่งอธิบายคร่าวๆ แววตาก็เปล่งประกายไม่หยุด
โอกาสที่ได้ฟังตัวตนระดับผสานอินทรีย์ถ่ายทอดและสาธิตด้วยตัวเองเช่นนี้ ย่อมหาได้ยากสุดๆ
แม้ว่าอีกฝ่ายแค่อธิบายอย่างผิวเผินมาก แต่ก็ทำให้ปัญหาด้านเขตอาคมและหุ่นเชิดที่รุมล้อมก่อกวนหานลี่เป็นเวลานานในตอนแรกกระจ่างช่างในบัดดล
เพียงเวลาชั่วหนึ่งมื้ออาหาร เขตอาคมยันต์ของตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยก็สำเร็จไปกว่าครึ่ง และเริ่มเป็นรูปร่างที่แน่นอนขึ้นมาแล้ว
“สหายน้อย ตอนนี้เจ้าแค่กระตุ้นอัสนีเทาวาปัดเป่าภยันตรายเข้าไปข้างในจุดตายชั้นสุดท้ายของเขตอาคมยันต์ก็ได้แล้ว” ชายชุดโลหิตที่อยู่กับหานลี่พูดเร่งเร้าน้ำเสียงขรึม
แม้ว่าเสียงไม่ดัง แต่เมื่อเข้าไปในหูหานลี่ก็ทำให้เขาตื่นจากการเข้าฌานในทันที
เขาเหาะไปโดยไม่พูดจา
หานลี่ถูมือสองข้างคราหนึ่ง พลันเกิดเสียงฟ้าร้องดังเกริกก้อง ประกายอัสนีสีทองแต่ละสายก็พวยพุ่งออกมา แสงอัสนีอันน่าตื่นตะลึงก็ทำให้บริเวณรอบๆ สะท้อนแสงสีทองแวววาวขึ้นมา
ชายชุดโลหิตที่อยู่ข้างๆ หานลี่จ้องมองประกายสายฟ้าสีทองที่อยู่ในมือหานลี่ ดวงตาพลันเปล่งประกายประหลาดปราดหนึ่ง แต่ชั่วพริบตาก็หายไป
…
หนึ่งเดือนให้หลัง ร่างของหานลี่ก็มาปรากฏอยู่ในห้องสงบภายในถ้ำแก่นพฤกษาอีกครั้ง
เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลม สองมือหยิบป้ายหยกสีขาวใบหนึ่งที่อยู่ในมือขึ้นมาดูด้วยสีหน้าลังเล
ในระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่านี้ เขาแทบจะอาศัยอยู่ข้างๆ หุ่นเชิดมหึมาเบื้องล่างพระราชวังโลหิตเพลิงทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็ช่วยตัวประหลาดเฒ่าหลอมเสร็จอย่างฉิวเฉียด
เมื่อถึงเวลา มู่ชิงก็มาหาที่พระราชวังเพลิงโลหิตอย่างไม่ขาดไปแม้แต่วันเดียวจริงๆ แล้วพาตัวเขากลับไป
จะว่าไปแล้ว แม้ว่าในช่วงเวลานี้จะใช้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายกระตุ้นพลังเข้าไปในเขตอาคมยันต์ตลอดทั้งวันทั้งคืน จนทำให้เขาสูญเสียจิตสัมผัสเป็นจำนวนมาก แต่หานลี่ก็ไม่รู้ว่าตนมีเรื่องใดที่เสียเปรียบ
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่วิธีการหลอมวิญญาณรับใช้กับศาสตร์แห่งเขตอาคมยันต์ที่ได้ฟังตัวประหลาดเฒ่าบรรยายในภายหลังก็ทำให้เขาได้รับประโยชน์ไม่น้อยแล้ว
โดยเฉพาะตอนที่จะไป ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ยยังมอบยาวิเศษหายากจำนวนหนึ่งและวัตถุดิบหุ่นเชิดที่มีอยู่ในเหวพสุธาอีกชุดหนึ่งด้วย
แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายอาจจะมีจุดประสงค์อื่น แต่ก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจแล้ว
ทว่าสิ่งที่หานลี่ครุ่นคิดในตอนนี้กลับไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นชิ้นส่วนปกนอกของตำราหยกพระราชวังทองคำแผ่นนี้
บนปกนอกนี้ได้บันทึกเกี่ยวกับยันต์ที่ทรงอานุภาพสุดๆ หลายชนิด
ยันต์ชำระพิสุทธิ์ที่เป็นหนึ่งในนั้น เขาได้เข้าฌานเรียนรู้แล้ว แม้กระทั่งยังมีติดตัวอยู่หลายแผ่น
อีกสามชนิดที่เหลือ แบ่งเป็น “ยันต์เก้าวิมานสวรรค์” สำหรับกักขังศัตรู “ยันต์ขวานนภา” ประเภทโจมตี และ “ยันต์เกราะปราณ” ซึ่งเป็นยันต์หุ่นเชิดเงา
ที่อานุภาพแข็งแกร่งที่สุดในนั้นคือ “ยันต์ขวานนภา” จนถึงตอนนี้หานลี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมัน จึงได้แต่เก็บไว้อยู่ตลอด
ส่วน “ยันต์เก้าวิมานสวรรค์” กับ “ยันต์เกราะปราณ” ด้วยการเข้าฌานเรียนรู้อย่างตั้งอกตั้งใจในช่วงหลายปีมานี้ จากตอนแรกที่เข้าใจอยู่แล้วเจ็ดแปดส่วน ก็เหลือเพียงจุดสำคัญเท่านั้นที่ยังมองไม่ทะลุประโปร่ง
แต่ก่อนหน้านี้ จากการที่ตัวประหลาดเฒ่าตี้เซวี่ย บุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นบรรพจารย์ผู้นี้ชี้แนะเรื่องศาสตร์ของหุ่นเชิดกับเขตอาคมเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า บวกกับหลายวันมานี้ได้พากเพียรศึกษาค้นคว้าเคล็ดวิชาเรียกหลอมวิญญาณรับใช้ในห้องสงบ ในที่สุดก็ทำให้เขาทะลวงจุดหนึ่งในปัญหาหลายข้อนี้ สามารถหลอมยันต์สองชนิดนี้ได้แล้ว
วัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับยันต์สองชนิดนี้ย่อมหายากเป็นอย่างยิ่ง แต่โชคดีที่ไม่ใช่ของมีราคาที่ขาดตลาด ตอนที่เขาอยู่ในเหวนภา ได้รวบรวมวัตถุของยันต์สองชนิดไว้จำนวนมาก
ตอนนี้สามารถทดสอบได้โดยตรงแล้ว
เดิมทีการหลอมยันต์ชนิดนี้ ยังต้องศึกษามากอีกหน่อย และหลังจากปฏิบัติจริงบางส่วนแล้ว จึงจะสามารถใช้วัตถุหายากพวกนั้นหลอมอย่างเป็นทางการ
แต่ภายใต้ราชาปีศาจระดับผสานอินทรีย์หลายคนที่จ้องตาเป็นมันเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีเวลาจะยืดเยื้อต่อไปได้
แม้ว่าตอนนี้ดูแล้วน่าจะปลอดภัยเป็นเวลาหลายปีเพราะอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของเขา แต่ใครจะรู้ว่าราชาปีศาจเหล่านี้จะเปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหันเพราะสาเหตุอื่นหรือไม่
ตั้งแต่ที่หานลี่เริ่มฝึกฝนมา เขาพึ่งพาพลังของตัวเองทั้งหมดในการทยานขึ้นมาสู่แดนวิญญาณ ถึงได้มีพลังยุทธ์อย่างทุกวันนี้ ย่อมไม่มีทางนำโอกาสในชีวิตทั้งหมดมอบให้ผู้อื่นอย่างแน่นอน
พยายามหลอมยันต์สองชนิดนี้ให้เร็วที่สุด ย่อมเป็นการเพิ่มวิธีรักษาชีวิตขึ้นมาสองสามวิธี
ผ่านไปพักใหญ่สีหน้าที่ดูไม่สงบของหานลี่จึงค่อยฟื้นคืนกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
เขาหลับตาลงอย่างช้าๆ ใช้จิตสัมผัสแทรกซึมเข้าไปในป้ายหยก อ่านเคล็ดวิชาลับของยันต์สองชนิดนี้ตั้งแต่ต้นจนจบอีกหนึ่งรอบ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ เขาจึงค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง!
ข้อมือข้างหนึ่งพลันสั่นไหวกลางอากาศ เกิดแสงวิญญาณเปล่งประกายวิบวับ ลำแสงสีเขียวดวงหนึ่งพลันพวยพุ่งออกมา แล้วหมุนโคจรกลางอากาศต่ำไม่หยุด
ที่แท้ก็คือกำลังเก็บของของหานลี่
หานลี่ใช้นิ้วแตะไปที่ของสิ่งนี้อย่างรวดเร็ว
“พรึ่บ!” ม่านแสงสีเขียวพลันกวาดออก ข้าวของจำพวกขวดและกระปุกหลายสิบชิ้นกับกล่องหยกและตลับไม้จำนวนหนึ่งก็ปรากฏอยู่บนพื้น
พลันถือโอกาสตะปบลงบนกล่องไม้สีขาวที่อยู่ในนั้น
ฝากล่องหมุนคราหนึ่ง วัตถุสีเงินแวววาวชิ้นหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา
หานลี่งอนิ้วทั้งห้าอีกครั้ง ทันใดนั้นสมบัติชิ้นนี้ก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าแล้วหยุดลง
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหนังอสูรงามละเอียดอ่อนชิ้นหนึ่งที่พื้นผิวเรียบลื่นราวกับผ้าแพร
หนังชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เปล่งแสงสีเงินแวววาว พื้นผิวของมันยังมีลวดลายธรรมชาติที่คล้ายกับอักขระขนาดเล็กใหญ่คละกัน ดูแล้วสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง
นี่ก็คือวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการหลอมหุ่นเชิดเงา เป็นหนังอสูรของอสูรโบราณหายากชนิดหนึ่งที่เรียกว่าอสูรวายุอัคคี
อสูรโบราณชนิดนี้ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญอิทธิฤทธิ์วายุอัคคีสองชนิด แม้กระทั่งพลังของมันก็ยังเทียบได้กับตัวตนระดับเทพแปลง ยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะชื่นชอบอากาศหนาวเย็นและนอนหลับ จึงนอนหลับในบึงที่ชื้นและมืดเป็นเวลานานไม่ยอมตื่น มีแค่เวลาที่ออกล่าเหยื่อหาอาหารเท่านั้น จึงจะมีคนพบเห็นร่องรอยของมันเป็นครั้งคราว
ยันต์หุ่นเชิดเงาที่ใช้หนังอสูรนี้หลอมขึ้นมานั้น ไม่เพียงแต่สามารถเพิ่มอัตราสำเร็จ ยังสามารถทำให้อานุภาพของยันต์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนด้วย ดังนั้นความสูงของมูลค่าแค่คิดดูก็รู้
ในตอนแรกหานลี่เองก็สิ้นเปลืองแรงไปมาก จึงจะสามารถใช้ยาวิญญาณหมื่นปีมาแลกได้หลายแผ่นในร้านวัตถุดิบที่ไม่เล็กแห่งหนึ่งในเมืองเหวนภา
สิ่งที่หานลี่คิดจะเริ่มหลอมเป็นอันดับแรกก็คือยันต์เกราะปราณ
ยันต์ชนิดนี้ก็เหมือนกับยันต์หุ่นเชิดเงาอื่นๆ เมื่อเรียกออกมาก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดเงาตัวหนึ่ง สามารถลอกเลียนแบบพลังยุทธ์และอิทธิฤทธิ์บางส่วนของผู้ควบคุมได้ สำหรับประสิทธิภาพจะมากจะน้อยนั้น ก็ต้องดูที่ระดับของยันต์ที่หลอมกับพลังยุทธ์ของผู้ควบคุม
ทว่ายันต์หุ่นเชิดเงาทั่วไปนั้น ทำได้เพียงลอกเลียนแบบพลังสองส่วนถึงห้าส่วนและอิทธิฤทธิ์ระดับต่ำสุดๆ ของผู้ควบคุมเท่านั้น ยันต์หุ่นเชิดเงาสมบูรณ์ที่สามารถลอกเลียนพลังได้ทั้งหมดในคำร่ำลือนั้น ได้ยินว่ามีเพียงดินแดนวิญญาณสวรรค์ของเผ่ามนุษย์เท่านั้นที่มี แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
แน่นอนว่าการลอกเลียนแบบของยันต์หุ่นเชิดเงาเหล่านี้ไม่ได้ไร้ขีดจำกัด มีประโยชน์แค่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญขั้นต้นและระดับต่ำลงมาเท่านั้น
อีกทั้งยังเป็นยันต์ที่ใช้ครั้งเดียว เมื่ออานุภาพถูกใช้หมดแล้ว หุ่นเชิดเงาก็จะหายไปเช่นกัน
ส่วนยันต์เกราะปราณของหานลี่ที่มาจากปกนอกของตำราพระราชวังทองคำแผ่นนี้ อานุภาพย่อมไม่มีทางที่ยันต์หุ่นเชิดเงาเหล่านั้นจะเทียบได้
ยันต์เกราะปราณนี้ดูจากระดับของผู้ที่หลอม หุ่นเชิดเงาไม่เพียงแต่สามารถช่วยเหลือผู้ควบคุมด้วยพลังเจ็ดถึงแปดส่วนขึ้นไปและมีอิทธิฤทธิ์กว่าครึ่ง แต่ยังสามารถลอกเลียนแบบผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นและระดับต่ำลงมาได้อีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยันต์เกราะปราณจึงล้ำค่าอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่ใช้และวิธีการหลอมนั้น ยันต์ชนิดนี้ล้วนเหนือกว่ายันต์หุ่นเชิดเงาทั่วไปอย่างไม่อาจเทียบได้
หากไม่ใช่เพราะเขาครอบครองเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณ เพลิงแท้ที่คลอบคลุมพลังขั้วร้อนและขั้วเย็นชนิดนี้ แม้ว่าจะเข้าใจวิธีการหลอมทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังหลอมไม่ง่ายอยู่ดี
หานลี่จ้องเขม็งหนังอสูรที่อยู่ตรงหน้า พลันเก็บความคิดในใจต่างๆ นานาออกไปแล้วอ้าปาก
“พึ่บ!” ลูกไฟสีเงินแวววาวลูกหนึ่งถูกพ่นออกมา
ที่แท้ก็คือเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณที่เชื่อมวิญญาณแล้ว
ภายในเพลิงสีเงินเปล่งเสียงนกร้องดังกระจ่างใส ฉับพลันก็กลายเป็นวิหคเพลิงขนาดใหญ่ฉื่อกว่าตัวหนึ่ง กางปีกสองข้างแล้วบินวนรอบหนังอสูรไม่หยุดนิ่ง
หานลี่เห็นดังนี้ ก็แอบร่ายคาถาในใจคราหนึ่ง
ทันใดนั้นวิหคเพลิงสีเงินก็เริงระบำสองสามรอบ ก่อนที่จะพุ่งกระโจนเข้าใส่หนังอสูร
“ฟู่ว!” เพลิงสีเงินห่อหุ้มหนังอสูรไว้ภายในอย่างดุดัน
ทว่าหนังอสูรที่อยู่ท่ามกลางเพลิงที่ลุกมอดไหม้นี้กลับไม่ถูกเผาทำลาย มิหนำซ้ำลวดลายคล้ายอักขระบนพื้นผิวเหล่านั้นยังเลื้อยขยุกขยิกขึ้นมาท่ามกลางแสงสีเงิน ราวกับทั้งหมดมีชีวิตขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น